dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนสอง
วันที่ 16/02/2020   18:50:13

 

    จาคตื่นขึ้นมา..พร้อมกับรู้สึกว่าเนื้อตัวคันยิบไปหมดทั้งตัว มันคันชนิดทะลวงเข้าไปในรูผิวหนัง เขารีบสลัดผ้าห่มดู และได้ประจักษ์ต่อตาว่ามีตัวเรือดเกาะอยู่ยุ่มย่ามไปหมด  เขาและอารอนรีบออกไปต่อแถวรอการอาบน้ำ ชำระล้างร่างกายจากหัวก๊อกที่มีเรียงรางด้วยน้ำที่ส่งมาตามท่อ   คาโป..ยังมีหน้าที่ตะโกนดุด่าให้ทุกคนเร่งรีบ..   อารอนสอนให้จาคทำการซักชุดยูนิฟอร์มอย่างเร็ว..รีบบีบให้สะเด็ดน้ำ แล้วเอามาใส่ทั้งชื้นๆ ซึ่งไม่นานก็แห้งแข็งคาตัว..  จาคเริ่มเป็นกังวลว่า..หน้าหนาวเห็นท่าจะใช้วิธีนี้ไม่ได้  แต่..ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เขารู้ดีว่าต้องทำร่างกายให้สะอาดให้มากที่สุด เพราะพวกตัวเหานั้นคือพาหะนำเชื้อโรคมาให้สารพัดชนิด เบาะๆ ก็ท้องร่วง ท้องเสีย   ข่าวลือว่า ค่ายอื่นๆ มีไข้รากสาดใหญ่และโรคบิดระบาดด้วย ซึ่งทั้งสองโรคนั้นจัดว่าร้ายแรงถึงขั้นล้มตาย   เขาหวังว่า มันคงไม่ระบาดมาถึงที่นี่...

    จากวัน..เป็นอาทิตย์ จาคเริ่มคุ้นเคยกับระบบการเป็นนักโทษมากขึ้น ว่า..กินให้น้อย ทำงานให้หนัก รักษาตัวเอง รักษาความสะอาดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   เลี่ยงการโดนทุบตี (ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก) เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้ก่อนได้ว่า เมื่อไหร่จะถูกผู้คุมลากออกจากแถวไปตื้บ..ทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด  ไม่มีใครรู้ว่า กระบองจะฟาดมาที่ชายโครง..หรือ ถูกไอ้โอ๊บยันเข้ามาที่ท้องน้อยเมื่อไหร่   ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น เพราะพวกเขามีสิทธิทำได้ทุกอย่าง   ไม่มีใครมาห้าม..นักโทษตายคนเดียว เดี๋ยวก็มีมาแทนที่เป็นโหล

    "อย่าไปหวังว่าจะได้รับความปรานีใดๆ จากพวกผู้คุม เพราะมันเป็นไปไม่ได้ ขอแค่ว่า อย่าโดนซ้อมหรือส่งหมามาไล่ฟัดเพราะพวกเขานึกสนุก ก็พอแล้ว"

 

 

 

            พวกคาโปนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง..พวกนี้เป็นนักโทษเหมือนกัน บางคนก็เป็นยิว..  ทุกคนจะมีปลอกแขนใส่เป็นสัญญลักษณ์ และอยู่ในอาคารพิเศษที่แยกออกไปจากนักโทษอื่นๆ และมีสิทธิพิเศษคือ เรื่องอาหารการกินที่ดีกว่า และดูแลเรื่องการส่งคนไปทำงาน    และพวกคาโปนี้ส่วนใหญ่คืออดีตนักโทษอาชญาที่อยู่ในคุกก่อนที่จะเกิดสงคราม พอมีการตั้งค่าย (นรก)   หน่วย SS ก็ไปเกณฑ์นักโทษขั้นประหารพวกนี้มาทำงานในการดูแลนักโทษแทน  คาโปบางคนก็มีอาการทางจิต บางคนก็ซาดิสต์ บางคนก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก   จาคพยายามทำใจไม่ให้เกลียดพวกผู้คุมเหล่านี้ เพราะ "ความเกลียด" ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา..มิหนำซ้ำ มันจะบั่นทอนสติปัญญา ขวัญและกำลังใจ   เขาพยายามจะคิดว่า ทุกๆ คนที่มาติดอยู่ในที่นี่ คือเหยื่อของสงครามที่โหดร้าย มันไม่ใช่เป็นความผิดของใคร..    ฉะนั้น..เขาจึงคิดทุกอย่างในทางที่ดีเข้าไว้

            พวกนักโทษที่ไม่ใช่ยิว แต่ละกลุ่มจะมีเครื่องหมายสังกัดเป็นสามเหลี่ยมตรงหมายเลขประจำตัว เพื่อเป็นการแยกประเภท    คาโปอ้วนนั่น..มีสามเหลี่ยมสีเขียว หมายถึง นักโทษเด็ดขาดข้อหาฆ่าคนตาย   นักโทษที่ร่วมอาคารเดียวกันกับจาค มีหลายคนที่มีสามเหลี่ยมสีแดง หมายถึงนักโทษการเมือง   สีดำ หมายถึง พวกยิบซี,  สีชมพู หมายถึง พวกรักร่วมเพศ  และ สีม่วง หมายถึง พวกที่อยู่ในคณะผู้นำทางศาสนาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคาธอลิค หรือนิกายอื่นๆ  แต่บังอาจทำตัวต่อต้านฮิตเล่อร์

 

        

 

            แต่นักโทษส่วนใหญ่คือพวกสีเหลือง..หมายถึง ยิว..และเป็นพวกชั้นต่ำที่สุดในบรรดานักโทษด้วยกัน  กฏเหล็กของฮิตเล่อร์ที่บัญญัติขึ้นมา..นั่นคือ การนับว่าใครเป็นยิวนั้น..หมายถึง ปู่ย่าตาทวดคนใดคนหนึ่งมีเชื้อสายเป็นยิว..ลูกหลานทั้งหมดก็ถือว่าเป็นยิวตามกัน  ไม่ว่าจะเปลี่ยนมานับถือศาสนาใดในปัจจุบัน   ไม่ว่าจะได้ผ่านพิธีล้างบาปตั้งแต่อ้อนแต่ออก หรือ แม้ว่าจะไม่เคยเหยียบย่างเข้าไปในโรงสวดเลยก็ตาม  ในสายตาของฮิตเล่อร์ ทั้งหมดที่ว่ามานี่ก็คือ "ยิว" ที่ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ในโลกนี้

            คืนหนึ่ง ก่อนที่ผู้คุมจะเข้ามาดับไฟ..โมเช่..นักโทษรุ่นพี่ที่ผ่านการย้ายมาสี่ค่ายแล้ว..ได้เข้ามาแวะทักทายจาคที่เตียงดังที่เคยปฏิบัติเสมอๆ     และโมเช่คนนี้เองที่เคยเล่าให้เขาฟังว่า..เมื่อตอนที่ส่งตัวไปค่ายครั้งแรก ในโบกี้รถไฟที่อัดแน่นด้วยเชลยนั้น หลายคนได้หมดลมเพราะขาดอากาศหายใจเสียก่อนถึงที่หมาย   จาคเชื่อว่า ที่โมเช่ชอบมาคุยกับเขาเพราะว่าเห็นเป็นเด็ก   ในอดีต..โมเช่คือครูที่รักการสอน และจาคก็สนใจและชอบที่จะฟังความคิดเห็นของผู้สูงวัยคนนี้   คืนนี้..โมเช่มาเล่าถึงการปฏิบัติการในค่ายที่อยู่ว่า

            "อย่าคิดนะว่า มันจะใช้เราเพียงแค่ไปซ่อมสะพานเพื่อให้ทหารข้ามไปรบในแนวหน้าเท่านั้น..ไอ้หนูเอ๊ย..แกไม่รู้หรอกว่าทุกอย่างในค่ายนี้มันคือ..ธุรกิจ..   ไอ้พวกคนหนุ่มน่ะ มันส่งออกไปรบจนหมด เหลือก็แต่พวกผู้หญิงที่ต้องไปทำงานในโรงงาน ทีนี้ไอ้พวก SS มันก็เอาพวกเรานี่แหละ ส่งไปทำงานและรับเงินแทน    บางคนรับจนรวย จากน้ำพักน้ำแรงของพวกเราแท้ๆ ..ไอ้โรงงานพวกนั้น มันก็โรงงานนรกดีๆ นี่เอง"

            โมเช่เล่าต่อว่า.."และไม่ใช่ว่าพวกยิวจะทำงานได้ทุกคนนะ ไอ้หนูรู้ม๊ะ..ว่า ฮิตเล่อร์มันทำอย่างไรกับคนพวกนั้น" เสียงโมเช่เริ่มเปลี่ยนเป็นกระซิบกระซาบว่า.."เราได้ข่าวมาว่า บางค่ายมันกวาดต้อนคนเอาไปฆ่าทันที ไม่ใช่เอามาทรมานให้ทำงานจนตายไปทีละนิดอย่างที่ค่ายของเรา พวกค่ายมรณะพวกนั้น มันจะส่งนักโทษทำทีว่าให้ไปอาบน้ำ แต่แล้วมันก็ผนึกประตูห้อง..ส่งแกสเข้าไปแทน และก็ลากศพไปเผา"

            จาคไม่เชื่อเรื่องที่โมเช่เล่ามาแมัแต่นิด "เขาจะฆ่าพวกเราไปทำไมล่ะ..?"

            โมเช่..ทำเสียงเครียดบอกว่า "ก็เพราะพวกเราเป็นยิวน่ะซิ ฮิตเล่อร์มันต้องการล้างพวกเราให้สูญพันธุ์ไปจากโลกนี้ และนี่คือความจริง"

 

      

 

            จาครีบไปเล่าต่อให้อารอนฟังถึงเรื่องที่ได้ยินมา   อารอนตอบว่า

            "ผมก็ได้ยินพวกข่าวลือพวกนี้ อย่าไปสนใจเลยนะ ไม่ว่าพวกนาซีจะเป็นยักษ์เป็นมาร หรือพวกมันจะต้องการให้เราตาย มันก็ทำมาหมดแล้ว    คุณเคยไปอยู่ในสลัมใช่ไหมล่ะ..ยังจำได้ถึงความลำบากไหม..สำหรับผมนะ มันไม่ให้อะไรกินเลย ครอบครัวของผมก็ตายกันหมด   ตอนที่ไปตัดผมให้ทหาร ผมก็เห็นเหล่านักโทษที่เชื่อว่าจะมีสภาพอยู่ได้ไม่เกินวัน เกินพรุ่ง   ไม่ใช่เพราะว่าเขาอ่อนแอ ไม่ใช่เพราะว่าเขาทำงานไม่ได้ หากแต่ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปในสภาพที่ขาดอิสรภาพต่างหาก"

            "ผมสงสารคนพวกนี้มากเลยนะ..คุณล่ะว่าไง?"

            "ไม่ละ" อารอนตอบห้วนๆ

            "ไม่จริงหรอก..พวกนี้น่าสงสารจะตาย ผมเชื่อว่าใครๆ ก็ต้องคิดอย่างนั้น"

            "จาค..ฟังนะ..ที่นี่คือที่จบสิ้นอันเป็นปลายทางความทุกข์โศก จงคิดถึงแต่ตัวเองและคนที่ใกล้ที่สุด ถ้ามีจิตใจที่อ่อนไหว อ่อนโยนอย่างนี้จะเอาตัวไม่รอด"

            จาคก็ได้แต่ฟัง แต่เขาก็คงทำไม่ได้ เพื่อนนักโทษรอบข้างต่างพากันล้มตายเพราะความอดอยาก ก่อนตายพวกเขาอยู่ในสภาพที่สกปรกโสมม เจ็บป่วย   บางคนส่งเสียงพึมพำ บางคนร้องไห้หาลูกเมีย   บางคนก่นด่าพวกนาซีและฮิตเล่อร์...รวมทั้งพระเจ้าที่อยู่บนสรวงสวรรค์

            แต่คนอย่างอารอน ที่ทำตัวให้เข้มแข็งจนเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆ ได้นั้น บางครั้งจาคก็ยังสงสัยว่า เขาทำได้อย่างไร หรือมีเคล็ดลับแห่งความอยู่รอดอย่างไร    วันหนึ่ง ขณะที่อารอนตัดผมให้จาค เขาสอนว่า..

            "คิดไว้นะ ว่า ทุกอย่างก็เหมือนกับการเล่นเกมเอาชนะ.. ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเจ็บแค้น ไม่ต้องคิดถึงว่าอะไรจะเกิดขึ้น..คิดอย่างเดียวว่า..  ทำอย่างไรเราจะต้องอยู่รอด ไม่ให้มันฆ่าเราได้ และ พยายามรักษาชีวิตให้อยู่นานที่สุดเพื่อ..รอดูความล่มสลายของมัน.."

 

       

 

            "เล่นเกมเอาชนะ"..จาคเก็บเอามาคิด จริงซิ..   ความยากลำบาก..ทุกอย่างก็เคยทำมาแล้วสมัยที่ต้องเป็นแรงงานรับจ้างในหมู่บ้าน  และกฏในการที่จะดำรงอยู่ข้อต่อๆ ไป   เช่น..ต้องรู้จักหาอาหารมากินเอง..  จาคก็เรียนรูว่า..เวลาที่เดินออกไปทำงานผ่านไร่..จงส่ายตาหามันฝรั่ง หรือหัวแครอทที่ตกๆ หล่นๆ หรืออะไรก็ตามที่เก็บกินได้   และ..ต้องเคร่งวินัยและพยายามทำตัวให้ลีบที่สุดไม่ให้เป็นที่สนใจ และต้องช่วยเหลือเพื่อน เพราะ ถ้าไม่มีเพื่อนก็จะเอาตัวไม่รอด    ต่อมา..คือ ต้องแข็งแรง ..ทุกๆ เช้า หลังจากที่ได้กินซุปใสๆ นั่นแล้ว..ต้องพยายามทำตัวให้สะอาด แม้ว่าไม่มีสบู่ ไม่มีแปรงสีฟัน ไม่มีผ้าเช็ดตัว..   แต่..น้ำขันเดียวก็ใช้ได้     ถ้าเกิดปวดฟันขึ้นมา..ต้องทนความปวดนั่นให้ได้ หรือ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะดึงมันออก   ไปตัดผมเดือนละครั้ง ตามโควต้า    ยอมทรมานร่างกายโดยอาบสารเคมีฆ่าเหา (แม้ว่ามันจะกลับมาอีกก็ตาม)   นี่คือการเล่นเกมเอาชนะทั้งสิ้น..เพียงแต่..ถ้าแพ้..ก็หมายถึงไม่มีชีวิตเหลือรอดอย่างที่หวัง..

            หกเดือนผ่านไป จาคผอมลงมาก แต่แกร่งขึ้น เขารู้จักวิธีต่อสู้กับเหา..และ..ไม่ว่าจะหนาวแค่ไหน เขาก็ยังต้องอาบน้ำ ซักเครื่องแบบ (ในวิธีที่ให้เปียกไปกับตัว)    ด้วยความอุปถัมภ์บางครั้งบางคราวของอารอน เขาก็ยังพอมีอาหารมายาใส้ บางทีที่หิวมากๆ จาคถึงขนาดขูดเปลือกไม้มากิน หรือ เก็บกินเห็ดที่ขึ้นในป่า ทั้งๆ ที่อาจเป็นเป็นอันตรายถึงชีวิต

 

          

 

            เช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวเดือนกุมภาพันธ์..หลังจากที่ออกมาตั้งแถวเรียกชื่อ..จาคและเพื่อนถูกทิ้งให้คอยในขณะที่อีกพวกหนึ่งถูกสั่งให้เดินหน้าออกไปทำงาน    และต่อมา..เขาและพวกก็ถูกพาขึ้นรถบรรทุกที่ขับมุ่งหน้าห่างออกไปจากค่าย..  ลมกรรโชกมาพร้อมกับละอองหิมะ..จาคหนาวจนจะแข็งตาย และปีนี้เป็นปี 1943 ที่มีบางคนบอกว่า พวกนักโทษอาจจะต้องมีการย้ายไปยังค่ายอื่นๆ  และนั่นก็เป็นความจริง..เพราะไม่กี่ชั่วโมงต่อมา รถบรรทุกคันนั้นก็พาเขามายังสถานที่ใหม่ จาคเริ่มรู้สึกตื่นเต้น ตื่นสถานที่ พลางคิดปลอบตัวเองว่า..

            "ค่ายเก่าเบลคฮัมเม่อร์แสนอุบาทว์ขนาดไหนก็ยังผ่านมาได้ นับประสาอะไรกับการเริ่มต้นในที่ใหม่ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีอารอนที่มาคอยจุนเจือให้เท่านั้น"

            นักโทษในค่ายนี้ ส่วนใหญ่เป็น ชาวโปล์ เยอรมัน รัสเชี่ยน..ส่วนผู้คุมหน่วย SS ก็แน่นอน คือ เยอรมัน   นักโทษยิวที่รู้ภาษายิดดิช..จะพอเข้าใจในภาษาเยอรมัน เพราะคล้ายคลึงกันมาก   ส่วนชาวโปล์ส่วนใหญ่ก็พูดเยอรมันได้อยู่แล้ว ไม่มีปัญหา   แต่นักโทษจากรัสเซีย แม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็เรียนเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ เขาสามารถเข้าใจในคำสั่งได้เท่าที่จำเป็น    ความเป็นอยู่ในค่ายนี้ไม่เหมือนกับที่เก่า เพราะนักโทษไม่มีเตียงต่อคน..แต่จะมีหิ้งใหญ่เป็นชั้นๆ สามชั้น ขนาดกว้างแปดฟุต   ที่แต่ละชั้น..เป็นที่นอนสำหรับนักโทษแปดคน..ไม่มีฟูก..

            จาคเล่าว่า " แต่อย่างน้อยการที่นอนเรียงติดๆ กันนั้น ทำให้มีความอบอุ่น เพราะในอาคารไม้นั่นไม่มีการป้องกันลมหนาวแต่อย่างใด และถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าห้องน้ำ   ตอนกลางคืนก็ไม่สามารถไปได้ เพราะข้างนอกเป็นน้ำแข็ง มีทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องใช้กระป๋องที่ใส่อาหารนั่นแหละแก้ขัดไปก่อน   เพราะการที่จะดุ่ยๆ ออกไปข้างนอก..ยามอาจเกิดบ้าจี้ขึ้นมาส่องไฟมาเจอ..ส่องโป้งเข้าให้   แล้วไอ้กระป๋องที่ว่านั่น เช้าขึ้นมาก็ต้องเอาไปล้าง..แล้วถือไปรอรับอาหารต่ออย่างไม่มีทางเลือก"

            อาหารที่นี่ก็แย่พอๆ กับค่ายเก่า ไม่มีที่ให้อาบน้ำ การทำความสะอาดตัวเองและเสื้อผ้าคงหมดสิทธิ  ต่อมา..ไข้รากสาดใหญ่เริ่มระบาดในค่าย มันได้แพร่เชื้ออย่างรวดเร็ว   จาคก็โดนด้วยเช่นกัน..เขาจับไข้ หนาวสั่น และไออย่างหนัก   แต่กระนั้น เขาก็ยังฝืนสังขาร กัดฟันทนออกไปยืนแถวรอเรียกชื่อ เพื่อไปทำงานจนได้   นักโทษคนอื่นๆ ต่างพากันล้มตายมากมาย..ทุกเช้า..จะมีการลำเลียงศพออกจากอาคารโน้นอาคารนี้ไม่มีหยุด   ควันสีดำจากการเผาศพ..พวยพุ่งออกจากปล่องทั้งวันทั้งคืน..   กว่าจาคจะหายมาเกือบเป็นปรกติก็นานพอสมควร นักโทษร่วมห้องต่างว่าเขาเป็นคนโชคดี เพราะนั่นเท่ากับว่า เขาได้สร้างภูมิต้านทานในตัวมากพอ..จะไม่ได้รับเชื้ออีก

            จาคอยากจะบอกให้อารอนได้รับรู้เหลือเกินว่า..เกมเอาชนะนั้น..มันยังคงดำเนินต่อไป !!

            แม้ว่าจาคจะไม่พยายามนึกถึงพ่อแม่พี่น้อง..   แต่บางครั้งความหลังในยามที่มีความสุขจะผุดขึ้นมาในห้วงภวังค์ น้ำตาเจ้ากรรมพาลไหลพราก    พ่อ แม่..พี่ยาจา จาคอบน้องรัก..คิดถึงเหลือเกิน..!!

            ทางเดียวที่เขาทำได้..นั่นก็คือสร้างภาพให้ตัวเองเห็นว่า เขาเหล่านั้นกำลังอยู่อย่างมีความสุขและปลอดภัย   จริงอยู่เท่าที่รู้คือ พ่ออยู่ในค่ายกักกัน   แต่พ่อเป็นช่างเสื้อฝีมือดี..อาจจะได้ทำงานในที่อุ่นสบาย แม่และจาคอบคงจะกลับไปอยู่กับลุงเหมือนเดิม พี่ยาจาก็คงกลับไปอยู่ด้วยกัน   และเมื่อสงครามได้สิ้นสุดลง..เราทั้งหมดก็จะกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้านที่แสนอบอุ่นของเราที่เมืองกาดิย่า ญาติพี่น้องทั้งหมดก็จะมาชุมนุมกันอย่างเคย   รวมทั้งปู่ด้วย..    เขาจะจูงมือปู่พาไปเดินเล่น ดูเรือที่ท่าเรือ นั่งเล่นที่ชายหาด   ตกเย็น เราจะมีอาหารทุกชนิดวางให้เต็มโต๊ะ กินกันให้เต็มที่ ไม่ต้องพบกับความหิวโหยอีกต่อไป..    ความฝันของเขาได้สะดุดลงแค่นั้น..เพราะในโลกของความจริง ท้องเขากำลังลั่นโครกครากเพราะความหิว เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหา    เพื่อนรอบข้างกำลังเจ็บป่วยล้มตาย..

            "เราก็พยายามช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แต่การเคลื่อนย้ายนักโทษเป็นไปด้วยความรวดเร็ว..ที่ตายไปคนใหม่ก็มาแทนที่   คนที่ใกล้ตายนั้น เราสามารถบอกได้ล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ เพราะด้วยใบหน้าที่ซีดขาว ท่าทางที่หมดอาลัยไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป..  ในยามนี้..ผมเข้าใจซึ้งถึงว่า ความจริงนั้น..ความตายก็คือความเป็นโชคดีอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป..   แต่ผมก็ยังหวังเสมอว่า เพื่อนเก่าๆ อย่างอารอน และโมเช่ คงยังมีชีวิตอยู่

 

         

 

            จาคไม่รู้วันรู้คืน..อาศัยดูเอาจากฤดูที่ผันผ่าน..  เขานับได้ว่า เข้ามาเป็นนักโทษก็เกือบปี และในฤดูใบไม่ผลิของปี 1943 เขาจะมีอายุครบ 16 ปี   เพียงแต่ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าวันเกิดคือวันไหน

            "ชีวิตในค่ายกักกันนี่..คนจะคิดได้อย่างเดียวคือทำอย่างไรจะให้มีชีวิตอยู่รอด ทุกชั่วโมง ทุกนาที..หมายถึงการท้าทายกับความตาย   เราต้องมีการตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด สำหรับความหนาวเหน็บ อากาศที่ร้อนอบอ้าว ความหิวโหย หรือเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน  ความเหนื่อยล้า ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน..   พวกเราไม่เคยรู้เลยว่า สงครามที่กำลังสู้รบอยู่นั้น ใครกำลังชนะหรือแพ้ เพราะพวกผู้คุมไม่เคยบอกอะไร

            ข่าวลือ..ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นประจำวันเช่นกัน นักโทษมีชีวิตที่แขวนไว้กับกับข่าวลือ เรื่องสงครามบ้าง เรื่องการกำจัดนักโทษที่เปล่าประโยชน์บ้าง   ข่าวลือเรื่องของการย้ายค่ายบ้าง..  ในแต่ละวัน..สมองของทุกคนจะครุ่นคิดได้แต่ว่า..ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องทำงานหนัก หรือ ทำอย่างไรจึงจะสามารถ  ทำงานกับพวกพลเรือนที่สามารถหยิบยื่นเศษขนมปังให้ได้บ้าง..ก็เท่านั้น

            ในช่วงระยะสั้นๆ นี้ จาคถูกย้ายถึงสองครั้ง ตามแต่ที่ไหนจะต้องการใช้งาน แต่ละค่ายอาจจะต่างกันบ้างไม่มาก    บางที่ ในโรงนอนจะแน่นมาก..ซุปใสเหมือนเดิม ขนมปังที่เต็มไปด้วยขี้เลื่อยเหมือนเดิม กฏข้อบังคับเหมือนเดิม เหายุ่บยั่บเหมิอนเดิม..  ไม่ว่าอะไร อะไร..ก็จัดว่าเป็นนรกเหมือนเดิม..

 

           

 

            ค่ายที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือที่ กรอส-โรเซ่น {Gross-Rosen} ซึ่งจาคและเพื่อนได้เดินทางมาถึงเมื่อตอนดึก  ไม่มีที่ว่างในโรงนอนสำหรับพวกเขา    ผู้คุมจึงสั่งให้พวกที่มาใหม่ทั้งหมดออกไปนอนกับพื้นเย็นๆ ที่ลานคอนกรีตแคบๆ ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีหมอน

            "เรานอนเบียดกันแน่น..ในลักษณะที่ต้องตะแคง..ยามที่ใครพลิกตัว นั่นหมายถึงทุกคนต้องพลิกไปพร้อมๆ กัน..แต่มาถึงในยามนั้น  เรื่องนอนไม่ใช่ปัญหา เพราะ นักโทษแต่ละคนแม้แต่ยืนก็ยังสามารถหลับได้"

            ค่ายนี้ คือ เหมืองแร่กรานิต..ที่นักโทษได้เอาชีวิตมาทิ้งโดยอุบัติเหตุในการทำงานเสียส่วนใหญ่

            "ทุกอาทิตย์ นักโทษนับสิบกระทำการฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดลงหน้าผา..สภาพที่นั่นมันร้ายกาจมาก โชคดีที่ผมได้อยู่ที่นั่นในระยะสั้น"

            เพราะจาคยอมสู้งานหนักนั่นอย่างไม่ปริปาก จึงไม่ค่อยได้ลิ้มรสแรงฟาดของกระบองอุบาทว์ของเหล่าคาโป.   แต่เรื่องการโดนเตะอัดนั้นก็มีบ้างเป็นครั้งคราวเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ และความที่เป็นคนอดทนทายาทของเขานั้น บางครั้งก็ส่งผลดี   นั่นคือ ถูกเรียกให้ไปช่วยยกหม้อซุปขนาดใหญ่เพื่อเอาไปแจกจ่าย..ที่ต้องยกด้วยความระวังอย่างยิ่งยวด   รางวัลนั่นคือ เขาจะได้ซุปเพิ่มขึ้นอีกกระป๋องหนึ่ง ที่ตักตอนสุดท้ายก้นหม้อที่ซุปนั้น กำลังข้นเพราะงวดจัด

            บางทีเขาก็ถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานสร้างทางรถไฟ ที่ต้องไปทำรวมตัวกับพวกชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาร่วมด้วยช่วยกัน    แต่คนพวกนี้ ยังไม่ได้ถึงขนาดอดอยาก เพราะพวกเขายังพอมีกิน จาคจะได้รับทานเป็นขนมปังบ้าง หรือ ยอมเอ่ยปากขอบ้าง   แต่อย่างน้อยๆ ในสองเดือนของการทำงานอย่างหนักนั้น..มันก็ทำให้เขาได้ประทังชีวิตอยู่ไปได้ต่อไป    และถ้ามันมากกว่าเศษอาหาร   เขามักแอบนำมันกลับมาแบ่งให้เพื่อนๆ ได้ลิ้มรส เหมือนอย่างที่เพื่อนเคยได้แบ่งให้เขา

 

         

 

            เกมเอาชนะนั้น..หนทางมันช่างลำบากยากเข็ญและท้าทายเสียเหลือเกิน   หนึ่งในนั้นคือ การส่งตัวไปทำงานในโรงงานทำสารเคมี    ที่เขาต้องช่วยขนพวกเคมีนั่นขึ้นลงโบกี้รถไฟ บางทีก็ต้องเข้าไปช่วยในโรงงาน จาคเล่าว่า..

            "พวกพนักงานต่างใส่เครื่องป้องกันอย่างเต็มที่ ทั้งหน้ากากป้องกัน ถุงมือยาว แต่นักโทษ..ไม่มีการป้องกันอะไรเลย ไอของสารเคมีนั้นฟุ้งกระจายเข้าไปในปาก ตา..คอและจมูก จนแสบไปหมด และถ้าผมได้อยู่นานไปกว่านั้น เชื่อว่าปอดคงพังอย่างแน่นอน"

            และงานที่แสนโหดอีกงานหนึ่งคือ..การที่ต้องแบกถุงปูนซีเมนต์ลงมาจากรถไฟ ที่อยู่สูงกว่าพื้นถึงสี่ฟุต   โดยการลำเลียงนั่นคือ   ต้องเดินบนกระดานที่พาดลงมา ถุงปูนแต่ละถุงบนบ่าหนักเท่ากับคนคนหนึ่ง..    ถ้าใครก็ตามเกิดลื่นล้ม หรือทำถุงตกจนปริแตกละก้อ..ยามจะปล่อยสุนัขออกมารุมกัดนักโทษผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นทันที

            "การเดินลงไม้กระดานพาดนั้น น่ากลัวมาก แต่ผมพยายามจะคิดถึงเรื่องสมัยเด็กๆ ที่ไปปีนเรือแล้วกระโดดพุ่งหลาวลงไปในน้ำที่สูงนับสิบๆ ฟุต..จริงอยู่ มันเสี่ยงตาย..แต่ก็สนุก เมื่อคิดได้อย่างนั้น..ผมไม่เคยพลาด หรือลื่นล้มเลย"

            การเป็นนักโทษในค่ายนรก..ทำให้พวกเขามองหาเครื่องยังชีพให้กับตัวเองแทบในทุกขณะจิต   ถุงปูนเปล่าๆ ที่มีความหนาเพราะซ้อนด้วยกระดาษหลายๆ ชั้นนั้น สามารถนำมาเจาะรู สวมหัว สอดแขน ทำเป็นเสื้อกั๊กใส่ข้างในเพื่อให้อุ่น..ในการทำงานข้างนอกในฤดูหนาวนั้นมันโหดเหลือประมาณแต่ถ้าถูกผู้คุมจับได้..ก็โดนซ้อมกันไปตามระเบียบทั้งๆ ที่มันเป็นแค่ถุงปูนที่ไม่ได้เอามาใช้งานอะไร แต่..ก็ยังเป็นข้อห้าม   จาคเล่าต่อว่า.."ถึงจะมีโทษ แต่พวกเราก็ต้องใช้มันอยู่ดี "

 

          

 

            สิ่งที่เลวร้ายที่สุด คือการเรียกชื่อในตอนเช้า ที่นอกจากต้องออกมายืนรอนับชั่วโมงๆ แล้ว..นักโทษอาจจะถูกซ้อมได้ในตอนนั้น   เพียงแค่มีสิ่งปรกติผิดตาไปเพียงนิดเดียว     และมันเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู..ที่นับว่าเป็นโปรแกรมรายวัน ที่มีจุดมุ่งหมายให้นักโทษคนอื่นๆ ได้เห็น    การเฆี่ยนตี..การโบย..ยิง..แขวนคอ หรือ ถูกรุมกัดโดยเหล่าสุนัขที่กระหายเลือด   ในค่ายหนึ่ง นักโทษรัสเซียหกคนได้พยายามหลบหนีออกไป แต่ถูกจับได้ในที่สุด ศพที่แหลกเหลวของพวกเขาได้นำมากองไว้ที่กลางลาน   เพื่อให้นักโทษคนอื่นที่เดินผ่านไปมาได้เห็นและซาบซึ้งถึงโทษแห่งความพยายาม

            "พวกเขาได้บอกเราเสมอๆ ว่า..นี่คือ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่อยากลองดี เราทุกคนต่างมีแผนในสมองถึงเรื่องหนี..แต่..เราจะหนีไปไหนได้  เพราะในตอนนั้น นาซีได้ครองไปจนเกือบหมดในยุโรป ไม่มีที่เหลือสำหรับ "ยิว"   รัสเชี่ยนที่คิดหนีนั้น เพราะพวกเขายังมีบ้านเกิดเมืองนอนให้กลับไป   แต่..ยิวไม่รู้จะกลับไปที่ไหน.."

            และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักโทษยิวอย่างจาคไม่คิดหลบหนี..เพราะถ้าเขาหนีจะรอดหรือไม่รอดก็ยังไม่รู้ แต่พวกที่จะต้องมารับเคราะห์แทนก่อน  นั่นคือ เพื่อนๆ ในกลุ่มทั้งหมด

            "พวกนาซีทำทุกอย่างที่จะให้เรากลัวจนเสียสติ..ในภาพต่างๆ นั้น คุณจะเห็นความโสโครก นักโทษที่ผอมแห้งราวกับศพเดินได้  แต่คุณจะไม่ได้รับรู้รสของความกลัว..ความกลัวอันเป็นสิ่งที่ฝังแน่นในหัวใจของทุกคน คนที่อยู่ให้รอดได้นั้น..ต้องเปรียบราวกับคนที่เหนือมนุษย์"

            จาคได้ตัดสินใจไว้นานแล้ว ว่า อย่างไรเสีย เขาจะต้องรักษาตัวให้อยู่ในเกม เพราะจุดประสงค์ใหญ่ที่สุด นั่นคือ..ความรัก..ความรักพ่อแม่พี่น้องที่อยู่เหนือสิ่งใด  เขาจำเป็นต้องทนอยู่..เพื่อที่จะกลับไปอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันอีก..เมื่อสงครามได้สิ้นสุด  ฉะนั้น..ในเกมนี้..เขาไม่มีทางเลือกอื่นใด..นอกจากต้องเอาชนะฮิตเล่อร์ให้ได้..!!

 

       

 

            จาคตื่นขึ้นมากลางดึกวันหนึ่ง รู้สึกปวดท้องน้อยอย่างมาก ถึงกับต้องกัดลิ้นตัวเองเพื่อไม่ให้ส่งเสียงครางออกไป เขาพลิกตัวนอนหงาย  เหงื่อเม็ดเป้งไหลพรั่งพรูออกมาไหลราวกับน้ำ  รู้สึกจำเป็นจะต้องเข้าห้องน้ำด่วน..   เขาทนกัดฟันพาตัวเองไปถึงแต่ปากประตูเท่านั้น เพราะอาการท้องร่วงอย่างแรงบังเกิด แม้ในความสลัวของแสงจันทร์ ก็ยังสามารถเห็นได้ว่า มีเลือดปนออกมา   มันเป็นอาการของโรคบิด เขารู้ดี..เพราะนักโทษในค่ายส่วนใหญ่ก็ต้องตายเพราะโรคนี้    จาคเริ่มกลัวจนตัวสั่น..ยืนแทบไม่ติด แต่เขาพยายามคลานกลับไปที่ชั้นนอนจนได้ กระหายน้ำจนคอแห้งเป็นผง ในท้องแสบราวกับมีไฟรุม  เขาจะถึงที่ตายหรืออย่างไรนี่?

            "ผมไม่สามารถลุกขึ้นเพื่อไปเรียกแถวได้ ..ได้แต่นอนคราง จับไข้ หนาวสั่น คาโปคนที่ตัวสูงๆ เข้ามาดู ท่าทางเขาไม่ร้ายกาจอะไรนัก หรืออาจเป็นว่ามีเมตตาต่อผมบ้างกระมัง เขาได้กระซิบบอกผมว่า..  ต้องพยายามลุกขึ้นนะ   แต่ผมลุกขึ้นยืนเองไม่ได้ เขาเลยช่วยพยุง  และราวกับพระมาโปรด เพราะเขาพาผมไปยังเรือนพยาบาล ซึ่งผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า มีอยู่ด้วย"

            ภายในเรือนพยาบาลนั่น..มีเตียงเรียงเป็นตับ คลิ่นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียน หมอเข้ามาตรวจ พร้อมวินิจฉัยได้ว่า เขาเป็นบิดจริงๆ  แต่..ไม่มียาจะให้..ผู้ช่วยหมอที่เป็นนักโทษเช่นกันนั้น เอายาน้ำขมๆ มาให้กิน บอกว่าจะช่วยประทังได้บ้าง   ยานั้น..มันคือถ่านบดละเอียดผสมกับน้ำ

 

         

 

            คนป่วยรอบข้างเขานั้น ล้วนแล้วแต่เจ็บหนักเจียนตาย มุมห้องมีถังตั้งไว้เพื่อใช้แทนส้วมที่ทุกคนต้องไปช่วยเหลือตัวเอง..    จาคหลับไปนานมาก ตื่นขึ้นมาเขาก็เพ้อ..แต่ในความพร่าพรายของสายตา เขามองเห็นเลือนๆ ว่า    มีนักโทษสองคนกำลังเคลื่อนย้ายศพของคนไข้ที่อยู่บนเตียงทางซ้ายมือของเขาออกไป  ยาถ่านนั่นถูกส่งมาป้อนให้อีก ทุกครั้งที่เตียงว่าง คนไข้ใหม่ก็จะถูกส่งมาแทนที่อย่างรวดเร็ว  จาคเองก็หลับๆ ตื่นๆ แต่อย่างไรเสีย ทุกครั้งที่ตื่นเขาก็ต้องกินยาที่ว่านั่นทุกครั้ง..  ในวันที่สาม คนป่วยถูกส่งมาเป็นจำนวนมาก จนต้องให้นอนเรียงกันที่พื้น..จาคเริ่มรู้สึกดีขึ้น แต่ยังอ่อนเพลียอยู่มาก    ในความลางเลือน..เขาพอมองเห็นว่า หมอเดินไปที่เตียงแล้วเตียงเล่าพร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ ที่ทำการฉีดให้กับคนไข้เหล่านั้น     และเห็นได้ทันทีว่า เพียงไม่กี่นาที คนไข้ก็มีอาการชักกระตุก และสิ้นใจ......... นั่นคือ การฆาตกรรมที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาโดยหมอ   ผู้ช่วยสองคนที่เดินตามหลังก็จะทำหน้าที่ย้ายศพออก เพื่อให้เตียงว่าง..

            หมอกำลังเดินมุ่งหน้ามาที่เตียงของเขา..จาครีบผลุดลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่กำลังเวียนหัวอย่างบอกไม่ถูก และด้วยกำลังใจอย่างเข้มแข็ง  เขารีบลงจากเตียงและลุกขึ้นยืน ค่อยๆ ยื่นเท้าก้าวออกไปทางประตู แต่เขาก็มาสะดุดร่างของคนป่วยที่นอนระเกะระกะอยู่กับพื้นจนแทบลงไปล้มหัวคะมำ   ก่อนที่จะหาทางออกมาได้ เขาต้องใช้วิธีทั้งคืบและคลาน..และเมื่อมาถึงประตู เขาต้องฝืนใจก้าวเดินให้เหมือนกับเป็นปรกติและกลับไปยังโรงนอนให้ได้   หัวใจเริ่มเต้นโครมคราม เพราะใครจะไปรู้ว่า ยามจากหอคอยจะไม่จ่อปากกระบอกปืนมาที่เขาแล้วลั่นไก..

            เผอิญว่า มีนักโทษคนหนึ่งที่กำลังทำงานแถวนั้นผ่านมา ถามเขาว่า จะไปที่โรงนอนไหน..   จาคตอบได้ทันที เพราะเขาจำหมายเลขมันได้อย่างขึ้นใจ..และไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็ได้กลับมาที่โรงนอนด้วยความอนุเคราะห์ของเพื่อนนักโทษผู้อารี  คาโปตัวสูงนั่น ไม่ได้ว่าอะไรสักคำ !!

 

      

 

            เช้าวันต่อมา..นักโทษเบอร์ 16013 ก็ไปปรากฏตัวที่แถวพร้อมถูกเรียกชื่อ..ถึงแม้ว่าจะระโหยโรยแรง แต่เขาก็สามารถฝืนใจทำได้     ฮิตเล่อร์มันจะรู้ไหมนะ..ว่า ไอ้เชลยเดนตายคนนี้..มันมีชีวิตรอดอีกแล้ว..!!

            ในฤดูใบไม้ร่วงของปี 1943 จาคถูกย้ายค่ายอีกแล้ว ครั้งนี้เขายืนรอแถวเพื่อรับการตัดผม หางตาเขาชำเลืองแวบไปที่นักโทษที่ยืนใกล้ๆ   ปรากฏว่าเป็นชายอายุอานามไล่เลี่ยกันกับเขา แม้ว่าศรีษะจะถูกโกนจนโล้นเลี่ยน ก็ยังสามารถบอกได้ว่า เขามีผมสีแดง ตาสีฟ้า ใบหน้ามีรอยกระ   ชายคนนั้นทักทายเขาด้วยภาษาโปล์ว่า

            "ผมชื่อโมเนค..แล้วคุณล่ะมีชื่อหรือเปล่า คุณนักโทษเบอร์ 16013?"

            จาคมองเขาอย่างเฉยเมย เพราะ ไม่มีใครยิ้มให้ใครในค่าย ไม่แม้กระทั่งอยากจะถามชื่อเสียง แต่รายโมเนคนี่ อย่างน้อยเขาก็มีน้ำใจทักทายและ มาจากโปแลนด์เหมือนกัน  ผู้คุมเดินอกตั้งผ่านไป..โมเนคแอบมองไปที่หอคอยนิดหนึ่งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครจับจ้องดูอยู่..แล้วเขาก็แอ่นอกขึ้นทำท่าล้อเลียนผู้คุมที่เพิ่งเดินจากไป  จาคถึงกับต้องหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน..และต้องประหลาดใจในตัวเองขึ้นมาทันที..ว่า..   เขายังหัวเราะเป็นอยู่หรือนี่?

            โมเนค..ได้จัดการเล่าเรื่องราวความเป็นไปในค่ายให้จาคฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน..ว่า คาโปคนไหนเป็นอย่างไร และข้อมูลเกี่ยวกับตัวเองว่า   มาจากเมือง วัลบรอม ที่อยู่ทางใต้ของโปแลนด์ และเข้ามาเป็นนักโทษตั้งแต่ปี 1940 สามปีเข้านี่แล้ว..ซึ่งมากกว่าจาคเกือบเท่าตัว   โมเนคอายุ 18 แก่กว่าจาคปีหนึ่ง และมีชีวิตที่คล้ายๆ กัน กล่าวคือ ทั้งครอบครัวถูกส่งไปอยู่ในสลัมก่อน จากนั้นก็ถูกเกณฑ์ตัวส่งออกค่าย  ต้องพลัดพรากจากผู้เป็นที่รัก และ..ความตั้งใจที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัว..ก็เช่นเดียวกัน..   โมเนค..ถูกย้ายมาหลายค่ายแล้ว และมีความสามารถในการเป็นช่างไม้ทั้งๆ ที่ไม่เคยได้รับการฝึกหัดเฉพาะทางมาก่อน

 

        

 

            เขาเล่าว่า   "ตอนที่ผมเข้ามาในค่าย มีคนบอกว่า..ช่างไม้เพิ่งตายลงไป และกำลังต้องการคนมาแทน ผมเลยรีบอาสาเพราะเห็นว่ามันเป็นงานเบาถ้าเทียบกับงานอื่นๆ "

            โมเนคยักคิ้วหลิ่วตา ลดเสียงเป็นกระซิบกระซาบให้ฟังต่อว่า   "ผมไม่เคยเป็นช่างไม้มาก่อน แต่เรียนรู้ได้เร็วมาก เร็วกว่าไอ้พวกหน้าโง่ SS ที่ไม่เคยจับได้ว่าผมโกหกซะอีก ก็เลยเอาตัวรอดมาถึงบัดนี้ไง งานสบายไม่ต้องเหนื่อย"

            ซึ่งชีวิตของโมเนคตรงนี้ช่างตรงข้ามกับของจาคที่ต้องทำงานหนักมาโดยตลอด จนในระยะหลังๆ มานี่ เขาเริ่มท้อใจ คิดว่าการที่จะมีชีวิตอยู่ให้ยืนยาวนั้น เห็นท่าจะยาก

            เพราะตอนนี้..ใครๆ ต่างก็รู้เรื่องห้องรมแกสกันหมดแล้ว..ไม่มียิวคนไหนจะเล็ดรอดเงื้อมมือของฮิตเล่อร์ไปได้ การสังหารหมู่นั้นเป็นความจริง   เพราะสภาพค่ายที่แออัดไปด้วยนักโทษ ผู้คุมมีวิธีที่จะอำนาจจัดการกับนักโทษที่ไร้ประโยชน์ได้ทุกเมื่อ    การรมแกส และส่งเข้าเตาเผา มีปฏิบัติในแทบทุกค่าย และด้วยเหตุผลนี้เอง ที่บั่นทอนขวัญและกำลังใจของจาคจนแทบไม่เหลือ    เขาไม่เข้าใจเลยว่า พระเจ้าท่านทนเห็นเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?

            โมเนคไม่เห็นด้วยกับจาค เขาว่า    "อย่าไปคิดเป็นดีที่สุด ถ้าคุณมัวแต่สงสัยว่าทำไมแล้วละก้อ..เอาตัวไม่รอดหรอก คิดแค่เดี๋ยวนี้..กับวันพรุ่งนี้ในอนาคตเถอะ"   พูดไปเขาก็ส่งขนมปังจากกระเป๋ามาแบ่งให้จาค พร้อมกล่าวต่อว่า.."มีชีวิตก็ต้องมีความหวัง"

            เช้าวันต่อมา..ทั้งคู่ถูกสั่งไปทำงานในที่เดียวกัน ตกเย็นก็มายืนรอรับอาหารด้วยกัน อาหารแย่เช่นเดิม แต่เป็นเพราะอารมณ์ขัน ขี้เล่นของโมเนค   ทำให้ทุกอย่างไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก   ขนาดผู้คุมเองไม่ได้ว่าอะไร.. บางครั้งยังเผลอมาเงี่ยหูฟังยามที่โมเนคเล่าเรื่องตลก หรือ บางทีก็แอบยิ้มในการออกท่าออกทางของเขา

 

          

 

            "จาค..คุณเคร่งเครียดจนเกินไปหรือเปล่า?" นี่คือคำพูดที่โมเนคถามเขาบ่อยๆ และ จากนั้นเขาชอบเล่าเรื่องขำๆ ให้หัวเราะเสมอ  ซึ่งนับว่าช่วยได้มากในสถานะการณ์เช่นนั้น   ในวันหนึ่ง ทั้งสองคนได้รับคำสั่งให้ไปขัดถูพื้นในห้องเก็บอาหารของพวกทหารหน่วย SS ผู้คุมนำพวกเขาไป พร้อมทั้งยืนเฝ้าอย่างไม่กระพริบตา   จาคมองรอบๆ ห้องไปอย่างตื่นตาตื่นใจ..เพราะมันเปรียบได้เสมือนกับห้องเก็บมหาสมบัติ..บนชั้นหลายๆ ชั้นนั้น เต็มไปด้วยก้อนเนยใหญ่ๆ ขนาดก้อนละปอนด์     ที่ห่อในกระดาษใขอย่างดี ขวดโหลที่บรรจุแยมผิวส้มมีมากมายเรียงเป็นตับ เขารู้ได้ทันทีว่า โมเนคก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ว่าต้องขโมย..    พวกเหล่า SS ไม่มีวันรู้หรอกว่าของจะหดหายไป เพราะมันมีออกมากมาย..เพียงแต่ถ้าถูกจับได้ละก้อ..

            "ผมรู้สึกว่า อาหารที่มากมายมากองอยู่ที่นี่นั้น มันมาจากข้าวของของพวกเราที่มันไปยึดเอามา มันปล้นเอาจากพวกเราไปทุกอย่าง บ้านช่อง เงินทอง  หรือแม้กระทั่งความเป็นมนุษย์ ฉะนั้นถ้าจะเอาคืนมาบ้างก็นับว่าเพื่อความสะใจ"

            ขณะที่เขาทั้งสองกำลังขัดถูอย่างชนิดมือเป็นระวิงนั้น  โมเนคเริ่มทำสัญญาณให้รับรู้ว่า เขากำลังจะล่อให้ผู้คุมมาสนใจตอบคำถาม  และจากนั้น จาคต้องรีบหยิบก่อนเนยโยนใส่ถังน้ำที่ใช้ซักผ้าขี้ริ้วจนดำปี๋ ซึ่งจาคได้ทำดังว่าทันทีที่ผู้คุมหันไปทางโมเนคซึ่งถามว่า   จะขออนุญาตนำถังไปเปลี่ยนน้ำใหม่...  จาคหิ้วถังเดินออกจากห้องด้วยความระวัง ถ้าขืนเขาทำถังหลุดมือไปต่อหน้ายามละก็..ตายสถานเดียว   เมื่อออกมาข้างนอก ยังต้องระวังสายตาจากผู้คุมบนหอคอยอีกต่างหาก เขามองไปรอบๆ ตัวก่อนที่จะจับเนยก้อนนั้นยัดเข้าไปในกองไม้และขยับปิดให้เรียบร้อย  ไม่ให้ใครเห็น เมื่อกลับมาในห้อง จึงได้บอกโมเนคถึงที่ซ่อน

 

          

 

            เมื่อถึงคราวที่โมเนคต้องนำถังไปเปลี่ยนน้ำ คราวนี้..เป็นโหลแยมผิวส้ม   พอตกกลางคืน เขาทั้งสองก็รีบออกมาเอาของที่ซ่อนกลับไปยังโรงนอน ในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อนนักโทษทุกคนต่างได้ลิ้มรสอาหารวิเศษ    ถึงแม้ว่าจะกินกับขนมปังขี้เลื่อยก็ยังเอร็ดอร่อย..   จาคยังข้องใจว่า   "มันคุ้มกับที่เอาชีวิตไปเสี่ยงหรือไม่..อาจจะไม่ละนะ แต่เป็นเพราะเราอดอยากจนต้องหาอะไรมายาใส้เพราะสิ่งที่เขาให้เรานั้น มันยังชีวิตให้อยู่รอดไม่ได้

            ยิ่งในปี 1944 นั้น ทุกอย่างยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม    ทั้งโมเนคและผม ต่างก็หิวจนใส้กิ่ว"    อีกปีหนึ่งแล้วที่วันเกิดครบรอบ 17 ของจาคได้ผ่านไปอย่างที่ไม่รู้ตัวเช่นเคย..   ข่าวลือ..ว่า กองทัพอเมริกันได้รับชัยชนะในยุโรป   ฮิตเล่อร์สั่งให้ยิวในฮังการีเข้าไปอยู่ในค่ายให้หมด นั่นหมายถึงสภาพยิ่งแน่นอัดเข้าไปอีก   นักโทษเจ็บป่วยล้มตายไปเป็นอันมาก จำนวนศพที่เพิ่มขึ้น ทำให้เตาเผาต้องทำงานทั้งกลางวันกลางคืน  ในยามเรียกแถว..ก็มีการคัดเลือกฆ่าผู้ที่มีแววว่าอ่อนแอกันแบบทันทีทันใด

            "เราต้องเอากระดาษยัดใส่กระพุ้งแก้มเพื่อให้ดูหน้าอิ่ม มีพลานามัย..ทำให้ผมคิดถึงสมัยที่แม่บ้านที่เอามือถูกับถุงกาแฟสีแดง แล้วเอามาทาหน้า   เพื่อให้แก้มแดงเพื่อความสวยงาม..แต่ตอนนี้ผมต้องพยายามทำแก้มให้มีสีแดง เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไปอีกวัน"

 

         

 

            ทั้งจาคและโมเนคต่างหมดสภาพด้วยกันทั้งคู่   เมื่อยามที่ต้องไปทำงาน ทั้งคู่ต่างส่ายตาหาของกินกันอย่างเอาจริงเอาจัง ได้อะไรก็เอามาแบ่งกันกินในตอนกลางคืน

            "ในบริเวณรอบๆ ค่าย แม้แต่หญ้าก็ไม่เหลือ พวกนักโทษต่างเด็ดไปกินจนหมด"

            โมเนคได้รับงานให้ไปซ่อมกรงสุนัขของพวกทหาร ซึ่งพวกหมาๆ นั่นพอมาเจอกับนักโทษที่ไม่ได้ถูกควบคุมถึงกับกลัวจนหางจุก..  เขาได้แอบหยิบบิสกิตรูปกระดูกที่เป็นอาหารหมาติดมือมาสองสามอัน ซึ่งจัดได้ว่าเป็นอาหารมื้อค่ำเลิศรสมื้อหนึ่งระหว่างเขาทั้งสอง

            เพราะนักโทษที่ล้มตายกันมากนั้น ปัญหาใหญ่คือการจัดการกับศพที่ทำไม่ทัน จาคได้รับคำตอบว่า ที่ค่ายนี้ไม่มีเตาเผาศพอย่างค่ายอื่นๆ   ทั้งสองจึงได้รับหน้าที่ช่วยกันนำศพขึ้นรถบรรทุก และไปโยนทิ้งในหลุมนอกค่าย และพวกเขาไม่พยายามที่จะมองหน้าศพที่ส่วนใหญ่ตายเพราะการอดอยาก   ช่างเป็นภาพที่แสนรันทด แม้แต่โมเนคก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ จาคเองก็นิ่งอั้น..ในสมองเขาคิดว่า

            "ใครเล่า..จะเป็นคนโยนศพเขาลงหลุม?" แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากให้โมเนคได้รับฟัง เพราะว่า เขายังหวังเสมอว่าจะยังคงมีชีวิตอยู่  เพียงแต่วันนั้น..เขารู้สึกอ่อนแอในจิตใจอย่างประมาณไม่ได้ เพราะ  "มันไม่ใช่แค่เป็นงานที่เลวร้ายที่สุดตั้งแต่ทำมาเท่านั้น แต่เป็นเพราะตลอดเวลาที่ทำงานนั้น ผมต้องยืนอยู่ในหลุมที่มีน้ำที่เย็นเฉียบสูงถึงเอว  เพื่อที่จะขุดให้มันลึกไปกว่าเดิม ทั้งตัวมีแค่เครื่องแบบที่บางเฉียบ ไม่มีชุดชั้นใน ไม่มีถุงเท้า ไม่มีถุงมือ มันช่างลำเค็ญเหลือเกิน   และยามที่ผมต้องโยนพวกเขาลงไปในหลุม..ผมรู้ดีว่า พวกเขาผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส แต่เขาก็ยังโชคดีที่ทุกอย่างได้จบลง พ้นทุกข์เสียที..และพวกเขานั่นแหละ คือ ผู้ที่โชคดี"

 

 

 

            ทุกๆ เช้า จาคต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับความหิวโหยที่สุดบรรยาย หิวจนแสบท้องไปหมด คนที่มีความหิวขนาดนั้นไม่สามารถคิดถึงเรื่องอื่นใดได้นอกจากเรื่องอาหาร

            อาหาร..คือสิ่งเดียวที่เหล่านักโทษทุกคนได้แต่หวังว่า..ขอให้ได้กินอาหารดีๆ สักอิ่มเดียว จะเอาชีวิตไปก็ยอม  โมเนคมักพูดถึงเสมอว่า ถ้าเมื่อไหร่เขามีอิสระ..ทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องนี้แววตาเขามีประกายระยับด้วยความหวังแสนบรรเจิด..ว่า  เขาจะเลือกขนมปังอบใหม่ๆ ก้อนที่โตที่สุด หั่นมันออกเป็นชิ้นๆ และจะกินมันในทุกรูปแบบ ละเลียดมั่ง ยัดใส่ปากมั่ง ตามความพอใจที่จะทำ   ส่วนความฝันของจาค..มีสีสันกว่านั้นมาก

            "มื้อที่เขาฝันถึง คือ แน่นอนว่า..มันต้องเป็นอาหารที่ปรุงโดยรสมือของแม่ เริ่มจาก ซุปไก่ที่ใส่เส้นพาสตา ตามด้วยเป็ดอบ รวมทั้งเครื่องเคียงสารพัด  เช่นมันฝรั่งทุกประเภท กระหล่ำปลีและผักทุกชนิด ขนมปังร้อนๆ เราจะกินกันให้เต็มที่ ของหวานก็ต้องเป็น แอปเปิล สตรูเดิล เครื่องดื่มก็ต้องเป็นน้ำมะนาว  ชนิดที่ทำมาจากมะนาวสดจริงๆ "

            แม้ว่าในโลกของความเป็นจริง ท้องใส้ของเขาจะกิ่วเพราะความหิวก็ตาม แต่ในโลกของความฝันและความทรงจำ เขายังคิดถึงความสุขที่ได้อยู่กินพร้อมหน้าพี่น้องเสมอ   พาลนึกไปถึง ครั้งยามที่เป็นเด็กที่เขามักรำคาญเสมอ ที่แม่พยายามอ้อนวอนให้กินเข้าไปเยอะๆ แม้ว่าจะอิ่มแสนอิ่ม

            เมื่อความคิดคำนึงได้สะดุดลง..หันมาดูตัวเองที่แสนโสมม เต็มไปด้วยเหา ในค่ายกักกันที่มีแต่ความหิวโหยและคนที่ทะยอยตายไปด้วยความทรมาน  เพราะทุกๆ วันสิ่งที่นักโทษได้รับคือ ซุปที่ใสราวกับน้ำ ขนมปังเทียมๆ ที่นับวันชิ้นจะเล็กลง เล็กลงทุกวัน..

            ไข้รากสาดคร่าชีวิตนักโทษไปเป็นจำนวนมาก โมเนคเริ่มใจไม่ดี เพราะเขาเกรงว่าจะได้รับเชื้อเพราะไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างจาค     ส่วนจาคไม่กังวลถึงเรื่องนี้ หากแต่..เขาเริ่มเป็นกังวลในเรื่องของการอยู่รอดที่ความหวังเริ่มริบหรี่ เพราะ การกินอยู่ที่อัตคัตมันทำให้เขาอ่อนแอลงไปทุกที    และถ้าอ่อนแอจนทำงานไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า ต้องถูกกำจัดออกไปยังห้องรมแกสเช่นคนอื่นๆ

            ป.ล. เรื่องโภชนาอาหารยิวนี่ เดี๋ยวจะสงสัย ชาวยิวมีกฏที่มากมายค่ะ แต่ ไก่ เป็ด ห่าน นี่ทานได้ แต่สัตว์มีปีกประเภทนกนี่ไม่ได้  ปลาก็ต้องชนิดที่มีครีบ มีเกล็ด เท่านั้น..เนื้อ ก็ต้องเชือดโดยวิธีของยิว โดยชาวยิวที่ทำหน้าที่นี้ส่วนใหญ่คือรับไบ และต้องใช้ดาบที่คมกริบไม่มีรอยบิด และต้องมีการรีดเลือดออกให้หมดก่อนแล่   (เป็นที่ยอมรับในโลกปัจจุบันว่า วิธีนี้คือวิธีที่ถูกต้องที่สุด เพราะสัตว์จะไม่ทรมาน  และใช้เวลาแค่สองวินาที)  ผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากองุ่น..เช่น ไวน์,ลูกเกด,น้ำองุ่นสกัด ที่ชาวยิวจะใช้อย่างคนทั่วไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นผลองุ่นสดทานได้ค่ะ..     อาหารสำเร็จรูปต้องมี.. สัญญลักขณ์อักษร K ที่หมายถึง kosher กำกับเท่านั้น.. นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ชาวยุโรปต่างต่อต้านและรังเกียจยิว เพราะว่า ยิวไปอยู่ที่ไหนไม่ได้สร้างเสริมเศรษฐกิจให้กับคนอื่นๆ นอกจากพวกเดียวกันเอง เพราะกฏบัญญัติข้อห้ามมีมากมาย    แต่ถ้าเข้าใจซึ้งๆ แล้ว พวกเขาประชาธิปไตยมากค่ะทั้งๆ ที่พระบัญญัติมีมานานนับพันๆ ปีมาแล้ว ที่มีการแต่งงานกันโดยไม่ต้องมีพระมารับรู้หรือทำพิธีใดๆ ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างคนสองคน   สามีไม่สิทธิ"ขืนใจ" ภรรยาถ้าเธอไม่พร้อม และ ห้ามการตบตีภรรยาอันเป็นเด็ดขาด...!!  .......................วิวันดา

 

            

 

            ฤดูหนาวของปี 1944 ที่กำลังจะย่างเข้าปี 1945   จาคและโมเนค รวมทั้งเหล่าบรรดาเพื่อนนักโทษได้ถูกส่งตัวไปทำงานภาคสนาม นั่นก็คือ  ออกไปเก็บชิ้นส่วนซากปรักหักพังของอาคารที่ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดฝากไว้ทั่วพื้นที่ในเยอรมันนี   พวกเขาต้องเก็บกันทั้งวัน มีพวกประชาชนชาวเมืองยืนดูอยู่ห่างๆ แต่พวกเขาไม่ได้แสดงความสนใจในตัวนักโทษที่ต่างมีสภาพเหมือนศพกันแต่อย่างไร

            การระเบิดที่ร่วมกันหลายทัพ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ รัสเซีย และอเมริกา นั้น มันกำลังหมายถึงว่า ฮิตเล่อร์กำลังแพ้สงครามหรืออย่างไร? จาคเริ่มถามตัวเอง  ข่าวลือที่ว่า รัฐบาลของฮิตเล่อร์กำลังล่มสลาย รัสเซียกำลังยกทัพเข้ามาบดขยี้เยอรมันนั้น จริงหรือไม่ ..ถ้าจริง..พวกเขาจะมาทันช่วยพวกเราไหมนะ  ที่สงสัยเช่นนั้น เพราะ จาครู้สึกตัวดีว่า ความเป็นนักสู้ของเขากำลังจะเลือนหายไป เพราะจากรูปร่างที่เชื่อว่ามีน้ำหนักไม่ถึงร้อยปอนด์   จริงอยู่ที่ในอดีต เขาคือเด็กหนุ่มร่างสูงเพรียว แต่บัดนี้เขาเหมือนกับชายแก่ที่มีร่างไม่ต่างกับซากศพ การที่จะอยู่รอดรออิสระภาพได้นั้นคือ การที่ต้องได้กินอาหาร   อันถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สำหรับชีวิตการเป็นอยู่ในสภาพนักโทษในค่ายที่ขาดแคลนไปหมด

            แต่แล้ว..สิ่งมหัศจรรย์ที่ว่านั่นก็มีจริง เพราะจาคและโมเนคได้ถูกส่งตัวไปทำงานในโรงครัว ในการเป็นลูกมือช่วยปอกมันฝรั่งสำหรับการปรุงอาหารของพวกผู้คุม ขณะทำงานซึ่งแน่นอนว่า   มีทหารหน่วย SS คุมอยู่อย่างใกล้ชิด ทั้งคู่นั่งปอกมันที่กองพะเนินเทินทึกทั้งวัน   เนื้อมัน..เอาไปปรุงซุปให้กับทหารและพวกผู้คุม เปลือกเอาไปทำซุปให้นักโทษ    เขาทั้งสองพยายามแอบปอกให้หนาเข้าไว้ เพื่อเพื่อนนักโทษจะได้มีกิน ต่อชีวิตยืนยาวต่อไปอีก  และไม่ลืมที่จะแอบเก็บเศษมันฝรั่งนั่นไว้ในกระเป๋าเพื่อเอาไปกินในยามค่ำคืน  พวกเขาพยายามทำตัวดีให้เป็นที่ไว้ใจ โมเนคเริ่มกลับมาเล่าเรื่องขำๆ เหมือนเดิม เพื่อให้ทหารที่คุมเพลิดเพลินหายเครียด   ผู้คุมนั้น ก็เป็นคนเดียวกันทุกวัน ที่ต้องทำตัวเคร่งครัด ดุด่า และขู่ฟ่อว่าถ้าทำงานช้า เป็นโดนฟาดแน่ๆ    แต่เรื่องนั้น..ไม่เคยเกิด ผู้คุมไม่เคยต้องมาลงไม้ลงมือ   ไม่แม้กระทั่งจะบอกให้โมเนคหุบปาก

            หลังจากที่การปอกมันฝรั่งติดๆ กันมาหลายอาทิตย์นั้น  นับว่าเป็นโชคดีของสหายร่วมตายทั้งสอง เพราะการที่ได้ทำงานข้างในอาคารไม่ต้องออกไป   ยืนกลางหิมะนั่นก็ถือว่าได้ต่อชีวิตไปอีกเฮือกหนึ่ง..

            เช้าต่อมาที่สองสหายได้ออกไปยืนรอเรียกแถวเพื่อรับงาน จึงได้รับรู้ว่า คนครัวหลายคนได้ป่วยตายเพราะไข้รากสาด ผู้คุมจึงสั่งให้จาคและโมเนค ต้องเข้าไปทำงานแทนที่  คำสั่งนั้นราวกับพรจากพระเจ้า เขาทั้งสองพยายามมองผู้คุมเพื่อจะค้นหาว่า เขาให้งานนี้เพราะความปรานีหรือไม่?    แต่ ผู้คุมไม่ยอมสบตาตอบ..และจากนั้น เขาก็ไม่เคยพบกับผู้คุมคนนี้อีกเลย   เพราะว่า..งานในครัวในฐานะเป็นกุ๊กนั้น จัดว่าสูงส่งที่สุดในบรรดางานทุกชนิดในค่าย เพราะมันหมายความว่า เขาจะไม่ขาดสารอาหารอีกต่อไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอาหารเลวๆ ก็เถอะ    อีกทั้ง..กุ๊กในค่ายนรกอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอาหารเก่ง.. แค่มีความสามารถต้มเปลือกมันฝรั่งกับผักเน่าๆ เป็น..ก็ถือว่าใช้ได้   ทั้งสองรีบรุดไปที่ครัวอย่างเร็ว..ราวกับว่าถ้าไปช้าเพียงเสี้ยววินาที จะมีคนอื่นมาแทนที่    ในครัวที่กว้างขวางใหญ่โตนั้น อบอุ่นดีจริง    ตรงกลาง..มีหม้อขนาดใหญ่สูงขนาดสี่ฟุตห้อยแขวนอยู่บนเตาถ่านหิน และซุปนั้น ไม่จำเป็นต้องมีอัตราสัดส่วนในการปรุง ทุกอย่างที่ใกล้มือจับใส่หมด..    พวกเขาไม่อนุญาตให้มีการล้างผัก หรือหักส่วนเน่าทิ้ง    ผักขมใส่มันลงไปทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยทรายที่เกาะติดมากับราก

            "ซุปมีกรวดทราย..มีกลิ่นเหม็นเน่า รสชาติเลวสุดๆ แต่พวกเราก็คุ้นเคยกับมัน การทำต้องต้มเอื่อยๆ ทิ้งไว้ทั้งคืน พวกเราจัดที่ที่มุมหนึ่งเอาไว้สลับกันนอน   แต่การเฝ้าดูนั้นเราทำกันอย่างจริงจังเพราะไม่อยากให้มีการผิดพลาด ผู้คุมก็ผลัดเวียนกันเข้ามาดู แต่ในบางจังหวะที่ปลอดยาม เราก็จิ๊กเก็บเอาไว้กินบ้าง   เก็บไปให้เพื่อนบ้าง

            อาหารของผู้คุมแท้จริงแล้วมันทำมาจากที่อื่น เพียงแต่นำมาให้ที่นี่อุ่นให้ จาคเล่าว่า   "เราจะแบ่งมันออกมาใส่หม้อเล็กๆ ที่พอหาได้ ความจริงในภาวะขาดแคลนเช่นนี้ อาหารของผู้คุมก็ไม่ได้ดีกว่าของเราไปเท่าไหร่ เพียงแต่มันไม่มีผักเน่า และสะอาดกว่า ขนมปังก็ไม่มีขี้เลื่อยผสม"

 

          

 

            ครั้งหนึ่งขณะที่พวกเขากำลังตั้ง"หม้อเล็ก" นั่นบนเตา..เสียงฝีเท้าผู้คุมกำลังกึงกังเข้ามา หม้อเล็กที่ว่านั่นถูกหยิบหย่อนตุ๋มลงไปใส่ในหม้อใหญ่อย่างทันทีทันควัน  หรือ ขณะที่ผู้คุมกำลังนับก้อนขนมปังขี้เลื่อย  โมเนคมักขัดจังหวะด้วยวิธีสารพัด จนมีการนับผิดนับถูก ซึ่งส่วนที่เหลือนั้นพวเขากันเอาไปให้เพื่อนนักโทษให้กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ

            ต่อมา..ภาวะขาดแคลนอาหารเริ่มเข้าขั้นวิฤกติขึ้นทุกที นักโทษได้รับแจกคูปองที่ต้องเจาะรูทุกครั้ง เพื่อป้องกันมิให้มีการเวียนเทียนรอบสอง   ทั้งจาคและโมเนคไม่จำเป็นต้องใช้ เขาจึงให้เพื่อน ของจาคเขาให้ไว้กับเพื่อนนักโทษที่มีนามว่า ซาเลค  ซึ่งซาเลคได้ตอบแทนด้วยการเอาเครื่องแบบไปซ่อมและทำความสะอาดให้   แต่แล้ว..ในที่สุดก็มีคนไปฟ้องจนได้ ว่า ทั้งสองคนได้มีการกระทำตุกติกกับบัตรอาหาร

            ผู้คุมได้แห่เข้ามาในขณะที่คนทั้งสองกำลังรินน้ำใส่หม้อซุป จาคเล่าว่า

            "เราได้ยินเสียงรองเท้าบู๊ทย่ำเข้ามา จากนั้นพวกเขาก็มายืนรายล้อม จ่อปากกระบอกปืนเข้าหาอย่างเอาจริงเอาจัง เรารีบชูมือทั้งสองขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะโดนข้อหาอะไร   สักประเดี๋ยว ก็มีหัวหน้าผู้คุมเข้ามาแต่งตัวด้วยเครื่องแบบที่เรียบกริบ รองเท้าเป็นเงาวับ..เป็นชายสูงวัย ผอม หน้าตาซูบซีด มีผมสีเทา ผมจำเขาได้อย่างแม่นยำ   เขาสั่งเสียงเข้มว่า เอาบัตรอาหารมาดูซิ"

            "เก็บอยู่ในกระเป๋าเสื้อขอรับ..กระผมได้บอกให้เพื่อนเอาไปใช้ และส่งคืนกลับมาหลังจากใช้ เพื่อว่า ในกรณีที่ท่านจะมาตรวจอย่างนี้"

            และด้วยมือที่สั่นเทา..เขาทั้งสองหยิบบัตรนั่นส่งให้ จาครู้ดีว่า อย่างไรเสีย..เขาคงไม่มีชีวิตรอดจากกระสุนปืนเป็นอย่างแน่นอน   แต่..หัวหน้าคนนั้นมีใบหน้าที่ฉายแสงไปด้วยความพอใจในคำตอบ เขาหันหลัง..ส่งสัญญาณให้ทุกคนกลับ..โดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ  ทั้งจาคและโมเนคแทบทรุดด้วยความโล่งอกที่รอดตายอีกครั้ง..

            "ผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่เขาไม่ฆ่า..หรืออาจเป็นเพราะหมายเลขที่หน้าอก ที่แสดงว่าเป็นนักโทษเก่า ซึ่งเขาก็คงเป็นคนเก่าคนแก่เช่นกัน"

 

        

 

            ครั้งหนึ่งเกิดมีม้าที่ผอมโซ..พลัดหลงทางมาแถวหน้าค่าย หรืออาจจะเป็นโรคเสียด้วยซ้ำ แต่นั่นมันหมายถึง โภชนาการด้านโปรตีนที่ทุกคนกำลังต้องการ   นักโทษที่เคยเป็นคนขายเนื้อ รับหน้าที่ชำแหละ  เนื้อส่วนใหญ่ใส่ลงไปในซุปของพวกผู้คุมที่เหลือจาคจัดส่งลงไปในหม้อซุปของนักโทษ

            "มันเป็นมื้อแห่งความทรงจำจริงๆ ถึงแม้ว่าจะไม่มากพอที่จะแบ่งกันอย่างทั่วถึง แต่ในยามหิวขนาดนั้น..เนื้อม้าก็เอร็ดอร่อยไม่เบา"

            ในเช้าวันหนึ่ง..ที่ไม่มีผู้คุมมาเฝ้าดู โมเนคต้องทำการไล่นักโทษยิวฮังเกเรียนที่เข้ามาขโมยอาหารในครัว จาคเล่าว่า

            "เราทั้งสองพูดภาษาฮังเกเรียนไม่ได้ จึงไม่รู้จะสื่อสารกันอย่างไร ขโมยนั่นก็ไม่ยอมออกไป โมเนคจึงต้องเข้าไปผลักให้ออกไปจากห้อง ชายคนนั้นขัดขืน  จึงต้องมีการตีกันวุ่นวาย ไอ้หมอนั่นถึงกับตะโกนด่าด้วยความเคียดแค้น แต่เราก็ต้องทำ ยังดีที่เราไม่เรียกผู้คุมมา.."

            สองเดือนที่ทั้งจาดและโมเนคทำหน้าที่เป็นกุ๊ก และ เป็นผู้ตัดแบ่งขนมปังขี้เลื่อยแจก..ทั้งคู่แข็งแรงขึ้นเพราะไม่อดอยากเหมือนเมื่อก่อน จนค่อนข้างมั่นใจว่า จะมีชีวิตเหลือรอดอยู่จนได้พบกับครอบครัวดังที่หวังไว้

            ตลอดฤดูหนาวของปี 1945 ข่าวลือว่ากองทัพรัสเซียได้ใกล้เข้ามา จนวันหนึ่งในเดือนมีนาคม เพียงคำเตือนล่วงหน้าแค่สองสามชั่วโมง สำหรับการย้ายค่ายแบบกระทันหัน   ข่าวที่ได้รับค่อนข้างสับสน ว่า..เพราะรัสเซียกำลังมา.. ไม่ใช่ซิ อังกฤษต่างหาก โอ๊ย..ใครบอก ฮิตเล่อร์ต้องการให้เราไปตายต่างหาก พวกผุ้คุมกำลังจะพาเราไปฆ่า   ใครว่ากัน..ฮิตเล่อร์กำลังชนะสงคราม และกำลังจะย้ายพวกเราไปทำงานอีกที่หนึ่ง..  ต่างคนก็ต่างว่ากันไป

            แต่เมื่อจาคได้ยินเรื่องการโยกย้ายครั้งนี้ เขารู้สึกตกใจ เพราะนั่นหมายความว่า เขาและโมเนคต้องกลับไปอดอยากต่อไป และ คงไม่มีชีวิตรอด   เขาทั้งสองได้ถูกสั่งให้นำสัมภาระในครัวนำขึ้นเกวียนบรรทุก และที่สำคัญคือ ไม่มีวัวและม้าที่จะลาก นักโทษต้องมาลากกันเอง

            ทันที่ที่ขบวนคาราวานนักโทษได้ออกจากค่าย ฝนเจ้ากรรมก็ตกลงมา..พวกผู้คุมมีผ้ากันฝนหุ้มตัว รองเท้าบู๊ทสูงถึงเข่า..แต่นักโทษมีแค่เครื่องแบบบางจ๋อยกับรองเท้าไม้เท่านั้น

            "เราเปียกโชกจนหนาวสั่นไปทั้งตัว ถนนเริ่มเป็นโคลน การลากจูงเกวียนก็ลำบากขึ้นทุกที เดินผ่านไร่ผ่านนา ตาก็สอดส่ายหาผักหญ้าตกหล่น หลงเหลือ  เพราะพวกเราหิวจนโซ พวกผู้คุมก็อดอยากเช่นกัน  หน้าที่ของเขาคือสั่งให้พวกเราเร่งฝีเท้าขึ้น   ทั้งๆ ที่ก็เหนื่อยล้าด้วยกันทั้งหมด พวกเขาก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าพวกเรา   พวกนี้โชคดีกว่าทหารหน่อยนึงถ้าไม่มีนักโทษให้คุม เขาก็ต้องถูกส่งออกไปรบในแนวหน้า"

 

       

 

            ขบวนการเดินทางได้มาหยุดเมื่อตอนค่ำ   ต่างคนต่างหาที่นอนกันไป ในไร่ หรือข้างถนน แล้วแต่จะเลือก จนหลายวันต่อมา..พวกเราก็ถึงที่หมาย  นั่นคือ ค่ายกักกันเดิร์นเฮา (Doernhau) ที่เหมือนๆ กับที่อื่น นั่นคือ ล้อมรอบไปด้วยขดลวดหนามไฟฟ้า    และหอยามที่มีพร้อมทั้งยามและปืนคอยจ้องระวัง  ทั้งหิวและเหนื่อยแทบขาดใจ จาคและโมเนค ก็ยังมีประสาทรับรู้ว่า ที่นี่แออัดไปด้วยนักโทษยิวจากฮังการี และไม่สามารถสื่อสารได้ถึงสภาพทั่วๆ ไปของค่าย

            ขณะที่เขาทั้งสองกำลังเดินผ่าฝูงนักโทษไปหาที่พักนั้น  จู่ๆ ก็ปรากฏว่า เขาตกอยู่ในวงล้อมของเหล่าพวกยิวฮังเกเรี่ยน..   หนึ่งในนั้นคือ ไอ้หัวขโมยที่โมเนคเคยไล่ตีให้ออกไปจากครัวในค่ายที่แล้ว..ไอ้หมอนั่นกำลังชี้ไม้ชี้มือ ฟ้องพรรคพวกฉอดๆ ..   ปรากฏว่า โมเนคถูกหิ้วไปยำโดยการรุมสะกรัมหมู่..จาคพยายามตะโกนเรียกหาคนช่วย แต่ใครคนหนึ่งได้เอามือมาอุดปากเขาไว้  จาคก็เริ่มดิ้น พร้อมสงสัยว่า พวกยามที่อยู่บบนหอคอยนั่นถึงไม่ขยับเขยื้อนทำอะไรลงไปสักอย่าง ทั้งๆ ที่พวกเขาก็มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด  จาคถูกหิ้วแกมลากออกมาโดยนักโทษสองคน ที่เอาเขาไปทิ้งไว้ที่ส่วนหนึ่งของค่ายโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน..  กว่าจะฟื้นขึ้นมาและกระเซอะกระเซิงหาทางกลับมาถึงที่เกิดเหตุเพื่อหาโมเนคเพื่อนรัก..แต่ไม่ปรากฏร่างของเขาที่ไหนเลย  จาคเริ่มประหวั่นพรั่นพรึง โมเนคหายไปไหน รวมทั้งคนอื่นๆ ด้วย..  เขาเดินตามหาจนดึกดื่น เข้าออกในเรือนนอนโน้นนี้..ตะโกนเรียกหา แต่ก็ยังไม่พบ

            จาคมองเห็นสภาพในโรงนอนที่เต็มไปด้วยนักโทษที่ใกล้ตาย ตาลอยคว้าง ร่างกายเหลือแต่กระดูก  เขารู้ได้ทันทีว่า คนเหล่านี้ล้วนแต่ติดเชื้อไข้รากสาดอย่างรุนแรง   และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกยามและผู้คุมจึงไม่มาเข้าใกล้..พวกเขาพยายามอยู่ห่างให้มากที่สุด   ค่ายนี้เลยตกอยู่ในอิทธิพลของพวกแก๊งค์ยิวฮังเกเรี่ยนไปโดยปริยาย

            คืนนั้น จาคและนักโทษที่เดินทางมาใหม่นับร้อยๆ ถูกสั่งให้ไปนอนบนพื้นคอนกรีตที่หนาวเย็น ไม่มีผ้าห่มแจกให้ หลายคนมีอาการไออย่างหนักหน่วง  บางคนถึงกับร้องไห้..

            "เราไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย ขนาดผมที่มีร่างกายที่แข็งแรงเพราะกินมาอย่างเต็มที่ในครัว ก็ยังแทบเอาตัวไม่รอด ใจมัวพะวงคิดถึงเป็นห่วงแต่โมเนค หวังว่าเขายังไม่ตาย"

            สภาพในค่ายย่ำแย่ถึงขนาดนักโทษจะได้ซุปแต่ถ้วยเดียวต่อวัน เปรียบเท่ากับน้ำเปล่าๆ ที่มีรสชาติเพิ่มขึ้นนิดหนึ่ง ขนมปังชิ้นเล็กๆ นั้นได้บ้างไม่ได้บ้าง  ในการยืนแถวเรียกชื่อในยามเช้า..นักโทษหดหายไปทุกทีทุกที เพราะเรื่องการเจ็บไข้และความอดอยากที่คร่าชีวิตไปอย่างมากมายต่อวัน  ปล่องไฟนั้นทำงานพ่นควันดำทั้งวันทั้งคืน..

            "วันไหนที่ไม่ต้องทำงาน ผมลากสังขารที่อิดโรยเดินตามหาโมเนคทั้งวัน จนเกรงว่าจะเป็นลมล้มพับไปซะก่อน กลางคืนก็กลัวว่าจะแข็งตาย ทั้งตัวเต็มไปด้วยเหา เพราะไม่มีทางไหนที่จะมีโอกาสทำความสะอาดตัวเองได้เลย    ผมไม่มีเพื่อน เพราะติดต่อพูดจากับใครก็ไม่ได้  และแน่ใจว่า โมเนคได้เสียชีวิตแล้วอย่างแน่นอน ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเหลือเกิน"

            "ผมอยู่ในค่ายนี้มา ห้าหรือหกอาทิตย์จนกระทั่งมีความรู้สึกได้ว่าอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินอาทิตย์ ทั้งๆ ที่ทนมาได้เกือบสามปี เพราะสภาพร่างกายและจิตใจที่ห่อเหี่ยว   หมดกำลังใจต้อสู้ ไม่มีแม้กระทั่ง..ความหวัง"

            และคืนนั้นเอง..ที่เป็นครั้งแรกที่นักโทษได้พบว่า ประตูโรงนอนถูกล๊อคอย่างแน่นหนาจากภายนอก   เราทั้งหมดได้ยินเสียงเครื่องบินของฝ่ายสัมพันธมิตร  อยู่เหนือน่านฟ้า เสียงระเบิดดังอยู่ตูมๆ ในระยะใกล้ๆ  บางคนที่สามารถแอบดูตรงช่องรอยแตกของไม้ที่ฝาผนังจะเห็นว่า ท้องฟ้าสว่างวาบไปด้วยปืนต่อสู้อากาศยาน

            จาคเริ่มรู้สึกตัวว่า...ค่ายนี้แหละคือเป้าหมายของการโจมตี..ซึ่งเขาไม่แคร์เลยสักนิดว่ามันจะถูกระเบิดให้เป็นจุลไปเมื่อไหร่..  หรือเขาอาจไม่มีโอกาสอยู่จนได้รับการปลดปล่อยให้มีอิสรภาพ   เขาห่วงอยู่แค่ว่า..ถ้าเยอรมันโดนบอมบ์จนราบเรียบเป็นหน้ากลอง ฮิตเล่อร์แพ้สงคราม..แล้วเขาตายไปก่อน  นั่นหมายถึงว่า..ผู้ชนะในเกมก็ยังคงเป็นฮิตเล่อร์ !!

            เช้าวันรุ่งขึ้น..เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความประหลาดใจ ที่ไม่มีเสียงโหวกเหวกของคาโป ไม่มีกระบองมาแกว่งเหนือหัว..   เขายันตัวให้ลุกขึ้นมาทั้งๆ ที่อ่อนเพลียหมดแรง  ข้างนอกเงียบสงัดอย่างผิดปรกติ นักโทษคนอื่นๆ เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน     จาคพยายามพยุงกายให้ยืนขึ้น นักโทษสองคนได้ช่วยกันงัดประตูให้เปิดออกด้วยความลำบาก แต่ ทั้งหมดรวมทั้งจาคก็พากันไปช่วยดันจนบานพับหลุดออกจากกัน   แสงอาทิตย์ได้สาดจ้าเข้ามาในห้อง   แต่เอ๊ะ..หรืออาจจะเป็นกลลวงให้พวกเราออกไป และปากกระบอกปืนจ้องอยู่พร้อมยิง..เพื่อการสังหารหมู่อย่างที่เขาว่ากัน

 

      

 

            จาคก็ย่างเท้าออกไปข้างนอก มองไปรอบๆ ตัว    เขาก็ต้องพบกับความประหลาดใจที่ข้างนอกไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลย   จาครีบออกไปกลางลานเพื่อที่จะดูบนหอคอย..  ที่นั่นก็ว่างเปล่า..พวกยามได้หลบหนีหายไปกันหมด    เขาตะโกนส่งเสียงบอกพรรคพวกลั่น มือก็ชี้ไปหยอยๆ ให้เห็นอย่างที่เขาได้เห็น..  เสียงนักโทษต่างโห่ร้องกันลั่น ต่างโผเข้ากอดกันกลม และพากันไปพังประตูให้กับโรงนอนอื่นๆ ก่อนที่จะพากันไปที่โรงครัว..   แต่ที่โรงครัวนั้น ว่างเปล่าเช่นกัน ไม่มีอาหารหลงเหลืออยู่  ที่บ้านพักพวกผู้คุมที่อยู่รายล้อมด้านนอกก็ปราศจากผู้คน

            นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้ว่า..ทุกคนถูกปลดปล่อย..ได้รับอิสรภาพอย่างแท้จริง..   โอ..สวรรค์โปรด ที่ไม่ต้องมีการสู้รบ ไม่ต้องชูมือยอมแพ้ให้ใครๆ อีก ทุกคนต่างหลบหนีเอาตัวรอดไปเอง เอาไปหมดแม้กระทั่งหมา อาวุธ อาหาร และ ธงนาซีก็ยังถูกปลดออกไปจากเสาธง

            ขณะที่จาคกำลังตื้นตันต่ออิสรภาพที่ได้รับ..มีใครคนหนึ่งได้เข้ามาตบที่บ่าเขาเบาๆ เขาหันขวับไปดู เห็น ภาพชายผมแดง หน้าตกกระ ตาสีฟ้า..ลางเลือนอยู่ในม่านน้ำตา..ก่อนที่จะรู้สึกตัวใดๆ เขาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของโมเนคเพื่อนรักที่คิดว่าล้มหายตายจากไปแล้ว   และนี่คือครั้งแรกของสามปีแห่งความเป็นเชลย ที่เขาร้องให้จนสะอื้นฮักๆ

 

           

 

            

 

         

 

            โมเนคมีสภาพไม่ต่างกับจาคมากนัก ซึ้ายังแย่กว่าเพราะต้องเดินกระเผลกเนื่องจากโดนซ้อม เขาเล่าว่า ได้พาตัวไปซ่อนหลบในโรงนอนที่ไกลหูไกลตา  เพื่อจะรอรักษาตัวให้หาย และสรุปสั้นๆ ว่า

            "คุณอย่าไปรู้มันเลย ไม่มีอะไรสำคัญหรอก เอาเป็นว่าตอนนี้เรารอดตายแล้ว..อย่างที่ผมบอกไว้ไงล่ะ?"

            พวกเพื่อนนักโทษช่วยกันตัดวงจรลัดไฟฟ้า เพื่อให้ประตูหน้าค่ายได้เปิดออก..  จาคและโมเนคคือสองคนแรกที่เดินออกไปสูดดมเอากลิ่นของอิสระภาพให้ฉ่ำปอด

            พวกนักโทษอื่นๆ ต่างไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนตัวไปไหน ต่างก็รอกองทัพรัสเซียมาช่วยในการปลดแอก    แต่จาคและโมเนค ตัดสินใจไม่คอย เขาอออกเดินไปข้างหน้า จัดการปลดแอกให้กับตัวเอง    ยามนั้นคือยามเช้า ที่คนทั้งสองออกเดินมาตามทาง   ไอน้ำค้างยังคงอ้อยอิ่งเรี่ยเหนือพื้นดิน เสียงนกการ้องเพลงไพเราะรื่นหู    จาครู้ดัว่าเขาทั้งสองคงเดินต่อไปไม่ได้ไกล เพราะกำลังวังชาแทบไม่มีเนื่องจากสองวันมานี้ อาหารยังไม่ได้ตกถึงท้อง..  หลังจากข้ามเนินลูกแรก ทั้งคู่ก็ต้องพบกับสิ่งมหัศจรรย์ นั่นคือ กองสัมภาระของทหารที่ทิ้งเรี่ยราดอยู่บนถนน ที่มีทั้ง รถบรรทุก รถมอเตอร์ไซค์  ปืน..และที่สำคัญคือ ม้าเทียมเกวียน ที่ทั้งจาคและโมเนครีบปีนขึ้นไปนั่ง..พลางคิดในใจขำๆ ว่า  "ม้านี่ช่างมีบทบาทต่อชีวิตของเขามากพอดู นับตั้งแต่ตอนต้องกินเนื้อม้าตอนที่อดอยาก และต้องมาเข็นเกวียนแทนม้าตอนที่ย้ายค่ายมานี่  และตอนนี้..ได้ใช้ม้าในยามที่แทบจะเดินไม่ไหว..  ไม่กี่ไมล์ต่อมา เขาก็พบกับค่ายกักกันอีกค่ายหนึ่ง..ที่ไม่มีทหารหรือยามเหลืออยู่เช่นกัน..เขาเดินเข้าไปในประตูที่เปิดอ้าอยู่  ข้างใน มีกลุ่มพวกผู้หญิงที่มีรูปร่างผอมเหลือแต่กระดูก และนี่เป็นครั้งแรกที่จาคได้พบกับมนุษย์ผู้หญิงในระยะเวลาสามปีมานี่   แค่เงาของเขาทั้งสองที่พาดผ่าน ผู้หญิงกลุ่มนั้นถึงกับหวาดผวา แต่พอมาเห็นเขาในชุดนักโทษทั้งหมดก็กรูเกรียวเข้ามารายล้อม  นักโทษที่นี่ส่วนใหญ่คือชาวยิวจากฮังการี..  จาคประกาศว่า..ทุกคนเป็นอิสระแล้ว..เราได้รับการปลดปล่อยแล้ว..!!  เสียงแปลข้อความได้ถ่ายทอดต่อๆ ไป..จากนั้น เสียงไชโยโห่ร้องได้ดังขึ้นอย่างกึกก้อง..บางคนทรุดตัวลงนั่งร้องไห้..

            ข้างนอกค่ายไม่ไกลนักเป็นหมู่บ้าน ซึ่งเมื่อจาคและโมเนคได้เดินทางไปถึงที่นั่น  ชาวบ้านเยอรมันต่างก็มองเขาเพราะสภาพที่โทรมผอมเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าที่รุ่งริ่ง..แต่ไม่มีใครสนใจที่จะพูดด้วย เพราะต่างคนต่างขมีขมันโยกย้ายของขึ้นรถลาก เพราะข่าวที่ว่ารัสเซียกำลังมานั้น   สร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนอย่างมากมาย

            จาคได้พบกับร้านขนมปัง เขาเดินเข้าไป หญิงสูงวัยที่กำลังเรียงขนมปังขึ้นหิ้งถึงกับต้องผงะหงาย ดวงตาเหลือกลานด้วยความตกใจที่เห็นคนทั้งสอง  จาคถามขึ้นเบาๆ ว่า

            "คุณนายครับ ทหารไปไหนหมดขอรับ"

            "เขาหนีไปหมดแล้ว..เพราะข่าวว่า รัสเซียกำลังจะมา ใครๆ ก็กลัวเพราะฮิตเล่อร์ไปทำเขาก่อน"

            "ผมต้องการขนมปังสักก้อน ขอความกรุณา"

            "รู้แล้วละว่าพวกคุณคงมาจากค่าย..เอาไปเถอะ หยิบไป"

            ทั้งสองหนุ่มหยิบขนมปังมากัดกินอย่างเอร็ดอร่อย ..มันอร่อยราวกับอาหารทิพย์ มันเป็นขนมปังแท้ๆ ที่ไม่มีขี้เลื่อยเจือปน..   เขารวมรวมความกล้า ขอร้องหญิงชราคนนั้นว่า

            "คุณนายครับ ขอขนมปังเพื่อไปให้คนที่ค่ายได้ไหมขอรับ"

            "เอาซิ..เอาไปเลย เพราะฉันก็กำลังขนของออกจากเมืองเหมือนกัน"

            คนทั้งสองได้นำขนมปังขนขึ้นเกวียนไปแจกจ่ายให้กับนักโทษที่น่าสงสารเหล่านั้น และนักโทษที่นี่ก็เหมือนกับพวกที่อยู่ในค่ายที่แล้ว..กล่าวคือ ไม่มีใครกล้าออกไปไหน ต่างก็คอยกองทัพรัสเซียให้มาช่วยปลดแอก..

 

            

 

            สองหนุ่มก็เดินทางกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง  คราวนี้เขาได้พบกับบ้านที่ไม่มีคนอยู่ เจ้าของได้ทิ้งถิ่นฐานหนีไปแต่ทิ้งข้าวของไว้เต็มบ้าน  และนี่คือครั้งแรกที่จาคได้สัมผัสกับความเป็นบ้าน..   ในสภาพของเขาที่โทรมซีด เนื้อตัวเต็มไปด้วยเหา แต่มายืนอยู่กลางบ้านที่สวยงาม   ใต้หน้าต่างมีกระถางดอกไม้เรียงเป็นแนว หน้าบ้านมีสวนเล็กๆ ใต้ถุนมีที่เก็บอาหารทั้งเนื้อและผักกระป๋อง  และเขาได้พบกับเสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้านหอมกรุ่น..ก่อนที่จะจัดการกับมัน เขาได้เข้าชำระล้างร่างกายจนสะอาดสะอ้านด้วย "สบู่หอม" และ "ผ้าเช็ดตัวผืนนุ่ม" และเสื้อผ้านักโทษหมายเลข 16013 นั้นเขาสลัดทิ้งมันไปอย่างไม่ใยดี  เพราะ..มันเปรียบเสมือนกับประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำอันเลวร้าย จาครีบจัดบ้าน ชวนเพื่อนนักโทษมารวมอยู่ด้วย ในคืนแรกพวกเขากินอาหารกันอย่างเต็มคราบ ตบท้ายด้วยลูกกวาดที่ห่อในกระดาษสีสวยที่ไปค้นเจอมาได้

            ต่อมาในวันเดียวกันนั้น...กองทัพรัสเซียก็เดินทางมาถึง เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมง พวกเขาก็เข้าครอบครองพื้นที่ทั้งหมด และพวกทหารต่างมาแสดงความยินดีกับ   พวกนักโทษเดนตาย..และบอกว่าจาคและเพื่อนจะอยู่ในบ้านนั้นานเท่าไหร่ก็ตามแต่ใจ  คืนนั้นเป็นคืนแรกที่จาคได้นอนอยู่บนเตียงที่มีฟูกอันอ่อนนุ่ม..หมอนที่ยัดใส้ด้วยขนห่าน แต่เขาหลับไปได้แค่ครึ่งคืน..ก็ต้องลงมานอนกับพื้นตามความเคยชิน  หลายวันต่อมา ปัญหาคือ สภาพภาวะขาดแคลนของอาหาร ที่ไม่ว่าที่ไหนก็เหมือนกันหมด    พื้นที่ส่วนใหญ่ในเยอรมันนี ถูกบอมบ์จนเสียหายไปหมด ฮิตเล่อร์ฆ่าตัวตายหนีเวรไปแล้ว.. เหล่าบรรดาขุนพลคู่ใจก็กินยาตายตามไปมั่ง..ถูกจับมั่ง..หลบหนีไปมั่ง  พวกสัมพันธมิตรได้จัดการแบ่งเยอรมันออกเป็นสี่ส่วนแบ่งการปกครองดูแลระหว่าง.. ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ อเมริกัน

 

       

 

            โมเนคและจาคต่างมีความหวังอยู่สองอย่าง..นั่นคือ  หนึ่ง..รักษาร่างกายให้แข็งแรง โดยการต้องหาแหล่งอาหารมาจุนเจือร่างกาย  สอง..เมื่อแข็งแรงดีแล้ว..ก็ต้องออกตามหาครอบครัวที่กระจัดกระจาย   และเมื่อข่าวมาเข้าหูว่า เมืองแฟรงค์เฟิร์ตฝั่งที่อเมริกาดูแลอยู่นั้น มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์   เขาและโมเนคลงทุนเดินทางด้วยเท้า และโบกรถจนไปถึงที่หมาย   และที่นั่น ได้มีการจัดตั้งศูนย์ผู้อพยพ โดยใช้สถานที่ดัดแปลงมาจากค่ายทหาร ที่ศูนย์ได้ให้การบริการทุกอย่าง เช่นที่พัก อาหาร ยาและแพทย์ และที่สำคัญคือ   มีการให้บริการหาคนที่สูญหายที่สามารถมาตรวจรายชื่อได้ทุกวัน ซึ่งจาคได้ลงทะเบียนตัวเองเอาไว้แล้ว..    แพทย์ได้ตรวจร่างกายของเขา และพบว่า ฟันทั้งปากเสียหมด เนื่องจากการขาดสารอาหาร ซึ่งต้องถอนออกถึงเจ็ดซี่  และส่วนสูงของเขาคือ ห้าฟุต เจ็ดนิ้ว..น้ำหนัก 80 ปอนด์ จาคจำได้ดีว่า เมื่อชั่งน้ำหนักครั้งสุดท้ายนั่นคือ ตอนที่อายุ 12 ที่เขาอาจจะไม่สูงเท่านี้   แต่น้ำหนักของเขาตอนนั้นคือ 110 ปอนด์

            ไม่นานโมเนคก็ได้พบกับพี่ชายทั้งสอง ที่คนหนึ่งได้รอดตายมาจากค่ายนรก อีกคนหนึ่งได้พลัดเข้าไปในรัสเซียและสมัครเป็นทหารมารบกับเยอรมัน  ก่อนที่พวกเขาจะมาร่ำลากับจาคเพื่อที่จะออกไปจากแฟรงค์เฟิร์ตนั้น..ทั้งสองเต็มไปด้วยความรักและอาลัย  เพราะเท่าที่มีชีวิตเหลือรอดมาถึงนี่ โมเนคนับว่ามีบุญคุณกับจาคไม่น้อย..   จาคได้ย้ายออกจากที่พักในศูนย์ เขาได้มาแบ่งห้องเช่าในบ้านของหญิงเยอรมันที่ต้องเลี้ยงลูกเล็กและแม่ที่ชรา ส่วนสามีของเธอออกไปแนวหน้าและสูญหาย  จาคได้ช่วยเหลือแบ่งเบาภาระเช่น ช่วยซักผ้า และแบ่งบัตรอาหารที่ได้มาจากศูนย์ลี้ภัย

            "เขาทั้งหมดน่าสงสารมาก เธอต้องเลี้ยงทั้งบ้านอีกทั้งในยามนั้นไม่มีใครสงสารชาวเยอรมันเลยแม้แต่น้อย ผมก็หวังว่า สักวันหนึ่งสามีเขาคงจะกลับมา"

 

    

 

            ข้อปฏิบัติสำหรับชาวฮิบรู สัตว์ที่กินได้และไม่ได้

                พระเจ้าตรัสว่า บรรดาสัตว์ที่เราสร้างแล้วมอบให้เป็นอาหารของเจ้า และเจ้ากินสัตว์นี้ได้คือ สัตว์มีเท้าแยกเป็นกีบด้วยบดเอื้องด้วย แต่ถ้ามีลักษณะอย่างเดียว ไม่ครบทั้งสองอย่าง กินไม่ได้ เช่น อูฐ เท้ากีบไม่ผ่า แต่บดเอื้อง หรือหมู เท้ากีบผ่า แต่ไม่บดเอื้อง กินไม่ได้  มันเป็นสัตว์ไม่สะอาด อย่ากิน อย่าถูกต้อง

                สัตว์น้ำที่มีครีบต้องมีเกล็ดด้วย กินได้ ถ้าไม่มีหรือไม่ครบ กินไม่ได้ มันเป็นสัตว์น่ารังเกียจ

                สัตว์ฟ้าที่กินไม่ได้ เช่น นกอินทรี นกตะกรุม เหยี่ยว กา แร้ง นกกระจอกเทศ ห่าน นกช้อนหอย นกขาบ นกกระสา ค้างคาว มันน่ารังเกียจ

                สัตว์ที่เลื้อยและคลานด้วยเท้าทั้งสี่ กินไม่ได้ น่ารังเกียจ เช่น เห็น หนู เ_ย ตุ๊กแก กิ้งก่า จิ้งจก จิ้งเหลน แย้ งู สัตว์ที่มีเท้ามาก เช่น กิ้งกือ

                สัตว์มีปีกและคลานด้วยเท้า กระโดดได้ ก็กินได้ เช่น จักจั่น ตั๊กแตน จิ้งหรีด

            อย่าถูกซากสัตว์ จะเป็นมลทิน

            อย่ากินเลือด

            ให้ปุโรหิตหรือผู้บูชาประพรมเลือดบนที่บูชา

            อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ตายเอง หรือถูกสัตว์อื่นกัดตาย เพราะเป็นมลทิน

            อย่าผสมสัตว์ให้มีลูก

            อย่าหว่านพืชปนกันในนา

            อย่าใช้เสื้อผ้าป่านปนขนแกะ

            เมื่อปลูกต้นไม้มีผล ในระหว่าง 3 ปี ไม่ให้กินผล ในปีที่ 4 ให้ถวายพระเจ้า ในปีที่ 5 เจ้าจึงกินได้

            อย่ากินเนื้อสัตว์ที่มีเลือด

            อย่าใช้เครื่องราง

            อย่าดูฤกษ์ยาม

            อย่าตัดผมหรือหนวดให้กลม

            อย่ากรีดเนื้อเพราะคนตาย

            อย่าสัก

            อย่าให้ลูกหญิงเป็นคนชั่ว

            อย่าแสวงหาทางของหมอผีและแม่มด

            คนทรงผีและแม่มดต้องฆ่าเสีย

            ผู้ใดด่าแช่งพ่อแม่ ต้องฆ่าผู้นั้น

            อย่าใช้เครื่องชั่งที่ไม่เที่ยง

 

            บัญญัติสำหรับปุโรหิต

            1. อย่าทำตัวให้เป็นมลทินด้วยศพคนตาย

            2. อย่าโกนหัว อย่าตัดหนวด

            3. เป็นคนบริสุทธิ์

            4. ต้องมีเกียรติสูง

            5. มีภรรยาเป็นหญิงพรหมจารี

            6. เผ่าพันธุ์ของปุโรหิตผู้พิการจะปฏิบัติพระเจ้าไม่ได้

 

      

 

            อันนี้แถม

            บัญญัติ 10 ประการ (Ten Commandmends) คือ

            1. เจ้าจงอย่ามีพระเจ้าอื่นต่อหน้าเรา

            2. เจ้าจงอย่าสร้างรูปเคารพสำหรับคนเป็นสัณฐานรูปใดๆ ซึ่งมีอยู่ในท้องฟ้า อากาศเบื้องบน หรือแผ่นดินเบื้องล่าง หรือในน้ำใต้แผ่นดิน อย่ากราบไหว้ ปฏิบัติรูปนั้นๆ ด้วยเราคือ ยะโฮวาฮ พระเจ้าเบื้องบน ของเจ้า เป็นผู้หวงแหน ให้โทษของบิดา ซึ่งชังเราติดถึงลูกหลาน กระทั่ง 3-4 แต่แสดงกรุณาต่อผู้ที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราหลายพันชั่วอายุคน

            3. อย่าออกนาม ยะโฮวาฮ พระเจ้าของเจ้าเปล่าๆ ด้วยผู้ที่ออกนามของพระองค์ท่านเล่นเปล่าๆ นั้นพระเจ้าจะไม่ปรับโทษก็หามิได้

            4. จงนับถือวันสะบาโต (Sabbath day) คือ วันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ จงทำงานของเจ้าให้เสร็จใน 6 วัน (ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์) แต่วันที่ 7 เป็นวันสะบาโตของพระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นจงอย่าทำงานใดๆ คือเจ้าเองหรือบุตรธิดาของเจ้า หรือทาสของเจ้า หรือบรรดาสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกผู้อาศัยอยู่ข้างในประตูเมืองของเจ้า ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าได้สร้างฟ้าแผ่นดิน และทะเล และทุกสิ่งที่มีอยู่ในที่ทั้งปวงนั้น พระองค์ทรงเหนื่อยมาก จึงทรงพักในวันที่ 7 เหตุฉะนั้น พระเจ้าจึงทรงอวยพรแต่วันสะบาโต และทรงถือว่าเป็นวันบริสุทธิ์

            5. จงนับถือพ่อแม่ของตน เพื่อเจ้าจะได้มีชีวิตยืนนานอยู่บน แผ่นดินที่พระยะโฮวาฮพระเจ้าของเจ้า ประทานแก่เจ้า

            6. อย่าฆ่าคน

            7. อย่าล่วงประเวณีในลูกเมียของเขา

            8. อย่าขโมย

            9. อย่าเป็นพยานเท็จต่อเพื่อนบ้านของเจ้า

            10. อย่าโลภอยากได้เรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภอยากได้เมียของเพื่อนบ้าน หรือทาสของเขา โค ลา ของเขา หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด ของเพื่อนบ้านนั้น

 

           

 

            วันหนึ่งที่เขาแวะไปที่ศูนย์เพื่อที่จะตรวจหารายชื่อและขอรับบัตรปันอาหาร สายตาเขาไล่ไปตามรายชื่อ และพบกับชื่อของ Arek Mandelbaum   ซึ่งเขาตื่นเต้นมาก ตามหาชายคนนั้นจนเจอ    ปรากฏว่า เขาคือลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะปู่คือพี่น้องกันแท้ๆ  อเรคเล่าว่า พี่ชายของเขา โรเบิร์ตที่ถูกส่งไปตัวไปค่ายก็รอดชีวิตเช่นกัน  และ อาซิคมันด์ น้องชายคนเล็กของพ่อจาคยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้อยู่ที่ศูนย์ผู้ลี้ภัยในเมืองมิวนิค  ข่าวนี้ทำให้จาคตื่นเต้นยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด การเดินทางที่จะไปหาถึงมิวนิคนั้นไม่ใช่ง่ายๆ เพราะถนนหนทางเละเทะเพราะร่องรอยของระเบิด  รถไฟที่ยังใช้การได้มีไม่กี่ขบวน..แต่ อุปสรรคแค่นั้นไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้

            จาคดั้นด้นไปพบกับอาสุดที่รักพร้อมกับน้ำตาแห่งความปิติ..อาเล่าว่า

            "อาได้ถูกส่งตัวไปที่ค่ายนรกเอ๊าช์วิทซ์ก่อน..และย้ายไปที่ สตุทท์ฮอฟ ที่นั่น..อาได้ทราบว่า พ่อของหลานได้สิ้นใจในวันที่อาไปถึงนั่นเอง น่าเสียดายจริง   เพราะอีกเดือนเดียวเราก็ได้รับอิสรภาพ"

            จาครับฟังด้วยความตื่นตะลึง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเพิ่งสูญเสียพ่อไป และกว่าจะทำใจยอมรับได้เป็นเวลาที่นานแสนนาน  และการติดตามหาสมาชิกที่เหลือของครอบครัวยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง..  วันหนึ่งขณะที่เขาเดินอยู่ในอาณาบริเวณของศูนย์ เขาได้ยินเสียงของสตรีคนหนึ่งที่คุ้นหูอย่างเหลือเกิน  แต่เธอผู้นั้นได้เดินขึ้นอาคารไป มิทันได้เห็นหน้าค่าตา  เขาจึงต้องรอ จนกว่าเธอจะกลับลงมา..   และเมื่อเวลานั้นมาถึง..ทั้งสองก็โผเข้ากอดกันแน่น..   น้าฮินดา น้องสาวคนเล็กของแม่ ที่เคยมาพักอยู่กับครอบครัวของเขาทีละนานๆ ในบ้านที่กาดิย่า   น้าฮินดาได้ถูกส่งตัวไปที่ค่ายเอ๊าชวิทซ์ หลังจากที่สามีเธอได้ไปอยู่ที่นั่นก่อนถึงสองปี..

            "ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่า..คุณหนูอย่างน้าฮินดา คนที่ไม่เคยต้องทำอะไรเลยในชีวิต จะเอาตัวรอดได้จากค่ายนรก แต่พ่อ..ที่เก่งราววีรบุรุษกลับเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็นั่นแหละ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวงและลิขิตจากฟ้าจริงๆ "

 

         

 

            ทันทีที่จาคสามารถจัดการเรื่องเดินทางได้ เขารีบเดินทางไปยังประเทศโปแลนด์อันเป็นที่รัก เพื่อสืบหาญาติที่เหลือ การเดินทางของเขานั้นเป็นไปถึงสามครั้ง   เพราะต้องไปมาระหว่างเยอรมันเพื่อการติดตามเรื่องรายชื่อกับศูนย์ และ ขอรับการช่วยเหลือจากสภากาชาดและยูเอ็น..   แต่การเดินทางไปโปแลนด์แต่ละครั้งนั้น ช่างยากเย็นแสนเข็ญ  เพราะทางรถไฟยังเดินไม่ได้สะดวก สะพานขาด แต่ละขบวนการเดินทางมีผู้โดยสารแออัดยัดเยียด นั่งกันแม้บนหลังคา..พอถึงช่วงสะพาน ผู้โดยสารทั้งหมดต้องเดินลงลุยน้ำในลำธาร  เพื่อจะไปขึ้นรถไฟขบวนที่มารับจากอีกฟากหนึ่ง..  เมืองกาดิย่า ยังอยู่ดีไม่มีอะไรเสียหาย ไม่มีการบอมบ์ใดๆ เกิดขึ้นถึงแม้ว่าฮิตเล่อร์จะใช้ตรงนี้เป็นท่าเรือ หากแต่บ้านที่เขาอยู่นั้น ข้าวของถูกขโมยหายเกลี้ยง  โรงงานปลากระป๋องของพ่อรัฐบาลก็เข้ามายึดกิจการ

            เมืองที่ปู่อยู่..บ้านที่มีระเบียงที่เขาเคยออกมายืนดูการเคลื่อนขบวนของกองทัพนาซี ถามถึงปู่..ชาวบ้านตอบว่า พวกนาซีเข้ามากวาดต้อนชาวยิวไปกว่าสองพันคน โดยที่เอาไปยิงทิ้งนอกเมือง  และโยนศพใส่หลุมฝังหมู่..แต่เนื่องจากกระสุนนัดเดียวบางครั้งไม่ได้ทำให้คนตายในทีเดียว ข่าวว่า หลุมฝังศพนั้นมีการเคลื่อนไหวถึงสองวันกว่าจะหยุด..

            ในหมู่บ้านที่พี่ยาจาไปช่วยเลี้ยงลูก ให้กับน้าสาว น้าเขยนั้น ชาวบ้านเล่าว่า พวกนาซีมาเกณฑ์ไปทุกคนตอนต้นปี 1942 ยกเว้นพี่ยาจา เพราะ เธอต้องเลี้ยงเด็ก  แต่ตอนปลายปี..พวกนั้นกลับมาอีกครั้ง..คราวนี้มีการเกณฑ์ระลอกสอง ซึ่งพี่ยาจามีทางเลือกสองทางคือ ทิ้งเด็ก แล้วไปอยู่ค่ายกักกัน ไปเป็นแรงงานทาส  หรือ ไม่ทิ้งเด็ก แต่ทั้งคู่จะต้องถูกส่งเข้าห้องรมแกส   ซึ่งเธอเลือกประการหลัง..คือ อุ้มเด็กเข้าไปตายด้วยกัน ตอนนั้น พี่ยาจาของเขาอายุได้เพียง 17 ปีเท่านั้น..

            เส้นทางสุดท้ายในการตามหาญาติของเขาคือ  หมู่บ้านลุงที่เขา แม่ และน้อง เคยไปอาศัยอยู่ ความจริงที่เขาได้รับนั่นก็คือ..   ในวันนั้น วันที่เขาได้ถูกคัดตัวไปรวมกับชายหนุ่มคนอื่นๆ เพื่อเข้าค่าย..แม่ จาคอบและครอบครัวของลุงถูกทิ้งไว้ในโรงเบียร์ถึงสามวันโดยที่ไม่ได้กินอาหารหรือน้ำ   และในวันที่สามนั้นเอง ที่ทุกคนถูกต้อนให้เดินไปถึงสี่ไมล์..เพื่อจะขึ้นรถไฟไปยังค่ายนรกเอ๊าซวิทซ์  การเดินทางใช้เวลาเพียงครึ่งวัน   เชื่อว่า..แม่และจาคอบถูกส่งตัวเข้าห้องมรณะในบ่ายวันเดียวกันนั้น..   จาครู้อยู่แก่ใจดีว่า..แม่คงไม่ยอมปล่อยมือไปจากจาคอบอย่างแน่นอน แม้จะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิต..!!

            จนบัดนี้หรือบัดไหน จาคก็ยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสียครอบครัวไปอย่างโหดร้ายและทารุณ..ไม่ว่าจะไปไหน เขาชอบมองคน..มองหาคน..   เผื่อว่า อาจจะมีใครบางคนที่ให้ข้อมูลผิดพลาด เขาบางคนอาจยังไม่ตาย..อาจมีรอดชีวิตออกมา..    แม้กระทั่งกาลเวลาผ่านมาห้าสิบกว่าปีนี่แล้ว..จาคยังไม่เลิกการมองหา..!!    เขาพูดออกมาจากหัวใจว่า

            "ใครเล่าจะลืมความทุกข์ระทมได้ มันตามหลอกหลอนไปในทุกขณะจิต สมองผมวนเวียนไปด้วยคำถามต่างๆ นานา เช่น..ถ้าพ่อรู้ว่าเพียงอีกเดือนเดียว เราจะมีอิสระ พ่อจะทนอยู่รอหรือไม่?  ถ้าพี่ยาจายอมทิ้งเด็ก..ทุกวันนี้พี่อาจจะยังมีชีวิตอยู่..หรือ..ในตอนที่ประตูห้องมรณะนั่นได้ปิดลง..แม่กำลังคิดอะไรอยู่..  มันไม่มีอะไรเหลือสำหรับผมในยุโรป..ผมอยากจะหนีมันไปให้ไกลแสนไกล ทุกที่มีแต่ความเลวร้ายสุดที่จะทน ผมไม่เหลือใครเลย ครอบครัวที่เคยอบอุ่นต้องมาแตกสลาย    ด้วยน้ำมือของฮิตเล่อร์และพวก   ถ้าผมรู้สักนิดว่า จะเหลือชีวิตรอดออกมาแล้วต้องมาเจอกับความสูญเสียขนาดนี้..ผมคงไม่ทนมาถึงวันนี้หรอก"

           หนึ่งปีหลังจากที่ทุกคนได้รับอิสรภาพ จาคได้เตรียมเอกสารพร้อมสำหรับการเดินทางไปสู่แผ่นดินใหม่ คือ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากประธานาธิบดี แฮร์รี่ ทรูแมน ได้ออกกฏหมายเข้าเมืองว่าด้วยนักโทษที่รอดจากค่ายนรก สามารถเดินทางไปอยู่อเมริกาได้ด้วยโควตาถึงหนึ่งหมื่นคน  ในเดือนมิถุนายน 1946 จาคและเพื่อนๆ นักโทษอีก 600 คนได้เดินทางโดยเรือของกองทัพเรือสหรัฐข้ามมหาสมุทรแอทแลนติค  ในกลุ่มของเขา มี อเรค โรเบิร์ต อาซิคมันด์ ทั้งหมดพูดภาษาอังกฤษแทบไม่ได้เลย   เมื่อถึงที่ท่าเรือ นิวยอร์ค สมาคมชาวยิวได้มาต้อนรับ และได้จัดสถานที่ให้อยู่ในรัฐแคนซัส แต่ละคนได้รับเงินติดกระเป๋าคนละ ห้าเหรียญ พร้อมทั้งตั๋วรถไฟ..   จาคได้ทำงานแทบในทันทีที่ไปถึง..คือการเป็นภารโรงทำความสะอาดในห้างขายเสื้อผ้า..  ทั้งหมดรวมกันเช่าบ้านอยู่ พอมีเวลากลางคืนก็ไปเรียนภาษาอังกฤษที่สมาคมยิว

            ในปี 1952 จาคได้เปลี่ยนไปเป็นพลเมืองอเมริกันเต็มตัว..เขาสู้ยอมทำงานหนัก ตั้งหน้าตั้งตา เก็บเงิน จนสามารถนำน้าฮินดาและครอบครัวของเธอมาอยู่ด้วยกัน   สิบปีต่อมา..จาคได้กู้เงินเพื่อมาซื้อห้างที่ทำงานอยู่ และเปลี่ยนไปเป็นบริษัทนำสินค้าเข้าในภายหลังจนได้รับความสำเร็จ   เขาได้แต่งงานกับคราวเดีย ปัจจุบัน..มีลูกเจ็ดคน หลาน สิบสอง   ในการเดินทางเพื่อธุรกิจ..จาคได้พบปะกับโมเนคเป็นครั้งเป็นคราว เพราะโมเนคได้ย้ายมาอยู่อเมริกาในปี 1950 ที่นิวยอร์ค เขาแต่งงานกับ เอริกา มีลูกชายสองคน   และไม่เคยกลับไปยุโรปอีกเลย..และถึงกับประกาศว่า "จ้างให้ล้านนึงก็ไม่ไป"   จาคและโมเนคยังคงติดต่อกันอย่างเสมอๆ เพราะ ทั้งสองถือว่าต่างเป็นเพื่อนตายของกันและกัน..

 

   

 

            ครั้งหนึ่งที่จาคได้ไปร่วมในกิจกรรมพบปะนักโทษเดนตายค่ายนรก..มีคนได้มาบอกเขาว่ามีคนอยากจะพบ เมื่อเขาไปตามนั้น ปรากฏว่า เขาคนนั้นคือ ซาเลค เพื่อนนักโทษที่เขาเคยให้บัตรอาหาร  ชาเลคได้โอบกอด พร้อมทั้งพูดว่า.."ถ้าไม่ใช่เพราะอาหารที่คุณจุนเจือ ผมอาจไม่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้   ขอบคุณมากจาคเพื่อนรัก"

            อาซิคมันด์ แต่งงาน มีลูกสาวสองคน และเป็นเจ้าของตลาดของชำเล็กๆ มาเกษียณเมื่อปี 1999 เมื่ออายุได้ 89 ปี และปีนั้น จาคได้พาอาซิคมันด์ไปโปแลนด์เป็นครั้งแรกหลังสงคราม  ทั้งสองอาหลานต่างไปเยี่ยมอนุสรณ์สถานที่ที่บรรพบุรุษถูกฆาตกรรม รวมทั้งค่ายเอ๊าชวิทซ์ที่ปัจจุบันกลายเป็นมิวเซียม

            ที่เขาต้องตอบคำถามใครๆ เสมอ..ว่า..ทำไมพวกยิวถึงไม่มีการขัดขืนต่อสู้ ทำไมจึงได้ยอมให้เขาฆ่าอย่างง่ายดาย

            "ความจริงแล้ว..พวกเราได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง หากแต่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในครั้งนี้ได้มีการเตรียมแผนการมาดี..เริ่มตั้งแต่การเหยียดผิวทีละนิด จากนั้นก็จำกัดสิทธิ..และเลยมาเป็นการสังหารหมู่  ทุกคนต่างก็คิดว่า ฮิตเล่อร์คนเดียวคงทำอะไรไม่ได้มาก และถ้ารุนแรงจนเกินไปนัก..ชาวยุโรปอื่นๆ คงทนดูไม่ได้ จะต้องยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอน "

            คนที่รอดมาหลายๆ คน ไม่อยากจะเล่าเพื่อทบทวนความหลังที่โหดร้าย..เพราะพวกเขาอยากจะลืม..มันเป็นความปวดร้าว อย่างผมเนี่ย ทุกวันนี้ผมยังเป็นคนที่นอนหลับยาก  ฝันร้ายถึงเมื่อสมัยอยู่ในค่าย ทั้งหนาว ทั้งหิว..  บางทีผมก็ฝันว่าผมตายไปแล้ว ถูกยิงบ้าง ตกหน้าผาตายบ้าง.. แต่เมื่อผมตื่นมา มันเป็นความรู้สึกที่วิเศษสุดที่ได้รอดมาจากเหตุการณ์ร้ายๆ นั่นได้   และนี่คือเหตุผลที่ผมอยากจะเล่า อยากจะพูดให้คนเข้าใจได้รู้ซึ้งถึงว่าอะไรที่ได้เกิดขึ้นกับพวกเราชาวยิว เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความทรงจำให้กับผู้สูญเสียทั้งหมดในครอบครัวของผม"

 

          

 

            คนที่ผ่านเหตุการณ์นี้มา มักมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายด้วยกันทั้งนั้น กล่าวคือ   มีอาการจิตผวา ประสาทหลอน   ส่วนทางร่างกาย ในกรณีของจาคจัดว่ายังน้อย ที่เป็นแต่โรคข้อ กระดูก และปวดสันหลัง เขาบอกว่า

            "แทบไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าร่างกายคนเราจะมีความทนทานต่อความทุกข์ทรมานได้ถึงเพียงนั้น..เช้าวันหนึ่งไม่นานมานี้ ผมจะออกไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่ลานจอดรถ   ผมยังต้องเตรียมใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ หมวก ถุงมือ   อีกใจหนึ่ง..ก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อก่อนครั้งที่เป็นนักโทษ ที่ผมมีเพียงเครื่องแบบบางๆ แต่ออกไปทำงานอยู่กลางหิมะเป็นวันๆ ทำไมยังทำได้..?

            แต่ที่ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดนั่นคือ สุขภาพจิต..เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น  ทุกครั้งที่จาคผ่านไปโรงเรียนในสมาคมยิว  เห็นเด็กที่กำลังเดินเรียงแถวตามคุณครู เขามักเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึง ตัวเนื้อสั่นเทาทุกครั้ง..   มันทำให้เขามองย้อนไปเห็นภาพในอดีตที่พวกนาซีได้จับเด็กเดินเรียงแถวเข้าสู๋ห้องมรณะ   คนส่วนใหญ่คิดว่า เวลาที่ผ่านไปความจำอาจจะลบเลือน ซึ่งมันไม่เป็นความจริง เพราะยิ่งแก่ตัว ยิ่งสมองว่าง มีเวลาคิดถึงความหลังอันระทมทุกข์   อีกทั้งพยายามแจกแจงถึงรายละเอียดอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

            "ผมรู้ว่า อาการเช่นนี้ได้เกิดกับทุกคน เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีบาดแผลในใจทั้งนั้น..บางคนไม่เคยยกโทษให้ตัวเอง เช่นรายหนึ่ง   ความหลังของเขาเหมือนๆ กับของผม คือ เมื่อครั้งที่ต้องถูกแยกแถวซ้ายหรือขวา เขาและน้องถูกแยกจากพ่อแม่ เขาเข้าใจว่า พ่อแม่คงจะได้รับการปลดปล่อย จึงส่งน้องไปยืนข้างหลัง แต่แล้ว กลายเป็นว่า ทั้งหมดได้ถูกส่งเข้าห้องรมแกส  ทุกวันนี้ เขายังเสียใจไม่หาย และ..ไม่เคยอภัยให้ตัวเอง

            เรื่องแบบนี้ได้เกิดขึ้นในทุกครอบครัว..  แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ ผมไม่เคยปล่อยให้ฮิตเล่อร์มาเอาความเป็นมนุษย์ของผมไปย่ำยี   ไม่ว่าเขาจะว่าว่าพวกเราเป็นเศษเดนมนุษย์ขนาดไหน ผมไม่เคยปล่อยให้มันมาทำร้ายจิตใจได้   เพราะผมรู้ดีว่า ผมเป็นใคร.. ได้รับการอบรมบ่มเพาะมาเช่นใด และ ผมไม่เคยปล่อยให้โมหะจริตมาครอบงำจนถึงขนาด "เกลียด" ใครต่อใครได้   ทั้งๆ ที่..สิ่งที่ได้เกิดกับผมนั้น..มันสามารถสร้างความ "เกลียด" ได้อย่างมหาศาล   แต่..ผมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการรู้จักให้"อภัย"

            พระเจ้าเบื้องบนได้ให้อำนาจมนุษย์อย่างเหลือล้น อำนาจนั้น คือ การเลือกได้ว่าจะเป็นคนดี หรือ คนเลว   และ..เมื่อมีคนเลือกที่จะใช้อำนาจในการเป็นคนเลว..มันก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนดีอื่นๆ ที่ต้องร่วมใจกันป้องกันและหยุดยั้ง   และถ้าเราทำได้......................ก็จงถือว่า   นี่คือจุดเริ่มต้นที่จะมาซึ่งสันติสุขแห่งมวลมนุษยชาติ !!

 

           ******** บทสรุปจำนวนยิวและยิบซีที่ตกเป็นเหยื่อของนาซี

 

            500,000                     คือ กลุ่มยิบซี ที่จัดว่าเป็นจำนวน 1/3 ของประชากร

            11 ล้าน                        คือ ผู้ที่เสียชีวิตในค่ายกักกัน

            6   ล้าน                        คือ ยิวในยุโรป (จากยอดของยิวทั้งหมด 8.6 ล้านคน)

            3.5 ล้าน                       คือ ยิวในโปแลนด์ (ที่มีเหลือรอดเพียงไม่ถึง 10%)

 

 

 

            

 

   

 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (101818)
avatar
wiwanda

ปัญหาอีกแล้วค่ะ..ไม่ทราบว่าทำไมเมื่อกด paste แล้ว..ตัวอักษรถึงได้แยกบรรทัดไปอย่างอัตโนมัติ..ทั้งๆที่ต้นฉบับก็เรียงชิดกันดี...

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 03:06:30


ความคิดเห็นที่ 2 (101819)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

ดูเหมือนจะเป็นปัญหาของ Notepad น่ะครับ  ถ้าทำจาก MS Word ก็จะมีปัญหาอีกแบบ

ถ้ามีเวลาจะช่วยจัดข้อความให้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 09:37:47


ความคิดเห็นที่ 3 (101820)
avatar
wiwanda

ขอบคุณมากค่ะ  คุณโรจน์..แต่ที่นำมาลงทุกครั้งก็ทำอย่างเดียวกัน..ก็ปรกติดี...

แต่ครั้งนี้ไม่ทราบว่าเพราะอะไร..ดิฉันก็ไม่ได้เปลี่ยนเครื่องใหม่ หรือ โปรแกรมใหม่เลยนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-15 12:43:12


ความคิดเห็นที่ 4 (101836)
avatar
soontorn1

เยี่ยมครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น soontorn1 (soontorn1-at-sanook-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-09-25 19:10:29


ความคิดเห็นที่ 5 (102060)
avatar
Demetorius

 ขอบคุณที่ให้ความรู้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-26 22:24:06



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker