dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด

   
    ทีนี้เราจะมาทำความรุ้จักกับ  Yakov Djugashvili
    ขอเรียกในภาคภาษาไทยว่า ยาคอฟ  ดูกัชวิลี (เพราะ กระทู้ที่แล้ว เราเรียกวิศวกรสร้างเครื่องบินที่มีชื่อเดียวกันว่า ยาโก้)
    แต่เขา..ยาคอฟ คนนี้ คือลูกชายของสตาลิน ที่เกิดจากภรรยาคนแรก
    ยาคอฟ ดูกัชวิลี เป็นทหารยศร้อยโทในกองทัพแดง..และทันทีที่สงครามาประชิดชายแดน จาคอฟโทรศัพท์หาพ่อพร้อมทั้งบอกว่า
    "ผมจะไปแนวหน้า"
    "เออ..ไปสู้ให้เต็มที่เลยนะ" สตาลินบอกลูกชายสั้นๆแบบได้ใจความ
    เพียงเดือนเดียวเอง ที่ยาคอฟออกไปปฏิบัติการ เขาก็ถูกจับไปเป็นเชลยศึกของเยอรมัน และ ด้วยวินัยและความรักชาติ เขา
    ไม่ยอมเปิดปากให้ข้อมูลใดๆกับข้าศึก..และ..ในที่สุดเขาก็ตายเยี่ยงวีรบุรุษ..
    รายละเอียดเป็นดังนี้ค่ะ..     




            ตั้งแต่เด็กๆมา ยาคอฟเป็นคนที่สนอกสนใจกับเรื่องรอบข้างในประเทศ รวมทั้งเรื่องการศึกษาของโลกตะวันตก
            จนสามารถพูดและอ่านได้หลายภาษา เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน อังกฤษ จากการเรียนในระดับขั้นปริญญาตรีของสาขาอักษรศาสตร์
            การเป็นเชลยศึกให้กับฝ่ายข้าศึกนั้น ทหารรัสเซียทุกคนรู้ตัวดีว่า มันเป็นยิ่งกว่านรก ทหารหลายคนยอมที่จะยิงตัวตายมากกว่า
            ถูกจับ
            ในบันทึกของทหารเยอรมัน..ได้เล่าไว้ว่า..ในช่วงของสงครามระยะต้นๆ ขณะที่อานุภาพของกองทัพรถถังของเยอรมันได้บุกตะลุยแบบดุเดือด
            ขณะที่รัสเซียยังไม่ได้ตั้งตัวนั้น..ทหารรัสเซียได้ถูกจับเป็นเชลยมากมาย..และที่เห้นประจักษ์กับตาของผู้บันทึก นั่นคือ
            ในวงล้อม...นายทหารรัสเซียสองนาย ที่ไม่มีทางหนีไปไหนได้.. ต่างจุดบุหรี่ใส่ปากกันคนละตัว..และเดินก้าวข้ามซากศพคอมราดที่ตายเกลื่อน
            เข้ามาเหมือนว่าจะวางอาวุธและมอบตัว..และทันที่ที่ทหารเยอรมันสั่งให้วางอาวุธ ยกมือขึ้น เขาทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน
            และสาดกระสุนใส่กันเอง
            จากการสู้รบที่ Brest ประโยคที่ได้ยินซ้ำๆซากๆจากปากของทหารรัสเซีย นั่นก็คือ
            "ลาก่อนนะ เพื่อน แก้แค้นให้เราด้วย..!!"
            แต่ในกรณีของยาคอฟ เขาเป็นเชลยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะเพียงแค่อาทิตย์เดียวที่ออกศึกก็โดนจับซะแล้ว แบบว่าไม่รู้เขารู้เรา..
            ด้วยอุปสรรคหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไม่พร้อมรับศึก การขาดส่ง กำลังบำรุง การรักษาพยาบาล
            ตอนนั้น เชลยรัสเซียมีมากมายนับหมื่นนับแสน หากแต่รายของยาคอฟนั้น อาจต้องกลายเป็นเครื่องมือของการต่อรองบางประการ
            แต่..เขาปฏิเสธการร่วมมือใดๆกับเยอรมันอย่างเด็ดขาด
            ลูกชายของเขา Yevgeni เล่าว่า พ่อผมมีเลือดรักชาติแรงมาก ไม่ใช่แค่บ้านเกิดเมืองนอนที่สาธารณรัฐจอร์เจียเท่านั้น พ่อหมายถึงแผ่นดินรัสเซียทั้งหมด
            ส่วนสตาลิน ก็เชื่อว่า เลือดของชาวจอร์เจียนที่เข้มข้นของยาคอฟ ย่อมต้องไม่ทรยศต่อประเทศชาติและต้องกล้าหาญตามอดีตวีรบุรุษจอร์เจียนคน หนึ่ง
            คือ Prince Bagration แม่ทัพที่ต้องนำทหารไปต่อสู้กับกองทัพของนโปเลียนเมื่อคราวบุกรัสเซียในปี 1812 เจ้าชาย บากราเตียง ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนใหญ่จนแทบเอาชีวิตไม่รอด..
            และก่อนสิ้นพระชนม์ ได้ทรงประกาศออกไปด้วยประโยคที่ชาวรัสเซียทุกคนต้องจดจำ นั่นคือ
            " รัสเซีย..มาตุภูมิของเราทุกคน..ข้าศึกจะรุกเข้ามา..มันก็ต้องข้ามศพพวกเราไปก่อน"

            หลังจากที่ทหารเยอรมันได้จัดระเบียบเชลยศึก ที่มียาคอฟอยู่ในกลุ่ม คำสั่งตะโกนออกมาว่า
            "นายทหาร, คอมมิวนิสต์ และ พวกยิว ก้าวออกมาข้างหน้า"
            มีสองสามคนที่ยืนอยู่กับที่..ทหารเยอรมันจึงเดินเข้าไปเอาปากกระบอกปืนจิ้มเข้าไปที่เอว แล้วตะคอกว่า
            "ทำไมไม่เดินออกไปวะ ก็เอ็งเป็นยิว.."
            "เราไม่ใช่ยิว"
            ทันใดนั้น คนหนึ่งในแถวหน้าที่ถูกเรียกตัวออกไป..ได้ตะโกนว่า
            "เขาเป็นลูกชายของสตาลิน เป็นชาวจอร์เจียน"
            ผู้ คนต้องหันมามองกันใหม่..ยาคอฟ หน้าตาหล่อเหลา ผมดำ ตาดำ คมเข้ม และจากถ้อยคำนั้น ทำให้เขาถูกคุมตัวอย่างหนาแน่นในการที่เยอรมันหวังต่อการเป็นตัวประกันเพื่อแลกเปลี่ยนนักโทษ
            แต่ไม่มีใครรู้ใจดีไปกว่าตัวเขาเองว่า..เขายอมตายเสียดีกว่าที่จะกลับไปสู้หน้าพ่ออย่างคนขี้แพ้..
            แต่การสู้รบในครั้งนั้น ช่วงนั้น เมืองหน้าด่านหลายเมืองของรัสเซียได้แพ้ราบคาบให้กับเยอรมัน เชลยศึกมีนับแสนนับล้าน
            และหลังจากจับตัวลูกชายของสตาลินได้ เยอรมันก็โปรยใบปลิวขย่มขวัญไปทั่วรัสเซีย ด้วยข้อความที่ว่า
            "จงยอมแพ้เสียแต่บัดนี้ ก่อนที่จะมีสูญเสียเลือดเนื้อและล้มตายกันไปทั้งหมด." บางฉบับก็ว่า
            "จะสู้ไปพื่อคอมมิวนิสต์และยิวไปทำไม..มาเข้าพวกกันกับเรา ท่านจะได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี"
            เกิบเบิลส์..ส่งใบปลิวที่เด็ดไปกว่านั่น มันก็คือ
            "ถึงพวกทหารแดงทั้งหลาย..จงดูตัวอย่างนี่..ลูกชายของสตาลินได้ยกมือยอมแพ้ให้กับเรา และตอนนี้เขาได้รับการดูแล กินอิ่ม นอนหลับ
            แล้วพวกท่านจะมาเปลืองตัวสู้รบอยู่ทำไมอีกเล่า..ยอมแพ้และวางอาวุธกันเสียแต่บัดนี้เพื่อความสงบสุขแก่บ้านเมืองของท่าน"

            จากนั้น ทหารเยอรมันก็ได้พาตัวยาคอฟย้ายไปยังค่ายเชลยศึกที่โน่นที่นี่ และ มีการหลอกล่อทำจาคอฟตัวปลอมขึ้นมาแทนที่
            (เพราะชาวรัสเชี่ยนก็หน้าตาแบบเดียวกันทั้งนั้น)


           

 

ผู้ที่ทำการสอบสวนยาคอฟ คือ Major Walter Holters ที่ได้กระทำในวันที่ 18 กรกฏาคม 1941 มีบันทึกไว้ว่า
            เชลยยาคอฟ มีความสามารถเป็นเยี่ยมในการใช่ภาษาได้หลายภาษา และท่าทางฉลาดเฉลียว
            ในบันทึกของข้อความมีว่า
            H. คุณได้ยอมแพ้ด้วยความสมัครใจหรือถูกบังคับ
            Y. โดนบังคับมา
            H. เรื่องราวเป็นอย่างไร ไหนเล่าไปซิ
            Y. เราตกอยู่ในวงล้อมในวันที่ 12 กรกฏาคม อีกทั้งมีการถล่มด้วยระเบิดอย่างหนัก เราพยายามติดต่อหากันในหน่วยแต่ไม่สำเร็จ ถ้าเป็นไปได้
            เราก็น่าจะยิงตัวตายไปก่อนให้โดนจับ
            H. คุณคิดว่า กองทัพของคุณยังจะมีโอกาสแก้ลำให้เกิดชัยชนะขึ้นมาได้งั้นหรือ?
            Y. สงครามยังไม่จบ ไม่มีใครบอกได้..ยังอีกนาน
            H. และถ้าหากเราสามารถยึดกรุงมอสควาได้ล่ะ..
            Y. พวกข้าศึกไม่มีวันที่จะเข้ายึดกรุงมอสควาได้หรอก.
            H. ทำไมคุณถึงสมัครใจที่จะเข้ารับราชการทหารนี่ล่ะ
            Y. ก็เพราะอยากจะสู้รบเพื่อประเทศชาติให้เป็นเยี่ยงอย่างน่ะซิ
            H. คุณคิดว่ารัฐบาลแบบใหม่ในประเทศของคุณเนี่ย..ทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขมากกว่าสมัยที่ถูกปกครองโดยพระเจ้าซาร์หรือไม่?
            Y. อ๋อ..แน่นอน
            H. คุณคุยกับพ่อของคุณครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
            Y. เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ฉันโทรไปหาพ่อก่อนที่จะออกมาแนวหน้า นั่นคือครั้งสุดท้าย

            จากนั้นผู้พันก็พยายามให้ยาคอฟเขียนจดหมายถึงสตาลิน หรือ ออกพูดในรายการวิทยุ แต่ เขาปฏิเสธในทุกข้อเสนอ และ เมื่อทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามคาด
            จดหมายปลอมก็ได้ถูกร่างขึ้น..ข้อความว่า
            " พ่อครับ..ผมอยู่ในค่ายนักโทษสงคราม ผมสบายดี และกำลังจะย้ายไปอยู่ค่ายของนายทหารในเยอรมัน พวกเขาดูแลผมดีมาก และสุดท้ายนี้ผมขอให้พ่อมีสุขภาพที่แข็งแรง
            ฝากความคิดถึงไปยังทุกคน ..ลงชื่อ ยาคอฟ"
            มีการแนบภาพถ่ายของเชลยศักดิ์ยาคอฟในชุดเสื้อโค๊ตตัวยาว หนวดเครารุงรัง กำลังคุยอยู่กับนายทหารนาซีด้วยอิริยาบถที่สบายๆ ออกตีพิมพ์ไปทั่ว

 

 


            เบื้อง หลังของภาพนั้นคือ ภาพที่เขาเพิ่งออกมาจากการสอบสวนเสร็จ และเพิ่งปฏิเสธในข้อเสนอทุกข้อจากข้าศึก อีกทั้ง ปฏิเสธต่อข้อมูลที่ว่า เยอรมันจะมีชัยชนะเหนือรัสเซีย
            จากนั้น เขาถูกส่งตัวมายังเบอร์ลิน ในอยู่ในความดูแลของเกิบเบิลส์ ซึ่งได้พยายามทุกวิถีทางที่จะล้างสมองของยาคอฟ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จอีกเช่นเคย
            จนในที่สุด เยอรมันได้หมดความพยายาม..เขาถูกส่งตัวไปยังค่ายนักโทษธรรมดา เพื่อนนักโทษด้วยกันได้มีข้อความบันทึกไว้ว่า
            ยาคอฟซูบผอมลงไปมากมาย เสื้อผ้าเก่าขาดวุ่นวิ่น ผู้คุมนักโทษได้นำสีแดงมาป้ายที่หน้าอกเขาด้วยตัวอักษร SU ( Sowjetunion = โซเวียตยูเนี่ยน)
            ขณะที่เพื่อนนักโทษรัสเซียกำลังมุงดูด้วยความเวทนาอยู่นั้น
            ยาคอฟได้ประกาศออกมาดังๆว่า
            "ปล่อยมัน..ปล่อยให้มันเขียน เพราะ โซเวียตยูเนี่ยน คือ บ้านเกิดเมืองนอนของเราที่พวกมันไม่มีวันได้ยึดครอง"
            เพราะ ประโยคนี้เองที่ทำให้เขาถูกย้ายไปอีกครั้ง คราวนี้ไปยัง ค่ายของชาวโปล์ที่นูเรมเบอร์ค ที่มีนายทหารชาวโปล์อยู่เป็นจำนวนไม่น้อย และนายทหารเหล่านั้นต่าง
            ให้ความช่วยเหลือแบ่งบันข้าวของให้กับจาคอฟอย่างเอื้ออารี
            แต่ อย่างไรก็ตาม ยาคอฟก็ได้บอกกับเพื่อนๆนักโทษอย่างหมดหวังว่า ชาตินี้เขาคงไม่มีวันได้กลับไปยังรัสเซียอีกแน่ เขาหวังเพียงว่า พ่อคงเข้าใจดีว่า เขาไม่ได้ทรยศต่อประเทศชาติ
            ตามข่าวที่ได้ออกไป

           
            ในเดือนกุมภาพันธ์ 1943 รัสเซียได้รับชัยชนะในสงครามสตาลินกราด ที่แม่ทัพ ฟอน พอลลัสและทหารทั้งกองทัพต่างยอมยกธงขาวแพ้ต่อรัสเซียนั้น
            เยอรมันพยายามที่จะขอแลกนักโทษกัน ระหว่าง ฟอน พอลลัส และ ยาคอฟ
            สตาลิน ได้ตอบกลับคืนไปอย่างเหี้ยมเกรียมว่า.." ไม่มีสงครามที่ไหน ที่จะเอาทหารธรรมดามาแลกกับแม่ทัพ "
            นั่นหมายถึงคำตอบคือ ไม่มีวัน..!!
            จุดจบของยาคอฟได้มาถึง ในเดือนเมษายน 1943 จากการบันทึกของเพื่อนักโทษในค่าย ที่ Sachsenhausen ว่า
            " ยาคอฟ ดูกัชวิลี เริ่มมีอาการเครียด และปฏิเสธอาหาร เขาเสียใจต่อคำพูดของสตาลินผู้พ่อที่ประกาศว่า ไม่มีคำว่านักโทษสงคราม พวกมันเหล่านั้น เป็นแค่ไอ้คนทรยศ..
            ซึ่งข้อความนี้มันบั่นทอนจิตใจเขา อย่างที่สุด เขาพยายามทุกวิถีทางที่ตายไปให้พ้นๆไปจากโลกนี้ และในที่สุด เขาก็พบหนทาง นั่นคือ ในวันที่ 14 มิถุนายนนั้น
            เขาไม่ยอมเดินกลับไปที่พัก แต่..ตั้งหน้าวิ่งไปยังเขตอันตรายซึ่งหมายถึงใครก็ตามที่ผ่านไปตรงนั้น ทหารจะยิงทันที
            และกระสุนหลายสิบนัดก็ได้สาดไปบนเรือนร่างของ ยาคอฟ ลูกชายของสตาลินผู้เด็ดเดี่ยว เขาสิ้นใจทันที..
            ศพของเขาถูกโยนไปติดกับรั้วไฟฟ้า ด้วยข้อหาว่า พยายามหนี !!

           

 

 

 

***ที่เล่ามาถึงฝั่งรัสเซียเนี่ยนะ เพราะอยากจะเล่าจริงๆ หนังสือส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับการเป็นไปในเยอรมัน  ส่วนของรัสเซียเพิ่งจะออกมาตีพิมพ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขี้นในประเทศ ระหว่างสงครามไม่นานมานี้เอง..
            ยิ่งอ่านยิ่งมีความรู้สึกที่แตกต่าง อย่างบอกไม่ถูก รู้สึกถึงความเกลียดชังที่มีอิทธิพลอย่างรุนแรงของคนคนหนึ่งคือ ฮิตเล่อร์ และ..ความเป็นเลือดนักสู้ของชาวรัสเซียที่ยอมตายมากกว่ายอมแพ้ภายใต้การนำ ของบุรุษเหล็ก สตาลิน
            ดูเหมือน..พระเจ้าช่างส่งเขาให้ลงลงมาเจอกันอย่าง จงพระทัย..อันเป็นเหตุให้ผู้คนล้มตายกันไปวันละหมื่นห้าพันคน สิริรวมได้ ห้าล้านคนทั้งหมด
            เรื่องภายในนั้นมีเยอะแยะ ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะสามารถทำได้ถึงขนาดนั้น..อหังการ์ทั้งด้านรุก และรับแบบไม่มีการถอยแม้แต่ก้าวเดียว............วิวันดา

            การรบภายในรัสเซียมีการต่อ ต้านในทุกรูปแบบ ที่จะเล่านี้ คือเรื่องของการสู้รบแบบทหารพรานซุ่มยิงหรือ Snipers ที่มีชื่อเสียงมาก(เป็นการซุ่มยิงเฉพาะตำแหน่งจุดสำคัญ
            เช่นนาย ทหารผู้บังคับบัญชา หรือ คนขับรถขนส่งอาวุธ โดยการใช้กระสุนจากปืนเพียงนัดเดียว จากตำแหน่งหลบซ่อนมิดชิด ที่ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้ว่ามาจากที่ใด)
            อย่าง สิบเอก ฟีโอโดซี ที่สามารถเด็ดชีวิตข้าศึกคนสำคัญได้ถึง 125 คน โดยหมดกระสุนไปเพียง 126 นัด หรือ อดีตสาวโรงงาน นีน่า เปโตรวา ที่เป็นทหารอาสาสมัคร
            วัย 48 ปี ที่สามารถออกปฏิบัติการในช่วงสงครามเลนินกราด โดยทำสกอร์ถึงร้อยศพนาซี
            แต่มือฉมังสุดๆที่จะมาเล่านี้คือ วาสิลี เซทเซฟ (Vasily Zaitsev คนนี้แหละ ที่เขาเอามาทำหนัง Enemy at the Gates)
            ใน ช่วงความดุเดือดของสงครามสตาลินกราดนั้น ฝ่ายเยอรมันต้องจดจำชื่อ วาสิลี ไว้ให้แม่นยำ เพราะ คนคนนี้ได้เด็ดชีวิตของนายทหารเยอรมันกว่าสามร้อยศพ
            จนทางฝ่ายกองบัญชาการได้ออกคำสั่งมาว่า "จับตายไอ้กระต่ายตัวนี้ให้ได้"
            (ชื่อ Zaitsev ผันมาจาก Zayats ที่แปลว่า กระต่าย)

                   

 

 

 

 

ข้อมูลที่รีดออกมาจากปากนักโทษเยอรมัน ใจความว่า ทางศูนย์บก.กำลังจะส่ง พันโท เคอนนิ่งส์ ผู้บัญชาการวิทยาลัยทหารพรานแม่นปืน มายังสตาลินกราด
            เพื่อที่จะ"เก็บ" กระต่ายรัสเซียตัวนี้
            จากข่าวนี้ เล่นเอาพันเอก บัทจัค(Batyak) เจ้านายของวาสิลี ถึงกับหัวเราะก๊าก..ตบโต๊ะปังด้วยความมันส์ เขาว่า
            " หนอย..มันถึงขนาดส่งพันโทมาจัดการทหารระดับกิ๊กก๊อกของเราเนี่ยนะ..น่าสมเพช จริงๆ" แต่แล้วไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เปลี่ยนเสียงเป็นงานเป็นการว่า
            "จำไว้นะ วาสิลี เจ้าต้องทำงานนี้ให้สำเร็จ สั่งสอนให้รู้สำนึก..และ ต้องระวังตัวไว้ให้ดี"
            วาสิลี ผู้รับคำสั่ง..เป็นชายร่างสันทัด สมส่วน หน้ากรม ผมสีน้ำตาลเข้ม ผู้ซึ่งเป็นทั้งทหาร และครูฝึกสอนการยิง รับคำสั้นๆว่า
            "รับทราบ พร้อมปฏิบัติขอรับกระผม"
            แต่ ทุกอย่างมันอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะว่า..ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้บัญชาการวิทยาลัยที่ถูกส่งตัวมาเก็บเขาโดย เฉพาะอย่างน้อยๆก็คงไม่หมู..!!
            ความจริงฝีมือของพวกเยอรมันนั้น วาสิลีก็พอรู้ๆอยู่ว่าแค่ไหน และ อย่างไร โดยศึกษาจากวิธีและวิถีของการยิง อีกทั้งวิชาการพรางตัว
            ทั้งสองอย่างนั้น เขาพอบอกได้ว่า ฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นทหารพรานระดับไหน
            เขา ก็ได้แต่คอยบุคคลสำคัญจากเบอร์ลินที่ข่าวกรองบอกมาว่า มาถึงตั้งอาทิตย์นึงแล้ว..แต่ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบเหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น

            แต่..ในระหว่างคอยนั้น เขาไม่ได้นั่งรออยู่เฉยๆ แต่..มีการออกซุ่มล่าหาตัวไปด้วย จากความรู้สึก..เขาสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า..บุคคลคนนี้ก็ไม่ใช่ย่อิย..
            ฝีมือต้องเข้าข่ายสูสีกับเขาทีเดียว
            และ จากประสบการณ์ก็ได้บอกเขาว่า..งานชิ้นนี้จะสำเร็จได้ก็ต้องมาจากการช่วย เหลือของเหล่าคอมราดที่ปฏิบัติการในคูเพลาะ เช่น พวกเหล่าปืนยาว,
            เหล่า ปืนกล,เหล่าขุดอุโมงค์ และเหล่าส่งสัญญาน ซึ่งหลังจากที่รู้ตำแหน่งเหล่าซุ่มยิงของข้าศึกว่าอยู่ที่ไหนแล้ว วาสิลีมักส่งกล้องส่องทางไกลให้ลูกน้อง
            ทำท่าค่อยๆยื่นกล้องออกจากคูเพลาะ ในขณะที่เขาได้ใช้กล้องมุมหัก(แบบที่ใช้ในเรือดำน้ำ) แอบมองจากที่ตำแหน่งหนึ่ง
            และ.. ฝ่ายโน้นจะหันมาสนใจในเป้าหมายที่ปรากฏต่อสายตา จะยิงสวนมา..และในธรรมชาติของทหารเยอรมันที่วาสิลีได้รู้ซึ้งแก่ใจ นั่นก็คือ "ความดื้อด้าน"
            ที่มักจะยิงนัดที่สอง เพื่อให้แน่ใจ..แต่ นัดที่สองนั้น ส่วนใหญ่จะไม่มีโอกาสได้ลั่นไก เพราะเพียงแต่สิ้นเสียงกระสุนนัดแรก นั่นหมายถึงการแสดงตำแหน่งที่มาของกระสุน
            และจากกล้องส่องทางไกล..กระสุนจากปืนของวาสิลี ก็ส่งไปปลิดวิญญาณของพวกดื้อด้านอย่างรวดเร็วทันควัน
            อันถือเป็นการสิ้นสุดของการดวล..


            ในการเตรียมทำงาน วาสิลีมักจัดแผนไว้เป็นสองขั้นตอน คือ
            หนึ่ง.. กลเม็ดการกำบังกายของข้าศึกจากการบาดแผลแนววิถีกระสุนที่เพื่อนคอมราดของเขา ได้รับมา..ซึ่งตรงนี้สามารถบอกตำแหน่งที่มาอย่างแม่นยำ
            เขาจะเข้าไปตรงนั้น และสอบถามจากเพื่อนทหารด้วยกันที่เห็นเหตุการณ์ สองอย่างประกอบกัน เขาก็สามารถทราบถึงที่ซ่อน"มือปืน"ได้..
            สอง.. เล็งจับตาไปยังเป้าหมายไม่ให้คลาดสายตา และในขณะเดียวกัน เขาหรือคู่หูตรวจสภาพพื้นที่ใกล้เคียงโดยใช้กล้องส่องทาง..โดยประสบการณ์
            เขา สามารถบอกได้ทันทีที่เห็นแม้แต่แวบเดียวของส่วนหนึ่งของลำกล้องปืน หรือ เศษเสี้ยวของแสงสะท้อนของกระจกจากกล้องที่ติดอยู่กับกระบอกปืนของข้าศึก
            แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอต่อการที่จะลงมือปฏิบัติการ หรือถึงแม้ว่าเขาสามารถเห็นว่า ข้าศึกมีการเคลื่อนไหวตัว ก็ยังอาจเป็นกลลวง
            หากว่า ข้าศึกคนนั้นสามารถอดทนกบดานนิ่งรอโอกาสเหมาะได้อย่างเงียบเชียบละก้อ..ถือว่าฝีมือระดับพระกาฬ
            เขา จึงสอนลูกน้องเสมอว่า..ในการเป็นมือซุ่มนั้น..ต้องมองรอบด้านให้ดีซะก่อนที่ จะเสี่ยงโผล่หัวออกไป..และก่อนที่ลั่นกระสุนนัดสำคัญนั้น
            ต้องใช้สมองคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนถึงจุดอ่อนจุดแข็งของข้าศึก เพราะ โอกาสนั้นอาจมีเพียงครั้งเดียว
            และ สำหรับนักเรียนมือปืนใหม่ๆนั้น เขาได้สั่งสอนเสมอว่า การพรางซ่อนตัว ต้องนิ่งเงียบราวกับเป็นก้อนหิน เพียงแค่ขยับหัวเพียงนิดเดียว
            ก่อนที่จะรู้ตัวกระสุนของข้าศึกก็จะเจาะผ่านสมองไปสียแล้ว..
            ฉะนั้น..ขั้นตอนและสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกมือปืนนี้
            คือการอดทนในการพรางตัวในที่ซ่อน


            บัดนี้เขารู้ดีว่า มือปืนจากเบอร์ลินได้มาถึงตำแหน่งสมรภูมิแล้ว..และ วาสิลียิ่งต้องระวังตัวแจ เพราะ เขาจะเปิดเผยตัวเองที่โน่นที่นี่ไม่ได้เด็ดขาด
            และที่สำคัญคือ เขาเริ่มรู้แล้วว่า มือปืนคนนี้ไม่ใช่ย่อยๆ..เพราะ มือขวาของเขาคนหนึ่ง คือ โมโรซอฟ เกือบเอาชีวิตไม่รอด และ ไซคินคู่หูของเขาถูกยิงบาดเจ็บมา
            สองคนนี้จัดว่าเป็นมือดีในแถวหน้าของรัสเซียทีเดียว ยังพลาดท่ามาจนได้..
            เป็นการบอกได้ว่า..ศึกการดวลระหว่าง วาสิลีและ มือปืนจากเบอร์ลินกำลังจะเกิดขึ้น..ในเร็วๆนี้
            ก่อน รุ่งสางของวันหนึ่ง..วาสิลีและ นิโคไล คูลิคอฟ บัดดี้คู่หู ได้ไปยังตำแหน่งที่ซ่อนตัวของคนทั้งสองที่บาดเจ็บมาเมื่อวันก่อน และตรวจตราโดยรอบๆบริเวณ
            เขาไม่เห็นอะไรผิดสังเกตุ จนกระทั่งมืดค่ำ เขาเห็นว่ามีหมวกเหล็กของทหารโผล่ขึ้นมาไหวๆ....จากคูเพลาะฝั่งข้าศึก
            เขารีบใช้สมองทบทวนทันที ว่าจะยิงหรือไม่..แต่..จากประสบการณ์ทำให้เขาเห็นว่า การไหวของหมวกนั้นมันแกว่งผิดปรกติ..
            มันหมายถึงเป็นการหลอกล่อจากข้าศึก(ที่ใช้ดัมมี่มาชูหมวก) ส่งมือปืนนั้น รอจังหวะการยิง เพื่อที่จะยิงสวนตอบ..
            เจ้ากระต่ายรัสเซีย..จึงทำเฉย..รอต่อไปอย่างอดทน..จนดึกดื่นมืดมิดจึงได้เปลี่ยนที่พรางตัว
            คูริคอฟ ออกความเห็นว่า "สงสัยมันไปนานแล้ว"
            แต่วาสินี เชื่อว่า มันยังอยู่ที่นั่น เพราะ มือปืนระดับนี้ ย่อมไม่ทิ้งจุดที่ซ่อนสำคัญไปอย่างง่ายๆ สถานะการณ์แบบนี้ประมาทไม่ได้
            วันหนึ่งผ่านไป..วาสิลียิ่งรู้ว่า นี่คือ มือระดับอ๋องจากเบอร์ลินส่งมาจริงๆ
            เพราะ มันช่างซุ่มตัวอยู่ได้เป็นวันไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
            ทั้งๆที่เขารู้ดีว่า มันอยู่ที่นั่น...


            เช้าตรู่วันต่อมา..แสงแดดเริ่มสาดส่อง ตำแหน่งที่ซุ่มของมือปืนเริ่มเด่นชัดขึ้น การยิงใส่กันของสองฝั่งก็เริ่มต้นประปราย..แต่สองมือปืนรัสเซียยังกบดานนิ่ง
            สายตาจับจ้องอยู่แต่กับกล้องหักมุมส่องทางไกล โดยไม่สนใจการปะทะของทั้งสองฝั่ง..
            ทหาร คนหนึ่งได้โฉ่งฉ่างขึ้นมาว่า "ผมเห็นมันแล้ว มันอยู่นั่น..จะชี้ให้ดู" ว่าแล้วไอ้หมอนั่นก็โผล่หัวออกไปจากคูเพลาะ และเพียงเสี้ยววินาที กระสุนก็ทะลวง
            สมองไอ้หมอนั่นไปต่อหน้าต่อตาวาสิลีและพวก..
            เขาได้บอกกับตัวเองเลยว่า..ฝีมือการยิงในครั้งนี้ ชั้นบรมครูอย่างแท้จริง !!
            จาก ตำแหน่งที่มาของกระสุน ทำให้เขาต้องมองทิศทางข้างนั้นอีกครั้ง ในสนามที่เรียกได้ว่า no- man's-land (หมายถึงพื้นที่ระหว่างสองฝั่ง..ระยะอันตรายของการสาดกระสุนใส่กัน)
            เขาเห็นแต่รถถังหมดสภาพจอดอยู่หนึ่งคัน ซึ่ง เชื่อได้เลยว่า มันไม่ได้ซ่อนอยู่ที่นั่นแน่ๆ
            และ..จากนั้นก็มีที่กำบังอิฐเก่าๆ ซึ่งมันก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแน่นอน..
            แต่ระหว่างรถถังและที่กำบังนั้น..มีกองแผ่นสังกะสีที่มีอิฐหักๆทับถมอยู่คล้ายกับกองขยะของทิ้งที่ตั้งอยู่นานแล้ว..เขาก็เห็นมันจนชิน
            ทัน ใดนั้น เขาจึงเริ่มคิดได้ โดยเอาความรู้สึกของตัวเองมาประมาณว่า มันก็น่าจะมีหลุมพรางตัวอยู่ใต้แผ่นสังกะสีผุๆนั่น และเผลอๆอาจเป็นอุโมงค์ข้างล่างทะลุไปยังฝั่งข้าศึก
            พอทันที่ที่เขาคิดได้ เขาปักใจเชื่อได้เลยว่า..มันอยู่ที่นั่นจริงๆ...
            เขา จึงทำกลลวงโดยการเอาไม้สอดในถุงมือแล้วโผล่ขึ้นไป..วินาทีเดียว ถุงมือเป็นรูโบ๋กลับมา..เขาสอบวิถีกระสุนทันที มันช่างเที่ยงตรง ไม่มีเฉไฉ สมเป็นมือหนึ่งที่ส่งมาจริงๆ..
            เป็นอันว่า มือปืนคนนั้น คือ มือปืนจากเบอร์ลินแน่นอน ไม่มีผิดฝาผิดตัวแน่ๆ แต่ทำอย่างไรเล่า จะให้มันได้โผล่หัวออกมาให้เห็น
            และที่แน่ๆ คือ เขาเชื่อมั่นได้เลยว่า มันจะต้องอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นอนไม่ย้ายไปไหนแน่..


            ตกกลางคืน..วาสิลีและคู่หู ต่างก็ไม่ใครยอมนอน ต่างผลัดกันเฝ้าดูจนถึงรุ่งสาง..การปะทะของหน่วยทหารปืนใหญ่ก็เกิดขึ้นตามปรกติ..
            คูริคอฟแกล้งยิงออกๆไปส่งเดชหลายๆนัด เป็นการหลอกล่อมือปืน..
            วาสิลีนอนกบดานนิ่งรอให้เวลาผ่านไปครึ่งวัน เพราะแสงอาทิตย์ที่ย้อนเข้าตามานั้น อาจทำให้เกิดภาพลวงขึ้นได้ จนบ่าย..แสงแดดจึงสาดไปทางฝั่งของข้าศึก
            และตรงนั้น ทำให้เขาได้เห็นประกายวิบวับจากกระจกกล้องส่องทางไกลของมือปืนนั่นอย่างชัดเจน..
            คูริคอฟ..เริ่มปฏิบัติการ คือ ทำกลลวงส่งหมวกขึ้นไปอย่างแนบเนียน และแน่นอน กระสุนจากฝ่ายตรงข้ามส่งเข้ามาเจาะในทันใด..
            คูริคอฟ แสร้งทำเป็นโดดดิ้น ร้องขึ้นด้วยเสียงครวญคราง..ก่อนที่จะฟุบลงไปในหลุม..
            ฝั่งโน้น..เข้าใจว่า เขาได้เด็ดชีวิตเจ้ากระต่ายรัสเซียให้สมกับการรอคอยมาตั้งอาทิตย์ซะแล้ว..
            ทุกอย่างตกอยู่ในความสงัดเงียบ..
            มือปืนคนนั้น จึงค่อยๆโผล่หัวออกมาจากใต้สังกะสีแวบหนึ่ง..วาสิลีลั่นไกปืนออกไปทันที..
            หัวนั้นผงะหงายไป....กล้องติดปืนยาวของมือปืนนั่น..กระเด็นหลุดออกมาจากมือ มากลิ้งล้อแวววับกับแสงอาทิตย์
            ใน ยามดึก..ของการสู้รบ..รัสเซียได้เดินหน้าเข้าบุกฝั่งเยอรมัน ..วาสิลีและคูริคอฟ ต่างเข้าไปลากศพของมือปืนจากเบอร์ลินออกมาจากหลุมใต้กองสังกะสี
            เพื่อที่จะนำเอกสารจากศพไปมอบต่อกองบัญชาการ เป็นอันว่าภาระกิจที่มอบหมายมาเสร็จสิ้น..
            ส่วนไรเฟิล..พวกเขาเก็บเอาไว้ดูต่างหน้า เพื่อเป็นที่ระลึก..



            Vasily Zaitsev's rifle 
                
       
            ความ พ่ายแพ้และการถอยร่นของกองทัพเยอรมันได้เริ่มขึ้นรายวัน..ในที่สุด นายพล Miklos แม่ทัพแนวหน้าของฮังการี ขับรถเมอร์ซิเดสส่วนตัวออกไป
            เจรจาเข้า ร่วมกันกับทัพรัสเซียหน้าตาเฉย...ยังผลให้ฮิตเล่อร์โกรธจนหนวดกระดิก จัดการล้มรัฐบาลฮังกาเรียน แล้วตั้ง รัฐบาลใหม่ขึ้นมาทันที โดยเอาคนของตัวเองที่เชื่อว่าภักดีต่อนาซี
            ขึ้นมาครอง..
            เหตุการณ์ในสโลวาเกีย ก็แย่ลง ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน ทำการจารกรรมไม่มีหยุดมีหย่อน ถึงขนาดลอบฆ่าทหารเยอรมันไม่เว้นแต่ละวัน
            ทางเยอรมันก็แก้แค้นโดยจับประชาชนมายิงเป้า..แต่..ทุกอย่างก็ได้แต่วนเป็นวงกลม เมิงฆ่ากรู กรูฆ่าเมิง อย่างไม่มีจบสิ้น
            ใน ช่วงฤดูใบไม้ร่วง แม่ทัพคูเดอเรียนได้ย้ายศูนย์บัญชาการไปที่ค่าย Maybach (ชื่อคุ้นม๊ะ ก็รถเบ๊นซ์รุ่นใหม่งั๊ยย) ที่อยู่ใกล้ๆกับเมือง Zossen
            และ ในช่วงใกล้สิ้นปี แม่ทัพก็เข้าพบกับฮิตเล่อร์อีกครั้ง ในเรื่องที่ขอให้เพิ่มกำลังทหารในแนวหน้ารัสเซีย แต่ ตอนนั้น ฮิตเล่อร์กำลังเมาหมัดจากสงครามฝั่งตะวันตก
            อยู่ เนื่องจาก ฝั่ง Ardenne ก็กำลังพันตูเข้าด้ายเข้าเข็ม..ท่านผู้นำไม่รับฟังการร้องขอของท่านแม่ทัพ เลยแม้แต่นิด ซ้ำออกจะเป็นการกวนใจซะอีกต่างหาก
            แต่..แม่ทัพคูเดอเรียน บอกว่า
            "อย่างไรเสียท่านก็ต้องฟัง คือผมจะบอกท่านว่า รัสเซียกำลังจะบุกเราในไม่ช้านี้ ครั้งนี้จะเป็นครั้งใหญ่ มีการรวมพลมหาศาล
            อย่าง ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และ กระผมเชื่อว่า การบุกเข้าคงเป็นราวๆวันที่ 12 มกรานี้เป็นอย่างช้า และ ตามรายงานที่กระผมจะมอบให้ท่านนี้ คืออัตราการ
            เป็น ต่อของข้าศึก..คือ ทหารราบ 11 ต่อ 1 สรรพาวุธ 7 ต่อ 1 ปืนต่อสู้อากาศยาน 15 ต่อ 1 กำลัง ทัพอากาศ 20 ต่อ 1 ..ด้วยอัตรานี้นะขอรับกระผม
            ต่อให้ทหารของเราเป็นเทวดา ก็ไม่สามารถจะต้านทานข้าศึกอยู่ได้ " เขาได้กล่าวต่อไปว่า
            "ทางเดียวนะขอรับ ท่านต้องเพิ่มอาวุธ กำลังพล เราจึงจะรอด"
            แต่..ไม่ว่าแม่ทัพจะพูออย่างไร ฮิตเล่อร์กลับไม่เชื่อ แถมตวาดกลับไปว่า
            " พวกแกมันเชื่อการโฆษณาหลอกลวงของไอ้พวกรัสเซียเข้าแล้วละซิ..อย่ามาหลอกซะ ให้ยากเล๊ยย..เรารู้ดีดีว่า ทหารหน่วยปืนยาวของรัสเซียน่ะ มีมากสุดก็แค่ 7000 คน
            หน่วยยานเกราะของมันก็ไม่มีรถถังเหลือแล้ว เอาที่ไหนมาพูด..เชอะ..เรื่องนี้เป็นเรื่องแหกตายิ่งกว่าตำนานเจงกิสข่าน ใครวะ ที่เป็นคนไปหาข่าวนี้มาเนี่ย !!



            แต่เม่ทัพคูเดอเรียนก็ต้องแสดงความคิดเห็นอย่างชายชาติทหารไปว่า..
            "การสู้รบทางด้านฝั่งตะวันออกนั้น เยอรมันเป็นฝ่ายเสียกับเสีย เพราะ จากการบอมบ์ทางอากาศ
            ทำ ให้พื้นที่อุตสาหกรรมโรงงานในเขต Ruhr นั้นต้องเสียหายปิดชะงักไป แต่โรงงานทางด้านฝั่งตะวันออก คือ Silesia ยังไม่มีการบอมบ์เกิดขึ้น(เพราะอยู่ไกลไป)
            การผลิตอาวุธที่กระทำทั้งวันทั้งคืนยังสม่ำเสมอ ขืนยังไม่มาสนใจทางด้านนี้ละก้อ สงครามครั้งนี้คงต้องจบลงในระยะเวลาไม่นาน "
            ไม่ ว่า เหตุผลของแม่ทัพจะเป้นอย่างไร ก็หามีใครฟังไม่ ..ซึ้งก่อนลาจาก ฮิตเล่อร์ยังบอกมาว่า ขอให้ทัพทางฝั่งตะวันออกดูแลตัวเองให้ดีๆก็แล้วกัน เพราะ
            ทางเยอรมันคงสนับสนุนอะไรไปไม่ได้มากไปกว่านี้
            หลังจากได้ฟังดังนั้น.. แม่ทัพคูเดอเรียน จึงจำเป็นต้องขอกันเป็นครั้งสุดท้ายว่า..
            " งั้นก็ขอให้ย้ายทัพจาก Kurland ออกไปประจำสู้รบป้องกันที่ฟินแลนด์ ก่อนที่รัสเซียจะเข้าไปยึดครองกลับคืน และ ขอหน่วยทหารที่ไปนั่งอยู่เฉยๆในนอร์เวย์มาร่วมด้วย"
            ฮิตเล่อร์บอกว่า..
            "ไม่ได้..หน่วนพวกนั้นจะต้องย้ายไปยังด้านตะวันตกเฉียงใต้เพื่อจะสู้รบกับกองทัพของสพม."
            นั่น หมายความว่า แม่ทัพ คูเดอเรียนต้องนั่งรถไฟกลับไปยังฐานแนวหน้าที่โซเซ่น ในวันคริสมาสต์ 1944 และเมื่อถึง เขาก็พบว่า ท่านผู้นำที่เขาเพิ่งจากมาหยกๆได้ใช้อำนาจแบบพลการ
            (ตามเคย) ถอนกำลังจากทางด้านเหนือของกรุงวอซอร์ไปยัง บูดาเปสต์ เพื่อรักษาเมืองและทานทัพของรัสเซียที่นั่น
            นั่นหมายความว่า..ฮิตเล่อร์เห็นว่า การรักษาบูดาเปสต์นั้น สำคัญกว่าการรักษาแนวหน้าของฝั่งตะวันออกของเยอรมันงั้นซิ?
            เขาจึงลุกขึ้นมาขัดแย้งในความเห็นนั้นทันที แต่..ไม่มีผลอันใดเช่นเคย
            ผลคือ กำลังของหน่วยยานเกราะโยธิน หนึ่งในหก ต้องหดหายไปจากแนวหน้าที่สำคัญอันดับหนึ่ง ไปสำรองอยู่ที่แนวหน้าที่อันดับรองๆ


            ก่อนวันปีใหม่ แม่ทัพคูเดอเรียน เดินทางกลับไปยังศูนย์บัญชาการอีกครั้ง..คราวนี้เขาต้องเข้าพบปะหารือล๊อบ บี้กับเหล่าพรรคพวกนายพลด้วยกันก่อนที่จะเข้าพบท่านผู้นำ
            คนที่เขาปรึกษา ด้วย นั่นก็คือ แม่ทัพ ฟอน รุนเสตดท์ ด้วยใจความข้อสงครามทั้งหมด ซึ่งท่านแม่ทัพผุ้อาวุโสก็ได้แสดงความเห็นใจ อีกทั้งได้ให้ข้อมูลของกองทัพที่
            อยู่แนวหน้าตะวันตกว่า มีอยู่สามหน่วยที่อาจโยกย้ายไปได้ และอีกหน่วยหนึ่งที่อาจเดินทางได้เร็วคือ ฝั่งอิตาลี
            แมทัพคูเดอเรียนได้ยินเข้าก็ดีใจสุดขีด ลงทุนติดต่อขอทางต้นสังกัดอย่างเรียบร้อย พร้อมกับจัดแจงเตรียมขบวนรถไฟเพื่อการเดินทาง..
            เมื่อทุกอย่างพร้อม เขาจึงเข้ารายงานขอต่อท่านผู้นำ
            แต่..การไปพบนั้น ปรากฏว่า แม่ทัพ โจลด์ และ แม่ทัพไกเทล อยู่ในที่นั่นด้วย..ทั้งสองแม่ทัพบอกปัดไปว่า ไม่มีหน่วยไหนที่จะให้ได้
            คู เดอเรียนจึงอ้างข้อมูลที่ได้เปีะๆจากแม่ทัพ ฟอน รุนเสตดท์ ทั้งเลขหมายกรมกอง อีกทั้ง ชื่อของแม่ทัพนายกอง ซึ่งทำให้ แม่ทัพโจลด์ ถึงกับเกิดโทสะ ฉุนเฉียวขึ้นมาทันควัน
            แต่ ฮิตเล่อร์ ได้เกิดความประทับใจในความสามารถหารายละเอียดของแม่ทัพคูเดอเรียน เล่นเอาอีกฝ่ายหนึ่งถึงกับอ้าปากค้าง
            เมื่อ ฮิตเล่อร์ได้ตัดบทให้กองทัพทั้งสี่กองแก่ฝ่ายตะวันออก..แต่มีข้อแม้ว่า..ต้องไปประจำรับมือทัพรัสเซียที่ฮังการี
            เช้า ตรู่ของวันปีใหม่..แม่ทัพเข้าพบฮิตเล่อร์อีกครั้งเพื่อทื่จะรายงานว่า.. หน่วนกองทัพ SS ที่บูดาเปสต์จะเข้าโจมตีทัพรัสเซียในวันนั้น เพื่อที่จะเข้าครอบครองเมืองกลับคืนมา
            ฮิตเล่อร์ดีใจถึงกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก..
            แต่ก็หัวเราะไปได้ไม่นาน เพราะการเจ้าโจมตีขับไล่รัสเซียในวันที่ว่านั้น ไม่เป็นผลสำเร็จ..!!

          

            ตลอดหลายๆเดือนที่ผ่านมานี่..ฮิตเล่อร์ได้พร่ำเพ้อแต่เรื่องที่จะขจัดกองทัพของสพม.ไปให้สิ้นซากจากยุโรป
            และหลังจากที่เขาได้รอดตายจากการวางระเบิดในเดือน
            กรกฏาคม 1944 มานั้น อาการเครียดสงครามของเขายิ่งหนักขึ้น เพราะมันบีบคั้นเข้ามาทั้งสองด้าน
            ด้าน ตะวันออกนั้น..แทบมองไม่เห็นทาง เพราะ แนวศึกยาวถึง 750-1000 ไมล์ อีกทั้งเขายังทำใจให้ยอมรับไม่ได้ว่า กองทัพรัสเซียได้มีแสนยานุภาพเหนือกว่าเยอรมันมากนัก
            ด้านตะวันตก..ก็คงต้องรอปาฏิหารมาช่วยเท่านั้น..จึงจะรอด
            แผน การใหม่จึงถูกคิดริเริ่มขึ้นมา..โดยที่ เขาเรียกหา อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกระทรวงผลิตอาวุธ ให้เข้าพบ เพื่อปรึกษาในเรื่องการสร้างถนน สะพาน เพื่อการเดินทัพ
            เข้าโจมตีข้าศึกเป็นไปได้อย่างสะดวก รวดเร็ว แบบสายฟ้าแลบ เขาว่า
            " ถ้าอันนี้ไม่สำเร็จก็คงจะมอดม้วย เพราะ ไม่มีทางไหนที่จะดีไปกว่านี้ การเข้าตีข้าศึกหนักๆครั้งเดียว..จะทำให้ทัพอเมริกันแตกพ่ายและกลัวจนหัวหด กันไปหมด"
            ตามแผน เขาว่า..จะยกทัพไปทาง Antwerp ที่ทัพอังกฤษคุมท่าอยู่ แล้วเข้าโจมตี ยึดท่าเอาทหารอังกฤษที่มีนับแสนๆมาเป็นเชลย หรือล้อมไว้ แค่เนี้ย ก็จะชนะสงครามไปแบบไม่ต้องลงแรงมากมาย..
            และนี่คือ ความฝันหนึ่งของท่านผู้นำที่มีแต่ความคิดหวังพึ่งแต่โชคและปาฏิหารย์เท่านั้น ซึ่งในความจริง..มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้
            เพราะ วันที่ 21 ตุลาคม ชายแดน Aachen ได้แตกพ่ายให้กับทัพอเมริกัน
            นั่นเท่ากับว่า เท้าของกองทัพ สพม.ได้ล่วงล้ำเข้าสู่ผืนแผ่นดินเยอรมันอย่างหมดจดเรียบร้อย.. !!




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101852)
avatar
Peet

 สนุกมากเลยครับ ไล่อ่านตั้งแต่ตอนแรกจนจบ เลยครับ 

ผู้แสดงความคิดเห็น Peet (kongsakdi-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-06 13:26:00 IP : 223.25.195.93


ความคิดเห็นที่ 2 (101853)
avatar
wiwanda

สวัสดดีค่ะ คุณ Peet,

 

 

นักแม่นปืนเก็บสกอร์ของรัสเซียนั้น..ไม่ใช่มีแต่ผู้ชายนะคะ  ฝ่ายทีมหญิงก็มีตัวเก่งๆหลายคน..แต่ละนาง...เก็บกันได้เป็นร้อยๆศพ

พวกเขาเสี่ยงทำงานกับแบบกล้าตาย..เพราะถ้าหากถูกจับได้..จะไม่มียอมให้จับเป็นเด็ดขาด..วันหลังจะเอาเรื่องของ  Lyudmila Pavlichenko (ลุดมิลา ปาวีเชงโก) สาวน้อยจากมหาวิทยาลัยเคียฟ ที่เข้าร่วมในสังกัดกองทัพโซเวียต..ในหน่วยสไนเปอร์..ที่สามารถสกอร์ได้ถึงสามร้อยกว่า  จนเธอและคณะได้รับเชิญไปอเมริกา-แคนาดา และมาดาม เอเลเนอร์  รูสเวลต์ สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งได้จัดงานเลี้ยงรับรองให้อย่างยิ่งใหญ่..บริษัทผลิตปืนใหญ่ๆทั้ง Colt (อเมริกา) และ Winchester (แคนาดา) ไล่แจกสินค้าให้กับกลุ่มนักฉมังปืนจากโซเวียตเป็นว่าเล่น..

วิถีการทำงานของสไนเปอร์นั้น..ได้สร้างความหวาดหวั่นให้กับกองทัพเยอรมันอย่างที่สุด เพราะไม่ชำนาญในพื้นที่..ไม่รู้ว่าซอกไหน..มุมไหน..จะมีกระต่ายแม่นปืนซุ่มซ่อนอยู่..อีกทั้งการทำงานนั้น จะเป็นไปแบบทีม..อย่างวาสิลีนั้น..จะมีอยู่ด้วยกันหกคนในทีม..จะวางกำลังในรูปสามเหลี่ยม มุมละสองคน.. เวลายิง..กระบอกอื่นจะยิงขึ้นตามมาด้วยเพื่อเป็นการสร้างความสับสนในวิถีของกระสุน..แท๊คทีมนี้..ปัจจุบันยังคงใช้อยู่..อย่างในกรณีของประธานาธิบดีเคนเนดี้..เป็นตัวอย่าง..ป่านนี้ยังหาบทสรุปไม่ได้เลยว่า..กระสุนจริงๆนั้นมาจากใคร  หรือจากมุมไหนกันแน่..แต่ที่แน่ๆคือ..มือเก็บทำงานกันเป็นทีม..

ผู้แสดงความคิดเห็น wiwanda (wwiwanda-at-yahoo-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-07 04:18:15 IP : 75.23.140.129


ความคิดเห็นที่ 3 (101857)
avatar
หาญ

จะรออ่านตอนต่อไปนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น หาญ (pee_han-at-hotmail-dot-com)วันที่ตอบ 2011-10-09 17:43:20 IP : 111.84.135.148


ความคิดเห็นที่ 4 (101859)
avatar
นอนเช้า

สนุกอีกแล้วครับ น่าสนใจมากเรื่องของหน่วยซุ่มยิง

อาจจะไม่มีบทบาทในสงครามมากเท่าหน่วยอื่น แต่เป็นหน่วยที่สร้างความปั่นป่วนได้มาก

น่าสนใจตรงวิธีการทำงานเนี่ยแหละครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น นอนเช้า วันที่ตอบ 2011-10-11 18:11:53 IP : 58.9.122.228


ความคิดเห็นที่ 5 (101863)
avatar
ผู้ชอบประวัตศาสตร์สงคราม

หาดูตอนที่1-13 ไม่มีให้อ่าน ช่วยลงอีกทีครับขอบคุณ

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ชอบประวัตศาสตร์สงคราม วันที่ตอบ 2011-10-16 18:47:34 IP : 113.53.217.194


ความคิดเห็นที่ 6 (101864)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

กรุณาดูที่กระทู้นี้ครับ http://www.iseehistory.com/index.php?lay=boardshow&ac=webboard_show&No=1318365&WBntype=1

เป็นสารบัญของบทความทุกชุด

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2011-10-17 09:11:47 IP : 203.114.104.114


ความคิดเห็นที่ 7 (101866)
avatar
ผู้ชอบประวัตศาสตร์สงคราม

อยากอ่านสงครามเกาหลีบ้างครับ หาอ่านยากมาก ขอบคุณ

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้ชอบประวัตศาสตร์สงคราม วันที่ตอบ 2011-10-18 19:10:43 IP : 113.53.174.23



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker