dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสี่

จากกระทู้ที่แล้ว..
    เนื่องจาก ผู้อ่านได้ทราบวิถีพิบัติคร่าวๆ ของ ราชวงค์โรมานอฟบันลือโลกนี่เป็นแนวทางอยู่แล้ว..หลายคนจึง (เหมือนกับว่า) จะ เร่งรู้เรื่องแบบเร็วๆ ..

    และตอนที่เขียนถึง..กำลังเป็นตอนที่ซารินากำลังถูกกดดันในเรื่องของการที่มีพระธิดาติดๆ กันหลายองค์
    อ่านแล้วค่อนข้างจะเครียดไปตามๆ กัน..ทั้งคนเขียนคนอ่าน

    ดิฉันจึงอยากจะขอพักในเรื่องนี้..ไว้ตรงจุดนี้..และจะหันไปเล่าเรื่องการเป็นไปใน พระราชวงค์โรมานอฟ..จากปากคำของสมาชิกใกล้ชิดบ้างเพราะน่าสนใจมาก และเชื่อว่าหลายๆ ท่านไม่เคยอ่านพบหรือทราบมาก่อน
    เป็นการเขียนเล่าโดย..
    Grand Duke Alexander Mikhailovish (Sandro) ผู้ซึ่งเป็นหลานลุงของซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่สอง เพราะ พระบิดา Grand Duke Mikhail (หรือ พระนามเล่นว่า มิชา Misha) เป็นพระอนุชาองค์สุดท้องของซาร์ (อเล็กซานเดอร์ที่สอง)

    ส่วนพระมารดา คือ เจ้าหญิง Olga of Baden (เยอรมัน)

    พี่ น้องร่วมอุทร คือ Nikolai (หรือ Bimbo) , Anastasia,Mikhail (หรือ Miche-Miche) George (หรือ Georgy) , เขาเอง "Sandro" ,Sergei (เป็นคนละคนกับ
    เซอเกที่แต่งงานกับเอลล่า) , และ Alexei

    เท่ากับว่า คนข้างบนกลุ่มนี้.....มีศักดิ์เป็น

    ๑. หลานลุงของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง

    ๒. ลูกผู้น้องของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม

    ๓. อา..ของ ซาร์นิโคลาสที่สอง..หรือ นิคกี้


    ภาพ ซานโดร ที่มีพระพักต์คล้ายคลึงกับนิคกี้มาก..    

 

    คำนำที่ท่านได้เขียนไว้ก็ยิ่งน่าสนใจ..ว่า..

    "เบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมดคือฉากของมหาอาณาจักรแห่งรัสเซียในระยะ
    ห้าสิบปีสุดท้าย..แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายทั้งหมดของการเล่า
    ทุกอย่าง ที่เขียน..มาจากความทรงจำล้วนๆ เอกสารหรือจดหมายอ้างอิงเกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีอยู่ที่ไครเมียได้ถูกยึดโดย คณะปฏิวัติในช่วงปี 1917-1918
    แต่ก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่า..ชีวิตฉันได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไรกับ
    พระจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่สอง...,ที่สาม, ซาร์องค์สุดท้าย นิโคลาสที่สอง, สมเด็จซารินามารี (แม่ยาย) , แกรนด์ดัชเชส เซเนีย (พระชายา)
    และพ่อแม่พี่น้องของฉัน รวมไปถึงเหล่าเสนาบดี รัฐมนตรี นักการเมืองที่มาช่วยให้ข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในรัสเซีย

    ข้อเขียนของฉัน..ไม่ได้มีเจตนาที่จะเอาคนตายมาขาย..แต่ในทางกลับกัน
    ฉันได้พยายามอย่างที่สุดที่จะผลักดันความระทมทุกข์ อคติที่มีอยู่ในใจออกไปให้หมด เหลือไว้แต่ความจริงที่เป็นธรรม..

    แต่อย่างไรก็ตาม..ความขมขื่นต่างๆ ที่ได้อุบัติขึ้นมาในชีวิตนั้น
    บัดนี้..มันได้อันตรธานออกไปจากใจฉันจนหมดสิ้นแล้ว.."

    ลงชื่อ

    Alexander, Grand Duke of Russia

    Paris, Autumn,1931

   

เริ่ม....
   

 

"พระโอรสเพิ่งประสูติเมื่อครู่นี้เอง"
    เสียงนายทหารคนสนิทของแกรนด์ ดุ๊ค มิเกล พระอุปราชแห่งแคว้นคอเคซัส
    ได้ป่าวประกาสก้องที่ค่ายทหาร Tiflis ในเช้าของวันที่ 1 เมษายน 1866
    แต่ท่านนายพลอาวุโสคนหนึ่งได้แย้งอย่างขำๆ ว่า พลางเหลือบตาดูที่ปฏิทิน
    "เล่นบ้าอะไรอีกล่ะ..ฉันอยู่เวรมาทั้งคืนยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย"
    "กระผมไม่ได้พูดเล่นขอรับ กระผมเพิ่งกลับมาจากวังเดี๋ยวนี้ และได้รับคำสั่งให้มาเรียนท่านให้กระจายข่าวด้วยขอรับ"
    ท่านนายพลก็ยังไม่เชื่อ เพราะสายตาของท่านที่จับที่ปฏิทินนั้น มันได้บอกว่า
    วันนั้นคือวันที่หนึ่งเมษายน หรือ..วัน April's Fools ที่ใครต่อใครพากันปั้นเรื่องหลอกชาวบ้านเพื่อความสนุกสนาน..

    จนครึ่งชั่วโมงต่อมานั่นแหละ ที่ได้ยินเสียงสลุต อันเป็นที่ยืนยันว่า ข้อความนั้นเป็นความจริงแน่นอน และนั่นก็หมายความว่า พระโอรสที่เพิ่งประสูติได้แค่ไม่กี่ชั่วโมง ได้มีตำแหน่งทางการทหารหลายตำแหน่ง เช่น
    นายทหารแห่งหน่วยที่ 73 ทหารราบ, ทหารเล็กรักษาพระองค์, กองพลฮัสซาร์, กองพลปืนใหญ่,

    เรียกได้ว่า..แม่นมคนเลี้ยงฉันต้องเร่งผลิต"อาหาร"เป็นการใหญ่ทีเดียว
    เพราะสารพัดตำแหน่งของฉันที่ล้วนแต่ใหญ่โตอย่างนี้..ก็เลยต้อง"กินจุ" กว่าเด็กธรรมดา !!!


    ต่อมา พระโอรสได้เข้าทำพิธีล้างบาป และได้รับพระนาม อเล็กซานเดอร์ ตามสมเด็จลุง ( Czar Alexander II)
    อีกทั้งเป็นธรรมเนียมของพระราชวงค์ที่ยึดถือมาตั้งแต่ซาร์นิโคลาสที่หนึ่ง
    ที่ เหล่าแกรนด์ ดุ๊ค จะต้องเข้ามารับใช้ในราชการทหาร และเมื่อโตขึ้นก็จะถูกส่งออกไปดูแลหัวเมืองที่สำคัญ..เพื่อเป็นการทำงานต่าง พระเนตรพระกรรณ
    อย่างพ่อของฉันก็มารับหน้าที่ปกครอง อุปราชแห่งแคว้นคอเคซัส
    พื้นที่ที่เต็มไปด้วยประชาชนต่างเผ่า ต่างพันธ์ ต่างภาษา หลากหลาย
    ที่ขัดแย้งกันอยู่เนืองๆ

    แม่ของฉัน..พระนามเดิม คือ เจ้าหญิง Cecilia of Baden ที่โชคดีที่อภิเษก
    และออกมาจากประเทศได้ก่อนที่เยอรมันจะอยู่ในอาณัติของบิสมาร์ค

    ความสุขของฉันในวัยเด็กนั้น..มาสิ้นสุดลงในวันเกิดครบเจ็ดขวบ..
    ระหว่าง ที่กำลังเริงร่าเปิดของขวัญที่ได้รับจากใครต่อใครนั้น กล่องหนึ่งที่เปิดมา คือ เครื่องแบบนายทหารเต็มยศของหน่วยที่ 73 พร้อมกับกระบี่..
    ในตอนแรก.. ฉันดีใจยิ่งนัก เพราะ เครื่องแบบนั่นโก้เหลือเกิน อีกทั้ง..รู้สึกว่าตัวเองจะได้ปลดแอกจากเสื้อผ้าเด็กๆ นี่เสียที เบื่อเหลือเกิน เสื้อไหมสีชมพู
    กางเกงขากว้าง รองเท้าบู๊ทสีแดงเนี่ย..
    ฉันรีบหันไปสบพระเนตรกับพระบิดา..หมายใจว่าจะทรงอนุญาตให้แต่งเครื่องแบบ แต่..ต้องผิดหวัง เพราะ พระองค์ได้บอกว่า..
    "คนที่จะแต่งเครื่องแบบได้ ต้องมีเกียรติ..ก่อนอื่น..ลูกต้องตั้งใจเรียนให้ได้คะแนนนำ"

    ฉันเริ่มทำหน้างอ..ไม่รู้ตัวเลยว่า..ข่าวร้ายยังจะมีตามมาอีก..นั่นคือ

    "เริ่มจากพรุงนี้เลยนะ..ลูกต้องเข้าไปอยู่รวมกับพวกพี่ๆ (มิเกล กับ จอร์จี้)
    และ..ต้องอยู่ในความควบคุมดูแลของพระอาจารย์ของพวกเขาด้วย"

    นั่นคือคำประกาสิตที่ฉันต้องกล่าวคำอำลากับพระพี่เลี้ยง กู๊ดบายกับนิทานก่อนนอน หมดสิ้นกันทีกับการนอนอย่างมีความสุข คืนแรกของการเปลี่ยนแปลง ทันทีที่หัวถึงหมอน..ฉันก็ร้องไห้แบบสะอื้นฮักๆ ทั้งคืน
    ไม่ได้สนใจเสียงปลอบของมหาดเล็กนายทหารคอสแซคใจดี เชฟเชงโก
    พอร้องไห้บ่อยๆ เข้า..เชฟเชงโกก้มหน้าเข้ามากระซิบด้วยเสียงเข้มว่า
    "คิดดูนะ..จะอับอายแค่ไหนถ้าซาร์จะทรงทราบและเล่าให้ใครต่อใครฟังว่า
    พระนัดดา แกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์ ไม่เหมาะสำหรับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาหน่วยที่ 73 เลย เพราะชอบขี้แยเหมือนเด็กผู้หญิง"

    สิ้นเสียงของเชฟเชงโก..ฉันก็รีบลุกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้แห้งสนิททันที..เพราะ เห็น จริงดังนั้น ว่า..จะอายแค่ไหนถ้าหากซาร์และใครต่อใครรู้เข้า..

    
    แต่วิกฤติเจ็ดขวบไม่ได้จบแค่นั้น..ยังมีอีก..นั่นคือพิธีทางศาสนาของออ โธดอกซ์ ที่เด็กชายทุกคนจะต้องเข้าไปทำพิธีสารภาพบาปกับหลวงพ่อ
    ซึ่งจะต้องอดทนนั่งฟังท่านสั่งสอนเรื่องศีลอยู่นานนับชั่วโมง สวดอีกนับชั่วโมงเช่นกัน และท่านก็ได้บอกว่า ถ้าทำไม่ดี..เราจะต้องถูกลงโทษด้วยวิธีโหดร้ายสารพัด
    และท่านก็พูดว่า..
    "เด็กส่วนใหญ่จะเคยขโมยของพ่อแม่ ซึ่งอาจไม่ใช่คววามผิดทางโลก แต่..
    เป็นบาปหนาในทางธรรม  แล้วลูกเล่า..เคยไหม?"

    ฉันเชื่อว่าฉันไม่เคยหยิบฉวยอะไรของพ่อแม่เลย..แต่..แต่..ครั้งหนึ่งในชีวิต
    ที่ฉันเคยไปปลิดแอปเปื้ลของชาวบ้าน ในยามที่ไปเที่ยวอิตาลีกับครอบครัว
    เลยหลุดปากถามหลวงพ่อไปว่า..
    "หลวงพ่อติตอฟ (Titoff) ขอรับ..ถ้าผมเคยหยิบแอปเปิ้ลของคนอื่น พระเจ้าจะส่งผมไปนรกไหมครับ?"
    "ก็อย่าทำอีก..ไม่งั้นจะตกนรกหมกไหม้เชียวลูกเอ๋ย"

    ความคิดอะไรอย่างหนึ่งที่แว้บเข้ามาในสมอง ทำให้ฉันโพล่งถามออกไปว่า
    " หลวงพ่อครับ..เวลาท่านไปที่วัง ท่านเคยบอกพวกเราเสมอว่า พระเจ้ารักมนุษย์หนักหนา ไม่ว่าผู้หญิง ไม่ว่าเด็ก..ดอกไม้ หรือ สัตว์ แล้วทำไมท่านต้องสร้างนรกเอาไว้ทำร้ายพวกเราเล่าครับ..ทำไมพระองค์จะสามารถ" รัก" และ "ทำร้าย" พวกเราได้ในเวลาเดียวกัน"

    สิ้นประโยคที่กล่าวออกไป หลวงพ่อติตอฟทำหน้าตาบูดเบี้ยว..
    "อย่าตรัสอย่างนั้นอีกเด็ดขาดเชียวนะ แน่นอนว่าพระองค์รักพวกเราทุกคน
    ในอาณาจักรของพระองค์ไม่มีสิ่งชั่วช้า ไม่มีความเกลียดชัง จำไว้นะ"

    "แต่..หลวงพ่อเพิ่งบอกผมเมื่อกี้นี้เองว่า ถ้าทำบาป..จะมีโทษตกนรก ทรมาน
    โหด..หรือพระเจ้าจะเลือกรักแต่คนดี..แต่จ้องทำร้ายคนทำบาปหรือไงครับ?"

    " ลูกเอ๋ย..เมื่อโตขึ้นไปหน่อยก็จะเข้าใจเอง เมื่อไหร่ที่พระองค์ได้เป็นผู้บังคับบัญชาจริงๆ ลูกจะขอบใจในความเป็นคริสเตียนที่ดีในจิตวิญญาณ..
    จำคำพูดนี้เอาไว้..เอาละ..เราจบคำถามไว้แค่นี้"

    ฉันออกจากโบสถ์มาด้วยความงงๆ ..เมื่อกลับไปถึงวัง ตอนที่จุมพิตพระบิดากู๊ดไนท์ ท่านได้ถามว่า..
    "ลูกบอกลาคณะพยาบาลพี่เลี้ยงหรือยัง?"

    ก็ไม่ได้สำคัญอะไรที่จะลาหรือไม่ลา..เพราะยังไงพวกเราก็ต้อง"ตกนรก"
    ตามบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ดี..


    (นี่คือความคิดของเด็กเจ็ดขวบ... เห็นด้วยว่า เรื่องชื่อคือปัญหา แต่อีกหน่อยพอเข้าใจตัวละครหลัก ก็จะเข้าใจค่ะ ว่ากำลังพูดถึง"สาย" นี้..เพราะสายนี่ไม่ได้อยู่ในเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก  แต่ออกมาอยู่หัวเมือง..ฉะนั้น จะยังไม่เกี่ยวกับ"สายวังหลวง...วิวันดา)

    เรื่อง"สำนวน" ท่านผู้เขียนท่านเขียนได้เก่งมาก อาจแล้ววางหนังสือไม่ลง
    เพราะ เล่าเรื่องได้ละเอียด มีทั้ง แหน็บแนม กระทบกระเทียบ และ..บางทีก็ปลงในบางครั้ง..จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้อ่านเรื่องราวใน ประวัติศาสตร์จากผู้ที่เกี่ยวข้องจริงๆ ..นับว่าเป็นโชคดีนะคะ

    ดิฉันเองต่างหากที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายในการถ่ายทอดให้ใด้อารมณ์ตามท่านผู้เขียน..

    ที่ ต้องนำเรื่องนี้มาเล่า เพราะว่า การที่จะเล่าเรื่องอลิกซ์ที่ถูกต่อต้านจากภายในและภายนอก หรือ กระแสเสียงที่ว่าซาร์นิโคลาสห่วงแต่ครอบครัวของตัวเอง ไม่ได้สนใจบริหารประเทศนั้น เราก็ต้องรู้ถึงธรรมเนียมความเป็นไปของราชสำนักโรมานอฟที่สถาปนามาร่วมสาม ร้อยปีนั่นด้วย..
    แล้วค่อยมาคิดพิจารณาเรื่องราวกันเอง..

    อดทนหน่อยนะคะ

   

    จากนั้นมาจนอายุถึงสิบห้า การเรียนของฉันเป็นไปแบบทหารล้วนๆ
    พวกพี่ๆ นิโคลาส, มิเกล, เซอเก หรือจอร์จี้ จะใช้ชีวิตกินอยู่ในโรงนอนที่มีเตียงเหล็กแคบๆ ที่ปูด้วยกระดานมีฟูกบางๆ วางทับ พวกเราก็ไม่ได้รู้สึกอะไรนะ อยู่ไปอยู่มาก็ชิน
    ขนาดในอนาคตหลายๆ ปีต่อมาที่ฉันได้อภิเษกแล้ว (กับเซเนีย พระขนิษฐาของซาร์นิโคลาส) มีห้องนอนหรูหรา มีเตียงมีฟูกหนาสองชั้น ผ้าปูเป็นลินินแท้ๆ
    แต่..ตัวเองกลับนอนไม่เป็น ยังสั่งให้ทหารเอาเตียงเหล็กแคบๆ นั่นมาวางเคียงไว้ข้างๆ ..

    พวกเราเด็กๆ ต้องตื่นนอนตอนหกโมงเช้าเป๊ะ ไม่มีการทำอิดออดขอต่อเวลา
    แม้แค่ห้านาทีก็ไม่ได้ รับรองว่าโดนทำโทษแน่ๆ พอดีดตัวออกจากเตียงได้
    สิ่งแรกที่ต้องทำคือ คุกเข่าสวดมนตร์อย่างเร็ว แล้วเข้าอาบน้ำ (น้ำงี้...เย็นเฉียบ) ต่อด้วยอาหารเช้า ที่มีน้ำชา ขนมปัง เนย เท่านั้น สิ่งแปลกปลอมอย่างอื่นห้ามเด็ดขาด เพราะไม่อยากให้"เคยตัว.."

    บทเรียนแรกเริ่มคือพละศึกษา..ต่อด้วยการเรียนรู้เรื่องอาวุธปืนที่มีการฝึกหัดยิงจริงๆ ที่สนามยิงปืนชายเขา..
    เสด็จพ่อ (แกรนด์ ดุ๊ค มิเกล) ทรงแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนแบบเซอร์ไพรส์ที่โรงเรียนบ่อยๆ ทรงตรวจตราแบบพร้องที่จะจับผิดในทุกกรณี
    การ เรียนนั้นเรียกว่าหนักหนาสาหัส ตอนฉันอายุได้สิบขวบ ความชำนาญในเรื่องของอาวุธต่างๆ เรียกได้ว่าใช้ไปวินาศกรรมในเมืองใหญ่ๆ ได้เลยเชียว

    ตารางเรียนของเรา ช่วงเช้า จากแปดโมงถึง สิบเอ็ดโมง ต่อด้วย ช่วงบ่าย สองโมงถึงหกโมง..มันเป็นกฏและธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านานที่ห้ามไม่ให้พวกเจ้า นายไปเรียนที่โรงเรียนธรรมดา
   ไม่ว่าจะเป็นของรัฐหรือราษฏร์
    อาจเป็นเพราะความสะดวกก็ได้ที่พระอาจารย์ทั้งหมดเป็นทหารล้วนๆ
    การเรียนแปดปีของพวกเรานั้น นอกจากวิชาทหารแล้ว ก็ยังต้องเรียนพระศาสนาและคัมภีร์ (ทั้งเก่าและใหม่) , ภาษาและวรรณคดี (รัสเซีย) , ประวัติศาสตร์ทั้งของรัสเซียและยุโรปรวมไปถึงเอเซีย,
    ภูมิศาสตร์โลก,
    วิชาคำนวนทุกสาขา และต้องเขียนและเรียนภาษาต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ ให้แตกฉาน
    อ้อ..มีวิชาดนตรีอีกด้วย..
    นอกเหนือจากที่กล่าวมา..วิชาที่ต้องเก่ง..คือ วิชาการต่อสู้แบบทหารด้วยอาวุธทุกชนิดรวมการฟันดาบ และต้องชำนาญการขี่ม้า
    พี่ชายองค์โต นิโคลาส และ มิเกล..ต้องเรียนภาษาละตินและกรีกด้วย..
    พวกเราเด็กๆ สามคน..ยังไม่ต้องรับกรรมในตอนนี้..

    เรื่องการเรียนดังกล่าวมานั่น ไม่ใช่ปัญหาของพวกเราเลยถ้าจะว่าไป..
    แต่เรื่องของ"ความโหด"ของพระอาจารย์ผู้สอนนี่ซิ..เจ็บปวดจริงๆ
    (นี่ถ้าพวกพ่อแม่อเมริกันรู้เข้า..รับรองว่าแห่กันประท้วงกันบ้านแตกแน่ๆ หาว่าพวกเราโหดร้ายทารุณ)
    เอาแค่สะกดภาษาเยอรมันผิดนิดๆ หน่อยๆ โทษคือ งดของหวาน
    หรือ.. คำนวนผิดเรื่องเวลาของรถไฟสองขบวนที่วิ่งสวนกัน (โจทย์แบบนี้..ไม่รู้ว่าทำไมพวกพระอาจารย์ชอบสอนกันนัก) หมายความว่าต้องไปคุกเข่าที่มุมห้องอยู่นานนับชั่วโมง
    ถ้าดื้อ หรือ ไม่ทำตามคำสั่ง..เป็นโดนหวดอย่างแรง..

    บางทีมันก็คับแค้นจนจุกอกจุกคอหอยเหมือนกัน อยากจะรวมกันกันประกาศอิสรภาพเหลือเกิน..แต่..ทุกคนรู้ดีว่า..ขืนทำไปก็จะมี รายงานขึ้นถวายเสด็จพ่อบนโต๊ะอาหารกลางวัน..กล่าวโทษ"ไอ้ตัวการ"
    ทีนี้แหละ..รับรองว่า..โดนหนักกว่าเดิม

    

    แต่ก็ต้องขอบอกเพิ่มเติมว่า เหล่าพระราชวงค์ในยุโรปต่างๆ นั้นก็ถือธรรมเนียมเหมือนกันหมด คือ รักลูกต้องตี..
    เพราะนั่นหมายถึงบอกให้รู้ว่า..ในอนาคตถ้าทำผิด..ต้องมีการรับผิดชอบ
    เวลาที่แสนสำราญของชาวบ้านอื่นๆ คือ อาหารกลางวันและอาหารค่ำ แต่ของพวกเรากลับตรงกันข้าม เพราะในตำแหน่งของเสด็จพ่อในฐานะองค์อุปราชแห่งคอเคซัสแคว้นใหญ่ที่อยู่ทาง ตะวันออกเฉียงใต้ของรัสเซีย
    แทบไม่เคยเลยที่เราจะมีแขกต่ำกว่าสามสิบ สี่สิบคนร่วมโต๊ะเสวย..ระหว่างอาหาร การสนทนาก็ไม่เคยพ้นไปจากเรื่องการบ้านการเมือง

    พวกเราเด็กๆ ..ต้องคอยระวังการออกเสียง p และ q ให้ถูกต้อง ถ้าหากว่า
    ถูกอนุญาต ให้พูด หรือ ถ้าต้องตอบเมื่อมีคนถาม หลายครั้งที่พวกเราอยากจะเล่าเรื่องสนุกๆ ที่ได้พบเห็นให้เสด็จพ่อฟัง.. แต่หาโอกาสแทรกไม่ได้เลย
    หรือเมื่อถูกสนทนาด้วยจากเหล่าเสนาบดี..ก็ต้องหาคำตอบให้พอดีๆ และ สุภาพตามฐานะของการเป็นเจ้า เพราะสายพระเนตรของเสด็จพ่อจับจ้องอยู่
    (แบบจับผิดในทุกขณะจิต)

    พวกคุณหญิงมาดามที่ช่างจำนรรจามักจะชวนคุยและถามว่า..
    "เมื่อแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์โตขึ้น พระองค์จะให้เป็นอะไรเพคะ ระหว่าง วิศวกร กับ ทหาร?"
    คำ ตอบคือ...อนาคตของฉันนั้น ได้ถูกวางเอาไว้ว่าต้องเป็นทหารบก (ในความคิดของเสด็จลุงนิโคลาส) ต้องเป็นนายทหารปืนใหญ่ (ในความคิดของเสด็จพ่อ) เป็นแม่ทัพเรือ กองเรืองหลวง (ในความคิดของเสด็จลุงคอนสแตนติน)

    เธอได้พูดต่อไปว่า..

    "สำหรับพระองค์ ไม่มีอะไรเหมาะไปว่าการที่ต้องดำเนินรอยตามพระบิดานะเพคะ"

    ฉันจะไปตอบอะไรได้..เพราะขณะนั้นสายตาของพระอาจารย์ที่มาร่วมโต๊ะเสวยกว่า สิบ สองคู่ที่พุ่งจับจ้องมาที่ฉันจุดเดียว ครั้งหนึ่งจำได้ว่า..พี่จอร์จี้เคยหลุดปากสารภาพออกไปว่า ชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ผลคือ ทุกคนเงียบสนิท..
    กว่าพี่จอร์จี้จะรู้ตัวว่าพลาดไปก็เมือ..โทษมาถึง คือของหวานไอสครีมถ้วยเบ้อเร่อนั่นถูกส่งผ่านเลยไปเฉย..ไม่เสริฟให้

    
    การนั่งร่วมโต๊ะเสวย มีกฏเหล็กอยู่ คือ ห้ามหัวเราะต่อกระซิก ห้ามคุยกันเอง
    ตำแหน่งของเราที่จัดวางไว้ ก็ไม่เคยเลยที่พวกเด็กจะมีโอกาสได้นั่งติดกัน
    ระหว่างเราจะต้องมีผู้ใหญ่คั่นเสมอ เป็นการบังคับกลายๆ ว่า เราจะต้องระวังกิริยากับคนข้างๆ อย่างยิ่งยวด
    เพราะ พวกเราต้องสำนึกในทุกขณะจิตว่า สักวันหนึ่ง..พวกเราจะต้องไปที่"รัสเซีย" อีกฝั่งหนึ่ง..ฝั่งที่ต้องข้ามแนวภูเขาที่ทอดยาวลิบๆ ที่ขวางเราอยู่นั่น เพื่อไปรับใช้เป็นข้าพระบาทสนองพระเดชพระคุณ เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงเวลานั้น หมายความพวกเราต้องมีมารยาทดีพร้อมและวินัยที่เข้มข้น เพื่อไม่ให้ใครมาว่าได้ว่าเป็นพวกคอเคเชี่ยน..ไอ้บ้านนอก

    หลังจากอาหารกลางวัน หรือ หลังอาหารค่ำที่พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าไป
    ในห้องสมุดของเสด็จพ่อได้ แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม แต่ก็สนุกมาก
    ห้องนั้นใหญ่โต ปูด้วยพรมเปอร์เซีย ประดับประดาด้วยดาบโบราณ ปืนยาว
    ปืนสั้น หน้าต่างบานใหญ่ที่มองออกไปเป็นวิวท้องทุ่งที่สวยงามและกว้างใหญ่ ฉันชอบมองวิวข้างหน้าที่บางครั้งจะพบกับทหารในชุดเทาแดง ขี่ม้าท่าทางอาจหาญ ดาบที่เอวที่ต้องแสงแดดส่งประกายออกแวววิบวับ
    หรือ ทหาร Georgian ที่จะอยู่ในเครื่องแบบสีดำ เวลาที่อยู่รวมกับหน่วยเปอร์เซียที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมไหมที่ชอบขี่ม้า นวยนาด ดูงดงามอย่างบอกไม่ถูก ไหนจะมีพ่อค้าชาวตาร์ต้าที่จูงลาบรรทุกผลไม้มาขาย ไหนจะภาพของ
    ชาวเติร์กผิวเข้มที่ส่งเสียงไล่อูฐให้เดินเร็วเพื่อจะได้ไม่กีดขวางเส้นทางอีกเล่า..
    ฉากไกลๆ คือแนวยอดเขา Kasbek ที่ยาวเหยียดที่มีหิมะบางๆ คลุมอยู่เป็นไรๆ นั้นตัดกับภาพท้องฟ้าที่มีสีครามจัด..
    มองลงล่างก็จะเห็นแม่น้ำ Kuraที่ไหลเอื่อยๆ พาดผ่าน..
    นี่คือภาพประทับใจของบ้านเมืองของฉัน..Tiflis (หรือปัจจุบันคือ Tbilisi) ที่เต็มไปด้วยความงดงามและสงบสุข

    

    บางทีอะไรที่มันสมบูรณ์และงดงามจนเกินไปนักในชีวิต ก็อาจจะกลายเป็นอื่นไปได้ในอนาคต..พวกเรานั้นไม่มีใครอยากจะจากบ้านเมืองไปเลย
    เพราะมองยังไงก็ไม่เห็นว่า พวกเราจะไปเหมาะตรงไหนกับกลุ่มยูโรเปี้ยน-รัสเชี่ยนที่แสนศิวิไลอย่างชีวิตในพระราชวังวังหลวง
    เพราะ ความรักในดินแดนบ้านเกิดของเรานี่มัง ที่ทำให้พวกเรารู้สึกแบ่งแยกออกจากชาวเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก นี่ถ้าซาร์ทรงรู้เข้าว่า เหล่าพระนัดดาเล็กๆ ห้าคนชาวคอเคเชี่ยนคิดจะแข็งข้อ
    ขืนเมืองเข้าละก้อ คงจะตกพระทัยแย่..
    โชคดีสำหรับรัสเซีย..ที่พวกเรามีเหล่าพระอาจารย์สุดโหด พูดอะไรผิดหูไม่ได้..เป็นโดนดี
    ยิ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสด้วยแล้ว..ผิดนิดผิดหน่อยไม่ได้เลย..

    สามทุ่ม..คือเวลานอน..พวกเราจะต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อเชิร์ตตัวโคร่ง (ตอนนั้นชุดนอน หรือ Pajamas ยังไม่มีในรัสเซีย) และต้องหลับให้ได้ในทันที
    กระนั้น..ก็หาว่าจะมีสันติสุขไม่ เพราะ จะมีคนเข้ามาตรวจตราไม่ต่ำกว่าห้าครั้ง จนกว่าจะเช้า..
    ก่อนเที่ยงคืนนิดหน่อย บางทีเราก็จะได้เสียงคลิก คลิกของสเปอร์รองเท้า
    นั่นหมายถึงว่า เสด็จพ่อเสด็จมา..
    เสียงรบกวนพวกนี้จะมีมาเสมอ อันเป็นบทฝึกหัดอีกบทหนึ่ง ที่พระมารดามักจะโต้แย้งเถียงแทนเสมอว่า ไม่สมควรรบกวนพวกเรา
    แต่ เสด็จพ่อบอกว่า..อีกหน่อยเป็นทหารจะต้องนอนให้ได้ท่ามกลางเสียงรบกวนสารพัด ในสนามศึก แม้จะเป็นงีบเดียวแค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมงก็ตาม

    แต่ฉันก็คงนอนไม่หลับ..บ่อยครั้งที่เห็นร่างสูงของพระองค์เดินไปมาในห้อง และบางครั้งก็ก้มมาดูจนใกล้เตียง ก่อนเสด็จกลับ พวกเรามักจะได้ยินเสียงสวดมนต์เบาๆ ที่พระองค์ขอพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยดูแลบ้านเมืองและลูกชายทั้งห้า
    เสด็จพ่อเคร่งในพระธรรมคำสอนของพระเจ้ามาก ทรงเชื่อหมดในทุกบทสอนที่มีในพระคัมภีร์ไม่ว่าจะปลีกย่อยสักแค่ไหน
    จากจุดที่เล่ามานี้...พวกเราน่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นพลังที่สำคัญแข็งแรง
    แต่..สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เคยวิเคราะห์ไว้อย่างไม่พลาด นั่นคือ
    มันเป็นการเติบโตที่ขาดความรักความอบอุ่น และ โดดเดี่ยว ขาดเพื่อน
    พวกเราไม่มีเพื่อนในวัยเดียวกันที่พอจะพูดคุยหรือปรับทุกข์
    กับพี่กับน้องก็ไม่กล้า..เพราะ"หยิ่ง"เกินไปกว่าที่จะแสดงความอ่อนเอ
    ยิ่งกับเหล่าข้าราชบริพารแล้ว..ยิ่งไม่ได้เลย..เหล่าแกรนด์ดุ๊คไม่สามารถ
    "หลุด"มาดไปได้เลย ต้องดูเข้มแข็งและมั่นใจ สีหน้าต้องสดใสให้สมกับกับฉลองพระองค์เชิร์ตไหมสีฟ้าที่ทรงอยู่

    กับ พระภคินีองค์รอง แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย ผู้ซึ่งเป็นหญิงเดียว..พระธิดาองค์โปรดของเสด็จพ่อที่มีทรงสิริโฉม พระวรกายสูงโปร่ง พระเกศาสีเข้ม ที่พวกเรามักชอบล้อด้วยถวายการเคารพแบบอัศวินที่ภักดีต่อเจ้าหญิง
    แม้ในความจริง..พวกเราก็มักจะถวายความรักแทบพระบาทให้กับพี่หญิงตลอดชีวิตของการเป็นนักเรียนทหารอยู่แล้ว..
    แต่ ต้องมาใจหายและเสียดายก็เมื่อพี่หญิงต้องอภิเษกไปกับเจ้าชายจาก Mecklenburg-Schwerin ที่พวกเราไม่ค่อยชอบหน้าเจ้าชายคนนี้นัก..ที่ชอบแอ๊คท่าแบบพวกเยอรมันที่ชอบ ลงส้นเท้าเป็นการตบให้สเปอร์ส่งเสียงดัง
    ตอนแรกที่เขามาที่เมืองของเรา..ไม่มีใครรู้ว่าด้วยเหตุผลอะไร จนพี่ชาย
    นิโคลาสไปแอบสืบทราบว่า ว่าจะมาเป็น"เขย"
    เท่านั้นแหละ..พวกเราก็ทำตัวเป็นพวก"มารยาทจัด"ทันที ไม่ยากเพราะฝึกหนักมาแล้ว ยิ่งประเภทถามคำ ตอบคำ นี่ละถนัดนัก..

    ภาพ..Grand Duke Michael Nikolaevich of Russia (1832-1909)
    พระอุปราชแห่งคอเคซัส..

        
     
     
   ในฤดูหนาวพวกเราจะได้รับอนุญาตให้เล่นข้างนอกแค่วันละ หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ฉะนั้น..การเร่งรอคอยวันคืนที่จะถึงฤดูใบไม้ผลินั้นนับกันแทบในทุกลมหายใจ ช่วงหยุดเทอมของเราจะมาถึงตอนนั้นพอดี นานถึงหกอาทิตย์
    ส่วนใหญ่เราจะไปเที่ยวกันที่ Borjom บ้านอีกหลังหนึ่งที่ชานเมือง..
    หรือ อาจจะไปพักที่ไครเมีย ใกล้กับทะเลดำ อันเป็นพระราชวังของสมเด็จลุง (ซาร์)

    แต่ ฉันโชคดีเหลือเกิน.. ที่พอวันนั้นมาถึงเราเดินทางไปถึงบอร์จอมแล้ว ฉันมีใข้ มีอาการออกอีสุกอีใส คณะครอบครัวเราจำเป็นจะต้องเดินทางต่อไปเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กเพื่อไปเยี่ยม คารวะซาร์
    ดังนั้น จึงจำเป็นที่ต้องปล่อยฉันไว้ที่บอร์จอม หมอ,คณะพี่เลี้ยงและมหาดเล็กเพียงไม่กี่คน..

    โอย..หกอาทิตย์ที่มีความสุขอย่างที่สุดในชีวิต ที่ได้นอนอยู่บนเตียง ตื่นสายๆ มีคนมาคอยดูแลและเอาใจ สั่งจะเอาอะไรก็ได้
    ทุกบ่าย..ทหารยามนำเครื่องดนตรีมาเล่นเพลงให้ฟัง มีผู้คนแวะมาเยี่ยมเยอะแยะ มีของฝากติดไม้ติดมือกันมาสารพัด ขนมนมเนย หนังสือ
    บาง ทีคุณหมอสองคนและพี่เลี้ยงที่ดูแลฉันเกิดนึกสนุกขึ้นมา เราเล่นไล่ยิงกัน แบบจับผู้ร้าย ใครโดนยิงก็ทำเป็นล้มตายแบบสมจริง หรือพวกพี่เลี้ยงสาวทำเป็นถูกจับตัวมัด
    และฉันเป็นอัศวินเข้าไปช่วย..ยิงกันสนั่นหวั่นไหว
    สนุกมากเหลือเกิน..
    บางวันเราก็ออกไปปิคนิคกันที่ภูเขาใกล้ๆ กันตั้งแต่ไก่โห่ด้วยรถเทียมม้าที่ พ่วงพีถึงสี่ตัว..ใช้เวลาแป๊บเดียวที่ม้าของเราสามารถตะกุยปีนไปจนถึงยอดเขา ทั้งๆ ที่เส้นทางนั้นน่ากลัวที่สุด เพราะทั้งลื่นและชันดิ่ง
    แต่เราชิน..เลยไม่กลัว
    ครั้ง หนึ่ง..เมื่อปีก่อนๆ ที่เรามีอาคันตุกะมาเยือน พระองค์เป็นซาร์ของเปอร์เซีย รูปร่างอ้วนกลม ที่เสด็จแม่ได้พานำไปเยี่ยมดูเขตแดนแนวกั้นภูเขา
    ก็ไปอย่างที่ฉันอธิบายมา รถเทียมม้าวิ่งไต่ขึ้นเขานี่แหละ..
    ซาร์คนนั้นกระโดดลง..เอ็ดอึงใส่เสด็จแม่ว่า..
    "Mourez seule!"
    อันหมายถึงว่า..เชิญไปตายคนเดียวเถอะ.. (ไม่ไปด้วยหรอก..)

 

    วันแห่งความสุขอีกวันก็คือ การที่ได้ออกไปเที่ยวเก็บลูกเบอร์รี่ป่า กลับมาเล่นโดมิโน ฟังนิทานปรำปรา

    แต่แล้ว..จู่ๆ ก็ได้รับโทรเลขที่แสนโหดร้าย..ที่ทำให้ฉันน้ำตาตก..นั่นคือ คำสั่งให้ฉันกลับบ้าน เพราะแพทย์ได้รายงานไปยังเสด็จพ่อว่าฉันหายดีแล้ว
    นั่นคือความสุขในวัยเด็กครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตนี้..ที่ไม่มีวันลืม

    เมื่อกลับไปถึงทิฟลิส..ฉันก็ต้องหูอื้อที่ต้องมารับฟังความสนุกสนานของพวก พี่น้อง ที่ต่างแย่งกันเล่าถึงความสุข ความสนุก ความตื่นเต้น ที่พวกเขาได้รับในพระราชวังหลวง
    ที่ฉันอยากจะบอกว่า ในขณะที่พวกเขานั่งตัวลีบอยู่บนโต๊ะเสวยนั่น ฉันกำลังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นหญ้าที่หนานุ่ม..มีดอกไม้น้อยๆ แซมสารพัดสี รายล้อมรอบตัว เสียงนกร้องจิ๊บๆ จิ๊บๆ ให้ฟังเป็นเพลงทั้งวัน
    ความสุขแบบนี้..ต่อให้เอาเพชรทั้งรัสเซียมากองตรงหน้า..
    ฉันก็ไม่ขอยอมแลกด้วย..
    แต่ไม่ได้หลุดปากไปหรอกนะ..เพราะเดี๋ยวเขาจะหัวเราะเยาะเอา..

    ใน ปี 1875 หลังคริสต์มาสไม่กี่วัน พวกเรามีสมาชิกใหม่ในครอบครัว นั่นคือการประสูติของน้องชายอีกคน Alexis (หรือ Alexei) ที่พวกเรามารู้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงสลุต
    พระอาจารย์ที่กำลังสอนได้บอกว่า
    "เป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานพระโอรสให้เจ้าเหนือหัวอีกองค์หนึ่ง"
    สองวันต่อมา พวกเราได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยมเสด็จแม่ และ พบน้องชาย
    พี่ชายทั้งหมดไม่ได้พูดอะไรเลย..
    ตัวฉันเอง..มองดูหน้าเล็กๆ ที่เหี่ยวย่นนั้นด้วยความสงสาร..คนมีกรรมได้มีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
    หวังใจอย่างยิ่งว่า..ถ้าวันหนึ่งข้างหน้า น้องน้อยโตขึ้น..พวกพระอาจารย์โหดๆ
    ก็คงแก่หง่อมจนเลิกสอนไปแล้ว..


    ฤดูใบไม้ผลิต่อมา..ช่วงหกอาทิตย์ของการหยุดเทอม พวกเราออกเดินทางที่ร่นขึ้นเร็วกว่าปรกติ เพราะจะต้องไปที่พระราชวังไครเมียและจะเข้าเฝ้ารับเสด็จ ซาร์แห่งรัสเซียที่ Yalta
    ใครต่อใครต่างบอกพวกเราว่า..ซาร์อยากจะพบกับหลานๆ บ้านนอกชาวคอเคเชี่ยน

    พระราชวัง ลิวาเดีย ที่ไครเมียนั้น มีเทอเรซที่กว้างใหญ่และบันไดยาวนับร้อยๆ ขั้นที่ทอดสู่ชายทะเล Black Sea ระหว่างที่พวกเรากำลังกระโดดโลดเต้นไปตามขั้นบรรไดนั้น..ฉันก็เผอิญไปชนกับ เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกัน
    มากับผู้หญิงคนหนึ่งที่อุ้มเด็กทารกอยู่ในมือ ทันทีที่ตั้งตัวได้
    เด็กชายคนนั้นก็ส่งมือมาให้จับ ยิ้มและพูดว่า..
    "ฉันทายว่า..เธอคือ ซานโดร ญาติของฉันใช่ไหม..เราไม่ได้พบกันที่
    เซนต์ปีเตอร์สเบอรก์เมื่อปีที่แล้ว พวกพี่ๆ ของเธอบอกว่า เพราะเธอไม่สบาย
    ออกอีสุกอีใส ฉันชื่อนิคกี้..นั่นน้องสาวคนเล็กของฉัน.. เซเนีย"

    ดวงตาที่อ่อนโยน มารยาทชั้นยอดนั้น..ทำให้ฉันเหมือนถูกตรึง รู้สึกอายนิดๆ ต่อความคิดที่เคยมีทางด้านลบเกี่ยวกับพวก"ชาวเหนือ" และจากวินาทีนั้น..ดูมิตรภาพของเราได้ผูกพันกันอย่างสนิทแน่น มานานต่อมาถึงสี่สิบสองปี
    เขาไม่ใช่ใครอื่นๆ ไกล..พระนัดดา (หลานปู่) องค์โตของสมเด็จลุง (ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง) เป็นพระโอรสของรัชทายาท Alexander Alexandrovich (ต่อมาคือ ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม)
    และในกาลข้างหน้าต่อมา..เขาคนนี้คือ ซาร์นิโคลาส..ซาร์องค์สุดท้ายแห่งโรมานอฟและรัสเซีย..

    ในมิตรภาพของเราที่มีการขัดแย้งเสมอๆ เกี่ยวกับเรื่อง"นโยบาย" เกี่ยวกับเรื่องการเลือกคนทำงาน และ การตัดสินใจที่ไม่เด็ดขาด
    แต่..เราก็ไม่เคยทะเลาะหรือบาดหมางใจกัน
    ระหว่างเรา..การเป็นจักรพรรดิ์นิโคลาสทีสอง ไม่ได้เป็นกำแพงขวางกั้นของการเป็น "นิคกี้ "ญาติสนิท
    ไม่ว่าครั้งใดในชีวิต..ฉันก็ไม่เคยลืมภาพของเด็กชายในเสื้อไหมสีชมพู ที่เต้นหยอยๆ บนขั้นบันไดที่พระราชวังลิวาเดีย
    ชี้ชวนให้ใครต่อใครดูเรือที่ผ่านไปมา.

 

    ย่างเข้าสิบขวบ..และเป็นปีสามของการเรียน..นั่นหมายถึง ตารางการสอนของฉันในปีใหม่นี้กำลังจะปรับเปลี่ยนใหม่ มีวิชาทหารเพิ่มขึ้น แบบฝึกหัดมากขึ้น..
    เพราะการเติบโตมากับหมู่ผู้ใหญ่ล้วนๆ ที่ใครต่อใครมักย้ำเสมอว่า ภาระและหน้าที่ความรับผิดชอบของแกรนด์ ดุ๊ค นั้น เป็นอย่างไร ทำให้พวกเรามีสมองที่โตเกินวัย
    ฉันก็เหมือนกับเด็กชายรัสเชี่ยนอื่นๆ ที่อยากจะอพยพไปยังประเทศใหม่
    ที่มีชื่อว่า อเมริกา..ที่มีรัฐ มีแม่น้ำ ใหญ่โตน่าสนใจ การเรียนเรื่องอเมริกา
    นี้ พระอาจารย์ผู้สอนมีชื่อว่า Vesselago ท่านเป็นผู้บังคับการเรือที่เคยประจำการอยู่ที่อเมริกาในสมัยสงครามกลาง เมือง Civil War ที่รัสเซียส่งทัพเรือไปช่วยคุ้มกันน่านน้ำให้รอดพ้นจากกองทัพเรือของอังกฤษ
    ฉัน ไม่เคยหยุด"ซัก" เรื่องราวเกี่ยวกับประเทศใหม่นี้เลย..เพระอยากรู้เหลือเกินว่า สำหรับเด็กๆ อย่างฉัน..สามารถเดินบนถนนในนิวยอร์คได้อย่างปลอดภัยหรือไม่..

    เรื่องการที่รัสเซียไปช่วยเหลืออเมริกานี้..ฉันไม่เคยรู้หรอกว่ามันมีความหมายกับใคร..แค่ไหน
    จนห้าสิบปีต่อมา..ที่ได้มีเพื่อนชาวอเมริกัน Myron T. Herrick เล่าให้ฟังว่า..
    ตอนนั้นเป็นกลียุคของอเมริกาจริงๆ มืดมนไปหมด..เขาจำได้ว่ายังเป็นเด็กอยู่
    ไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่แม่..เดินไปทั่วฟาร์ม..ร้องไห้จนตาบวม เพราะไม่มีคนงานมาช่วย ชายหนุ่มส่งออกไปแนวหน้ากันหมด จู่ๆ เสียงแม่ก็ร้องลั่น
    เขาตกใจคิดว่าอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น..รีบวิ่งไปหา ปรากฏว่าแม่เรียกให้ไปดูหนังสือพิมพ์ ชี้แล้วพูดซ้ำไปมาว่า..
    "ไมรอน..ไมรอน..เรารอดแล้ว เรารอดแล้ว.."
    ตอน นั้น ไมรอนได้กล่าวว่า..เขาเองก็ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับนอกประเทศนักหรอกนะ นอกจากอังกฤษที่ชอบเอาเปรียบ หรือ ฝรั่งเศสที่มาค้าขายและสั่งสอนแล้ว..รัสเซียล่ะเป็นใคร..?
    เลยถามแม่ไปว่า..รัสเซียเป็นแบบพวกอินเดียนแดงที่ชองถลกหนังหัวคนหรือเปล่าแม่?
    แต่ต่อมาก็รู้ว่า เพราะรัสเซียมาช่วยเรา..แม่ถึงได้ดีใจนัก..

    ไมรอนได้บอกฉันว่า..เสียดายนะ..ที่ท่านแกรนด์ ดุ๊คไม่ได้มา"ลี้ภัย" ที่อเมริกา ถ้าท่านมา..ไปหาผมได้ที่ฟาร์มในโอไฮโอ..

 

    ต้นฤดูฝนของปี 1876 การสนทนาบนโต๊ะอาหารมีแต่เรื่องของสงครามที่กำลังจะเปิดฉากกับเตอร์กีล้วนๆ เรื่องอื่นๆ ไม่มีสิทธิแทรก เพราะมันเป็นชายเขตแดนของเรา อยู่ภายใต้การทำงานของกองทัพจากคอเคซัสของเราที่ต้องดำเนินการแบบสายฟ้าแล่บ ผสมผสานไปกับกองทัพของบัลกาเรีย

    พวกเด็กๆ อย่างเราก็ต่างจินตนาการถึง เรื่องสงครามอย่างมีสีสัน คิดกันเลยเถิดว่า ถ้าพวกเติร์กบุกเข้ามาถึงทิฟลิส พวกเราจะต่อต้านสู้รบอย่างไร (จึงจะสาสม)
    ต่างก็อิจฉาพี่ชายคนโต นิโคลาส ที่มีอายุสิบแปดพอดี ที่ออกไปร่วมรบได้ เพราะการเรียนของเราที่ผ่านมา สงครามที่เรารู้คือสงครามที่เราชนะ สงครามที่มีแต่วีรบุรุษ
    มีแต่การโห่ร้องยินดี แต่ไม่เคยมีใครมาบอกเราเรื่องจำนวนผู้ล้มตายที่มีมากมายมหาศาลแค่ไหน ในสงครามกับนโปเลียน หรือ สงครามที่ไครเมีย
    เรารู้จักแต่ชื่อของนายพลที่ได้รับเหรียญตราชั้นสูงสุด
    เราไม่เคยรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผู้เสียหาย ผู้พิการ หรือ ความร้ายแรงของไทฟอยด์ที่พรากชีวิตชาวประชาราวกับใบไม้ร่วง..

    ความตาย..ไม่เคยนำมาเขียนใส่ไว้ในตำรา..หรือทุกตำราจะบันทึกไว้ตรงกันเกี่ยวกับสิ้นชีวิตของบรรพุรุษของเรา ที่ไม่เคย"ตาย"
    แต่จะเขียนไว้ด้วยถ้อยคำสวยหรูว่า...."จากไปอย่างสงบสุข"

    ตอนนั้นได้เกิดการ"ปล้นฆ่า" อย่างอุกอาจในทิฟลิสของเรา โจรถูกจับได้แทบในทันที ศาลสั่งประหารอย่างฉับไว ลานประหารนั้นมาตั้งอยู่ไม่ห่างจากพระราชวังเท่าไหร่นัก
    ฉันกำลังเข้าห้องเรียน..พบว่าเหล่าพระอาจารย์ไปยืนออกันอยู่ที่หน้าต่าง
    ก็เลยเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น..เขากำลังดูการประหารที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าใน ไม่นานนี้..แทนที่เขาจะไล่พวกเด็กอย่างเราให้ออกไป..ที่ไหนได้ กลับให้ไปยืนข้างหน้า..ดูให้เต็มที่
    ที่ลานประหาร..มีแท่นปะรำยกพื้นขึ้น มา..ประชาชนแห่แหนมาเฝ้าดูกันหนาแน่น..มีเจ้าหน้าที่ที่กำลังอ่านคำตัดสิน จากนั้นก็มีนักโทษชายสองคนถูกดันตัวออกมาด้วยท่าทางที่ซีดเซียว เดินขึ้นแท่น..
    ชั่วพริบตา..ขาสองคู่ก็ลอยขึ้นแกว่งต่องแต่ง กวัดไกวอยู่ตรงหน้า..
    ฉันร้องลั่นด้วยความตกใจ หวาดเสียวจนต้องรีบก้มหน้าปิดตา..
    เสียงพระอาจารย์พูดลอยๆ มาให้ได้ยินว่า..
    "ท่าทางแกรนด์ ดุ๊ค ซานโดร คงเป็นทหารที่ดีไม่ได้.."

    ฉันรู้สึกโกรธจนตัวสั่นที่ได้ยินอย่างนั้น อยากจะกระโดดเข้าไปชกหน้าซะให้สมใจ
    แต่ตอนนั้นแค่ลุกก็ยังไม่ไหว..เพราะรู้สึกหน้ามืด หวิวๆ ..

    หลายวันต่อมาลังจากวันนั้น..ภาพนั้นก็ยังติดสมอง ติดตา ไม่กล้ามองออกไปนอกหน้าต่างอีกเลย กลัวว่าจะพบภาพหวาดเสียวอย่างนั้นอีก
    โลกนี้..ไม่ได้สวยงามเสมอไปอย่างที่ฉันคิดเสียแล้ว


    เดือนมกราคม 1877 วันสำคัญของเราได้มาถึง นั่นคือ วันที่รัสเซียประกาศสงครามกับเตอร์กี..ความจริงแล้วเรื่องกระทบกระทั่งระหว่างรัสเซียกับพวกเติร์กนั้นมีมานานนับสิบๆ ปีแล้ว
    เพราะชายแดนบอลข่านที่สามารถติดต่อไปถึงเอเซียได้นั้นสำคัญนัก แต่ที่ต้องมารบกันในครั้งนี้ เพราะ อังกฤษได้เข้ามาแทรกแซง หนุนทั้งกำลังทรัพย์กำลังเงิน..ซ้ำมีนายทุนใหญ่ คือ Leonel
    Rothschild เศรษฐีชาวยิว ที่หนุนหลังให้กับนักการเมืองผู้นำของอังกฤษที่เป็นยิวเหมือนกัน Benjamin Disraeli ให้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ย่ำยีคนอื่น
    หมายใจจะครอบครองบอลข่านไว้คนเดียว..

    ความ จริงเรื่องของบอลข่านนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเท่าไหร่ แต่..เพราะเตอร์กีเริ่มกำแหงหาญกับรัสเซียเพราะได้"ยาดี" จากอังกฤษ เช่น เงินและอาวุธใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็เลยคิดว่าตัวเองแน่..
    ส่วนรัสเซีย ก็ยังไม่หายเจ็บใจกับสงครามครั้งที่แล้ว คือ สงครามที่ไครเมีย (กับเติร์ก) ที่เรา"เสียหน้า" ไปนิดหน่อย ที่ต้องยอมลงนามในสนธิสัญญา
    ให้คนอื่นได้เข้ามาใช้สิทธิในทะเลดำด้วย

    ฉะนั้น..คราวนี้คือโอกาสอันดีที่สมเด็จลุงเห็นว่าสมควรที่จะต้องสั่งสอนพวกเติร์กให้ได้รับบทเรียน เป็นไงเป็นกัน..

   

    สงครามที่เกิดครั้งนี้ ฉันมีอายุได้สิบเอ็ดปี และตื่นเต้นมาก...นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตต่อประสบการณ์สงครามจริงๆ ที่ตัวเองมีส่วนร่วม..
    เสด็จพ่อได้รับตำแหน่งเป็นแม่ทัพแห่งคอเคซัส..ที่ต้องดูแลกองทัพใหญ่เพราะ ทาง เมืองหลวงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์กได้ส่งทัพมาด้วย..ทหารพวกนี้ต้องเดินทางข้าม เขามาด้วยเท้า
    เพราะตอนนั้นยังไม่มีรถไฟเชื่อมต่อระหว่างเรา
    แต่เมื่อมาถึงก็ได้รับการดูแลอย่างดี เพราะอาหารการกินของเราอุดมสมบูรณ์

    ทุกเช้าพวกเราจะต้องติดตามเสด็จพ่อออกไปตรวจตรากองทัพทุกหน่วยเหล่า ได้ฟังท่านให้กำลังใจปลุกใจพวกทหารหาญและบอกถึงความรับผิดชอบต่อชาติบ้าน เมือง..

    และแล้ววันสำคัญยิ่งในชีวิตได้มาถึง..คือวันที่กองพลที่ 73 หรือชื่อเต็มๆ ว่า 73rd Krimsky Infantry Regiment ที่พร้อมจะออกไปทำศึก และผบ.ที่จะทำหน้าที่ส่งกองทัพพร้อมอวยพรให้โชคดีมีชัย นั่นคือ
    ฉัน.. (พันเอกประจำกองพลโดยตำแหน่งที่ได้รับตั้งแต่เกิด)
    หกโมงเช้า..ที่ฉันยืนส่องตัวเองอยู่ที่หน้ากระจกในชุดเครื่องแบบเต็มยศที่แสน สง่างาม ไหนจะรองเท้าบู๊ทเต็มแข้งสีดำมันวับนั่นอีก..เบื้องหลังคือกลุ่มพี่น้องที่ มองด้วยแววตาริษยานิดๆ
    (เพราะหน่วยของพวกเขายังไม่ได้ออกรบ..)
    มิเกลชะโงกมองออกไปนอกหน้าต่าง กวาดตาดูทหารจำนวนสี่พันนายที่ตั้งแถวยืนเป็นระเบียบ..และแกล้งพูดให้เสียอารมณ์ว่า..
    "ทหารของนาย..ดูท่าทางเหนื่อยๆ นะ"
    ฉันทำท่าไม่สนใจเสียงนกเสียงกา เพราะไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรก็ตาม
    ฉันว่า..หน่วยทหารของฉันดูผึ่งผายกว่าใครๆ

    เออ..จริงซินะ ฉันควรจะต้องพูดอะไรที่มันดีๆ แบบที่เสด็จพ่อเคยพูดกับเหล่าทหาร..เอ..เอาไงดีล่ะ เริ่มจาก
    "ทหารหาญที่รักของเรา..."
    ว้า..ไม่ไหว..นี่มันแปลมาตรงๆ จากพวกทหารฝรั่งเศสที่ชอบพูดกัน..
    "ทหารผู้กล้าของเรา"
    เอ..หรือจะเป็น "พี่น้องผู้กล้าของเรา"
    ว้า..แล้วใครจะมาเป็นน้องเราละเนี่ย..อายุแค่สิบเอ็ดเอง
    ไม่เอา..เอาใหม่..

    แต่..เสียงที่เข้ามาขัดจังหวะนั้น..คือเสด็จพ่อ ที่ทรงก้าวเข้ามาพร้อมถามว่า
    "กำลังทำอะไรอยู่น่ะ.."
    เหล่าพี่น้องที่รายล้อมอยู่รีบชิงกันฟ้องเสียงแซ่..
    "เค้ากำลังฝึกอวยพรให้กองทัพของเค้าพะยะค่ะ.." แต่เสด็จพ่อรีบยกพระหัตถ์ขวาขึ้นอันเป็นความหมายว่า..ให้เงียบ..ทรงตรัสว่า
    "นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น..เลิกล้อกันเสียที..ไม่มีใครหวังให้ซานโดรต้องกล่าวสุนทรพจน์เลย.."
    ว้า..แล้วกัน ทุกคนทำสีหน้าผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
    " เพียงแต่ขอให้พระคุ้มครองพวกเขาเท่านั้นก็พอ..ไป..ซานโดร เราไปกันได้แล้ว ทำท่าทางให้ขึงขัง แข็งแรงหน่อย หน้าตายิ้มแย้มสดใสเข้าไว้นะลูก ไม่ว่าเจ้าจะเหนื่อยแค่ไหน"


    คำสุดท้ายที่เสด็จพ่อทิ้งเอาไว้..ฉันมาประจักษ์แก่ใจก็เมื่อตอนเที่ยงพอดี
    เพราะสี่ชั่วโมงที่ต้องเดินให้ทันเสด็จพ่อตรวจแถวทหารทั้งหมด
    และกลับมายืนประจำตำแหน่งในท่าระวังตรง..รับการเคารพจากสิบหกกองร้อยที่แต่ละกองร้องฉันต้องทำความเคารพตอบพร้อมพูดว่า..
    "ขอชัยชนะจงมีแก่ กองร้อยที่หนึ่ง.."
    "ของชัยชนะจงมีแก่ กองร้อยที่สอง.." ซึ่งยาวนานไปจนถึงสิบหกครั้ง..

    กว่าจะจบวัน..ฉันแทบทรุดแต่ก็เต็มไปด้วยความสุข..เมื่อกลับถึงวัง
    พระมารดาบอกให้เข้าพักผ่อนเลย เพราะท่าทางฉันคงแย่มาก แต่..จะให้พักผ่อนได้อย่างไรในเมื่อ ทหารสี่พันนายของฉันเพิ่งจะออกเดินทางไปทำสงครามในไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง..
    สิ่งแรกที่ฉันปราดไปหา นั่นคือ ฝาผนังที่มีแผนที่ของการเดินทัพ..เพื่อที่จะรู้ว่า..พวกเขาไปถึงไหนกันแล้ว และจะต้องผ่านอะไรบ้าง..

    มิเกล..พี่ชายปากเสีย..รีบประชดให้ก่อนเดินออกไปว่า..
    "ไม่เคยเห็นใครตื่นเต้นจน"สเปอร์"สั่นระริกอย่างนี้มาก่อนเลย.."

    ช่างเหอะ..อิจฉาเขาละซิ เพราะเขาสูงกว่าตั้งนิ้วครึ่ง ทั้งที่อ่อนว่าตัวเองถึงสามปี...!!! (ฉันเชิดใส่..)

ภาพ การเตรียมสงครามกับพวกเติร์ก  

    อาทิตย์ต่อมา เสด็จพ่อต้องนำทัพออกรบ..ฉันรู้สึกอิจฉาท่านจัง พวกเราต่างเฝ้ามองด้วยความชื่นชม พระองค์ประทับอยู่บนรถเทียมม้าสี่ตัว มีทหารคอสแซคขี่ม้าทั้งนำและตามขบวน
    วงดุริยางค์บรรเลงเพลงชาติ มีพิธีทางศาสนา
    อวยพรให้มีชัย..ธงริ้วขบวนสวัดไสว
    ประชาชนที่มาส่งเสด็จต่างส่งเสียงโห่ร้องถวายพระพร..
    ภาพทั้งหมดนี่มันได้ปลุกกระแสให้พวกเรายิ่งรักชาติ ยิ่งสนใจในเรื่องสงครามจนพูดจาภาษาอื่นไม่เป็น นอกจากภาษาสงคราม..
    จะมีก็แต่เสด็จแม่พระองค์เดียว..ที่เศร้าสร้อยห่วงหาอาวรณ์ด้วยความเป็นห่วง..

    ทุกๆ เช้า..พวกเราใจจดจ่อรอฟังแต่ข่าวสงคราม..ที่จะมีใบบอกมาให้ทราบได้ว่า..
    "ทัพคอเคเชี่ยนของเราเข้ายึดค่ายของเติร์กได้แล้ว.." ไชโย ไชโย๊..
    "ทัพดานูปที่คุมไปโดยเสด็จลุงนิโคลาส ได้ข้ามแม่น้ำดานูปไปจนถึงเมืองเปรฟน่าได้แล้ว..แต่ก็มีการสูญเสียไปไม่ใช่น้อย"
    "องค์จักรพรรดิ์ได้เสด็จเยี่ยมศูนย์บัญชาการรบ และมอบเหรียญกล้าหาญให้เหล่าทหารกล้า"
    "เชลยเติร์กรุ่นแรกได้ถูกส่งตัวมาถึงที่ทิฟลิสแล้ว"
    "แม่ทัพ Loris-Melikoff ผู้เก่งกาจได้รับชัยชนะที่โน่นที่นี่"

    ชื่อของเหล่าแม่ทัพต่างๆ จะผุดขึ้นมาพูดถึงแทบในทุกขณะจิต ทั้งหมดนี่ไม่ใช่ใครที่ไหน คือเหล่าพระอาจารย์ของพวกเราแทบทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่พวกเราแอบดีใจอยู่เงียบๆ
    เพราะห้องเรียนแทบร้าง..ทั้งหมดต้องออกไปทำศึกรับใช้ประเทศชาติตามความชำนาญ ของตัว
    เรื่องนี้..ฉันต้องขอสารภาพผิด ที่ปล่อยให้สำนึกชั่วๆ ได้เข้ามาครอบครองในจิตใจในแว๊บหนึ่งที่ฉันอยากให้พวก พระอาจารย์เหล่านั้นตกเป็นเป้ากระสุนของพวกเติร์ก
    ไม่ต้องกลับมามีเวรมีกรรมกันอีก
    แต่โชคดีที่ฉันไม่ต้องตกนรก..เพราะเหล่า ผู้ที่ถูกแช่งทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัย แถมได้เลื่อนยศเลื่อนขั้นกันบานเบิกในฐานะวีรบุรุษ อีกทั้งตำแหน่งก็เลื่อนไปใหญ่เป็นโตประจำกันที่เมืองหลวง..

    นั่นหมายถึงว่า..เราจะมีพระอาจารย์รุ่นใหม่ที่คงไม่"เฮี๊ยบ" อย่างรุ่นที่แล้ว..

   

    ระหว่างที่เสด็จพ่อออกไปแนวหน้านั้น พวกเราพยายามช่วยทำหน้าที่ในการดูแลบ้านเมือง โดยการออกไปพบปะประชาชนต่างในเมืองทิฟลิส ทั้งที่โรงพยาบาล หรือ ตามท้องถนน
    ฉันได้พบกับเด็กชายในวัยเดียวกันกับฉันหลายคน ที่หน้าตาอิดโรย สภาพผอมแห้ง..ดูสกปรกซอมซ่อ พวกเขามีชีวิตที่น่าสงสารและน่าสมเพช

    การที่ได้มองเห็นและรับรู้ถึงความยากลำบากของชาวบ้านเหล่านี้ ทำให้ฉันรู้สึกอดสูในตัวเองที่อยู่ในเสื้อไหมมันระยับ รองเท้าบู๊ตหนังสีแดง ที่ยืนท่ามกลางพวกเขาที่มีสภาพไม่ต่างไปจากขอทาน
    ทุกคนต่างก่นด่าสงครามที่ได้"พราก"ชีวิตพ่อซึ่งเป็นหัวหน้าครอบครัวหาเลี้ยงดู..จนพวกเขาต้องปากกัดตีนถีบให้อยู่รอด..

    พวกเรานำเรื่องนี้มาปรึกษาพระอาจารย์ และอยากให้ออกมาตรการช่วยเหลือพวกเขาโดยด่วน..
    แต่กลับไม่ได้รับคำตอบ..มิหนำซ้ำ..พวกเรายังโดนคำสั่งห้ามไม่ให้ออกไปนอกวังอีกเด็ดขาด
    การห้ามออกนอกอาณาเขตจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อบัดนี้..สมองของพวกเราได้"ตื่น" ขึ้นแล้ว..เราได้รู้แล้วว่า โลกภายนอกวังของเรานั้นมันไม่ได้สวยงามอย่างที่เคยคิด
    พระอาจารย์คนหนึ่งได้แสดงความเห็นว่า..
    "ก็เพราะพระองค์อยู่สบายมีพร้อมทุกอย่างสมบูรณ์พูนสุข..เห็นอะไรนิดหน่อยๆ ก็สงสาร ใจอ่อนเพราะไม่ชินกับภาพแบบนั้น"

    สิ่งที่ตอกย้ำให้รู้ว่า..เราสมบูรณ์พูนสุขจน"หนา"เกินไป กว่าที่จะมองเห็นความทุกข์คนอื่นนั้นเป็นจริง เพราะ เรามีทหารยามคนหนึ่งที่ยืนเฝ้าหน้าประตูวัง..เขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี
    ทำความเคารพอย่างแข็งขันทุกครั้งที่เราพบกัน
    ต่อมาเขาก็หายไป..จนพวกเราคิดว่าเขาออกไปรบที่ชายแดน
    จนกระทั่งวันหนึ่งที่เราแอบได้ยินพวกองครักษ์คุยกันว่า เขาคนนั้นได้ปลิดชีวิตตัวเอง..เพราะเสียใจที่เมียที่อยู่ที่บ้านนอกตายจากไป

    นี่เอง..นี่ฉันได้เกิดสำนึกขึ้นมาได้มองเห็นภาพย้อนหลังไปว่า..ทหารคนนั้นยิ้ม แย้มแจ่มใส รื่นเริง เพราะเขานับวันรอที่จะกลับไปพบกับเมีย อยู่กับเมีย
    ทั้งๆ ที่ตัวเองต้องถูกส่งมาราชการไกลแสนไกล แต่เขาก็มีความสุขเพราะมีความหวัง
    แต่เมื่อความหวังนั้นทะลายลง..เขาจะอยู่ไปใย..
    นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัว..แล้วทหารที่ออกไปรบล่ะ ทั้งฝั่งเราและฝั่งเติร์ก จะมีอีกกี่ครอบครัวที่หัวใจแตกสลาย..
    คิดแล้ว..ฉันยิ่งสงสารพวกเขาจับใจ..

    ทุกเช้า..ฉันจะไปแวะที่ป้อมยามที่เขาคนนั้นเคยประจำอยู่ ตอนนี้มีคนใหม่มาแทน เป็นทหารวัยกลางคนที่เครื่องแบบเต็มไปด้วยเหรียญตราผ่านศึก
    ตาคนนี้ก็ คงแปลกใจที่เห็นฉันไปยืนมองนิ่งอยู่ เขาเริ่มอึดอัด พยายามเหลือบตาดูรองเท้า ดูเหรียญตรา ดูกระดุมเสื้อ ว่ามันอยู่เป็นที่เป็นทางหรือไม่
    ส่วนฉัน..ก็อยากจะเอ่ยปากถามเขาเหลือเกินว่า ลูกเมียสบายดีไหม..เจอกันบ้างหรือเปล่า..
    แต่ก็ไม่สามารถเอ่ยปากได้ เพราะเป็นการไม่ควร..
    เราก็เลยต่างยืนมองกัน..แบบเล่นเกมทายใจ..


    ปี 1878 สงครามได้เลิกแล้วต่อกัน มีการลงนามในสนธิสัญญา***
    *** สงครามในสมัยก่อน การต่อตีทำไปด้วยความลำบากและใช้กำลังคนส่วนใหญ่ ประเทศที่รบกันก็เพราะเรื่องปัญหารุกล้ำชายแดน หรือ แย่งชิง
    พื้นที่ ทำกินเป็นส่วนใหญ่ เมื่อรบกันไปจนผู้คนล้มตายไปทั้งสองฝ่าย เงินหมดคลัง..ก็มักจะเลิกแล้วต่อกันไปเอง ใครที่ได้เปรียบอยู่ ก็จะเรียกร้องเอานั่นเอานี่..ฝ่ายที่เป็นรองก็ต้องมีวิธี"ลักไก่" ให้เสียน้อยที่สุด
    แต่นั่นหมายถึงว่า ไพร่พลต้องมาล้มตายไปนับหมื่นนับแสน....(วิวันดา)

    ปีต่อมา..คือปีมงคลที่พี่หญิงของเรา แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย ต้องเข้าพิธีอภืเษกกับเจ้าชายเยอรมันขี้เก๊ก Friedrich of Mecklenburg-Schwerin ที่เราไม่ชอบหน้า..
    ที่พระราชวังเซนต์ปีเตอร์สเบอรก ที่พวกเราต้องยกขบวนไปกันหมด มันเป็นทริปแรกในชีวิตของฉันในการที่จะไปยังเมืองหลวงที่น่าตื่นเต้นที่สุด
    เพราะเคยได้ยินมานานหนักหนาถึงความใหญ่โตสวยงาม
    ครั้งนี้จะได้ไปสัมผัสด้วยตัวเอง
    ตลอดเส้นทางบนรถไฟ..ฉันยืนเกาะหน้าต่างแน่น ตามองไปที่ทิวทัศน์ข้างทางของบ้านเมืองเราที่ยาวเหยียดด้วยภูเขา..ทุ่งนา ลำธาร
    จนมาถึงสถานี Vladicavkas ที่ฉันเห็นแล้วอยากหันหลังกลับไปที่ทิฟลิส
    เพราะมันช่างทรุดโทรม ปรักพัง ผู้คนก็มีสีหน้าที่อิดโรย สิ้นหวัง..
    เสด็จพ่อคงสังเกตเห็นสีหน้าฉัน ท่านจึงตรัสขึ้นว่า..
    " อยากประมาณค่าของรัสเซียจากหมู่บ้านเล็กๆ หมู่บ้านเดียวซิลูก..พอเราถึงมอสควา เจ้าก็จะเห็นความโอ่อ่าตระการตาของพระวิหารเก่าๆ กว่าพันแห่ง
    และพระราชวังที่เซนต์ปีเตอร์เบอร์กอีกเล่า..งามนัก"

    ฉันถอนใจ..เมื่อได้ฟัง เพราะเรื่องนี้ได้ยินมานานหนักหนา..ถึงพระราชวังที่เครมลิน หรือ พระราชวังฤดูหนาวนั่น..
    แต่ขอบอกตรงนี้เลยว่า..ฉันไม่ได้นึกนิยมยินดีหรือจะ รักมันมากไปกว่า"บ้าน"ของเราที่ทิฟลิส"
    และเราก็ถึงที่มอสควาก่อน เพื่อที่จะเยี่มชมพระวิหาร ต่อด้วยพระราชวังเครมลินเพื่อที่จะต้องแวะทำการคารวะที่ฝังศพของเหล่านักบุญ ต่างๆ จำนวนร้อยๆ เพราะนี่คือวัตรปฏิบัติของเจ้านาย..


    ภาพ Kremlin

        
 

    ที่เครมลิน หนึ่งในหน้าที่ของพวกเรา คือต้องเดินตามพระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่ในเสื้อคลุมสีดำ นำเราไปยังสุสานนักบุญ ที่นอนเรียงแถวสงบนิ่งอยู่ในโลงเงินที่ยกแท่นขึ้นมา..
    พระศพหุ้มด้วยผ้าคลุม สีเงินและสีทอง
    พระเถระจะทำการเคลื่อนฝาโลงขึ้น และชี้ตำแหน่งตรงซากให้เราจุมพิต..
    ฉันเริ่มวิงเวียนศรีษะเต็มที่ ถ้าอยู่ต่ออีกนิดเดียว เป็นลมหงายตึงแน่ๆ

    ฉันคงไม่ใช่ออโธดอกซ์นิกชนที่ดีนัก ป่วยการที่จะมาโกหกว่าเลื่อมใสอย่างโน้นอย่างนี้..เพราะกว่าฉันจะโตเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา
    ทุกครั้งที่จะต้องไป"จุมพิต" เหล่านักบุญที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นซึ่งก็ไม่ใช่น้อย
    เรียกว่านับเป็นร้อยๆ ครั้ง..ที่ทุกครั้งต้อง"ฝืนใจ"ไปทุกที..

    ระยะทางจากมอสควาไปเซนต์ปีเตอร์สเบอรกนั้น มีระยะทางสี่ร้อยกว่าไมล์
    ตลอดระยะทาง เต็มไปด้วยการ์ดพร้อมอาวุธที่หนาแน่น ตอนกลางคืนจะเห็น
    พวก เขาตั้งแคมป์ไฟกันเป็นหย่อมๆ ตอนแรก..พวกเราคิดว่า เป็นเพราะเขามารับเสด็จพ่อ แต่มารู้ทีหลังว่าเพราะซาร์จะเสด็จมาที่มอสควาในเร็วๆ นี้
    จึงต้องตั้งกองกำลังรักษาพระองค์เต็มที่ เนื่องจากสถานะการณ์ตอนนั้นไม่ค่อยดี มีพวกต่อต้านที่กำลังเคลื่อนไหว
    การ เคลื่อนไหวนี้เองที่ทำให้เราต้องพบกับความลำบากใจ แม้แต่ซาร์เองที่แค่จะเดินทางไปมาระหว่างเมืองหลวงของพระองค์สองเมืองนี้ ยังต้องคุมเข้มจนผิดปรกติ..
    มันช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับเจ้าชีวิต..ซึ่งช่างผิดแผกไปจากสมัยสมเด็จปู่
    (ซาร์นิโคลาสที่หนึ่ง) ที่เสด็จไปไหนไหนได้ทั้งนั้นโดยลำพัง ไม่ว่าจะทรงพระดำเนินเล่นในปาร์คหรือในป่า..ไม่มีองครักษ์คุ้มภัย

    เช้าวันที่มาถึงเซนต์ปีเตอร์สเบอร์ก พวกเราก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะหมอกลงหนาจนมองไม่เห็นอะเรเลย พระราชวังต้องจุดเทียน จุดตะเกียงกันเป็นการใหญ่ ครั้งยามเที่ยงก็ยังมืดมิดจนมองไม่เห็นเพดานในห้องที่พัก
    พระพี่เลี้ยงที่มาดูแลฉันได้บอกว่า..
    " ห้องที่จัดให้พระองค์นี้..สวยงามทีเดียว พอหมอกจาง พระองค์ก็จะเห็นวิวของค่ายปีเตอร์ แอนด์ ปอล อันเป็นที่ฝังพระศพของซาร์ทุกพระองค์"

    ฉันใจแป้ว..นี่หมายความว่า ตลอดเวลาหลายเดือนที่ต้องอยู่ที่นี่ ต้องอยู่ในบ้านเมืองที่มีหมอกทึบจนหายใจหายคอแทบไม่ออก แถมยังต้องมานอนอยู่ข้างๆ สุสานคนตายอีก..ยิ่งคิด..น้ำตาพาลไหลออกมา..นึก เกลียดที่นี่จับใจ

    และเกลียดมาจนตลอดชีวิต ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงบ้านจนจับจิตนั้น ฉันเคยภาวนาขอสักครั้งที่จะมีโอกาสกลับไปที่ทิฟลิส และภาวนาเช่นกันว่า อย่าได้
    ต้องไปที่เซนต์ปีเตอร์สเบอร์กอีกเลย..ไม่..แม้แต่แค่ชายตาแล..


    ภาพ..กรุง Moscow 

        
     
 

    ฉันบ่นเรื่องไม่ชอบให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ให้ทรงทราบ.. แต่เรามักจะขัดแย้งกันเสมอ เพราะท่านทั้งสองชื่นชอบที่นี่มาก เนื่องจากเป็นสถานที่ที่ทั้งคู่อภิเษกกันและใช้ชีวิตที่เริ่มต้นด้วยกันที่ นี่
    แต่ท่านก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิในความคิดอันเป็นเอกเทศของฉัน
    การมาอยู่รวมกันกันเป็นครอบครัวใหญ่แบบนี้ เรา..โรมานอฟก็ไม่ได้ต่างกับครอบครัวคนอื่นๆ ที่มีการแก่งแย่ง อิจฉา ไม่ชอบหน้ากันเป็นเรื่องธรรมดา
    ในช่วงที่ฉันมาอยู่ในพระราชวังหลวงนี้.. ก๊กโรมานอฟของเราที่มีเสด็จลุงเปรียบเป็นหัวหน้าครอบครัวนั้น..แบ่งออกเป็น สายว่านเครือที่มีลูกชายไล่ๆ กันดังนี้..

    สายของซาร์ สมเด็จลุง..มีพระโอรสห้าพระองค์ คือ อเล็กซานเดอร์ (ต่อมาคือซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม) วดาดิเมียร์, อเล็กซิส, เซอเก, และ พอล
    อันเป็นสายที่ต้องใช้พระนามของพ่อต่อท้าย ว่า..Alexandrovich

    สายเสด็จลุงคอนสแตนติน..มีพระโอรสสี่พระองค์ คือ คอนสแตนติน
    (จูเนี่ยร์ หรือ KR) , ดิมิทรี, นิโคลาส และ วีอาเชสลาฟ เป็นสาย
    Constantinovich

    สาย เสด็จลุงนิโคลาส มีพระโอรสสองพระองค์ นิโคลาชา (นิโคลาส จูเนี่ยร์ ต่อมาคือ ผู้บัญชาการทหารบกในปี 1914) และ ปีเตอร์ เป็นสาย
    Nicholaevich

    สายต่อมาก็คือ ครอบครัวเรา ที่มีด้วยกันหกชาย นิโคลาส (บิมโบ) , มิเกล,
    จอร์จี้, ฉัน..อเล็กซานเดอร์ หรือ ซานโดร, เซอเก, อเล็กซิส คือสาย
    Michaelovich

    พระ โอรสของซาร์สองพระองค์ คือ อเล็กซานเดอร์ (รัชทายาท) และ วลาดิเมียร์ที่มีศักดิ์เป็นพี่ชายฉันนั้น ทรงอภิเษกเร็ว..ตอนนั้นต่างก็มีพระโอรสสามองค์เท่ากันไปแล้ว..
    อย่างองค์รัชทายาท อภิเษกกับเจ้าหญิงมารี แห่งเดนมาร์ก มีพระโอรสองค์โต คือ นิคกี้ (นิโคลาส) , จอร์จิ และ มิเกล
    ส่วนวลาดิเมียร์ ..มีพระโอรสสามองค์เช่นกัน คือ ซีริล,โบริส และ แอนดรูว์

    เท่ากับว่า..สามหนุ่ม ของสองค่ายนี้ คือ แกรนด์ ดุ๊ครุ่นเล็กสุดในครอบครัวใหญ่ของเรา..




    ภาพ..พระราชวังเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก 

 

    อนาคตของแกรนด์ ดุ๊คอย่างพวกเราๆ นั้นถูกวางไว้กับราชการทางทหาร..แล้วแต่ว่าจะเป็นสายไหน" รุ่ง"ก็ไปแก่งแย่งเอากันเอง
    เรื่องที่"ไม่ชอบ" หน้ากันนั้นเป็นเรื่องธรรมดา อย่างพวกเรา..ที่อยู่คอเคซัสนั้นถือว่าห่างไกล
    ความเจริญของเมืองหลวง..พวกเขาก็ประมาณการณ์กันว่า..พวกเราคงจะกร่างกันคับบ้านคับเมือง เพราะถือว่าเป็นน้องเป็นหลานของซาร์..
    ส่วนพวกเราก็มองพวกเขาว่า..พวกหยิบโหย่ง เหยียบขี้ได้ไม่ฝ่อ..
    ฉะนั้น..เราจึงมี"ที่รัก" และ "ที่ชัง" ที่รักคือ นิคกี้ และ จอร์จิ..

    ที่ ชังคือ นิโคลาชา (สายนิโคเลวิช) ที่เป็นศัตรูตัวเอ้ของพี่ชายใหญ่ของเรา นิโคลาส (บิมโบ) ที่ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันในสมัยวัยรุ่น
    ดังนั้น..มิตรภาพ ระหว่างเรากับกลุ่มแกรนดฺ ดุ๊คต่างๆ จึงไม่ราบรื่นเท่าไหร่นัก เพราะ ถ้าใครจะคบกับก๊กโน้น เราก็ไม่สุงสิงด้วย..หรือในทางกลับกัน
    ใครที่คบกับเรา กลุ่มโน้นเขาก็ไม่ยุ่งด้วย..
    ฉันเป็นเด็กที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ครั้งแรกที่ต้องมาร่วมโต๊ะเสวยที่พวกเราทั้งหมดเข้าประจำที่..ซาร์ประทับ หัวโต๊ะ ทรงมีพระทัยดี แจ่มใส..
    ในแถวของพระโอรสของพระองค์..
    องค์รัชทายาท อเล็กซานเดอร์ที่มีร่างสูงใหญ่ ขึงขัง..พระชนมายุแค่สามสิบสี่ แต่ดูแก่กว่าอายุจริง..
    วลาดิเมียร์ หล่อ แต่ดุ..
    อเล็กซิส คนนี้เหมือนกับนักการเมืองอเมริกัน แต่งองค์สมาร์ทและ โผงผาง เพราะทรงทำงานฝ่ายต่างประเทศ
    เซอเก..เงียบขรึม ยิ้มยาก ท่าทางยะโส
    พอล..หน้าตาหล่อเหลาที่สุด และ มีความคิดเป็นประชาธิปไตยที่สุด..

    ทีนี้ก็มาถึงก๊กของคอนสแตนติโนวิช..ที่ค่อนข้างเงียบ เพราะ เสด็จลุงคอนสแตนตินเองนั้นไม่ค่อยเป็นที่ทรงโปรด เพราะโปรดการเป็นนักวิชาการมากกว่าทหาร

    ต่อมาก็ถึงก๊กของ"ศัตรู"ของ เรา นิโคลาชา ผู้ที่สูงที่สุดในพระราชวัง เพราะถ้าเทียบกับชายรัสเซียทั่วๆ ไปที่สูงประมาณ หกฟุตหนึ่ง หรือ สอง
    นายคนนี้สูงถึงหกฟุตห้า..เลยทำให้ใครต่อใครดูเตี้ยไปถนัดใจ
    นิโคลาชานั่งตัวตรึง ตรงเป๊ะ ราวกับเตรียมเคารพธงชาติอยู่ในทุกขณะจิต
    บางทีก็แอบเหลือบตามาทางพวกเรา แต่ก็ต้องรีบหลบ เพราะเจอกับสายตา
    ดุดันของพวกเราที่ส่งกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน..

 

    ก่อนดินเนอร์มื้อนั้นจะเสร็จสิ้น..ฉันได้ตัดสินใจว่าควร จะประสานมิตรภาพต่อกับนิคกี้และจอร์จิ เพราะเคยรู้จักกันพอประมาณเมื่อตอนที่ไปพักผ่อนที่พระราชวังลิวาเดีย (ที่ไครเมีย) เมื่อปีก่อน...
    เท่าที่สังเกตดู พอล (หรือ ปาเวล) พระอนุชาองค์เล็กของนิคกี้ ก็ดูน่าคบ..และอีกคนหนึ่งที่นิสัยดี คือ ดิมิที คอนสแตนติโนวิช ส่วนคนอื่นๆ นอกเหนือไปกว่านี้..ก็คบไปตามมารยาท
    และเป็นอย่างนั้นมาตลอดชีวิต..นอกจากนิคกี้ น้องสาวของเขา
    (เซเนีย ผู้ซึ่งต่อมาคือพระชายาของท่านผู้เขียน...วิวันดา) และพี่น้องของฉันแล้ว..ฉันก็ไม่ค่อยสุงสิงกับญาติคนไหนอีก

    ดังที่เล่ามานี่..ถ้าหากว่าจะมีนักเขียนคนไหนอยากดังอย่าง นาย Emile Zola**พ่อนักเขียนใหญ่ชาวฝรั่งเศสนั่น..ก็ลองใช้เวลามาศึกษาสัมพันธ์ของคนใน ครอบครัวของเราดูซิ..จะได้ตัวละครที่หลากหลายในทุกลำดับชั้นญาติ ประเภท พ่อกับลูก พี่กับน้อง ลุงอากับหลาน ที่มีครบหมดในทุกลักษณะและนิสัยใจคอ..เอาไปเขียนได้มากกว่ายี่สิบเล่ม อีก..



    **หมายเหตุ Emile Zola (1840-1902) คือนักเขียนชาวฝรั่งเศสที่โด่งดังในยุคนั้น เขาเขียนนิยายชุดเกี่ยวกับสมัยนโปเลียน ชื่อว่า the Rougon-Macquart อันเป็นเรื่องยุ่งเหยิงของครอบครัวประเภท ลูกชู้ ลูกตัว..
    และได้เขียนออกมาต่อเนื่องถึง ยี่สิบเล่ม (แสดงว่าได้รับความนิยมมาก....วิวันดา)


    ภาพ..Grand Duke Pavel (หรือ Paul) พระโอรสองค์เล็กของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง..ในชุดทหารเหล่าฮัสซาร์เต็มยศ
    ลองมองแว๊บแรกนะคะ พระองค์มีส่วนละม้ายกับเจ้านายของไทยพระองค์หนึ่ง..ลองทายซิคะว่าใคร?


    การอภิเษกของพี่หญิงอนาสตาเซียกับเจ้าชายเยอรมันนั้น มันเป็นจุดแรกในการแบ่งแยกครอบครัวของเราออกไป
    งาน พิธีอภิเษกของพี่หญิงที่มีทั้งงานเลี้ยงและงานพิธีทางศาสนาใช้เวลานานหลาย วันกว่าจะจบสิ้น แต่พิธีแต่งงานจริงแล้วใช้เวลาแค่สี่สิบนาทีต่อหน้าพระเถระก็จบเสร็จสิ้น
    ตามด้วยงานเลี้ยงอีก คราวนี้เป็นพวกทูตต่างๆ ที่ประจำรัสเซีย แล้วก็เลี้ยงส่งท้ายระหว่างครอบครัว อันเป็นการบอกลา เพราะจากนั้นไป..พี่หญิงก็ต้องจากพวกเราไปอยู่ที่เยอรมันกับพระสวามี

    วันที่ไปส่งที่ท่าเรือ เสด็จแม่ร้องไห้โฮ..เพราะพี่หญิงเป็นลูกสาวคนเดียวที่รักดังดวงตาดวงใจ.. เสด็จพ่ออ้ำอึ้ง..อึกอักขยับฉลองพระหัตถ์อยู่นั่นแล้ว..
    ฉันคิดว่ามันไม่แฟร์เลย..ทำไมธรรมเนียมของเราต้องนิยมให้ลูกสาว ลูกชายแต่งงานกับคนต่างบ้านต่างเมือง ยิ่งเป็นลูกสาวแต่งแล้วก็ต้องออกไปจากบ้าน..ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับใครที่ ไหนก็ไม่รู้..
    (ซึ่งฉันเป็นคนแรกที่แหวกกฏนี้ไปได้ เพราะแต่งงานกับญาติหญิงของตัวเอง
    แกรนด์ ดัชเชส เซเนีย พระขนิษฐาของนิคกี้)

    เพียงไม่นานที่พี่หญิงจากบ้านไป เสด็จแม่ทนคิดถึงไม่ไหว..เลยตัดสินพระทัยที่จะเสด็จยุโรปเพื่อไปเยี่ยมเยียน และนี่คือการเดินทางไกลที่สุดครั้งแรกในชีวิตของฉัน ..ยุโรป
    อีกทั้งเสด็จแม่ต้องการที่จะพาพวกลูกๆ ไปคารวะเสด็จลุง พระเชษฐของพระองค์  พระเจ้า Frederick I, Grand Duke of Baden และพระประยูรญาติในสาย Baden ของพระองค์
    การไปยุโรปคราวนี้จะใช้เวล่าอยู่หลายเดือน เพราะการเดินทางนั้นไกลนับพันๆ ไมล์ นี่คือสิ่งที่ฉันไม่ชอบเลย..ไม่อยากไปนาน..แต่ไม่บังอาจขัดพระทัยได้..

    เมื่อไปถึงจริงๆ ..เสด็จลุงแกรนด์ ดุ๊ค แห่ง บาเดน ได้ให้องครักษ์ตามประกบพวกเราแต่ละคน..ไม่ว่าจะย่างก้าวไปไหน ให้มาคอยช่วยเหลือดูแล
    พระองค์คงเป็นห่วงพวกเรา พวกหนุ่มๆ รุ่นกระทงด้วยกันทั้งนั้น



    ภาพ..Grand Duchess Anastasia and Friedrich Franz III of Mecklenburg-Schwerin, 1878

    
     


    

    ใกล้ๆ กับวังที่อยู่..เป็นปาร์ค มีสนามเทนนิส..ฉันไปเดินเล่นเที่ยวดูนั่นดูนี่..
    ที่ สนามเทนนิส..ฉันได้พบกับตัวแทนของประเทศที่ฉันให้ความสนใจมาโดยตลอด..เธอสอง คนนั่นเป็นสาว"อเมริกัน"วัยกำดัด ที่กำลังเล่นเทนนิสกันอย่างสนุกสนาน..
    ทั้งสองคนนั่น..งามหยด..สวยทั้งคู่จนตาลายไปหมดไม่รู้ว่าจะเลือกใครดี
    ฉันเข้าไปยืนดูใกล้ๆ ราวกับต้องมนต์สะกด..
    อีตา..มหาดเล็กนั่น..ก็ตามมายืนประกบนิ่ง..ใกล้จนแทบหายใจรดกันได้
    เพราะ มันช่างรักษาคำสั่งอย่างเคร่งครัดตามวิสัยทหารเยอรมัน..นี่ถ้าเสด็จลุงสั่ง ให้ยืนเฝ้าตลอดสี่สิบแปดชั่วโมง..ตานี่ก็จะสนองพระบัญชา..ไม่ขยับไปไหนเลย..

    ฉันรู้สึกอึดอัด..อยากอยู่คนเดียว อยากมองสาวอย่างมีความสุขบ้าง..
    ก็ดันมีอุปสรรค..นอกเหนือไปจากนั้น ฉันเองก็ได้รับคำสั่งมาเหมือนกันว่า
    ห้ามพูดคุยกับชาวอเมริกันเป็นอันขาด..
    ดังนั้น..จึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายืนมองเฉยๆ ..
    เมื่อ สองสาวนั่นเล่นจนจบเซ็ท พวกเขาพากันมานั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ กับที่ฉันยืน (เหล่) อยู่ ทั้งคู่คงรู้สึกตัวแล้วว่าถูกจ้องมองจากหุ่นที่หายใจได้..
    เขาจึงซุบซิบ กิ๊กกั๊กกันว่า..
    "อีตานั่นเป็นอะไรนะ..บ้าใบ้หรือเปล่าก็ไม่รู้..นี่เราคงต้องไปเรียนภาษามือกันแล้วละมัง.."

    วินาทีนั้น...ฉันอยากให้ฟ้าสาปอีตามหาดเล็กให้มันหายไปสักชั่วโมง เพื่อที่ฉันจะได้แสดงเดชให้สองสาวอเมริกันนี่รู้จักว่า ฉันเป็นคนบ้าใบ้ชนิดไหน...
    แต่หมอนั่นไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลย..ยืนเฝ้านิ่งอยู่อย่างนั้น....เฮ้อ..

   
    การแอบ"เหล่"สาวครั้งแรกของฉัน..ซ่อนไว้เป็นความลับไม่ได้ เลย เพราะพี่น้องรู้หมด...ทุกคนเอาไปล้อเลียนอย่างไม่มีชิ้นดี เช่น ที่ใต้หมอน
    มักจะมีข้อความเขียนทิ้งไว้ให้แบบเป็นเรื่องเป็นราว.. แต่พอลงท้ายกลับเขียนว่า..
    จากสาวอเมริกันที่รักของเธอ..

    หรือ ยามที่เดินผ่านห้องโถง..ไม่ใครก้อใครรีบรัวนิ้วบนคีย์เปียโน..เล่นเป็นเพลงมาร์ชของอเมริกันขึ้นมาทันที..
    หนักเข้า..มีคนแอบเอาธงชาติอเมริกันอันเล็กๆ แปะที่ด้านหลังของเสื้อโค๊ทของฉัน..
    โดยปรกติ..ฉันเป็นคนค่อนข้างขี้อาย..พระมารดาเคยสัพยอกแรงๆ ว่า..
    "ไม่รู้ว่าขี้อาย หรือ ทึ่มกันแน่..หรือ บางทีอาจจะทั้งสองอย่างรวมกันก็ได้"

    แต่..เพื่อความสบายใจและไม่ต้องอับอายพี่ๆ น้องๆ อีกต่อไป ฉันเลี่ยงไม่ไปที่สนามเทนนิสอีกเลย..


    *** หมายเหตุ..ตอนนั้นท่านผู้เขียนมีพระชนมายุแค่ 14 ย่าง 15 ก็เลยแอบมีหวือหวาประสาวัยรุ่น....วิวันดา

 

    พอปลายปี เข้าฤดูหนาว..ที่พระราชวังหลวงเกิดการระเบิดขึ้นตูมตาม ที่เรือนนอกชั้นล่างอันเป็นกองมหาดเล็กรักษาพระองค์ นายทหารเสียชีวิตไปร่วมสี่สิบคน
    แต่..เผอิญว่าในส่วนที่ประทับของซาร์นั้น เสียหายเล็กน้อย
    พระองค์แล้วรอดปลอดภัยดี ที่บุบสลายแตกหักไป ก็จะเป็นพวกเครื่องกระเบื้อง และกระจกหน้าต่างที่แหลกไม่มีชิ้นดี

    การ สืบสวนหาตัวการได้เร่งกระทำในทันที..เป้าหมายคือการนำเอกสารว่าจ้างพนักงาน ทำความสะอาดมาตรวจตราดู ว่า..พวกที่เข้ามาใหม่ๆ นั้นประวัติเป็นอย่างไร
    ในที่สุด..ผลก็ออกมาว่า พวกนั้นคือ"ผู้ก่อการร้าย" ที่แฝงตัวเข้ามาอย่างแน่นอน

    เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสะเทือน ขวัญ..หมายความว่า ซาร์กำลังตกอยู่ในอันตราย..เสด็จพ่อทรงเป็นห่วงพระเชษฐาจนประทับอยู่ไม่ติด ที่ เพราะอยู่ห่างกันตั้งพันสองร้อยไมล์
    ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอีก..จะช่วยเหลือได้ไม่เต็มที่..
    ดังนั้น..ครอบครัวของเราจึงเตรียมพร้อมเดินทางเข้าเมืองหลวงกันอีกครั้ง..

    กลางทาง..มีทหารชั้นผู้ใหญ่หลายนายได้มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ทุกคนมีสีหน้าห่วงใยอย่างซ่อนไม่มิด ทุกคนลงความเห็นตรงกันว่า..ซาร์อยู่ในสถานะการณ์อันตราย
    ไม่รู้ว่าจะสามารถหลบหลีกไปได้นานอีกเท่าไร..ถ้ารัฐบาลไม่จัดการอะไร ให้เด็ดขาดลงไป..พวกทหารเหล่านั้นต่างขอร้องให้เสด็จพ่อ
    เข้าควบคุมการทำงานรัฐบาล และใช้ความเด็ดเดี่ยวในการชายชาติทหารของท่านสยบและจัดระเบียบพวกนอกลู่นอกทางให้กลับเข้าที่..

    แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า..ชายที่เป็นประหนึ่งเจ้าชีวิตของรัสเซียนั้น..ก็มี จุดอ่อนกับเขาเหมือนกัน..เรื่องนั้นก็ไม่หนีเรื่องของ"อิสตรี" ที่ซาร์ยอมโอนอ่อนให้ทุกอย่าง..
    พวกเรามารู้ก็ตอนที่เสด็จพ่อเรียกเข้าไปพบ ขณะอยู่บนรถไฟที่เกือบจะถึงเมืองหลวงอยู่แล้ว..
    เสด็จแม่ประทับนิ่ง พระพักต์ไม่ค่อยดี
    เสด็จพ่อสูบซิการ์ พ่นควันฉุย และนี่คือเรื่องแปลกเพราะโดยปรกติท่านมักจะไม่สูบต่อหน้าเสด็จแม่..

    "ลูกๆ ฟังนะ..พ่อมีอะไรจะบอกก่อนที่พวกเราจะถึงพระราชวังหลวง..คือว่า
    ลูกๆ ต้องเตรียมตัวพบกับเอมเปรสองค์ใหม่ของรัสเซีย..ที่โต๊ะเสวยเมื่อเราไปถึง"
    เสียงเสด็จแม่ขัดขึ้นมาเบาๆ ว่า..
    "เธอยังไม่ใด้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอมเปรสเลย..เพราะเอมเปรสองค์ที่แล้วเพิ่งสวรรคตไปเพียงสิบเดือนเอง"

    เสด็จพ่อผลุดลุกขึ้นยืนตระหง่านในทันทีด้วยความขัดพระทัย
    "นี่..รอให้ฉันพูดให้จบก่อนได้ไหม..พวกเราคือพสกนิกรของฝ่าพระบาท
    เราไม่มีสิทธิที่จะพูดถึงท่านในด้านที่ไม่ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
    ถึง แม้ว่าจะเป็นญาติ เป็นพี่น้อง หรือ เป็นแกรนด์ ดุ๊ค เราก็ต้องสนองพระบัญชาเหมือนกันทหารทั่วๆ ไป ลูกๆ ..ฟังให้ดีนะ..สมเด็จลุงของเจ้าทรงตกลงพระทัยอภิเษกกับ
    Princess Dolgorouky และจะทรงตั้งพระนามใหม่เป็น Princess Yourievskaya หลังจากพิธีปลงพระศพและไว้ทุกข์สมเด็จป้ามารี
    เสร็จสิ้นไป จากนั้น เจ้าหญิงยูเรียฟสกายา ก็จะเถลิงบัลลังก์เป็น เอมเปรส แห่งรัสเซีย..โดยสมบูรณ์ แต่ในตอนนี้..พวกเจ้าจะต้องแสดงความเคารพ
    และจุมพิตพระหัตถ์ของเจ้าหญิงเหมือนอย่างที่เคยทำกับสมเด็จป้ามารี
    อ้อ..สมเด็จลุงมีพระโอรสและพระธิดาสามองค์ กับเจ้าหญิงด้วย เด็กพวกนั้นนับว่าเป็นญาติของเราเช่นกัน..ทำดีกับพวกเขาด้วยล่ะ..

    เสด็จแม่พยายามสะกดความไม่พอพระทัย..แย้งขึ้นมาอีกว่า..

    "บอกเยอะไปแล้ว.."

    พวก เราหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก..ฉันเริ่มจำได้ว่า..เมื่อครั้งก่อนที่เราไปพัก ในพระราชวัง เราถูกสั่งห้ามไม่ให้ไปในบริเวณพระตำหนักใหญ่ ที่มีคนบอกว่า เป็นที่อยู่ของผู้หญิงและลูกเล็กๆ อีกสามคน..
    เซอเก อดรนทนไม่ไหว ถามขึ้นมาว่า
    "ญาติของเราที่ว่านี้ อายุเท่าไหร่พะยะค่ะ"
    "คนโต ผู้ชาย อายุเจ็ดขวบ น้องสาวสองคน หกขวบ กับ สี่ขวบ"
    เซอเก..แม้จะมีอายุเพียงสิบเอ็ดปี แต่ก็บวกลบเป็น เขาถามต่อว่า
    "เป็นไปได้อย่างไร เสด็จพ่อ........................."
    (ความหมายคือ เอมเปรสองค์เก่าเพิ่งสิ้นพระชนม์ไปไม่ถึงปี ..ทำไมมีลูกอายุขนาดนี้..แสดงว่า..."

    แต่เสด็จพ่อทรงตัดบท..ยกพระหัตถ์ขึ้น อันเป็นความหมายว่า..ให้เงียบ..และออกคำสั่งว่า..
    "กลับไปที่ขบวนโบกี้ของเจ้าได้แล้ว..วันนี้พอแค่นี้"

 

    พวกเราเด็กๆ นำเรื่องนี้ไปถกกันต่อ..เพราะมันช่างลึกลับ อะไรเช่นนี้เกี่ยวกับเรื่องของพระราชวังหลวง หรือไม่ก็อาจเป็นความเข้าใจผิดของเสด็จพ่อที่อาจนับวันเดือนปีผิด..
    เพราะถึง ซาร์อภิเษกกับเจ้าหญิงยูเรียฟสกาย่าตั้งแต่สิบเดือนที่แล้ว..ก็ไม่น่าจะมี ลูกโตขนาดนั้นได้

    แต่..ในความจริงก็คือ ความหมายของมันได้บ่งบอกว่า ซาร์ได้มีพระมเหสีสองพระองค์นานมาแล้ว..และนี่คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เสด็จแม่ ไม่สบายพระทัย ทรงเกรงไปว่าจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
    เพราะคำว่า"เมียน้อย" นั้น ไม่ควรเกิดหรือมาแผ้วพานในพจนานุกรมชีวิตของลูกๆ ของพระองค์

    วันนั้นก็มาถึง..คือ..ค่ำคืนของอาทิตย์ต่อมา..ที่พวกเราทุกคนได้ร่วมโต๊ะ เสวยและจะเป็นวันที่เราจะได้รู้จักกับว่าที่เอมเปรสองค์ใหม่..
    เสนาบดีได้ใช้ไม้เท้าด้ามงากระทุ้งพื้นสามครั้งเป็นสัญญาณ พร้อมกับประกาศว่า..
    "เจ้าเหนือหัว..และ..เจ้าหญิง ยูเรียฟสกาย่า..เสด็จ.."

    เสด็จแม่เมินพระพักต์ไปทางหนึ่ง..เจ้าหญิงมารี พระชายาของมกุฏราชกุมาร อเล็กซานเดอร์ หลุบพระเนตรลงต่ำ พระองค์ก็ไม่ได้รักเกียจเดียดฉันท์อะไรกับเจ้าหญิงคนนี้
    แต่คงทรงเป็นห่วง"ข่าว"อันไม่เป็นเกียรติยศเท่าไหร่นี้จะลอยไปถึงพระกรรณของ สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียผู้ซึ่งเกี่ยวพัน (อันเป็นพระมารดาของพี่เขย เจ้าชายเบอร์ตี้ มกุฏราชกุมารแห่งบริเตน)

    สมเด็จลุงได้เสด็จพระราช ดำเนินเข้ามาในห้องคล้องพระกรด้วยสาวงามเคียงข้าง เมื่อผ่านเสด็จพ่อ..ก็ทรงหลิ่วตาให้ด้วยท่าทางที่ครึ้มพระทัย และมาหยุดยืนข้างๆ กับองค์มกุฏราชกุมารที่ทำพระพักต์เมินเฉย
    ว่า ที่เอมเปรสได้ถอนสายบัวตามแบบฉบันของแกรนด์ ดัชเชสอย่างถูกต้องสวยงามก่อนที่จะประทับลงบนเก้าอี้อัน (เคย) เป็นตำแหน่งของ สมเด็จป้ามารีผู้ล่วงลับ..ทุกคนต่างกลั้นหายใจไปตามๆ กัน..
    ฉันเป็นคนที่ช่างอยากรู้อยากเห็น..จึงจับจ้องเธอผู้นั้นอย่างไม่วางตา..
    ฉันชอบใบหน้าสวยงามเจือเศร้า..ชอบผมสีทองที่มันวาว..และเห็นได้ชัดว่าเธอตก อยู่ ในความประหม่า..บ่อยครั้งที่เธอได้หันไปมองซาร์..ซึ่งพระองค์ก็ได้เอาพระทัย ช่วยโดยการแตะหลังมือเธอเบาๆ ..
    การสนทนาเต็มไปด้วยความน่าเบื่อ เพราะทุกคนพร้อมใจกันที่จะรักษา"มารยาท"ของการพูดน้อยให้มากที่สุด
    ฉันรู้สึกสงสารเธอจนบอกไม่ถูก..อีกทั้งไม่เข้าใจว่า..เธอผิดตรงไหนที่มารักกับผู้ชายที่มีพร้อมทุกอย่างอย่างซาร์ของรัสเซีย..



    ภาพ..เจ้าหญิงยูเรียฟสกาย่า พระนามเดิม Princess Catherine Dolgorouky


    ซาร์มีพระชนมายุ 64 แต่ก็ทรงทำท่าทางกระชุ่มกระชวยราวกับอายุสิบแปด
    มีการกระซิบข้างหูพระชายาวัยสามสิบเศษ..หรือ ฉอเลาะถามไถ่ว่าชอบไวน์ที่ดื่มหรือไม่..
    ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ทรงถูกพระทัยไปหมด
    ทรง ทำองค์เป็น"กันเอง" กับเหล่าพระประยูรญาติ คุยเล่นคุยหัวกับพวกเราเด็กๆ เพราะเห็นว่าเราชอบมองเจ้าหญิงพระชายาด้วยความ ตื่นตา ตื่นใจ..
    ช่วงสุดท้ายของดินเนอร์มื้อนั้น..พระพี่เลี้ยงได้นำเด็กๆ เข้ามาสามคน

    "อ๊ะ..มาพอดี โกโก้ (Gogo) ของพ่อ" ซาร์ทักทายพระโอรสองค์น้อยด้วยความภาคภูมิพระทัย..พร้อมทั้งอุ้มขึ้นนั่งบนพระอังสะ..
    "บอกพี่ๆ เขาซิลูก..ว่าหนูชื่อจริงๆ ชื่ออารายยย.."
    "หนูชื่อ..เจ้าชาย จอร์จ อเล็กซานโดรวิช ยูเรียฟสกี้" (Prince George Alexandrovich Yourievsky)
    หนูน้อยคนนั้นตอบเสียงแจ๋ว..พลางเอามือลูบเคราของซาร์อย่างสนุกสนาน..
    ซาร์รีบตอบขึ้นมาแทนคนอื่นๆ ว่า..
    "ทุกคนก็ยินดีที่จะรู้จักหนู..เจ้าชาย ยูเรียฟสกี้..เออแต่ว่าหนูอยากจะเป็น
    แกรนด์ ดุ๊ค ไหมลูก..?"
    สิ้นพระสุรเสียง..ว่าที่เอมเปรสองค์ใหม่ก็รีบชิงแทรกขึ้นมาว่า
    " ไม่เอาน่า..ชาช่า" (ชาช่า..หรือ Sasha อันเป็นพระนามเล่นของซาร์ ที่ไม่มีใครบังอาจเรียกได้) และนี่คือจุดพลาดอย่างจังของเธอที่หลุดความ"ไร้มารยาทผู้ดี" ต่อหน้าพวกเราทุกคน
    เพราะ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะขานพระนามอย่างนั้นต่อหน้าคนอื่น..
    แต่ซาร์ก็มิได้ว่าอย่างไร ทำเป็นไม่ได้ยินซะอย่างนั้น..
    หลังจากนั้นก็มีการแสดงโดยศิลปินชาวอิตาเลี่ยน..เจ้าชายหนูน้อยก็ทรงสนุก กับการเล่นกับคนโน้นคนนี้..โดยเฉพาะ นิคกี้ ที่มีท่าทางขบขันที่ต้องมาทำความรู้จักกับอา..ที่มีวัยเพียงเจ็ดชันษา ในขณะที่หลานอายุได้สิบสามเข้าไปแล้ว..

    ขากลับบ้าน..พวกเราต้องฟังผู้บังเกิดเกล้าทั้งสองทะเลาะกันอีกแล้ว..
    เสียงเสด็จแม่ตรัสว่า..

    " ไม่ว่าจะทำหรือสั่งอย่างไร น้องก็ไม่ขอร่วมทางกับผู้หญิงคนนี้ น้องเกลียดมัน มันช่างร้ายกาจจริงๆ ดูซิ มันบังอาจเรียกพระนามเล่นต่อหน้าใครต่อใคร"

    เสด็จพ่อส่ายพระเศียรด้วยท่าทางที่เบื่อหน่าย
    "เธอนี่ช่างไม่เข้าใจอะไรเลยนะ..แม่คุณ ไม่ว่าเขาจะดีหรือเลว หรือ ร้าย..
    แต่ ก็เป็นพระชายาของซาร์ทรงอภิเษกด้วย..แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ มันผิดตรงไหนล่ะ ถ้าเมียจะเรียกชื่อเล่นของผัวน่ะ..เธอเองก็ไม่เคยเรียกฉันว่า
    ใต้ฝ่าพระบาท มิใช่หรือ.."

    เสด็จแม่เสียงสั่น..น้ำตาไหลพรากด้วยความน้อยพระทัย
    " ทำไมตรัสเช่นนั้น..ทำไมถึงต้องเอาน้องเข้าไปเปรียบเทียบด้วย..น้องไม่เคยไป ทำลายครอบครัวใคร ที่เราแต่งงานกันก็ถูกต้องตามราชประเพณีทุกอย่าง น้องไม่เคยคิดทำลายประเทศชาติของเรา***"

    *** เรื่อง"ทำลาย" นี้ จะเล่าให้ฟังต่อไป..วิวันดา

    สิ้นเสียง..เสด็จพ่อก็กริ้วจัด..ทรงเค้นเสียงตอบไปว่า
    "ขอออกคำสั่งไว้ตรงนี้เลย..ห้ามนำเรื่องซุบซิบนินทามาให้ฉันได้ยินอีก
    อนาคตของรัสเซียจะต้องดำรงไว้ด้วยเกียรติและความจงรักภักดีของเธอและของพวกเราทุกคน..เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีกต่อไป"

    

    ข่าวนี้คือข่าวดังสุดๆ ของชาวเมืองหลวงในช่วงของปี 1880-1881 อันเป็นสาเหตุให้พวกปากหอยปากปูนำเรื่องนี้โยงไปถึงเรื่องการเมืองที่ตอน นั้นให้เผอิญว่า ..หลังจากที่มีระเบิดที่ตึกมหาดเล็กในพระราชวัง
    ซาร์หมดความเชื่อมั่นในตำรวจ ทรงไว้พระทัยให้กับนายพล Loris Melikov วีรบุรุษจากสงครามเตอร์กี ขึ้นมาดูแลแทน..อีกทั้งเลื่อนตำแหน่งให้อำนาจเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรี
    ข่าวลือนั้นได้กระหึ่มไปทั่วเมือง ว่า..เป็นเพราะนายพลผู้นี้เป็นคนในคาถาของเอมเปรสองค์ใหม่ที่ประชาชนจงเกลียดจงชังอย่างที่สุด อาจจะเป็นเรื่องของการอิจฉาริษยาจนหน้ามืดตามัวของเหล่าอิสตรีด้วยกันก็เป็นได้
    เพราะข่าวลือนี้ได้กระจายเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
    เท่านั้นไม่พอ มีการยกตำนาน ผสมคำสาบแช่งจากครั้งดึกดำบรรพ์เข้ามาช่วยแต่งแต้มสีสัน..ที่ว่ากันว่า สองร้อยกว่าปีก่อน มีผู้ทำนายไว้ว่า..
    ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม..ถ้าคนในตระกูลโรมานอฟและตระกูลโดลโกรูกี้ ลงเอยกัน แต่งงานกัน..มันจะจบลงด้วยความตาย..ความพินาศ...
    สาเหตุ ของเรื่องนี้..มาจากเรื่องของจักรพรรดิ์ ปีเตอร์ที่สอง (พระโอรสของพระเจ้าปีเตอร์มหาราช) ได้สิ้นพระชนม์ในที่จะวันอภิเษกกับเจ้าหญิงนาตาลี โดลโกรูกี้
    โดยที่ทุก คนไม่ได้สนใจที่จะฟังแพทย์หลวงอธิบายว่า จักรพรรดิ์ได้สิ้นพระชนม์เพราะไข้ทรพิษ หาใช่เพราะเรื่องโชคร้ายของตระกูลเจ้าสาวอย่างไรไม่
    ในศตวรรษนั้น ไข้ทรพิษคือโรคร้ายแรง ต่อให้จะอภิเษกกับหญิงที่โชคดีที่สุดในโลกก็คงช่วยเหลืออะไรไม่ได้..

    แต่เมื่อมีเรื่องของการระเบิดเกิดขึ้น..ใกล้กับที่ประทับของซาร์อย่างเฉียดฉิว
    ยิ่งเสริมพลังให้กับข่าวลือเข้าไปอีก..หมอต้องเจอกับคำถามที่ตอบไม่ได้ว่า
    "แล้วหมอลองบอกหน่อยซิ..หมอจะหยุดพวกก่อการร้ายที่จ้องประสงค์ทำลายซาร์ของเราได้อย่างไร..ยิ่งมีนายกรัฐมนตรีอย่างนั้นด้วย.."

    นายกฯ คนเขาพูดถึง..หมายถึงนายพล Loris Melikov ที่อดีตคือนายทหารคนสนิทของเสด็จพ่อ เป็นวีรบุรุษสงคราม และเป็นคนที่มีความสามารถล้นเหลือ
    หากแต่ความก้าวหน้า รุ่งเรืองเกินใครต่อใคร ทำให้มีการป้ายสีกันอย่างมันปาก..ต่างแพร่กระจายออกไปในหัวเมืองกรอกใส่หู ให้ชาวบ้านเข้าใจง่ายๆ ว่า
    "พวกเจ้าของที่ดินได้รวมตัวกันจ้างนายพลอาร์เมเนี่ยน** ให้ลอบสังหารซาร์
    เพราะไม่พอใจที่ซาร์ออกกฏหมายเลิกทาสชาวเซิร์ฟ"



    ** นายพลเมลิคอฟ เป็นชาวอาร์เมเนี่ยนโดยกำเนิด ตอนนั้นรัสเซียมีประชากรร้อยยี่สิบล้านคน ชาวไร่ชาวนาส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์ฟ...และ ชาวอาร์เมเนี่ยน (นับถือคริสเตียน) เป็นอริกับ ชาวเซิร์ฟ (หรือ เคิร์ด นับถือมุสลิม) ยิ่งหลังจากสงครามรัสเซีย-เตอร์กี..กระแสต่อต้านยิ่งมากขึ้น..วิวันดา

    ความบกพร่องของวิชาการทหารในวิทยาลัยทหารของเรานั้นคือ การที่ละเว้นไม่สอนวิชาวิเคราะห์การเมือง อันถือได้ว่าเป็นศิลปศาสตร์แขนงหนึ่ง
    แม้ แต่ในคืนของวันขึ้นปีใหม่..นายพลเมลิคอฟคนเก่งได้เสนอแผนงานใหม่ในการที่จะ จัดการกับพวกก่อการ ซึ่งความจริงก็ไม่ได้ใหม่อะไร
    เพราะที่เสนอมาก็ลอกมาจากรัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสทั้งดุ้น.. (มันใช้ไม่ได้ผล กับรัสเซีย..)

    เดือนมกราคม คือระยะปลอดโปร่งโล่งใจของซาร์ เพราะอะไรๆ ที่เคยอึมครึม
    เช่นการเจ็บป่วยและการสิ้นพระชนม์ของเอมเปรส และการซุกซ่อนเมียน้อย
    รวมไปถึงการอภิเษกแบบเงียบๆ นั้น..จะได้เปิดเผยแบบเป็นงานเป็นการเสียที
    ดังนั้นซาร์จึงทรงมีพระดำริที่จะจัดงานราตรีสโมสรครั้งใหญ่..ในพระราชวัง หลวง ที่ได้ทำการตกแต่งสถานที่ใหม่ให้สวยงาม โดยใช้คนงานกว่าแปดร้อยคน
    เจ้า นายฝ่ายหญิงได้ถือโอกาส"ออกทุกข์" ในครั้งนี้ แต่งองค์พร้อมเครื่องประดับกันเต็มที่..เพชรนิลจินดามีเท่าไหร่เอามาประดับ กันหมด เรียกว่าแสงเพชรนั้นวาววามแข่งกับแสงจ้าของโคมไฟระย้าได้เลย..
    ฝ่ายชายแต่งเครื่องแบบเต็มยศ วับวาวเช่นกัน

    คืนนั้น..ฉันได้รับอนุญาตให้แต่งเครื่องแบบเต็มยศของพันเอก แห่ง กองพันที่ 73 Krimsky ซึ่งฉันได้ฉวยโอกาสนั้นไปเดินเต๊ะท่าตรวจแถวทหารรักษาพระองค์ที่บริเวณประตูทางเข้างาน
    และคืนนั้นทั้งคืน..ฉันพยายามที่จะอยู่ให้ห่างเสด็จพ่อเข้าไว้..เพราะไม่อยากเสียความมั่นใจ

    ทุกวันนี้ฉันก็ยังสงสัยว่าเครื่องเพชรเหล่านั้นไปอยู่ไหนกันหมด อาจจะไปอยู่ในเซฟของนักค้าเพชรที่อัมสเตอร์ดัม,ลอนดอน หรือ ปารีส หรือไม่แน่..ฉันอาจจะได้เห็นชุดแซฟไฟร์ที่เคยเป็นของเสด็จแม่อยู่ที่สาวไฮโซ คนใดคนหนึ่งในปาร์คอะเวนิว.. หรือจะมีใครไหม..ในพวกผู้คนกว่าสองพันคนในคืนวันงานนั้น..ที่จะมองเห็นอนาคต ว่า นิคกี้..ที่แอบดึงแขนเสื้อฉันให้ไปดูซาร์แห่งเปอร์เซียด้วยความตื่นเต้นนั้น จะถูกสังหารในห้องใต้ถุนที่ไซบีเรียในสามสิบเจ็ดปีต่อมา..


    เมื่อซาร์และเจ้าหญิงพระชายาได้เสด็จมาถึง..ก็คือเวลาแห่งการเปิดงาน..
    ที่ เหล่าแกรนด์ ดุ๊ค แกรนด์ ดัชเชส รุ่นใหญ่ทั้งหลายต้องเข้าประจำที่ ทำการโปเจียม..การเปิดงาน..การคือเดินแบบโปโลเนส (ที่เดินเรียงตามกันมาเป็นคู่) เริ่มจากซาร์ที่เคียงมาด้วยกับพระสุนิสา (ลูกสะใภ้) ตามด้วยเหล่าพระประยูรญาติเรียงลำดับความสำคัญ

    ทีนี้ก็มี ปัญหา..คือ เหล่าเจ้านายฝ่ายหญิงหรือแกรนด์ ดัชเชส นั้นไม่พอแก่การเรียงคู่ ดังนั้นเมื่อถึงคิวฉัน..ก็เลยต้องควงคู่กับนางพระกำนัลที่มีอายุแก่ ขนาดจำความหลังสมัยที่เสด็จพ่อยังเป็นเด็กได้
    การเดินโปโลเนสนั้น ไม่เชิงเป็นการเต้นรำ แต่เหมือนกับการโชว์ตัวมากกว่า เพราะเราจะต้องเดินผ่านหกห้องโถงด้วยกัน ทุกห้องจะมีการขานพระนามให้เป็นที่รู้จักแต่แขกผู้มีเกียรติและเหล่า ทูตานุทูต
    การเต้นรำ..บังคับไว้เพียงสองจังหวะ วอลซ์ กับ มาเซอร์ก้า

    เที่ยงคืน..การเต้นรำต้องหยุด เพราะถึงเวลาซัปเปอร์ที่ซาร์จะทุกคนนำสู่ห้องพระกระยาหาร ทุกคนต่างคอยดูว่า..เอมเปรสคนใหม่จะรู้ถึงมารยาทของหน่อเนื้อกษัตริย์หรือ ไม่ว่า..ไม่สมควรนั่ง..แต่จะต้องเดินไปพูดคุยกับแขกทุกโต๊ะ
    นางพระกำนัล วัยดึกคู่เต้นรำของฉัน คอยมองวินาทีนั้นด้วยความอกสั่นขวัญแขวน..แต่โชคดีไป..ที่เอมเปรสเดินเคียง คู่ไปกับซาร์ พยายามทำตัวให้กลมกลืน..แต่สีหน้าของเธอนั้น..ออกแนวบึ้งตึง..ปากเม้มเป็น เส้นตรง

    ทุกคนได้สังเกตเห็นว่า นายพลเมลิคอฟ เดินหายออกไปจากห้องบ่อยๆ
    ทุกครั้งที่กลับมา ก็จะเข้าไปถวายรายงานแบบซุบซิบกับซาร์ เพราะข้างนอกนั้นได้มีการรักษาความปลอดภัยเต็มพิกัด..
    เสียง ดนตรีทั้งวงออเคสตราได้เล่นเพลงเด่นๆ ของรัสเซียที่มีแต่ทำนองเอื่อยๆ ปนเศร้า ..ฉันยังไม่เคยเห็นความสามารถของนักแต่งเพลงคนไหนของเราที่จะเขียนและแต่ง เพลงให้สนุกๆ และทันสมัยอย่างของฝรั่งเศส หรือ เพลงแจ๊ซของอเมริกันได้เลย..
    ซาร์ทรงทำองค์เป็นกันเองกับแขกทุกคน พระองค์พยายามทดแทนให้กับความบึ้งตึงของพระชายาที่ออกนอกหน้าจนเป็นที่ประจักษ์ เพราะบัดนี้
    เธอได้ทราบแล้วว่า..เธอไม่เป็นที่ปรารถนาของใคร นอกจาก ชาช่า พระสวามีเพียงองค์เดียว

    ทั้งคู่ได้เสด็จกลับทันทีหลังจากซัปเปอร์..ตอนนี้..ใครอยากจะเต้นอะไรก็ตามสบาย..แต่พาร์ทเน่อร์ของฉันได้หลับฟุบไปแล้ว
    ฉัน ได้ถือโอกาสนั้น รีบไปคุยกับนายทหารคนสนิทของเสด็จพ่อ ที่เพิ่งมาจากทิฟลิส เพราะคิดถึงบ้านเหลือเกิน..บ้านที่มีแต่ความสงบสุข นอนได้เต็มที่ ไม่เหมือนกับเมืองหลวง..ที่ต้องคอยสะดุ้งผวากับเสียงตึงตังทุกชนิด
    กลัวจะเป็นระเบิด..


    ในยามสงครามสู้รบ เรารู้ชัดเจนว่าใครคือมิตร ใครคือศัตรู เรารู้ว่าสู้รบอยู่กับใคร..

    แต่ที่พระราชวังหลวงนี่..เราไม่รู้..คนรับใช้ที่เสริฟกาแฟให้ในตอนเช้าอาจจะ เป็นผู้ก่อการร้ายปลอมตัวมา..คนมาทำความสะอาดเตาผิงก็เป็นไปได้ที่จะแอบซุก ซ่อนระเบิดเข้ามา..
    ยิ่งภายนอกพระราชวัง..เมืองเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กมีขอบเขตที่กว้างขวางใหญ่โต ตำรวจไม่สามารถควบคุมได้ในทุกตารางนิ้ว
    เหล่าแกรนด์ ดุ๊คพระอนุชาทั้งหลายได้วิงวอนให้ซาร์แปรพระราชฐานไปอยู่ที่ที่เล็กกว่า เช่นที่พระราชวัง Gatchino (หรือ Gatchina ในหนังสืออื่นๆ หลายเล่ม) เพราะจะได้รักษาความปลอดภัยได้เต็มที่

    แต่..ซาร์ทรงดื้อเหลือร้าย นิสัยนี้ได้ถ่ายทอดมาจากสมเด็จปู่ (Nicholas I)
    อย่างไรก็อย่างนั้น..นอกจากจะไม่ยอมแปรพระราชฐานแล้ว พระองค์ยังไม่เปลี่ยนเส้นทางเสด็จในหมายกำหนดการประจำวัน เท่านั้นไม่พอ..
    พระองค์โปรดที่จะไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ..ไหนจะวันอาทิตย์คือวันที่ทรงตรวจแถวขบวนพาเหรดของทหารรักษาพระองค์..
    เสด็จ แม่เป็นกังวลเหลือเกิน เป็นห่วงไปหมดเพราะเสด็จพ่อจะต้องตามเสด็จใกล้ชิด แต่..เสด็จพ่อกลับเห็นเป็นเรื่องเหลวไหล ทรงเห็นขำเสมอที่พวกผู้หญิงมีอาการวิตกจริตคิดเล็กคิดน้อย
    ทรงว่า..ทหารและกองคุ้มกันพิทักษ์ซาร์นั้น มีประสิทธิภาพแข็งแกร่ง..ไม่ควรหวั่นไหวให้มากจนเกินไป
    (แต่..สังหรณ์ของผู้หญิงนั้น มักจะแม่นเสมอ !!)

    เสด็จแม่ตรัสว่า..น้องไม่ได้ห่วงในเรื่องการทำงานของทหาร แต่น้องไม่มั่นใจในการทำงานของตำรวจ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่จะต้องเสด็จไปบนถนนสายแคบๆ นั่น..พวกผู้ก่อการร้ายที่มีอยู่เต็มเมืองสามารถจับตามองเห็นพระองค์ได้เด่น ชัด..น้องไม่อยากให้ พระองค์โดยเสด็จด้วยเลย..อย่าไปนะเพคะ"

    วันนั้นก็คือวันอาทิตย์ที่เรากำลังพูดถึง นั่นคือ วันที่ 1 มีนาคม 1881 ณ. เวลา บ่ายโมงครึ่ง เสด็จพ่อออกไปร่วมขบวนด้วยเช่นเคย
    บ่ายสามโมงกว่าๆ ..พวกเรานัดไปเล่นเสก็ตกับนิคกี้และเจ้าหญิงมารี (พระมารดาของนิคกี้) ที่พระราชวังหลวง

    แต่พอบ่ายสามโมงเป๊ะ พวกเราได้ยินเสียงที่ดังสนั่นขึ้นมา..จอร์จี้บอกว่า
    นั่นเป็นเสียงระเบิดแน่นอน..พวกเรากรูกันจะออกไปที่ถนน..แต่เหล่าพระอาจารย์รีบ เข้ามาขวางเอาไว้ สักพักเดียว..มีคนรีบเข้ามารายงานว่า..
    "ซาร์สิ้นพระชนม์แล้ว.." ต่อด้วย.."เสด็จพ่อของพระองค์ด้วย..พระศพกำลังถูกนำกลับไปที่พระราชวังหลวง"

    เสด็จแม่ได้ยินเสียงแว่วๆ รีบวิ่งออกมาจากที่ประทับ..พวกเรารีบขึ้นรถเทียมม้าพาพระองค์มุ่งหน้าสู่จุดหมายทันที..
    ที่หน้าพระราชวังหลวง ประชาชนจำนวนนับพันได้มุงกันหนาแน่น..มีเสียงกรีดโหยไห้จากสตรีหลายนาง เราต้องเลี่ยงไปใช้ประตูด้านข้าง..
    ซึ่งไม่ต้องถามใครเลยว่า..ที่ไหน..
    เพราะรอยเลือดหยดใหญ่ๆ ที่หยดเป็นทางไปจากขั้นบันไดหินอ่อนจนถึงห้องทรงงานของซาร์นั้น..เด่นชัด

    เสด็จพ่อกำลังยืนบัญชาการสั่งงานที่ปากประตู..แล้วก็ต้องรีบวิ่งเข้ามาประคอง เสด็จแม่เพราะทรงเป็นลมพับไป..ทันที่ที่เห็นว่าพระสวามียังมีพระชนม์อยู่ (ไม่ได้ตายไปตามข่าว..)

    ร่างของซาร์นอนทอดนิ่งอยู่ที่โซฟา ใกล้กับโต๊ะทรงงาน แพทย์สามคนกำลังทำงานอย่างเต็มความสามารถ เพราะอาจจะเป็นในวินาใดวินาทีหนึ่ง
    เพราะพระองค์เสียเลือดมาก พระชงฆ์ข้างขวาขาดหายไป ข้างซ้ายแหลกเหลว พระพักต์มีบาดแผล พระเนตรข้างหนึ่งบวมเป่งปิดสนิท อีกข้างหนึ่ง
    ไร้แววการตอบสนองใดๆ
    พระ ญาติทุกพระองค์ได้เข้ามารวมตัวกันอยู่ในห้องจนแน่นไปหมด ฉันยืนหน้าซีดเกาะแขนนิคกี้แน่น..เจ้าหญิงมารีตกพระทัยจนพระพักต์ซีด เผือด
    ในพระหัตถ์ยังคงถือรองเท้าเสก๊ตค้างอยู่
    ร่างสูงใหญ่ขององค์มกุฏราชกุมารประทับยืนที่หน้าต่าง ทอดพระเนตรออกไปข้างนอก


    เจ้าหญิงยูเรียฟสกาย่า เอมเปรสองค์ใหม่ ถลันเข้าในห้องในชุดนอนที่หลุดๆ ลุ่ยๆ ทรุดตัวไปข้างๆ โซฟาใกล้พระวรกาย..กรรแสงโหยหวน เกลือกกลิ้งใบหน้าที่พระหัตถ์พร้อมจุมพิตไปมา..
    พลางเรียก.."Sasha, Sasha!"
    ภาพนั้น..สุดเศร้าเกินบรรยาย เสียงร่ำไห้ของพวกแกรนด์ ดัชเชสดังระงม
    เป็นภาพที่ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น..ไม่สามารถลืมได้ มันยาวนานถึงสี่สิบห้านาที

    (บัดนี้..ฉันเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่ จากคนเก้าคนที่อยู่ในห้องนั้น..
    ทั้งหมดจากไปเพราะกระสุนของพวกบอลเชวิคในสามสิบเจ็ดปีต่อมา..)

    ห้องทรงงานนั้นเป็นห้องที่กว้างขวางที่จัดด้วยของกระจุกกระจิก เช่นพวกรูปภาพในกรอบที่วางเป็นกระจุกอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ตรงนั้นตรงนี้ ตรงประตูมีภาพของพวกเราขนาดใหญ่
    ในท่าซ้อมยิงปืนที่ทิฟลิสติดอยู่..ยิ่งมองยิ่งสะเทือนใจนัก..

    "ยืนหลังให้ตรง.." เสียงมกุฏราชกุมารกระซิบเตือนมาจากข้างหลัง ที่ทำให้ฉันต้องรีบดึงบ่าขึ้นมาอย่างเร็ว..
    อธิบดี กรมตำรวจรีบเข้ามาถวายรายงาน ว่า..ระเบิดลูกแรกพลาดไปแต่ได้สังหารชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปสอง ทหารคอสแซคบาดเจ็บไปหนึ่ง อาจเป็นเพราะนายทหารคนนั้น
    ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเสด็จพ่อ เพราะ เครื่องแบบที่คล้ายๆ กัน ซาร์รอด..แต่เป็นเพราะพระองค์ได้ลงมาจากรถม้าเพื่อหมายพระทัยจะช่วยคนเจ็บ
     คนขับรถม้าได้เข้ามาเตือนให้พระองค์รีบเสด็จกลับโดยด่วน แต่พระองค์ได้เข้ามาบัญชาการให้ช่วยเหลือคนเจ็บก่อน
    ทันใดนั้น..ผู้ก่อการร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ที่มุมถนนได้โยนระเบิดลูกที่สองเข้ามาอีก..คราวนี่ไม่พลาด..

    เสด็จพ่อที่ตามเสด็จมาถึงในนาทีต่อมา..ที่ล่าไปนิดเพราะทรงแวะเยี่ยม
    แกรนด์ ดัชเชส แคธเทอรีน เลยรอดระเบิดไปอย่างเฉี่ยวฉิว..
    เสียงประกาศดังขึ้น..

    "ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ..ใกล้เวลาแล้ว.."

    พวก เราเคลื่อนตัวกันเข้าไปใกล้กับโซฟาที่ประทับ..พระเนตรข้างที่เปิดอยู่ แข็งนิ่ง..แพทย์ที่จับชีพจรอยู่พยักหน้าส่งสัญญาณว่าจบสิ้น และปล่อยมือจากพระกรที่โชกไปด้วยพระโลหิตให้เป็นอิสระ
    "ซาร์..สิ้นพระชนม์แล้ว"
    สิ้นเสียง..ก็ประสานด้วยเสียงหวีดร้องก่อนที่จะล้มฟุบลงไปของเจ้าหญิงพระชายาที่อยู่ในชุดนอนที่โชกไปด้วยเลือด..


    ภาพ..ซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่สอง 

        
 

    พวกเราคุกเข่าลง สวดมนต์ ข้างขวาของฉัน คือ ซาร์องค์ต่อไปของรัสเซีย
    ที่ทรงมีท่าทางที่เปลี่ยนไปทันทีภายในห้านาที..แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นองค์เดียว กับ แกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์ อเล็กซานโดรวิช ที่แสนขี้เล่น ที่ชอบหยอกล้อกับพวกเราด้วยการแสดงพลังฉีกไพ่ทั้งสำรับ
    หรือ บิดแท่งเหล็กที่ใช้แยงน้ำแข็งให้เป็นตัวน๊อต
    ดูเหมือนว่า..ความรับผิด ชอบอันยิ่งใหญ่ต่ออนาคตของรัสเซียได้เข้ามาประทับอยู่ในร่างของพระองค์ที่ ส่งประกายให้เราได้เห็นจากแววพระเนตรที่มุ่งมั่นและเด็ดขาด..
    ทรงลุกขึ้นยืน..เมื่อ อธิบดีกรมตำรวจได้เข้ามาเสนอหน้า..
    "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จะมีพระกระแสคำสั่งว่าอย่างไรพะยะค่ะ?"
    "คำสั่งหรือ..มีซิ.." พระองค์ตรัสตอบ..ต่อด้วย..
    " แน่นอน..ว่าต้องมี..อย่างแรกเลย..คือ กรมตำรวจไม่มีอธิบดีอีกต่อไป..ทหารจะเข้ามาดำเนินการแทน..จัดการสั่งคณะ รัฐมนตรีประชุมด่วนที่พระราชวังอานิชคอฟ เดี๋ยวนี้"

    จากนั้นก็หันไป ทางพระชายา และทั้งสองพระองค์เสด็จดำเนินอย่างเร็วออกไปจากที่นั่น สงสารแต่พระชายาที่แสนอ้อนแอ้นต้องรีบซอยพระบาทให้ทันกับก้าวยาวๆ ของพระสวามี
    ประชาชนที่คอยอยู่ภายนอก ต่างส่งเสียงเปล่งทรงพระเจริญ..เพราะไม่เคยเลยที่ครั้งไหน..โรมานอฟจะมีเจ้า เหนือหัวที่ดูแข็งแกร่ง แข็งแรงดังขุนผา บ่าไหล่บึกบึนราวกับเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส..
    สมเป็นซาร์แห่งรัสเซียทุกประการ เช่นนี้..

    พวกเราออแน่นกันอยู่ที่หน้าต่าง...มองภาพนั้น..ภาพที่ พระองค์ได้ยืนประทับนิ่งรับคำอวยพรจากประชาชนก่อนที่จะเสด็จขึ้นรถม้าพร้อม พระชายารุดออกไป พร้อมกับกองพันทหารม้าคอสแซคจากหน่วย Don ที่ติดตามอย่างใกล้ชิด
    มหาดเล็กสองนายต้องช่วยกันประคองพาร่างของเจ้าหญิงยูเรียฟสกาย่าให้กลับไปที่พระตำหนัก ขณะที่เหล่าแพทย์ช่วยกันแต่งองค์ให้พระศพ..
    เสียงร้องไห้โยเยของโกโก้ดังมาให้ได้ยินแว่วๆ ...


 
    พิธีปลงพระศพ..ใช้เวลาเจ็ดวัน วันละสองครั้งที่พวกเราและเหล่าเสนาบดีต้องเข้าไปทำความเคารพและฟังสวด..สาย ตาทุกคู่จะจับจ้องไปที่จุดหมายสองแห่ง..
    หนึ่งคือ พระศพของซาร์ที่ล่วงลับที่นอนสงบนิง...พระพักต์มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ เพราะบาดแผล
    สองคือ..ซาร์องค์ใหม่..ที่ประทับยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยท่าทางเอาจริง มุ่งมั่น และ
    ไม่มีทีท่าว่าจะเกรงกลัวต่อสิ่งใด..

    หลังจากวันสุดท้ายของพระราชพิธี เช้าของวันที่แปด..พระศพจะถูกเคลื่อนไปฝังที่สุสานที่ป้อมปีเตอร์ แอนด์ พอล ตามราชประเพณี
    พวกเราทั้งเหนื่อยทั้งเพลียในตลอดช่วงของพิธีพระศพ แต่..ภาพจากคำบอกเล่าที่ว่า สมเด็จลุงต้องมาสวรรคตเพราะลงมาช่วยประชาชนและทหารที่บาดเจ็บนั้น..วนเวียน
    อยู่ในห้วงความคิดยากที่จะลบเลือน
    จากนี้ไป..ไม่มีอีกแล้ว..ที่เราจะเห็นความสัมพันธ์สนิทแน่นระหว่างซาร์กับพลเมืองของพระองค์
    ทุกอย่างได้หายไปพร้อมกับการสวรรคตของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง..
    ระเบิดนั้นไม่ได้พรากพระองค์ไปแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับอนาคตของรัสเซียด้วย..
    ชาวโลกต่างไม่แน่ใจว่า..รัสเซียในบัลลังก์ใหม่นี้..จะไปรอดได้มากน้อยแค่ไหน..

    แต่... ซาร์องค์ใหม่..ทรงเข้าบัญชาการอย่างฉับไว ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงหลังจากพิธีฝังพระศพเสร็จสิ้นไป..คำสั่งประชุม เปลี่ยนแปลงนโยบายได้เกิดขึ้นทันที เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวข้าราชการ,
   ทูต, รัฐมนตรี ไปจนถึงกฏหมายและบทบัญญัติ เริ่มจาก ถอดถอนนายพลคนดัง Loris-Melikoff
    ตามด้วยทีมตัวเอ้ทั้งหลายในรัฐบาล..
    ทรง เลือก"คนนอก" ต่างสาขาและอาชีพ ที่มีความถนัดและชำนาญหลากหลายให้เข้ามานั่งแทนในตำแหน่งที่ว่างลง..ในบาง ตำแหน่งนั้นก็มี"นัยยะ"อย่างหนึ่งที่บางคนอาจคาดไม่ถึง เช่น
    กรณี..ท่าน Count de Giers ที่ไม่ค่อยพูดค่อยจา ไม่มีหัวริเริ่มในเรื่องใดๆ ทั้งนั้น แต่ถูกตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ..เมื่อโผออกมา ใครต่อใครพากับงงไปตามๆ กัน..
    หากแต่ไม่มีใครทราบว่า ความจริงแล้ว..ซาร์เองต่างหากที่ต้องการทำหน้าที่นี้เองโดยผ่าน "นอมินี" อย่างท่านเค้านท์ เดอ กิแอส์ที่ซื่อสัตย์ คอยแต่รับพระราชโองการนำไปปฏิบัติเท่านั้น
    และ..ผลคือ สิบสามปีของการทำงานของท่านเค้านท์นั้น..ผลงานของกระทรวงต่างประเทศนับว่า เยี่ยมยอด เกินคาด..เกินหน้าอย่างที่ไม่มีประเทศไหนในยุโรปเทียบได้
    จนกล่าวได้ว่า..นี่คือครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมาที่รัสเซียมีนโยบายการต่างประเทศที่ชาญฉลาดที่สุด..


    รัฐบาลของซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่สาม..ซาร์องค์ใหม่นี้ ได้เริ่มการทำงานอย่างฉับไว ซาร์ได้ตกลงพระทัยที่จะแปรพระราชฐานเป็นการถาวรไปยังพระราชวัง Gatchino
     เพราะทรงเห็นด้วยว่าสะดวกต่อการรักษาความปลอดภัย ทั้งที่พระองค์ไม่ต้องการเช่นนั้นเลย มันเหมือนว่า..ทรงกลัวภัย
    เป็นคนขลาดเขลา..แต่..ต้องกล้ำกลืน..ตรัสว่า..
    "คนอย่างฉัน..ที่ผ่านสงครามรบพุ่งกับพวกเติร์กมานักต่อนัก แต่ต้องมาถอยให้กับไอ้พวกที่ขุดรูอยู่..มันน่าแค้นนัก.."
    แต่ ที่ต้องยอม เพราะ..พระองค์เห็นว่า..รัสเซียไม่สามารถเสียซาร์ไปถึงสององค์ได้ภายในปี เดียว (ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นอีก) ..ยังไงพระองค์จะต้องอยู่ค้ำจุนให้ได้ตลอด รอดฝั่ง
    และอีกเหตุผลหนึ่งคือ พระองค์อยากแยกอยู่อย่างเป็นอิสระด้วย ในพระราชวังหลวงนั้นจอแจไปด้วยพระญาติชั้นผู้ใหญ่มากหน้าหลายตา..จัดงานพบปะ สังสรรค์กันไม่ขาด..น่าเบื่อ
    ขณะที่พระองค์ไม่ค่อยโปรดในการสุงสิงกับพระ ญาติสูงวัย แต่..โปรดพวกเด็กๆ อย่างเราให้เข้าเฝ้าเสมอๆ เช่น ฉัน กับ เซอเก ที่เป็นเพื่อนเล่นกับ นิคกี้และ จอร์จิ

    ตลอดรัชสมัยของพระองค์ พระราชวังที่ประทับได้กลายเป็นที่ทำงานและบ้านของชายที่ขยันที่สุดในโลก...

    ภาพ..ซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่สาม  

   

    "งานเข้า" งานแรกของการทดสอบสมรรถภาพของซาร์ก็มาถึง..
    งานนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาลอังกฤษ..
    ช่วงไม่ถึงปีของการผลัดเปลี่ยนบัลลังก์..ชายแดนรัสเซีย ที่ติดต่อกับอัฟกัน
    ได้ก่อหวอดขึ้นมาอีกแล้ว..มีการรุกล้ำเข้ามาในเขตของรัสเซีย..อังกฤษอยู่เบื้องหลังของการสนับสนุนอัฟกัน
    แม่ทัพ Komaroff ได้ส่งโทรเลขมากราบบังคมทูล และถามว่า..จะให้ทำอย่างไร
    ทรงตอบกลับไปว่า.."ไล่มันให้กระเจิงกลับไป.."
    ซึ่ง..ทหารคอสแซคของรัสเซียได้รับสนองพระบัญชา ไล่ตีกลับไปจนต้องถอยหนีไปอีกหลายไมล์ ทหารคอสแซคหมายมั่นปั้นมือจะ"เด็ดหัว" พวก
    บ่างช่างยุมาให้จงได้ แต่..พวกนกรู้อังกฤษได้ใช้เส้นทางภูเขาหลบหนีไปได้

    การกล่าวโทษประเทศอังกฤษอย่างไม่เกรงใจในครั้งนี้..รัฐบาลของสมเด็จพระนางเจ้า วิคตอเรีย..ทำท่าหน่อมแน้ม ไม่รู้เรื่อง..อีกทั้งทำตีรวนหาว่ากล่าวหากันง่ายๆ ได้อย่างไร
    และต้องการการขอโทษจากรัสเซีย..
    ซาร์ตอบไปว่า..
    "เสียใจ..พวกเรา"ขอโทษ" ไม่เป็น..." ตรัสต่อด้วยว่า..
    " และ..ฉันจะให้ความดีความชอบแก่แม่ทัพโคมารอฟอย่างเต็มที่ในความสำเร็จครั้ง นี้..จำไว้..ว่า ไม่มีผู้ใดบังอาจล่วงล้ำเข้าในดินแดนของเราได้"
    ท่านเค้านท์ กีแอส์ ปากคอสั่น..รีบทูลว่า..
    "ขอเดชะ..แต่..แต่..มันอาจหมายถึงการที่เราต้องรบกับอังกฤษเชียวพะยะค่ะ"
    "ก็งั้นซิ..รบก็รบ.."

    อังกฤษรู้สึกเสียหน้า เพราะคิดว่าซาร์หนุ่มคนนี้เป็นไก่อ่อน..ขู่ได้ขู่อีก
    ครั้งนี้ได้ส่งเป็นข้อความประกาศแสนยานุภาพ..หมายจะเขียนเสือให้วัวกลัว
    ซาร์ก็ไม่รอช้าเช่นกัน..จัดทัพเรือจากฝั่งบอลติกออกไปรับหน้าทันที..
    และนี่คือการห้าวหาญอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะทัพเรือของรัสเซียนั้นเป็นรองอังกฤษถึงห้าต่อหนึ่ง..
    หลายอาทิตย์ผ่านไป..อยู่ดีๆ ..อังกฤษที่เคยขู่ฟ่อๆ ก็เงียบสงบลง แถมยังมาทำพูดดีด้วย ขอตกลงแบบสันติวิธี..

    หลายประเทศในยุโรปที่เฝ้ามองเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างอกสั่นขวัญแขวน
    ต่างพากันถอนใจเฮือก..และลงความเห็นต้องกันว่า..
    ซาร์หนุ่มองค์ใหม่ของรัสเซียองค์นี้..ทรงพระปรีชาสามารถนัก..

 

    "งานเข้า" งานต่อไป..รัฐบาลออสเตรียเป็นเจ้าภาพงานนี้..
    รัฐบาล แห่งเวียนนาเริ่มหงุดหงิดกับรัสเซีย เพราะชายแดนของสองจักรวรรดิ์ที่ผนวกกัน อันเป็นที่รู้จักในนามของ Austro-Hungarian นั้นฝั่งชายแดนที่ติดกับรัสเซียนั้น
    เลี่ยงการกระทบกระทั่งไม่ได้เลย ปัญหาการรุกล้ำจึงมีขึ้นมาไม่จบไม่สิ้น..
    ทูตออสเตรีย..จึงหาโอกาสเตือนแกมขู่ซาร์ในงานดินเนอร์เลี้ยงรับรองราชอาคันตุกะ Prince Nicholas of Montenegro
    ในงาน..ตำแหน่งที่นั่งของทูตออสเตรียอยู่ตรงกันข้ามกับซาร์พอดี เขาจึงพยายาม"ร่าย"เรื่องชายแดนที่ถูกรุกล้ำนี้..แต่..ซาร์ทำเป็นไม่ฟัง ไม่สนพระทัย..
    ท่านทูต..รู้สึกเดือดปุดๆ จึงหลุดปากไปว่า..
    "บางที..ออสเตรียอาจจะต้องเคลื่อนกำลังพลสักสองหรือสามกองทัพเข้ามา"

    ซาร์ทรงหยิบส้อมเงินขึ้นมา..บิดจนงอ..ขมวดเป็นปม..แล้วผลักส่งไปให้ท่านทูต พร้อมทั้งตรัสอย่างนิ่งๆ ว่า..
    "นี่ไง..กำลังพลสองสามกองทัพของออสเตรีย..ฉันก็จะขยี้มันให้เป็นแบบนี้แหละ.." ต่อด้วย
    "เรามีมหามิตรอยู่เพียงสองในโลกนี้..นั่นคือ ทัพบกและทัพเรือของเรา"

    เท่านั้นไม่พอ..เมื่อยามที่ต้องยืนขึ้นดื่มอวยพร..ซาร์ได้ยกแก้วขึ้น มองไปทางราชอาคันตุกะ..และตรัสว่า
    "เราขอดื่มให้กับ..เจ้าชายนิโคลัส แห่ง มอนเตเนโกร ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนแท้คนเดียวของเราที่อยู่นอกขอบขัณฑสีมารัสเซีย"

    ท่านเค้านท์ เดอ กีแอส์ อ้าปากค้าง..เหล่าคณะทูตหน้าเสียไปตามๆ กัน
    วันรุ่งขึ้น..หนังสือพิมพ์ไทม์ในลอนดอนตีข่าวนี้กันเอิกเกริก ถึงสุนทรพจน์ที่เฉียบขาดของจักรพรรดิ์แห่งรัสเซียต่อหน้าคณะทูตานุทูต

    ไม่แค่เท่านั้น..ระหว่างที่ควันกรุ่นของสงครามที่เพิ่งดับไปหยกๆ ซาร์ได้ทำการ"ลองของ"โดยการส่งทัพเรือหลายฝูง ไปลอยคอ แล่นฉิวใน Black Sea
    พื้นที่ต้องห้าม เพราะหลังจากการแพ้สงครามไครเมีย..ปี 1855
    ในสนธิสัญญาหย่าศึก ได้กำหนดไว้ว่า รัสเซียจะต้องไม่มีบทบาท ไม่มีกำลังพลของทัพเรือในทะเลดำอีกต่อไป
    เท่านั้นยังไม่หนำใจ..ซาร์ยังส่งเรือรบให้ไปจอด"เย้ย"เด่นเป็นสง่าที่ท่าเรือ
    Sebastopol อันเคยเป็นของรัสเซีย แต่ต้องเสียไปเพราะแพ้สงครามที่ต้องต่อตีกับ อังกฤษ ฝรั่งเศส เตอร์กี ที่รวมหัวกันเป็นสัมพันธมิตรในคราวนั้น

    งานนี้..ซาร์ได้ทรงฉวยโอกาสได้ถูกจังหวะ เพราะพระปรีชาที่ได้คาดการณ์
    ไว้อย่างแม่นยำว่า...พวกที่เคยรวมหัวกันนั้น บัดนี้ไม่เหมือนเดิม..
    เพราะใครก็ไม่อยากเอามือมาซุกหีบ..มาต่อตีกับรัสเซียในยามนี้

    ฝรั่งเศสหมางใจกับอังกฤษที่ไม่ช่วยในสงครามเมื่อปี 1870-1871

    เตอร์กี เพิ่งทำสงครามกับรัสเซียไปหยกๆ ล้มตายไปเยอะ..

    ออสเตรีย ..กำลังหวาดๆ กับบิสมาร์ก (เยอรมัน) ที่กำลังฝันหวานอยากจะเข้ามาเป็นมหามิตร กับรัสเซีย (ซึ่งก็อาจเป็นจริง..เพียงแต่ซาร์ไม่ปรารถนาที่จะคบกับบิสมาร์ก เพราะพระองค์ไม่ถูกชะตากับไกเซอร์หนุ่มน้อย Wilhelm II นั่นด้วย..
    (ขอ แอบเล่านิดๆ ว่า..บิสมาร์กนั้นพยายามทำตัวเป็นผู้บัญชาการหลังม่านให้กับไกเซอร์ คอยติดตามเลี้ยงดูใกล้ชิด และ ตัวไกเซอร์เองก็เป็นคนที่ค่อนข้างฟุ้งซ่าน..โวยวาย..วิวันดา)

    ครั้งหนึ่งที่ทั้งสองคนได้มาเยี่ยนเยียนถึงพระราชวังหลวง..ไกเซอร์พูดจาไม่ เข้าหู ...บิสมาร์กก็ช่างสอน..เลยเถิดจนบังอาจสอนเรื่องการบริหารปกครองกับซาร์




    ภาพ..ไกเซอร์ Wilhelm II  

 

    ซาร์ได้นำเรื่องในอดีตที่บกพร่องทั้งหมด นำมาแก้ไขโดยเฉพาะเรื่องปัญหาที่ดินทำกินให้กับชาวไร่ชาวนา..พระองค์ได้จัด องค์กรขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า
    Rural Magistrates (คล้ายกับองค์การบริหารส่วนอำเภอของเรา) ที่จะเป็นตัวแทนดูแลช่วยเหลือกสิกร เป็นตัวกลางระหว่างรัฐกับชาวนา..เพราะในอดีต
    เหล่าชาวนานั้น..ชอกช้ำกับเจ้าหน้าที่..แต่..รักซาร์..
    พระองค์ได้ปรับปรุงตรงนี้จนได้ผล เพราะหลังจากนั้นยี่สิบหกเดือน ในพระราชพิธีราชาภิเษก..ซาร์ได้ทรงให้ตัวแทนชาวนานับหมื่นจากทุกเขตแดนเข้าเฝ้า ..
    และถามถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่จัดส่งไป..โดยให้ชาวนาเหล่านั้นเป็น ผู้ประเมินผลการทำงานจากปากของพวกเขาเอง..

    ในพระราชพิธีราชาภิเษกที่ ยิ่งใหญ่ของพระองค์ วันที่ 10-17 พฤษภาคม 1883 นั้น..เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าประทับใจต่อผู้ที่มาร่วมงานที่มาจากทุกพระราช วงค์ในยุโรป
    ทุกคนได้มาเป็นประจักษ์พยานให้กับความยิ่งใหญ่ของโรมานอฟ และเมืองหลวงที่เก่าแก่ของเรา

    บรรดาพระราชอาคันตุกะจากต่างแดนและแขกเหรื่อจากทุกเขตคามจำนวนนับแสนคนได้เริ่มทะยอยกันเดินทางมาถึงในช่วงปลายเดือนเมษายน
    ขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษเข้ามาเทียบชานชาลาในทุกชั่วโมง..แต่ละขบวนนั้น คือการมาของเหล่าเจ้านายและคณะรัฐบาลจากนานาประเทศ ที่ต้องมีการต้อนรับกันเริ่มตั้งแต่จุดนั้นไป
    และต้องเป็นพิธีการที่ถูกต้องและเหมาะสมกับพระยศ
    เจ้านายในยุโรป..ก็ต้อง ต้อนรับด้วย เจ้านายของเราที่มีศักดิ์และฐานันดรที่เท่ากัน..ซึ่ง..ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็พวกเรานั่นแหละที่ต้องวิ่งรอกรับแขก
    กันทั้งวัน และ ทุกวัน..

    คิว ของฉัน..ที่ได้ถวายการต้อนรับอาร์ชดุ๊ค อัลเบรชท์ และพระชายา เจ้าหญิง มาเรีย เทเรซา (Archduke Albrecht and Maria Theresa) จากออสเตรีย
    ทันที่ที่พบกัน เราก็รู้สึกถูกชะตากันทันที
    หน้าที่ของฉัน คือการพาเที่ยวชมและเป็นไกด์อธิบายทุกเรื่องเกี่ยวกับพิพิทธภัณฑ์ พระราชวัง และ โบสถ์ที่สำคัญๆ ในเครมลิน
    ซึ่ง ราชอาคันตุกะทั้งสองนี้ ติดอกติดใจในการเป็นไกด์กิติมศักดิ์ของฉันมาก ถึงกับขอพระบรมราชานุญาตจากซาร์เพื่อให้พาเที่ยว เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กต่อ..

    พระราชพิธี..ตามโปรแกรมของวันที่ 12 เก้าโมงครึ่ง..เหล่าแกรนด์ ดุ๊ค และเจ้าชายต่างเมืองจะทรงม้าเสด็จมาถึงพระราชวัง Troitzky เพื่อที่จะร่วมขบวนกับซาร์..ไปยังพระราชวังเครมลิน
    สิบโมงตรง..ซาร์เสด็จ ออกจากที่ประทับ ขึ้นทรงม้า..และส่งสัญญาณให้ออกเดินทาง..พระองค์ทรงนำขบวนพระองค์เดียว เด่นเป็นสง่า..พวกเราตามหลัง
    จากนั้นก็เป็นขบวนรถเทียมม้าที่เป็นของฝ่าย ใน..เช่น..ขบวนแรกเป็นของซารินาพระนางมารีกับเซเนียพระธิดาวัยแปดขวบ..และ พระราชินี ออลกา แห่งกรีซ ร่วมไปด้วย..

    ตลอดทางไปจนถึง พระวิหาร Iverskaya สองข้างทางเต็มไปด้วยประชาชนที่ส่งเสียงโห่ร้องถวายพระพร เมื่อถึงพระวิหาร..ซาร์ลงจากหลังม้า
    เสด็จเข้าไปในพระวิหารพร้อมกับซารินาเพื่อทำพิธีทางศาสนา จากนั้น..
    พวกเราก็มุ่งเข้าสู่เครมลิน วงดุริยางค์หลวงได้เริ่มบรรเลงเพลงไปตามโปรแกรม
    ตอนบ่ายของวันนั้น ตลอดไปจนถึงอีกสองวันต่อมา..คือ วันที่ สิบสาม สิบสี่
    เป็นการรับรองแขกเหรื่อกันอย่างเต็มที่ ทั้งงานเลี้ยงและการบันเทิงต่างๆ

    วันที่สิบห้า..คือวันพระราชพิธี..ที่เริ่มด้วยเสียงปืนใหญ่ยิงสลุตร้อยหนึ่งนัด
    พวก เราถึงพระราชวังเวลาเก้าโมงครึ่งตามเคย..เพียงแต่คราวนี้พวกเราต่างแต่งกัน เต็มยศ..ดุ๊ค อัลเฟรด แห่ง เอดินเบอร์ก พระโอรสองค์สุดท้องของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย..อยู่ในชุดนายพลทหารเรือ แห่งราชนาวีอังกฤษที่แสนโก้เก๋..ส่วนพวกแกรนด์ ดุ๊ค ของรัสเซีย โอกาสนี้คือการที่ต้องประดับเหรียญตราเครื่องราชย์ชั้นสูงสุด Order of St. Andrew ที่เป็นรูปนกอินทรีสองหัวฝังเพชรที่ใช้คล้องคอด้วยสายสร้อยเพชรเม็ดเป้ง.. เพื่อเป็นการคานน้ำหนักให้สมดุลย์


    เจ้านายฝ่ายใน พระราชินี กลุ่มแกรนด์ ดัชเชส และเจ้าหญิงจากประเทศต่างๆ ก็พากับประดับเครื่องเพชรเต็มที่ เรียกว่าเป็นการรวมตัวของเครื่องประดับเพชรขนาดใหญ่จำนวนมากแห่งประวัติ ศาสตร์ที่ไม่เคยปรากฏต่อสายตามนุษย์มาก่อน (และไม่มีอีกแล้ว..)

    ซาร์ และซารินาได้เสด็จมาถึงเมื่อเวลาสิบโมงตรง..ซาร์ที่ปรกติทรงใช้ชีวิตแบบ เรียบง่าย ติดชนบทนิดๆ ..เมื่อมาเจอกับภาพของความหรูหราอลังการ
    แบบอินเตอร์เข้า..ทรงเขินหน่อยๆ ตรัสว่า..
    "ฉันรู้ว่ามันเป็นพิธีการที่ฉันต้องทำ..แต่อยากให้เข้าใจว่า..ทำให้เสร็จเร็วเท่าไหร่..ฉันก็จะโล่งใจมากเท่านั้น.."
    แต่ ซารินา..ดูสดใส..ร่าเริง เพราะพระองค์โปรดการพบปะสังสรรกับหมู่พระญาติ โปรดการออกงาน..เมื่อประทับยืนเคียงข้างกับพระสวามีแล้ว
    ซารินาดู"จิ๋ว" ไปถนัดใจ ทรงดำเนินทักทายคนนั้นคนนี้ ด้วยพระพักต์ที่มีรอยยิ้มกระจ่าง..ในเครื่องทรงที่ต้องใช้มหาดเล็กสี่คนช่วย ถือชายฉลองพระองค์เสื้อคลุมสีทองที่แซมด้วยขนเออร์มี่
    หลังจาก"มหกรรมจุมพิตพระหัตถ์" หรือที่เรียกว่า "baise-main" แล้ว..
    ซาร์ จึงยื่นพระกรไปให้ซารินา เพื่อที่จะเสด็จพระราชดำเนินผ่านแถวผู้เข้าเฝ้าทั้งหมด ไปยัง..หน้ามุขแดง หรือ Krasnoir Kriltzo เพื่อที่จะทำพิธีคำนับสามครั้งให้กับคลื่นมหาชน
    ที่ต่างรอคอยวินาทีนี้ที่ สนามข้างล่าง..

    เสียงโห่ร้องก้องยินดีดังกระหึ่ม..ช่างเป็นภาพที่น่า ประทับใจและปิติยินดีอย่างที่สุด เพราะหน้ามุขแดงนี้..ได้เป็นที่ซาร์ทุกพระองค์ของรัสเซียได้มาคำนับสามครั้ง ตั้งแต่ซาร์อิวานที่สาม..
    ศตวรรษที่สิบห้านั่นเชียว..
    

        
     
 

    ดิฉันมีภาพของซาร์สมัยที่ยังเป็นแกรนด์ ดุ๊คหนุ่มๆ ที่กำลัง (แอบ) คะนอง
    กับพระญาติ Prince Albert of Saxe-Altenburg, Prince Nikolay of Leuchtenberg และ พระอนุชาองค์รอง Vladimir

        
 

    ซาร์คือองค์ถัดจากคนนั่งค่ะ      

        
     
 

    รุ่นราวคราวเดียวกันทั้งนั้น..

        
     
     

    พวกเราพาตัวไปถึงหอที่เก็บเครื่องราชย์กุกุธภัณฑ์ ที่ฉันต้องมายืนตะลึงมองสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า อันเป็นเครื่องราชูปโภคซาร์ที่จะต้องทรงเพื่อพิธีจะได้เสร็จสมบูรณ์ อันกอร์ปไปด้วย
    พระแสงดาบ คฑา ลูกโลก โล่ และ พระมหามงกุฏ

    จากนั้น ซาร์และซารินาได้เสด็จมาถึง โดยมีมหาดเล็กกางกลดมาให้องค์ละแปดนาย เสด็จพ่อ,สมเด็จลุงนิโคลาส และแม่ทัพอีกสองคนตามเสด็จหลังซาร์ เจ้านายฝ่ายหญิงตามสเด็จซารินา
    หมู่เจ้าพนักงานเครื่องราชย์แต่งชุดเต็มยศโบราณตั้งแต่ครั้ง 1812 ยืนเรียงแถวในท่าเตรียมอาวุธ
    เสียงระฆังใหญ่แห่งเครมลินได้ดังขึ้น ตามด้วยระฆังจากโบสถ์ต่างๆ ที่เรามีกว่าพันหกร้อยแห่งในมอสควาได้ดังขึ้นพร้อมกัน..
    เสียงเพลงชาติได้เริ่มบรรเลงขึ้น
    ข้างล่าง..คือมหาชนนับแสนๆ ที่โห่ร้องถวายพระพรให้กับซาร์
    แต่ละคนมีใบหน้าที่อาบนองไปด้วยน้ำตาแห่งความปิติ

    ฉันเองก็รู้สึกตื้นตันจนเหมือนมีก้อนกลมๆ มาจุกที่คอ..และได้รู้สึกตัวว่า..
    เต็มตื้นไปด้วยความจงรักภักดีและพร้อมที่จะถวายชีวิตเป็นราชพลีแก่บัลลังก์ของรัสเซียของเรา

    จากนั้นก็เป็นพิธีสวดที่นานมาก กว่าจะจบก็รู้สึกว่าเป็นเวลานานหลายชั่วโมง
    พระสังฆราชได้นำพระมหามงกุฏที่วางอยู่บนหมอนกำมะหยี่สีแดง..มาถวาย
    ซาร์ได้ทรงยื่นพระหัตถ์ไปหยิบมาทรงเอง จากนั้นก็สวมมงกุฏให้กับซารินา
    ต่อด้วยพิธีทางศาสนาอีก..ในฐานะที่บัดนี้ซาร์ได้เป็นองค์อุปภัมถ์องค์ต่อไป
    เสร็จพิธีก็เสด็จกลับ..

    วันที่ 18 พฤษภาคม เป็นวันที่ซาร์ได้เสด็จแปรพระราชฐานไปพระราชวัง
    Neskuchnoe ที่อยู่ริมแม่น้ำ..รอบๆ เป็นปาร์คขนาดกว้างใหญ่ไพศาล
    พวกเราสี่พี่น้อง และ นิคกี้ ได้มีโอกาสพักผ่อน นอนเล่นคุยกันถึงพระราชพิธีที่ผ่านมาอย่างไม่หยุดไม่หย่อน
    เซอเกพูดว่า..
    "คิดดูนะ..อีกหน่อยรัสเซียจะยิ่งใหญ่ไปอีกแค่ไหน..ในตอนนั้นพวกเราก็คงจะยืนเคียงข้างนิคกี้ที่หอพระราชพิธีเหมือนกัน"

    นิคกี้ยิ้มอายๆ ตามเคย แต่มันเป็นยิ้มที่เศร้าๆ อย่างไรบอกไม่ถูก..


    ความจริงฉันเริ่มคิดถึงอนาคตของตัวเองมาตั้งแต่อายุได้สิบปี เสด็จพ่อมักตรัสเสมอว่า
    "ในส่วนตัวของพ่อนะ พ่ออยากจะให้ลูกๆ เอาดีทางหน่วยปืนใหญ่ แต่..ก็ต้องแล้วแต่พวกลูกๆ ด้วยที่จะเลือกทางเดินชีวิตของตัวเอง"

    แหม.. ฟังแล้วชื่นใจยังไงก็ไม่รู้ เพราะนั่นมันหมายถึงว่าฉันจะเลือกไปเหล่าอะไรก็ได้ แต่ต้องอยู่ในสายขององครักษ์หลวง ที่เจ้านายทุกคนหวังให้ลูกๆ ไปอยู่ในสายททหารนั้นด้วยทั้งหมด
    นอกคอกไม่ได้เลย พ่อแม่จะพลอยพาลเสียไปด้วย..เพราะมันเป็นประเพณีของโรมานอฟแต่ไหนแต่ไร

    ฉันมีความคิดอยากจะเป็นทหารเรือตั้งแต่ปี 1878 เพราะรู้สึกประทับใจในตัวพระอาจารย์เรือโท Zeleny ที่สอนสนุก ไม่เคยดุด่า และเล่าเรื่องชีวิตในเรือ
    ที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น..การเดินทางที่เต็มไปด้วยการผจญภัย..
    ฉันวาดฝันที่เต็มไปด้วยฝูงเรือรบหลวง..และเรือลาดตระเวณของกองทัพเราที่กำลังจะมีนายทหารแกรนด์ ดุ๊คหนุ่มเพิ่มขึ้นอีกองค์หนึ่ง..

    พระอาจารย์เรือโท Zeleny มักจะเริ่มต้นการสอนด้วยสำเนียงที่ตื่นเต้น เช่น
    "ตอนที่อยู่ที่เซี่ยงไฮ้นะ.." จากนั้นก็หยุด ไม่เล่าต่อ..แต่หัวเราะกลิ้ง
    พอถึงเวลาที่เล่าต่อ ก็ถึงคราวที่พวกเราลงไปนอนขำกลิ้งที่พื้น..น้ำหูน้ำตาไหล..อะไรจะน่าสนใจ ขนาดนั้น ทั้งเรื่องผู้หญิงที่ไปไหนมาไหนด้วยรถคนลาก หรือ วิ่งหนีช้างจนป่าราบในซีลอน

    ฉันได้หลุดปากทูลเสด็จพ่อไปว่า
    "ลูกอยากเป็นทหารเรือพะยะค่ะ"

    "อะไรนะ..ทหารเรือ..ลูกชายฉันอยากจะเป็นทหารเรือ..?"

    เสด็จแม่เหลือบมองด้วยความรำคาญปนหมั่นไส้
    "ลูกยังเด็กนัก คิดแบบเด็กๆ ..ไม่รู้เรื่องรู้ราว..เสด็จพ่อคงไม่ยอมอนุญาตหรอก"

    เสด็จ พ่อทรงบ่นต่อด้วยความไม่สบายพระทัย เพราะไม่เห็นด้วยในเรื่องที่ฉันอยากจะเป็นทหารเรือ เพราะมันไม่ก้าวหน้า พระองค์อยากให้ดูตัวอย่างทหารเรือสององค์ในโรมานอฟที่ไม่มีใครได้ดี
   อย่างเสด็จลุงคอนสแตนตินที่ใครต่อใครว่าไม่เอาไหน..หรือ พระนัดดาอเล็กซิส
    (พระอนุชาของซาร์) ที่เป็นเสือผู้หญิง มีเมียไปทั่ว..
    เสด็จพ่อไม่อยากให้ฉันต้องตกไปอยู่ในกลุ่มอย่างพระญาติที่ทรงกล่าวมา

    

    ไม่ว่าผู้ใหญ่จะเห็นแย้งอย่างไร..ฉันก็ยังคงดื้อแพ่ง เพราะมันคงเป็นพื้นนิสัยของฉันด้วยมัง..ฉันพยายามเอ่ยถึงเรื่องนี้เสมอๆ จนเสด็จพ่อตัดสินพระทัยที่จะพาฉันไปที่เมืองหลวง
     และหมายพระทัยที่จะให้ดูการเดินพาเหรดของทุกเหล่าทัพในวันอาทิตย์ ที่ทหารทุกกรมกองจะแต่งเครื่องแบบวาววับ
    เต็มยศ เผื่อว่า..ฉันอยากจะไปเดินโก้อย่างนั้นมั่ง..แล้งคงจะเปลี่ยนใจจากการคิดที่จะเป็นทหารเรือ

    เสด็จพ่อคงลืมไป ว่า ฉันเกลียดบรรยากาศทึมๆ ท้องฟ้าแน่นไปด้วยหมอก
    อากาศอับหายใจไม่ออก ชีวิตเต็มไปด้วยการเมือง..
    ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งอยากออกทะเลให้เร็วที่สุด..

    และ ถ้าไม่ใช่ซาร์..ความฝันของฉันไม่มีเป็นความจริงขึ้นมาได้..เพราะเมื่อทรงได้ ยินว่า ฉันอยากจะเป็นทหารเรือ ทรงสนับสนุนเต็มที่ เพราะพระองค์กำลังจะปรับปรุงกองทัพเรือด้วยกองเรือใหม่ๆ
    ในการป้องกันราชอาณาจักร
    และถ้าฉัน..ซึ่งเป็นพระญาติ..เป็นทหารเรือ ก็อาจจะเป็นแรงชักจูงให้ลูกชาวบ้านอื่นๆ กันมาสนใจในการออกเดินเรือด้วย..
    ฉันรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณมาจนทุกวันนี้ เพราะไม่งั้น..ฉันก็คงเป็นทหารรักษาพระองค์ ที่วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนั่งดูแต่บัลเลต์ทั้งวัน..

    ตามธรรมดาแล้ว..ฉัน ควรจะเริ่มเข้าโรงเรียนเตรียมนายเรือเพื่อการศึกษาขั้นต้น..แต่..การเป็น แกรนด์ ดุ๊ค นั่นคืออุปสรรคใหญ่ในการที่จะเข้าเรียนร่วมกับนักเรียนสามัญ
    ดังนั้น..ฉันจึงต้องเรียนที่วังกับหมู่ทีมพระอาจารย์ชั้นแนวหน้าที่เลือกส่ง มาโดยซาร์ ซึ่งแต่ละคนช่างกดดันเหลือเกิน ไม่เคยสร้างกำลังใจให้เลย
    มีแต่คำปรามาสอย่างไม่หยุดไม่หย่อน เช่น
    "อย่างพระองค์ไม่มีวันสอบผ่าน"

    ไม่ว่าฉันจะทำได้ดี หรือสอบได้ ก็ไม่เคยสมใจพระอาจารย์ แถมว่า
    "พระองค์จะท่องตำราออกมาคำต่อคำ ตอบข้อสอบแบบตามตำราก็จริง
    แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าพระองค์ไม่เข้าใน"สื่อความหมาย"ของมัน"

    เป็นอย่างนี้มาตลอดสี่ปีของการศึกษาวิชาเตรียมนายเรือของฉัน


    โปรแกรมการเรียนสี่ปีของฉันนั้น เต็มไปด้วยวิชาดูเข็มทิศ แผนที่ทางทะเล
    ปืนใหญ่ ปืนเล็ก ตอร์ปิโด การโจมตี การต่อเรือ การปกครอง วิชาว่าด้วยการเดินเรือสารพัด เท่านั้นไม่พอ ต้องเรียนประวัติศาตร์ยุทธนาวี
    ทั้งของประเทศรัสเซียและอื่นๆ ด้วย

    ในฤดูร้อน..ฉันได้มีโอกาสได้เรียนภาคปฏิบัติสามเดือน ได้ออกทะเลไปฝึกงานเป็นกลาสี
    วันก่อนออกเดินทาง..ในโบสถ์เล็กๆ ที่วังของเราคราคร่ำไปด้วยพี่น้อง
    ทหารมหาดเล็กคนสนิท พระพี่เลี้ยง พระที่มาทำพิธีถวายพระพร
    เมื่อเสียงเพลงมาร์ชได้ดังขึ้น เสด็จแม่กรรแสงเบาๆ
    เสด็จพ่อรีบพาออกเดินทางไปที่ ท่าเรือที่ Peterhof เพื่อขึ้นเรือ
    H.I.M.S. Varyag อันจะเป็นที่ปฏิบัติการทดลองงานสามเดือนของฉัน

    ชายริบบิ้นจากหมวกกลาสีถูกลมพัดมาปะทะใบหน้าเป็นบางครั้ง ชายขากางเกงปลิวไสว ฉันมาถึงตรงเวลาเป๊ะ..แต่หัวใจฉันได้ลอยล่องไปในทะเลข้างหน้านานแล้ว..
    ตอน นี้..ฉันก็เหมือนกับตัวคนเดียว..ลิงโลดเหมือนกับนักโทษที่กำลังจะก้าวออกจาก คุกที่คุมขังมานานแสนนาน ถึงแม้ว่า ทริปนี้จะมีพระอาจารย์จอมโหดตามไปประกบ
    ฉันก็ยังไม่รู้สึกสลดแต่อย่างไร..

    เราออกเรือมาไม่นาน ..ก็ถึงท่า Twermine, Finland อันเป็นเมืองเล็กค้าไม้ซุง และเป็นท่าเรือที่ใช้เป็นที่ฝึกงานของนักเรียนเตรียมนายเรือ
    ผบ. ได้สั่งให้ลดเครื่องยนตร์เพื่อที่จะเทียบท่า และรับนักเรียนคนอื่นๆ ในวัยเดียวกับฉันที่มาคอยอยู่ก่อนแล้ว
    พวกเขาหันมามองฉันด้วยสายตาสงสัยว่า ไอ้เจ้าคนนี้มันจะมาทำไมของมันนะ..??

    แต่หลังจากการแนะนำตัวและการกล่าวต้อนรับของท่านผบ. Brilkin ฉันได้ถูกนำตัวไปยังเคบินที่พัก..ความฝันเริ่มเป็นจริง.แต่เพียงส่วนเดียว
    เพราะ นึกว่าจะได้อยู่รวมกับคาเด็ทคนอื่นๆ แต่ต้องผิดหวัง เพราะต้องจับแยกให้อยู่ต่างหาก และมีคำสั่งห้ามไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเคบินของกลุ่มคาเด็ทคนอื่นๆ
    เท่านั้นไม่พอ..ช๊อคต่อไป คือ..ยามต้องนั่งโต๊ะอาหาร ฉันก็ต้องไปนั่งร่วมกับท่านผบ. มิได้ไปรวมกับพวกเขา..

    มาถึงตอนนี้ฉันรู้สึกว่ามันจะเกินไป..เท่ากับว่าจับฉันมาทรมานชัดๆ แล้วคนอื่นๆ เขาจะคิดอย่างไร อยากจะเป็นทหารแต่มานั่งเสวยสุขอยู่คนเดียวแบบนี้

    
    
 
 

>>>>>>>>>>>>>>>>>>

 

มาเฉลย..ว่า..พระอนุชา แกรนด์ ดุ๊ค ปาเวล นั้นมีพระพักต์คล้ายกับเจ้านายของไทย..

พระองค์นี้ค่ะ...

 

 




เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ โดย วิวันดา

เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเก้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนแปด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเจ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหนึ่ง



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker