dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนห้า




            เรื่องความเฮี้ยบของเจ้าชายฟิลิปกับเจ้าฟ้าชายชารลส์นั้น มันมีสาเหตุ..เนื่องจากว่า พระองค์ทรงปริวิตกในเรื่องของความเป็นลูกผู้ชายแบบแมนๆ ของพระโอรส
            เพราะว่า ในแวดวงของกลุ่มผุ้เลี้ยงดูให้พระอภิบาลก็ล้วนแต่เป็นผู้หญิง เช่นพระพี่เลี้ยง นางพยาบาล และที่สำคัญคือ กลุ่มคุณพนักงาน มหาดเล็กที่เป็นกระเทยก็มีไม่น้อย
            ครั้งหนึ่ง..เกิดมีกรณีของคุณพนักงานชาย-หญิงคู่หนึ่งได้เกิดมีสัมพันธสวาทกัน อันถือเป็นความผิดที่ต้องลงโทษคือการไล่ออก
            เนื่องจากมีกฎระเบียบของวินด์เซอร์ในเรื่องข้อห้ามของการจับคู่กันเองในหมู่พนักงาน***
            ซึ่งเรื่องนี้เจ้าชายได้พยายามช่วยเข้าข้างผู้ผิดอย่างถึงที่สุด เพราะพระองค์ว่า..
            "น่าจะให้รางวัลมันซะด้วยซ้ำ.."

            เจ้าชายฟิลิปจึงพยายามหนักหนาในการที่ทรงเคี่ยวเข็ญพระโอรสแบบสุดๆ เช่น เรื่องการกีฬา ที่ต้องทรงได้ทั้งโปโลม้า คริกเก็ต ล่าสัตว์ ซึ่งผลนั้นค่อนข้างไม่ได้ดังใจ
            เนื่องจากอุปนิสัยที่ค่อนข้างติ๋มๆ ขี้กลัว รวมไปถึงสุขภาพของร่างกายที่ถูกคุกคามของโรคหอบหืด แข้งเข่าออกน๊อคนีย์แบบเดียวกับพระอัยยิกา (พระเจ้ายอร์จที่หก)
            ฝ่าพระบาทแบนราบจนทำให้ต้องออกแบบรองเท้าเพื่อสุขภาพเท้าให้ทรงสวม..
            นี่คือสิ่งที่พระองค์จึงไม่ยอมออกอาการ"โอ๋" พระโอรสเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว..
            และอย่าว่าแต่ "โอ๋" ..ถึงขนาดที่ว่า เมื่อมีการทะเลาะเบาะแว้งกันในหมู่พี่น้อง เช่นเจ้าฟ้าชายชอบที่จะดึงพระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ หรือแกล้งเล่นเจ็บๆ
            การถวายผางได้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด..และ..การทำโทษทุกครั้งนั้น เจ้าฟ้าชายจะต้องได้รับแบบลูกผู้ชาย...ที่ห้ามกรรแสงอย่างเด็ดขาด..

            (*** คุณพนักงานคนแรกที่ได้รับการยกเว้นในต่อมา คือ นาย พอล เบอเรลล์ มหาดเล็กต้นห้องของเจ้าหญิงไดอะน่า อดีต...คือมหาดเล็กรับใช้ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี ที่มีคู่รัก นามว่า มาเรีย..เป็นช่างฝ่ายฉลองพระองค์ และทั้งคู่ได้รับการจัดงานแต่งงานให้จาก
            องค์สมเด็จ อีกทั้งได้รับสิทธิพิเศษยกเว้นในข้อห้ามนั้นด้วย.......วิวันดา)


           

 

     

 

 

ต่อมาเมื่อถึงเวลาที่จะเข้าโรงเรียน เจ้าชายต้องทรงต่อสู้อย่างหนักกับพิธีการเดิมๆ ของวินด์เซอร์ ในเรื่องการศึกษาของอนาคตกษัตริย์แห่งอังกฤษที่มีกระแสการขัดแย้งอย่างมากมาย ในเรื่องสถานที่เรียน
            พระองค์ต้องการให้พระโอรสได้ไปเรียนแบบเดียวกับเด็กอื่นๆ แต่สมเด็จฯไม่ทรงเห็นด้วย ทรงอยากให้เรียนอยู่แต่ในพระราชฐาน
            การโต้แย้งนี้ ..เป็นข่าวจนได้ ข่าวได้ไปถึงหนังสือพิมพ์ที่ออกมาพาดหัวว่า.
            "ทำไมเจ้าฟ้าชายชารลส์จะไปโรงเรียนเยี่ยงเด็กอื่นๆ ไม่ได้ ทำไมต้องให้ครูต้องเข้าไปสอนจนถึงในวัง.." หรือ
            "ทำไมต้องปิดกั้นการเรียนรู้ของพระองค์กันตั้งแต่บัดนี้เล่า.."

            ในที่สุด..สมเด็จได้ทรงอ่อนตามให้ เจ้าฟ้าชายได้มีโอกาสเข้าไปเรียนในชั้นอนุบาลที่ Hill House ที่เสด็จมาเรียนในเสื้อโค๊ตอย่างเต็มยศ มิได้ทรงชุดนักเรียนเช่นเด็กอื่นๆ

            ในปีต่อมา..ก็มีการโต้แย้งกันอีกแล้ว..เพราะเจ้าชาย
            ฟิลิปทรงมีพระประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนโรงเรียนใหม่..สมเด็จฯมิได้ทรงเห็นด้วย
            เพราะโรงเรียนที่พระสวามีว่านั้นคือ โรงเรียน Cheam โรงเรียนกินนอนสถาบันเก่าของพระสวามีนั่นเอง
            ซึ่งมีเด็กร่วมชั้นเป็นเด็กชาวบ้านธรรมดา
            แต่เจ้าชายได้ตอบว่า..ยิ่งดีใหญ่ ชารลส์จะได้รู้จักซะบ้าง...ว่าชาวบ้านเขาอยู่กันอย่างไร ห้องหนึ่งอยู่กันเก้าคน เตียงก็เป็นเตียงไม้แข็งๆ และการสอนที่มุ่งหนักในการเชื่อฟังในวินัย..
            ในที่สุด เจ้าชายน้อยก็ต้องไปเรียนที่ Cheam ตามคำสั่งของพระบิดา..
            ส่วนสมเด็จได้เพียงแต่ตรัสกับอาจารย์ใหญ่ว่า.. ขอให้สอนและกระทำกับพระโอรสเยี่ยงเด็กนักเรียนคนอื่นๆ แต่..อย่างไรก็ขอให้เรียกพระโอรสว่า เจ้าชายชารลส์

            วันแรกที่เสด็จไปโรงเรียน เจ้าชายน้อยเตรียมกล่องอาหารจากวังไปเอง เพราะด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับการแบ่งปันอาหารกับใครๆ
            ทันที่ที่พระพี่เลี้ยงหันกลับ..พระองค์ก็ทรงสะอื้นออกฮักๆ ด้วยความที่ไม่เคยต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังกับคนแปลกหน้า
           
            จากเด็กที่แต่งองค์ด้วยผ้าไหมอย่างดี เสื้อผูกโบว์ รองพระบาทเงาวับ มีข้าทาสบริวารใช้สอยเนืองแน่น..กลายมาเป็นเด็กนักเรียนประจำที่ถูกเพื่อนๆ เรียกว่า "ชารลส์"
            หรือไม่ก็อีกสมญาหนึ่ง คือ "ไอ้อ้วน" (Fatty)
            และต้องมาเจอกับไม้เรียวแขนงไผ่ชนิดของแท้และดั้งเดิมจากฝีมือบรรเลงของอาจารย์ใหญ่
            พระองค์ได้ทรงเล่าประทานในทีหลังว่า..
            "ความจริง ฉันก็โดนเตือนให้ระวังตัวไว้นะ ว่ายังไงก็ต้องโดนจนได้ แต่หลังจากที่โดนตีเพราะวิ่งเล่นไล่จับกันในห้องนอนแล้ว..ฉันก็ไม่เคยโดนอีก เพราะจากนั้นมาก็เลิกเล่นซุกซนไปเลย"

            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ทรงเล่าว่า..
            "พี่ชายเขียนจดหมายถึงพระพี่เลี้ยงทุกวัน บอกว่า คิดถึงจนร้องไห้ "
            และพระองค์ได้ทรงจดหมายมาถึงพระบิดาว่า
            "กราบทูลเสด็จพ่อที่รักยิ่ง.. ชายรอวันที่พ่อจะพาไปเล่นเรือใบออกทะเล"
            ในจดหมายนั้น พระองค์ได้วาดภาพเรือใบชนิดเดียวกับที่เจ้าชายฟิลิปได้เคยใช้ในการแข่งเรือใบที่ Cowes
            (อันเป็นที่แข่งเรือนัดสำคัญๆ ของโลก)
            เรื่องการวาดภาพนั้น เจ้าชายองค์น้อย เพียงหกชันษาได้ทรงมีพระปรีชาเกินหน้าเด็กๆ ในวัยเดียวกัน
            เช่นครั้งหนึ่ง พระองค์ได้วาดคริสมาสต์การ์ดให้กับพระบิดาด้วยความมีพระอารมณ์ขันแบบเด็กๆ
            คือเป็นภาพผู้ชายที่หมายถึง ท่านดยุคกำลังยืนอยู่ข้างๆ ขวดที่มีฉลากเขียนให้เห็นชัดๆ ว่า น้ำยาปลูกผม
            เนื่องจากในตอนนั้น ท่านดยุคกำลังทรงมีปัญหาในเรื่องพระเกศาเริ่มร่วงมากขึ้นทุกที..

            หลังจากที่ได้เริ่มเรียนไปได้สักพัก ทางโรงเรียนได้มีรายงานมาว่า..เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงผรุสวาทถ้อยคำที่ไม่น่าฟังออกมา..
            ท่านดยุค พระบิดา ถึงกับต้องกลับไปคิดใหม่ ว่า พระโอรสไปได้ยินมาจากไหน จากคนงาน
            หรือ บางที....พระองค์ได้สารภาพมาอ่อยๆ ว่า
            "ก็..อาจจะได้ยินมาจากฉันกระมัง"  

 




            ห้าปีครึ่ง..ของการใช้ชีวิตอยู่ใน Cheam เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้สอบตกในวิชาคำนวนทั้งหมด ประวัติศาสตร์ก็ทุลักทุเลเต็มทีกว่าจะผ่าน***
            เจ้าฟ้าชายได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะไปเรียนในโรงเรียนเก่าของพระบิดาอีกโรงเรียนหนึ่งมากกว่า
            นั่นคือ กอร์ดอนสตัน ที่หนักไปในทางฝึกความแข็งแกร่ง วิ่งทน..ฝึกหนักราวกับทหาร
            เรื่องนี้ ท่านดยุคได้นำไปปรึกษากับกลุ่มเพื่อนวันพฤหัส ที่มักมีชุมนุมร่วมรับประทานอาหารกลางวันกันที่ Wheeler's Tavern ในย่าน Soho ดังที่ แลร์รี่ แอดเล่อร์ พระสหายคนหนึ่งได้เล่าว่า
            "ผมได้ทูลท่านว่าโรงเรียนของรัฐเนี่ย..มันก็ไม่ต่างอะไรกับโรงผลิตกระเทยหรอกนะ..แต่พอ เจมส์ (เจมส์ โรเบิร์ตสัน จัสตีช นักแสดงชาวสก็อตที่มีชื่อเสียง) ได้ยินเข้า ก็รีบชิงเถียงว่า..
            "อย่ามาพูดหน่อยเลย..ทีผมน่ะ เข้าเรียนที่ Eton โรงเรียนไปรเวทแท้ๆ อาทิตย์แรกก็ยังโดนเปิดบริสุทธิ์..แต่ไม่เห็นจะเป็นกระเทยอย่างที่ว่า.."

            แต่ท่านดยุคเริ่มเห็นดีกับการที่จะส่งพระโอรสไปที่กอร์ดอนสตัน, สก็อตแลนด์ เพราะด้วยหลายสาเหตุ
            ที่สำคัญสุดคือ..อยู่ห่างไกลจากนักข่าวที่เฝ้าติดตาม ต่างจากโรงเรียนอีตันที่อยู่ในสายตาของเหล่าสื่อทุกชนิด
            เจ้าฟ้าชายก็ทรงตื่นเต้นไม่แพ้กันที่จะได้ไปศึกษาต่อในโรงเรียนของพระบิดา..แต่..ได้มาบ่นราวหมีกินผึ้งในทีหลังของการตัดสินใจครั้งนั้นว่า
            "มันเป็นนรกชัดๆ ฉันสอบวิชาคำนวนตกสามครั้งซ้อน เกือบตกในวิชาภาษาเยอรมัน วิทยาศาสตร์ก็ร่อแร่"
            พระองค์ได้ทรงเขียนจดหมายตัดพ้อ บ่นพึมมาถึงพระพี่เลี้ยงทุกวันเช่นเคย..
            "ฉันไม่ได้หลับได้นอนเลยนะ มันแกล้งขว้างรองเท้าแตะไปมาข้ามเตียงฉัน หรือไม่ก็แกล้งเอาหมอนมาตี..บางทีนะ มันวิ่งเข้ามาตีฉันแรงๆ เลยละ"

            ซึ่งหลายปีต่อมา..เจ้าฟ้าชายได้โทษว่าการไปโรงเรียนนรกในครั้งนั้น เป็นความผิดพลาดของพระบิดา ซึ่งความจริงในตอนนั้น ท่านดยุคก็หาได้สบายพระทัยไม่ ที่ต้องปล่อยให้พระโอรสไปอยู่ในโรงเรียนที่
            พระองค์ทรงทราบดีว่า โหดมหาโหด..
            ในเวลาเดียวกันกับที่ส่งพระโอรสไปโรงเรียนแล้ว..ทั้งสมเด็จและท่านดยุคได้เสด็จไปรอดูทีท่าอยู่ที่พระราชวังบัลมอรัล..
            ซึ่งพระสหายคือ เดวิด กับ ไมร่า บัตเตอร์ ได้สังเกตเห็นได้ชัดว่า คนที่กระวนกระวายพระทัยเป็นห่วงพระโอรสจนประทับไม่ติดที่นั้น คือ ท่านดยุค
            ไมร่าเล่าว่า..
            "เจ้าชายฟิลิปเสด็จเข้ามาในห้องนั่งเล่น พระพักต์ไม่สู้ดี พระองค์ทรงเดินกลับไปมา..บางทีก็หยุดรินเหล้าดื่ม..ซึ่งผิดไปจากปรกติ เรารู้ดีว่า ทรงเป็นกังวลในเรื่องพระโอรส จนหลายปีต่อมาที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้คุยกับเราถึงความรู้สึกในการที่จะส่งพระโอรส (เจ้าชายวิลเลี่ยม) ไปโรงเรียน..เราก็ตอบไปว่า เราเข้าใจ และรู้สึกใจหายๆ อย่างเดียวกัน พระองค์รีบสวนกลับมาว่าง
            ใช่ซิ..เพราะเธอรักและเป็นห่วงวิลเลี่ยมไง..แต่ทีกับฉัน..ไม่เห็นมีใครมาเป็นห่วงเป็นใย...
            ในที่สุด ฉันเลยเล่าเรื่องท่านดยุคให้ฟัง เจ้าฟ้าชาย
            ชารลส์ถึงกับตกตะลึงอย่างไม่เชื่อพระกรรณ
            ว่าพระบิดาทรงกลัดกลุ้มพระทัยเพียงใดในการที่พระองค์ได้จากไปอยู่ในโรงเรียนประจำนั่น"

            *** เรื่องประวัติศาสตร์นี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงสร้างความตื่นตะลึงให้กับโรงเรียนอย่างเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ กล่าวคือ ไม่เคยทรงรู้มาก่อนว่า.
            ครั้งหนึ่งของบัลลังค์วินเซอร์ได้มี ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ที่ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด และได้สละราชสมบัติ จนมาเป็น ดยุค ออฟ วินด์เซอร์ ...

  

            ในปี 1956 นั่นเอง ที่การขัดแย้งหลายๆ ประการของการศึกษาของพระโอรส ที่ท่านดยุคต้องมาต่อสู้กับความเห็นนานาประการของเหล่ากรมวัง รวมทั้งกับสมเด็จฯที่แทบไม่มีเวลาได้คุยกัน
            เพราะเรื่องงานราชการทั้งหลาย เหล่าเสนาบดีเท่านั้นที่ร่วมในการประชุม ท่านดยุคพระสวามี ไม่มีส่วนร่วมใดๆ
            อีกทั้งความสัมพันธระหว่างท่านดยุคกับเหล่ากรมวังเสนาบดีนั้นเข้าขั้นไม้เบื่อไม้เมา..
            พวกเขาได้นิยามพระสวามีไว้ว่า..
            "นิสัยเยอรมันแท้ๆ ถ่อย ชั้นต่ำ ลามก สมกับเป็นพวกเลือดเนื้อเมาท์แบตเทนแท้ๆ เชียว"
            สาเหตุที่พวกเขาลงความเห็นเช่นนั้น เพราะ ท่านลุง ลอร์ด เมาท์แบตเตน ครั้งหนึ่งได้ถ่ายภาพคู่กับ แครี่ แกร้นท์ (Cary Grant ดาราฮอลลีวู๊ดชื่อดัง) พร้อมกับเหล่านางระบำในลาส เวกัส นางระบำพวกนั้นมีพัดขนนกฟู่ฟ่าปิดข้างบนและข้างล่างอยู่ ในการถ่ายด้านหน้า
            และภาพที่สองต่อไป คือ สองชายและนางระบำเหล่านั้น ต่างหันหลังให้กล้อง คราวนี้ไม่มีพัดขนนกปิด จึงเห็น บรรดาก้นกอยอันเปลือยเปล่าของพวกหล่อนออกมาโล่งโจ้ง..
            ท่านลอร์ดเห็นภาพนี้เป็นเรื่องสุดขำขัน โปรดปรานถึงขนาดนำไปติดในเรือยอช ตรงเส้นทางที่ใครต่อใครขึ้นไปก็ต้องพบ รวมทั้งสมเด็จพระราชินี
            ถึงมีคนเตือนก็ไม่ยอมปลดลง..
            พวกเสนาบดี เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องสุดที่จะต่ำช้า..ถือโอกาสด่าไปถึงเชื้อชาติเข้านั่น..

            เจ้าชายพระสวามีทรงเกิดความเหนื่อยหน่ายพระทัยอย่างถึงที่สุด พระองค์เริ่มใช้เวลาอยู่กับพระสหายมากขึ้น โดยเฉพาะ กับ นาย ริชาร์ด ทอดด์, นาย แจ๊ค เฮดลีย์ สองดารานักแสดงที่มีอพาร์ตเมนต์ใจกลางกรุงลอนดอน
            ที่ถือเป็นที่พาดาราสาวๆ มาร่วมเฮฮาปาร์ตี้บ่อยๆ
            เจ้าชายฟิลิปได้เข้ามาร่วมในกิจกรรมสนุกสนานนี้ด้วยบ่อยๆ ถึงกับทรงตั้งชื่อกลุ่มไว้ว่า..
            "The Three Cocketeers" เลียนแบบเลียนชื่อของสามอัศวิน The Three Musketeers
            (แต่..ช่างคิดนะคะ ชื่อ The Three Cocketeers นี้ จะแปลว่า สามหนุ่มคึกคะนอง สามพ่อไก่แจ้ หรือจะแปลว่า สามอัศวินไก่แจ้ ก็ยังได้ แล้วแต่อารมณ์ไหนจะพาไป...วิวันดา)

            นาย แจ๊ค เฮดลี่ย์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ในปี 1993 ว่า..
            "เรื่องในอพาร์ทเม้นต์น่ะเหรอ พูดม่ะต้ายยย...เป็นเรื่องลับเฉพาะ แหม...เรื่องตั้งสี่สิบกว่าปีมาแล้วมาถามทำไมกัน"

            นอกจากนั้น เจ้าชายฟิลิปยังทรงใช้ที่พักขององค์รักษ์ส่วนพระองค์ที่ถนน South Street ซึ่งที่นี่คือที่สำราญโดยแท้ มีการจัดปาร์ตี้ระดับไฮโซบ่อยๆ อริสโตเติ้ล โอนาซิส และนางบำเรอนักร้องโอเปร่าชื่อก้องโลก
            มาเรีย คัลลัส ก็เคยบินมาร่วมในงาน
            หรือ เจ้าชาย เบอร์นารด์ (Prince Bernhard) พระสวามีของพระนางจูเลียน่า แห่ง เนเธอแลนด์ ก็เคยเสด็จมาร่วมสังสรร
            นาย แลร์รี่ แอดเล่อร์ ได้เล่าให้ฟังถึงครั้งนั้นว่า..
            "ตอนที่เจ้าชายเบอร์นารด์เสด็จมาร่วมนั้น ทำให้พวกเราได้รู้สึกถึงความไม่สบายพระทัยในการเป็นพระสวามีอย่างมาก เพราะ ท่านดยุคได้สัพยอกทีเล่นทีจริงกับเจ้าชายเบอร์นารด์ว่า แหม ฉันละอิจฉาเธอจริง
            ไปไหนก็ได้ไม่มีใครรู้จัก จะมีแฟนกี่คนก็ได้อีกต่างหาก ไม่มีตำรวจหรือนักข่าวคอยมาสาระแน"
            ตอนที่เจ้าชายจะต้องเสด็จกลับ ก่อนที่สนามบินจะปิด ท่านดยุครีบลุกขึ้นทำท่าถวายความเคารพแบบล้อๆ และตรัสว่า...
            "ฝากไปถวายบังคมพระราชินี (จูเลียน่า) ด้วยนะ .."
            จากนั้นในฐานะเจ้าชายพระสวามีด้วยกันทั้งคู่ ก็มีการกล่าวแลกผรุสวาทกันสองสามคำก่อนการอำลา...


           

 

 

 

 

ในช่วงนั้น เจ้าชายพระสวามีทรงหันรีหันขวางไม่ถูก
            ไม่รู้ว่าจะต้องทำองค์อย่างไร
            สมเด็จพระราชินีก็ทรงงานยุ่งจนไม่มีเวลาให้
            พระโอรสก็อยู่ในโรงเรียนประจำ
            พระธิดาก็ยังเด็กเกินไป
            พระองค์จึงตัดสินพระทัยรับการเชื้อเชิญเสด็จเยี่ยมออสเตรเลีย ในพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิคที่เมลเบิร์น ซึ่งการเสด็จครั้งนี้จะเป็นเวลาระยะยาว เพราะจะมีการประพาสเรื่อยเปื่อยไปยัง
            The Gambia, the Seychelles, Malaya, New Guinea, New Zealand, Antarctica, the Falklands, Galapagos Islands, และฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาด้วย
            การเสด็จครั้งนี้จะกินเวลาถึงสี่เดือน และจะเสด็จโดยลำพังกับพระสหายสนิทและเป็นองครักษ์ประจำพระองค์ด้วย
            เขาคือ ไมเคิล ปาร์คเกอร์
            ทั้งคู่เคยเป็นทหารร่วมเรือลำเดียวกัน เป็นเพื่อนในทีม
            คลิกเก็ตเดียวกัน และที่สำคัญคือต่างรู้ใจซึ่งกันและกัน

            ไมเคิลเพิ่งจะหย่าขาดจากภรรยา ส่วนท่านดยุค ไม่ได้หย่า แต่อยากแยกตัวออกมาใช้เวลาตามลำพัง
            เลยพอเหมาะพอเจาะ ทั้งสองต่างวาดแผนการเดินทางครั้งนี้ ที่จะเป็นแบบการผจญภัยของสองชายหนุ่มที่ไปไหนไปกัน..หัวหกก้นขวิด
            สมเด็จพระราชินี เมื่อทรงทราบเรื่อง พระองค์ได้ตรัสว่า
            "ฟิลิปน่ะ เกิดมาในดวงชีพจรลงเท้าอย่างแท้จริง อยู่ไหนไม่ติดที่หรอก ห้ามไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป ตามใจเขา"

            ท่านดยุคจึงได้จัดการเตรียมการล่องเรือในครั้งนี้ โดยที่ทรงเรียกว่า ล่องเรือสัมพันธฉันท์ทูต... (Diplomatic Mission) โดยการที่พระองค์จะทรงบินไปเคนย่า ในวันที่ 15 ตุลาคม 1956
            เพื่อไปขึ้นเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่จะไปจอดรอรับพร้อมทั้งกับ ไมเคิล และพระสหาย นาย บารอน (เป็นช่างภาพประจำพระองค์) ตามกำหนดการเดิม
            แต่ก่อนที่จะเดินทางเพียงไม่กี่อาทิตย์ นายบารอน วัย สี่สิบเก้า ต้องการที่จะเข้ารับการรักษาโรคไขข้ออักเสบให้เรียบร้อย จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการผ่าตัด..
            หลังจากผ่าเสร็จได้สองวัน..เขาได้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลว..
            คู่หมั้นดาราของเขา แซลลี่ แอนน์ ฮาวส์ ผู้ซึ่งห้ามแล้วห้ามอีกในเรื่องของการที่จะเข้าผ่าตัดของเขาในครั้งนั้น ถึงกับโกรธเจ้าชายฟิลิปอย่างไม่มีวันให้อภัย..
            แลร์รี่ แอดเล่อร์ได้เล่าว่า..
            "บารอนเป็นคนดี ฉลาดเฉลียว ร่าเริง กล้าพูดกล้าทำ เป็นสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งในกลุ่มวันพฤหัสของเรา เขาเป็นคนจัดงานฉลองทิ้งความเป็นโสดให้กับเจ้าชายฟิลิป และเป็นช่างภาพประจำสำนักพระราชวัง
            รับผิดชอบในงานพระราชพิธีสำคัญๆ อย่างวันอภิเษก และ วันราชาภิเษก และนี่ถ้าไม่ติดตรงทมี่ว่าเขามีเชื้อสายยิวอยู่ในตัวละก้อ เขาอาจจีบเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไปแล้ว..
            ความดีของบารอนเนี่ยนะ สามารถขอรับการสถาปนาให้เป็นชั้นอัศวินได้เลย แต่ที่ไม่ได้..ก็เพราะว่า สมเด็จฯไม่ทรงโปรด... เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะมันชอบหาสาวๆ ให้กับเจ้าชายพระสวามีน่ะซิ"

            ซึ่งข้อความนี้ก็ไม่ค่อยตรงกับความจริงนัก หนุ่มรูปหล่อ พระชนมายุแค่ สามสิบห้าอย่างท่านดยุค ไม่จำเป็นต้องมีใครมาหาหญิงให้ ทรงหาเองได้ หากแต่..หาได้แล้วไม่รู้จะไปที่ไหนละก้อ ว่าไม่ถูก..
            ฉะนั้น เรื่องการเดินเรือไปในทะเลอย่างโดดเดี่ยวในการเสด็จประพาสครั้งนี้คือ คำตอบ..


            การเสด็จเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ในครั้งนั้นมีความลับดำมืดมากมายที่นักข่าวพยายามสาวไปให้ได้ ถึงเรื่องของโรงแรมชายท่าที่ซิดนีย์ ที่มีเจ้าของคือ เลดี้ แมรี่ เอลเลน บาร์ตัน...
            ข่าวที่ว่านี่คือที่พำนักของท่านดยุคและสาวๆ นางบำเรอที่มีเข้ามาเปลี่ยนโฉมบ่อยๆ ในนามของเหล่าเลขานุการิณีบ้าง พนักงานพิมพ์ดีดบ้าง..
            ทางสิงคโปร์...มีข่าวว่า มีพนักงานหญิงสั่งตรงเข้าห้องไปเลย...แต่ละคนไม่มีทีท่าว่าจะพิมพ์ดีดเป็น..

            ข่าวก็คือข่าว..โดยเฉพาะข่าวที่จะทำความเสื่อมเสียพระเกียรติของสมเด็จก็ได้แต่วนอยู่ในชายเขตของออสเตรเลีย สิงคโปร์ แค่นั้น หาได้ล่วงไปสู่เกาะอังกฤษไม่
            เมื่อจากอังกฤษมาไกลข้ามทวีป ท่านดยุคเริ่มมีพระอารมณ์รื่นขึ้น ถึงกับทรงคุยเรื่องของสถานภาพของพระองค์แบบขำๆ ได้ อย่างที่ออสเตรเลีย ที่ได้มีการพบปะกับ
            นายและ ด๊อกเตอร์ รอบินสัน
            ท่านดยุคถึงกับเลิกพระขนงด้วยความแปลกพระทัย..ว่าทำไมไม่เป็น มิสเตอร์และมิสซิส
            ฝ่ายชายได้ทูลตอบว่า...เพราะภรรยาคือ ด๊อคเตอร์ทางอาชญวิทยา ที่มีความสำคัญในหน้าที่การงานมากกว่า
            ท่านดยุค..ถึงกับร้องอ๋อ..พร้อมกับตอบว่า
            "งั้นเรา..ก้อ..หัวอกเดียวกัน"

            ในการเดินทางล่องเรือครั้งนี้ ท่านดยุคและไมเคิล ต่างก็แข่งขันกันว่า หนวดเคราใครจะยาวกว่ากัน ชีวิตเดินเรือของคนทั้งสองที่วันๆ หมดไปกับการยิงจรเข้บ้าง นอนผึ่งพุงอยู่ที่ดาดฟ้าเรือบ้าง
            กางผ้าใบวาดรูปพร้อมจิบยินโทนิคบ้าง
            พระองค์ได้ทรงใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้การเรือแท้ๆ ที่เต็มไปด้วยวินัย..
            ทหารลูกเรือทุกคนต้องทำงานอย่างมีระเบียบ ขนาดการจัดโต๊ะเสวยต้องใช้แถบเทปวัดระยะการวางจาน ช้อนส่อมให้เท่ากันเด๊ะ..อีกทั้งต้องสวมรองเท้าแตะผ้านุ่มในยามเดินจะได้ไม่มีการส่งเสียงดัง..

            ข่าวมาถึงหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ลงโจมตีเรื่องการใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลืองของท่านดยุคครั้งนี้อย่างไม่มีความเกรงพระทัยสมเด็จฯ ว่า
            "ผลาญไปกว่าสองล้านปอนด์ กับการเดินทางที่มิได้ก่อประโยชน์ใดๆ ไหนจะต้องนำรถโรลลส์-รอยซ์ไปรับยามที่ขึ้นท่าอีก ใครจ่ายกันล่ะ?"
            แต่ยังไง ยังไง หนังสือพิมพ์ก็จิกไปได้แค่เรื่องงบประมาณเท่านั้น ไม่มีฉบับไหนกล้าแอะถึงเรื่องข่าวลือของบรรดาเหล่าสาวๆ ที่วนเวียนขึ้นลงเรือเป็นว่าเล่นนั่น...
            และท่านดยุคเองก็ค่อนข้างระมัดระวังในเรื่องนี้อย่างที่สุด ไมเคิลได้เล่าว่า
            "ท่านได้ตรัสกับผมในวันแรกของการเข้าทำงานว่า..งานของพระองค์ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ หรือในอนาคตข้างหน้า มีอยู่อย่างเดียว นั่นคือการป้องกันพระเกียรติยศของสมเด็จพระราชินียิ่งกว่าชีวิต"

            แต่กระนั้น..ในการเดินทางระยะยาวครั้งนี้ของท่านดยุค ก็ทำให้พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ร่วมในงานครบรอบแปดชันษาของเจ้าฟ้าชายพระโอรส..งานครอบรอบอภิเษกครบเก้าปีของพระองค์เอง
            และงานวันคริสต์มาสรอบปีที่สิบของครอบครัว..

            การเดินทางครั้งนี้ได้สัมฤทธิผลในด้านการเจริญสัมพันธไมตรี ผู้คนในประเทศราชต่างๆ รู้จักเจ้าชายฟิลิปมากขึ้น

            แต่ในทางกลับกัน..พระองค์มิได้รู้สึกถึงข่าวคราวของสงครามที่กำลังคุกรุ่นขึ้นจางๆ ตอนนั้นได้เสด็จไปถึงซีลอน (ตอนนี้คือ ศรีลังกา) จึงได้ทราบว่า
            ตอนที่เรือบริแทนเนียจะออกจากท่าเรืออังกฤษนั้น ได้มีการยื้อยักไว้ถึงเก้าวัน..เนื่องจาก เผื่อสถานะการณ์ฉุกเฉิน
            เพราะเมื่อเดือน กรกฏาคม เรื่องการขู่ปิดคลอง
            สุเอซของอียิปต์กำลังฮึ่มๆ อยู่
            เนื่องจากสหรัฐได้ล้มเลิกสัญญาที่จะให้กู้เงินสร้างเขื่อนอัสวาน (Aswan Dam)
            ประธานาธิบดีอียิปต์ นาย คามาล อับเดล นัสเซอร์ ได้ออกอาการกร้าวว่า..
            "งั้นก็ปิดมันซะเลย..ไมสนหรอกกะอีเงินดอลล่าร์เนี่ย..คลองสุเอซได้สร้างรายได้ให้กับประเทศปีละกว่าร้อยล้าน สร้างเองก็ได้ (วะ) แล้วคอยดูไปนะ ว่า ชาวอียิปต์จะบริหารอย่างไร.."

            การขู่ปิดคลองสุเอซนั้น เท่ากับว่า การเดินเรือของชาวตะวันตกต้องพบกับความหายนะลูกเดียว..เรือเดินสมุทรขนน้ำมันต้องผ่านทางลัดทางนี้วันละสองล้านกว่าบาร์เรล..
            โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศสที่จะเสียหายมากที่สุด...ทั้งสองประเทศจึงเข้าร่วมภาคีกับอิสราเอลในการที่จะเปิดศึกกับอียิปต์..

            ในวันที่ 2 ตุลาคม 1956 รถถังพร้อมอาวุธของอิสราเอลได้เคลื่อนทัพข้ามซิไน บุกเข้าโจมตีอียิปต์อย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม..
            สงครามได้เปิดฉากขึ้น พร้อมทั้งการสั่งให้อียิปต์ถอยกำลังออกจากปากคลอง..
            อียิปต์..บอกว่า ตายเป็นตาย..ถึงไหนถึงกัน..

            วันที่ 31 ตุลาคม ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส ต่างระดมส่งระเบิดไปกำนัลก่อน
            ห้าวันต่อมา พลร่มห้าหมื่นกว่านาย..โรยตัวลงสู่ ปากทางของคลองสุเอซ ที่ Port Said
            เรือพระที่นั่งบริแทนเนีย ที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการศึกสงครามด้วย กว่าวคือ สามารถใช้เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำได้อย่างทันที อุปกรณ์พร้อม..ถูกเรียกมาทางวิทยุให้ติดต่อกลับไปที่พระราชวัง..
            ทำให้ท่านดยุคได้ทราบข่าวว่า..ตอนนี้ทั่วโลกกำลังต่อต้านอังกฤษ ฝรั่งเศสในการหักพร้าด้วยเข่าครั้งนี้..
            แม้แต่..ยูเอ็น ก็ไม่เห็นด้วยต่อสงครามย่อยๆ ครั้งนี้ ถึงกับสั่งให้มีการหยุดยิงโดยด่วน..

            อเมริกาซึ่งเคยเป็นมหามิตรของอังกฤษมาแต่ไหนแต่ไร..ถึงกับเดือดดาลต่อการกระทำที่ลุแก่อำนาจครั้งนี้ และประกาศว่า ขอประนาม...ต่อด้วยว่า ถ้ายังไม่หยุด เราก็จะขาดไมตรีจากกัน
            นี่คือไม้ตาย..ที่ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส อิสราเอล..หันมาเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้..หยุดการรุกรานทันที..เพราะขืนไม่หยุด รัสเซียที่กำลังฮึ่มๆ จะเล่นงานอยู่..เป็นได้ฤกษ์ลงมือแน่ๆ ..


            เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างขาดการไตร่ตรองครั้งนี้ เป็นเพราะความอ่อนหัดของนายกรัฐมนตรีทักษิ..เอ๊ย..ไม่ช่าย..
            นายกฯ แอนโทนี่ อีเดนของอังกฤษ ที่อดีตคือรัฐมนตรีต่างประเทศในรัฐบาลของท่านเชอร์ชิลล์
            ก็ทำงานดีอยู่
            แต่เมื่อมาเป็นนายกเข้า..ทำงานที่มีจนล้นมือ มีเวลานอนเพียงแค่วันละสองสามชั่วโมง นอกนั้นต้องใช้ยากระตุ้นเอมเฟตามีน..จนทำให้สมองเบลอคิดอ่านอะไรผิดๆ พลาดๆ
            ในยามที่ตัดสินใจจะทำสงคราม นายอีเดนได้ส่งข้อราชการเรียกหน่วยทหารกองหนุนเข้าประจำการไปถวายให้สมเด็จฯทรงลงพระปรมาภิไธย
            ซึ่ง ก็ทรงเซ็นไปขณะที่กำลังทอดพระเนตรการแข่งม้า..

            พระองค์เองก็ยังใหม่ต่อการเป็นพระราชินี อีกทั้งยังทรงพระเยาว์ จึงขาดประสบการณ์ในเรื่องการต่อรอง..จึงไม่สามารถอ่านได้ว่า
            สองสามอาทิตย์ต่อมา หลังจากที่กองทัพอังกฤษต้องถอยออกจาก
            คลองสุเอซนั้น..ได้สร้างความร้าวฉานในความสัมพันธกับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง และเป็นการเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านั้นหันเข้าหาไมตรีที่รัสเซียได้กำลังหยิบยื่นให้..
            แถมยังสร้างความไม่พอใจให้กับมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาอย่างยิ่งยวด
            (ขนาดอเมริกายังไม่กล้าแอะสักคำกับการปิดคลอง แต่..อังกฤษดันเปิดฉากทำสงคราม..)
            นับว่า มีแต่เสียกับเสีย..

            นายอีเดน รู้ตัวดีว่าได้สร้างความเสียหายไว้กับประเทศมากมาย..ถึงกับล้มป่วยต้องบินไปรักษาตัวที่จาไมก้า..ในเดือนธันวาคม
            เขากลับมาสู่อังกฤษในสามอาทิตย์ต่อมา พบว่าประเทศกำลังโกลาหลเนื่องจากการขาดแคลนน้ำมัน..
            เขาไม่มีทางเลือกใดๆ นอกจากต้องลาออกจากตำแหน่งไป
            ผู้ที่ถูกเลือกเข้ามาแทน..นั่นคือ นาย ฮาโรล แมคมิลแลน (Harold Macmillan)

            มาถึงตอนนี้..หนังสือพิมพ์ต่างโจมตีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายนะครั้งนี้อย่างไม่เลี้ยง..ขนาดเจ้าชายฟิลิปที่ทรงอยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ยังโดนหางเลขไปว่า..
            "มัวแต่ไปทำอะไรอยู่ ในขณะที่บ้านเมืองลุกเป็นไฟ"
            สมเด็จฯได้ทรงว่า..
            "โชคดีนะที่ฟิลิปไม่อยู่...ไม่งั้นละก้อ ตัวใครตัวมัน.."

            หลังจากการจากไปถึงสี่เดือนของพระสวามี
            เรือบริแทนเนียจะเข้าเทียบท่าที่ท่าลิสบอน เพื่อรอรับเสด็จสมเด็จฯพระราชินีที่จะเสด็จไปด้วยในการเยี่ยมเยือนประเทศโปรตุเกส
            แต่ก่อนที่จะไปท่าลิสบอน..
            ท่านดยุคต้องส่งไมเคิลขึ้นที่ยิบรอลต้าพร้อมกับเซย์ กู๊ดบายก่อน..เพื่อไม่ให้ไมเคิลได้มีการพบกับสมเด็จฯ
            เนื่องจาก เขาเป็นคนที่มีการหย่าร้างที่ค่อนข่างอื้อฉาว
            ไอลีน ภรรยาของเขานั้นได้ฟ้องร้องกล่าวหาว่า ไมเคิลนอกใจ มีหญิงอื่น..
            (ซึ่งทำให้เขาต้องขอลาออกจากการเป็นราชองครักษ์ในที่สุด )
            เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความไม่พอพระทับกับท่านดยุคเป็นอย่างมาก เพราะทำให้พระองค์ต้องเสียพระสหายที่วางพระทัยได้ไป อีกทั้งช่างเป็นความไม่ยุติธรรมอย่างที่สุด เพราะทีกับนายอีเดนอดีตนายกนั่น..หย่ามาแล้วถึงสองครั้ง..ทำไมจึงมีข้อยกเว้น..พบกับสมเด็จได้ทุกวัน..

            แต่นี่คือคำสั่งจากกรมวัง..ที่แถลงรายงานมาว่า ต้องไม่มี
            ไมเคิลต่อหน้าพระพักต์
            แต่กระนั้น ท่านดยุคยังสู่อุตส่าห์เสด็จไปส่งพระสหายรักจนถึงเครื่องบินที่สนามบินยิบรอลต้า และตรัสว่า
            "ยังไง เราก็ยังเป็นเพื่อนกันนะ"
            ที่ลิสบอน..เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินีต้องบินวนกว่าครึ่งชั่วโมง ยังจอดลงไม่ได้ เพราะพระสวามียังไม่เสด็จมา..แต่คณะข้าราชบริพารทั้งหมดกว่ายี่สิบห้าคน
            ที่มีท่านปลัดกระทรวงต่างประเทศ เชลวิน ลอยด์ และฝ่ายพวกผู้ชายได้ติดหนวดเคราปลอมๆ กันอย่างสนุกสนาน ตามพระบัญชาของสมเด็จฯ ที่ตั้งพระทัยจะให้เป็นการล้อเลียนพระสวามี
            จากภาพถ่ายที่ส่งมาให้ทอดพระเนตรครั้งล่าสุด ที่ทรงไว้หนวดเครายุ่มย่าม...
            นางพระกำนัลต่างเห็นขัน..หัวเราะกันคิกคัก..

            ขณะที่พวกเขากำลังหัวเราะกันอย่างที่ว่า...อีกด้านหนึ่งของยุโรปคือ เยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส ต่างประโคมข่าวกันอึงคนึงว่า..ชีวิตการอภิเษกเห็นท่าจะล่มกันคราวนี้..
            ในเนื้อข่าวได้ลงถึงขนาดว่า เจ้าชายพระสวามีทรงสั่งซื้อที่บรรทมใหม่ เป็นแบบเตียงเดี่ยว..
            และข่าวอื่นๆ ที่ไม่เป็นสิริมงคลก็ตามมาโดยหนังสือพิมพ์ของอเมริกาที่คิดจะเขียนอะไรก็ได้ตามใจชอบ
            ข่าวนี้เล่นเอาพวกเสนาบดีในวังวิ่งกันปั่นป่วน..เพราะสมเด็จทรงกริ้วที่ทรงทราบว่า ชีวิตส่วนพระองค์นั้นได้กลายเป็นอาหารอันโอชะข้ามทวีป..
            พวกนักข่าวอังกฤษได้มองอย่างสะใจ เพราะ หมั่นใส้มานาน..พวกเขาว่า
            "ดี..จะได้รู้สึกเสียบ้างว่า ต้องหยิบหัวมันร้อนๆ เนี่ย..มีความรู้สึกอย่างไร"

         

            วันต่อมา..สมเด็จจึงต้องทรงออกโรงเอง..โดยการออกข่าวว่า ทรงเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก และเป็นไปไม่ได้ ..

            แต่การเสด็จลิสบอนเพื่อที่จะพบกับพระสวามีนั้น เล่นเอานักข่าวแห่แหนไปรุมล้อมอย่างมากมายในประวัติการณ์ ท่านดยุคที่น่าสงสารได้ถูกขยันนำไปเปรียบเทียบกับเจ้าชายอัลเบิร์ต พระสวามีของพระนางวิคตอเรีย
            ที่ว่า เจ้าชายอัลเบิร์ต (เยอรมันเหมือนกัน) ยังได้รับเกียรติให้ว่าราชการร่วมกับพระราชินี..ทั้งยังได้รับสิทธิในการอ่านข้อราชการในทุกเรื่อง..
            ช่างแตกต่างกันนักกับเจ้าชายพระสวามีองค์นี้ ที่ไม่มีบทบาทอะไรเลย
            แรกๆ ท่านดยุคพยายามทำให้เป็นเรื่องขำขัน โดยการแสร้งตรัสว่า..ก็..ฉันมันไม่มีตัวตนน่ะซิ..

            ในยามที่ท่านดยุคได้มารับเสด็จที่สนามบินลิสบอน และต้องมาเจอกับนักข่าวมากหน้าหลายตานั้น พระองค์เกิดอาการกริ้วขึ้นมาทันที ทรงตรัสว่า
            "ไอ้พวกปั้นน้ำเป็นตัว..ชอบสร้างข่าวความเสียหายเพียงแค่อยากหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองเท่านั้น..เกลียดน้ำหน้านัก"
            ว่าแล้ว..พระองค์ก็ทรงรีบสาวพระบาทข้ามขั้นบันไดขึ้นไปรับเสด็จบนเครื่องบินพระที่นั่ง..ทีละหลายๆ ขั้น เนื่องจากการมาที่ล่าช้า..
            ฉลองพระองค์ในวันนั้นคือ ทรงสูทผูกไท พระพักต์เกรียมแดด แต่คางขาวสะอาดเพราะเพิ่งโกนหนวดเคราทิ้งไป..

            ชั่วโมงหนึ่งต่อมา..สมเด็จจึงเสด็จลงมาจากเครื่องบิน โดยมีพระสวามีเสด็จดำเนินตามหลังสองสามก้าว ด้วยพระพักต์ที่มีรอยเปื้อนลิปติค

            ทั้งสองพระองค์ได้ใช้เวลาประทับอยู่ด้วยกันในเรือพระที่นั่งบริแทนเนีย มีการเสด็จลงเรือเล็กเลียบคลองซาโด ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่ของสมเด็จที่ไม่เคยมาก่อน เพราะนอกจากเรือเดินสมุทรพระที่นั่งแล้ว
            ไม่เคยเสด็จลงเรือลำใด ทรงเกรงการเมาเรือ..
            แต่ในคราวนี้ ทรงโอนอ่อน ตามพระทัยพระสวามี

            หลังจากสี่วันที่ประทับและเสด็จเยือนปอร์ตุเกสด้วยกันนั้น..เมื่อกลับถึงอังกฤษ สมเด็จได้ทรงมีประกาศและพระดำรัส ต่อประชาชนว่า..
            พระองค์ได้ทรงทำการยกสถานะฐานันดร และมอบตำแหน่งเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักร และ ไอร์แลนด์เหนือ ให้กับ ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค**** และมีสิทธิทุกอย่างในการช่วยว่าราชการบริหารบ้านเมือง
            (ยกเว้นการประชุมกับรัฐบาล และกล่องแดง) สามารถเป็นผู้แทนพระองค์ในงานพระราชพิธีต่างๆ ได้รวมทั้งได้รับการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมีเฉกเช่นเดียวกับพระองค์ มิใช่ฉบับย่ออย่างแต่ก่อน..

            (**** ตำแหน่งเจ้าชายที่เรียกมาในตอนก่อนๆ นั้น ความจริงแล้ว..พระองค์ยังไม่ได้เป็นเจ้าชาย ถึงแม้จะเป็น
            เจ้าชายกรีกก็ตาม แต่ได้สละคืนฐานันดรไปตั้งแต่ก่อนทรงหมั้น เพื่อที่จะเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นอังกฤษ
            ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมา จึงเป็นแค่ เรือตรี ฟิลิป เมาท์แบตเตน มาเป็น ดยุค แห่ง เอดินเบอร์ค ตามตำแหน่งของพระสวามี แต่ยังไม่ใช่เจ้าชาย..มาได้เป็นจริงๆ ก็ตอนที่สมเด็จพระราชินีทรงประทานให้ในคราวนี้ คือ ปี 1957 นี่)


            เจ้าชายฟิลิปได้ทรงออกแถลงรายงานแก้เกี้ยวว่า ตลอดเวลาสี่เดือนที่ทรงรอนแรมออกทะเลจากครอบครัวไปยังประเทศต่างๆ นั้น เพื่อเป็นการสร้างสัมพันธไมตรีกับประเทศราชต่างๆ จนได้รับผลสำเร็จเป็นที่น่าชื่นชม
            เพราะ พระองค์ได้มีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญๆ กว่าหนึ่งพันสี่ร้อยคนจากอาณาประเทศ
            และโซ่สัมพันธอันแน่นหนานั้น จะทำให้แสนยานุภาพของอังกฤษกว้างไกลไปอีกนานเท่านาน

            แต่..อย่าลืมว่า ถึงแม้แสนยานุภาพที่ว่านี่จะกว้างไกลแค่ไหน..รอยด่างในสัมพันธภาพกับประเทศในตะวันออกกลางยังไม่มีวันลบเลือน
            รัฐบาลจึงต้องรีบหาทางประสานโดยด่วน โดยการต้องขอร้องให้พระองค์เสด็จเยือนโปรตุเกส ฝรั่งเศส เดนมาร์ค แคนาดา ในปีนั้น..
            และท่านนายกฯ ได้ขอให้เสด็จเยือนมหามิตรอเมริกาต่อโดยด่วนเพื่อเป็นการสมานฉันท์ในรอยร้าว..
            นายฮาโรลด์ได้กล่าวว่า
            "การเสด็จของพระองค์นั้นจะได้ผลกว่าการส่งทูตไปนับร้อยพะยะค่ะ"

            สมเด็จฯทรงเหนื่อยอ่อนกับการเดินทางจนไม่อยากเสด็จไปไหนอีก แต่ต้องมาเปลี่ยนพระทัยเพราะการ์ตูนภาพล้อในหนังสือพิมพ์ของอเมริกา ที่มีภาพประธานาธิบดีไอเซ่นฮาวร์ กำลังนั่งกุมศรีษะอยู่ในทำเนียบ
            และมีตัวอักษรว่า.."Great Britain Is No Longer Great"

            เพียงทอดพระเนตรการ์ตูนนั้น พระองค์ได้ตัดสินพระทัยเสด็จเยือนอเมริกาพร้อมพระสวามีในหมายกำหนดการห้าวัน ทันที..

            สมเด็จและพระสวามีได้เสด็จถึงอเมริกาในวันโคลัมบัส พร้อมกับขบวนนักข่าวที่ติดตามทำข่าวกว่าสองพันคน พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รับการอนุญาตในการที่จะมีการสนทนาหรือสัมภาษณ์ทั้งสองพระองค์
            และทางราชสำนักได้ออกจดหมายเวียนไปให้ทราบทั่วกันถึงการแต่งกาย ว่า ฝ่ายหญิงต้องไม่มีการสวมชุดดำ ต้องสวมถุงมือ และควรรู้จักวิธีการถอนสายบัว
            ฝ่ายชาย ต้องผูกไท รู้จักการคารวะโดยการคำนับ..
            ข่าวที่จะลงได้..ต้องมาจากสำนักพระราชวังเท่านั้น

            เจ้าชายฟิลิปได้ถามกับนักข่าวว่า
            "เวลาที่ท่านประธานาธิบดีมีการประชุมนักข่าวนั้น ไปกันทีละกี่คน"
            คำตอบคือ "สามร้อยคงจะได้พะยะค่ะ"
            เจ้าชายถึงกับทรงพระสรวล..ตรัสว่า
            "ถ้าเราทำบ้างนะ อย่างมากคงไปกันแค่สองคน"
            (เพราะข่าวจากภายในวังนั้น ถูกควบคุมเสียจนเกินเหตุ จนนักข่าวอังกฤษต่างเอือมระอา ที่มีเขียนไปวันๆ ล้วนมาจากข่าวจากต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย และอเมริกา)

            นายวาร์เรน โรเจอรส์ นายกสมาคมนักข่าวอเมริกันได้รับหนังสือจากสถานทูตอังกฤษที่มีข้อห้ามมากมาย เกี่ยวกับการทำข่าวขององค์ประมุข จนเขาออกเห็นเป็นเรื่องขำ..
            ที่มิใช่ทางสำนักพระราชวังจะห้ามแต่กับพวกเขาเท่านั้น
            ยังมีหนังสือไปห้ามเจ้าชายฟิลิปด้วยว่า
            ห้ามถามท่านประธานาธิบดีในเรื่องการส่งยานอวกาศ เพราะตอนนั้น
            อเมริกากำลังเสียหน้าให้รัสเซียที่ส่งยานสปุทนิคอันเป็นสถานีอวกาศก่อนหน้าชาติไหนๆ ...

            จนเขารู้สึกสงสารในความเป็นพระสวามีของเจ้าชายเป็นกำลัง..และรู้สึก"ทึ่ง" ในความสามารถของการเป็นพระราชินีของสมเด็จที่ได้ทรงพระราชดำเนินลงมาจากสภากรุงวอชิงตันที่มีบันไดหินแกรนิตนับร้อยๆ ขั้น โดยมิได้ทรงทอดพระเนตรลงดูขั้นบันไดเลย
            ทรงเสด็จพระราชดำเนินลงมาอย่างสง่าราวกับนางพญาหงส์ อีกทั้งมีการโบกพระหัตถ์ให้กับประชาชนอีกด้วย
            จนเขาถึงกับเขียนไว้ว่า..
            "พระองค์คงเรียนการเดินลงบันไดมาจากโรงเรียนที่สอนคนให้เป็นพระราชินีกระมัง.."

            นายโรเจอรส์ได้เขียนไว้ต่อไป ตามประสาคนที่มีวิญญาณแห่งนักข่าว..ว่า..
            "สมเด็จพระราชินีได้ทรงตัดชุดชั้นในจากช่างเดียวกันกับดาราภาพยนตร์ จิน่า ลอลโลบริจิด้า ทั้งสองเหมือนกันตรงที่ว่า ขนาดไล่เลี่ยกัน ต่างกันตรงที่ว่า ของจิน่า ช่างต้องทำให้ออกมาดูใหญ่ที่สุด
            แต่ของสมเด็จฯ ช่างต้องตัดออกมาให้ดูเล็กที่สุด นี่คือความแตกต่างของดารากับเจ้า.."
            เรื่องข่าวนี้ เขาได้ถูกเล่นงานและการตำหนิจากจากสำนักพระราชวังอย่างมากมาย..
            ที่เขาไม่เข้าใจว่า..มันผิดตรงไหนในการนำเสนอ..

            (เพราะ ชาวอเมริกันไม่รู้ว่า..ว่า เรื่องนมๆ ต้มๆ ของเจ้านายนั้น..เขียนไม่ได้ ขนาดตอนที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ประสูติใหม่ๆ พระองค์ทรงให้พระกษิรธาราเอง หนังสือพิมพ์อังกฤษยังออกเป็นข่าวไม่ได้เลย...วิวันดา )

 
      

            ในปี 1959 สมเด็จได้ทรงครรภ์อีกครั้ง และประสูติกาลมีกำหนดแทบจะตรงกันกับวันประกาศหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับนายแอนโธนี่ อาร์มสตรอง โจนส์
            และในการประสูติกาลของพระหน่อองค์ที่สามที่ห่างจากเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ถึงสิบปีนั้น สมเด็จได้ทรงมีพระประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงพระนาม (สกุล) ของพระองค์ จาก
            วินด์เซอร์ มาเป็น เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศให้กับพระสวามี เจ้าชายฟิลิป
            ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำเรื่องนี้เข้าสู่สภาทันที..
            ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่างไม่เห็นด้วยอย่างแรง คัดค้านกันเต็มกำลัง..จนท่านนายกแมคมิแลนและพระสังฆราชต้องช่วยแย้งว่า
            "ก็ผู้หญิงคนอื่นๆ ในประเทศ..เวลาแต่งงานก็ต้องใช้นามสกุลของสามี แล้วองค์สมเด็จทรงอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง ผิดอะไรตรงไหน?"
            ผู้นำฝ่ายจารีตนิยมก็เถียงฉอดๆ ว่า
            "ผิดซิ..ผิดตรงไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์คที่คอยยุยงอยู่เบื้องหลังนี่แหละ ใครๆ ก็รู้ว่า ที่จริงแล้วทุกอย่างนี่คือความคิดของใคร?"
            (ไอ้เจ้าแบตเตนเบอร์ค ที่เขาว่า..คือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ท่านลุงผู้ที่มีความทะเยอทะยานจนเกินเหตุ)

            ท่านนายกจึงรีบนำการโต้แย้งในสภาไปกราบบังคมทูลให้สมเด็จทรงทราบทันที พระองค์ได้ตอบว่า..
            ความจริงพระสวามีเองก็ยังไม่ทราบข่าวนี้ด้วยซ้ำ พระองค์ทรงเป็นคนที่ริเริ่มขึ้นมาเอง
            เรื่องนี้จึงถูกนำกลับไปประชุมหารือกันอย่างหนักหน่วงอีกครั้ง โดยปรกติเอกสารทั้งหลายแหล่จะถูกปิดบันทึกโดยไม่มีการเปิดเผยออกสู่สาธารณะเป็นเวลาถึงสามสิบปี (จนถึง 1990)
            และ ในฐานะที่มีหัวข้อว่าด้วย"เรื่องส่วนพระองค์" เอกสารทั้งหมดจะได้รับการคุ้มครองให้เป็น
            ความลับต่อไปอีก ยี่สิบปี
            การประชุมกินเวลาเป็นเดือนๆ ในที่สุด ทุกคนก็ยอมคล้อยตามพระประสงค์
            สิบเอ็ดวันก่อนที่จะมีประสูติกาล วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 1960
            สมเด็จได้ทรงประกาศต่อประชาชนว่า
            "ต่อไปนี้ ในสายพระโอรสและพระธิดาของข้าพเจ้า จะใช้นามสกุลต่อท้ายว่า เมาท์แบตเตน-วินด์เซอร์"
            สิ้นเสียงพระราชดำรัส..ความเห็นของประชาชนก็แตกออกไปเป็นหลายกระแส คนเก่าๆ ที่ขมขื่นจากสงครามต่างพากันว่า
            "แค่สิบห้าปีเองที่เราได้ฟาดฟันเอาเป็นเอาตายกับพวกเยอรมัน หนอย..ตอนนี้ มันกลายมาเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ของวินด์เซอร์ไปอย่างหน้าตาเฉย"


            ท่านลอร์ดบีเวอร์สต๊อค (เจ้าของหนังสือพิมพ์ เดลี่
            เอกซเปรส, ซันเดย์ เอกซเปรส, อีฟเวนนิ่ง สแตนดาร์ด) ฟันธงลงไปเลยว่า เป็นเพราะ
            ท่านลอร์ด เมาท์แบตเทนคนเดียว ที่เป็นผู้วางแผนการทั้งหมดนี่ เพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่แล้วว่า ท่านลอร์ดคนนี้อยากจะมีบทบาทต่อสถาบันกษัตริย์มากมายแค่ไหน
            เขาถึงกับเขียนข้อความต่อว่า (สมเด็จ) ไว้ว่า
            "สมเด็จพระราชินีมิได้ทรงทราบเลยมังว่า..
            พระนามวินด์เซอร์นี้..ถูกตั้งมาโดยพระอัยกาของพระองค์เอง แต่บัดนี้ได้ถูกทำลายไปเพียงเพื่อจะเอาพระทัยพระสวามีหรืออีกนัยหนึ่งคือท่านลุงลอร์ดของพระสวามี"

            และจริงๆ ก็เป็นอย่างที่คาดเดา นั่นคือ มันเป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองของเหล่าสมาชิกในตระกูลเมาท์แบตเทน ดังที่ท่านลอร์ดได้เขียนจดหมายไปถึงเพื่อนสนิทว่า
            "คราวนี้แหละ พวกลูกหลานพระราชินีแห่งเครือจักรภพ จะต้องมาใช้นามสกุลของเรา เมาท์แบตเทน-วินด์เซอร์"
            ว่าแล้ว..ท่านลอร์ดก็ได้วางแผนจัดงานแต่งงานให้กับธิดาคนเล็ก เลดี้ พาเมล่า กับนักออกแบบตกแต่งภายใน
            นายเดวิด ไนท์เทนเกล ฮิคส์ (ในเดือน ธันวาคม 1960) ท่านลอร์ดได้กำหนดงานขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในการที่จะเชิญพระราชวงค์ทั้งหมดในยุโรปให้มาร่วมเป็นสักขีพยาน
            เพราะ ท่านลอร์ดถือว่า ลูกสาวของท่านก็เปรียบว่า"เกือบจะ"เป็นพระราชวงค์คนหนึ่งทีเดียว...
            ในภายหลังต่อมา นาย เดวิด ลูกเขยของท่านลอร์ดแท้ๆ ได้มาเล่าว่า..
            "คุณพ่อท่านเป็นคนเก่ง มีความสามารถสารพัด หากแต่ท่านค่อนข้างสับสนในสถานะของตัวเอง ทั้งๆ ที่ว่ากันตามจริงแล้ว ท่านมีเลือดเจ้าแท้ๆ แต่ไม่ได้เป็นที่ยอมรับในวงการเจ้านายของอังกฤษ จะให้ท่านไปรวมกลุ่มกับพวกเศรษฐีหรือกับพวกผู้ลากมากดีก็ไม่ได้ ก็ต้องเห็นใจท่าน"

            ความจริงนายเดวิด คนนี้ จู่ๆ โผล่มาแต่งงานกับธิดาของท่านลอร์ด ก็ได้สร้างความฉงนฉงายให้กับบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว
            เพราะนายนี่คือคนธรรมดาสามัญแท้ๆ อาชีพนักออกแบบตกแต่งนี่ก็ยังเป็นอาชีพใหม่..ไม่มีใครคุ้นหู
            ขนาดท่านผู้หญิงเอดวินน่า ถึงกับถามว่า..ไอ้นักออกแบบนี่มันทำอะไรกัน?
            แน่นอน คนที่มีมรดกพกห่อ อีกทั้ง ปราสาท คฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยเครื่องเรือนโบราณชั้นดีที่มีอยู่อย่างมากมายอย่างท่านผู้หญิง ที่ไม่เคยต้องใช้ช่างมาช่วยตกแต่ง..ย่อมไม่รู้จักว่าอาชีพนี้คืออะไร..


            ท่านลอร์ดรู้สึกผิดหวังกับว่าที่ลูกเขยเล็กคนนี้ยิ่งนักที่ช่างต่างฐานันดรกับลูกเขยคนใหญ่ (สามี เลดี้ แพตตริเชีย) ที่เป็นถึงเอิร์ล
            เท่านั้นไม่พอ นายเดวิด..ยังมีประวัติของการเป็นคนรักร่วมเพศอีกด้วย แต่ตอนนั้น เลดี้ พาเมล่า อายุอานามก็ร่วมสามสิบเข้าไปแล้ว
            จะไปขัดขืนได้อย่างไร จึงต้องปล่อยเลยตามเลย
            ส่วนเลดี้ พาเมล่า นั้น ตลอดชีวิตมาไม่เคยมีใครขอแต่งงาน นอกจากนายนี่เป็นคนแรก ทั้งๆ ที่ เขาเองไม่เคยปกปิดความ"ชอบชาย"ของเขาเลยแม้แต่นิด
            อีกทั้งไม่ว่าเขาจะไปไหนมาไหน มักหนีบชายคนรักให้อยู่เคียงข้างเสมอ
            หากแต่..เลดี้ พาเมล่า เธอว่า..เธอยอมรับได้..

            สัมพันธภาพของทั้งสองได้เกิดขึ้น ในขณะที่ นายเดวิดได้ไปปรับทุกข์กับเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า ตัวเองกำลังลำบากในเรื่องการเงิน และอยู่ในข่ายที่กำลังจะล้มละลาย
            เพื่อนคนนั้นได้แนะนำว่า หาผู้หญิงรวยๆ แต่งงานซะคนซิ..รับรองว่าปัญหานี้หมดไปอย่างแน่นอน
            แต่ตอนนั้น นายเดวิดไม่รู้จักกับผู้หญิงรวยๆ และโสดสดคนไหน เพื่อนจึงพาไปแนะนำให้รู้จักกับ เลดี้ พาเมล่า ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง
            จากนั้นเขาก็ได้สานต่อถึงเส้นทางสู่สูตรสำเร็จ เขากลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทฟังว่า
            "พอเธอเดินเข้ามานะ เราเห็นอสังหาริมทรัพย์กว่าห้าล้านปอนด์ลอยเด่นขึ้นมาเลย..แม้ว่าเธอจะสวมรองเท้าเปิดหัวแบบเชยๆ สีขาว หรือ กระเป๋าถือนั่นก็ล้าสมัยเต็มที
            เราก็ต้องทำใจมองข้ามๆ ตรงนั้นไป แต่แน่นอนคือเราพาเธอออกไปเต้นรำเพลงแล้วเพลงเล่า ก่อนลาจาก เราได้กระซิบถามข้างหูเธอว่า
            วางแผนไว้บ้างไหมขอรับ ว่าอยากจะมีลูกสักกี่คน?"
            คำถามนั้น ช่างโดนใจสาว (แก่) อย่างเลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..
            กว่าจะรู้ตัว เธอก็หลงเสน่ห์ชายคนนี้เข้าไปเต็มรัก ถึงกับกลับมาเล่าให้ท่านผู้หญิงเอดวินน่า ผู้เป็นมารดาฟังอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง..

            เพื่อนสนิทคนนั้น คือ นางสาว รอบินส์ ที่ได้นำเรื่องราวมาเขียนเป็นหนังสือโดยการยินยอมของเดวิด ก่อนที่หนังสือจะออก ท่านลอร์ดได้ขอพบเธอเพื่อการเจรจาขอซื้อเทปบันทึกเสียงสัมภาษณ์เหล่าบรรดาคู่ขาเกย์ของเดวิด
            หากแต่การเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ เพราะ
            เธอไม่ยอม
            ต่อมาท่านลอร์ดจึงส่งทนายความเจรจาและเป้าหมายคือการที่จะฟ้องร้องขออำนาจศาล ซึ่งคราวนี้ เธอตกลง..โดยการมอบเทปเหล่านั้นให้ไปเผาทิ้ง
            แต่นาย เดวิด ได้รอจนกระทั่ง ท่านลอร์ดได้ล่วงลับไป จึงได้ไปติดต่อหาคนเขียนหนังสือชีวประวัติให้ใหม่ คราวนี้คือ จูน ลูคัส ที่นายเดวิดได้กล่าวไว้ในปี 1995 ว่า
            "จูนได้อำนาจสิทธิขาดจากผม จะเอาไปเขียนยังไงก็ได้ ผมไม่แคร์.."

            ส่วนเลดี้ พาเมล่า ยามที่มีคนถามในภายหลังถึงเรื่องการมีสามีที่ผิดแผกแหวกแนวอย่างนั้น คิดได้ไง?
            เธอได้ตอบว่า..ไม่เห็นจะยากเลย ลองพวกคุณมามีพ่อแม่แบบของฉันซิ..อะไรที่แหวกแนวขนาดไหนมา..รับได้ทั้งนั้น และอีกอย่างหนึ่งนะ เดวิดเป็นพ่อที่ดี และเขาก็ดีกับฉันมาก ดูแลบ้านช่อง คอยจัดเก็บเสื้อผ้าของฉันให้เข้าที่ จะไปหาอย่างนั้นที่ไหนได้อีกล่ะ"

            งานแต่งงานได้จัดอย่างอลังการ เหล่าเชื้อพระวงค์ได้มากันครบหมด ยกเว้นสมเด็จฯ เพราะเนื่องจากใกล้ประสูติกาล
            แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะว่า ท่านลอร์ดได้เตรียมงานในวันที่เชื่อแน่ว่า ทุกคนไม่ติดภาระกิจอะไร
            ทั้งๆ ที่เป็นฤดูที่มีอากาศเย็นจนหิมะแทบจะตก
            เพื่อเป็นการประกาศศักดิ์ศรีของเมาท์แบตเทนให้เกริกไกร โดยการรวมญาติทั้งสองฝั่ง อังกฤษ-เยอรมัน ให้มาอยู่ในที่เดียวกัน
            ต่อให้หนาวแค่ไหน..ท่านลอร์ดก็ไม่แคร์

            ในสมัยนั้น ต่อให้เจ้าบ่าวเป็นตุ๋ย หรือเป็นตุ๊ด
            แต่ถ้าสามารถผลิตทายาทสืบสกุล ได้ละก้อ ไม่มีใครใส่ใจเอาเรื่องนัก
            ซึ่งจำนวนของชายอย่างนายเดวิดในวงการผู้ดีอังกฤษแล้ว นับว่ามีไม่น้อยจนเป็นเรื่องธรรมดา
            เพราะคนพวกนี้มีหน้าที่ที่ต้องถือปฏิบัติคือ
            การที่ต้องมีทายาท รับช่วงมรดกพกห่อ รวมทั้งการถ่ายทอดตำแหน่งฐานันดรต่อไป
            ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ เหล่าโฮโมผู้ดีนั้นมีมากมาย และต่างก็สามารถแต่งงาน มีลูกหลานเหลนโหลนได้เป็นแถวๆ
            ส่วนเรื่องจะไปนอนกับใครนั้น มันเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว..

            ที่เล่าฉลุยมาถึงเรื่องนี้ เพราะว่า กำลังจะเล่าต่อถึงเรื่องการหมั้นของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่มีสคริปต์ที่คล้ายคลึงกับ
            เลดี้ พาเมล่าเสียเหลือเกิน..

            กล่าวคือ..หลังจากที่ควีนมัมได้ทรงประกาศถึงข่าวหมั้นของพระธิดาองค์เล็ก ที่มีพระชนมายุได้ถึง 29 ชันษาแล้ว
            ชาวประชาที่อยู่วงนอกต่างโล่งใจกันไปตามๆ กัน เพราะตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานั้น เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ได้ทรงปาร์ตี้เสียเหลือเกิน
            และการที่จะทรงอภิเษกกับบุคคลธรรมดานั้น จะทำให้เหมือนกับว่ากำแพงแห่งศักดินาได้ถูกลดลง ความแตกต่างระหว่างชนชั้นเริ่มค่อยเลือนหายไป
            แต่สำหรับคนวงในแล้ว..ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด เพราะนายแอนโธนี่ มิใช่ช่างภาพที่มีเชื้อสายโบฮีเมียน
            อย่างธรรมดา
            หากแต่ยังมีแม่เป็นชาวยิว..และทั้งพ่อทั้งแม่ต่างหย่าร้างกันวุ่นวาย
            ใครต่อใครมองไม่เห็นว่า เจ้าฟ้าหญิงที่อยู่ในการ
            สืบสันตติวงค์อันดับสี่..จะตกไปเป็นภริยาของคนอย่างนายนั่นได้อย่างไร..??

            นายรอนัล อาร์มสตรอง-โจนส์ บิดาของว่าที่พระคู่หมั้น ถึงกับตกใจที่ได้รับข่าวนี้ เขาว่า
            "ผมไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเลย..รับรองว่าอยู่ด้วยกันยาก เพราะโทนี่เป็นคนหัวรั้น ใครมาจูงจมูกไม่ได้ง่ายๆ แล้วเรื่องที่จะต้องมาเดินตามหลังเมียสองสามก้าวในทุกที่เนี่ยะ ลืมไปได้เลย"
            หนังสือพิมพ์ไทม์ได้จำกัดความไว้ว่า
            "นี่คือครั้งแรกสำหรับคนอยู่ใกล้กับพระราชบัลลังค์ที่สุดจะอภิเษกกับสามัญชนชั้นธรรมดาที่สุดอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน"
            และหนังสือพิมพ์อื่นๆ ได้ต่างกระทุ้งว่า..น่าจะเลือกเฟ้นกันซะหน่อย เพียงแค่สองสามปีนี้เองที่กฏพระราชวังได้เริ่มหย่อนยาน ทั้งๆ ที่ในอดีตที่ผ่านมา
            เรื่องแบบนี้ไม่มีทางได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน..

            ใครต่อใครต่างพากันลืมว่า ควีนมัมเอง ทรงเป็นสามัญชนคนแรกที่ได้ก้าวเข้ามาเป็นศรีสะใภ้ในพระราชวงค์
            พระองค์ได้พยายามยื่นพระหัตถ์เข้ามาช่วยเหลือ
            เห็นอกเห็นใจนายแอนโธนี่ด้วยว่าเคยมีหัวอกเดียวกัน พระองค์ถึงกับจะเสนอตำแหน่งขุนนางให้
            หากแต่..นายแอนโธนี่ได้ปฏิเสธอย่างไม่ใยดี
            แต่มารับในปีต่อมา ยามที่เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงครรภ์ เพราะเพื่อที่ลูกๆ จะได้รับฐานันดร..
            เขาได้ถูกตั้งให้เป็น เอิร์ล สโนว์ดอน และ ไวส์เค้านท์
            ลินเลย์ ออฟ นิมมันส์

           

 

 

หลายๆ คนที่ใกล้ชิดต่างเข้าใจดีว่า การอภิเษกคราวนี้ คือการประชดชีวิตของพระองค์ที่ผิดหวังจากความรักที่มีต่อกัปตัน ทาวน์เซนด์
            เพราะในวันที่ทรงตัดสินพระทัยรับการเสนอขอจากนาย
            แอนโธนี่ คือวันเดียวกันกับที่พระองค์ทรงได้รับจดหมายจากกัปตันในวันที่ 9 ตุลาคม 1959 ว่า
            เขากำลังจะแต่งงานใหม่กับสาวน้อยวัยยี่สิบชาวเบลเยี่ยม ทายาทเจ้าของกิจการยาสูบ ที่เขาพบและรู้จักที่
            กรุงบรัสเซล ในตอนที่ถูกย้ายไปเป็นผู้ช่วยทูตทหารครั้งนั้น
            พระองค์ทรงทราบข่าว พร้อมทั้งยักพระอังสะอย่างไม่แคร์ ทรงตรัสว่า
            "ยัยนั่นอาจจะรวย แต่ก็ไม่ใช่เจ้า.."
            หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระองค์ก็ทรงตัดสินพระทัยอภิเษก
            ทรงได้เล่าประทานสัมภาษณ์ในหลายปีต่อมาว่า..
            "จริง ที่ฉันได้รับจดหมายจากปีเตอร์ในเช้าวันนั้น และจริง..ที่ตกเย็นมาฉันก็ตัดสินใจแต่งงาน ฉันก็ยังไม่อยากแต่งหรอกนะ..
            เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่านายนี่เขามาขอแต่งงานน่ะซิ ตอนนั้นเขาก็จัดว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง มักเป็นกำลังใจให้เสมอ และเป็นเพราะเขาที่ทำให้ฉันได้รู้จักกับโลกภายนอกกับเขาบ้าง..ความจริงเขาก็ขอมาหลายเดือนก่อนหน้านั้นแล้ว..แต่ที่ยังไม่ได้ตัดสินใจเพราะว่า ไม่มีใครเชื่อว่า โทนี่เขาจะรู้จักชอบผู้หญิงจริงๆ น่ะซิ"

            คำจำกัดความในการเป็นตัวตนของแอนโธนี่ ชายผู้กำลังจะโชคดีวัยสามสิบสอง ตามสำนวนของนักข่าว คือ
            "เจ้าบทบาท" และ "ศิลปินเอก"
            เขาคนนี้คือ บุตรชายคนเดียวของทนายความ นายรอนัล อาร์สตรอง-โจนส์ ที่หลังจากเลิกราไปกับภรรยา
            เขาก็ไปแต่งงานใหม่กับดาราสาว ที่ภายหลังก็เลิกร้างไปจากกันอีก จนในที่สุดเขาได้อยู่กินกับแฟนสาวที่เป็นแอร์โฮสเตรสส อายุอานามก็อ่อนกว่ากันถึงสามสิบปี
            แต่พอทันทีที่ลูกชายประกาศหมั้นกับเจ้าฟ้าหญิง
            นายรอนัลก็รีบจัดการแต่งงานกับแฟนสาวทันที
            เพื่อไม่ให้มีการลักหลั่นในเรื่องของสถาบันครอบครัว

            ส่วนมารดาของเขานั้น หลังจากที่หย่าขาดไปจากบิดา (นายรอนัล) เธอได้ไปสมรสใหม่กับขุนนางชาวไอริช ที่มีศักดิ์เป็นถึงท่านเคานท์ แห่ง รอสเซ่ ซึ่งทำให้เธอคือ เคาน์เตส ซึ่งศักดินาตรงนี้ของเธอได้เข้ามาช่วยบุตรชายให้ดูดี เป็นเชื้อสายขุนน้ำขุนนางกะเขาขึ้นมาหน่อย

            การศึกษาของนายแอนโธนี่ มิใช่ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ เขาคือศิษย์เก่าของอีตันคนหนึ่ง และมีความตั้งใจที่จะเป็นสถาปนิก โดยการเข้าเศึกษาต่อที่เคมบริดจ์ ที่ถูกรีไทร์ออกมาหลังจากการสอบตกในปีแรก..
            เมื่ออายุได้สิบหก เขาป่วยเพราะมีอาการของการติดเชื้อโปลิโอ หลังจากที่ต้องนอนโรงพยาบาลนานหลายเดือน เขาสู้อตส่าห์ทำกายภาพบำบัดให้กับตัวเองอย่างชาญฉลาด
            โดยการทำเครื่องออกกำลังกายกล้ามเนื้อขาที่คล้ายกับการเดินบนสกี จนกระทั่งสามารถเดินได้ แม้จะไม่ดีนักแต่ก็ไม่เป็นที่สังเกต

            การเข้ามาในรั้วในวังของเขา ก็คือการที่ได้มีโอกาสเข้ามาถ่ายภาพให้กับท่านดยุค ออฟ เค้นท์ จากนั้นก็ถ่ายภาพให้กับเหล่าบรรดาลูกหลานข้าราชบริพาร
            ต่อมาสมเด็จได้ทรงให้เขามาถ่ายภาพให้กับ เจ้าฟ้าชาย
            ชารลส์ และ เจ้าฟ้าหญิงแอนน์
            ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ซึ่งทั้งสองมีนิสัยที่เข้ากันได้ด้วยดี ในเรื่องของความเฉลียวฉลาด ไหวพริบดี
            อีกทั้งคารมที่คมคายไม่แพ้กัน สูบบุหรี่จัดเท่าๆ กัน
            ที่สำคัญทั้งคู่โปรดปรานการดูหนังโป๊เป็นชีวิตจิตใจ..

            ส่วนประวัติของฝ่ายชาย ตั้งแต่เล็กๆ นั้นชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าของเด็กหญิง เมื่อครั้งที่มีมารดาเลี้ยงเป็นดารา เขาเคยแต่งกายในชุดสาวใช้
            และเดินไปเสริฟอาหารมื้อค่ำให้กับพ่อและปู่
            ขนาดสองปีก่อนการหมั้น..เขาเคยไปปรากฏตัวในงานกระเทยโดยแต่งกายเป็นหญิง
            เท่านั้นไม่พอ..ขนาดในยามที่เขากำลังเดทกับเจ้าฟ้าหญิง เขาได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับเหล่ามหาดเล็กโดยปรากฏตัวเป็นหญิง
            ส่วนเจ้าฟ้าหญิงกลับเห็นเป็นเรื่องขำ ทรงสรวลออกมาก๊ากใหญ่ ที่ได้เห็นช่วงขาของเขาที่โผล่ออกมาจากกระโปรง
            พรีทสีแดงเข้ม (ของพระองค์)

            มหาดเล็กคนนั้นคือ นาย เดวิด จอห์น เพย์น หรือที่ถูกเรียกว่า จอห์น ที่ได้นำมาเขียนในหนังสือและถูกควีนมัมฟ้องร้องให้ระงับการจำหน่าย
            ซึ่งนายเดวิดไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ขายในอังกฤษไม่ได้ ก็นำมาพิมพ์ขายในฝรั่งเศส (France Dimanche)

            เขาได้ลาออกจากการเป็นมหาดเล็กก่อนพิธีอภิเษกเพียงไม่กี่วัน ข้อความตอนหนึ่ง เขาเล่าว่า
            ...ขณะที่ผมได้ถวายงานช่วยคัดเลือกแผ่นเสียงอยู่ที่พระตำหนักของเจ้าฟ้าหญิงนั้น ผมได้ลุกขึ้นก่อน ส่วนเจ้าฟ้าหญิงยังทรงประทับอยู่ที่พื้นที่มีโซฟาบังพระองค์อยู่
            โทนี่ได้เดินเข้ามา เห็นผมเข้า จึงเรียกเชื้อเชิญด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า
            "จอห์น..แหม..กำลังตามหาอยู่ทีเดียว มานั่งคุยกันก่อนซิ
            ที่รัก"
            หัวใจผมแทบหยุดเต้น เพราะโทนี่ไม่สังเกตเห็นว่าเจ้านายท่านนั่งอยู่บนพื้นข้างหลัง และทันใดนั้น เราก็ได้ยินเสียง
            ที่ทรงลุกขึ้นมากราดเกรี้ยวว่า..
            "หนอย..จอห์น มานั่งซิที่รัก หมายความว่าไงยะ เธอกำลังเรียกใครหา..???"
            โทนี่เริ่มอึกอัก และรีบเปลี่ยนท่าทีแทบไม่ทัน..เขาแก้ตัวว่า
            "โถ..มาดามคะ..กระผมไม่ทราบเลยว่าทรงอยู่ที่นั่น กระผมกำลังตามหาจอห์นพอดีเลยค่ะ"
            "แล้วไอ้ ที่รัก น่ะ มันหมายความว่าไงล่ะ?"
            "เป็นคำเรียกกันเองแบบธรรมดาของพวกนักแสดงละครน่ะค่ะ .."
            เจ้าฟ้าหญิงไม่ทรงเชื่อนัก แต่หันมาทางผมและทรงตรัสว่า..
            "ไปไหนก็ไปเถอะ.."
            ผมกลับออกมาจากห้องด้วยเหงื่อที่ชุ่มโชกไปด้วยความตกใจต่อเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น

          

     
        

            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร๊ตทรงนึกสนุกอะไรก็ไม่ทราบกับการมีคู่รักที่มีอาการแปลกๆ เท่านั้นไม่พอ พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นมาแต่งองค์เป็นชาย
            คือใส่สูท ผูกไท หรือไม่ก็ชุดแท๊กซิโด โพสต์ท่าถ่ายรูปกันอย่างเอิกเกริก
            ส่วนฝ่ายชายก็แต่งกายเป็นเด็กบ้าง สาวบ้าง แล้วแต่อารมณ์จะพาไป
            สถานะทางสังคมของเขาตามที่มีมารดาเป็นเคาน์เตสส์ ทำให้พอจะอิงได้ว่ามีอันดับขึ้นทำเนียบกับเขาบ้างตามสายตาของคนภายนอก
            หากแต่ชาวไฮโซจริงๆ แล้ว กลับมองเขาเป็นเหมือนกับใส้เดือนกิ้งกือ

            สองสามอาทิตย์ก่อนการอภิเษก นายโทนี่ได้ส่งชื่อของเพื่อน คือ Jeremy Fry ที่จะมาเพื่อนเจ้าบ่าวให้กับกรมวังฝ่ายพิธีการ
            ทันทีที่ชื่อนี้ได้ปรากฏขึ้นมา เล่นเอาฝูงเสนาบดีแตกฮือ เพราะว่า เพื่อนที่เขาเลือกมานั้น เป็นคนที่แต่งงานแล้ว
            แต่เคยมีประวัติฉาวโฉ่ในเรื่องของการเป็นตุ๊ดไปเที่ยวตุ๋ยชาวบ้านเมื่อแปดปีที่แล้ว
            เป็นอันว่า..ทางรายนายคนนี้ เป็นอันว่า ไม่ผ่าน..
            เขาจึงต้องไปคัดสรรมาใหม่ คราวนี้ได้มาคือ นาย Thorpe แต่สก๊อตแลนด์ยาร์ดรีบส่งรายงานเบรคกันตัวโก่ง..โดยสาวประวัติมาว่า
            นาย Thorpe นั้น คืออดีตชาวสีม่วงเช่นเดียวกัน
            ในที่สุด เจ้าชายฟิลิปต้องทรงยื่นพระหัตถ์เข้ามา โดยจัดการหาเพื่อนเจ้าบ่าวที่มีศักดิ์ศรีมาช่วยประดับบารมีให้ เขาคือ
            Dr. Roger Gilliatt ผู้ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล เขาคือ บุตรชายของแพทย์ประจำพระองค์ฯ
            ซึ่งคุณหมอกิลเลียตเองก็ไม่ได้รู้จักมักจี่อะไรกับเจ้าบ่าวเลย เคยพบกันเพียงสองสามครั้งเท่านั้น

            บัตรเชิญในงานอภิเษกครั้งนี้ได้จั่วหัวที่อ่านแล้วค่อนข้างสับสนว่า..
            ท่านอภิเสนาบดีในพระราชชนนี (ควีนมัม) ได้รับสนองพระบัญชาจากพระองค์ ในการขอเรียนเชิญ.....
            และบัตรเชิญนี้ได้ออกมาถึงสองพันใบ..แต่จะเชิญใคบ้างนั้น รายชื่อถูกปิดเป็นความลับ
            เนื่องจากทางพระราชวังเกรงว่าเหล่านักข่าวจะไปขุดคุ้ยประวัติของบรรดาแขกเหรื่อ ว่า มีใครที่ผ่านการหย่าร้างมาแล้วบ้าง..
            เพราะที่แน่ๆ คือ ทั้งบิดาและมารดาของเจ้าบ่าว ต่างถือว่ามีตำหนิทั้งคู่ ทางบิดานั่น ก็หย่ามาถึงสองครั้ง..

            ญาติที่ใกล้ชิดทางสายเลือดของเจ้าสาวที่ไม่ได้รับเชิญ
            ก็คือ ท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ และหม่อมภริยา..
            หม่อมวอลลิส..มองเห็นเป็นเรื่องขำขัน เธอได้บอกว่า..
            "อ้าว..งั้นฉันกับนายโจนส์ก็พอสูสีกันละซิ"
            (เพราะหย่ามาสองครั้งเหมือนกัน)

       

            ในพิธีอภิเษกที่ได้เล่าไว้แล้วว่าสุดเลิศหรูอลังการ์ตามสไตล์เจ้าหญิงแห่งเครือจักรภพ ที่ต้องมีทั้งมงกุฏเพชรและราชรถเทียมม้า..มลังมเลือง
            เจ้าฟ้าชายชารลส์องค์น้อยได้ทรงชุดเต็มยศของชาวสก๊อต น่ารักน่าเอ็นดู
            แต่ชาวสก๊อตยังค่อนขอดว่า ไม่เข้าท่า และยังไม่ใช่ชุดเต็มยศจริงๆ
            ต่อมาหลังจากพิธีอภิเษกแล้ว โทนี่หรือ ลอร์ดสโนว์ดอนได้ไปเยือนสก๊อตแลนด์ในชุดกางเกง ไม่ได้แต่งชุดกระโปรงสก๊อตตามแบบแผน เล่นเอาพวกผู้ดีชาวสก๊อตถึงกับเหล่กันจนตาคว่ำ ความขัดเคืองในเรื่องเก่าๆ ครั้งที่สมเด็จเสด็จไปรับมงกุฏยังไม่ทันหาย..

            หลังจากพิธีอภิษกสมรสได้ผ่านไป ทางสำนักพระราชวังได้เพิ่มเบี้ยหวัดให้กับเจ้าฟ้าหญิง จาก 18,000 ปอนด์ มาเป็น 45,000 ปอนด์
            สี่สิบสี่วันของการฮันนีมูนโดยเรือยอชพระที่นั่งบริแทนเนียนั้นได้เปลืองงบประมาณไปถึง วันละ 30,000 ปอนด์
            พระตำหนักห้องหอที่ประทับที่ต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ ก็ใช้ไปกว่า 180,000 ปอนด์
            ค่าใช้จ่ายในพิธีก็ปาเข้าไปอีก 78,000 ปอนด์
            สมเด็จพระราชินี..เริ่มอึดอัดพระทัย..แต่ควีนมัมได้รีบตัดบทว่า.
            "มา...จะช่วยจ่ายให้ อย่าขี้เหนียวนักเลย อยากให้ประชาชนเขาว่านักเหรอว่า งานอภิเษกอะไรกัน..อะไรกระจอกสิ้นดี"
            พระองค์ก็เลยต้องใช้วิธีนิ่ง เพราะว่าในยามนั้น..ดูเหมือนว่าจะไม่ทรงมีพรรคพวกเลย ใครต่อใครต่างพากันตื่นเต้นต่องานสำคัญครั้งนี้
            เพราะเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร๊ต พระขนิษฐาทรงมีพระสิริโฉมสมดังกับเจ้าหญิงในจินตนาการของชาวโลกจริงๆ
            และงานอภิเษกเล่าก็งดงามราวกับเนื้อเรื่องในเทพนิยาย..
            แต่ใครเล่าจะรู้ว่า..จุดเริ่มต้นของความยุ่งยากทั้งหลายในราชวงค์วินด์เซอร์กำลังจะเริ่มตั้งเค้าในกาลต่อมา...


            งานใหญ่ต่อมาคือการเยี่ยมเยือนของอาคันตุกะจากสหรัฐอเมริกา ท่านประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ และท่านผู้หญิง จ๊าคเกอลีน
            ซึ่งก่อนเดินทางมายังอังกฤษ ท่านผู้หญิงต้องเอามือกุมขมับในเรื่องระเบียบแบบแผนที่ตึงเปรี๊ยะของฝ่ายราชสำนัก
            เพราะแปลนในงานพระราชทานเลี้ยงรับรอง คืนวันที่ 5 มิถุนายน 1961นั้น รายชื่อของแขกในส่วนของเคนเนดี้ที่ส่งไป
            ปรากฏว่า น้องสาวแท้ๆ และน้องเขยของท่านผู้หญิงได้ถูกขีดฆ่าออกโดยฝ่ายพิธีการของสำนักพระราชวัง..
            สาเหตุคือ Lee Radziwill หรือที่พวกเราอาจเคยเห็นในหนังสือบางเล่มเรียกว่า เจ้าหญิง ลี เรดซิวิลล์ เพราะว่า สามีของเธอคือ เจ้าชาย สตานิสลาส เรดซิวิลล์
            เป็นเจ้าชายลี้ภัย (นาซี) จากโปแลนด์ มาและขอเปลี่ยนเป็นสัญชาติอังกฤษ
            ทั้งคู่ได้ผ่านการหย่าร้างกันมาอย่างช่ำชอง
            ของเธอหนึ่งครั้ง ของเขาสองครั้ง..

            แต่สาเหตุที่ปธน. เคนเนดี้และท่านผู้หญิงมาเยือนลอนดอนครั้งนี้ เพราะว่าจะต้องมาร่วมในพิธีล้างบาปของหลานสาว (ธิดาของลีและเจ้าชาย)
            โดยที่ท่านปธน.จะรับเป็นพ่อทูนหัว
            ทางสำนักพระราชวังเลยถือเป็นโอกาสทอง เชิญขึ้นร่วมโต๊ะเสวยเสียในคราวเดียวกัน เพราะ อเมริกาก็ถือว่าเป็นมหามิตรกับอังกฤษ
            แต่เรื่องการที่ไม่เชิญน้องสาวของท่านผู้หญิงนั้น..เป็นเรื่องสุดที่จะทน..
            เสียงโทรศัพท์ข้ามทวีปดังระงมระหว่างอังกฤษอเมริกา ฝ่ายโปรโตคอล วิ่งกันวุ่น..

            ทางท่านผู้หญิงเคยคิดว่า น้องสาว (มเหสีของเจ้าชาย) ของตัวเองนั้นเจ๋งสุด แถมยังมีการเสนอไปว่า ตัวเองอยากจะมีโอกาสเข้าเฝ้าเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต
            ส่วนท่านปธน. อยากจะเข้าเฝ้า เจ้าหญิงมารีน่า แห่ง เค้นท์ เพราะเคยเป็นศิษย์เก่าจากออกซ์ฟอร์ดด้วยกัน
            สมเด็จฯ..ทรงเมินในข้อเสนอเชิงเรียกร้องทั้งหมด
            แถม..ที่เจ๋งสุด คือ รายชื่อของน้องสาวและน้องเขย..ถูกสลัดออกไปอย่างไม่ใยดี


            ท่านผู้หญิงได้โทรไปยังสถานทูตอเมริกาในอังกฤษให้ดำเนินเรื่องนี้โดยด่วน..ซึ่งทางอังกฤษได้รายงานให้ทราบถึงระเบียบแบบเผนในเรื่องการหย่าร้าง
            ซึ่ง..จ๊าคเกอลีนได้พ่อว่า
            "แต่เขาคือน้องสาวแท้ๆ ของฉันนะ"
            ทางสำนักพระราชวังได้บอกต่อไปว่า..มีทางแก้ใขคือถ้าคนทั้งสองอยู่ในรายชื่อของคณะรัฐบาลที่เดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ก็อาจมีข้อยกเว้น
            ซึ่งเธอได้รีบโทรติดต่อไปยังท่านปธน.ถึงในทำเนียบทันที ..
            คำตอบจากสามีได้ตอบกลับมาว่า
            "งั้นก็อย่าไปยุ่งเลย งานเลี้ยงนี้สมเด็จพระราชินีเป็นเจ้าภาพ พระองค์ทรงเห็นสมควรจะเชิญใครก็เป็นเรื่องของท่าน "
            ในที่สุด จากที่ทางฝ่ายการทูตของสองประเทศต้องวิ่งติดต่อกันอย่างหูดับตับไหม้นั้น..สมเด็จฯก็ทรงอนุญาตให้ทั้งสองเข้ามาเป็นแขกได้
            อีกทั้งยังให้เกียรติลิสต์รายชื่อในกลุ่มของเจ้านายว่าเป็น "เจ้าหญิง" และ"เจ้าชาย" ด้วย..
            เล่นเอาสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น.. (แต่หารู้ไม่..)

            ที่ว่าสองคนนั่นดีใจจนเนื้อเต้น เพราะ ในฐานะเจ้าชายลี้ภัยจากประเทศเล็กๆ เมื่อมาอยู่ในอังกฤษ..ก็จะต้องทิ้งยศที่มีมาแต่ครั้งเก่าจนหมด
            จะเหลือคำนำหน้าว่า เป็น นาย เท่านั้น.. (ผู้ที่จะมีสิทธิใช้ความเป็นเจ้าได้ คือราชวงค์วินด์เซอร์ เท่านั้น)
            แต่..สตานิสลาส เรดซิวิลล์ ยังมักใช้คำนำหน้าตัวเองว่า เจ้าชายเสมอๆ จนเป็นที่ขวางพระกรรณ ขวางพระเนตร ออกบ่อยๆ
            ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องหย่าที่อ้างมานั้น ไม่ใช่สาเหตุใหญ่ในการที่ไม่ทรงเชิญแต่ทีแรก
            เมื่อได้เข้ามาร่วมโต๊ะเสวยเข้าจริงๆ สมเด็จทรงตรัสสนทนากับสามีภริยาคู่นี้ ด้วยคำนำหน้าที่ทรงเรียกคือ
            มิสเตอร์ และ มิสซิส ในทุกประโยค..
            ซึ่งทุกคนที่ได้ฟัง ถือว่า นี่คือการ"เฉือนคม"อย่างมีชั้นเชิงระดับยอดวิทยายุทธที่แท้จริง...


            ในการร่วมโต๊ะเสวยในคืนวันนั้น ท่านผู้หญิงทราบได้ทันที ว่า พระองค์ไม่ทรงโปรดในตัวเธอเท่าไหร่นัก ด้วยการดูออกจากท่าทางที่เย็นชา และ ห่างเหิน
            สาเหตุ..นั้นคือ ทรงหมั่นไส้ในความดังของจ๊าคเกอลีน ที่ไม่ว่าจะย่างก้าวไปทางไหนผู้คนช่างชื่นชมสรรเสริญ ว่า งามพร้อม แต่งตัวเหมาะเจาะ
            เก่งกล้าสารพัด พูดได้หลายภาษาอีกต่างหาก

            ขนาดก่อนมาถึงอังกฤษ มีการแวะที่ฝรั่งเศส ชาวปารีเชียงต่างพากันมารอรับแบบแน่นถนน นายกเทศมนตรีกรุงปารีสได้มอบนาฬิกาข้อมือเรือนหรูราคากว่าสี่พันเหรียญให้
            เป็นของขวัญ แถมหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวการเยือนของเธอครั้งนี้ว่า ยิ่งใหญ่พอกันกับการเสด็จเยือนของพระราชินี
            อลิซาเบธเมื่อสี่ปีก่อนทีเดียว
            ท่านประธานาธิบดีเองยังตกใจต่อกระแสความดังของภริยาในครั้งนี้ด้วยว่าไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน ถึงกับต้องกล่าวแก้ขวยว่า
            "ผม..ผม..คือ คนที่ติดสอยห้อยตามท่านผู้หญิงจ๊าคเกอลีน เคนเนดี้มาเที่ยวฝรั่งเศสขอรับ"

            เมื่อมาถึงยังลอนดอน ผู้คนก็ตากันตื่นกระแสคลั่งแจ๊คกี้ ถึงกับมาเฝ้ารอที่สองข้างถนนกันอย่างหนาตา ราวกับการรอรับเสด็จของพระราชินี
            หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวเรียกเธอว่า "พระราชินีจากสหรัฐอเมริกา"
            มีการ์ตูนวาดภาพล้อ เป็นรูปเทพีแห่งสันติภาพ ที่มีใบหน้าเป็นแจ๊คกี้ ในมือข้างหนึ่งชูคบเพลิง อีกข้างหนึ่งกอด
            นิตยสารโว๊คเอาไว้
            ไม่ว่าข่าวไหนๆ ก็พากันสรรเสริญจนเลิศลอย

            อันทั้งนี้ทั้งนั้น..ทุกอย่างที่เล่ามาคือการขัดต่อความเป็นพระราชินีอลิซาเบธในทุกๆ ด้าน..พระองค์ไม่ชอบการแสดงออกไม่ว่าด้วยเรื่องใดๆ
            ไม่โปรดหนังฮอลลีวู๊ด ไม่โปรดการคบค้ากับดารา หรือพวกไฮโซคนดัง
            ขนาดเมื่องานอภิเษกของเจ้าชายเรเนียร์แห่งโมนาโค กับดาราสาวสวย เกรซ เคลลี่ (เจ้าหญิงเกรซ แห่ง โมนาโค) ในปี 1956
            พระองค์ก็มิได้เสด็จไปร่วมในงาน ทรงตรัสว่า
            "ไม่อยากเจอพวกดารา"
            ยามที่ผู้อำนวยการสำนักบีบีซี ได้ถวายคำแนะนำว่าอยากได้ภาพที่ทรงเป็นอิริยาบทสบายๆ บ้าง ทรงตอบว่า
            "ฉันไม่ใช่ดารา"
            และด้วยเหตุผลเดียวกันที่ทรงเลิกการใช้เสื้อคลุมขนมิงค์ เพราะทรงตรัสว่า
            "เดี๋ยวจะไปเหมือนพวกดารา.."
            เรื่องนี้ไม่ใช่แต่พระองค์ที่ทรงเป็น แม้แต่เจ้าชายฟิลิปก็เหมือนกันยังกับแกะ..ในยามที่เสด็จไปเปิดงานมหกรรมภาพยนตร์ของอังกฤษ
            มีคนตะโกนไปว่า..
            "รับสั่งเล่าเรื่องอะไรสนุกๆ ให้ฟังหน่อยซิ"
            เจ้าชายทรงตรัสตอบไปทันควันว่า
            "อยากฟังเรื่องสนุกๆ ก็ไปจ้างตลก (ทอล์ค โชว์)มาดิ"

          
            ภาพ...สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธและดยุค
            ปธน.จอห์น เอฟ เคนเนดี้และจ๊าคเกอลีน เคนเนดี้

               
            
            

 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker