webmaster@iseehistory.com
เมื่อไม่กี่วันมานี้รู้สึกผิดคาดและผิดหวังกับนักคิดนักเขียนท่านหนึ่งซึ่งจะเรียกว่านักประวัติศาสตร์ด้วยหรือไม่ก็ตามแต่ ความจริงแล้วท่านเป็นบุคคลสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ไทยในแง่มุมใหม่ๆ อย่างมากมาย เชื่อว่าท่านมีอิทธิพลทางความคิดทั้งโดยตรงและโดยอ้อมต่อคนในวงการประวัติศาสตร์หลายรายรวมถึงตัวผมเองด้วย แต่บทความหนึ่งของท่านที่พึ่งเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ พูดถึงงานแปลวรรณกรรมไทยเป็นภาษาอังกฤษเรื่องหนึ่งที่เป็นผลงานของฝรั่งร่วมกันคนไทย ประมาณว่าทำไมไม่เห็นใจคนที่อ่านได้แต่ภาษาไทยบ้าง
คนระดับนั้นทำไมถึงมีความคิดราวกับว่าถ้าเป็นภาษาอังกฤษแล้วไม่ขอรับรู้อะไรเกินกว่าชื่อเรื่อง ชื่อคนแต่ง กับภาพประกอบ หรือว่าจริงๆ พออ่านได้บ้างแต่แกล้งๆ บ่นให้เกินๆ ไว้ก่อน ช่างเหมือนกับใครอีกบางคนหรือหลายๆ คน หรืออีกกี่คนก็ไม่ทราบได้ที่เคยไปโพสต์ตามเว็บตามบอร์ดต่างๆ ประมาณนี้ว่า ฉันอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกนะเฟ้ย แต่ฉันอยากจะรู้เรื่องอะไรแปลกๆ ลึกๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ใครรู้ภาษาอังกฤษแล้วมีหน้าที่ต้องแปลเป็นภาษาไทยให้ฉันได้เสพย์นาเฟ้ย
นับเป็นความล้มเหลวอันใหญ่หลวงของการศึกษาไทยที่ทำให้คนไทยเห็นภาษาอังกฤษเป็นวิชาหนึ่งที่มีหน้าที่เรียนๆ สอบๆ ให้จบๆ กันไปโดยไม่เห็นคุณค่าว่ามันเป็นภาษาสากลที่จะไขความรู้อะไรต่างๆ ได้อีกมากมาย นิสิตนักศึกษาจำนวนไม่น้อยตัดสินใจเลือกเรียนบางสาขาวิชา (คงรวมทั้งประวัติศาสตร์ด้วย) โดยหวังว่าจะได้ไม่ต้องเจอภาษาอังกฤษ ทั้งที่ความรู้ระดับสูงของแทบจะทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษทั้งนั้น
อันว่าตัวผมเองนั้นก็ใช่ว่าจะเก่งกาจภาษาอังกฤษอะไรนักหนา ไม่ใช่นักเรียนเมืองนอกเมืองนา ไม่ได้มีเพื่อนฝูงหรือติดต่อชาวต่างประเทศที่ไหนเป็นประจำ อายุป่านฉะนี้พึ่งจะได้ไปดูงานต่างประเทศหนเดียว ฯลฯ ครั้งแรกที่รู้สึกเอาจริงเอาจังกับภาษาอังกฤษค่อนข้างมากเป็นช่วงเรียน ม.ศ.ต้น ตอนนั้นริอ่านไปสนใจการประกอบชุดพลาสติคจำลองพวกตัวทหาร และรถถังยานยนต์ต่างๆ ของกองทัพเยอรมันเข้า แม้จะเป็นสินค้าจากญี่ปุ่น แต่ผู้ผลิตที่น่ารักอย่าง Tamiya นอกจากจะทำคู่มือที่มีภาพประกอบเข้าใจง่ายแล้ว ยังได้มีคำอธิบายภาษาอังกฤษพร้อมด้วยประวัติเรื่องราวความเป็นมาของสิ่งที่จำลองมา ด้วยความอยากรู้ทำให้ดิคชันนารีที่เด็กอื่นอาจจะซื้อหามาเพื่อเรียนภาษาอังกฤษพอผ่านๆ ได้ถูกใช้งานอย่างแทบจะคุ้มราคาเลยทีเดียว
เริ่มเรื่องด้วยการบ่นคนอื่น แล้วมาเขียนเรื่องของตัวเอง เกรงว่าจะสรุปไม่ลง มาเข้าเรื่องกันซะทีดีกว่าว่าถ้ารักถ้าสนใจประวัติศาสตร์ ควรจะรู้ภาษาต่างประเทศแค่ไหน
ก่อนอื่นภาษาไทยเราเองนั้น ต้องรู้จริงใช้ได้ถูกต้องนะครับ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าเบื้องต้น และการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้กับคนไทยด้วยกัน อย่าประมาทว่าภาษาของเราเอง การเขียนผิดๆ กลายเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีได้ สมัยผมเรียนปริญญาโทประวัติศาสตร์ ได้ยินอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ พูดนับครั้งไม่ถ้วนว่า “สังเกต” ต้องไม่มีสระอุนะ จนทุกวันนี้นี่ไม่สามารถที่จะเขียนคำนี้ให้ผิดได้เลยครับ
จากนั้นก็ต้องรู้ภาษาอังกฤษในระดับที่ “อ่านรู้เรื่อง” เป็นอย่างน้อย เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลที่กว้างขวางใหญ่โตที่สุดในโลกได้ สมัยก่อนจะอ่านตำรับตำราหรือหนังสือทั่วไปที่เป็นภาษาอังกฤษจะต้องเข้าห้องสมุดหรือร้านหนังสือบางร้าน แต่เดี๋ยวนี้เรามีอินเทอร์เน็ตใช้กันแล้ว มีข้อความเรื่องราวภาษาอังกฤษให้เลือกอ่านมากมาย ตั้งแต่เรื่องสั้นๆ ง่ายๆ ให้เลือกอ่านได้มากก่อนจะไปถึงบทความยากๆ ยาวๆ ตอนรู้จัก Facebook ใหม่ๆ ผมเคยนำบทความจาก http://www.suite101.com/history มาโพสต์ลิงค์เอาไว้ กลับมีคนบ่นว่าทำไมไม่แปลให้ด้วย พอดีหลังๆ บริหารเวลาไม่ถูกเลยเลิกโพสต์ไปโดยปริยาย ทั้งที่บทความจากแหล่งดังกล่าวเป็นบทความที่ไม่ได้ยาวเกินความสามารถของคนที่เคยเรียนภาษาอังกฤษกันมาบ้าง แล้วเดี๋ยวนี้เราก็มีโปรแกรมดิคชันนารีให้ใช้กันทั้งออนไลน์ออฟไลน์ด้วย บทความประวัติศาสตร์ภาษาอังกฤษอีกแหล่งคือ Wikipedia นั้น มันก็ไม่ได้ยาวๆ ยากๆ ไปซะทุกบทความ และที่บางคนอาจจะไม่เคยรู้ กระทั่งตัวผมเองรู้แล้วยังลืม คือ Wikipedia นั้นยังมีกลุ่มบทความที่ใช้ภาษอังกฤษอย่างง่ายๆ ที่ http://simple.wikipedia.org/ อีกด้วย
แต่ถ้าจะเรียนรู้อย่างจริงจังแล้วอย่าคอยหวังพึ่งคนใจดีที่จะมาเขียนบนเว็บเลยครับ หนังสือเป็นเล่มๆ ก็ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญและลึกซึ้งกว่า และนอกจากจะรอซื้อตามร้านในเมืองไทยแล้ว ยังสามารถเลือกซื้อตามเว็บไซต์อย่าง Amazon.com ได้อีกต่างหาก ยิ่งถ้าใช้ Amazon Kindle อย่างผมแล้ว สามารถเลือกซื้อหนังสือที่เป็น e-book ได้โดยพริบตา ก่อนจ่ายเงินซื้อเล่มจริงยังสามารถขอดู Sample ก่อนได้ด้วย เรื่องนี้คงต้องว่ากันในรายละเอียดในโอกาสหลัง
เกือบลืมไปว่าถ้ายังต้องการพัฒนาการฟังแล้ว ใน Youtube.com ยังมีคลิปความรู้ด้านประวัติศาสตร์ตั้งแต่เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยไปจนถึงที่ค่อนข้างเป็นชิ้นเป็นอัน ให้เลือกชมเลือกฟังได้ในระยะเวลาที่พอเหมาะ
แค่ภาษาไทยกับอังกฤษอาจจะเพียงพอแล้วสำหรับหลายๆ คน แต่ในความเป็นจริงประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของชนชาติใดภาษาใดโดยเฉพาะ แม้กระทั่งประวัติศาสตร์ไทยเราเอง ที่บางคนอาจหลงนึกว่าจะฟังความข้างเดียวจากหลักฐานฝ่ายเราก็เพียงพอ โดยที่ความจริงเรารบกับพม่ามาเป็นร้อยๆ ปี และอยู่กับเพื่อนบ้านอื่นๆ อย่าง ลาว เขมร ญวน มลายู ฯลฯ มาเป็นเวลาพอๆ กัน มีชนชาติอื่นๆ เดินทางเข้ามาทั้งแบบชั่วครั้งชั่วคราวและที่เข้ามาผสมกลมกลืนกับชาวไทยในสังคมไทย นับตั้งแต่สมัยโบราณมาจนถึงยุคเผชิญการล่าอาณานิคมและยุคสมัยใหม่ ไม่ว่าจีน ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย ฯลฯ
การศึกษาประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศไหน ก็ควรจะรู้ภาษาของประเทศนั้นและอาจรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับชาติอื่นๆ ในมุมมองของเจ้าของภาษา เช่น ภาษาเยอรมันนอกจากจะช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างไทยหรือสยามกับประเทศเยอรมนีแล้ว ยังอาจสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับชาติอื่นในยุคเดียวกันตามมุมมองของเยอรมัน เป็นต้น
หรืออย่างการศึกษาประวัติศาสตร์อื่นๆ เช่น ประวัติศาสตร์สงครามโลก ที่หลายคนชอบพูดนักว่าประวัติศาสตร์เขียนโดยผู้ชนะ ซึ่งจะหมายถึงชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษอย่างอังกฤษกับอเมริกาหรืออย่างไรก็แล้วแต่ หากคุณรู้ภาษาของชาติอื่น ไม่ว่าสัมพันธมิตรหรืออักษะ ก็จะสามารถอ่านตำราหรือเอกสารของชาตินั้นๆ เพื่อให้ได้มุมมองที่แปลกออกไป สำหรับประวัติศาสตร์ยุคสมัยอื่นก็เช่นเดียวกัน การได้มุมมองจากเอกสารของชาติอื่นย่อมมีน้ำหนักกว่าการไปเถียงเรื่องในประวัติศาสตร์กระแสหลักอย่างข้างๆ คูๆ อย่างที่พบเห็นกันอยู่บ่อยๆ
ถึงตรงนี้หลายคนจะมองเป็นยาหม้อใหญ่หรือไม่ก็ตาม เมื่อสักปีสองปีมานี้ ในเว็บบอร์ด “คุยกันหลังฉาก” ของ IseeHistory.com เอง เคยมีรุ่นน้องปริญญาโทประวัติศาสตร์ธรรมศาสตร์ท่านหนึ่งมารายงานว่า การเรียนที่นั่นเดี๋ยวนี้ต้องรู้ภาษาที่สามด้วย ผลงานการค้นคว้าจะเป็นอย่างไรกันบ้างยังไม่ได้ข่าวโดยละเอียดเหมือนกันครับ
แนะนำกันมาพอสมควรแล้ว ใครจะทำได้แค่ไหนก็ไม่ทราบ แน่นอนว่าภาษาไทยยังคงเป็นพื้นฐานสำคัญในการค้นคว้าวิชาประวัติศาสตร์ดังเช่นวิชาการอื่นๆ และความรู้ภาษาอังกฤษจะเป็นตัวต่อกิ่งก้านให้ความรู้กว้างขวาง และภาษาต่างประเทศอื่นๆ เป็นภาษาทางเลือก (Option) ที่จะช่วยให้ได้เกร็ดความรู้ที่แปลกออกไปครับ