dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
วันที่ 03/07/2013   22:48:23

   เคยสัญญาไว้ว่าจะเล่าถึงเรื่องของผู้พันอันตรายให้ฟัง..ก็เล่าตรงนี้ซะเลย เดี๋ยวลืม..

 

    ออตโต สคอร์เซนี่ ( 1908-1975) เป็นพันเอก (ยศสุดท้าย) ในกองทัพหน่วยคอมมานโด SS ของนาซี และเขาคนนี้ถือว่า มีความสามารถระดับพระกาฬ (แม้แต่เจมส์ บอนด์ก็เทียบไม่ได้..ว่ากันอย่างนั้น)

เขาเกิดในออสเตรีย เป็นลูกหลานทหารมานานหลายชั่วคน ตัวเขาเองนั้นเป็นนักฟันดาบของโรงเรียนที่เวียนนา..นิสัยเฮี้ยวเข้าขั้น ถึงขนาดมีการท้าดวลระหว่างเพื่อนๆถึง 15 คนเรียงตัว และในรายที่สิบเขาก็ได้รับปลายดาบจากเพื่อนฝากแผลไว้บนแก้มซ้ายแบบเหวอะหวะ จนเป็นแผลเป็น อันเป็นสัญญลักษณ์ประจำตัว..เขาเข้าร่วมขบวนการนาซีตั้งแต่ปี 1931 และจากนั้นก็เข้ารับราชการในหน่วย SS องครักษ์พิทักษ์ฮิตเล่อร์

และ ผลงานที่เข้าตากรรมการในครั้งแรกนั้นก็คือ การเข้าปกป้องประธานาธิบดี วิลเฮล์ม มิคลาส จากการถูกลอบทำร้าย

  Wilhelm Miklas

    จากนั้น เขาขอสมัครเข้าร่วมในกองทัพอากาศลุฟท์วัฟฟ์ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะ อายุเกินพิกัด (ตอนนั้นเขาอายุ 30 ปี) จึงต้องกลับไปอยู่ที่หน่วย SS ตามเดิมและ ในปี 1941-1942 เขาได้อยู่ในหน่วยที่นับว่าโหดสุดๆ นั่นคือ หน่วยที่ต้องต่อสู้กับหน่วยคอมมิวนิสต์ในแนวหน้าตะวันออก จนบาดเจ็บต้องกลับมารักษาตัวที่เยอรมัน ในปลายปี 1942

 

    ซึ่งฮิตเล่อร์แสนชื่นชมในความกล้าหาญของออตโต ถึงขนาดมอบเหรียญกางเขนเหล็กอันถือว่าเป็นวีรบุรุษแห่งสมรภูมิ พอออกมาจากโรงพยาบาล เขาก็ได้รับตำแหน่งใหม่ นั่นคือ หัวหน้าหน่วยคอมมานโดชุดปฏิบัติงานพิเศษ ที่ฮิตเล่อร์ได้ตั้งขึ้นมาใหม่ ในเดือน กรกฏาคม 1943 อันจะถือว่าเป็นการตั้งแบบฉุกเฉินก็เป็นได้ เพราะ หน้าที่ที่เขาได้รับมอบหมาย นั่นก็คือ ไปช่วงชิงเอาตัวมุสโสลินีออกจากคุก..ที่การคุ้มครอง คุ้มกันอย่างแน่นหหนา   หลังจากที่ตามดมกลิ่นถึงสองเดือน เพราะรัฐบาลอิตาเลี่ยน ได้โยกย้ายนักโทษไปที่โน่นที่นี่..จนได้เบาะแสแน่นอน ว่า มุสโสลินี ได้ถูกนำตัวมาคุมไว้ที่โรงแรม Gran Sasso  บนจุดแทบจะสูงสุดของเทือกเขา อะเพนไนนส์ ออตโต ได้วางแผนแบบเรียบง่าย คือ ใช้เครื่องร่อนและหน่วยอากาศโยธินบินเข้าไปปฏิบัติการ แบบชนิดรวดเร็วปายสายฟ้าแลบ....เสียกระสุนไปไม่กี่นัดเอง..เขาก็นำตัวมุสโสลินี ขึ้นเครื่องบินเล็กบินออกมาหน้าตาเฉย..

 

    จากผลงานในครั้งนี้ ออตโต สคอร์เซนี่ ได้มีชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั่วโลก..และได้เลื่อนยศขึ้นเป็นพันตรี  ความกล้าบ้าบิ่นของเขานั้น นับว่าไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ในเดือนตุลาคม 1944 ฮิตเล่อร์ส่งเขาไปฮังการี เพราะข่าวมีมาว่า ท่านประธานาธิบดี Horthy กำลังจะเอาใจออกห่างนาซี

Miklos Horthy 

   

โดยการจะยอมเป็นมิตรกับรัสเซีย นั่นก็มหมายความว่าทหารเยอรมันจำนวนหลายแสนในดินแดนบอลข่านต้องกลายเป็นนักโทษสงครามไปทันที เท่ากับว่าเป็นการตัดกำลังของเยอรมันแบบฮวบฮาบ..ออตโตถูกส่งไปแก้ใขสถานะการณ์ และ เขาได้เดินฉลุยเข้าไปลักพาตัว นิโคลาส ลูกชายของประธานาธิบดี และ..ข้อเสนอ นั่นก็คือ ให้ลาออกจากตำแหน่ง..ไม่งั้น ก็เชือดตัวประกัน   แน่นอน..ว่า ทุกอย่างสำเร็จลงอย่างง่ายดาย

 

จากนั้น ก็ตั้งรัฐบาลที่โปร-นาซีขึ้นมาครองเมือง. (จนเมื่อกองทัพทหารแดงของรัสเซียบุกเข้ามานั่นแหละ..ถึงจะตัวใครตัวมัน..X

 

    สองเดือนต่อมา..ออตโตได้นำกองทัพรถถังเข้าตะลุยกับทหารอเมริกันใน Battle of  Bulge ในแผนปฏิบัติการ Greif และ มีการเตี้ยมกันในการปล่อยข่าวว่า..ออตโต สคอร์เซนี่ได้นำกำลังทัพจะบุก เข้าปารีส เพื่อที่จะสังหารท่านนายพลไอเซ่นฮาวร์ ถึงแม้ว่าจะเป็นข่าวลือ แต่ก็เล่นเอาท่านนายพลคนดังไม่ยอมออกมาจากศูนย์บัญชาการเป็นเวลาหลายอาทิตย์ เชียว

ต้นปี 1945 ออตโตได้นำกำลังทหารเข้าป้องกันเขตชายแดนเยอรมันที่ Pomerania อย่างแข็งขันในฐานะ พันเอกที่มีเหรียญกางเขนเหล็กที่มีใบโอ๊คประดับ ซึ่งถือว่าเป็นขั้นสูงสุด แต่ในที่สุด ออตโต ก็ต้องยอมจำนนแก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เขากลายเป็นนักโทษสงครามอยู่สองปี และ ได้สามารถแหกคุกหนีได้ ในวันที่ 27  กรกฏาคม 1948  (เก่งมั๊ยล่ะ?)

 

    เขาได้หลบหนีไปอยู่ที่สเปน โดยได้รับความช่วยเหลือจาก นายพลฟรังโกคนดัง แถมยังได้งานทำในฐานะวิศวกรในปี 1952 เขาก็ได้รับการนิรโทษกรรมจากรัฐบาลเยอรมันในทุกๆข้อหา และเป็นอิสระที่จะเดินทางไปไหนๆก็ได้ ต่อมา เขาก็ได้ทำงานเป็นที่ปรึกษาทางด้านวิศวกรรม(?)ให้แก่ ประธานาธิบดี กาเมล อับเดล แห่งอียิปต์และ ท่านผู้นำ ฮวน เปรอง แห่งอาเจนตินา

ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ว่า เขาคือคนหนึ่งที่ได้รับมรดกจาก นางเอวิตา เปรอง จำนวนหลายล้านเหรียญยูเอส ในฐานะเพื่อนรัก..

 

    ออตโต สคอร์เซนี่ ได้เสียชีวิตในคฤหาสน์ในกรุงมาดริดตามอายุขัย อย่างสงบ บนเตียงอันอ่อนนุ่มของเขาเอง..ในปี 1975 !!

   และจากข่าวกรองของ ซีไอเอ..ว่า..ออตโต คนนี้ ได้มีส่วนช่วยเหลือกลุ่มนาซีให้หลบหนีรอดจากฝ่ายสพม.จำนวนมากมาย..จนได้รับสมญาว่า..

    "The Most Dangerous Man in Europe"

 

    จะว่าไปแล้ว..อัจฉริยะของสิบโทฮิตเล่อร์นั้น..ก็นับว่า ไม่ใช่ย่อย เพราะจากการที่เอาชนะเบลเยี่ยมไล่มายึดครองฝรั่งเศสแบบสายฟ้าแล่บนั้น..เล่น เอาอังกฤษแทบหืดขึ้นคอไปเหมือนกันทุกอย่างนั้น ไม่ได้เกิดมาจากข้อมูลทางวิชาการกลศึกใดๆทั้งสิ้น มันมาจาก การเสี่ยงดวงล้วนๆ.. แต่เสี่ยงไปเสี่ยงมา ฮิตเล่อร์มาพลาดตรงอ่านเกมส์เรื่องสงครามรัสเซียไปอย่างสนิท..เพราะความที่ เขาเกลียดคอมมิวนิสต์อย่างเข้ากระดูกดำ เขาจึงคิดว่า ใครต่อใครก็คงคิดเช่นเดียวกัน  รวมทั้งประชาชนชาวรัสเซีย ที่คงจะดีใจโห่ร้องต้อนรับกองทัพเยอรมันที่เข้ามาปลดแอก..เขาฝันเฟื่องไปถึง ขนาดว่า เยอรมันแทบไม่ต้องกระดิกนิ้วสู้รบให้เมื่อย ประชาชนจะเข้าปฏิวัติล้มล้างสตาลินให้เอง..

  Heinz Guderian

    มิใยที่ ท่านแม่ทัพกองพลรถถัง คูเดอเรียน ผู้ซึ่งมีความสามารถและความรู้มากมายเกี่ยวกับเขี้ยวเล็บของรัสเซีย..ถึงกับ เขียนตำราขายอย่างเอิกเกริก ฮิตเล่อร์ก็ยังไม่สนใจฟัง เพราะ เขาไม่เชื่อ หรืออีกนัยหนึ่ง นั่นคือ เขาไม่เคยไว้ใจเหล่านายพลจากโรงเรียนนายร้อยพวกนี้ทั้งหลาย..เขาเลือกที่จะเชื่อคนของเขามากกว่า...

ขอยกตัวอย่าง..เช่น Bruno Gesche SS หัวหน้าฝ่ายรักษาความปลอดภัยคนใกล้ตัวของเขา..ที่ขี้เมาหยำเป เมาไม่เมาเปล่า เที่ยวชักปืนขู่ใครต่อใครเขาไปทั่ว

    ในปี 1938 นายคนนี้ได้สัญญากับฮิมม์เล่อร์ว่าจะไม่แตะต้องสุราเป็นเวลาสามปี..พอปี 1942 ก็เอาอีกแล้ว..ทีนี้ยกปืนขึ้นชี้หน้าเพื่อนในกลุ่ม SS ด้วยกัน

 

    ฮิมม์เล่อร์เลยต้องเรียกมาทำทัณฑ์บนอีกสามปี..และส่งไปประจำการอยู่ที่แนวหน้าฝั่งรัสเซีย จนได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ ฮิตเล่อร์ก็เรียกกลับมาประจำหน้าที่เดิมอีก   ในเดือน ธันวาคม 1944 ก็เมาอีกแล้ว..ฮิตเล่อร์ก็ไม่ได้ว่าอะไร แถมยังเลี้ยงดูอยู่เหมือนเดิม  เพราะเหตุผลเดียวคิอ ก็มันร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาตั้งแต่ 1922 จะทิ้งกันได้อย่างไร??

   อย่างเกอริงก็เช่นกัน..ต่อให้เลวเกว ขี้เกียจ สร้างความเสียหายสักเท่าใด สัญญาจะทำโน่นทำนี่แล้วก็ล้มเหลวไปเสียหมด  ฮิตเล่อร์ก็คงยังเลี้ยงดู อุ้มชูอยู่ไม่ห่างกาย จนเกือบเข้าสู่บั้นปลายของชีวิตนั่นแหละ จึงจะแตกคอกันในที่สุด..อย่าง ฟอน ริบเบนทรอป ผุ้ที่มาจอยกับนาซีเกือบหลังสุด(1932) นั้น ฮิตเล่อร์ตั้งให้เขาเป็นรัฐมนตรีฝ่ายต่างประเทศ ทั้งๆที่นายคนนี้ไม่มีวิชาความรู้ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใดๆ  เรียนหนังสือก็แค่ชั้นมัธยม( ส่วนใหญ่กลุ่ม SS มักเป็นคนที่ด้อยการศีกษา) ริบเบนทรอปพกมาแต่ความยะโส หัวสูงและโอหัง..นามสกุลที่ได้รับ von มาเพิ่มข้างหน้าเพื่อเป็นการขยับ    ฐานะตระกูลนั้น เขาได้มาจากการไปว่าจ้างป้าห่างๆที่มีที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ ให้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม(ทั้งๆที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่) เพื่อที่จะนำไปใช้ในการขอ von นำหน้าสกุล..

 

    แต่จะว่าไปแล้ว..ความจงรักภักดีของริบเบนทรอปนั้นมีต่อฮิตเล่อร์มากมายอย่างชนิดที่เขาดูคนไม่ผิด เพราะ ในวินาทีสุดท้ายก่อนเชือกที่แขวนคอจะถูกกระตุกที่นูเรมเบอร์ค   ริบเบนทรอปได้ตะโกนว่า " Heil Hitler!" เป็นคำสุดท้ายก่อนที่จะหมดลมหายใจ

  Joachim Von Ribbentrop

        

ขอเล่าขยายนิดหนึ่งถึงเรื่องการศึกษาของคนที่รายล้อม ใกล้ชิดฮิตเล่อร์ ซึ่งมีแตกออกมาได้ดังนี้คือ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลนาซี ห้าสิบคน มีเพียงสิบคนจบมาจากมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่ที่เหลือนั้นไม่ได้จบชั้นมัธยมบริบูรณ์ด้วยซ้ำไป..และเคยมีคนโพสต์ในกระทู้แรกๆมาว่า ชอบนาซีเพราะไม่มีเรื่องของคอร์รัปชั่น

 เคยพูดเปรยๆไว้ว่า รออ่านไปเรื่อยๆละกัน จะเล่าให้ฟังทีหลัง..อ้ะ.. ถึงเวลาแล้วจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังลึกๆให้ฟัง..อย่างนายพลของเยอรมันที่ ถูกฮิตเล่อร์ไล่ออกแล้วก็วิ่งไปง้อให้กลับมาทำงานช่วยทำศึกอีกนั้น..มีค่าจ้างค่าออนกับแบบอู้ฟู่ นายพลแต่ละคนล้วนแต่ได้รับเงินก้อนไม่ต่ำกว่า 250,000 มาร์ค (เทียบได้ประมาณ ครึ่งล้านปอนด์ หรือ กว่าล้านเหรียญยูเอส ในยามนี้)

ขอยกตัวอย่าง..เช่น นายพล คูเดอเรียน ได้รับคฤหาสน์ขนาดใหญ่เท่าวังที่โปแลนด์ตะวันออก ที่ไปยึดมาจาก ท่านมหาเสรษฐีผู้ดีเก่า อดีตนายทหารผ่านศึกครั้งสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชื่อว่า Glebokie และท่านผู้นี้ได้ทำศึกร่วมด้วยกับเยอรมันภายในใต้บังคับของบัญชาของท่านแม่ทัพ ฮินเดนเบอร์ค ซะด้วยซ้ำ  แต่ มาในยุคของฮิตเล่อร์ ที่เข้าครอบครอง โปแลนด์ แต่ กลับไปยึดเอาบ้านเขามาแจกลูกน้อง..และส่งเจ้าของบ้านไปทรมานในค่ายนรกกักกัน อย่างหน้าตาเฉย

นายพล คูเดอเรียน ก็รับเอามาเป็นสมบัติส่วนตัวอย่างไม่มีความละอายใจ..

 

ดู อย่างเกอริง..ที่สร้างบ้านใหญ่โตราวกับราชวังในทุกๆที่ของเยอรมัน อย่างที่คฤหาสน์ Carinhall ที่มีเพียบพร้อมทุกอย่าง..แม้กระทั่งรถไฟเล็กที่สามารถวิ่งได้รอบ       Carinhall

 

    ฮิตเล่อร์..นับว่าเป็นคนใจกว้างราวกับมีดาวเทียมส่วนตัวเชียว..

 

    แล้ว มาดูฝ่ายอังกฤษบ้าง..ขอเปรียบเทียบให้ดูกันหน่อย หลังจากสงคราม แม่ทัพแห่งกองทัพบก Lord Alan Brooke ถังแตกจนต้องประกาศขายบ้านที่อยู่อาศัย และ ย้ายตัวเองมาอยู่ในกระท่อมหลังสวน เขียนหนังสือขาย ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะ เพราะ ในวิถีของการปลูกฝัง และวินัยทหาร ท่านลอร์ดไม่เคยได้น้อยเนื้อต่ำใจเลยแม้แต่นิด   เพราะท่านว่า..เลือกทางเดินมาเป็นทหารแล้ว..จะหวังรวยได้อย่างไร !!

(เคยเล่าไปแล้วว่า..ครั้งหนึ่ง เชอร์ชิลล์ก็ต้องเกือบขายบ้านตัวเองเหมือนกัน)


  Alan  Brooke

    การคาดคะเนว่า สงครามฝ่ายตะวันตกกำลังจะคืบคลานมาสู่นั้น..ไม่จำเป็นต้องหาอัจฉริยะหรือนัก วิชาการที่ไหนมาประเมิน..คนธรรมดาๆก็สามารถบอกได้ว่า

 

    ฝ่ายสพม. จะยกพลขึ้นฝั่ง..ไม่เกินฤดูใบไม้ผลิของปี 1944 แน่นอน  แต่.. ทั้งๆที่รู้ เยอรมันยังไม่สามารถระดมกำลังป้องกันได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก ในช่วงนั้น ฮิตเล่อร์ได้มีกำลัง 300 กองพลที่กระจัดกระจายอยู่ตามเขตรอบนอก  179 กองพลอยู่ในสงครามตะวันออก..26 กองพล อยู่ในดินแดนบัลข่าน 22 กองพลอยู่ในอิตาลี 53 อยู่ในฝรั่งเศส 16 อยู่ในสแกนดิเนเวีย 8 อยู่ในฟินแลนด์   ในประเทศจริงๆแล้ว ไม่มีกำลังสำรองเหลืออยู่เลย ถ้าจะต้องรับมือกับสงครามตะวันตกแล้ว..หมายถึงว่า เขาต้องเรียกกำลังจากจุดที่กล่าวมานี้ คืนสู่เหย้า

และ..ไม่ว่าจะเรียกมาจากตรงไหน..ฝ่านสพม.ก็เป็นต่ออยู่ดี.!!

 

    พอมาถึงฤดูใบไม้ผลิของปี 1944 เข้าจริงๆ ฮิตเล่อร์กลัดกลุ้มเป็นกำลัง เขาว่า เขาต้องการกองกำลังเพิ่มขึ้นอีกสัก หกกองพล เพื่อที่จะส่งไปสู้รบทางตะวันออก และถ้าได้มาตามต้องการละก้อ เขาอาจชนะในศึกรัสเซียครั้งนี้..เพราะ ในเดือนกุมภาพันธ์ แหล่งทรัพยากรที่สำคัญๆของรัสเซียก็ได้ถูกยึดกลับคืนไปหมดเศรษฐกิจของเยอรมันก็เริ่มย่ำแย่ ทัพของเยอรมันก็ถูกไล่ตี....จนถอยร่นกลับมาถึงชายแดนโปแลนด์

เดือน พฤษภาคม ทัพของสพม.ได้รวมกันไล่ต้อนเยอรมันที่อิตาลี ที่มีทัพของแม่ทัพเกสเซลริ่งยันไว้เพียงทัพเดียว ซึ่ง ไม่มีทางที่เขาจะต้านทานไหว..แม่ทัพเกสเซลริ่งรู้ดีว่า อย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะเอาชนะอังกฤษและอเมริกาได้ และด้วยความเป็นชาตินักรบ เขาจึงยอมที่จะยกธงขาวแพ้แต่โดยดีเพราะไม่อยากได้ชื่อว่า เป็น คนที่ต้องสร้างความหายนะให้แก่กรุงโรม สถานที่ที่คงไว้ด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของศาสนาและวัฒนธรรม

 

    ในวันที่ 6 มิถุนายน 1944.................ซึ่งในวันเดียวกันนี้..เหตุการณ์สำคัญของโลกก็ได้เกิด ขึ้นเช่นเดียวใน ที่อีกฝั่งหนึ่งของมหาสมุทร

 

 

   

 

 

{นั่นคือ วัน D-Day หรือวันรวมกำลังยกพลขึ้นบกของสัมพันธมิตร ที่บริเวณหาดนอร์มังดี ฝรั่งเศส.............!!!!}


    สองปีทีเดียวนะ ที่อังกฤษและอเมริกาได้ร่วมกันวางแผนในการยกพลขึ้นฝั่งในครั้งนั้น และการที่ต้องไม่ใช้ส่วนที่แคบที่สุดของช่องแคบอังกฤษ (Pas de Calais)   

 

    (ตาม ความคิดของฮิตเล่อร์)นั้น ย่อมหมายถึงการที่ต้องหาเป้าหมายที่อื่น ที่ที่ไม่มีใครคิดคาดหวัง นั่นคือ ส่วนที่อันตรายที่สุด คือเส้นระหว่างชายหาดปากแม่น้ำ Scheldt และ แม่น้ำ Seine ที่กั้นไปด้วยหน้าผาสูงชัน ถ้าสพม.ขึ้นตรงนี้ หมายถึงว่า อาจโดนกระหน่ำด้วยอาวุธจนต้องวิ่งหนีลงทะเลไปแทบไม่ทันหรือ จะเลยลงมาหน่อย ก็ตรงชายหาด ช่วงบริตานีและนอร์มังดี ที่ค่อนข้างลำบากไม่แพ้กัน..ซึ่งถ้าสพม.จะบุกจริงๆ ก็ต้องนำท่าเรือมาด้วยเพราะ ไม่งั้นเรือจะมาเทียบชายหาดได้อย่างไร..(เยอรมัน..คิดได้เช่นนั้นก็กลับไป นั่งหัวเราะแหะๆ รอรับมือที่ ปาส เดอ คาเลส์ เหมือนเดิม)

แต่..สพม. ไม่ได้ปรึกษากันเฉยๆ อเมริกาได้สร้างท่าเรือลอยน้ำ และ เรือเหล็กท้องแบนสำหรับยกพลและอาวุธขึ้นบกมารองรับสถานะการณ์ได้อย่างไม่ให้ ขาดตกหล่น..ถึงกระนั้น เมื่อได้เวลา อุปกรณ์เรือยกพล ( LSTs = Landing-Ship Tanks) ขึ้นบกนั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะ อเมริกายังมีสงครามฝั่งแปซิฟิคค้ำคออยู่

  LSTs

   

 

ดังนั้น "ท่าเรือแบบเฉพาะกิจ" หรือ Mulberry harbour   คือคำตอบที่ดีที่สุด เยอรมันได้เห็นสิ่งนี้ลอยน้ำอยู่ไหวๆ แต่คิดว่าเป็นที่เก็บเสบียงของสพม.นี่คือความผิดพลาดอีกอย่างหนึ่งของฮิตเล่อร์ ที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญต่อหน่วยจารกรรมภายในประเทศอังกฤษ สายลับ เยอรมันที่มีอยู่ในอังกฤษ เกือบทั้งหมดได้เปลี่ยนใจหันมาทำงานให้กับเชอร์ชิลล์ เพราะ ฮิตเล่อร์ไม่เคยเชื่อในเรื่องของ military intelligence


 

 

    ในช่วงนั้น สองเกลอคือ เชอร์ชิลล์ และ ไอเซ่นฮาวร์ ได้สร้างสรรผลงาน"ข่าวลวง"กันแบบสนุกสนาน แต่..ฝ่ายเสนาธิการของเยอรมันนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะโง่  อีกทั้งยังเป็นเสือ เก่าที่กลับมาใหม่อีกด้วย เขาคือ จอมพล von Rundstedt แม่ทัพที่ฮิตเล่อร์เคยไล่ออกจากราชการทางสงครามตะวันออกมาแล้วนั่นไง

(เพราะไม่เห้นด้วยกับวิธีรบของฮิตเล่อร์ จำได้อ้ะป่าวว?)     

 

    แต่คราวนี้ ฮิตเล่อร์ไปง้อให้กลับมาช่วยๆกันหน่อย..ท่านแม่ทัพได้เตรียมการรับมือทางฝังตะวันตกนี้..โดยการวางแนวโอบเกือบเป็นรอบวง กลม คือ ลากเส้นจากฮอลแลนด์ ผ่านมาทางชายฝั่งช่องแคบอังกฤษ ผ่านอ่าวบิสเคย์...ผ่านเทือกเขาไพเรนนีส ผ่านชายฝั่งเมดิเตอเรเนียน จนถึงตูรอน จากนั้นไปก็คือชายแดนของอิตาลี ที่ต้องมาดูแลกันเอง  แต่พอในมาปี 1943 อิตาลีถูกครอบครองโดย สพม. แนวทางด้านนี้ก็เปิดโล่ง

และ จากการที่ท่านแม่ทัพเอาทหารมาวางในแนวยาวเช่นนี้ ย่อมใช้กำลังพลมากมายมหาศาล ซึ่งนั่นหมายความว่า ภายในประเทศไม่มีกองหนุนเหลืออยู่เลย  แถมฮิตเล่อร์ยังมากวาดเอาไปช่วยรบ ทางตะวันออกในบางครั้งบางคราวเข้าไปอีก ซึ่ง แม่ทัพได้เขียนบันทึกไว้ว่า ส่งไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเหลือรอดกลับมา..ในปี 1943 นี่ก็อีกเช่นกัน ฮิตเล่อร์ได้มาดึงเอาไปจากฝั่งนี้ไปยังฝั่งรัสเซีย อีก 20 กองพล โดยที่ฮิตเล่อร์สัญยิงสัญยากับ ฟอน รุนสเตดท์ ว่า

"เอาเหอะน่า..แล้วจะหามาทหารอาสาสมัครมาให้อีก หกสิบกองพล "

ไอ้หกสิบกองพลที่ว่ามานี่ คือเชลยศึกของรัสเซีย ที่ตัดสินมาร่วมเป็นทหารให้กับเยอรมัน เพราะ ไหนๆก็จะตายอยู่แล้ว มาตายในสนามรบดีกว่าถูกทรมานตายในค่ายนรกให้พวก SS ตื้บเช้าตื้บเย็น..

 

ในปี 1942 ฮิตเล่อร์ก็ช่วยทำแผนป้องกันแนวฝั่งตะวันตกแบบหรูๆ โดยการตั้งกำแพงคอนกรีตกั้นแนวเลียบทะเล หรือเรียกว่า Atlantic Wall เพื่อเป็นการเขียนเสือให้วัวกลัว หรือเป็นการขู่ฝ่ายสพม.นัยๆว่า..อย่านะโว้ย..อย่าแหลมเข้ามา..แต่ แผงคอนกรีตเหล่านั้น ก็ตั้งแบบระเกะระกะ ไม่ได้มีความแข็งแรงอะไร ซ้ำมันคือกำแพงเก่าๆที่ย้ายมาจากชายแดนฝรั่งเศสเมื่อครั้งสงคราม Franco-German นั่นเอง    พอมาถึงฤดูร้อน 1943 สพม.ต้องลงมือปฏิบัติการซะที เริ่มจากการทำลายศูนย์สื่อสารของเยอรมันในฝรั่งเศส และทำลายหัวรถจักรแบบวินาศสันตะโรชนิดไม่ให้เหลือไว้ใช้งานอีกต่อไป

ฮิตเล่อร์ หันมาเล่นเครื่องทุ่นแรงแล้วทีนี้..เป็นไงเป็นกันซิวะ เขาสนใจในประสิทธิภาพของขีปนาวุธ V-1 และ V-2 ที่เขาคิดว่า มันน่าจะช่วยให้ชนะสงครามครั้งนี้อย่างง่ายดาย ว่าแล้ว..เขาก็เรียกแรง งานทหารจากฝ่ายตะวันตกเข้าโรงงานสร้างอาวุธนับหมื่นๆคน ไอ้กำพง กำแพง อะไรนั่น ไม่ต้องสร้างแล้ว..หันมาสร้างระเบิดขีปนาวุธดีกว่า..

ฝ่ายข่าวกรองชั้นสูงสุดได้รายงานมาว่า สพม.เลือกที่จะขึ้นฝั่งทางช่องแคบอังกฤษแน่นอน

 

    ฮิตเล่อร์จึงเรียกท่านแม่ทัพ ฟอน รุนสเตดท์ มาสั่งงานทันทีว่า..ให้เตรียมการให้พร้อม อย่าให้ข้าศึกสามารถเหยียบขึ้นชายฝั่งได้แม้แต่คนเดียว.และทหารเยอรมันต้องไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว!!

ท่านแม่ทัพ..ก็ตอบว่า อ้อ..เหรอ??    ว่าแล้วก็กางรายงานให้ฮิตเล่อร์ได้รับทราบว่า นายทหารในแนวหน้า พิการและรูปร่างไม่สมประกอบมากมาย เจ็บป่วยก็ไม่น้อย  รถถังก็มีจำนวนไม่กี่คัน ปืนก็ไม่พอใช้งาน เห็นจะมีแต่หน่วยพลร่มที่พออาศัยไหว้วานได้ แต่..ปัญหาคือ ลุฟท์วัฟฟ์ นับวันยิ่งหย่อนสมรรถภาพ ไม่มีเครื่องบินเพียงพอต่อการควบคุมน่านฟ้า

ในทะเล..ก็เหลือเพียงเรือเล็กเร็ว E-Boat ที่สามารถวิ่งไปมาในช่องแคบได้อย่างคล่องตัว แต่ ทำอย่างอื่นไม่ได้ เรืออูขนาด 500 ตัน ก็ไม่สามารถนำมาใช้งานในช่องแคบได้   เพราะ มันตื้นไป ส่วน ขนาด แคนูส์ 250 ตัน ก็ยังอยู่เป็นเหยื่อระเบิดใน Black Sea

สรุปว่า..สงครามรับมือของเยอรมันในแนวตะวันตกนั้น..ยังอยู่ในอาการลูกผีลูกคน..

ฮิตเล่อร์อ่านรายงานดังว่านี้ด้วยอาการสงบ..เขาอ่านแล้ว อ่านอีก ก่อนที่จะสัญญากับท่านแม่ทัพว่า เอาเหอะน่า..แล้วจะจัดการปรับปรุงให้ !!

และการที่ฮิตเล่อร์สัญญาว่าจะปรับปรุงนั้น..นั่นคือ เขาส่งท่านนายพลรอมเมล มาช่วยศึกทางฝั่งนี้ ซึ่งทันที่ที่ได้รับหมายให้ปฏิบัติการ รอมเมลได้สั่งตั้งศูนย์บัญชาการทันที ในนามของกองทัพกลุ่ม B โดยที่เลือกแนวนอร์มังดี จรด บริตานี (ตามความสังหรณ์)

เขาได้ลงมือสร้างกับดักทางอากาศเพื่อสกัดหน่วยอากาศโยธินของข้าศึก โดยการ สร้างเสาสูงติดระเบิดปักไว้ในทั่วบริเวณ มีการตั้งชื่อเสาพวกนี้ว่า Rommels pargel หรือ หน่อไม้รอมเมล อีกทั้งโรยกับระเบิดไว้ทั่วบริเวณชายหาด..

ในขณะที่ ฝ่ายสพม.ได้สร้างกลลวงโดยการแกล้งทำเป็นว่าจะขึ้นฝั่งที่นอร์เวย์ จนฮิตเล่อร์หลงเชื่อ สั่งทัพฝูงใหญ่ไปตีรัมมี่คอยดังที่เล่ามาแล้ว  ส่วน อีกข่าวหนึ่งก็ว่าจะขึ้นฝั่งทางด้านช่องแคบอังกฤษ ถึงกับมีการสร้างค่ายปลอมๆ ที่มีเรือปลอมๆ รถถังปลอมๆ ทางฝั่งอังกฤษที่อยู่ตรงกันข้าม อันเป็นฝีมือของนายพล   จอร์จ แพตตัน เพื่อให้เยอรมันกั๊กกองทัพส่วนใหญ่ไว้คอยท่าที่ Pas de Calais

ภายในฤดูใบไม้ผลิ 1944 เยอรมันได้คำนวนว่า ฝ่ายสพม.น่าจะมีกำลังพลอยู่ในอังกฤษประมาณ 75 กองพล และจะเอามาใช้ในการบุกขึ้นฝั่งถึง 65 กองพลและ ยังคิดต่อไปได้ว่า กำลังหนุนในอเมริกา น่าจะมีประมาณ 45 กองพล ที่สามารถเรียกมาเสริมได้อย่างท่วงที

ส่วนกองทัพอากาศของเยอรมันนั้นมันช่างปวกเปียกเสียจน คำนวนออกมาได้ว่า อัตราแตกต่างนั้น คือ 50 ต่อ 1และกำลังของแม่ทัพ ฟอน รุนสเตดท์ นั้น ก็ขยายแนวออกเป็นเส้น(บางๆ) ที่ไม่มีกองหนุนเสริมข้างหลังแต่อย่างใด

ในเดือน พฤษภาคม เอยรมันได้จัดกองทัพรับมือ สพม. โดยแบ่งออกเป็นสามทัพใหญ่ๆ ตั้งรับที่ Normandy, Cherbourg, Cotentin Peninsula

ท่านแม่ทัพ รอมเมล..และกองทัพรถถังได้คอยท่าอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำ Orne ณ. เมือง Caen



 

Rommels Asparagus




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (101805)
avatar
นอนเช้า

อ่าว ทำไมตัดจบไปตรงนี้ เล่าต่อสิครับ!

 

ตอนนี้สนุกนะ เรื่องของนายพันออตโตที่เป็นหน่วยปฏิบัติการไปชิงตัวมุสโสลินี่ผมอ่านเจอครั้งแรกใน WW2 in Photograhps โคตรอึ้งเลยอ่ะ ตาคนนี้ไม่ไ้ดสร้างชื่อด้านการนำทัพมากนัก แต่สร้างชื่อด้านการจารชนได้สุดยอดจริงๆ

แล้วยอดมนุษย์นายพลรอมเมลของเราก็กลับมาอีกแล้ว แถมยังเดาหาดที่สพมจะยกพลขึ้นบกถูกด้วยฮ่าๆ สนุกครับอย่างกะสามก๊กสร้างข่าวลวงปั่นหัวกันถึงขนาดสร้างค่ายทหารปลอมเลย แพตตัน นายเยี่ยมจริงๆ

เคยอ่านใน Band of brother เนี่ย เขาว่ากองพัน 506 ที่กองร้อยอีซี่สังกัด ปะทะกับท่านนายพลรอมเมลที่ศึกคาเรนเทนมั้งถ้าจำไม่ผิด(หรืออาจจะช่วงมาเก็ตการ์เดน ผมอ่านมานานแล้ว จำไม่ค่อยได้) ตอนนั้นแหละที่ผมอ่านเจอชื่อท่านนายพลรอมเมลครั้งแรก แต่ยังไม่ติดใจอะไร ก่อนจะได้มาอ่านเรื่องราวของเขาในหนังสืออื่นกับในเว็บนี้ ทำให้รู้สึกปลื้มนายพลคนนี้อยู่เหมือนกัน เพราะในหนังสือหรือในเว็บนี้ ก็ใช้คำเรียกท่านนายพลรอมเมลเหมือนกันเลย คือคำว่า ยอดมนุษย์ ครับ ฮ่าๆ

 

รีบๆเขียนตอนใหม่มานะครับ ถึงผมจะอ่าน ww2 ในหนังสือมาบ้างแล้ว แต่ก็ติดตามเวอร์นั่นนี้ด้วยความสนุกไม่น้อยลงกว่าเดิมครับผม

ผู้แสดงความคิดเห็น นอนเช้า วันที่ตอบ 2011-09-04 18:39:20



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker