dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนสาม

         

  
 
 

            
          หนังสือเล่มนี้..The Nazi Officer's wife ที่ดิฉันได้นำมาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรเมื่อหลายปีก่อน..ต่อมาทางช่อง History Channel ได้นำไปถ่ายทำเป็นภาพยนตร์กึ่งสารคดี และเป็นการสัมภาษณ์จากปากคำของ
          Edith Hahn Beer ผู้เขียน (ก่อนจะถึงแก่อนิจกรรมในปี 2009 ) ซึ่งถ้าผู้สนใจสามารถกดไปชมได้ในยูทูบ http://youtu.be/W1iby_aPtag  หากแต่..ความละเมียดในเชิงอารมณ์นั้น อ่านจากหนังสือจะได้อรรถรสกว่า
          ดิฉันจึงนำมาเสนอให้อ่านรวมเข้าด้วยกันในภาคของเชลย..
            .....................................................


            บันทึกลับของคุณนายนาซี   


            เพียงไม่นานเท่าไหร่ หัวหอมก็หายวับไปจากตลาด  พวกเพื่อนพยาบาลของฉันที่ทำงานด้วยกันที่นี่ ที่สภากาชาดเมืองบรันเดนเบอร์ค  แอบเล่าให้ฟังว่า
            เพราะว่าท่านผู้นำฮิตเล่อร์ต้องระดมใช้หัวหอม
            เพื่อเอามาทำก๊าซพิษในการสงครามทำลายล้างครั้งนี้ .
            แต่ฉันว่า ณ.ตอนนี้ เดือนพฤษภาคม ๑๙๔๓ ยุคข้าวยากหมากแพงที่ใครต่อใครพากันอดอยากนี่ ชาวประชาคงไม่มีใครมีกะจิตกะใจที่จะเอาหัวหอมไปทำก๊าซพิษพ่นฆ่าใครต่อใคร เก็บเอาไว้กินซะยังจะดีกว่า

            ตอนนั้น..ฉันถูกรับหน้าที่ให้อยู่ประจำที่หน่วยคนใข้นักโทษต่างชาติ  หน้าที่ของฉันก็แค่ทำน้ำชาเข็นใส่รถไปแจกให้ทั่วตึก และพยายามทำสีหน้าให้เป็นมิตร
            พร้อมทั้งกล่าวคำทักทายสวัสดีตอนเช้าด้วยท่าทางที่แจ่มใส
            ในวันหนึ่ง ..เมื่อทำหน้าที่เสร็จ ฉันได้นำบรรดาถ้วยชาที่ใช้แล้ว กลับมาล้างทำความสะอาดในครัว พยาบาลอาวุโสที่กำลังแอบหั่นหัวหอมเพลินๆอยู่นั้นถึงกับชะงักมือ
            หล่อนเป็นภรรยานายทหารที่ย้ายมาจากฮัมเบอร์ค ชื่อว่า ไฮล์ดี้ ซึ่งเธอได้แก้ตัวเป็นพัลวันและมีพิรุธว่า กำลังหั่นเพื่อเป็นอาหารกลางวันของตัวเอง  
            ท่าทีของเธอหวาดหวั่น ด้วยเกรงว่า..ฉันอาจจับได้ว่าเธอกำลังพูดปด

            ซึ่งฉันก็ทำท่าใสซื่อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร  เดินไปทำหน้าที่ของตัวเองให้เรียบร้อย พร้อมทั้งนึกขำในใจว่า..
            ทำม๊ายย..ฉันจะไม่รู้ว่าคุณพยาบาลนั่น สู้อุตส่าห์ไปหาซื้อหัวหอมมาจากตลาดมืด ที่จะเอามันมาให้นักโทษรัสเซีย
            ที่ร่อแร่ได้ลิ้มรสในวันสุดท้ายก่อนตาย  
            ทั้งๆที่บทลงโทษของการหาซื้อหัวหอมมาไว้เป็นสมบัติ หรือ ของการผูกสัมพันธ์กับนักโทษรัสเซียนั้น  โทษถึงจำคุกสถานเดียว..
            คนที่ท้าทายกฏหมายบังคับของผู้นำนั้นมีไม่น้อย อย่างรายของพยาบาลอาวุโสนี้ก็นับว่าแปลกกว่าของคนอื่นๆ
            เพราะ คนอื่นๆในโรงพยาบาลแห่งนี้  ส่วนใหญ่เล่นวิธีกลับกันคือ ขโมยของกินสำหรับคนใข้เอากลับไปกินเองที่บ้าน  
            คุณคงเข้าใจนะว่า..พยาบาลในตอนนั้นไม่ใช่คนที่มีความรู้สูงส่งอะไรและมักมาจากครอบครัวจากแถบชนบทชาวไร่ทางปรัสเซียตะวันออก และการที่เลือกทางเดินมาเป็นพยาบาลนั้นเหมือนกับการหนีจากกลิ่นโคลนสาบวัวมาสู่งานที่แสนสบาย

            ผู้หญิงที่มาแทบทั้งหมดเติบโตมาในยุคนาซีครองเมือง ท่ามกลางกลิ่นไอของกระแสโปรประกันดา
            ซึ่งต่างก็เชื่อมั่นและคล้อยตามในการที่ตัวเองได้เกิดมาด้วยสายเลือดที่สูงส่ง และมีความเหนือกว่าชนชาติใดๆโลก
            นั่นคือ ความเป็น"อารยัน"  
            ฉะนั้น ไม่ว่า ฝรั่งเศส รัสเชียน ดัทช์ เบลเจียน หรือ โปล์ ก็ตาม คนพวกนี้"ต่ำต้อย"ที่น่าเหยียดหยามไปหมด  
            ยิ่งถ้าเป็นคนใข้เชลยด้วยแล้วละก้อ จะทำอะไรกับคนพวกนี้ก็ย่อมได้
            นับประสาอะไรกับอีแค่"ขโมย" อาหารของพวกมันไปกินที่บ้าน


            นับไปนับมาฉันว่า  ในเมือง บรันเดนเบอร์คของเราคงต้องมีเชลยสงครามมากกว่า หมื่นคน ที่แบ่งกระจายไปทำงานในโรงงานและอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น  โรงประกอบรถยนตร์โอเปิล,โรงประกอบเครื่องบิน อาราโดเป็นต้น
            และคนใข้ที่มารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นคือ พวกที่บาดเจ็บมาจากการทำงานกับเครื่องจักร ที่มีมาทุกรูปแบบ เช่น  มือเจ็บ.ถูกไฟลวก, โดนน้ำยาเคมี และคนเหล่านี้คือเชลยที่ถูกกวาดต้อนมา จากประเทศต่างๆที่แพ้ศึก

            พวกเขาต่างพลัดพรากมาจากพ่อแม่และครอบครัว ที่จิตใจต่างเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจนฉันเองไม่เคยกล้าที่จะมองจ้องลึกไปในดวงตาของเขาเหล่านั้น
            เพราะ..กลัว..กลัวเหลือเกินว่า จะเห็นความว้าเหว่..โหยหาอาดูร ของตัวเองที่สะท้อนกลับมา

            ในโรงพยาบาลเล็กๆของเราที่ต่างแยกแผนกไปตามเรือนต่างๆ  โรงอาหารพวกพยาบาลก็อยู่ในอาคารหนึ่ง  โรงซักผ้าก็อาคารหนึ่ง แผนกกระดูกก็แยกไปอีกอาคารหนึ่ง เช่นเดียวกับ โรคติดต่อ
            คนใข้ต่างชาติ ก็ต้องแยกคนละอาคารกับคนใข้เยอรมัน และ พวกคนใข้เชลยเหล่านี้ต้องอยู่รวมกันไม่ว่าจะเป็นโรคติดต่อร้ายแรงแค่ไหน  
            ครั้งหนึ่งมีคนใข้เชลยที่เป็นโรคใข้รากสาด โรคติดต่อที่ร้ายแรง(ในยุคนั้น)
            ที่ว่าสมุฏฐานนั้นมาจาก น้ำสกปรก ตัวพาหะสกปรก
            ซึ่งทำเอาแตกตื่นไปทั้งโรงพยาบาล เพราะต่างร้อนใจว่ามันเกิดขึ้นในประเทศที่มีน้ำจากลำธารใส การเป็นอยู่ที่แสนสะอาดและอาหารที่ถุกคัดเลือกสรรคุณภาพเป็นอย่างดีอย่างเยอรมันได้อย่างไร
            เหล่าพยาบาลต่างสรุปกันได้สั้นๆแค่ว่า..เพราะพวกเชลยต่างชาติต่างหากที่แสนสกปรกโสโครก  โดยไม่มีใครยอมรับความจริงสักนิดหนึ่งว่า..
            สภาพคุกนักโทษที่ถูกจองจำนั้น มันช่างเลวร้าย เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะอยู่ได้ต่างหาก..


            มาถึงตอนนี้ คุณคงเดาได้ว่า ฉันไม่ใช่พยาบาลเต็มขั้นอย่างคนอื่นๆเขา  แต่เป็นเพียงผู้ช่วยพยาบาลเท่านั้น ได้รับการฝึกหัดมาแค่การพยาบาลชั้นต้น
            เช่น การป้อนอาหารผู้ป่วย, เช็ดถูเครื่องใช้,ล้างกระโถน
            อย่างวันแรกของการทำงาน ที่ฉันต้องล้างกระโถนถึงยี่สิบเจ็ดใบ  และเมื่อเสร็จฉันก็ต้องล้างถุงมือยางที่ใช้ให้สะอาด เพราะมันเป็นถาวรวัตถุ ไม่ใช่ชนิดบางที่ใส่ครั้งเดียวทิ้งอย่างของที่ใช้ในปัจจุบัน
            ถุงมือที่ฉันใช้ในตอนนั้น มันเป็นยางชนิดหนา หนัก ก่อนใช้ต้องโรยแป้งข้างในก่อน  หรือบางทีต้องเอาผ้าชุบครีมเหลวๆพันมือเสียก่อนชั้นหนึ่ง เพื่อกันการปวดในข้อนิ้วมือ
            งานของฉันก็อยู่ในแวดวงประมาณนั้น ไม่ได้เป็นไปในทางรักษา พยาบาลตรงไหน  

            แต่..ครั้งหนึ่ง ฉันได้รับการร้องขอให้ไปเป็นผู้ช่วยในการถ่ายเลือดให้คนใข้ในวิธีโบราณ กล่าวคือ เราทำการเจาะเลือดจากคนใข้คนหนึ่งเอามาใส่ในกาละมัง และสูบขึ้นไปใส่ในหลอดเลือดของคนใข้อีกคนหนึ่ง
            หน้าที่ของฉันคือ คอยนั่งคนเลือดไม่ให้จับตัวกันเป็นก้อน ซึ่ง..ไม่นาน  ฉันต้องวิ่งออกไปอาเจียน
            เสียงบ่นไล่หลังมา ในครั้งนั้น ก็คือ " ดูรึ จะมาหวังอะไรกับ แม่เกรตเต้ นังเด็กหน้าโง่ออสเตรียนก็คงไม่ได้ ..นังนี่อย่างดีก็เป็นแค่คนใช้แค่นั้นแหละ ปล่อยให้มันไปป้อนพวกนิ้วด้วนต่อไปละกัน"

            ฉันเองก็สวดมนต์ภาวนาเสมอ ขออย่าให้มีคนใข้มาตายลงในขณะที่ทำงานอยู่เลย..พระเจ้าท่านก็คงรับฟังนะ เพราะ คนใข้มักรอให้ฉันออกจากเวรก่อน แล้วค่อยตาย..
            และสำหรับคนใข้แล้ว ฉันพยายามอย่างยิ่งที่จะทำดีด้วย เช่นพูดฝรั่งเศส กับพวกที่มาจากฝรั่งเศส เพื่อให้เขาคลายความคิดถึงบ้านไปได้บ้าง
            บางที..บางที ฉันอาจะเป็นคนที่ยิ้มง่ายจนเกินไปกระมัง..
            วันหนึ่ง ในเดือน สิงหาคม หัวหน้าพยาบาลมาบอกว่า  ฉันจะต้องถูกย้ายไปแผนกสูตินารี
            เพราะ ท่าทางที่เป็นกันเอง ยิ้มแย้มกับคนใข้เชลยนั้น ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง..
            นี่คือสิ่งที่ฉันได้ทราบว่า  การสอดแนมหลายชั้นหลายเชิงนั้นมีอยู่ทั่วไปภายในโรงพยาบาล  
            ดังนั้น รายของคุณพยาบาลอาวุโสที่แอบเอาหัวหอมมาปอก(ให้คนใข้เชลย) ก็น่าจะกริ่งเกรง หวาดผวา
            แม้ว่าเบื้องหน้าที่เห็น..ฉันจะเป็นแค่ มาร์กาเรตเต้  หรือที่ใครๆเรียกสั้นๆว่า เกรตเต้  สาววัยยี่สิบไร้การศึกษาจากออสเตรีย  แต่ใครเล่าจะมาเดาได้ว่าเบื้องหลัง ฉันจะไม่ใช่สายลับของเกสตาโป หรือ หน่วย เอสเอส !!




            ( หมายเหตุ  หัวหอมคือ โภชนปัจจัยสำคัญสำหรับชนชาติยุโรป โดยเฉพาะรัสเชียนที่บริโภคหัวหอมอันเป็นส่วนประกอบในอาหารทุกชนิด  รัสเซียขาดหัวหอม ก็เหมือน
            ส้มตำขาดมะละกอ..วิวันดา)

         
            ต้นฤดูใบไม้ร่วง 1943  หลังจากที่ถูกย้ายมาแผนนกสูติฯไม่นานนัก  คนใข้นักอุตสาหกรรมชื่อดัง  ถูกส่งมาที่โรงพยาบาลโดยรถฉุกเฉิน นัยว่า มาจากกรุงเบอร์ลิน ด้วยอาการแรกเริ่มของหัวใจวาย
            เพราะในตอนนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาหย่อนลูกระเบิดในเบอร์ลินแทบทุกวันตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา  
            คนใข้บรรดาศักดิ์คนนี้ถูกย้ายมาเพราะต้องการที่จะรักษาตัวในที่เงียบสงบ ครอบครัวเขาจึงส่งมาที่นี่
            ที่บรันเดนเบอร์ค ยังไม่มีการรบกวนทางอากาศแต่อย่างใด โรงพยาบาลเองก็ไม่เคยเตรียมพร้อมในด้านเครื่องไม้เครื่องมือฉุกเฉินมากไปกว่าจำเป็น.. นอกเหนือไปจากการรักษาพยาบาลแบบทั่วๆไป
            และ เนื่องจากฉันจัดว่ามีอาวุโสน้อยสุด และ ไม่ได้มีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง จึงถูกเรียกให้มารับใช้เขาคนนี้ โดยเฉพาะ
            งานนี้ไม่ใช่หมู เพราะ คนใข้มีอาการกึ่งอัมพาต ที่ต้องช่วยพยุงไปห้องส้วม ต้องป้อนอาหารให้ทุกมื้อ  ต้องเช็ดและพลิกตัวกลับไป-มาบ่อยๆ  
            นอกเหนือไปจากการที่ต้องช่วยนวดเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เริ่มหมดสมรรถภาพ

            ฉันไม่ได้เล่าเรื่องคนใข้"พิเศษ" ของฉันคนนี้ให้ เวอร์เน่อร์ ผู้เป็นคู่หมั้นฟัง. เพราะไม่อยากให้เขาเริ่มเพ้อเจ้อวาดวิมานไปตามนิสัยที่รู้ๆกันอยู่ ว่าทะเยอทะยานอยากเด่นอยากดังนัก  
            เวอร์เน่อร์หวังเสมอที่จะผลักดันตัวเองให้
            เข้าสู่สังคมวงใน จากประสบการณ์ความเป็นไปของบ้านเมืองได้สอนเขาว่า คนในอาณาจักร์ไรค์ที่ได้ดิบได้ดีนั้น
            หาใช่ว่า เพราะมีฝีมือหรือความสามารถเหนือมนุษย์อย่างใดไม่   หากแต่เป็นเพราะพวกเขามีผู้หนุนหลังเป็นเส้นสายให้ต่างหาก

            เวอร์เน่อร์ เป็นช่างทาสี ที่มีความสามารถ เพราะก่อนที่นาซีจะครองเมืองนั้น  เขาเป็นแค่คนพเนจร ร่อนเร่  หน้าฝนก็ไปอาศัยหลบนอนอยู่ในป่า  แต่เมื่อมาถึงยุคของนาซี เขาก็เข้าร่วมพรรคและร่วมอุดมการณ์ จนได้ไต่เต้ามาเป็นหัวหน้าแผนกทาสี ใน โรงประกอบเครื่องบิน อาราโด ที่มีลูกน้องเป็นเชลยต่างชาติมากมาย อนาคตของเขาที่เห็นๆก็ไม่ขี้แหร่มากนัก
            แต่เวอร์เน่อร ์หาได้หวังจะหยุดแค่นั้นไม่..เขาใขว่คว้าหาโอกาสที่จะก้าวขึ้นสูงกว่าเสมอ  
            ฉะนั้น เรื่องที่มาที่ไปของคนใข้สำคัญคนนี้  ฉันจึงพยายามให้เขารู้น้อยที่สุด..

           

            ยามที่มีช่อดอกไม้จากพณ.ท่าน อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกรมพัฒนาอาวุธและสงครามส่งมาให้คนใข้คนพิเศษคนนี้ ทำให้ได้รู้ว่า ทำไมพยาบาลคนอื่นๆจึงได้ต่างรีบมอบหมายงานดูแลรับใช้มาให้ฉันอย่างไม่มีเกี่ยงงอน
            เพราะต่างก็เกรงว่าจะทำการไม่ถูกใจท่านผู้สำคัญ
            ถ้าหากเกิด..ทำกระโถนตก หรือ ทำแก้วน้ำหก  อาจสร้างความโมโหโกรธา
            หรือ ถ้าฉันเกิดเช็ดตัวให้ท่านแรงไป  พลิกตัวให้เร็วไป ป้อนซุปให้ร้อนไป เย็นไป เค็มไป
            หรือ..โอย พระเจ้าช่วย.. ถ้าท่านเกิดหัวใจวาย หรือ ตายไปขณะที่ฉันกำลังปฏิบัติงานรับใช้อยู่  เห็นทีจะแย่..

            แต่แทนที่จะมานั่งคิดถึงเรื่องร้ายๆที่พึงจะเกิดนั้น  ฉันมาตั้งสติคิดและพยายามบรรจงทำงานออกมาให้เป็นผลดีที่สุด
            จนท่านคนนั้นถูกอกถูกใจ ถึงกับชมเปาะในขณะที่ฉันเช็ดตัวให้ว่า
            "คุณเป็นนคนที่ทำงานยอดเยี่ยมมาก คุณพยาบาล
            มาร์กาเรตเต้  เก่งมากนะ..สำหรับเด็กอย่างคุณ"
            "มิได้ค่ะ..ดิฉันไม่ได้ชำนาญอะไร..เพิ่งออกจากโรงเรียน ทำไปตามที่เขาสอนมา"
            "คณไม่เคยดูแลคนใข้ที่เป็นอัมพาตมาก่อนเลยหรือ?"
            "ไม่เคยเลยค่ะ"
            "เหลือเชื่อจริงๆ"
            จากนั้นมา ท่านก็ดีวันดีคืน สุ้มเสียงเริ่มใส..ไม่สั่นเครืออย่างแต่ก่อน เพราะกำลังใจที่ดีเยี่ยม  ในขณะที่ฉันกำลังนวดเท้าให้นั้น  ท่านชวนคุยว่า
            "ไหน คุณพยาบาล ลองเล่ามาให้ฟังซิ ว่า คนในบรันเดนเบอร์คคิดอย่างไรกับสงครามครั้งนี้"
            "ดิฉันไม่ทราบค่ะ"
            "แต่..ก็ต้องผ่านเข้าหูบ้างละน่า  ผมอยากรู้ว่าชาวบ้านชาวช่องเขามีความเห็นอย่างไร อย่างเรื่องส่วนสัดการแบ่งปันอาหารและเนื้อสัตว์"
            "ทุกคนก็พอใจนี่คะ"
            "แล้วเรื่องข่าวจากอิตาลีล่ะ"
            ฉันไม่แน่ใจว่าสมควรจะตอบอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะ ใครๆก็รู้ว่า สงครามที่อิตาลี สัมพันธมิตรกำลังมีชัยเหนืออักษะ แต่จะให้ตอบไปตรงๆใครเล่าจะกล้า จึงเลี่ยงออกไปว่า
            "เราเชื่อค่ะท่าน ว่า อังกฤษจะต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด"
            "แล้ว คุณรู้จักไหมว่าใครมีแฟนที่กำลังอยู่ในแนวหน้าด้านรัสเซียบ้าง  พวกทหารพวกนั้นได้เขียนนจดหมายมาถึงหรือไม่?"
            "พวกทหารพวกนั้นมักไม่เล่าเรื่องการศึกหรอกค่ะ พวกเขาเกรงว่าแนวหลังจะเป็นกังวลโดยใช่เหตุ หรือ จดหมายอาจตกอยู่ในมือของข้าศึกทำให้เสียแผนไปได้ค่ะ"
            "คุณเคยได้ยินไหมว่า พวกรัสเชี่ยน มันเป็นพวกมนุษย์กินคน มันกินกระทั่งลูกหลานที่เป็นเด็กๆ"
            "ได้ยินค่ะ"
            "เชื่อไหม?"
            "บางคนก็เชื่อค่ะ แต่ดิฉันว่า ถ้าชาวรัสเชี่ยนกินลูกหลานของตัวเองแล้ว ไฉนเลย จึงได้มีประชากรมากมายล้นทวีปอย่างนั้นล่ะคะ"
            คำตอบนี้..ท่านถึงกับหัวเราะออกมา ด้วยท่าทีที่อบอุ่น และอ่อนโยน แววตาเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้ฉันนอดไม่ได้ที่จะคิดถึงญาติผู้ใหญ่ ผู้ซึ่งเป็นอัมพาตที่ฉันเคยได้เฝ้าดูแลรักษาอยู่หลายปี..
            ในชีวิตอีก"มิติ"หนึ่งของความเป็น"ฉัน"คนนี้ !!


            อาการเกร็งที่เคยมี เริ่มผ่อนคลายลง เมื่อเห็นท่านมีอารมณ์ดี และอยากสนทนา
            "คุณพยาบาล คุณคิดว่า..ท่านผู้นำจะทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนมีความสุข หือ?"
            "คู่หมั้นของดิฉันได้บอกว่า ท่านผู้นำท่านรักประเทศชาติราวกับคู่ชีวิต และด้วยเหตุนี้เองกระมังที่ท่านถึงไม่แต่งงาน และท่านคงต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเรามีความสุขอย่างแน่นอน และถ้าท่านมีโอกาสได้พบกับท่านผู้นำ ช่วยกราบเรียนท่านว่า กรุณาส่งหัวหอมมาให้พวกเราบ้าง"

            ท่านถึงกับหัวเราะด้วยความขบขันต่อคำตอบที่ได้รับ..
            "คุณนี่ คือโอสถอันวิเศษเชียวนะ มาร์กาเรตเต้  พูดซื่อๆ ใจดี  แสนเป็นธรรมชาติของหญิงชาวเยอรมัน  ไหนบอกมาซิ ว่าคู่หมั้นของเธออยู่แนวหน้ารัสเซียหรือเปล่า?"
            "ยังค่ะท่าน เขาทำงานสร้างเครื่องบินให้กับกองทัพอากาศของเรา"
            "ดีจัง..พวกลูกชายของผมก็เก่งนะ เขาเป็นทหาร" ว่าพลาง ท่านก็หยิบรูปของชายหนุ่มสองสามใบที่หน้าตาคล้ายๆกันในชุดยูนิฟอร์มมาอวด เขาเหล่านั้น ท่าทางกำลังรุ่งเรืองในตำแหน่งหน้าที่การงาน
            ท่านมีทีท่าภูมิอกภูมิใจอย่างเอกอุ  
            ฉันเผลอตัวหลุดปากไปว่า..
            "คำพังเพยโบราณได้กล่าวไว้ว่า..ไม่ยากที่จะเป็นพระราชาคณะ ตราบใดที่มีญาติเป็นพระสังฆราช"
            ท่านชะงักไปชั่วครู่ และหันมาจ้องฉันอย่างสำรวจตรวจตราจริงจัง  กล่าวว่า
            "คุณนี่ไม่ธรรมดาเลย..ฉลาดมาก เรียนหนังสือที่ไหน?"
            ลำใส้ในท้องฉันเริ่มปั่นป่วน..คอหอยแห้งผาก  ฝืนใจตอบไปว่า
            "เป็นคำพูดที่ยายเคยพูดเสมอค่ะ" พลางพลิกตัวท่านลงเพื่อที่จะเช็ดหลัง..รีบกล่าวแก้เกี้ยวว่า..
            "เป็นข้อความที่จำๆผู้ใหญ่ที่บ้านมาพูดน่ะค่ะ"
            "งั้นตอนที่ผมกลับไปเบอร์ลิน จะขอเธอไปเป็นพยาบาลส่วนตัวนะ จะพูดกับเจ้านายเธอเอง"
            "โอ..นับว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่งค่ะ แต่ ดิฉันกับคู่หมั้นตั้งใจจะแต่งงานกันในเร็วๆนี้  คงจากไปไหนไม่ได้หรอกค่ะ  ขอบพระคุณค่ะ..ขอบพระคุณจริงๆที่ท่านกรุณา
            ให้เกียรติ ..แต่จนใจจริงๆค่ะ"


            เมื่อเสร็จสิ้นการเข้าเวร..ฉันกล่าวราตรีสวัสดิ์กับท่าน
            ออกจากห้องด้วยอาการขาสั่นและอารมณ์ที่หวั่นไหว..
            เหงื่อออกมาท่วมตัวจนเปียกโชกไปหมด
            ฉันอ้างกับเพื่อนร่วมงานที่มาแทนเวรว่า
            เป็นเพราะต้องให้การนนวดบำบัด อีกทั้งพลิกคนใข้ไปมา ซึ่งไม่ใช่งานง่ายๆ  
            แต่ความจริงนั้นคือ ฉันเกือบหลุดความลับที่เปรียบเสมือนความเป็นความตายออกไปโดยไม่รู้ตัว..
            คำคม และ วี่แววของการฉลาดพูด ฉลาดเปรียบเปรยที่เล็ดรอดออกไปเพียงนิดเดียว  อาจทำให้เป็นที่สังเกตได้ ว่า
            ฉันไม่ใช่เด็กสาวออสเตรียธรรมดา ไร้การศึกษาอย่างที่ใครๆคิด
            ตลอดทางที่เดินกลับไปยังที่พักในบริเวณโรงงาน อาราโด ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออกของเมืองนั้น  ฉันต้องให้คำมั่นตั้งสัตยปฏิญาณกับตัวเองเป็นครั้งที่ล้านๆว่าต่อไปนี้จะระวังตัวให้มากกว่านี้
            จะเปิดตาให้กว้างขึ้น และปิดปากให้พูดน้อยลง ...

            (ในสมัยนั้น คำเปรียบเปรยชนิดว่า It's easy to be a cardinal, when your cousin is the pope  นั้น ผู้ที่ใช้เป็น..มักเป็นพวกชนชั้นมันสมอง จึงเป็นเรื่องแปลกที่
            ผู้ช่วยพยาบาลสาวบ้านนอกจากออสเตรียจะนำมาใช้  มันหรูหราไปค่ะ..วิวันดา)

        
            เดือนตุลาคม 1943  ในงานเดินพาเหรดของเทศบาลเมือง
            บรันเดนเบอร์คที่กำลังจะจัดขึ้นนั้น
            กลุ่มแรงงานแต่ละกลุ่มต้องส่งตัวแทนไปร่วมในการเดิน  คณะพยาบาลแห่งสภากาชาดได้ลงมติเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะส่งฉันไป เพราะท่าทีของแต่ละคนนั้น
            ไม่มีความกระตือรือล้นที่จะร่วมต่อกิจกรรมในครั้งนี้แต่อย่างใด..
            อาจเป็นเพราะว่า พวกเขารู้เรื่องข่าวสงครามที่กองทัพเยอรมันกำลังย่อยยับทั้งในรัสเซีย,อาฟริกาเหนือ,
            และ อิตาลี  
            อาจเป็นเพราะไปแอบฟังวิทยุข่าวจากต่างประเทศเช่น..BBC  หรือ เสียงอเมริกา หรือ
            เบอรอนมุนสเตอร์ ของสวิส..กันตอนไหนก็ไม่รู้ได้
            เพราะการฟังข่าวจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่สถานีวิทยุเยอรมัน
            (ที่ออกข่าวแต่ชัยชนะ) นั้น..มีความผิดขั้นเป็นกบฏต่อชาติทีเดียวเชียว..
            เวอร์เน่อร์ ภาคภูมิใจในตัวฉันมาก ที่ได้รับการเลือกไปร่วมเดินครั้งนี้ เขาถึงกับคุยโวไปทั่วโรงงาน ว่า
            "ไม่ต้องเป็นที่สงสัยเลยที่เกรตเต้ของฉันได้เป็นตัวแทน  เพราะเธอมีเลือดรักชาติอย่างเต็มเปี่ยม"  เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่ฉันรู้สึกสะดุ้งนิดๆ เพราะมันตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงของฉันอย่างที่สุด

            วันงาน..ฉันแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ด้วยเครื่องแบบของสภากาชาด ผมสีน้ำตาลถูกหวีเก็บเรียบ ไม่มีการใช้กิ๊บติดผม ไม่มีการม้วน ไม่มีการใช้น้ำมัน
            รวมไปถึงการไม่ใช้เครื่องสำอาง ไม่ใช้เครื่องประดับ นอกจากแหวนทองเล็กๆที่มีเพชรซีกฝังติดอยู่ อันเป็นของขวัญวันเกิดในครบรอบ 16 ปี ที่ได้รับจากพ่อ

            ด้วยความที่เป็นเป็นหญิงร่างเล็ก สูงไม่เกินห้าฟุต  จึงดูแน่งน้อยอรชร
            แต่กระนั้น ในยามปรกติฉันมักพรางรูปทรงด้วยการใส่ถุงน่องแบบหนาที่ใหญ่กว่าขนาดตัว และคาดด้วยผ้ากันเปื้อนอย่างหลวมๆทับบนเครื่องแบบอีกที..
            เพราะมันไม่ใช่เวลาที่จะทำตัวให้โดดเด่น สวยงามให้เป็นที่สังเกตุ  ขอแค่ดูดี  สะอาดสะอ้าน
            เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  ต้องมีชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ให้เป็นที่สนใจจากใครๆ

           

            การเดินพาเหรดในครั้งนั้น..ช่างต่างกับครั้งไหนๆอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีเสียงรัวของกลอง ไม่มีการให้จังหวะก้าว
            ไม่มีเด็กๆในชุดเครื่องแบบสวยๆมาโบกธงในริ้วขบวน

            จุดประสงค์ในการจัดขบวนพาเหรดครั้งนี้ เพียงเพื่อ กระตุ้นและฟื้นฟูขวัญและกำลังใจของประชาชนที่สูญเสียไปการพ่ายแพ้ของเยอรมันในสงครามสตาลินกราด เมื่อฤดูหนาวที่ผ่านมาให้กลับมาดีขึ้น
            อันเป็นความคิดของ ไฮน์ดริช ฮิมเม่อร์  ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง รัฐมนตรีมหาดไทยหมาดๆเมื่อเดือน สิงหานี้เอง  พร้อมกับคำขวัญตอกย้ำที่ประชาชนต้องจำให้ขึ้นใจว่า
            "ความสามัคคี..ขวัญและกำลังใจ(ของประชาชน)ที่เข้มแข็ง คือ ที่มาของชัยชนะ"  
            ยิ่งประกาศปาวๆออกไปมากเท่าไหร่ ประชาชนก็ต้องทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น
            ข้อความที่ป่าวประกาศให้ทราบถึงว่า..
            ถ้าเยอรมันแพ้สงคราม นั่นหมายถึง ความล่มจม ความวิบัติ
            ความลำบากยากแค้นแสนเข็ญของประเทศชาติยุคภาวะขาดแคลนปี  1929  จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
            หรือถ้าเกิดนึกเบื่อหน่ายไอ้สตูว์เละๆที่ต้องกินทุกวัน ตามนโยบายประหยัดของด๊อกเตอร์ โจเซฟ เกิบเบิ้ลส์ละก้อ..
            ขอให้นึกถึงว่า ถ้าเราชนะสงครามเมื่อไหร่ ประชาชนทุกคนจะมีชีวิตอยู่อย่างพระราชา..ได้ลิ้มรสของกาแฟแท้ๆ  ขนมปังอร่อยๆที่ทำจากแป้งและใข่สด
            แต่ก่อนอื่น ทุกคนต้องทำงานอย่างแข็งขัน อีกทั้ง..ต้องเป็นหูเป็นตามในการสอดส่อง แจ้งเบาะแสของคนที่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล
            โดยเฉพาะต้องคอยเงี่ยหูฟังว่าบ้านไหนบังอาจเปิดวิทยุฟังสถานีข้าศึก ..
            ส่วนข่าวเรื่องเยอรมันแพ้สงครามที่อิตาลีและอาฟริกาเหนือนั้น..
            รัฐบาลรีบออกมาแถลงอย่างมีพิรุธว่า..ไม่เป็นความจริง..เป็นข่าวกุขึ้นมาทั้งสิ้น

            แต่ คณะนาซี หรือที่ใครๆให้สมญาว่า ผู้ครองโลก นั้น เริ่มส่อแววสั่นระส่ำระสาย จนฉันอดยินดีปรีดาไม่ได้ พร้อมทั้งภาวนาในใจขอให้มันเป็นความจริงเถิด สาธุ
            แต่แล้วก็ต้องรีบสะกดใจห้ามอาการลิงโลดนั้นให้ราบเรียบ..พร้อมบอกกับตัวเองว่า..
            นิ่ง..นิ่ง..นิ่งไว้ก่อน  มันยังไม่ถึงเวลา..!!

           

            คืนนั้น ฉันและเวอร์เน่อร์ แอบหมุนคลื่นวิทยุไปที่สถานี BBC  โดยภาวนาในใจขอให้ได้ยินข่าวเยอรมันเพลี่ยงพล้ำต่อสัมพันธมิตรด้วยเถิด เจ้าพระคุณเอ๋ย สงครามจะได้จบๆเสียที..
            เพราะสำหรับฉันแล้ว มันเหมือนกับการปลดปล่อยชีวิตสู่อิสรภาพจากการเสแสร้งที่ทำอยู่เสียที
            คนที่ไม่รู้"ความนัย" เลย นั่นคือเวอร์เน่อร์
            ซึ่งฉันไม่เคยปริปากเล่าให้ฟังแม้แต่นิดถึง"เนื้อใน" ความเป็นมาของตัวฉันที่มองจากภายนอกคือ
            หญิงร่างเล็กที่พูดด้วยเสียงอ่อนๆ  ขี้เกรงใจคน  ขี้อาย
            นี่คือสิ่งที่ฉันได้ใช้เป็นเกราะปราการป้องกันตัวมาโดยตลอด โดยไม่เคยปริปากบอกใครเลยว่า..

            ฉันนี่แหละ คือ หญิงยิวเดนตายที่หลบหนีการถูกสังหารจากค่ายนรก ฝ่าฟันมาจนได้มาอยู่ท่ามกลางชาวอารยันในมหาอาณาจักรไรคซ์

            หลายปีต่อมาฉันได้ พบรักและแต่งงานกับ เฟรด เบียร์ และได้มาอาศัยพำนักอยู่ที่ประเทศอังกฤษ  เกราะหุ้มตัวนั้นได้ถูกถอดออก..ฉันก็ได้ใช้ชีวิตอย่างปรกติธรรมดาอีกครั้ง
            แต่เมื่อเฟรดได้จากไปอย่างชั่วนิรันดรแล้วนั้น..
            ความอ้างว้าง โดดเดี่ยว  ความชราและความหลังเก่าๆเริ่มมาเยือน..ฉันจึงนำเกราะนั่นมาสวมใส่อีกครั้ง

            ที่นี่..ที่ร้านกาแฟร้านโปรดกลางกรุง Netanya ใกล้ทะเลของฝั่งประเทศอิสราเอล ที่ฉันกำลังนั่งคุยกับคุณอยู่นี่..
            ปรกติคนคุ้นเคยผ่านไปมามักหยุดทักทายว่า
            "ไหน  คุณนายกิเวเร็ต เบียร์ เล่าเรื่องครั้งกระโน้นให้ฟังหน่อยซิ สมัยที่คุณแกล้งทำตัวเป็นชาวอารยัน จนเข้าไปอยู่กับพวกนาซี แล้วกลัวเขาจับได้น่ะ "
            ฉันมักทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ ทอดสายตาเลื่อนลอย เหม่อมองไปอย่างไร้จุดหมาย ตอบด้วยเสียงทอดอ่อนว่า..
            "โอ..ไม่รู้ซิ  ฉันจำอะไรไม่ได้เลย"
            เสียงนั้น ..ฉันจำได้ดีว่า  ครั้งหนึ่ง..มันเคยเป็นเสียงของฉันเมื่อครั้งที่อยู่ในบรันเดนเบอร์ค ในคราบของผู้ช่วยพยาบาลสาววัย  21 ปี
            ทั้งๆที่ที่จริงแล้ว..ฉันคือ สาวยิว..นักศึกษากฏหมายในมหาวิทยาลัยวัยยี่สิบเก้าที่หลบหนีหมายจับของเกสตาโปอย่างสุดชีวิต
            แต่เอาละ..มันสมควรแก่เวลาแล้วละนะ..ฉันจะเล่าให้คุณฟัง.. ถ้าเสียงฉันจะแผ่วหรือขาดหายไปบ้าง..ช่วยเตือนหน่อยนะ..เพราะเหตุการณ์มันก็ล่วงเลยมากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว !!

   

            เมื่อครั้งยังเป็นเด็กนักเรียนในเวียนนา  
            ยามที่ได้ไปนั่งรับแสงแดดอ่อนๆคุยกับใครต่อใคร ได้จิบกาแฟและขนมเค๊กอร่อยๆในร้าน
            มันช่างมีความสุขจนเหมือนว่าว่าโลกทั้งใบเป็นของเราแต่ผู้เดียว  ฉันมักเดินกลับจากโรงเรียน ผ่านตึก Josefsplatz และ Michaelerplaz ที่สวยงามตระการตา
            บางครั้งก็แวะวิ่งเล่นในสวนสาธารณะ หรือไม่ก็หยุดชื่นชมพวกคุณนายที่แต่งตัวกันโก้เก๋ สวมหมวกทรงเรียว ถุงน่องไหม พวกผู้ชายก็เดินอย่างสง่าผ่าเผยควงไม้เท้า
            เล่นในมือ  นาฬิกาพกพร้อมสายห้อยตุ๊กติ๊ก

            แต่อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนงานก่อสร้างที่มาจากบ้านนอกกำลังโบกปูนทาสีหน้าตึกอย่างชำนาญและว่องไว
            ร้านค้าในตลาดก็อัดแน่นไปด้วยผลไม้แปลกๆที่ถูกนำเข้ามา  ไหนจะแก้วเจียรไนเนื้อดี...  ไหมจะผ้าไหมสีสดสวย
            สิ่งประดิษฐใหม่ๆได้ประดังเกิดขึ้นมาในสมัยของฉันนี่เอง
            อย่างวันหนึ่ง ที่ฉันต้องเบียดเสียดผู้คนเพื่อที่จะได้ยื่นหน้าเข้าไปดูหน้าต่างของห้าง
            ได้เห็นพนักงานสาวแต่งตัวในชุดแม่บ้าน ในมือเธอกำลังสาธิตการใช้เครื่องยนตร์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า"ฮูเว่อร์"  
            เธอคนนั้นกวาดฝุ่นมากองรวมให้เห็น
            และเปิดเครื่องที่ว่า..ฝุ่นกองนั้นหายวับไปราวกับเนรมิต..มหัศจรรย์เหลือเกิน  
            ฉันอุทานขึ้นมาอย่างตื่นเต้นต่อสิ่งที่ได้เห็น...ก่อนที่จะรีบวิ่งแจ้นนำข่าวนี้ไปกระจายให้เพื่อนๆที่โรงเรียนให้รู้กันให้เป็นที่เอิกเกริก

            พออายุได้สิบขวบ ฉันก็ได้ร่วมยืนเข้าแถวเพื่อที่จะรอพบกับสิ่งประดิษฐ์อีกชนิดหนึ่งที่หน้าสำนักงานของนิตยสาร Die Buhne
            เมื่อถึงคิวของฉัน เขาพาไปนั่งที่เก้าอี้ ที่ข้างหน้ามีกล่องไม้ขนาดใหญ่  พนักงานสาวได้นำหูฟังมาครอบศรีษะให้
            กล่องนั้นเริ่มทำงาน..หูฉันได้ยินเสียงแว่ว แว่ว..เข้ามา..มันเป็นเสียงไพเราะของเพลง  
            สิ่งประดิษฐ์ใหม่ล้ำยุคในกล่องไม้..มันคือ...สิ่งที่ถูกเรียกว่า..วิทยุ  
            คราวนี้ก็อีก..ที่ฉันรีบแจ้นไปเล่าให้พ่อและทุกคนฟังที่ร้าน  แม่น้องสาวคนรองไม้เบื่อไม้เมาที่อายุห่างกันปีเดียว.. มิมี..ไม่ได้สนใจที่จะฟัง
            ส่วนน้องสาวคนเล็ก โจฮันน่า หรือ ที่เราเรียกว่า ฮันซี่ ก็ยังเล็กเกินไปกว่าจะเข้าใจ พอกับแม่ก็มัวแต่ง่วนอยู่กับงานจนไม่ได้มีโอกาสเล่า
            แต่ฉันรู้อยู่แก่ใจดีว่า นี่คือสิ่งที่จะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต เปรียบได้ราวพระเจ้า...นั่นคือปี 1924 ที่วิทยุได้ออกมาปรากฏต่อสายตาของชาวยุโรป
            และอีกต่อไปล่ะ..มันจะมีอยู่ทั่วไปในโลก..การส่งสาสน์จะมีถึงกันทั่ว

            ฉันได้ไปคุยให้ศาสตราจารย์ สปิตเซ่อร์ อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแห่งเทคโนโลยี ที่เป็นลูกค้าประจำของร้านในเรื่องนี้ ว่า
            "คิดดูซิคะ ว่าคนพูดอาจอยู่ส่วนไหนไกลๆของโลก  แต่อาจารย์ขา เสียงของเขาชัดแจ๋วเลยค่ะ มันล่องลอยมาในอากาศราวกับเสียงนก อีกหน่อยนะคะ..เราจะได้ยินเสียงของคนทั้งโลก"

            
            หรือเรื่องข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่พ่อมาจัดวางไว้ให้ลูกค้านั้น..ถูกฉันเก็บอ่านจนหมด  
            แต่ส่วนใหญ่ที่สนใจก็คือ
            เรื่องกฏหมายหรือคดีความต่างๆ ซึ่งบางคดีก็ยุ่งเหยิงจนเป็นปริศนาที่ซับซ้อน
            แต่ฉันก็ยังชอบที่จะตระเวณไปรอบๆเวียนนา เอาเรื่องที่ได้อ่านได้พบได้เห็น  ไปคุยหรือถกกับเพื่อนที่มีความเห็นต่างๆกันไป
            ที่โปรดของฉัน คือโรงเรียน...ที่มีแต่หญิงล้วน เพราะพ่อไม่ชอบเรื่องการเรียนแบบสหศึกษา
            แต่ฉันก็จัดได้ว่าเป็นเด็กเรียนดี ซึ่งผิดกันกับ  ยัยมิมี..แม่น้องสาว
            เราถูกสอนให้จำไว้ว่า ฝรั่งเศสคือ ศัตรูตัวสำคัญ  อิตาลีคือ พวกทรยศ  และที่ออสเตรียต้องพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งนั้น เป็นเพราะเราถูก"แทงข้างหลัง"
            แต่..ขอบอกตรงๆนะ จนป่านนี้ฉันยังไม่รู้ว่า..ใครคนไหนที่เป็นคนแทงเรา ??

            หลายต่อหลายครั้ง ที่ครูพยายามแอบถามว่า ที่บ้านเรา..พูดภาษาอะไรกัน?  เพราะนั่นคือวิธีการตรวจสอบแบบเลียบเคียง เพื่อที่จะรู้ว่า เราได้ใช้ภาษายิดดิช
            (ที่เราไม่ได้พูด) หรือเปล่า..
            อันเป็นผลที่จะได้แน่ใจว่า เราเป็นยิว (อันนี้เราเป็นจริงๆ)
            พวกเขาอยากรู้ เพราะอะไรรู้ไหม..เพราะว่าพวกเขากลัว
            กลัวว่าจะถูกหลอก เพราะท่าทางของเรา หน้าตาของเรา ไม่มีบ่งบอกว่าสักนิดว่าเป็น"ยิว"
            มิหนำซ้ำยังออกแวว"อารยัน" อย่างเต็มเปี่ยม  
            นั่นคือยุค 1920's ที่คนยังไม่วายรังแครังคัดเรื่องเชื้อชาติเผ่าพันธ์  
            และยังสนใจอยากรู้ว่าใครเป็นพวกไหน... ยิว หรือไม่ยิว..

           

            ศ. สปิตเซ่อร์ ได้มาคุยกับพ่อในวันหนึ่งว่า  คิดวางแผนการต่อไปในอนาคตของฉันอย่างไร?
            พ่อตอบว่า ให้เรียนจบชั้นมัธยมและออกมาเรียนตัดเย็บ เป็นช่างเย็บเสื้ออย่างแม่..
            "แต่เด็กคนนี้ฉลาดมากนะ คุณฮาห์น คุณต้องส่งเธอไปเรียนมัธยมปลาย อาจต่อด้วยมหาวิทยาลัย"
            พ่อหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ เพราะว่าฉันเป็นผู้หญิง..ที่ไม่มีใครเขาส่งเสียกันให้เรียนสูงๆ ลองถ้าฉันเป็นผู้ชายละก้อ พ่อยอมแม้กระทั่งเป็นขอทานเพื่อที่จะให้ได้เรียนจนถึงที่สุด
            แต่ในฐานะที่คนระดับศาสตราจารย์มาพูดทั้งที พ่อก็เลยแบ่งรับแบ่งสู้  ขอลองมาปรึกษากับแม่ก่อน

            พ่อ..ลีโอโปลด์ ฮาห์น ผู้มีผมสีดำสนิท หนวดเรียบกริบ  เป็นคนคล่องแคล่ว อารมณ์ขัน เหมาะสมกับการเป็นเจ้าของร้านอาหาร
            พ่อเป็นน้องชายคนสุดท้องของพี่ชายหกคน  ซึ่งกว่าจะเรียนถึงมัธยมปลาย..ทางบ้านก็หมดทุน แต่กระนั้นพ่อก็หันไปเอาดีด้านอื่น โดยไปเรียนการเป็น"บริกร"อยู่หลายปี.

            แทบไม่น่าเชื่อเลยนะ ที่จะบอกว่า ในสมัยก่อนนั้น คนที่จะเป็นบริกรได้จะต้องผ่านการเรียนและฝึกหัดอย่างช่ำชอง
            คนอย่างพ่อ..ถูกฝึกมาให้เป็นนักฟังที่ดี  จนใครต่อใครวางใจที่จะเล่าเรื่องราวส่วนตัวให้ฟัง  อาจเป็นเพราะผ่านโลกมามาก เข้าใจชีวิต
            จากประสบการณ์พ่อเคยทำงานที่ริเวียร่า  นอกเหนือไปจากการท่องราตรีอย่างโชกโชนในวัยหนุ่ม
            พ่อเคยไปร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งป้องกันแนวชายแดนฝั่งฮังการี  ได้รับบาดเจ็บและถูกจับไปเป็นเชลย แต่ก็หนีออกมาได้ในที่สุด
            บาดแผลที่ไหล่นั้นมันฉกรรจ์มากพอที่ทำให้แขนใช้งานได้ไม่สะดวก ขนาดโกนหนวดเองไม่ได้..

            ร้านอาหารของเราตั้งอยู่ที่ย่านตลาดการค้าของเวียนนา  ซึ่งเป็นที่เปรียบเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของพ่อ  
            ตั้งแต่เปิดประตูมาก็พบบาร์ที่ทำด้วยไม้ขัดเงาวับตั้งยาว  ด้านหลังต่อมาคือบริเวณของห้องอาหาร  ลูกค้าส่วนใหญ่คือขาประจำที่มาทุกวันติดกันเป็นปีๆ
            ซึ่งพ่อรู้ใจหมดทุกคนว่าชอบอาหารชนิดไหนโดยไม่ต้องสั่ง..จากนั้นก็จะเตรียมหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารให้ตามความต้องการ  
            พ่อมีให้ครบหมดทุกอย่างทั้งในด้านความสะดวกสะบายและความเชื่อถือไว้เนื้อเชื่อใจ

           Edith  Hahn   ในวัยละอ่อน  

            บ้านที่เราอยู่เป็นอพาร์ตเม้นท์ขนาดสองห้องนอน  เลขที่ 29 ถนนอาร์เจนติเนียร์  ซึ่งตึกนี้อดีตของมันคือ วังที่นำมาดัดแปลงเป็นอาคารชุดที่พักอาศัย
            เจ้าของคือ สำนักงานดูแลทรัพย์สินส่วนของราชวงค์ฮัฟบวร์ค-ลอธริงเจน

            แม่ของฉัน  ชื่อว่า..คลอทธิลด์ เป็นหญิงร่างกลม หน้าตาดี  ผมดำขลับที่ปล่อยเลี้ยงไว้จนยาว  นิสัยดี หัวเราะง่าย อารมณ์เย็น ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร
            ตอนที่ยังเด็กๆ แม่ต้องจ้างแม่บ้านมาช่วยดูแลงานบ้าน และดูแลพวกเรา  เพราะต้องช่วยดูแลงานที่ร้านอาหารทุกวันไม่มีหยุด
            ฉันทุ่มเทจิตใจช่วยเลี้ยงฮันซี่น้องคนเล็กที่ห่างกันถึงเจ็ดปี
            ด้วยความรักและทนุถนอม  
            ฮันซี่..งดงามน่ารักราวกับรูปปั้นของเทพธิดาน้อยๆที่ประดับอยู่ตามพระวิหาร  แก้มยุ้ยเป็นพวง
            ผมหยิกเป็นขอด  เนื้อตัวน่าฟัดไปหมด
            แต่ ยัยมิมี่ แม่เจ้าปัญหานั่น ฉันแทบไม่มีความรู้สึกพิศวาสอะไรตรงไหน เธอใส่แว่นสายตาหนาเตอะตะ  หน้างอทั้งวันแถมยังขี้อิจฉา
            ซึ่งนี่คือสาเหตุที่แม่เป็นห่วงมาก จึงพยายามเอาใจ  ประเคนให้ทุกอย่าง เผื่อว่ามิมีจะมีความสุขขึ้นมาบ้าง
            แต่กับฉัน..คนที่ไร้ปัญหา แม่จึงไม่อาทรมากนัก  ยิ่งมิมีไม่มีเพื่อน เลยกลายเป็นว่า ฉันต้องแบ่งเพื่อนของฉันให้กับเธอด้วย
            ไม่ว่าจะไปเที่ยวกันที่ไหนฉันจึงต้องหนีบกระเตงเอาไปทุกหนทุกแห่ง

            พ่อเลี้ยงดูพวกเราแบบปกป้องไม่ให้ต้องมาเผชิญกับโลกที่แสนโหดร้าย  พ่อเตรียมแม้กระทั่งการเก็บหอมรอมริบเพื่อการ"ออกเรือน"ของลูกๆ
            วันดีคืนดี ยามที่พ่อนึกอย่างจะใช้เงินขึ้นมา..พ่อจะแวะร้านค้าของประมูลตอนขากลับบ้าน เลือกซื้อทองหยอง หรือเครื่องประดับ เช่น สร้อยคอ ต่างหู
            เพื่อเอามากำนัลแก่แม่..
            ฉันจำได้ว่า พ่อชอบยืนพิงเก้าอี้หนังบุนวม คอยดูเวลาที่แม่ค่อยๆแกะห่อของขวัญด้วยสายตาที่อ่อนหวาน
            และ จากนั้น..ก็พร้อมเสมอที่จะอ้าแขนรับแม่เข้าสู่อ้อมกอด
            ทั้งสองรักกันมาก ไม่เคยทะเลาะกันเลย..
            ในยามค่ำ ยามที่เราอยู่พร้อมหน้ากัน แม่จะเพลิดเพลินอยู่กับการเย็บผ้า  พ่อนั่งเอกเขนกอ่านหนังสือพิมพ์  เด็กๆนั่งทำการบ้าน
            นี่คือ สันติสุขภายในบ้าน  หรือ shalom bait  ของพวกเราอย่างแท้จริง !!!

          

            ฉันเชื่อว่า พ่อรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการเป็นยิว แต่ไม่เคยสอนพวกเรา
            เพราะพ่อเชื่อว่าเราต้องรู้เองโดยธรรมชาติ แบบซึมลึกจากกระแสน้ำนมที่ดื่มจากอกแม่
            ที่ต้องถ่ายทอดความเป็นยิวให้เรามาตั้งแต่ตอนนั้น
            ในตอนเด็กๆ เราจะต้องถูกฝากเลี้ยงในโรงสวด แผนกบริบาล..ในทุกบ่ายวันเสาร์   แต่แม่บ้านที่ถูกว่าจ้างมาเลี้ยงเรานั้น แกเป็นคาธอลิก (เช่นชาวออสเตรียนทั่วๆไป)
            หล่อนกลัวโรงสวดจนไม่ค่อยกล้ากล้า  และไม่อยากไปที่นั่น  แม่เองก็ต้องทำงานหาเวลาว่างไม่ใคร่ได้ ดังนั้นการใช้ชีวิตในโรงสวดของเราก็กระท่อนกระแท่นเต็มที
            แต่..มีบทเพลงเด็กที่ฉันจำได้อย่างแม่นยำ  นั่นคือ

            One day the Temple will be rebuilt
            And the Jews will return to Jerusalem
            So it is written in the Holy Book
            So it is written. Hallelujah!

            และยังมีอีกสองสามเพลงที่จำได้ แต่บทที่เกี่ยวกับการสร้างพระวิหารใหม่ นั้น ฉันจำเพลงนี้ได้เพลงเดียว  แย่จัง..
            แต่ก็..ต้องขอขอบคุณพระเจ้า..ที่ฉันรู้เพียงแค่นั้น !!

         

            ที่ร้าน..เราปิดช่วง 10 วัน คือ วัน Rosh Hashanah จนถึง  Yom Kippur  วันสำคัญเหล่านี้ พวกเรามักไปชุมนุมญาติมิตรที่โรงสวด
            และ เพราะพ่อกับแม่เป็นญาติกันห่างๆ
            เผอิญว่าใช้นามสกุล ฮาห์น เหมือนกัน ทางแม่ มี  พี่น้องหญิงสอง ชายหนึ่ง ทางพ่อมี หกชาย สามสาว   ยามที่รวมเขยสะใภ้ และ ลูกหลาน  เข้าไปอีก ก็กว่าเกินสามสิบ
            ฉะนั้น..ไม่ว่าจะเดินไปไหนในท้องถนนเมืองเวียนนา พวกฮาห์น มักจะเจอะเจอกันโดยบังเอิญอันเป็นเรื่องปรกติ
            แต่ละครอบครัวก็ยึดมั่นในแนวพิธีทางศาสนากันไปคนละอย่าง  
            ตัวอย่างเช่น ป้ากีสร่า เคอเช่นบัม  พี่สาวพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารเช่นกัน ..
            ป้าจะเปิดร้านอาหารของป้าเป็นโรงทานแจกอาหารให้กับคนจนในวัน passover
            น้องชายของแม่..น้าริชาร์ด ผู้ซึ่งไม่ยึดติด ไม่เคร่ง  แต่มีเมียเป็นลูกเศรษฐี ทายาทเจ้าของโรงงานเฟอร์นิเจอร์ จาก พัลคานี...น้าโรซี่ ผู้ที่เคร่งศาสนา เป็นออร์โธดอกซ์ ที่
            รับสภาพที่เราหละหลวมในการปฏิบัติเสียจนทนไม่ได้  เธอจึงแยกตัวกลับไปร่วมพิธีที่บ้านเกิดที่เชคโกสโลวาเกีย

            แต่..บางครั้งที่พ่อแม่เกิดจะเคร่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก็มี..เช่น วันหนึ่ง ฉันเล่าให้แม่ฟังว่า ได้ไปทานไส้กรอกเลือดที่บ้านเพื่อน และมันอร่อยมาก
            แม่ได้ยินเข้าถึงกับทำท่าผะอืดพะอม จนเกือบอาเจียน เล่นเอาฉันพลอยตกอกตกใจตามไปด้วย
            หรืออีกทีหนึ่ง ฉันคุยเล่นๆกับพ่อว่า "พ่อจะว่าไง..ถ้าเผื่อว่า หนูเกิดแต่งงานกับพวกคริสเตียนล่ะ?"
            ตาพ่อแทบถลนออกมานอกเบ้า..และตอบทันทีว่า.."ไม่ได้นะลูก..พ่อคงทนไม่ได้  ฆ่าพ่อให้ตายไปซะดีกว่า  ไม่ได้เด็ดขาด... !!



            ****หมายเหตุ..วัน Rosh Hashanah คือวันปีใหม่ของชาวยิวที่ต้องทำการรับศิล
            และ  Yom Kippur  คือ วันที่ 10 หลังจากวันปีใหม่คือระยะที่ต้องถือศิลอด
            ส่วนวัน passover คือวันที่เริ่มต้นฤดูเก็บเกี่ยว และเป็นวันที่ระลึกถึงการที่ชาวยิวได้เคลื่อนขบวนออกจากอียิปต์ โดยการนำของโมเสส.................วิวันดา


            พ่อยึดมั่นเสมอในเรื่องที่ว่า เลือดยิวต้องดีกว่าและเก่งกว่าใครๆ  จึงหมายมั่นส่งเสริมทุกวิถีทางให้เราเรียน..เพื่อที่จะเห็นรายงานการเรียนที่ดีเด่นของลูกๆ
            รวมทั้งสั่งสอนพิถีพิถันเรื่อง มารยาท การแต่งตัว  ให้เข้าสังคมที่ไม่น้อยหน้าใครๆ
            ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะเข้าใจในการเคี่ยวเข็ญของพ่อนัก
            แต่ในบัดนี้ ..จึงได้รู้ซึ้งว่า..พ่อพยายามที่จะผลักดันเราให้"เป็นหนึ่ง" บนพื้นแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่
            ในขณะที่ใครต่อใครเขาเหยียดหยามพวกเราว่า เป็นแค่ "เดนมนุษย์"

            เรามักไปเยี่ยมเยียนตายายในวันหยุดและวันสำคัญต่าง..ที่บ้านเล็กๆสีเทาแบบบังกาโลว์ที่เมืองเล็กๆที่สวยงาม ชื่อว่า  Stockerau(สตอคเคโร) ที่อยู่ทางเหนือของเวียนนา
            ที่นั่นนอกจากตาและยายแล้ว  ยังมี  เยาท์สกี้ ลูกพี่ลูกน้องของฉันอยู่ด้วยอีกคนหนึ่ง  
            เพราะว่า ตอนที่  เธอ อายุได้เพียง เก้าขวบ  น้าเอลวิตา พาเธอมาทิ้งให้ตากับยาย และ กลับไปฆ่าตัวตายที่บ้าน
            แม้ว่า...พ่อของเธอจะมีนิวาสถานที่เวียนนาก็จริงอยู่ แต่.. สภาพทางจิตใจของแม่หนูน้อยเยาท์สกี้ที่ต้องการการทำนุบำรุง และดูแลนั้น  ไม่มีใครเหมาะสมที่จะทำหน้าที่นี้เกินไปกว่าตากับยายที่เฝ้าเลี้ยงดู ประคบประหงมเธอประหนึ่งลูก

            เยาท์สกี้ มีผมสีน้ำตาลที่ฟูฟ่อง..ตาสีน้ำตาลเช่นกัน ริมฝีปากที่อิ่มเต็มได้รูป ใจดี  มีอารมณ์ขัน ผิดกับยัยมิมี่น้องสาวของฉันยังกับฟ้ากะดิน  
            นอกจากนั้น  เยาท์สกี้ยังสามารถเล่นเปียนโนให้พวกเราเล่นร้องเพลงอย่างในละครโอเปร่า  สนุกสนานกันไปตามเรื่อง เสียงออกมาเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้ประสีประสาพอที่จะบอกได้

            ในยามนั้น ขณะที่  ฉัน..หรือ แม่คนเก่งของใครต่อใคร คร่ำเคร่งอยู่กับนิยาย Gothic ที่เต็มไปด้วยความลึกลับ  พิสวาทบาดจิต
            เยาท์สกี้ กลับคลั่งไคล้ภาพยนตร์ และ ดนตรีสวิงล้ำยุค

           
            ยาย..เป็นหญิงร่างกลม แข็งแรง และ เจ้าระเบียบ  
            ก่อนไปตลาดยายมักสั่งงานให้พวกเราเสมอ เช่น การทำความสะอาดบ้าน..แต่ทันที่ที่ยายลับตาลงจากบ้านไป
            พวกเราก็โผออกนอกบ้าน  ไปวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน จนได้เวลาที่ยายจะกลับ..เรารีบวิ่งแข่งกันเข้าบ้านอย่างโกลาหล เพื่อที่จะคว้าไม้กวาด ถังน้ำ ทำท่ากวาดถู
            ให้ยายเห็นว่า..เรารักษาคำสั่งอย่างเคร่งครัด..เช่นเด็กดีทั้งหลาย
            ทุกวันนี้..ฉันก็ยังมั่นใจว่า..ไม่ว่าจะครั้งไหนๆ..พวกเราไม่เคยหลอกยายได้เลย..ยายรู้ทันเสมอ !!

            ยายเป็นคนขยันมาก..ไม่เคยละเว้นเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยในเรื่องงานบ้านและการเป็นอยู่  ไม่ว่าจะเป็นการถักลูกไม้..สอนเยาท์สกี้ให้อบขนม..เลี้ยงไก่,ห่าน และ  หมา มอร์ลี่  ไม่นับสารพัดพันธ์ของต้นกระบองเพชรที่มีนับร้อยๆกระถางในสวน
            บางที..ยายจะออกคำสั่งกับแม่ล่วงหน้า ว่า
            "คลอทธิลด์..กระบองเพชรจะออกดอกในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี่ พาหลานๆมาดูนะ"
            นั่นหมายความว่า พวกเราทั้งหมดจะออกไปยืนที่สวนที่บ้านในเมือง  Stockerau  ต่อหน้าเจ้าต้นกระบองเพชรเจ้ากรรม.. และต้องช่วยกันสรรเสริญในข้อที่ว่า..
            เจ้าช่างทนทานเหลือเกิ๊นน..เป็นพืชมาจากทะเลทรายแท้ๆ  ยามมาอยู่ที่เมืองหนาวเจ้าก็ยังสามารถผลิดอกออกผล..เจริญงดงาม !!

            (เชื่อว่านี่คือตัวอย่างหนึ่งของหลักการสอนของชาวยิวที่มีให้กับลูกหลาน เพื่อเป็นการเปรียบเทียบชีวิตแห่งการต่อสู้...วิวันดา)

           

            ตา..เป็นเจ้าของร้านขายจักรยาน  จักรเย็บผ้า และเป็นตัวแทนขายรถจักรยานยนตร์ ยี่ห้อ พุช (Puch)  ที่ยายต้องไปช่วยในวันอาทิตย์ที่จัดว่าขายดี..
            เพราะ พวกชาวไร่ชาวนามักเดินทางเข้ามาทำพิธีที่โบสถ์  เสร็จพิธีพวกเขาเหล่านั้นก็จะแยกย้ายกันไปจับจ่ายใช้สอย  ซื้อข้าวของ
            ตาและยายเป็นที่รู้จักและกว้างขวางในเมืองไม่น้อย เพราะไม่ว่ามีงานอะไรก็ตาม มักได้รับเกียรติให้แขกผู้มีเกียรติของงานเสมอ
            งานวันเกิดของตา พวกเราคัดลอกโคลงสรรเสริญต่างๆจากกวีชื่อดังมาอ่าน  
            ตานั่งฟังอยู่กลางวงราวกับพระราชา ด้วยแววตาระยิบระยับด้วยความปลื้มปิติ และภาคภูมิใจ
            แม้กระทั่งทุกวันนี้..ฉันยังจำไออุ่นจากอ้อมกอดของตาได้อย่างไม่มีวันลืม..

            ใกล้ๆกับบ้านตาและยาย จะมีลำธารเล็กๆที่แยกมาจากแม่น้ำดานูป ที่ฉันและเยาท์สกี้ชอบไปว่ายน้ำเล่นเสมอๆ  และก่อนที่จะไปถึงลำธารนั้น เราจะต้องเดินข้ามสะพานไม้สูง
            วันหนึ่ง  ตอนอายุเจ็ดขวบ..ด้วยความที่รีบจะไปเล่นน้ำก่อนใครๆ วิ่งไปบนสะพาน เกิดลื่นไถล ถลาหัวทิ่มตกไปในน้ำ  จมดิ่งลงไป
            ฉันกระเสือกกระสนตัวให้โผล่ขึ้นเหนือน้ำ ตกใจกลัวสุดชีวิต ..แต่แล้วก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผ่านมาพอดี..กระโจนลงไปช่วยขึ้นมาได้
            จากนั้นมา..ฉันกลายเป็นคนที่กลัวความสูง  ไม่เคยคิดที่จะไปเล่นสกีที่แอลป์อย่างใครๆ
            ไม่เคยเสนอตัวที่จะปีนป่ายตึกขึ้นไปแขวนป้ายต่อต้านรัฐบาล
            ฉันพยายามอยู่ให้เท้าทั้งสองติดกับพื้นดินให้มากที่สุด..เพื่อความปลอดภัย


            ปี 1928 ในขณะที่ภาวะเงินฝืดของออสเตรียกำลังขึ้นถึงขีดสุด ลูกค้าที่เข้ามาทานอาหารที่ร้าน ต้องจ่ายเงินมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวสำหรับอาหารที่เคยเสิร์ฟเท่าเดิม
            พ่อจึงตัดสินใจขายร้าน..
            และก็นับว่าเป็นโชคดีที่พ่อใด้ข้อเสนอให้ไปเป็นผู้จัดการฝ่ายห้องอาหารในสปาและรีสอร์ตชื่อดัง อันเป็นของนายจ้างเก่าพ่อเมื่อครั้งที่ทำงานในริเวียร่าพวกเศรษฐีเชคโกสโลวาเกียน ตระกูล โคคิช..
            พวกเขามาเปิดกิจการสปาที่ตั้งอยู่ที่  Badgastein ชายเขาแอลป์ที่ยอดเขาถูกปกคลุมด้วยหิมะทั้งตาปีตาชาติ
            หากแต่ ที่เชิงเขา พื้นที่ที่ตั้งของสปาและรีสอร์ต นามว่า โฮเต็ล บริสตัล นั้น ตั้งอยู่ที่พื้นที่สีเขียวชะอุ่ม ด้วยไม้นานาพันธ์ อีกทั้งมีท่อน้ำพุร้อนที่ส่งตรงจากต้นน้ำใต้ภูเขามายังอ่างน้ำหินอ่อนภายในสปา

            พวกผู้ลากมากดีที่เข้ามาพัก วันๆมักเดินเล่นรอบๆบริเวณ โยนอาหารให้กระรอกบ้าง..เดินคุยกันจุ๋งจิ๋งบ้าง..
            ในยามบ่ายๆที่ซุ้มกลางสวน อาจมีเสียงเปียนโนขับกล่อมหรือเสียงเพลง..โดยฝีมือคุณหนูมากวิชาที่พ่อแม่พยายามผลักดันให้เป็นดารามาแสดงความสามารถอวดแขก
            ชีวิตที่นั่น..ราวกับสวรรค์...ที่พวกเราถือโอกาสไปเยี่ยมเยียนและอยู่กับพ่อในช่วงโรงเรียนปิดเทอมภาคฤดูร้อนเสมอๆ  

            และเนื่องจากที่นันเป็นที่เดียวที่ต้องเสิร์ฟโภชนาการอาหารยิว (ตามบัญญัติของศาสนา) หรือที่เรียกว่า Kosher  โฮเต็ล บริสตัล จึงเป็นเสมือนศูนย์รวมและที่พบปะของชาวยิวที่มีชื่อเสียงจากทุกมุมโลก
            เช่น ครอบครัวของตระกูล Ochs ที่เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์  New York  Times , และ Sigmund Freud  ก็มาที่นี่..
            วันหนึ่ง..มีชายร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง แต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายพื้นเมืองออสเตรีย กางเกงขาสั้นหนังพร้อมสายบ่า  สวมหมวกสักหลาดที่เรียกว่า Tirolean ครบเครื่อง..
            เข้ามาเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน..พ่อพยายามที่จะเข้าไปอธิบายว่า เขาอาจเข้ามาผิดที่..

            แต่ก่อนที่พ่อจะได้พูดอะไร..ชายคนนั้นก็ถอดหมวกออกมาวาง พร้อมกับควัก yarmulke (หมวกแปะกระหม่อมของชาวยิว) ขึ้นมาใส่ ..พร้อมทั้งยืนสวดพึมพัม

            พ่อถึงกับกลั้นหัวเราะ..เล่าว่า.."ให้ตายซิ..สมัยนี้..ขนาดยิวด้วยกันยังดูกันไม่ออก เหลือเกินจริงๆ"

           

            การมาพำนักอยู่กับพ่อที่นี่ครั้งแรก..เราได้พบกับรับไบ  (Rabbi) จากโปแลนด์สองท่าน..ทั้งคู่มีหนวดเครายาวที่ดูเรียบร้อย สวยงาม ยามที่เดินในโรงแรมจะเอามือทั้งสองประสานกันที่หลัง
            ด้วยท่าทางที่เนิบนาบ..ดูขลังและน่าเลื่อมใส  ฉันเชื่อว่า คนหนึ่งในนั้น คือ คนที่ช่วยให้ฉันอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้..
            ตอนนั้น ฉันอายุได้สิบหก..เล่นน้ำทั้งวันจนจับใข้  แม่ให้การปฐมพยายามโดยเอาผ้าเย็นวางบนหน้าผากและข้อมือเพื่อให้อุณหภูมิลด  และให้ดื่มชาร้อนผสมน้ำผึ้ง..
            พอตกค่ำ..หนึ่งในรับไบจากโปลแลนด์ที่ว่า..มาเคาะที่ประตู เพราะว่าท่านไปทำพิธีสวดตอนเย็นไม่ทัน จึงต้องขอเข้ามาสวดในบ้านเรา
            แน่นอน..ที่แม่ให้การต้อนรับและเชื้อเชิญด้วยความยินดี หลังจากที่ท่านได้เสร็จพิธี แม่ขอร้องให้ท่านช่วยมาสวดให้พรกับฉันที่กำลังนอนป่วยอยู่
            ท่านรับไบได้มายืนข้างเตียง ก้มตัวลงลูบที่หัวฉันเบาๆ ก่อนที่ท่านจะกล่าวออกมาเป็นภาษาที่ฉันไม่รู้เรื่อง และชาตนี้ก็ไม่มีวันเข้าใจ นั่นคือ ภาษาฮีบรู
            เมื่อท่านจากไป..ฉันก็รู้สึกดีขึ้น จนหายสนิทจากใข้ราวปลิดทิ้ง
            ในช่วงปีแห่งความทุกข์ทรมานต่อๆมา ที่ฉันมีความรู้สึกเหมือนสิ้นหวัง..ใกล้ตาย..ฉันมักรำลึกถึงท่านและบทสวดของท่านเพื่อนำมาอธิษฐานขอให้ตัวเองได้แล้วรอดปลอดภัย..


            (รับไบ..ต้องไปทำพิธีท่องบทสวดวันละสามครั้ง ตั้งแต่ตะวันขึ้นจนถึงตก..และต้องต่อหน้าคนที่มีอายุเกินกว่า 14
            ซึ่งเขาจะเรียกว่าการสวดนี้ว่า schule ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า
            school  คือ โรงเรียนนั่นเอง............วิวันดา)

          
            
         
         
      

            แน่นอนว่า..การทำงานของพ่อในสถานที่ที่เปรียบราวสวรรค์นี้มันไม่ง่ายดังที่ใครต่อใครคิด..
            มันมีส่วนของความเป็นอุปสรรคอันเป็นสัจจะของชีวิตไม่ใช่น้อย
            เพียงแต่เราต้องทำใจยอมรับและเผชิญกับมัน..เช่น..
            การฆ่าและเเล่เนื้อเพื่อโภชนาการยิวตามพระบัญญัติ(kosher) นั้น ไม่มีการอนุญาตให้กระทำในเมือง Badgastein ที่อยู่นี่..
            ฉะนั้น ต้องไปว่าจ้างฆ่าที่เมืองใกล้ๆ
            แล้วรีบนำใส่รถเดินทางเข้ามา  
            หรือ อย่างในสมัยของปู่ย่าตายายของเราที่ไม่ได้รับการอนุญาตให้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง จนต้องไปตั้งถิ่นฐานอยู่ใน Stockerau  หรือ Floritzdorf

            จวบจนสมัยที่พ่อแม่ของเราเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วนั่นแหละ..."ยิว" จึงได้รับอนุญาตให้เข้ามาพำนักอยู่ในเวียนนา
            มาถึงตรงนี้ พวกคุณก็คงมองเห็นภาพนะว่า..การเป็นยิวที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศที่มีการต่อต้านนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  
            แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ยิวก็ยังคงเหนียวแน่น มีการเรียนพระตำรา Torah,
            การสวด, การรวมตัวชุมนุมในพิธีอย่างสม่ำเสมอ

            พวกเราเป็นยิวก็จริง..แต่พูดภาษายิดดิช หรือ ฮีบรู  ไม่ได้  
            ไม่ค่อยเคร่งในพระในเจ้า ไม่ใช่ทั้งนิกาย Polish Chasidim หรือ Lithuanian yeshiva  ไม่ใช่ทั้งพวกที่กล้าพูด กล้าแสดงอย่างอเมริกัน
            แต่ขอให้รู้ว่า..ในขณะที่เรื่องที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้....
            ในสมัยนั้น ยังไม่มีคำว่า ผู้ก่อการร้ายอิสราเอล  ยังไม่มีกองกำลังทหารในทะเลทราย..ยังไม่มีคำเปรียบเปรยที่ว่า " nation like other Nations" (อันหมายถึง ชนชาติกลุ่มน้อยที่มีความเจริญในการคิดอ่านเทียบได้กับนานาประเทศ)


            สิ่งที่เรามี..นั่นก็คือ สติปัญญา ความสามารถ และ ความเป็นตัวเอง  
            ในขณะที่บ้านเมืองงดงาม  ด้วยสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่..จนถูกเรียกขานว่า ราชินีแห่งดานูป
            แต่ในขณะเดียวกันก็ถูกเรียกว่า เวียนนาแดง.. อันเป็นที่รวมสมองของกลุ่มยิวอัจฉริยะ เช่น  Freud, Herzl, และ Mahler ได้ช่วยกันกลั่นกรองสติปัญญาให้ออกมาเป็นรูปธรรมอันโดดเด่น
            เช่นทฤษฏีว่าด้วยจิตวิเคราะห์, ทฤษฏีของไซออนนิสต์ที่สนับสนุนให้ยิวเคลื่อนย้ายถิ่นฐานกลับไปยังปาเลสไตน์, หรือทฤษฏีว่าด้วยสังคมนิยม และ การปฏิรูปชุมชน

            และไม่ว่าพวกเขาจะเปล่งประกายแห่งสติปัญญาออกมาแวววามขนาดไหน...ยิวระดับหัวกระทิแห่งเวียนนา ก็ยังเป็น ไอ้พวกยิว...ที่ใครต่อใครเรียกเช่นเดิม..!!


            ในที่สุด พ่อก็ตกลงใจให้ฉันได้เข้าเรียนต่อในระดับมัธยมปลาย ซึ่งประสบการณ์ในช่วงนี้ นับว่าเป็นสาระอนุสรณ์สำคัญยิ่งในชีวิตเด็กผู้หญิงอย่างฉันทีเดียว
            เพราะนี่คือครั้งแรกที่จะได้มีการพบปะกับพวกเด็กผู้ชายในชั้นเรียน ไม่ได้หมายความถึงเรื่องรักๆใคร่ๆแบบชู้สาวหรอกนะ รับรองได้
            เด็กผู้หญิงในยุคนั้นยังยึดถือในเรื่องการรักษาพรหมจารีอย่างเคร่งครัด หากแต่มันเป็นเรื่องของการท้าทายความสามารถต่างหาก

            คุณจะต้องเข้าใจนะว่า เด็กผู้ชายในยุคนั้น เป็นที่รู้และยอมรับกันว่า คือผู้ที่เรียนมากกว่า อ่านหนังสือมากกว่า คิดได้ลึกซึ้งกว่า  มีอิสระไปไหนมาไหนได้มากกว่า..
            และนั่นเท่ากับว่า ฉันกำลังจะมีเพื่อนที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ สนทนากันอย่างรู้เรื่องในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ วรรณคดี หรือแม้กระทั่ง
            ช่วยกันสร้างสรร..กอบกู้สังคมความเป็นอยู่ที่แย่ๆของประชาชนให้กลับมาอยู่ดีมีสุขเหมือนเดิม..

            วิชาคำนวน  ฝรั่งเศส  ปรัชญา คือวิชาโปรดที่ฉันจดโน๊ตตามด้วยการเขียนชวเลขซึ่งสามารถอ่านถอดกลับไปมาได้อย่างไม่มีตกหล่น จนจำได้อย่างขึ้นใจ  ไม่ต้องมีการมาอ่านทบทวนกันใหม่
            เพื่อนคนหนึ่งที่มาหาถึงที่บ้านแต่เช้าทุกวันก่อนไปโรงเรียน  เพื่อให้ฉันช่วยสอนวิชาเลขคณิตที่ได้รับมาเป็นการบ้าน
            แม่แอบตั้งสมญาให้เธออย่างเย้าๆว่า "แม่หนูไอน์สไตน์"
            เธออ่อนในวิชานี้มาก..ซึ่งสร้างความหนักใจในการสอนทบทวนชี้แนะ ที่ต้องระวังคำพูดพอสมควร เพื่อไม่ให้เธอรู้สึก"แย่" ไปกว่าที่เป็นอยู่
            แต่ผลที่ได้ตอบรับกลับคืนมา คือ คำชมที่ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกสะอึก..นั่นคือ
            "นั่นซินะ..ทำไมพวกเธอชาวยิวถึงได้ฉลาดจัง"


            ฉันที่กำลังอยู่ในวัยเบิกบาน  สมองเต็มไปด้วยความคิดใหม่ๆ  และเต็มไปด้วยความเพ้อฝันที่จะออกท่องไปในโลกกว้างอย่างหลากหลาย
            เช่น..คิดอยากจะไปผจญภัยในรัสเซีย ไปอาศัยอยู่กับชาวบ้านในท้องไร่ท้องนา ต่อมาก็"พบรัก"กับชายผู้สูงส่ง จนสามารถนำมาเขียนหนังสือจนขายดิบขายดี

            ฉันอาจจะเป็นทนายความ หรือไปให้สูงกว่านั้น คือ ผู้พิพากษาผู้ซึ่งสถิตไปด้วยความยุติธรรม พร้อมที่จะให้ความเป็นธรรมแก่คนธรรมดาสามัญที่ไม่มีทางสู้
            ความคิดเช่นนี้ได้สว่างวาบเข้ามา เมื่อตอนกระแสของคดี Phillipe Halsmann  กำลังมาแรง จนถึงขนาดใครต่อใครต่างเรียกขานว่าเป็นคดี Dreyfus แห่งออสเตรีย
            เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่า นายฮัลสมันน์ และบิดา ได้ออกไปปีนเขา ที่อัลไพน์ ใกล้ๆกับเขต Innsbruck และ ตัวเขาไปเองได้ปีนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวพ่อนั้น เขาไม่เห็นแน่ชัดว่าอยู่ที่ตำแหน่งใด มองลงไปก็ไม่พบ..หากแต่มาพบอีกที ก็เมื่อเป็นศพที่ตกมา นอนแช่น้ำอยู่ในลำธารเบื้องล่าง..
            นายฮัลสมันน์ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนที่จงใจฆ่าพ่อโดยที่ไม่มีหลักฐานใดๆมาประกอบ หากแต่ชาวออสเตรียนทั่วไปต่างพร้อมใจกันที่จะเชื่อ
            เนื่องจาก จำเลยคือ"ยิว" และพวกยิวนั้นได้ถูกตราหน้ามาตั้งแต่ยุคโบราณกาลแล้วว่า เป็นไอ้พวกฆาตกรที่ต่างล้วนกลับชาติมาเกิด
            (เช่น จูดาห์ที่เป็นคนหักหลังพระเยชู)

            เมื่อนายฮัลสมันน์ผู้เคราะห์ร้ายได้ปฏิเสธในทุกข้อหา พร้อมกับยืนยันว่าตัวเองคือผู้บริสุทธิ์ คนสอนศาสนาบางคนถึงกับกล่าวโทษพร้อมสาบแช่ง
            ให้เขาต้องโทษถึงกับตกนรกหมกไหม้มากกว่าที่จูดาห์ได้รับเสียอีก ในฐานที่จับได้แล้วยังบังอาจโกหก
            ตำรวจบางคนก็เล่าว่า วิญญานของผู้พ่อได้มาปรากฏร่างให้เห็น และ ชี้ตัวไอ้ลูกชายทรพี ราวกับลอกเรื่องเทพนิยายที่กษัตริย์แฮมเลทที่ออกมาปรากฏร่างกล่าวโทษพระโอรสอย่างไรอย่างนั้น

           

            ฟิลลีป ฮัลสมันน์ ได้ถูกส่งตัดสินว่ามีความผิดตามข้อกล่าวหา โดยต้องโทษไปทำงานเป็นกรรมกรแบกหามถึงสิบปี เขาสู้อดทนได้ถึงสองปี
            นาย Thomas Mann ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ได้ออกมาช่วยวิ่งเต้นรื้อฟื้นคดี และ เป็นอันว่าเขาหลุดพ้นจากการต้องโทษที่เหลือ
            ซึ่งนายฮัลส์มันน์ได้ขอเดินทางออกนอกประเทศไปยังโลกใหม่ คือประเทศอเมริกา ที่ซึ่ง..ต่อมา เขาได้ทำงานไต่เต้าจนป็นช่างภาพที่มีชื่อเสียง..
            คดีนี้..คือตัวอย่างที่จุดประกายความสนใจให้กับฉันอย่างมากมาย จนคิดฝันวาดภาพของตัวเองขณะที่บั่งบัลลังค์ และจะไม่ยอมให้ผู้บริสุทธิ์คนใดต้องได้รับโทษอย่างไม่เป็นธรรม..

            ฉันเคร่งครัดในเรื่องเรียนมาก ไม่เคยหลุดไปจากตาราง นอกจาก..เรื่องพละศึกษาที่เลี่ยงได้เป็นเลี่ยง แต่ไม่มีใครมาสนใจนักหรอก เพราะใครๆต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
            เด็กสาวตัวเล็กๆน่ารักน่าเอ็นดูอย่างฉันไม่สมควรมีรูปร่างที่แข็งแรงบึกบึนอะไรกันหนักกันหนา

            ทำไมฉันจะไม่รู้ว่า..พวกผู้ชายต่างก็พากันรุมจีบกันเป็นแถวๆ
            อย่างรายพ่อรูปหล่อ  อันโทน ไรเดอร์ ที่นับถือศาสนาคาทอลิค ที่พยายามคอยสบตาในทุกที่ทุกโอกาส
            หรือ รูดอล์ฟ กิสคา ที่แสนโก้เก๋  ก็แอบเรียกฉันว่า "แม่เทพธิดาผู้ทรงเสน่ห์" อีกทั้งมาขอคำมั่นสัญญาว่า เราจะแต่งงานกันทันทีเมื่อเรียนจบ
            ฉันก็แกล้งตอบตกลงไป
            แต่มีข้อแม้ว่า..ตอนนี้ทุกอย่างจะต้องถูกเก็บเป็นความลับขั้นสุดยอดก่อน  เพราะรู้ดีว่า ขืนความลับนี้รั่วไหลหลุดไปรู้ถึงหูพ่อเข้า
            ว่า..มีชายหนุ่มที่ไม่ใช่"ยิว"มาขอฉันแต่งงานแล้วละก้อ ความหวังที่จะได้เรียนต่อถึงขั้นมหาวิทยาลัยเป็นอันว่าพังทะลายลงอย่างแน่นอน
            เพราะพ่อไม่มีวันยอม..
            อีกทั้ง สำหรับตัวฉันเองแล้ว..เรื่องการเรียนต่อในระดับสูงสุดนั้น สำคัญกว่า ผู้ชายหน้าไหนทั้งสิ้น !!


            ในชั้นเรียนที่มีนักเรียนถึง 36 คนนั้น มีเพียงสาม ที่เป็นยิว, มี สเตฟี คานาเกอร์, เอมม่า มาคัส, และ ฉัน
            วันหนึ่งมีคนมีขีดข้อความบนโต๊ะของเขาทั้งสองว่า..
            "ไอ้พวกยิว ออกไป..กลับไปปาเลสไตน์ซะไป๊.."
            แต่บนโต๊ะของฉัน..ไม่มีใครมาเขียนอะไร  เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า เด็กหญิงสองคนนั่นเป็นยิวที่มาจากโปแลนด์ที่ดูเป็นยิวอย่างเต็มตัว มากกว่าฉันที่เป็นยิวในออสเตรีย
            นั่นคือปีพ.ศ. 1930

            เอมม่า มาร์คัส เป็นคนที่ถือลัทธิไซออนิสต์ เป็นลัทธิที่ครั้งหนึ่งพ่อเคยยอมให้พวกนี้เข้ามาใช้ร้านของเราเป็นที่พบปะ ชุมนุมกิจกรรม
            และ ได้รับการขยายความให้ฟังถึงเรื่อง
            ความมุ่งมั่นลัทธิในการที่จะก่อร่างสร้างรัฐของชาวยิวในพื้นแผ่นดินอันที่เคยเป็นของพวกเราแต่ดั้งเดิมในประเทศปาเลสไตน์
            พ่อเอง..ยังบอกว่า มันเป็นเรื่องของความฝันลมๆแล้งๆในอากาศ ชาตินี้ไม่มีวันเป็นไปได้

            แต่..ต่อมา..เป็นเพราะกระแสกดดัน  ทั้งในการเหยียดหยาม และ ต่อต้านที่มีอยู่ล้อมรอบ พวกชาวยิวรุ่นใหม่ๆจึงกลับมานิยมและผลักดันลัทธิไซออนิสต์ให้มีความเป็นไปได้อีกครั้ง
            หนึ่งในนั้น คือ ฮันซี่ แม่น้องสาวคนเล็กสุดที่รักของฉันนั่นเอง  ฮันซี่ได้เข้าร่วมกลุ่มกับ ชมรมฮัสโชเมอร์ ฮัทแซร์ ซึ่งเป็นไซออนิสต์สังคมนิยม ที่เธอได้มุ่งมั่นถึงขนาดยอม
            ปวารณาตัวเข้าเรียนขั้นปลุกระดม ในการเตรียมพร้อมที่จะเข้าอยู่ในกลุ่มพลังชนรุ่นแรกสู่อิสราเอล

          

            สเตฟี คานาเกอร์ เป็นผู้ที่นิยมซ้าย เช่นเดียวกับพี่ชายของเธอ
            ในวันเสาร์ที่สำคัญที่มีการจัดชุมนุม..ฉันถือเป็นโอกาสขออนุญาตพ่อเพื่อที่นำมาเป็นการ"อ้าง"ว่า
            อยากจะไปร่วมเข้าสังเกตการณ์ ฟังคำปราศรัยของพวกซ้ายจัด..ที่จะออกมาแถลงการณ์ตอบโต้กับ
            รัฐบาลคาทอลิค ดีโมแครตอย่างเผ็ดร้อน..
            แต่แท้ที่จริงแล้ว..ฉันมีนัดจะไปเที่ยวที่ปาร์คกับ
            รูดอล์ฟ กิสคา ต่างหาก
            กลับมา..พ่อถามว่า "ไปฟังอภิปรายต่อต้าน..เป็นไงบ้างล่ะ?"
            "ยอดเยี่ยมเลยค่ะ พ่อ " ฉันรีบเล่าต่ออย่างตื่นเต้นว่า..มีลูกโป่งสีแดงประดับประดาเยอะแยะ ใครๆก็ต่างถือธงสีแดงในมือ พวกนักศึกษาฝ่ายซ้ายต่างก็พากันร้องเพลงปลุกใจ มีดนตรีด้วยค่ะพ่อ ทั้งกลอง..... และ...เอ๊ะ..ทำไมหรือคะพ่อ...?"
            เสียงพ่อเอ็ดตะโรสวนมาลั่น แม่รีบเอาผ้ากันเปื้อนปิดหน้า แอบหัวเราะกิ๊กกั๊ก
            "ก็มันไม่มีการชุมนุมกันน่ะซิ..รัฐบาลประกาศสั่งเลิก..ห้ามการอภิปรายใดๆทั้งสิ้น"
            และนั่นหมายถึงว่า ฉันต้องไปขังตัวอยู่บนห้อง
            เล่นหมากรุกฆ่าเวลากับฮันซี่แม่น้องรัก อีกทั้งยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่า ทำไม๊..รัฐบาลถึงต้องออกมาห้ามการชุมนุมของสเตฟี่และพี่ชายของเธอ

        

            เล่ามาถึงตรงนี้ คุณคงมองภาพออกว่า ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องเนื้อหาของการเมืองกะเขาเลยสักนิด
            แต่..กิจกรรมเรื่องการเมืองต่างหากที่เป็นเรื่องสนุกสำหรับฉัน..เพียงเพื่อจะได้พาตัวเข้าไปอยู่ในกลุ่มเด็กฉลาดๆ

            ตอนที่ ฉันและมิมี่ พากันเข้าไปร่วมในกลุ่มสังคมนิยมตอนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ไม่ใช่เพราะมีอุดมการณ์อะไรกับเขาหรอก เพียงแต่อยากที่จะได้มีเพื่อนใหม่ๆ และ มีการสอนร้องเพลงปลุกใจ รวมไปถึงการที่จะได้พบปะกับเด็กผู้ชายที่เก่งๆจากโรงเรียนอื่นๆ เช่น
            ลุคค์เบรียส  โคห์น ผู้ซึ่งหมายมั่นที่จะเป็นนายแพทย์
            หรือ จอลลี่  ซิค ผู้ซึ่งอยากจะเล่นแต่สกีไปจนตลอดชีวิต
            หรือ วูฟกัง โรเมอร์ ที่มีเสน่ห์
            มาถึง โจเซฟ โรเซนเฟลด์ อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่นๆว่า" เปปปิ"

            เปปปิ แก่กว่าฉันเพียงหกเดือน แต่เรียนสูงกว่าชั้นหนึ่ง และมีทีท่าเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ ด้วยรูปลักษณ์ที่จัดว่า สูงผอม เพรียว  และด้วยวัยเพียงสิบแปด ศรีษะของเขาก็เริ่ม
            "ส่อแวว"ว่าจะหัวล้านต่อไปในกาลข้างหน้า
            แต่เขามีดวงตาสีฟ้าที่สดใส อีกทั้ง รอยยิ้มแบบเอียงอายน่ารัก
            เขาเป็นคนติดบุหรี่ แต่ก็เป็นคนฉลาด หลักแหลมเกินใครๆ

            ในขณะที่เราได้เต้นรำด้วยกัน ฉันได้แต่คุยฟุ้งถึงแต่เรื่องละครของ Arthur Schnitzler จนเขาแทบหูดับ
            จนในที่สุด เขาได้มากระซิบบอกว่า
            "เสาร์หน้า เวลาสองทุ่ม ออกไปพบกันที่ปาร์ค
            ถนนเบลเวเดียร์นะ"
            "ได้เลย แล้วเจอกันนะ" ฉันกระซิบตอบก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปเต้นวอลทซ์กับ..ซิค..กับโคห์น..กับอันโทน..กับวูฟกัง..และกับรูดอล์ฟ

       

            พอถึงวันเสาร์ที่นัด ฉันกลับชวนวูฟกังไปช้อปปิ้ง..เผอิญฝนเจ้ากรรมเกิดตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เนื้อตัวเปียกโชกไปหมด
            วูฟกังจึงชวนไปที่บ้าน..แม่ของเขา คุณนายโรเม่อร์ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก มีอัธยาศัยงดงามที่สุดคนหนึ่งที่ฉันเคยได้รู้จักมา เธอมาช่วยเช็ดผมให้จนแห้ง
            และ ทำสตอว์เบอร์รี่ราดครีมให้ทาน  พอคุณโรเม่อร์ ผู้พ่อ , คุณลุงฟีลิคซ์ พร้อมกับ อิลเซ่ น้องสาวของวูฟกัง กลับมาถึง
            ทันที่ที่เธอได้สลัดน้ำฝนออกจากร่มในมือ
            เธอก็จัดแจงเลื่อนพรมอออกจากพื้นห้อง ลากเครื่องเล่นจานเสียงออกมาไข ใส่แผ่นเพลงสวิงสุดฮิต..
            และเราทั้งหมดก็ออกเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน

            สักพัก..ก็ปรากฏร่างของชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาด้วยลักษณะที่เปียกชุ่มไปทั้งตัว..เขาคือ เปปปิ โรเซนเฟลด์ เขามองมาที่ฉันและเอ่ยว่า
            "ผู้หญิงคนนั้น ตกลงกับผมไว้ว่าเรานัดเจอกันที่ปาร์คถนนเบลเวเดียร์  เธอปล่อยให้ผมยืนคอยจนขาแข็งตั้งชั่วโมง ทุเรศชมัด..
            ความจริงที่แม่ผมพูดก็ถูกนะ..ว่าพวกผู้หญิงมักไม่เข้าท่าอย่างนี้ทุกคนเลย"
            เขายืนจ้องเขม็ง ท่ามกลางการเต้นรำและเสียงเพลงก็ยังคงดำเนินต่อไป ฉันรีบกล่าวขอโทษอย่างอ่อนหวาน อ้างว่า ลืมไปจริงๆ
            "มะ..งั้นมาเต้นรำกับผมซิ..แล้วผมจะบอกว่าผมกำลังโกรธคุณมากขนาดไหน"

            วันรุ่งขึ้นต่อมา เด็กชายนามว่า ซูริ เฟลล์เน่อร์ ได้นำจดหมายมายื่นให้ถึงบ้าน  จดหมายฉบับนั้นลงชื่อโดยวูฟกังและเป๊ปปิ ข้อความว่า
            เขาทั้งสองต้องการคำตอบจากฉัน ว่าจะเลือกระหว่างคนไหน ซึ่ง เขาต่างก็พร้อมที่จะรอรับคำตอบอย่างลูกผู้ชายที่ฉันเลือกใคร..
            อีกคนหนึ่งก็จะยอมหลีกทางให้อย่างโดยดี
            คำตอบที่ฉันเขียนตอบลงไป นั่นคือ เลือกวูฟกัง โดยการส่งคืนไปทางทูตหัวใจตัวน้อยคนเดียวกับที่นำจดหมายมา

            สองสามอาทิตย์ต่อมา..ฉันและครอบครัวได้ไปพักผ่อนภาคฤดูร้อนที่ภูเขาตามเคยเช่นทุกปี ลืมไปสนิทว่า ได้ตอบ"รับรัก"ไว้กับวูฟกัง
            โชคดีเหลือเกิน ที่เขาก็"ลืม"เรื่องนี้เช่นกัน..!!

       

            ในปีสุดท้ายของการศึกษาที่ฉันต้องไปค้นหาตำราของ Nietzsche เพื่อมาประกอบการเขียนเรียงความ จึงต้องไปที่หอสมุดแห่งชาติ
            และขากลับต้องแวะรับมิมี่ เพื่อกลับบ้านด้วยกัน
            จู่ๆ เป๊ปปิก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบราวกับแมว
            เขายิ้มอายๆเหมือนเคยก่อนที่จะยื่นมือมาช่วยถือตำรา และ ถือโอกาสเข้ามาเดินเคียงข้าง
            "คุณเคยมาที่หอสมุดฯนี่หรือเปล่า" เขาชวนคุย
            "ไม่เคยเลย"
            "งั้นดีเลย..ผมไปที่นั่นบ่อยๆ เพราะได้สมัครเข้าเรียนในคณะนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย และขอบอกว่า ข้างในกว้างขวางใหญ่โตนัก  ถ้าคนไม่ไม่เคยมาหรือไม่รู้จักละก้อ หลงแน่นอน ให้ผมช่วยพาคุณไปจะดีกว่า"

            และเราก็พากันเดินคุยกันไปตามทาง..ที่ผ่านวัง..ผ่านสวนสาธารณะที่ลานเต็มไปด้วยนกพิราบ ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงบอกเวลาจากหอนาฬิกา
            "งานที่ฉันทำนั้น ยาว..ค่อนข้างยุ่งยาก ที่ต้องใช้บทสรุปของเหล่าผู้รู้เช่น Karl Marx และ Sigmund  Freud"
            " แล้วของ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ล่ะ คุณไม่สนใจหรือ?"
            "ตานั่นน่ะเหรอ..เค้าไม่ใช่อัจฉริยะนี่..เค้าเป็นเพียงคนบ้าที่ชอบแหกปากปาวๆต่างหาก"
            "นั่นซิ..แต่มันคงเป็นเพราะยุคนี้ ที่ประชาชนยังแยกไม่ออกหรอกว่า อะไรคืออัจฉริยะ อะไรคือบ้า.."
            "ไม่จริงหรอกกระมัง เพราะฉันได้อ่านหนังสือ Mein Kampf ที่เขาเขียน กับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ Alfred Rosenberg ขนาดฉันเป็นคนที่ไม่ลำเอียงในด้านความคิด..ยังคิดว่า ก่อนที่จะเขียนอะไรหรือ โจมตีใคร ก็น่าจะมีข้อมูลให้ครบทุกด้านเพื่อเป็นความยุติธรรม พออ่านไป อ่านไป จึงพอมองออกว่า ไอ้หมอนี่มันปัญญาอ่อน
            คิดได้แค่การใส่ความว่า ชาวยิวคือผู้ที่ทำให้สายเลือดของชาวอารยันได้แปดเปื้อน และเป็นพิษ จนกระทั่งเยอรมันต้องแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.. คนมีความคิด มีสมอง ใครจะไปเชื่อคนหน้าโง่อย่างฮิตเล่อร์
            อีกหน่อยก็เขาก็ต้องสลายตัวไป"
            "อ๋อ..อย่างพวกแฟนเก่าๆของคุณอย่างงั้นซิ?" เปปปิรีบยิ้มรับ..ฉวยโอกาสเย้าเล่นอย่างได้ที

       
            พอตกบ่าย..เราแวะพักจิบกาแฟ และชิมเค้กอร่อยๆ ดังที่ใครต่อใครในยุคนั้นนิยมกัน  เขาคุยถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ฟังมากมาย เช่นเรื่องการเรียน เหล่าคณาจารย์
            และอนาคตที่เขาหวังว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฏหมาย

            จากมุมหนึ่งของกลางสวนสาธารณะถนนเบลเวเดียร์
            ดูงามจัด..ยามแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบยอดหลังคาโบสถ์นั้นเปล่งประกายแวววาว
            เปปปิไม่ได้สนใจฟังว่าฉันได้กำลังพูดว่ากระไร
            หากแต่เขาชะโงกหน้ามาใกล้ จนสามารถยื่นปากมาจุมพิตฉันได้อย่างบางเบา..
            ความรู้สึกนึกคิดหยุดชะงักกึกราวกับสมองเป็นอัมพาต..
            วางหนังสือในอ้อมแขนลงกับพื้น ก่อนที่จะรวบตัวฉันเข้าไปจูบอย่างจริงจังและดูดดื่ม..
            สรุปว่า..บ่ายนั้นเราไม่ได้ไปที่หอสมุดตามที่ตั้งใจไว้ และ ฉันลืมไปสนิทด้วยซ้ำเลยว่า ต้องแวะไปรับมิมี่ตามนัด
            (ซึ่งเธอไม่เคยยกโทษให้เลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านล่วงเลยไปหลายปีแล้วก็ตาม)
            และแล้ว..สิ่งที่ เปปปิ  โรเซนเฟลด์ ได้กล่าวไว้ก็เป็นความจริงในไม่นานต่อมา..ที่ว่า..เหล่าบรรดาแฟนๆเก่าของฉันก็ได้อันตรธานหายวับไปจนหมดสิ้น !!

            *******ที่พูดถึง  คดีของ Dreyfus นั้น เลยจะมาขยายตรงนี้ค่ะ

            Alfred Dreyfus เป็นทหารฝรั่งเศสยศร้อยเอกที่มีเชื้อสายดั้งเดิมเป็นยิวจากแคว้นอัลสาซ  รับราชการในปี 1894 และต้องสงสัยว่าเป็นสายลับให้กับเยอรมัน
            เนื่องจากที่เขาเป็นยิว และทำงานอยู่ในหน่วยงานข่าวกรอง
            จึงมีการกล่าวโทษและมีการสร้างหลักฐานว่า ลายมือของเขานั้นตรงกันกับในเอกสารลับที่ค้นพบได้ในตระกร้าขยะของหน่วยงานในกองทัพเยอรมัน
            ไม่ว่าเขาจะอ้างตัวว่าบริสุทธิ์ ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ ศาลทหารก็ได้ตัดสินให้เป็นผิดในฐานะกบฏขายชาติ  ถูกถอดยศ ถูกส่งตัวไปจองจำที่ Devil's Island ที่อยู่ใกล้ชายฝั่งของอเมริกาใต้
            จากนั้น รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ใช้กรณีนี้โจมตีพวกยิวอยู่ตลอดเวลา

            แต่ต่อมาก็ได้พวกที่สำนึกผิดพยายามอออกมาปกป้องและพยายามรื้อฟื้นคดีให้ความเป็นธรรมกับเขาใหม่ แต่..ไม่เป็นผลสำเร็จ
            จนกระทั่ง..Emile Zola  นักประพันธ์ชาวยิว ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบล ได้เขียนบทความเรื่องราวในของเขา ชื่อว่า “J’accuse!”
            อีกทั้งเขียนบทความเปิดเผยการใส่ใคล้ของกองทัพฝรั่งเศสในการ"จับแพะ"
            จนมีการปลุกกระแสให้สอบสวนย้อนหลัง
            ในที่สุดก็พบว่า..มีการสร้างพยานและหลักฐานเท็จโดย  lieutenant colonel Hubert Henry
            ซึ่ง นายพันโท  ฮิวแบรต์ อองรี ได้ฆ่าตัวตายหลังจากที่การสอบสวนเสร็จสิ้น

            ในเดือนกันยายน 1899  ประธานาธิบดีได้ออกมาให้การนิรโทษกรรมแก่  Dreyfus หากแต่ยังมิได้อนุญาตให้นำตัวกลับมายังฝรั่งเศส
            จนกระทั่ง ปี 1906  สิบสองปีหลังจากความทนทุกข์ทรมาน เขาจึงได้กลับมาพร้อมกับการคืนยศของทางราชการ

       

            ไม่ว่าจะไปไหน..เปปปิมักจะว้อบแว้บอยู่ในรัศมีใกล้ๆไม่ว่าจะในชั้นเรียน ห้างร้าน หรือ ตามคาเฟ่  ถึงแม้จะไม่เห็นตัว แต่ฉันรู้สึกได้ถึงประสาทสัมผัส เช่นบางครั้งรู้สึกเย็นๆที่หนังศรีษะ หรือ ที่หลังท้ายทอย
            และเมื่อหันไป..เขามักอยู่แถมนั้นและจ้องมองมาเสมอ
            เขาไม่ใช่คนที่ชอบเจ๊าะแจ๊ะ  พูดจาเป็นงานเป็นการ
            นี่คือสิ่งหนึ่งที่ฉันชอบเขามากกว่าใครๆเพราะชื่นชมในความเป็นผู้รู้ของเขาที่สามารถคุยและปรึกษาได้ทุกเรื่อง และเชื่อว่าเขาคือคนที่"ใช่"เลย
            ซึ่งไม่นาน ฉันก็ตกหลุมรักเขาอย่างหมดใจ ไม่เคยคิดถึงใครอื่น..

            รูดอล์ฟ กิสคา ชายที่ฉันเคยให้สัญญาว่าจะแต่งงานด้วยในสมัยเด็กๆนั้น..จดหมายมาว่า..บัดนี้เขาได้ไปเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในเชคโกสโลวาเกีย และ กำลังจะเข้าร่วมขบวนการพรรคนาซีของ อดอล์ฟ ฮิตเล่อร์ ผู้ซึ่งเขาเลื่อมใสว่า ทุกอย่างที่นายอดอล์ฟพูดมาคือความจริงทั้งหมด รวมทั้งเรื่อง"ยิว" ดังนั้น เขาจึงขอคืนสัญญาที่เคยทำกันไว้..
            ฉันรีบตอบกลับไปด้วยความยินดี

      

            ตอนที่คบกับเปปปิใหม่ๆนั้น พ่อเขาเพิ่งเสียชีวิตที่สถานสงเคราะห์คนโรคประสาทสไตน์ฮอฟ ที่ไกเซอร์ได้สร้างเอาไว้  และด้วยอิทธิพลของลุงที่มีชื่อเสียงและเส้นสาย
            แอนนา..แม่ของเขาจึงได้รับบำนาญมาใช้ทุกเดือน  
            แอนนาเป็นที่ไม่ได้เรียนหนังสือหนังหาอะไรมากนัก
            แต่ไม่ใช่คนโง่  หล่อนเปลี่ยนเป็นยิวตอนที่แต่งงานก็จริง เพราะยังคงต้องการความช่วยเหลือในด้านเงินๆทองๆจากญาติทางสามี  แม้ว่าเขาจะตายไปแล้วก็ตาม...แต่เธอก็ยังแอบจุดเทียนบูชาพระเยซู และ ไปโบสถ์เป็นบางครั้งบางคราว..

            ในปี 1934 แอนนาแต่งงานใหม่กับนาย ฮอฟเฟอร์ คนขายประกัน แต่ก็ยังเก็บไว้เป็นความลับ เพื่อจะได้รายมีได้จากหลายๆทาง..
            แม้กระทั่งพิธีรับศิล บาร์ มิทซวาห์ เมื่อตอนที่เปปปิมีอายุได้ 13 ก็เถอะ  แอนนาจัดไปตามแกนอย่างนั้นเอง เพียงเพื่อต้องการเงินทำขวัญจากญาติๆยิวของสามี
            แต่เธอก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะ ลุงเศรษฐีของของเปปปิไม่ได้ให้เงินสดตามที่หวังไว้ เขาให้ของขวัญเป็นกล่องที่บรรจุหนังสือดีๆหลายเล่มจากกวีชื่อดัง เช่น Schiller, Goethe

            แอนนาเป็นหญิงร่างท้วมที่สีสัน ยิ้มแต่ละทีปานว่าอวดฟันปลอมออกมาให้เห็นทั้งชุด
            ชอบแต่งตัวด้วยผ้าดอกดวง ฉูดฉาดไม่สมวัย ผมสีแดงของเธอถูดจัดแต่งเป็นก้อนหอยเล็กๆพรมด้วยเบียร์ให้แข็งอยู่เป็นรูป  วันวันไม่ทำอะไรชอบซุบซิบนินทาชาวบ้าน
            แต่สำหรับลูกชายคนเดียวแล้ว..เธอปฏิบัติต่อเขาราวกับพระราชา ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินที่ต้องใช้เครื่องกระเบื้องอย่างดี หรือคอยไล่เด็กๆข้างบ้านไม่ให้ทำเสียงดัง
            ยามที่เขายังไม่ตื่น..
            และ ไม่ว่าเขาจะโตเป็นหนุ่มแค่ไหนแล้วก็ตาม  แอนนาก็ยังนอนห้องเดียวกันกับลูกชาย

        

            ความรู้มากช่างพูดของแอนนานั้น เป็นไปได้ทุกเรื่อง
            และมีคำตอบให้ในทุกกรณี เช่นว่า..ถ้าลูกใครเกิดมาแล้วไม่สมประกอบ เช่นปากแหว่ง..
            เธอก็จะนินทาว่า เป็นเพราะ แม่เด็กสำส่อน..
            ถ้าเด็กมีขาโก่ง..ก็เป็นเพราะ พ่อมันเจ้าชู้  
            เปปปิได้รับคำบอกเล่าจากแม่ของเขาเองว่า พ่อตายเพราะโรคบุรุษ ซึ่งความจริงเท็จจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  
            แต่..เธอก็คงจะเป็นคนแบบเดียวกับฮิตเล่อร์..หรืออาจจะบ้าเพราะกินน้ำที่ผสมยาพิษจากบ่อเดียวกันก็ได้
            เพราะ ฮิตเล่อร์เอง..เป็นคนที่เชื่อว่า โรคซิฟิลลิส คือโรคของชาวยิวโดยเฉพาะ..!!

            แอนนาชอบซื้อไวน์ใหม่(ไม่ทันได้หมัก)มาดื่มเสมอๆ เพราะเธอเชื่อว่าไวน์ที่ไม่ได้หมักนาน จะไม่มีแอลกอออล์ และไม่ทำให้เมามาย..
            แต่ตกเย็นทีไร..ทั้งฉันและเปปปิ ต่างก็มักพบเธอในสภาพ
            หน้าแดง.. ตาเยิ้ม  นั่งเอนๆอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก
            ตั้งอกตั้งใจฟังวิทยุสถานีนาซีด้วยใบหน้าที่เป็นทุกข์
            "โอย..แม่ครับ ทำไมต้องเรื่องบ้าๆนี่อีกแล้ว เดี๋ยวก็เครียดแย่" คำทักทายจากลูกชายทำให้แอนนาหันมาดุเสียงเขียว
            "ต้องตั้งใจฟังซิ..นี่มันเรื่องใหญ่นะ พวกเขาเกลียดยิว..เขาว่ายิวเป็นต้นเหตุในทุกเรื่องเชียว"
            "ไม่มีใครเชื่อหรอกแม่"
            "จะบ้าหรือไง..ใครๆเขาก็เชื่อกันทั้งนั้น..ในโบสถ์ ในตลาด เขาพูดกันทั้งนั้น และ พากันเชื่อด้วย"
            แอนนาตีโพยตีพาย..เถียงด้วยเสียงสั่นสะท้าน น้ำหูน้ำตาพาลไหลพราก..
            ซึ่งฉันเชื่อว่า มันคงเป็นเพราะพิษสงของ"ไวน์ใหม่" นั่นแหละ

           
            ในที่สุด ฉันก็ชนะ พ่อตกลงใจที่จะให้เรียนมหาวิทยาลัย..
            วิชากฏหมาย..
            ในสมัยนั้น ใครก็ตามที่อยากจะไปเป็นผู้พิพากษา หรือทนายความ ก็ต้องเรียนกฏหมายก่อน
            แล้วจึงไปแยกประเภทหลังจากจบตรงนี้ไปแล้ว..
            วิชาที่เราต้องเรียนก็มี..กฏหมายโรมัน กฏหมายเยอรมัน กฏบัญญัติของพระอาราม  กฏหมายแพ่ง กฏหมายอาญา รัฐศาสตร์  กฏหมายระหว่างประเทศ  เศรษฐศาสตร์  ประมวลมาตราพานิชย์  และที่มีเพิ่มขึ้นมาคือ จิตวิทยา.. และการถ่ายภาพเชิงนิติเวช
            ซึ่งวิชาสุดท้ายนี่ ทำให้ฉันต้องซื้อกล้องถ่ายรูปเล็กๆ เอาไว้ใช้..
            ส่วนเปปปินั้น..แม่ของเขาลงทุนซื้อกล้องไลก้า [Leica] อย่างดี พร้อมกับทำห้องมืดสำหรับล้างฟิล์มเองอีกด้วย  เขาชอบถ่ายภาพจำพวกสิ่งของแปลกๆเช่น แสงอาทิตย์สาดส่องเป็นสายจากท้องฟ้า
            หรือ หมากโดมินิที่ล้มกระจายบนโต๊ะ ส่วนฉันชอบถ่ายภาพคนโน้นคนนี้..

       

            ในขณะที่ฮิตเล่อร์ขึ้นบัลลังค์ผู้นำที่เยอรมัน..
            และเพื่อนจากชมรมสังคมนิยมยังสนุกสาน ไม่ได้คิดระแวงระไวอะไรเลยสักนิด  ยังไปเที่ยวเล่นปีนเขากันอยู่  
            ก็มี เฮดดี้ ดอยทช์ ลูกสาวของนักการเมือง(ยิว)ที่มีตำแหน่งอยู่ในสภา
            เอลฟิ เวสเตอร์ไมย์ นักเรียนแพทย์  
            เราทั้งหมดสนุกสนานร้องเพลงลั่นทุ่งกันแบบเด็กๆ  กลางคืนก็นอนค้างแรมในโรงนาที่สุมเต็มไปด้วกองฟาง ในบริเวณริมทะเลสาบ ที่ Saint Gilden
            แต่ยามอยู๋ในช่วงของภาคการศึกษา เรามักจะชุมนุมกันเสมอพูดคุยถกการเมืองแบบเอาจริงเอาจัง
            ขอให้เข้าใจความเป็นไปในสมัยนั้นก่อนว่า..ผู้คนหรือแม้กระทั่งพวกวันรุ่นสนใจเรื่องการเมืองมาก
            อีกทั้งเป็นพวกที่หัวแข็งและหัวรุนแรงก็มีไม่น้อย
            บางคน..พร้อมที่จะสละชีวิตเพื่ออุดมการณ์เชียว  
            แต่กลุ่มของเราไม่ถึงขนาดนั้น ถนัดไปทางบ้าน้ำลายอย่างเดียว

            ในกลุ่ม..ก็มีเด็กหนุ่มสองคน  ฟริทซ์ และ ฟรังค์  ที่เอาแต่เล่นปิงปอง ไม่ได้เคยสนใจโลกภายนอกใดๆทั้งสิ้น  เพื่อนผู้หญิงอีกสองคนก็เป็นฝ่ายเสบียง คือส่งเค้กจากฝีมือแม่มาให้เพื่อนๆชิม
            เด็กผู้ชายอีกคนหนึ่งก็เอาเครื่องเล่นจานเสียงมาเปิดเต้นรำ  เปิปปิเอากระดานหมากรุกมา ให้เราสามคนเล่นกัน คือ ฉัน เขา และ วูฟกัง
            ระหว่างที่เล่นหมากรุกไป เปปปิมักจะพูดเรื่องราวความเป็นไปในบ้านเมืองเสมอ เช่น
            " Oswald Spengler พูดไว้ว่า วัฒนธรรมอันสูงสุดของเรากำลังจะหายไป..เขาว่าพวกเรากำลังกลายเป็นพวกบริโภทนิยม และ คลั่งปรัชญา แต่ไม่รู้จักการลงมือปฎิบัติพัฒนา(ทรัพยากร).."
            "งั้นเหรอ..ถ้างั้นพวกนาซีต้องรักเขาตายเลย.." วูฟกังแทรกขึ้นมา..และต่อด้วยว่า
            "เพราะว่า พวกนาซีมักประกาศว่า..พวกเขาคือ คณะลงมือปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ"
            "ที่ไหนได้ล่ะ..พวกนาซีสั่งแบนนายนี่น่ะซิ..เพราะพวกเขาไม่ชอบให้ใครมาเที่ยวบอกว่า สิ่งที่ไม่ดีๆกำลังจะเกิด"  พูดจบ..เปปปิโขกรุกอย่างขัดใจ
            "ก็..สำหรับพวกเขาอนาคตมันช่างสวยงามเสียเหลือเกินไง" ฉันกล่าวเสริม..และ" พวกเขากำลังจะสร้างอารยะอาณาจักร ที่มีแต่เจ้านายทั้งนั้น..และคนอื่นๆในโลกคือพวกข้าทาสที่ต้องคอยแต่รับใช้พวกเขา จริงมั๊ยล่ะ"
            "แล้วเธอล่ะ.. อีดิธ คุณจะทำยังไงกับอนาคต" ฟริทซ์ส่งคำถามข้ามาจากโต๊ะปิงปอง
            "อ๋อ..ชั้นเหรอ ขั้นจะมีลูกสักหกคน เอามาแต่งตัวนั่งล้อมโต๊ะอาหาร  ผ้าเช็ดมือเหน็บที่คออย่างเรียบร้อย และพวกเขาจะบอกว่า แม่จ๋า..แอปเปิลสตูเดิลของแม่อร่อยจัง"
            เปปปิ..รีบเย้าว่า.."ไหนนะ..ใครจะทำขนมนะ..ถ้าเกิดแม่เธอไม่ว่างล่ะ จะทำยางง้ายยย??"
            ฉันเอื้อมมือไปทุบเขาเบาๆ..ด้วยความขวยอาย


            (Oswald Spengle เป็นปราชญ์ชาวเยอรมัน นักวิเคราะห์การเมืองและความเป็นไป เปรียบได้คือ คุณธีรยุทธ บุญมี ดีๆนี่เอง  เมื่อปีที่ยุโรปตกต่ำสุด คือ 1918-1922 ภาวะระส่ำสายหลังสงคราม และ ความแร้นแค้นได้เข้ามาครอบคลุม
            ออสวัลด์ สเปงเกิล ได้เขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง ที่จัดว่าโดนใจที่สุด คือ  The Decline of the West
            ที่ปัจจุบัน ยังถือเป็นกระจกส่องทางได้ดี  สำหรับพวกที่ต่อต้านลัทธิทุนนิยม)

        

            วูฟกังเริ่มสนใจเรื่องรอบข้างถึงกับเอ่ยถามว่า
            "พวกเราได้ข่าวหรือเปล่า ที่ว่า ฮิตเล่อร์จะพรากเด็กไปเลี้ยงเอง ถ้าพ่อแม่ไม่รู้จักสั่งสอนให้ลูกรู้จักกับลัทธิชาตินิยม"
            "โอย..อย่างนี้ก็ฟ้องกันตายเลย ศาลไม่ยอมหรอก " ฉันเองที่เป็นคนโวย
            "ใครว่าไม่ยอม..สมาชิกพรรคนาซีนั่นแหละ นั่งกันหน้าสลอนเต็มศาลเชียว"
            "ไม่เข้าใจเลยนะ ว่า ไอ้เปี๊ยกนั่น(ฮิตเล่อร์) และพวกของมัน สามารถทำลายประชาธิปไตยของมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่อย่างเยอรมันได้อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบได้อย่างไร?" วูฟกังทุบโต๊ะจนหมากรุกกระจายว่อนบนโต๊ะ
            "ฟรอยด์ คงจะบอกได้มั๊ง..ว่านี่คือชัยชนะของอัตตา..เพราะว่าพวกนี้เขาคิดว่าพวกเขาใหญ่คับโลก ความคิดของพวกเขาสร้างความบรรเจิดจ้าที่ทำให้ประชาชนตาบอดจนมองไม่เห็นความถูกต้องที่ควรเป็น
            ที่แย่ก็คือ พวกนาซีไม่เคยมีช่องว่างสำหรับการติเตียน  
            ไม่เหมือนกับจักรพรรดิซีซ่าร์ ที่สร้างอาณาจักรได้โดยการขยายอาณาบริเวณในประเทศอื่นๆ แต่ก็ทรงให้ประเทศราชเหล่านั้นแสดงความสามารถในการปกครองกันเอง
            แต่พวกนาซี..ทำตรงกันข้าม เพราะ มันทำอย่างอื่นไม่เป็น..นอกจากการทำลายล้าง..ฉะนั้น..อนาคตก็ไปไหนไม่ได้ไกล นอกจากความยิ่งใหญ่ที่ลวงตา วันหนึ่งก็ต้องพังพินาศ"
            สิ้นเสียง..ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ผู้พูดอย่างทึ่งจัด..เปปปิเป็นผู้ที่มีสติปัญญาหลักแหลมเสมอ
            "แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ?"
            "เราก็ต้องต่อสู้เพื่ออุดมการณ์น่ะซิ.. ด้วยความศรัทธาในสิ่งที่เราเชื่อมั่น(ระบบสังคมนิยม) อันเป็นสวรรค์ของมนุษยชาติ ที่ ทุกคนเท่าเทียมกันหมด ไม่มีผิวขาว ไม่มีผิวดำ ไม่มียิว ไม่มีนาย ไม่มีบ่าว
            เราจะมีมีผิวสีเดียวกันหมดทั่วโลก คือ ผิวมนุษย์
            สิ้นเสียงตอบ..ฉันภูมิใจเหลือเกินที่มีเขาเป็นชายคนรัก..และ ปลื้มใจที่คนเก่งๆอย่างเขาที่เลือกฉันมาเป็นคู่ใจที่จะเคียงข้างต่อไปในอนาคต..

    
            ในขณะที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งเวียนนาในปี 1933-37 นั้น เรามีเรื่องยุ่งเหยิงทางการเมืองอย่างไม่มีจบสิ้น
            ท่านนายกรัฐมนตรี Dollfuss  ได้เปลี่ยนนโยบายอย่างกระทันหัน นั่นคือ ประกาศให้ออสเตรีย
            รัฐบาลคาทอลิคนิยม..
            และสั่งแบนการเคลื่อนไหวฝ่ายสังคมนิยมทุกชนิด
            ซึ่งเล่นเอาสมาชิกและพวกฝักใฝ่ในฝ่ายนี้ที่ส่วนใหญ่คือนักศึกษาลุกขึ้นมาการต่อต้านกันเป็นการใหญ่
            เมื่อมีคำสั่งห้ามชุมนุม..การแอบพบปะก็ย่อมเกิดขึ้น..วันนั้นเป็นวันที่จะมีการชุมนุมพร้อมกับนักอภิปรายชื่อดัง ซึ่งได้มีการซักซ้อมกันดีว่าถ้าตำรวจมา
            ทุกคนต้องทำเป็นว่าซ้อมร้องเพลงประสานเสียง ซึ่งพวกเราได้เลือกเพลง "Ode toJoy" ของ เบโธเฟน ซึ่งเพื่อให้สมจริง พวกเราจึงต้องซักซ้อมกันเป็นการใหญ่
            ตลอดเวลาของการซ้อม..ฉันทำทุกอย่างตั้งแต่กัดริมฝีปาก กัดข้อนิ้วตัวเอง จนกระทั่งกัดแผ่นโน๊ตเพลง แต่ทั้งหมดนั้น ไม่สำเร็จ..จึงปล่อยออกมาก๊ากใหญ่
            ซึ่งไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอกนะที่หลุด..เพราะเพื่อนๆทุกคนต่างพากันลงไปนอนขำกลิ้งกับคณะประสานเสียงจำเป็นอย่างเหลืออด

            ฝ่ายฝักใฝ่สังคมนิยมต่างเริ่มเรียกร้องให้ทำการประท้วงหยุดงานกันไปทั่ว ทั้งๆที่ในปี 1934 นั่นภาวะเศรษฐกิจแสนที่จะย่ำแย่ คนตกงานถึงหนึ่งในสามของประชากร
            ซึ่งไม่รู้ว่าจะประท้วงกันไปทำไม  ในเมื่องานก็ไม่มีทำ  นับว่าวิธีนี้ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่..แต่.............
            รัฐบาลของท่านนายก Dollfuss กลับยิ่งแสดงความไม่ฉลาดไปยิ่งกว่า กล่าวคือ เมื่อได้ยินเรื่องนัดประท้วงหยุดงาน และจะมีการเดินชบวน ก็จัดแจงแต่งกองทัพไปเตรียมพร้อมรับมือกับม๊อบ
            เมื่อการณ์เป็นเช่นนี้  การปะทะย่อมเกิดขึ้นเป็นของธรรมดา  มีคนตายนับร้อย บาดเจ็บนับไม่ถ้วน
            สรุปว่า..สิ่งที่เกิดขึ้นได้กลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ที่ทำให้ประชาชนแตกความสามัคคี  มัวมาทะเลาะกันเอง แทนที่จะรวมตัวรวมใจกันไปต่อสู้กับนาซี

      

            นายกรัฐมนตรีทัก..เอ๊ย..ดอลล์ฟัส สั่งเนรเทศพวกฝักใฝ่
            นาซีแบบเรียงตัว..ถ้าจับได้
            ส่วนฮิตเล่อร์ก็ตามเก็บเอาไปเลี้ยงที่เยอรมันอีกทั้งขู่ออกรายการวิทยุประจำวัน
            ว่าจะเข้ามาจัดการพวกเราออสเตรียนซะให้สิ้นซากขวากหนาม  
            รวมทั้งตีข่าวของกลุ่มชาวเยอรมัน-ออสเตรียน ที่ถูกทำร้าย..ทารุณ โดยพวกบอลเชวิคในเชคโกสโลวาเกีย
            โดยที่ไม่ลืมที่จะปิดท้ายรายการด้วยการด่าชาวยิวว่าเป็นพวกไอ้ขี้โกง..ไอ้ฆาตกร..ไอ้ขี้ปด ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับเศรษฐกิจของโลกจนเกิดภาวะขาดแคลนฝืดเคือง
            ทำให้เกิดปัญหาให้คนว่างงานนับล้านๆคน..ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นการใส่ใคล้ ใส่ความ จนฉันไม่เคยสนใจที่จะฟังไอ้บ้านั่นแหกปากปาวๆ ด้วยเสียงที่แสบแก้วหูจะตาย..

            ต่อมาก็มีการวุ่นวายในมหาวิทยาลัยเพราะพวกนักศึกษาที่หลงไหลในลัทธินาซีได้ก่อการจราจล ไล่ทุบตีฝ่ายที่คิดตรงข้าม ไม่เว้นแม้กระทั่งอาจารย์  ในการอภิปรายฉะฮิตเล่อร์
            มีการขว้างระเบิดใข่เน่าเข้าไปในหอประชุม นักศึกษาเกิดการปะทะกัน  ตำรวจต้องเข้ามาสยบเหตุการณ์ด้วยแก๊สน้ำตา..
            ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ได้มีคนเตือนพวกเราแล้วว่า..ถ้านาซีเข้ามายึดครองได้เมื่อไหร่ จะยิ่งเลวร้ายไปกว่านี่อีก  
            ดังที่ท่าน Thomas Mann ผู้ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาการประพันธ์ (The Magic Mountain)  ได้มายืนหน้าเวทีด้วยใบหน้าที่หม่นหมอง..ในการอภิปรายต่อต้านนาซีในครั้งหนึ่งว่า
            "ผมไม่รู้ว่า ค่ำคืนนี้จะมีความหมายอย่างไรกับพวกคุณบ้าง...แต่กับผมแล้ว..มันมีความหมายที่สุด"
            ในกลุ่มที่เข้ามาสังเกตการณ์อภิปราย..ถ้าเป็นพวกที่สวมถุงเท้าขาว นั่นคือพวกที่ฝักใฝ่นาซี..
            และในนั้น มี รูดอล์ฟ  กิสคา แฟนเก่าของฉัน..และที่ต้องประหลาดใจที่พบ
            นั่นคือ แม่หนูน้อยไอสไตน์ เพื่อนปัญญาทึบที่เคยให้ฉันติววิชาเลขให้ทุกเช้า  ต่อมาก็คือ เอลฟิ เวสเตอร์ไมย์แม่เพื่อนสาวที่มากับแฟนหนุ่ม นาย ฟรานซ์ เซเกอร์
            คนทั้งหมดที่พูดถึงมานี่ ถ้าจะเสียสติไปแล้วจริงๆ..
            ยายเห็นท่าจะพูดถูก..ว่า..ต้นกระบองเพชรแห่งเมือง
            สตอคเคโรเนี่ยย..มันมาเจริญงอกงามผิดที่จริงๆ..!!

            (หมายเหตุ..กระบองเพชรที่เปรียบเทียบ..หมายถึง..เอลฟิ เวสเตอร์ไมย์ เพราะเธอคือ ลูกยิวค่ะ................วิวันดา)

            ขออธิบายเพิ่มเติมนิดหนี่งว่า..ยิวบางพวกที่อพยพมาอยู่ยุโรปนานแสนนาน จนไม่เหลือความเป็นยิวนั้นก็มีมาก
            แต่จะทราบกันจาก นามสกุล ถ้าต่อท้ายด้วย baum..
            หรือ meyer ละก้อ คือใช่..
            ในยุคนาซีนั้น มีการแปลงสัญชาติ ฉีกเอกสารทิ้งกันวุ่นวาย ยิ่งถ้าเป็นคนมีเส้นมีสายก็ได้กระทำกันได้เนิ่นๆ
            โดยเฉพาะ การไปหาซื้อนามสกุลของพวกผู้ดีเก่าตกยาก
            ที่มีคำว่า von หน้านามสกุล (โดยการทำว่าเป็นบุตรบุญธรรม) นั้นได้ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว ตัวอย่างเช่น
            นาย Joachim von Ribbentrop รมต. ต่างประเทศของฮิตเล่อร์ ที่มีที่มาที่ไปของต้นตระกูล ไม่ชอบมาพากล..
            และตอนนั้น คือยุคที่เงินสามารถซื้อได้ทุกสิ่งจริงๆ..

      

            การเมืองในออสเตรียเข้าขั้นวิฤกติ เพราะนายกรัฐมนตรี Dollfuss ถูกลอบสังหารโดยฝ่ายนาซีออสเตรียน ในวันที่ 25 กรกฏาคม 1934
            กฏอัยการศึกถูกประกาศใช้ ถนนหนทางเต็มไปด้วยตำรวจ  ยามพร้อมอาวุธได้ถูกจัดวางในทุกจุดที่มีที่ตั้งของสถานทูตต่างๆ

            วันหนึ่ง ขณะที่ฉันเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน..นักศึกษาชายสองคนที่เดินอยู่ข้างหน้า ถูกตำรวจขี่มอร์เตอร์ไซค์เข้ามาขอทำการตรวจค้น
            พอฉันเดินมาถึงมุมถนน..ก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังถูกจับกุม ส่วนแฟนสาวของเขากำลังถูกสอบสวนปากคำ
            ในใจจริงๆแล้ว..ฉันเองรู้สึกตื่นเต้น อยากจะโดนสกัดจากตำรวจอย่างพวกเขาเหมือนกัน เพราะน่ามันจะตื่นเต้น เอาไปคุยฟุ้งกับเพื่อนๆได้อีกหลายวัน
            แต่..ไม่มีใครสนใจฉันเลย..เพราะลักษณะฉันมันไม่โดดเด่น..หน้าตาจืดชืด..ดูราวกับเป็นเด็กอายุสิบสี่  ทั้งๆที่เป็นนักศึกษากฏหมายวัยยี่สิบเอ็ดปีเข้าไปแล้ว

            นายกรัฐมนตรีคนใหม่ คือ นาย เคิร์ท ฟอน  ชูสชนิคค์ ( Kurt von Schuschnigg) เข้ามาแทนที่คนเก่าที่เพิ่งถูกสังหารไป  ประชาชนยังไม่เลื่อมใสนัก
            แต่หวังว่า เขาคงปกป้องพวกเราให้พ้นจากเงื้อมมือนาซีได้ก็แล้วกัน
            ฉันและเปปปิชอบพากันไปเดินเล่นตามท้องถนน และช่วยกันวาดวิมานในอากาศถึงระบบปกครองแบบสังคมนิยมที่ควรจะเป็น
            ในขณะนั้น ฮิตเล่อร์ได้เข้าไปยึดครองเขตกันชน Rhineland (รอยต่อเยอรมัน-ฝรั่งเศส) แล้ว..ทั้งๆที่ตามสัยญาแวร์ซายย์ได้ระบุให้เป็นเขตปลอดทหาร
            เท่านั้นไม่พอ ฮิตเล่อร์ยังเข้าไปวุ่นวายกับสงครามกลางเมืองในสเปนด้วย  
            อิตาลีที่เคยเป็นมหามิตรของออสเตรียมาแต่ไหนแต่ไร กลับแปรพักต์ไปเข้ากับเยอรมันอย่างหน้าไม่อาย
            เพราะ ตัวเองอยากจะเข้าไปรบเพื่อยึดครองเอธิโอเปีย..


            และพร้อมกับความยุ่งเหยิงนี้..พ่อฉันได้จากไปอย่างไม่มีใครคาดฝัน..เดือนนั้นคือ เดือนมิถุนายน 1936 หลังจากที่พ่อได้เดินเข้าไปตรวจตราความเรียบร้อยในห้องอาหารที่ โฮเต็ล บริสตัล
            เสร็จสรรพ พ่อก็ล้มลง..และเสียชีวิตในทันที

            ข่าวที่มาถึงเรานั้นมันรุนแรงจนเหมือนกับสายฟ้าฟาด  แม่นั่งนิ่งซึมด้วยใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตา  มิมินั่งเกาะกุมมือกับแฟนหนุ่มน้อยเพื่อนนักเรียน นายมิโล เกรนซ์บาวร์
            ส่วนฮันซี่น้องน้อยนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น..
            ฉันต้องเป็นฝ่ายวิ่งเข้าวิ่งออกในห้องครัว เพื่อที่จะดูแลเรื่องน้ำชากาแฟให้กับแขกที่เข้ามาแสดงความเสียใจ  เยาท์สกี้ญาติสาวมากับคู่หมั้นรูปงาม นามว่า ออตโต ออนเดรจ ที่ช่างเอาอกเอาใจ
            คอยซับน้ำตาให้ตลอดด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย
            เปปปิมาพร้อมกับแอนนาแม่ของเขา  ที่ไม่ทันจะวางกระเป๋าเธอก็รีบมานั่งแปะข้างแม่ พร้อมกับพรรณาถึงชีวิตที่แสนลำเค็ญของการเป็นแม่หม้ายที่เธอผ่านมา เธอรู้ดี..
            เท่านั้นไม่พอ..ยังเที่ยวถามใครต่อใครอย่างไม่เกรงใจ...ว่า...พ่อได้ทิ้งสมบัติอะไรไว้ให้พวกเราบ้าง?
            เปปปิเข้ามาฉันในครัว พร้อมกับลูบศรีษะปลอบโยนว่า  ทำใจให้สบาย ทุกอย่างจะเรียบร้อยไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง..

            แต่ฉันไม่ได้เชื่ออะไรนักหรอก เพราะมันเป็นประโยคมารยาทที่ใครต่อใครมักพูดกันเท่านั้น เพราะความจริงก็คือ เราได้เสียเสาหลักของครอบครัวไป ต่อไปนี้ เราจะอยู่กันอย่างไร  ใครจะมาคอยดูแลและปกป้องเรา

         

            แม่ตัดสินใจจะเปิดรับตัดเย็บเสื้อผ้า ตามที่ลูกค้าจะสั่ง
            และก่อนที่แม่จะลงมือทำอะไร ตามมารยาทของสังคมสมัยนั้น แม่ต้องไปหาเพื่อนบ้านที่ทำอาชีพนี้อยู่แล้วเพื่อเป็นการบอกกล่าว เชิงขออนุญาตแบบกลายๆ
            และพร้อมขอความช่วยเหลือแนะนำ
            ซึ่งทุกคนต่างพร้อมใจกันส่งเสริมสนับสนุนและยินยอมด้วยดี
            นี่คือสาเหตุที่เราเชื่อว่า..ทุกคนรักเรา เอ็นดูเรา ยอมรับเราเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง..

            หน้าที่ของฉันคือ การรับสอนหนังสือพิเศษเพื่อหารายได้พิเศษ และต้องเรียนให้หนักขึ้นกว่าเดิมเพราะต้องผ่านการสอบขั้นสุดท้ายให้ได้  เพื่อที่จะเป็นนักกฏหมายจะได้มีงานดีๆทำ
            ครอบครัวจะได้อยู่ดีกินดี ส่วนเรื่องกระแสการเมืองที่กำลังวุ่นๆนั้นอีกหน่อยก็คงหายไปเอง
            แต่ที่พูดมานั้น มันไม่ใช่ของง่าย เพราะ ฉันแทบไม่มีสมาธิในการเรียน ยามที่ไปนั่งในห้องสมุด  ตาก็มักจะจ้องไปที่หน้าหนังสือตรงหน้า..แต่ในใจนั้น เลื่อนลอยไปไกลแสนไกล..

            จนวันหนึ่ง.. อันโทน เรเดอร์  หนึ่งในอดีตแฟนเก่าสมัยมัธยมปลาย เข้ามานั่งใกล้ๆ..เขาคนนี้กำพร้าพ่อตั้งแต่ครั้งยังเด็กๆ และเขาเข้าใจดีความรู้สึกของฉันถึง ความว้าเหว่   หวั่นไหว ไหนจะต้องเร่งให้เป็นผู้ใหญ่กว่าวัย..
            เขาเอ่ยเบาๆว่า
            "คุณยังน่ารักเหมือนเดิมนะ"
            "คุณก็ยังดูดีเหมือนกัน"
            "ผมจะบอกคุณว่า ผมได้เข้าเรียนในวิชาการทูต แต่มันไม่ใช่เพราะความสมัครใจของผมหรอกนะ  แต่เป็นเพราะผมได้ทุนน่ะ"
            "แต่มันก็ดีนี่..คุณจะได้ไปท่องเที่ยวประเทศโน้นประเทศนี้..บางทีอาจจะไปถึงอังกฤษ อเมริกาเชียว"
            "คุณจะไปกับผมมั๊ยล่ะ?"
            "อะไรนะ..?"
            "ฟังนะ..ผมรู้ดีว่าคุณกำลังคบกับ เปบปิ  โรเซนเฟลด์ แต่ขอผมบอกอะไรอย่างนึงนะ..แฟนของคุณคนนี้จัดว่าเป็นพวกความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด เชื่อผมเถอะ
            ไปกับผมดีกว่า..เราจะเข้ากันได้ดี"
            พูดจบเขาก็เอื้อมมือมาเกาะกุมมือฉันไว้  แว้บเดียวที่พุ่งเข้ามาในความคิด ว่า..เออ..เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะ..
            แต่..จากนั้นฉันก็ให้เหตุผลสารพัดถึงความไม่เหมาะสมต่างๆนานา..
            อันโทน..สมกับเป็นนักการทูตที่ดีต่อไปในอนาคต..เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าฉันกำลังจะบอกอะไร เขายืนขึ้นและจุมพิตที่มือฉันเบาๆ ก่อนที่จะลาจากไปอย่างเงียบๆ

            เราได้ต้อนรับเพื่อนบ้านรายใหม่..เป็นวิศวกรพ่อหม้าย ชื่อว่า นายเดนเนอร์  เขามีลูกสาวสองคน เอลซ่า อายุ สิบเอ็ด และ คริสตัล อายุ สิบสี่  และเนื่องจาก
            ตัวพ่อต้องออกไปทำงานที่นอกเมืองบ่อยครั้ง  ลูกสาวทั้งสองจึงต้องดูแลตัวเอง เขากำลังมองหาพี่เลี้ยงเด็กเพื่อช่วยในการสอนหนังสือ และช่วยดูแลเรื่องทั่วๆไปของเด็กทั้งสอง
            ผู้จัดการอาคารจึงแนะนำให้เขาพิจารณาฉันเป็นพิเศษ
            ซึ่งในที่สุดฉันก็ได้งานนี้โดยใช้เวลาที่เลิกเรียนจากมหาวิทยาลัยในยามบ่ายมาดูแลพวกเด็กๆที่เราทั้งหมดต่างเข้ากันด้วยดี..
            ห้องชุดที่พำนักของครอบครัวนี้อยู่ในชั้นที่อดีตเคยเป็นห้องโถงสำหรับเต้นรำที่มีแต่แขกเหรื่อระดับเจ้านายและขุนน้ำขุนนาง**
            (** ในอดีต ตึกที่อยู่อาศัยนี้ คือ วังเก่า......วิวันดา)
            ซึ่งนำมาดัดแปลงโดยการแบ่งกั้นเป็นห้อง
            หน้าต่างแต่ละบานใหญ่โตมโหฬาร  สูงจากพื้นไปติดเพดาน  พื้นห้องเป็นไม้ขัดเงาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
            ยามที่เห็นเด็กหญิงทั้งสองพยายามที่จะถูพื้นให้สะอาดนั้น ใจฉันให้สงสารเป็นกำลัง..จนต้องถามว่า
            "ใครจะเสด็จมาไม่ทราบคะ..เจ้านายแห่งราชวงค์ฮัฟบวร์คก็ไม่เหลือแล้ว..ส่วนราชวงค์บอร์บองก็ลี้ภัยไปนอกประเทศแล้วนี่นา"
            "ปล่าวหรอกค่ะ พ่ออยากให้พวกเราทำให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อเป็นการย้ำเตือนความจำว่า ในอดีต..ที่นี่เคยรุ่งเรือง"
            ทั้งสองต่างมีสัตว์เลี้ยงเป็นลูกสุนัขคนละตัว..มีชื่อเป็นภาษารัสเซีย เพื่อเป็นอนุสรณ์ต่อมารดาที่ล่วงลับที่เป็นรัสเซียที่มีเชื้อสาย

            ตัวของเอลซ่า..น่ารัก นอนหลับบนตักของเจ้าของตลอดเวลา แต่ของคริสตัลนั้นช่างซุกซน วิ่งเล่นไล่นกทั้งวัน..ซึ่งเทียบแล้ว..สุนัขก็เหมือนเจ้าของไม่มีผิด
            เอลซ่าแสนเรียบร้อย  สงบเสงี่ยม ส่วน พี่สาวนั้น ค่อนข้างขี้เล่น..สนุกสนาน
            คริสตัลหมายมั่นที่จะเรียนวิชาธุรกิจ แต่ไม่สนใจวิชาบัญชี เขียนจดหมายไม่เป็น และไม่ตั้งใจทำอะไรอย่างจริงจัง..ตัวอย่างเช่น..ยามที่ฉันนั่งเฝ้าดูเธอทำการบ้าน ซึ่งก็ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าว
            เพราะหลังจากนั้น เธอจะใช้เหตุผลมาอ้างสารพัดที่จะขอไปทำอย่างอื่น..
            ยามที่เราพาสุนัขไปเดินเล่นบนถนนใกล้ๆบ้าน..เด็กหนุ่มๆมักมาคอยดักดู  ผิวปากกันวิ๊วว๊าว หรือไม่ก็ตามมาส่งช่อดอกไม้..เพราะหน้าตาที่น่ารัก ร่างสูงสมส่วน ตาสีฟ้าอมม่วงของสาวน้อยคริสตัลผู้ทรงเสน่ห์

           

            พอเธออายุได้ 15 ฉันก็เต็ม 23 ตอนนั้น คริสตัลกำลังมีความรักกับเพื่อนหนุ่ม นามว่า อันส์ เบอเรน  ซึ่งใครก็ก็เรียกเขาว่า เบอร์สกี้  
            นายเดนเนอร์ พูดถึงเขาว่า.."ไอ้นี่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่  แต่มันรู้จักใช้สตังค์ ไม่สุรุ่ยสุร่ายแบบเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน"
            แต่ความรักของคนทั้งสองช่างเต็มไปด้วยปัญหาจุกจิก เดี๋ยวดี เดี๋ยวทะเลาะ เดี๋ยวหึง เดี๋ยวง้องอนที่ต้องโทรศัพท์หากันดึกๆดื่นๆ
            หลายครั้งที่ฉันปรากฏตัวขึ้น..คริสตัลรีบเข้ามาต้อนรับและดึงตัวไปกระซิบกระซาบในที่ลับตาคน ใจความว่า เธอต้องการความช่วยเหลือด่วน
            แล้วเธอก็จะเล่าเรื่องการขัดอกขัดใจกับแฟนหนุ่มที่มีขั้นได้ในสารพัดเรื่อง ลงท้ายว่า ขอให้ฉันช่วยเขียนจดหมายให้
            "ได้โปรดเถอะ อีดิธจ๋า ถ้าไม่ช่วยเห็นทีจะแย่แน่ๆเลย  เขียนให้หน่อยนะ นะ..?"
            แล้วฉันจะไปปฏิเสธแม่สาวน้อยที่รักปานประหนึ่งน้องสาวแท้ๆคนนี้ได้อย่างไร
            เมื่อคริสตัลได้สอบผ่านจากวิทยาลัยธุรกิจได้  นายเดนเนอร์ ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โต โดยเช่าเรือล่องออกไปตามแม่น้ำดานูป พร้อมปาร์ตี้ที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มสำหรับแขกจำนวนไม่น้อย
            ก่อนที่งานจะเลิก บริกรได้นำช่อกุหลาบแดงมามอบให้ฉัน ซึ่งฉันพยายามมองหาว่ามาจากใคร..แต่ช่อดอกไม้สีสวยสดนั้นคงเป็นปริศนาเพราะไม่มีการ์ดแนบติดมาด้วย

            ที่บ้านแม่กำลังปักนกลงบนเสื้อสีเหลืองตัวใหม่ให้ฉัน  และแม่สามารถเดาได้ทันที ว่า กุหลาบช่อนั้นมาจากนายเดนเนอร์บิดาของเด็กๆ
            "คงเป็นการขอบคุณแหละลูก  เพราะในยามที่เด็กๆพวกนี้ต้องการใครสักคนหนึ่งมาทำหน้าที่ให้ความอบอุ่น รักและเอาใจใส่ หนูก็ทำได้ดี  อีดิธ ฟังแม่นะ..แม่เชื่อว่าถ้าหนูมีลูกของหนูเอง   หนูจะเป็นแม่ที่วิเศษสุด "

           

            นายกรัฐมนตรี ฟอน ชูสชนิคค์ กำลังคิดที่จะมีนโยบายนำราชวงฮัฟบวร์คกลับมาครองบัลลังค์ออสเตรียใหม่
            ซึ่งนาซีไม่ชอบใจอย่างยิ่ง ถึงกับขู่ฟ่อๆกันตรงๆอย่างไม่มีอ้อมค้อมว่า
            ถ้ากล้าดีก็ลองดู จะยกทัพเข้ามาจัดการให้เรียบในชั่วข้ามคืนเชียว..
            เล่นเอาท่านนายกรีบระงับการการดำเนินการในเรื่องนี้อย่างทันที แต่ก็ยังพยายามที่จะรักษาอิสรภาพของประเทศไว้ให้นานที่สุด ซึ่งนับเป็นการต่อต้านที่โดดเดี่ยวเอาซะจริงๆ
            เพราะคนอื่นๆนั้นโอนเอียงไปทางโน้นหมดแล้ว..

            ค่ำๆของวันที่ 11 มีนาคม 1938  ที่ฉันและเปปปิได้จูงมือออกไปเดินเล่นในละแวกบ้าน เราคุยกันจุ๋งจิ๋ง เอียงตัวเข้าซบกันบ้าง กอดกันบ้าง..ตามประสาคู่รัก
            เสียงชาวบ้านตะโกนออกมาทางหน้าต่างว่า.."นายกฯได้ลาออกแล้ว"
            ทั้งถนนตกอยู่ในความเงียบสงัด..เปปปิโอบตัวฉันแน่นเข้า..
            "เราคงอยู่ไม่ได้แล้วละ เปปปิ"  เสียงฉันสั่นด้วยความหวาดหวั่นต่ออนาคตในภายหน้า
            "อย่าเพิ่งตื่นตูมซิ ที่รัก"
            "ไม่ได้แล้วละ เราต้องออกไปจากประเทศนี้ให้เร็วที่สุด " ฉันกอดเขาแน่น พูดด้วยเสียงที่ละล่ำละลัก
            "ใจเย็นๆเถอะน่า  เพียงอาทิตย์เดียวทุกอย่างก็กลับมาอย่างเดิม"  
            "แต่..ฉันกลัว..............."
            "ไม่ต้องกลัวซิ  ผมอยู่ที่นี่ทั้งคน อย่าลืมซิว่า ผมรักคุณ พร้อมที่จะปกป้องคุณตลอดไป"  พูดจบ..เขาก็บรรจงจูบฉันอย่างสุดพิสวาท ความกลัวค่อยๆหายไป เหลือไว้แต่ความอบอุ่น  ความรัก และความหวัง  
            มาถึงบัดนี้ ฉันไม่สนใจแล้วว่า รัฐบาลจะอยู่หรือไป ประเทศชาติจะพร้อมทำสงครามหรือไม่..เพียงแค่มีเขา พ่อยอดยาใจอยู่เคียงข้าง ฉันก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรต่อไปอีก..
            เขาคนนี้..ฉันเชื่ออย่างหมดใจว่า..จะมาเป็นปราการกันภัยแทนที่พ่อผู้ซึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
  Peppy
           
            วันต่อมาคือวันครบรอบห้าสิบปีของการครองคู่ของตากับยาย..
            พวกเราทำขนมเค้ก  ซื้อไวน์  บรรจุลงกล่องเพื่อเตรียมไปดื่มฉลองตอนอวยพรที่บ้านเมืองสตอคเคโร
            แต่..ทุกอย่างพลิกผันไปหมด การเดินทางที่เตรียมไว้อย่างดิบดีนั่นต้องงดอย่างกระทันหัน เพราะ ฮิตเล่อร์ได้เลือกวันนั้นเป็นวันยาตราทัพเข้ามาในออสเตรีย
            เป็นการบุกอย่างแปลกประหลาดที่สุด เพราะ เส้นทางเดินทัพของเยอรมันได้มีการต้อนรับอย่างดี ด้วยธงริ้วประดับประดาไปตามถนน
            วงดุริยางค์บรรเลงรับ  สถานีวิทยุนาซี(ที่เหลืออยู่สถานีเดียวที่ออกอากาศ) ได้แพร่ข่าวทั้งวัน  ผู้คนมาจากสารพัดทิศ นอกเมือง และในเมือง พากันหลั่งไหลมาชุมนุมตามท้องถนนเพื่อต้อนรับทัพนาซี

            ในวันที่ 10 เมษายน 1938  เสียงโหวตอย่างถล่มทะลายจากประชาชนที่ ยินดีและยินยอมให้.ออสเตรียเข้าเป็นขัณฑสีมากับเยอรมัน..ถึง เก้าสิบกว่าเปอร์เซ็น
            เพื่อนในกลุ่มฝักใฝ่สังคมนิยมของฉันคนหนึ่งที่สูญเสียพ่อไปเพราะถูกนาซีลอบสังหารนั้น พยายามที่จะดำเนินการต่อต้านนาซีอย่างลับๆ โดยการทำงานแบบใต้ดิน
            เขาได้เสนอให้ฉันเข้ามามีส่วนร่วมการทำงานครั้งนี้ โดยรับหน้าที่เป็นคนส่งสาสน์
            ฉันรู้สึกตัวว่ามีความสำคัญขึ้นมาทันที..และ ยินดีที่จะเข้าร่วมทำงานในครั้งนี้อย่างเต็มใจ จึงรีบจับมือกับเขา..อันเป็นสัญญาในการตกลงใจร่วมคณะ

            แต่เมื่อได้มาเล่าให้เปปปิฟัง..เขาไม่เห็นด้วยอย่างแรง แถมตำหนิฉันอีกด้วยว่า..ช่างไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวเสียจริง ถ้าเกิดว่า ถูกจับขึ้นมา ใครจะมาเลี้ยงแม่และน้อง
            ก็จริงของเขา..ฉะนั้น ฉันจึงรีบไปขอเลิกสัญญากับเพื่อนด้วยเหตุผลดังกล่าว
            อนิจจา..ฉันนี่ช่างเป็นเด็กดีเสียจริงๆ  เพราะไม่ว่าสุดที่รักจะพูดอะไรก็เชื่อฟังเขาไปหมด..!

          

            สิ่งแรกเลยที่นาซีได้ทำ นั่นคือ แจกวิทยุ 100,000 เครื่องให้กับชาวออสเตรียนคริสเตียน  
            แล้วพวกวิทยุนั่น..พวกเขาได้มาจากไหน..ก็จากพวกเราชาวยิวอย่างไรเล่า
            เพราะหลังจากที่มีการรวมประเทศเข้าด้วยกัน พวกยิวทั้งหมดได้รับคำสั่งให้ออกมามอบเครื่องพิมพ์ดีด และวิทยุที่มีทั้งหมด เพื่อวัตถุประสงค์ไม่ให้มีการติดต่อกับโลกภายนอก
            หัวหน้าการขจัดยิวในออสเตรียที่ได้รับการแต่งตั้งจากเยอรมันคือ SS ตัวเอ้  อดอล์ฟ ไอค์มันน์  ซึ่งนายนี่ได้ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็งและเข้มงวด โดยการสร้างความลำบากอย่างที่สุดให้กับยิว

            ผู้ที่ต้องการจะอพยพไปจากพื้นที่  ถ้าเป็นคนรวย..ต้องเซ็นยินยอมยกสมบัติทั้งหมดให้กับรัฐบาล  
            คนที่มีฐานะปานกลางค่อนข้างดี ต้องจ่ายค่าหัวด้วยราคาแพงๆ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถจ่ายได้หมด ถึงกับต้องเลือกเอาว่า จะเลือกลูกคนไหนที่จะอยู่หรือไป..

            ถนนหนทางเต็มไปด้วยนักเลงในเครื่องแบบชุดสีน้ำตาล(SA) ที่มีปลอกแขนเป็นเครื่องหมายสวัสดิกะ..ทั้งหมดมีอาวุธปืนที่จ่อเข้าหาประชาชน และถ้าใครขัดขืนก็มีสิทธิทุบตี หรือยิงตายตามความชอบใจ
            หรือ อาจถูกส่งเจ้าค่ายทรมานที่ดักเฮา , บัคเชนวัลด์ หรือที่ค่ายอื่นๆที่พวกเขาเตรียมไว้พร้อม
            (ในตอนนั้น ค่ายกักกันที่ว่า มีเอาไว้เพื่อขังนักโทษการเมือง ที่ต่อต้านนาซี  อดีตนายกรัฐมนตรีของเรา นาย ฟอน ชูสชนิคค์ ก็ถูกจับเข้าขังในค่าย ซึ่งต้องทำงานแบกหามเป็นการลงโทษ แต่พวกเขาก็ได้ออกมา จ
            นกระทั่ง 1940 พวกค่ายต่างๆเหล่านี้จึงกลายเป็นค่ายนรกที่คร่าชีวิตผู้คน ไม่มีใครเลยสักคนที่จะคิดว่า ค่ายนรกที่ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาอย่างเอาซวิทซ์จะมีขึ้นในโลก)

            ฉันจะอธิบายอย่างไรถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนาซีได้ย่างเท้าเข้ามา..
            พวกเราเคยผ่านความยากลำบากตั้งแต่ครั้งภาวะฝืดเคือง  ขาดแคลน แต่คราวนี้มันเกินเลยไปจนเทียบไม่ได้
            เพราะผู้คนรอบข้างเรา เพื่อนบ้านเรา ต่างเต็มไปด้วยความรู้สึกหยามเหยียดผิว แบ่งแยกวรรณะ  อคติกันขึ้นมาอย่างกระทันหัน  คำว่าอคติ นั่นยังสุภาพเกินไปด้วยซ้ำ
            เพราะจริงๆแล้ว..
            พวกเขาเกลียดเรามาตั้งแต่เริ่มมีศาสนา
            พวกเขาเกลียดเรามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก
            พวกเขาถูกเลี้ยงดูมาให้เกลียดพวกเรา
            และตอนนี้  ออสเตรียได้รวมเข้าไปเป็นทองแผ่นเดียวกันกับเยอรมัน  พวกเขาจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องมา
            เสแสร้งตีหน้าเป็นมิตรกันอีกต่อไป..

            ตามบาทวิถี..ที่มีการเขียนข้อความต่อต้านนาซี..เหล่าทหารหน่วย SS จะลากคอชาวยิวเท่าที่จะคว้ามาได้ ให้มานั่งขัดถูจนสะอาด ด้วยปืนที่จ่อติดสมอง..ท่ามกลางเสียงเชียร์รอบข้างจากชาวเมืองด้วยความสะใจ

            พวกนาซีออกรายการวิทยุรายวัน ที่ฟังแล้วออกสับสน รายการหนึ่งเขาเรียกเราชาวยิวว่า..ไอ้เศษเดนมนุษย์ ไม่มีค่าอะไรเลย..
            แต่อีกรายการหนึ่ง พวกเขากล่าวว่า พวกเราคือพวกที่มีอิทธิฤทธิ์เกินมนุษย์ เพราะสามารถวางแผนการทำลายล้าง  สามารถปล้นทุกอย่างได้ไปจากชาวโลกทุกคน
            และ พวกเขาคือ กลุ่มที่จะมากอบกู้ให้มนุษย์ได้รอดพ้นไปจากเงื้อมมือมหาโจรอย่างเรา..
            นั่นเท่ากับว่า..บ้านที่เราอยู่อย่างแสนสบาย   เก้าอี้บุหนังที่โก้หรู หรือของทุกชิ้นที่เรามี..เราปล้นเขามาหมดเลยอย่างนั้นหรือไร..
            เขาลืมไปกระมัง..ว่าพ่อของฉันต้องทำงานจนสายตัวแทบขาด เหนื่อยจนล้มตายคาที่ทำงาน..เพื่อที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัว..
            พวกเพื่อนบ้านและคนที่รู้จักเรา ต่างก็รู้ดีแก่ใจว่า นั่นคือความจริง..แต่..พวกเขาก็ต่างทุกข์ยาก ฝืดเคือง ตกงาน  ไม่มีทางไหนที่จะกลับคืนฟื้นฐานะได้อย่างเดิม
            นอกจาก..ต้องเออออห่อหมกการสนับสนุนให้ปล้นทรัพย์สินไปจากชาวยิวเพื่อเอามาแบ่งปันกันให้อยู่ดีกินดีขึ้น..

            นี่คือโปสเตอร์ที่ใช้ในการโปรประกันดาสอนให้เด็กเกลียดและกลัวยิว
            V
            V
            V   
          
            เราทั้งหมดนั่งหวาดผวาอยู่แต่ในบ้าน มีความหวังอยู่อย่างเดียวว่า..เมื่อไหร่เมฆหมอกร้ายๆนี่จะผ่านไปเสียที  เฝ้ารอว่าความสงบสุข  ความสวยงาม และความอ่อนไหวของเสียงเพลงแห่งเวียนนา อาจจะทำให้พวกเขาลดความกระด้างลงไปบ้าง..
            แต่เราก็ได้แต่คอยแล้ว คอยเล่า

            มิหนำซ้ำกฏข้อห้ามของยิวเริ่มมีบทบาทที่รุนแรงขึ้น เช่น..พวกเราไม่อนุญาตให้ไปโรงมหรสพใดๆ  ไม่อนุญาตให้ใช้ถนนบางสาย เพราะ ร้านค้ายิวจะถูกปิดป้ายห้ามคนเข้าไปอุดหนุน
            มิมี่ถูกคำสั่งพักงานจากร้านซักรีดที่ทำอยู่ เพราะ เจ้าของร้านที่เป็นคริสเตียนไม่สามารถจ้างแรงงานยิวต่อไปได้  ฮันซี่ถูกไล่ออกจากโรงเรียน

            ลุงริชาร์ดไปที่ร้านกาแฟเจ้าประจำที่เคยไปทุกวันติดกันมายิ่สิบปี..บริกรที่ไม่รู้จักลุง ได้พาไปนั่งที่ฝั่ง"อารยัน" เพราะลุงมีผมสีอ่อน หน้าตาไม่เหมือนยิว..
            แต่ที่ฝั่ง"อารยัน" บริกรที่นั่นรู้จักลุง..และรู้ว่าลุงเป็นยิว  จึงเชิญให้ลุงกลับไปนั่งที่ฝั่งเดิม..
            ยุ่งยากนัก..ลุงเลยไม่กิน  ไม่เกิน กลับบ้านทันที..และไม่ไปที่นั่นอีก..

            ท่านบารอน หลุยส์ เดอ รอธส์ไชลด์ หนึ่งในมหาเศรษฐี(ยิว)ที่รวยที่สุดในเวียนนา พยายามที่จะเดินทางออกนอกประเทศ..แต่ที่สนามบิน เขาได้ถูกจับกุม และส่งเข้าห้องขัง
            ไม่ปล่อยจนกว่า ท่านบารอนจะเซ็นยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้รัฐบาล ซึ่ง นั่นคือวิธีการซื้อชีวิต ที่ท่านต้องทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ
            มาถึงตอนนี้..ใครๆก็อยากจะออกนอกประเทศกันทั้งนั้น

            "บางทีเราอาจจะไปอยู่ที่ปาเลสไตน์กันก็ได้นะ"  ฉันชวนเปปปิในวันหนึ่ง
            "คุณน่ะเหรอ..แม่ทูนหัว ..ที่จะไปลำบากทำงานในไร่น่ะ" เขาหยอกเย้าอย่างเห็นขัน พร้อมทั้งจับมือฉันขึ้นมาพิจารณา พร้อมกล่าวต่อว่า
            "เดี๋ยวมือนุ่มๆนี่..ก็ด้านหมดหรอก"

           

            ฉันไปยืนเข้าแถวรอคิวที่ยาวเหยียดที่หน้ากงศุลของอังกฤษติดๆกันหลายวัน  
            เพื่อที่จะขอสมัครออกไปทำงานเป็นแม่บ้านที่นั่น  ซึ่งดูเหมือนว่า หนทางนี้คือยอดปรารถนาสาวยิวทุกคนในเวียนนา
            มีชายชาวจีนได้เข้ามาชักชวนว่า ถ้าใครสนใจจะไปทางตะวันออกก็ยินดีช่วยเหลือ ทั้งพาสปอร์ตและค่าใช้จ่าย..ไปสู่ดินแดนที่มีทั้ง กำแพงยักษ์ พระราชวังของมหาจักพรรดิ์
            และถ้าตัดสินใจก็ไปได้เลย
            เขามีรถพร้อมที่จะพาออกไปจากออสเตรียได้ในวันนี้ พรุ่งนี้
            ซึ่งเชือว่าก็ต้องมีคนสนใจไปกันไม่น้อย  ลูกพี่ลูกน้องของฉันที่ชื่อ เอลลิ โชคดีที่ได้รับเลือกให้ไปอังกฤษ แต่ส่วนฉันยังต้องคอยต่อไป..

            บ่ายวันหนึ่ง..ฮันซี่ไม่ได้กลับมาบ้าน  แม่นั่งร้องไห้กระซิก เราสองพี่น้องออกไปตามหากันในทุกที่ที่ไปได้ แต่ก็ไม่พบ..
            ทุกคนเริ่มเป็นกังวลจนแทบครองสติไม่ได้ เพราะ ใครเล่าจะไม่ห่วง ในเมื่อสาวน้อยหน้าตาดี วัยขบเผาะอย่างฮันซี่จะหายไปในเมืองที่มีแต่ความโหดร้ายต่อชาวยิว

            จนในที่สุด ฮันซี่ก็กลับมาในเวลาเที่ยงคืน..เธอหน้าซีดเผือด ตัวเนื้อสั่นเทา เล่าว่า..
            พวกนาซีจับตัวเธอไปที่สถานีที่ทำการ เอาปืนจ่อหัวและสั่งให้เธอนั่งติดกระดุม  เย็บซ่อมเครื่องแบบที่กองพะเนินเทินทึก
            ในห้องข้างๆ เธอได้เห็นพวกนาซีได้จับเหล่าสาธุคุณรับไบ มารวมกัน แล้วเอาปืนจ่อให้พวกท่านทำท่าตลก ตีลังกา แล้ว..พวกเขาก็นั่งหัวเราะกันอย่างครื้นเครง
            ฮันซี่..ทนดูภาพทุเรศๆนั่นไม่ได้ จึงต้องร้องกรี๊ดออกมา..  ไอ้พวกนั้นบอกเธอว่า ถ้าไม่อยากตายก็หุบปากซะ..
            และสั่งให้เธอทำงานจนเสร็จ จึงได้ปล่อยตัวออกมา..
            ฮันซี่พูดด้วยเสียงแผ่วๆว่า.
            "เราต้องไปจากที่นี่กันเถอะ แม่จ๋า.."  

            แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆดังที่ปากว่า..การแก้ใขปัญหาคือ ถ้าเป็นคู่สมรสจะมีสิทธิได้รับบัตรออกนอกประเทศได้ง่ายกว่าคนโสด ดังนั้น มิมี่จึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกับมิโลคู่รักหนุ่ม


            ฉันจึงอ้อนต่อเปปปิว่า "งั้นเรามาแต่งงานกันมั่งเถอะ"
            เขายิ้มนิดๆ ยักคิ้วล้อๆว่า " อ้าวไหนสัญญากับพ่อไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่แต่งงานกับคริสเตียนน่ะ"
            ใช่ซิ..ตอนนี้เปปปิกลายเป็นนับถือศาสนาคริสต์ไปแล้ว เพราะแอนนาแม่ของเขาพยายามทำทุกวิถีทางให้เขาต้องพ้นไปจากข้อบังคับยิวของกฏหมายแห่งนูเรมเบอร์ค
            ในมาตราที่ออกมายกเลิกเพิกถอนสิทธิในการเป็นพลเมืองของชาวยิวในประเทศเยอรมันและออสเตรีย
            แอนนาพาลูกชายวัย 26 ปีเข้าโบสถ์ไปทำพิธีล้างบาปและเข้ารีต
            อีกทั้งใช้เส้นสายและอำนาจทุกชนิดที่มีลบชื่อของเขาออกจากสมาคมยิวไปได้อย่างหวุดหวิด
            ฉะนั้น ไม่ว่า นายไอค์มันน์จะนับแล้วนับอีกอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะพบชื่อของ Josef Rosenfeld ในบัญชี
            "แต่มันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรหรอกนะ เพราะกฏหมายนูเรมเบอร์คนั้นมีผลใช้ย้อนหลังได้  แถมคุณมาเป็นคริสต์ในปี 1937  ในขณะที่กฏหมายมีผลบังคับใช้
            ตั้งแต่ปี 1936  ยังไงก็ผิดอยู่ดี"  ฉันแย้งตามประสาคนรู้กฏหมาย
            "จุ๊..จุ๊..รู้แล้วก็อย่าไปบอกกับแม่ผมก็แล้วกัน เพระแม่เขาคิดว่าเขาเก่งที่ทำให้ผมรอดออกมาแล้ว  ขืนรู้เดี๋ยวก็จะกังวลจนเสียประสาทไปใหญ่"
            แล้วเขาก็ก้มลงจูบฉันนิดหนึ่ง..แค่นี้ก็ทำให้ฉันถึงกับเคลิบเคลิ้มจนลืมเรื่องที่ขอเขาแต่งงานไปเมื่อสักครู่เสียสนิท..


            ในภาพ..สาวน้อย..อีดิธ ที่เรากำลังพูดถึงค่ะ..

   
            อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่ยอมให้เรื่องยุ่งๆของการเมืองมาขวางกั้นการเรียน..
            การสอบทั้งสองครั้งฉันทำได้ดี ผ่านด้วยคะแนนที่น่าภูมิใจ
            เหลืออีกครั้งเดียว การสอบครั้งสุดท้าย ที่จะทำให้ฉันเป็น ผู้พิพากษา และ เป็นดุษฏีบัณฑิตทางกฏหมายดังที่รอคอย
            และเมื่อฉันได้รับปริญญาบัตร มีความรู้ติดตัว..จากนั้นการที่จะไปประเทศไหนก็คงไม่ใช่เรื่องยาก

            ในเดือน เมษายน 1938  ฉันไปที่มหาวิทยาลัย เพื่อลงชื่อและยื่นใบสมัครสอบ  พนักงานสาวคนที่คุ้นเคยหน้ากันได้เข้ามาบอกว่า
            "เธอไม่มีสิทธิสอบนะ อีดิธ เพราะทางมหาวิทยาลัยได้คัดชื่อเธอออกแล้ว"  แล้วเธอคนนั้นก็ส่งเอกสารตรงหน้ากลับคืนมาทั้งหมด
            ฉันเข่าอ่อน จนแทบยืนไม่ติดพื้น ต้องอาศัยยันร่างไว้กับโต๊ะ..
            อะไรกันนี่..ความยากลำบากที่เฝ้าเพียรพยายามมาตลอดห้าปี ที่ต้องคร่ำเคร่งกับตำราทุกชนิด
            อีกทั้งการฝึกงานกับผู้พิพากษาอาทิตย์ละสามครั้ง เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการสอบครั้งสุดท้ายนี่..
            มันไม่มีค่าอะไรเลยเจียวหรือ
            ฉันลงทุนกราบกรานอ้อนวอน..
            "กรุณาเถิดค่ะ..เหลือการสอบเพียงครั้งเดียว ฉันก็จะจบแล้ว..ได้โปรดเถิดค่ะ..กรุณา.........."
            หล่อนคนนั้นหมุนตัวกลับไปอย่างไม่ใยดี ด้วยท่าทางที่มีความสะใจอย่างลึกๆ..ผยองในอำนาจของตัวเองที่สามารถบดขยี้ชีวิตของฉันแหลกสลายไปได้ต่อหน้าต่อตา..

      
     
 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker