บทสัมภาษณ์ Webmaster ของ IseeHistory.com ที่เคยลงในนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ 2884 ปีที 54 ประจำวันอังคารที่ 26 มกราคม 2553 คอลัมน์ "สุขที่ใจรัก" หน้า 58-59 สัมภาษณ์โดย อรุณี ภาพประกอบโดย สุทธิพันธ์
-----
โรจน์ จินตมาศ
ประวัติศาสตร์ออนไลน์
เพราะมีความสนใจในประวัติศาสตร์ แถมยังชอบดูภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในช่วงสงครามโลกเป็นชีวิตจิตใจ โรจน์ จินตมาศ ข้าราชการในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จึงนำเรื่องราวและมุมมองที่ได้พบเห็นผ่านหนังสงครามมาเล่าสู่กันฟังผ่านทางเว็บไซด์ www.iseehistory.com ของเขา ด้วยจุดหมายเพื่อทบทวนความรู้ทางประวัติศาสตร์ของตนเอง และให้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นๆ ที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน
ย้อนอดีต หาปัจจุบัน
“จุดเริ่มต้นความสนใจ จริงๆ มาจากหลายเหตุด้วยกัน เท่าที่นึกออกคงจะมาจากการได้ดูหนังสงครามเรื่องแรกๆ ที่มาฉายทางทีวีเมื่อ ๓๐ กว่าปีก่อนโน้น ยังเป็นภาพขาวดำอยู่เลยชื่อเรื่อง Combat แม้ว่าเนื้อหายังไม่ถึงกับเป็นประวัติศาสตร์ที่ลึกอะไรมาก แต่ก็อิงกับประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นเรื่องของทหารอเมริกันหน่วยหนึ่งที่ต้องไปผจญภัยต่อสู้กับข้าศึกคือ ทหารฝ่ายเยอรมัน ซึ่งนอกจากจะยิงกันมันส์ๆ แล้ว ก็ยังมีข้อคิดดีๆ ด้วย เช่น เรื่องของความเป็นเพื่อนระหว่างทหารฝ่ายเดียวกัน และการมีเมตตาระหว่างศัตรู จากหนังสงครามเรื่องแรกที่ได้ดูทางทีวี พอโตก็เริ่มติดตามดูเรื่องอื่นต่อตั้งแต่เป็นวีดิโอจนตอนนี้เป็นวีซีดีกับดีวีดี แต่ก็ดูแบบยังไม่ได้คิดว่าจะรวบรวมให้เป็นชิ้นเป็นอัน แล้วช่วงแรกผมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเราชอบ ก็แค่หาหนังดูไปเรื่อยๆ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นหนังประวัติศาสตร์ เพียงแต่ด้วยสัญชาตญาณที่อาจจะชอบอะไรที่อิงความจริงมากกว่าก็เลยมักจะหยิบจะซื้อหนังแนวนี้มากกว่าแนวอื่น จนกระทั่งเมื่อประมาณ เดือนมีนาคม ๒๕๔๙ ได้เริ่มเขียนบล็อค แต่ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับหนังสงครามโดยตรงอยู่ดี จะมีหลายๆ คอลัมน์จับฉ่ายกันอยู่ หนังสงครามประวัติศาสตร์ก็เป็นคอลัมน์หนึ่งในจำนวนนั้น จนตอนหลังถึงเริ่มสังเกตว่า มีคนให้ความสนใจเยอะ ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้นถึงได้แยกออกมาตั้งเป็นเว็บไซด์โดยเฉพาะ นอกจากหนังสงครามโลกแล้วยังมีหนังอีกแนวที่เพิ่งรู้ตัวเมื่อไม่นานว่าชอบอยู่ไม่น้อยคือ พวกหนังกำลังภายในที่อิงประวัติศาสตร์ อย่างเรื่องดาบมังกรหยก ที่เนื้อหาส่วนหนึ่งอาจจะมีเรื่องอภินิหารกำลังภายในอยู่เยอะ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ในช่วงที่ประเทศจีนกำลังจะปลดแอกตนเองจากการปกครองของมองโกล เป็นต้น
แต่ถ้าย้อนไปสมัยประถมมัธยม เรื่องประวัติศาสตร์ก็ยังไม่ถึงขนาดเป็นวิชาโปรดที่สุดนะครับ ช่วงนั้นผมจะชอบพวกภาษาและวรรณคดีมากกว่า ส่วนประวัติศาสตร์จะสนใจในเชิงกึ่งๆ บันเทิงจากหนังหรือหนังสือที่อ่านนอกเวลาเรียน ตอนเรียนปริญญาตรีเลยเลือกสาขาภาษาและวรรณคดีเป็นวิชาเอกก่อน พอเรียนจบพอดีเป็นจังหวะที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพิ่งเปิดปริญญาโทสาขาประวัติศาสตร์เป็นรุ่นแรกเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๗ ก็เลยไปเรียน ซึ่งก็ทำให้ได้เห็นประวัติศาสตร์ในมุมมองที่แตกต่างออกไป คือเดิมเราอาจจะมองว่าเป็นแค่ความบันเทิง แต่การเรียนปริญญาโทจะเป็นระเบียบวิธีการที่ต้องมีการอิงหลักทางวิทยาศาสตร์บ้าง ต้องมีการวิเคราะห์พยานหลักฐานเพิ่มเติม มีทฤษฎีเข้ามาประกอบค่อนข้างมากกว่าประวัติศาสตร์แบบที่เราอ่านเท็จบ้างจริงบ้างในหนังสือหรือที่เห็นในหนัง ดังนั้นแนวการเขียนของผมเลยจะกึ่งๆ ระหว่างชาวบ้านคือการเล่าเรื่อง กับการหาข้อมูลข้อเท็จจริงที่ควรทราบมาประกอบเพิ่มเติมไปกับการชม เพราะว่าหนังแต่ละเรื่องต้องมีกระบวนการผลิตที่อาจจะทำให้ไม่ได้เล่าประวัติศาสตร์แบบตรงไปตรงมา โดยอาจเป็นความจงใจเพื่อจะเน้นความบันเทิง หรือด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลาของหนังที่ทำได้แค่สองถึงสามชั่วโมง ซึ่งแหล่งข้อมูลที่ผมใช้มากคือ วิกิพีเดีย ทั้งภาษาไทยและอังกฤษ แต่ตอนหลังพอมีเว็บไซด์เป็นเรื่องเป็นราวก็อยากจะให้การเช็คข้อมูลละเอียดขึ้นเลยพยายามใช้หนังสือให้มากขึ้น ทั้งที่สะสมไว้แต่เดิม กับซื้อเพิ่มเติมในภายหลัง
แต่ช่วงแรกๆ ผมก็เคยมีความรู้สึกว่าหนังบางเรื่องค่อนข้างบิดเบือน ผิดเพี้ยนเลยมีบางบทความที่วิจารณ์ไปแรงๆ เช่นเรื่องเพิร์ลฮาเบอร์ ประเด็นที่แย้งคือ ในช่วงที่ถูกโจมตี มีวีรบุรุษตัวจริงที่เอาเครื่องบินขึ้นไปสู้กับญี่ปุ่นอยู่ ๒ คน แต่ในหนังกลายเป็นว่าคนที่เอาเครื่องขึ้นเป็นแค่ตัวละครสมมติ ตอนแรกผมเขียนด้วยความรู้สึกเสียดายว่าเขาน่าจะเอาวีรบุรุษตัวจริงขึ้นมายกย่องมากกว่า กับอีกประเด็นคือ ตัวละครที่มาเป็นพยาบาลทหารที่ในเรื่องบอกว่าโกงอายุเพื่อจะได้มาทำหน้าที่นี้ แต่ตามข้อมูลที่ได้มา คนที่เป็นพยาบาลทหารจะมีอายุ ๒๐ กว่าขึ้นไปทั้งนั้น เรียกว่าไม่สามารถจะโกงอายุได้แบบทหาร คือในสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะมีผู้ชายบางคนที่อายุยังไม่ถึง ๑๘ ปี แต่โกงอายุเพื่อให้ได้เป็นทหาร แต่ในกรณีของพยาบาลทหารกว่าจะฝึกจนเป็นต้องใช้เวลา ซึ่งอายุของพยาบาลก็จะ ๒๐ ปีขึ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะไม่สามารถโกงอายุแบบในหนังนั้นได้ แต่หลังจากที่แย้งไปก็มีคนที่พูดคุยกันทางเว็บฯ เตือนว่า อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปขนาดนั้น เพราะหนังประวัติศาสตร์ก็มีทั้งที่ทำตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป๊ะๆ กับบางเรื่องที่เป็นเหมือนกับนิยายอิงประวัติศาสตร์ คือหยิบเอาเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มาส่วนหนึ่งมาใส่จินตนาการเพิ่มเข้าไป บางทีการที่เราแย้งแรงเกินไปก็อาจจะขัดความรู้สึกของคนที่ชอบหนังเรื่องนั้นได้ ตอนหลังผมเลยพยายามใช้ภาษาให้เพลาๆ ลง ในส่วนของเว็บบอร์ดก็เช่นกัน คนที่เข้ามาดูในเว็บฯ มีตั้งแต่ระดับมัธยมจนถึงหลังเกษียณ ซึ่งผมยังกังวลถึงการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนอยู่บ้าง เพราะขึ้นชื่อว่าความเชื่อแล้ว บางทีก็ไม่ได้จำกัดรุ่นว่าต้องเป็นแต่เฉพาะกับเด็ก เคยมีคนมาโพสต์ข้อความ ซึ่งเราเห็นอยู่ว่าข้อมูลมันผิด เช่นบางคนไปนึกว่าอิตาลีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่มีเครื่องบินรบเลย หรือคนพูดเรื่องสงครามโดยลำดับเหตุการณ์ผิด อย่างนี้เราก็จำเป็นต้องแย้งบ้าง แต่ก็จะพยายามแย้งแบบไม่ให้เสียน้ำใจ”
แหล่งรวมคนชอบดู (หนังสงคราม)
“ช่วงแรกที่เปิดก็เป็นไปตามธรรมชาติของเว็บไซด์ที่มีคนเข้ามาดูวันละร้อยสองร้อย แต่จากที่เราค่อยๆ เขียนสะสมไปเรื่อยๆ ทำให้มีคนเข้ามาดูเพิ่มขึ้นจนตอนนี้เป็นวันละพันกว่าคนแล้ว ในด้านคุณภาพก็มีคนที่เป็นแฟนเว็บไซด์มาช่วยเขียนบ้าง แต่ก็ยังมีไม่กี่คน เช่นคนที่ใช้นามปากกาว่า countryboy นายพลไอเซนฮาวน์ ลีโอ53(คุณชาญชัย) และ คนเล่าเรื่อง ส่วนในเว็บบอร์ดก็มีการพูดคุยบ้าง แต่ส่วนใหญ่ยังหนักไปในเรื่องการถามหาแหล่งซื้อหนัง (หัวเราะ) เรื่องในเชิงวิชาการหรือประวัติศาสตร์ก็มีบ้าง แต่ยังน้อยกว่าที่อยากจะเห็น การร่วมเขียนบทความส่วนใหญ่ผมจะปล่อยฟรีสไตล์แล้วแต่ว่าเขาอยากเขียนเรื่องอะไร แต่จะขอร่วมมือนิดหนึ่งว่า ให้ช่วยตั้งกระทู้หรือติดต่อบอกล่วงหน้าสักนิดจะได้ไม่เขียนเรื่องชนกัน เพราะเคยมีว่าบางเรื่องผมหยิบมาเขียนแล้วมีอีกคนบอกว่าเขาก็ตั้งใจจะเขียนอยู่เหมือนกัน คือตัดหน้ากันโดยไม่ตั้งใจ
ตอนนี้บทความในเว็บไซด์ที่มีมากที่สุดคือ หนังเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในสมรภูมิยุโรป มี ๔๐ เรื่องได้ รองลงมาเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝั่งเอเชีย ส่วนหนังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เท่าที่จำได้มีประมาณ ๒๐ เรื่อง และในฐานะที่เป็นคนไทยผมก็ทำหน้าประวัติศาสตร์ไทยไว้รองรับ นอกจากนั้นยังมีหน้าของประวัติศาสตร์ตะวันตกยุคแรกๆ เช่น กรีก โรมัน และประวัติศาสตร์อเมริกันยุคแรกๆ ได้แก่พวกเรื่องคาวบอย และสงครามกลางเมือง ประวัติศาสตร์สงครามเวียดนาม ที่เหลือนอกจากนี้จะอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่รวมถึงหนังที่ไม่เกี่ยวกับสงคราม เช่น ไททานิค สารคดีตามรอยพระพุทธเจ้า ฯลฯ แต่เคยคิดเหมือนกันว่า อีกหน่อยอาจจะแยกส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์จีนออกมาเป็นอีกกลุ่มต่างหาก
สำหรับเป้าหมาย ถ้าช่วงแรกก็ยังไม่ได้มีความมุ่งหวังอะไรชัดเจนนัก ยังเป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ ที่อยากจะเอามาแชร์กับคนอื่น แต่พอผ่านมาก็อยากจะให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ทางประวัติศาสตร์กันมากขึ้น ในทุกระดับ ตั้งแต่เรื่องเล่าผ่านภาพยนตร์ไปจนกระทั่งถึงวิชาการหนักๆ ก็อยากจะให้มีให้เห็น ก็กำลังหาทางอยู่ครับว่า จะโปรโมทให้ได้ผลในเชิงคุณภาพแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไงบ้าง”
เรียนรู้ผ่านหนัง
“นอกจากความบันเทิง ถ้าจะสรุปให้สั้นที่สุดสิ่งที่ได้เรียนรู้จากหนังสงครามก็คือ ชีวิตต้องสู้ อย่างในหนังสงครามค่อนข้างจะเป็นรูปธรรมชัดหน่อยว่า มีข้าศึกที่เราต้องต่อสู้อยู่ข้างหน้า เรียกว่าต้องอาศัยทั้งความพยายามของเราเอง และความร่วมมือกับคนอื่น เคยมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า “ความพยายามทุกครั้งของเราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีความสำเร็จครั้งไหนที่เกิดขึ้นโดยปราศจากความพยายาม” แต่ใจจริงผมก็ไม่ได้อยากให้เกิดสงคราม เพราะยิ่งวิวัฒนาการมากขึ้นก็ยิ่งทำลายล้างมากขึ้น จากเดิมที่อาจจะแค่รบกันโดยใช้หอกใช้ดาบก็เปลี่ยนมาเป็นธนู จากธนูมาเป็นปืนเล็ก ต่อด้วยปืนใหญ่จนมาถึงระเบิดปรมาณู
นอกจากนั้นบางทีผมรู้สึกว่า คนในสังคมเวลามองประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งการเมืองปัจจุบันยังไปเน้นที่ตัวบุคคลค่อนข้างจะมากเกินไป แต่ถ้าเป็นประวัติศาสตร์ในเชิงที่เป็นวิชาการขึ้นมาอีกนิด เราต้องมองถึงพัฒนาการของสังคมโดยรวมที่ให้ทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างเป็นธรรมต่อทุกคนในสังคมมากที่สุด พูดง่ายๆว่า เวลามองประวัติศาสตร์อยากให้มองเกินกว่าตัววีรบุรุษจะเป็นคนเดียวหรือหลายคนก็ตาม เพราะเคยมีคนกล่าวว่า สังคมไหนที่ต้องการวีรบุรุษมากเกินไป แสดงว่าสังคมนั้นกำลังมีปัญหา โดยคนที่กล่าวนั้นเขาเน้นไปที่สังคมเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่ช่วงนั้นคนกำลังมองเหมือนฮิตเลอร์เป็นวีรบุรษ ซึ่งผลสุดท้ายฮิตเลอร์ก็ทำประเทศชาติพังไป ในส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นด้วยตัวฮิตเลอร์เอง แต่ในอีกหลายๆ ส่วนก็มาจากคนที่แวดล้อมฮิตเลอร์ รวมถึงคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจถึงสังคมเวลานั้นดีพอ ก็เลยกลายเป็นโศกนาฏกรรมของชาติที่ต้องใช้เวลาฟื้นฟูกันนานกว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิม”
ภาพถ่ายจากนิตยสารฉบับจริง (คลิกเพื่อดูภาพขนาดเต็ม 4,098X2,794 Pixels)