dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนหก


 


    

    มีผู้อ่านถามมาว่า..เจ้านายอังกฤษนั้นรังเกียจยิวด้วยหรือ?
    เคยเล่ามาในหลายตอนหลายเรื่องของการเขียนแล้วว่า..ยิวนั้น มีการเป็นอยู่และวัฒนธรรมที่แตกต่างไปจากคนอื่นๆ อีกทั้งค่อนข้างจะมั่นใจ
    ในตัวเองด้วยว่า เป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรและมาสายตรงจากพระเจ้า
    ดังนั้น..ในเชิงของการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ยิวมักถูกยัดเยียดให้เป็นผู้ร้ายมานานแสนนานจนหยั่งรากฝังลึก
    นานมากจนเกินกว่าจะแก้แล้วค่ะ
    ในปัจจุบัน ยิวออโธด๊อกซ์เหลือน้อยเต็มที
    ที่เหลือมากและกระจายไปคลุมเศรษฐกิจของชาวโลก คือพวก Secular ที่หมายถึง ยิวแอบๆ
    ไม่ได้บอกใครว่าเป็นยิว ไม่เคร่ง แต่..จะกลับไปเป็นยิวอีกเมื่อไหร่ก็ได้ ตามพระบัญชาลิขิต ว่า เมื่อมารดามีสายเลือด
    เป็นยิว..ลูกหลานจะเป็นอื่นใดไม่ได้

    ส่วนในเรื่องของพระราชวงค์นั้น ดังที่เล่ามาตั้งแต่ต้นแล้วว่า
    อย่าว่าแต่ยิวเลย..ถ้าไม่ใช่วงค์อสัญแดหวาด้วยกันแล้ว
    ก็ยังยอมรับกันยาก
    ขนาดเป็นสายเลือดแท้ๆ ..ยังตัดกันขาดดังฉับๆได้เลย...ตัวอย่างก็มีให้เห็น
   

 
            ในยามนั้น ทั้งท่านดยุคและสมเด็จต่างก็ไม่เข้าพระทัยถึงในจิตใจประชาชนที่ต้องการเห็นความแจ่มใส ความมีชีวิตชีวาของเจ้านายที่ตัวเองรักและบูชา มากกว่าเพียงแต่การโบกพระหัตถ์หวอยๆ
            จากพระราชรถเทียมม้าที่แสนโอ่อ่านั่น พวกเขาจึงกระหายที่จะเข้ามาดูความเป็นกันเอง รอยยิ้มกระจ่างด้วยไมตรีของท่านผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของสหรัฐอเมริกากันอย่างขนัดแน่น
            ทั้งสมเด็จและจ๊าคเกอลีนมีอะไรที่คล้ายๆ กันอยู่อย่างนึง นั่นคือการมีสามีที่แสนเนื้อหอมอยู่เคียงข้าง และ ชายสองคนที่ว่านี้ก็มีส่วนเหมือนกันด้วยคือ "ชอบดารา" และ "รู้รักษาตัวรอด" ไม่ยอมติดบ่วงสวาท
            ใครง่ายๆ (ตอนนั้น..ท่านปธน. เคนเนดี้ กำลังมีข่าวกับสาวสวย ดาราดัง มาริลีน มอนโร)

            สมเด็จไม่ได้ประทับใจในตัวปธน.สักเท่าใดนัก ขนาดพูดจามีสำเนียงของชาวไอริชติดอยู่ก็เถอะ..
            เพราะอะไรน่ะเหรอ..ก็เพราะพระองค์ยังทรงจำได้ดีไงล่ะ..ว่า..นายโจเซฟ อดีตทูตอเมริกาประจำอังกฤษ
            ผู้บิดาของนายจอห์นนั้น เคยทำแสบไว้ขชนาดไหน (เล่ามาแล้วนะคะ ในเรื่องที่ว่า นายโจเซฟได้คัดค้านทุกวิถีทางที่จะไม่ให้อเมริกามาร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะเชื่อมั่นว่า เยอรมันจะต้องชนะ)
            ฉะนั้น..มาถึงรุ่นลูก..พระองค์จึงทำพระทัยให้ปลื้มด้วยยาก...

            อ้อ..ขอเล่าแถมอีกนิดด้วยว่า ยามที่มีการชิงชัย ตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง เคนเนดี้กับนิกสัน นั้น พระองค์ทรงเชียร์นิกสันอีกต่างหาก
            ดังที่..เจ้าชายฟิลิปได้เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาปี 1960 ในการเปิดงานนิทรรศการที่มหานครนิวยอร์ค ช่างภาพได้มาขอถ่ายรูปของพระองค์คู่กับนายกเทศมนตรี นาย เนลสัน ร๊อคกี้เฟลเล่อร์
            เจ้าชายได้ตรัสว่า...ได้ซิ..แต่ต้องมีคุณนิกสันมายืนคู่กับเราด้วยนะ..

            หากแต่เมื่อฝ่ายเคนเนดี้ได้รับชัยชนะ ทางฝั่งอังกฤษก็สามารถเก็บอาการได้เป็นอย่างดี และสามารถทำองค์ได้แบบตามน้ำ คือ ยิ้มแย้มต้อนรับไปด้วยอัธยาศัยไมตรี
            หลายคนอาจแปลกใจว่าที่เล่ามานี้ สมเด็จพระราชินีไปทรงยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเรื่องต่างประเทศได้อย่างไร..
            นี่แหละ..ขอบอกตรงนี้ว่า เรื่องการเมืองต่างประเทศอะไรก็ตามที่จะมาเกี่ยวพันกับความมั่นคงกับเครือจักรภพของพระองค์ละก้อ ไม่ทรงเฉยนิ่งอย่างแน่นอน
            แม้ว่า..ตามหลักแล้วสถาบันกษัตริย์ต้องไม่ลงมาพัวพัน..แต่..นั่นมันก็แค่ตัวอักษรเท่านั้น
            ในเชิงปฏิบัติแล้ว..ตรงกันข้าม

            อย่างในการเลือกตั้งที่อาร์เจนติน่า ปี 1962 ...         
            ผู้นำรัฐบาล นายอาร์ทูโร ฟรอนดิซิ กำลังว้าวุ่นด้วยเกรงว่า..ฝ่ายคณะประชาชนที่สนับสนุนนายฮวน เปรอง (สามีของเอวิตา เปรอง) ที่ลี้ภัยออกไไปจากประเทศแล้วนั้น
            จะลุกฮือขึ้นมาโหวตต่อต้าน..
            เขาได้ไปถึงอังกฤษ และเข้ากราบบังคมทูลปรับทุกข์กับสมเด็จถึงในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมด้วยลักษณะที่เป็นกังวล..เขาว่า
            "กระหม่อมอยู่บนหลังเสือ..หาทางลงไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ"
            สมเด็จทรงเล็งเห็นถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของอังกฤษได้อย่างชัดเจน ถ้าหากว่า รัฐบาลของนายอาร์ทูโรเกิดถูกโค่นล้มไปจริงๆ และอาร์เจนติน่าเกิดมีผู้นำคนใหม่ขึ้นมา
            การลงทุนของชาวอัวกฤษกลุ่มใหญ่ก้ต้องโดนผลกระทบไปด้วย
            (อาร์เจนติน่าเป็นที่อยู่และทำมาหากินของชาวอังกฤษใหญ่เป็นที่สองรองลงมาจากสหรัฐอเมริกา)
            ฉะนั้น..การเดินทางไปอาร์เจนติน่าของเจ้าชายฟิลิปจึงต้องรีบกระทำโดยด่วน..และเป็นครั้งแรกในรอบสามสิบปีที่มีเจ้านายจากอังกฤษได้เสด็จไปเยือนประเทศนี้

            หลังจากที่ได้เสด็จไปถึงและมีการไปอภิปรายถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของสองประเทศที่ บวยโนส ไอเรส เสร็จสรรพ วันรุ่งขึ้น..เจ้าชายฟิลิปได้ถูกกระหน่ำขว้างด้วยใข่และมะเขือเทศเละๆ จากกลุ่มวัยรุ่นที่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตำรวจเข้าสกัดม๊อบ..จับกุมตัว
            เจ้าชายฟิลิปทรงเข้าพระทัยดีถึงชั้นเชิงการทูต รีบตรัสออกไปว่า
            "อย่า..ปล่อยพวกเขาไป..อ้อ..เตือนไว้หน่อยก็ดี ว่าอย่าริทำอีก..เพราะฉันเอาเสื้อผ้าติดตัวมาไม่กี่ชุด"

            แต่ในที่สุด..ฝ่ายปฏิวัติก็ได้ทำการสำเร็จ รถถังวิ่งเข้ามาเต็มเมือง เจ้าชายฟิลิปถูกฝ่ายรักษาความปลอดภัยรีบพาพระองค์เสด็จออกจาก บวยโนส ไอเรส เป็นอย่างด่วน..ต้องไปประทับอยู่กับมหาเศรษฐีเจ้าของสนามโปโล
            ที่มีคฤหาสน์อยู่ห่างไปจากจุดวิกฤติถึงเก้าสิบไมล์..
            งานนี้ รัฐบาลอังกฤษของนายแมคมิลแลนเสียหน้ายับเยิน..


            จากการที่เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระสหายชาวอาร์เจนตินาจำนวนไม่น้อยนั้น ทำให้เกิดกระแสข่าวลือเรื่องหญิงๆ ขึ้นมาอีกอย่างไม่ขาดระยะ
            อย่างการให้สัมภาษณ์ของสาวไฮโซชาวโมร๊อคกัน
            ที่ได้เล่าว่า หล่อนได้รู้จักกับ ฟีลิกซ์ โทโพลสกี้ ช่างภาพพระสหายสนิทของเจ้าชายฟิลิป ที่ตอนนั้นกำลังมี
            พระชนมายุได้สี่สิบชันษา (กำลังหล่อจัด..ประมาณนั้น)
            สาวเจ้านี้ก็ได้เปรยกับนายฟีลิกซ์ว่า..แหม..อยากมีโอกาสได้พบกับเจ้าชายเสียจริง..
            สองสามอาทิตย์ต่อมา..นายฟีลิกซ์ได้มาส่งข่าวว่า..นัดให้แล้วนะ ไปพบพระองค์ได้ที่แฟลต เวลา สี่ทุ่มครึ่ง วันนี้พระองค์ทรงว่างพอดี
            ซึ่งเธอได้บอกปฏิเสธไปในที่สุด
            เนื่องจากในตอนนั้น..กระแสเรื่องคาวๆ ในกลุ่มนักการเมืองกำลังดังอื้ออึงด้วยข่าวของนาย จอห์น โปรฟุโม รัฐมนตรีฝ่ายการสงคราม กระทรวงกลาโหม
            (และเป็นอัศวินคนหนึ่งที่ได้รับการสถาปนาโดยสมเด็จพระราชินี..) ที่ได้ไปมีอะไร อะไร กับดารานางแบบสาวสวย นามว่า คริสทีน คีลเลอร์ ..ซึ่ง หล่อนคนนี้ก็เป็นอีหนูลับๆ ของทูตทหารรัสเซียประจำประเทศอังกฤษอยู่ด้วย..
            พอเรื่องแดงขึ้นมา...ท่านรมต. ก็ปฏิเสธเสียงหลง สาบถ สาบาน ว่าไม่เค๊ยย..ไม่เคยยย..

            แต่ในที่สุด ก็หนีความจริงไปไม่พ้น..เรื่องแดงออกมา..เขาจึงต้องลาออกไปด้วยความอับอาย
            (เรื่องนี้มีรายละเอียด และผู้เกี่ยวข้องอีกเยอะค่ะ บางคนถึงกับฆ่าตัวตายก่อนการขึ้นศาลเชียว)

            ชาวอังกฤษได้หมดความเลื่อมใสในกลุ่มพวกผู้ดี และนักการเมืองไปทีละน้อยๆ จนถึงกับมีการเขียนการ์ตูนล้อกันเป็นเรื่องสนุก
            แม้กระทั่งสถาบันสูงสุดก็โดนกระทบกระแทกเข้าอย่างจัง..และนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่สมเด็จพระราชินีได้รับการโห่.. เมื่อพระองค์ได้ทรงเป็นเจ้าภาพรับรอง
            พระเจ้า พอล และ พระราชินี เฟรเดอริก้า แห่ง กรีซ (ตามสายสกุลแล้วก็คือพระญาติแท้ๆ ) จากชาวกรีกฝ่ายสังคมนิยมที่อยู่ในลอนดอน ที่ถือว่าผ่ายเหนือหัวนั้นคือฝ่ายเผด็จการนิยม เพราะ จากประวัติแล้วพระราชินีเฟรเดอริก้า
            เคยประทับอยู่ในเยอรมัน อีกทั้งเคยร่วมเข้าฝึกเป็นยุวชนฮิตเล่อร์
            และการที่สมเด็จพระราชินีอลิซาเบธทรงมาให้การรับรอง นั่นถือว่า ย่อมเป็นพวกฝักใฝ่เผด็จการเหมือนกัน..

   
            พระเจ้าพอลและพระราชินีเฟรเดอริก้า แห่ง กรีซ      

                
             
             


       

            ไม่ว่าจะมีกระแสข่าวฉาวของนักการเมืองหรือข่าวซุบซิบในแวดวงสถาบันกษัตริย์มากน้อยแค่ไหน นั่นก็ไม่สำคัญเท่ากับสภาพเศรษฐกิจที่มีส่วนผลกระทบเนื่องมาจากผลพวงของสงครามโลก ที่อังกฤษได้มีส่วนร่วมด้วยถึงสองครั้งในระยะติดๆ กัน (ครั้งที่หนึ่ง 1914-1919 และครั้งที่สอง 1939-1945)
            ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้น บ้านเมืองยังอยู่ในสภาพปรักหักพัง
            และ นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาเริ่มมองเห็นว่าความสุขสบายนั้นได้ตกไปอยู่ในความครอบครองของคนเพียงกลุ่มเดียว และคนกลุ่มนั้นหาใช่ใครที่ไหนนอกจากพวกที่มียศถาบรรดาศักดิ์นั่นเอง
            สมเด็จพระราชินีจะทรงทราบหรือไม่ก็ตาม หากแต่ยังทรงทำเฉยเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ถูกโห่ใส่พระพักต์ในครั้งนั้น..
            และยังทรงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอีกด้วยว่า สภาพความปลอดภัยโดยรวมของพระองค์นั้น กำลังเป็นที่กังวลใจของคณะรัฐบาล (เนื่องจากประธานาธิบดีเคนเนดี้เพิ่งถูกลอบสังหารไปหมาด)
            หมายกำหนดการที่จะเสด็จเยือนประเทศแคนาดาในปี 1964 กำลังเป็นปัญหาถกเถียงกันในสภา..ว่า..สมควรยกเลิกหรือปล่อยเลยตามเลย..
            ทางโตรอนโต...ส่งโทรเลขเตือนมาว่า.."อย่าให้มีการเสด็จ เพราะท่าทางไม่ค่อยดี"
            ทางหนังสือไทม์ ลอนดอน เขียนข้อความเป็นนัยๆ ว่า..
            "เป็นการเสี่ยงจนเกินไป"
            หนังสือเดลี่ มิเรอร์ ได้ยกบทความของการที่จะเสด็จในครั้งนี้ว่า..อาจจะเป็นอย่าง "ดัลลัสวิปโยค" ก็เป็นได้ เพราะ ที่ควิเบค ชนกลุ่มน้อยฝรั่งเศสกำลังมีปัญหาขัดแย้งชาวอังกฤษ (ที่อยู่กันอย่างหนาแน่นที่ออตตาวา..)

            แต่..คนที่ตัดสินใจในปัญหานี้ คือ สมเด็จ..ที่ได้มีพระบัญชามาว่า พระองค์และพระสวามีจะเสด็จ..อย่างไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งสิ้น..ด้วยเหตุผลว่า แคนาดาคือแหล่งรวมกลุ่มของใต้ฟ้าข้าแผ่นดินของพระองค์ที่มากที่สุด
            ในเครือจักรภพ และ การเยี่ยมเยือนของพระองค์ครั้งนี้ต้องเป็นไปอย่างสมฐานะของนางกษัตริย์
            ว่าแล้ว... พระองค์ก็จัดแจงเลือก นายเฟรเดอริค ฟ๊อกซ์ ช่างออกแบบฉลองพระองค์ นาย ฮาร์ดี้ อะมีส์ นักออกแบบพระมาลา ที่เริ่มลงมือปฏิบัติการ
            นายฟ๊อกซ์ ได้วิ่งเข้าวิ่งออกภายในพระราชวังนับตั้งแต่เรื่องการคัดเลือกวัสดุ เนื้อผ้า มุกและเลื่อมลายปักประดับประดา จนถึงการออกแบบที่เหมาะสมกับวาระต่างๆ ..
            หลังจากการตัดเย็บได้เริ่มลงมือไปจนเกือบเสร็จ..
            สมเด็จได้รับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าต่อหน้าพระพักต์ จากนั้นพระองค์ได้ทรงกดกริ่งเรียก....มหาดเล็กได้อัญเชิญกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่เข้ามาถวายให้
            เมื่อพระองค์ได้เปิดมันขึ้นมา..สิ่งที่ทรงหยิบยื่นให้เขานั้น คือ เข็มกลัดไพลินสีม่วงขนาดใหญ่เท่ากับจานข้าว
            อีกทั้ง เพชรเม็ดยักษ์ๆ ขนาดเท่าถ้วยซุบอีกหลายเม็ด เพื่อที่จะให้เขานำไปประดับเพิ่มเติมบนฉลองพระองค์
            ที่เขาได้ออกแบบไป..

            นายฟ๊อกซ์ถึงกับต้องเอามือตบลงที่หน้าผากของตัวเอง เพราะ ..นี่มันช่างเชยสนิท..ไหนจะมุก จะเลื่อม จะโบว์ จะเข็มขัดที่บรรเลงลงไปเยอะแล้ว.. แล้วจะมายัดเยียดเพชรให้อีกเนี่ยนะ..ไร้รสนิยมสิ้นดี
            (เขาคิดในใจ แต่ไม่ได้พูด)
            สมเด็จพอทอดพระเนตรอาการออก..พระองค์ทรงตรัสว่า..นี่คือ...สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นนักหนาเชียวนะ..
            นายฟ๊อกซ์ได้ที จึงรีบบังคมทูลว่า..แล้วรสนิยมล่ะพะยะค่ะ พวกเขาไม่อยากจะเห็นกันมั่งหรือ?
            สมเด็จทรงตอบอย่างเรียบๆ ว่า.."มีเพชรโปะให้หนาเข้าไว้..รสนิยมค่อยว่ากันทีหลัง"


            การเสด็จเยือน ควิเบค แคนาดา ทั้งสมเด็จและพระสวามี อยู่ในความอารักขาที่หนาหนัก
            การเสด็จทางรถยนตร์พระที่นั่งแบบกันกระสุน..
            อีกทั้งแวดล้อมไปด้วยหน่วยสวาท สารวัตรทหาร ตำรวจ
            ซึ่งคนที่ขัดอกขัดใจนั้นไม่ใช่คนอื่น เขาคือ เจ้าชายฟิลิป จอมโวยหน้าเก่านั่นเอง..พระองค์ทรงกระแนะกระแหนกับคณะรัฐบาลถึงเรื่องนี้อย่างไม่ขาดระยะ
            เมื่อเจ้าหน้าที่ได้อธิบายให้ทรงทราบว่า
            เพราะหลังจากที่เกิดการลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี้ไปไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น สถานะการณ์ของความไม่สงบได้เริ่มส่อเค้าไปในทางหนักขึ้นทุกที่..
            เจ้าชายจึงต้องทรงประชดไปว่า.."ก็เพราะป้องกันกันอย่างหายใจหายคอไม่ออกอย่างเนี้ย.. คนมันเลยหมั่นใส้ ยิงให้ตายไปซะเลยน่ะซิ"
            แต่..การถวายอารักขายังเป็นไปอย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเสด็จทางเรือ นักประดาน้ำก็ต้องลงไปเช๊คถึงใต้ท้องเรืออย่างถี่ถ้วนว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่..

            การปราศัยของพระองค์ที่ทรงตรัสเป็นภาษาฝรั่งเศส ที่
            ควิเบค หรือ ภาษาอังกฤษที่ออตตาวา ก็ตาม..
            การถูกโห่ใส่ ก็ยังมีเป็นระยะ..
            ซึ่ง พระองค์ทรงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้..ทำเป็นไม่ทรงได้ยิน..

            หลังจากที่ได้เสด็จกลับไปยังอังกฤษแล้ว..ทางสถานีโทรทัศน์แคนาดาได้ทำการออกข่าวถึงการเสด็จเยือนโดยรวมทั้งหมดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม
            คนอ่านและวิเคราะห์ข่าวได้ทิ้งท้ายให้ประชาชนได้ใช้สมองคิดตามไปว่า..
            "คำถามคือ..การเสด็จในครั้งนี้ พระราชภารกิจที่ได้ไปทรงเปิดอาคารที่โน่นที่นี่ และ ได้ทรงกล่าวคำปราศรัยด้วยถ้อยคำหรูตรงนั้น ตรงนี้..แต่ในขณะเดียวกันกับกระแสต่อต้านก็ยังมี..จนพวกเราต้องมาถวายการอารักขาอย่างหนาแน่น
            อีกทั้งไหนหมู่ประชาชนที่มีการโห่รับอย่างที่เห็นกันนี่..สับสนอลละหม่านสิ้นดี...มันคุ้มไหมการการที่ทรงเสียเวลามาถึงที่นี่..ลองกลับไปคิดกันดู....ราตรีสวัสดิ์"


            ในอดีต..เสียงปลุกระดมเรียกขวัญกำลังใจของท่าน
            วินสตัน เชอร์ชิลล์ ช่างมีความศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้ผู้คนถึงกับลืมตาย ลุกขึ้นมาสู้กับการรุกรานของเยอรมันอย่างแข็งขัน จนทำให้ประเทศชาติได้รับชัยชนะไปในที่สุด
            แต่..ในปีหลังๆ มานี่..เสียงปลุกระดมที่ทรงเคยทรงพลังได้แผ่วหายไป..หายไปจากความทรงจำของใครต่อใคร..
            อีกทั้ง..ตัวเจ้าของเสียงเองก็กำลังเจ็บป่วยอยุ่ในอาการโคม่า ในเดือนมกราคม ปี 1965 และได้ถึงแก่อสัญกรรมในเก้าวันต่อมา คือ ยี่สิบสี่ มกราคม ..
            นับว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับราชวงค์วินด์เซอร์เลยก็ว่าได้
            เพราะ วินสตัน เชอร์ชิลล์ เปรียบได้ราวกับเสาหลักที่ค้ำบัลลังค์ให้อย่างมั่นคง..

            สมเด็จพระราชินีได้จัดงานศพที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขาราวกับเป็นพระราชวงค์คนหนึ่ง..ตามที่เขาเคยกราบบังคมทูลว่า..อยากให้มีทหารเยอะๆ และวงค์ดุริยางค์วงใหญ่
            เขาได้ทุกอย่างตามนั้น..และมากกว่านั้น..
            คือ..ศพของเขาได้ไปประดิษฐานที่พระวิหาร
            เวสต์มินสเตอร์สามวันสามคืน เพื่อรอรับการสักการะจากประชาชนที่มายืนรอเข้าแถวแบบมืดเฟ้ามัวดิน
            ทั้งสมเด็จและพระสวามีได้ทรงเสด็จเข้ามาให้ความเคารพศพพร้อมๆ กับฝูงชน
            และ นี่คือครั้งแรกในการเถลิงราชย์..ที่พระองค์มิได้รับการเป็นจุดสนใจสูงสุด..เพราะในจิตใจของทุกๆ คนมีแต่ความเศร้าสร้อยต่อการจากไปของรัฐบุรุษคนสำคัญยิ่ง
            หนังสือไทม์ได้ลงพาดหัวว่า..
            "ต่อหน้าโลงศพของท่านวินสตัน..ฐานันดรแทบไม่มีความหมายใดๆ "


            ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า..เมื่อสิ้นเสียงของท่านเชอร์ชิลล์ ก็เหมือนสิ้นสั่ง..เสียงปลุกขวัญระดมกำลังใจได้เลือนหายไปพร้อมกับร่างที่สิ้นวิญญาณ..สถานะการณ์โลกกำลังตึงเครียดด้วย"สงครามเย็น"ที่มีรัสเซีย (คอมมิวนิสต์) หนุนหลังอย่างเปิดเผย..

            และ..ด้วยเหตุนี้เอง เพียงสี่เดือนหลังจากการอสัญกรรมของท่านเชอร์ชิลล์ อังกฤษต้องรีบปรับตัว..หันมาเป็นญาติดีกับเยอรมัน ศัตรูเก่า..
            หมายกำหนดการเสด็จเยือนเยอรมันเป็นครั้งแรกของสมเด็จได้ถูกจัดขึ้นอย่างทันที..ส่วนพระสวามีนั้น เคยเสด็จไปเยี่ยมเยือนพระญาติแบบไปรเวทหลายครั้งแล้ว และทุกครั้งนั้น..ต้องก็บเป็นความลับอย่างสูงสุด
            เนื่องจากจิตใจของประชาชนที่ยังเกลียดชังเยอรมันยังมีอยู่ไม่น้อย..
            สมเด็จเองก็เคยอยากที่จะเสด็จเยือนพร้อมกับพระสวามี แต่ทุกครั้งที่ทรงขอ คณะรัฐบาลที่นำโดยพรรคจารีตนิยมไม่สนับสนุนในญัตติ..
            แต่ในคราวนี้...รัฐบาลได้นำโดยพรรคกรรมกร..ทุกคนเห็นว่าเป็นเรื่องสมควรที่จะเสด็จเยอรมันสักครั้ง
            และพระองค์จะเป็นประมุขในพระราชวงค์วินด์เซอร์พระองค์แรกที่จะเริ่มการสมานฉันท์ของสองประเทศ
            (ครั้งสุดท้ายนั่น คือปี 1913 โดยพระเจ้ายอร์จที่ห้า..ที่ทรงเสด็จเยี่ยมพระญาติ)

            หมายกำหนดการได้เริ่มขึ้น ในเดือน พฤษภาคม 1965
            ทางเยอรมันเองก็แสนที่จะตื่นเต้นยินดีในการที่จะเสด็จในครั้งนี้..หนังสือพิมพ์ได้ออกข่าวไปให้ทราบทั่วกันว่า
            "อย่าวิตกไปเลย..เรื่องนาซีน่ะ สูญพันธ์ไปหมดแล้ว.."
            มีการออกข่าวบอกให้ประชาชนและทหารควรที่จะต้องโบกธงยูเนี่ยนแจ๊คถวายความเคารพ..
            ยามที่ทรงตรวจแถวทหาร ห้ามเผลอหลุดคำว่า..ซิค ไฮล์
            (Sieg heil !) ออกมาล่ะ..
            และ ควรหัดขานพระนามให้ถูกต้อง

            การเสด็จเยือนครั้งนี้ ฝ่ายเยอรมันได้ถือเป็นโอกาสที่จะทำการตีพิมพ์ป่าวร้องให้ทุกคนทราบถึงสายเลือดและความสัมพันธใกล้ชิดแต่ครั้งบรรพบุรุษกันใหม่..
            สายสาแหรกถูกแจกแจงโดยละเอียด..ว่า ใครเป็นพ่อใคร..ใครเป็นลูกหลานใคร...รวมทั้งใครที่ยังอยู่ ..ซึ่งต่างก็เตรียมนำเครื่องทรงมาปัดฝุ่น นำเหรียญตรามาขัดให้ดูวาววับ พร้อมต่อการรับเสด็จ
            เจ้าหน้าที่ในมิวนิคได้กล่าวอย่างติดตลกว่า..
            "ไหนๆ ราชวงค์บาเวเรียนของเราก็ไม่มีเหลือแล้ว..ขอยืมราชวงค์วินด์เซอร์มานับถือหน่อยจะเป็นไรไป.."
            อีกคนหนึ่งก็กล่าวเสริมว่า..
            "จะว่าไปแล้ว..ก็เหมือนกันแหละ เพราะญาติๆ กัน
            ทั้งน้านนน.."

            ที่ชาวเยอรมันต่างปลาบปลื้มอย่างมากมายในการเสด็จเยือนของสมเด็จพระราชินีครั้งนี้ เพราะ มันมีความหมายมากกว่าการเยี่ยมเยือนอย่างธรรมดา
            สำหรับพวกเขาแล้ว..เปรียบเสมือนว่า นี่คือการให้อภัยของอังกฤษต่อเรื่องร้ายๆ ที่เคยบาดหมางกันมาแต่เก่าก่อน


         

            สมเด็จได้เสด็จไปดูรั้วลวดหนามที่ขดกั้นขึงอยู่กำแพงเบอร์ลินด้วยความเศร้าพระทัย..ทรงกล่าวคำปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษ ที่มีการแปลไปเป็นเยอรมันว่า
            "เรื่องร้ายๆ ในยี่สิบกว่าปีที่แล้วมา..ขอให้ผ่านไป..เหลือไว้แต่ความเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่เราต้องช่วยกันปกป้องรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมและช่วยกันนำมาซึ่งความสันติสุข"
            เสียงประชาชนชาวเยอรมันต่างพากันเรียกพระนามกันอย่างกึกก้อง.. (แบบสไตล์นาซี..)
            "Eee-liz-a-bet, Eee-liz-a-bet !!"
            แต่สมเด็จทรงมีพระพักต์ที่สงบนิ่ง ไม่ยิ้มแย้ม ไม่ทรงแสดงอาการใดๆ ท่านรมต. ต่างประเทศของอังกฤษได้กล่าวแก้ว่า
            "ทรงไม่คาดคิดกระมังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างเป็นกันเองเช่นนี้..เลยปรับพระองค์ไม่ทัน"

            ด้วยพระมานะขัตติยะ สมเด็จได้ทรงเสด็จเยี่ยมเมืองต่างๆ ในเยอรมันถึงสิบเมืองในเวลาสิบเอ็ดวัน..
            นับว่า..การเสด็จครั้งนี้ได้ผลทางการเมืองระหว่างประเทศอย่างสูงสุด
            จนหนังสือพิมพ์ต่างๆ ของอเมริกาต่างพากันยกนิ้วให้ว่า..เก่งกล้าสามารถเหลือเกิน..พระราชินีองค์นี้..

            หากแต่..ในอังกฤษเองแล้ว...สถาบันเจ้านายกำลังสะท้านสะเทือนเต็มที..นับตั้งแต่ปี 1957 เป็นต้นมา (จากเรื่องปากท้องของประชาชนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข)
            มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่เกรงพระทัย..นักหนังสือพิมพ์เองก็เริ่มมีปากมีเสียง โต้แย้ง ในเรื่องพระราชกรณียกิจ
            สภามหาวิทยาลัยได้มีการถกแถลงในเรื่องสถาบันสูงสุด ฝ่ายหนึ่งถึงกับกล่าวว่า
            "ควรล้มเลิกระบบกษัตริย์ไปได้แล้ว..พระราชวังก็ควรนำมาทำให้เป็นที่อยู่ของคนยากไร้ พวกคุณหมาๆ คอร์กินั่นก็ควรที่จะนำมาฝึกงานให้เป็นประโยชน์ซะมั่ง"

            ฝ่ายที่ยืนค้ำบัลลังค์อย่างเต็มที่ คือ หนังสือพิมพ์สองฉบับ เดลี่ เทเลกราฟ กับ ไทม์ ที่ได้รับการอนุญาตให้ตีพิมพ์ปฏิทินพระราชกรณียกิจและ ข่าวในพระราชสำนัก ที่จะมีคนเดินสาสน์นำมาส่งรายวัน
            แต่มาวันหนึ่ง..ในปี 1966 ข่าวจากคนเดินสาส์นได้ขาดหายไป.. ทางบรรณาธิการ เดลี่ เทเลกราฟ ได้ถูกเรียกไปให้รับรู้ถึงสาเหตุและได้รับการตำหนิว่า..
            "ที่ไม่ส่งข่าวให้ เพราะว่า คุณไม่ได้ให้เกียรติต่อเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตตามพระเกียรติที่พระองค์จะต้องได้รับ"
            "แล้วกระผมไม่ได้ให้พระเกียรติที่ตรงไหนกันล่ะขอรับ?"
            "ยังจะมาทำไขสือ..คุณไม่รู้หรือไรว่า เจ้าฟ้าหญิงทรงเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์แท้ๆ คุณต้องใส่ "the"นำหน้าพระนามทุกครั้ง.."
            ท่านบก. ก็ต้องรีบรับคำมาจดจำใส่เกล้าเอาไว้ เพื่อจะได้ไม่เขียนให้ผิดพระราชประสงค์อีก...แต่ก็เริ่มเหนื่อยใจเป็นกำลังกับความมากเรื่องของเจ้านาย

            (*** the ที่ว่านี้ คืออ่านว่า ดิ้..เวลาเราจะใช้ถึงใครนั้น หมายถึง คนสำคัญอันเป็นที่สมควรต้องรู้จัก อย่าง ตัวอย่างเช่นถ้าพูดถึง Kennedy ซึ่งมีหลายเคนเนดี้
            และถ้าเราถามกลับไปว่า ว่า เคนเนดี้ไหนล่ะ..คนตอบกลับมาว่า ก็ ดิ้ เคนเนดี้ ไงล่ะ นั่นคือ การหมายถึงท่านประธานาธิบดี..อันเป็นที่เข้าใจ..ไม่ต้องถามกันให้วุ่นวายอีก......................................ดิ้ วิวันดา)

    
            ในช่วงขาลงของพระราชวงค์ในตอนนั้น..หนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ ได้เป็นสปอนเซอร์ให้กับกลุ่มอาจารย์รุ่นใหม่ไฟแรงของมหาวิทยาลัยเคมเบริดจ์ได้เขียนถึง
            บุคคลสำคัญทั้งชายและหญิงของอังกฤษ เริ่มจากองค์ประมุข..ที่พวกเขาได้เขียนถึงอย่างไม่เกรงพระทัยว่า
            "พระองค์เปรียบเสมือนสินค้าที่เป็นผลิตผลของนักออกแบบที่มีชื่อเสียง..มีการโฆษณาดี หีบห่อสวยงาม คุณภาพพอเชื่อถือได้..แต่ราคาแพง.."
            เล่นเอาเหล่าเสนาบดีแทบเป็นลมต่อการวิจารณ์ในครั้งนี้ และพวกเขาได้เริ่มรู้ตัวว่า ช่องว่างระหว่างชนชั้นเริ่มฉีกออกห่างกันไปทุกที..
            ทางที่จะประสานได้นั้นคือ การที่ต้องรีบจัดการต่อเติมช่องว่างให้เต็ม โดยการเสนอให้เครื่องราชอิสสริยาภรณ์ให้กับกลุ่มนักดนตรีขวัญใจวัยรุ่นทั้งโลก เดอะ บีทเติ้ลส์..
            เล่นเอา นายจอห์น เลนนอน ถึงกับตกอกตกใจยามที่ได้ทราบถึงข่าวดี เขาอุทานว่า
            "ให้ตายห่..ซิ เรานึกว่าคนที่จะได้รับเครื่องราชย์นี่ ต้องเก่งเรื่องยิงปืน กับขับรถถังเท่านั้นซะอีก"

            แต่พวกที่เก่งยิงปืน และ ขับรถถังที่ได้รับเครื่องราชย์ตัวจริงๆ แล้ว..กลับไม่ชอบใจและคัดค้านในเรื่องการที่พวกฮิปปี้บ้ากัญชาพวกนี้จะได้เครื่องราชย์เทียบเท่า
            พวกเขาเหล่านั้น ต่างพากันพร้อมใจต่อต้าน โดยการขอถวายคืนเหรียญตราที่ได้รับมา..
            และนี่คือครั้งแรกของการต่อต้านมีการถวายคืนเครื่องราชย์ที่เป็นข่าวเอิกเกริก จนนาย จอห์น ต้องออกมาแสดงความคิดเห็นแบบโผงผางว่า
            "ทำไมล่ะ..พวกท่านได้รับเหรียญตราจากการประหัตประหาร ฆ่าคนตายเป็นผักเป็นปลา แต่พวกเราได้เพราะการที่ได้สร้างความสุขให้กับคนฟัง..ซึ่งน่าจะได้รับขั้นสูงสุดซะด้วยซ้ำไป"
            เครื่องราชย์ที่ว่ามานี้ คือ the Order of the British Empire อันจัดได้ว่า เป็นเครื่องราชย์ชั้นเด่ะ เด่ะ..

            ซึ่งนาย พอล แมคคาร์ทนี่ ได้ให้สัมภาษณ์ในสามสิบปีต่อมา ว่า เป็นเครื่องราชย์ที่ใครต่อใครก็ได้รับแจก แม้แต่คนส่งนมในพระราชวัง ไม่ได้ให้ฐานันดรทางสังคมมากมายอะไร ไม่เหมือนกับตำแหน่งเซอร์ ที่ใครต่อใครพากันฝันถึง..
            (และความฝันนั้นก็ได้เป็นความจริง พอล ได้รับพระราชทานเครื่องราชย์สูงสุด เป็นอัศวิน ที่ต้องใครต่อใครต้องเรียกว่า ท่านเซอร์ นำหน้าชื่อ ในปี 1997 ที่เขาได้กล่าว
            ในวันนั้นว่า..It's been a hard day's knighthood)

            ในสี่ปีต่อมา..พวกเขาได้พร้อมใจกัน..ขอถวายคืนเครื่องราชย์ที่ได้รับมา เนื่องจากอังกฤษได้เข้าไปร่วมในสงครามเวียดนาม และ สงครามกลางเมืองของไนจีเรีย
            นายจอห์น ได้บอกตรงๆ จากหัวใจว่า..
            ผมรู้สึกเหมือนกับถูกหักหลังอย่างไงไม่รุ..

            จะขอเล่าถึงเรื่องวันที่ชาวบีตเทิลส์บ้านนอกจากลิเวอร์พูลสี่คนนี้จะเข้าไปรับเครื่องราชย์ในปี 1965 หน่อยนะคะ โกลาหลพอสมควร เพราะบรรดาแฟนๆ มากรี๊ดรอรับ
            กันเต็มหน้าพระราชวัง..ฝ่ายอารักขารีบพาตัวเข้าไปข้างใน นักหนังสือพิมพ์มาเขียนรายงานว่า ทั้งสี่รีบผลุดเข้าไปในห้องน้ำก่อนอื่นใด ไปพี้กัญชาเพื่อให้ผ่อนคลาย
            หายเกร็งจากความตื่นเต้น..
            พอลได้เล่าว่า.."ไปเล่นที่ Cow Palace ในซาน ฟราน
            ซิสโก ยังไม่สั่นเท่านี้เลย.."
            ผู้สื่อข่าวถามว่า "สมเด็จทรงเป็นอย่างไรบ้าง"
            เขาตอบว่า.."ทรงพระทัยดี อบอุ่น แต่ตรัสน้อยมาก"

        
 

            แล้วใครเล่าจะเชื่อได้บ้างว่า..ในปีต่อมา..สมเด็จทรงล้ำกฏเหล็กแห่งวินด์เซอร์ไปหลายขุม เช่น ทรงประทานตำแหน่งอัศวินให้กับผู้คนสารพัดชนิด อย่าง
            ชาวโรมันคาธอลิค ชาวผิวดำ
            หรือแม้กระทั่ง รับไบ..
            แม้แต่พระญาติที่ไม่ค่อยจะทรงโปรดอย่างท่านเอิร์ล แห่ง แฮร์วูด (พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงแมรี่ ที่เป็นพระขนิษฐาของพระเจ้ายอร์จที่หก เท่ากับว่า ท่านเอิร์ล คือ ลูกของอา) ที่ผ่านการหย่าร้างหมาดๆ มาขอพระบรมราชานุญาติทำการสมรสใหม่กับอีหนูของท่านที่เผอิญเกิดการ"เบนโล" ขึ้นมา..
            พระองค์ก็ต้องจำพระทัยทรงยอมตามนั้น
            มิฉะนั้น เด็กก็จะเกิดมาอย่างไม่มีพ่อ..และที่ท่านเอิร์ลต้องมาทูลขออนุญาติก็เพราะว่า ตามกฏมณเฑียรบาลได้ว่าไว้ว่า ผู้ที่มีสิทธิในการลำดับสืบสันตติวงค์ต้องมีการสมรสเป็นที่ยอมรับจากพระมหากษัตริย์
            จึงจะไม่หลุดจากโผ..ตัวท่านเอิร์ลเองก็อยู่ในลำดับที่สิบเจ็ด
            ในเมื่อสมเด็จต้องยอมตามแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงทำทุกอย่างที่จะให้ท่านเอิร์ลได้รับบทเรียนที่แสบสันที่สุด นั่นคือ..
            การตัดญาติแบบกลายๆ ไม่เป็นที่ต้อนรับ..เช่น ไม่ได้รับเชิญไปในงานอภิเษกของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ (พระนัดดา) ไม่ได้รับการเชิญให้ไปร่วมในงานพระศพของท่านดยุค แห่ง วินด์เซอร์ (พระมาตุลา)
            และ ท่านเอิร์ลยังได้ถูกบีบบังคับจนต้องลาออกไปจากตำแหน่งอธิการบดีฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัย ยอร์ค และ ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลปของเทศกาลเอดินเบอร์ค ก่อนเวลาอันสมควรอีกด้วย..

            ดังนั้น..สมเด็จมักทรงได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความร้ายๆ อย่างเสมอมา..จากพวกเดียวกัน
            ในปี 1964 นั่นคือปีที่พระองค์ได้มีพระประสูติกาลอีกครั้ง.. (เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด) ที่เจ้าชายฟิลิป พระสวามีพยายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูเรียบง่าย ในลักษณะของครอบครัวธรรมดาที่กอร์ปไปด้วย พ่อแม่และลูกอีกสี่คน
            พระองค์ได้ทรงให้ประทานสัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า..
            "เรื่องความพิธีการหรูๆ อะไรที่เคยๆ ทำมานั่น ก็เห็นท่าจะหมดไปได้แล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ๆ ไม่ค่อยสนใจ บางคนก็อาจเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ อีกทั้งตอนนี้ทั้งพระราชินี เรา และลูกๆ ก็อยู่กันอย่างเรียบง่าย"

            แต่ในความเป็นจริงแล้ว..เจ้าชายฟิลิปได้ทรงเล็งเห็นการณ์ไกล โดยการเริ่มต้นโปรโมทสถาบันแบบมืออาชีพ นั่นคือ พระองค์ได้ติดต่อว่าจ้างบริษัทมีเดียนามกระเดื่อง Rogers & Cowan แห่ง นครลอส แอนเจลิส สหรัฐอเมริกา มาช่วยในการยกระดับของพระราชวงค์ให้เป็นที่ถูกใจของชนทุกชั้น..และทุกประเทศ
            ( Rogers & Cowan คือบริษัทที่เป็นตัวแทนในการโปรโมทดาราแห่งฟากฟ้าฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงมาก เช่น แฟร้งค์ ซิเนตรา, ริต้า เฮย์เวิร์ธ)
            ในการพบปะหรือการที่เจ้าชายฟิลิปได้รู้จักมักจี่กับบริษัทตัวแทนดารานี้ เพราะ เนื่องจากการที่พระองค์ได้เตรียมเสด็จอเมริกาในการเปิดงานการกุศลต่างในปี 1966
            พระองค์ได้เห็นว่า การทำงานต่างๆ ของระบบในอเมริกามักประสบความสำเร็จเนื่องจากการรู้จักใช้คนทำงานที่มีประสบการณ์ที่ช่ำชอง
            ดังนั้น การว่าจ้างบริษัท Rogers & Cowan จึงเริ่มปรึกษาหารือกันอย่างเป็นภายในทันที


            นายเฮนรี่ โรเจอรส์ หนึ่งในเจ้าของบริษัทตื่นเต้นจนเหลือจะกล่าว ที่จู่ๆ มีเจ้านายมาว่าจ้าง เขาเล่าว่า..
            "ผมถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุด ที่ได้รับความไว้วางพระทัยให้ทำงานนี้ และขอบอกตรงๆ ว่า ผมละตื่นเต้นจนสั่นไปหมด ทั้งๆ ที่เป็นลูกค้าของเราต่างก็เป็นดาราดังคับฟ้าทั้งนั้น
            แต่ก็ยังไม่เคยมีลูกค้าที่เป็นเจ้าเลย..นี่คือครั้งแรกจริงๆ "
            และแน่นอนว่าก่อนที่จะมีการเจรจาในขั้นตอนอื่นๆ
            นายโรเจอรส์ได้บินไปเข้าเฝ้าถึงที่พระราชวังบั๊คกิ้งแฮม เพื่อที่จะเสนอไอเดียกับนายจ้าง..

            ในการสนทนา นานโรเจอรส์ได้ถวายคำแนะนำว่า เจ้าชายฟิลิปควรที่จะทำการประชุมผู้สื่อข่าว (ทุกครั้ง) ในทุกประเทศ ไม่ว่าจะเสด็จย่างพระบาทไปไหน
            เจ้าชายทรงรีบตัดบทด้วยว่า..
            "ให้ตายเถอะ คุณเฮนรี่ พวกเราไม่เคยมีการประชุมผู้สื่อข่าวมาก่อนเลย..ไม่เค๊ย ไม่เคย..แต่ถ้าคุณว่าเราสมควรที่จะต้องทำ ก็จะลองดู แม้ว่ามันจะขัดๆ อยู่กับกฏระเบียบวังอยู่สักหน่อยนะ เอาเป็นว่า..มันต้องมีข้อแม้อยู่สองสามข้อ คุณต้องไปบอกกับพวกนักข่าวให้เข้าใจก่อน"
            ข้อแม้สองสามข้อที่พระองค์ว่านั่นคือ..
            พวกนักข่าว (อเมริกัน) ต้องเข้าใจก่อนว่า..
            หนึ่ง..พระองค์ คือพระสวามีของสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ มิใช่นักการเมือง หรือตัวแทนของรัฐบาลที่จะมาตอบปัญหาเรื่องการบริหารบ้านเมือง
            ปัญหาเศรษฐกิจ หรือการไม่ลงรอยกันระหว่างพรรคจารีตนิยม และพรรคกรรมกร
            สอง..พระองค์ไม่มีหน้าที่ต้องมาตอบในปัญหาส่วนพระองค์ของสมเด็จพระราชินี
            พระองค์ทรงย้ำว่า..
            "แค่เนี้ยยย..เข้าใจไหม....ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสองข้อข้างบน..ถามมาได้เลย รับรองว่าตอบหมด"


            นายโรเจอรส์รีบรับปากกับพระองค์ทันทีว่า เรื่องแค่นี้..หมูๆ เพราะนักข่าวส่วนใหญ่มักจะถามเรื่องที่ไม่ค่อยมีสาระอยู่แล้ว..เขาว่า..
            เมื่อถึงเวลานั้นเข้าจริงๆ นายโรเจอรส์จึงได้เห็นพระปรีชาของเจ้าชายพระสวามีว่า..ปราดเปรียว และ ปราดเปรื่องนัก
            นักข่าวจากไมอามี่..ถามว่า.."วงดุริยางค์ของลอนดอนเป็นอย่างไรบ้างพระเจ้าค่ะ"
            "ก็เล่นเพลงเพราะดีนี่"
            "พระองค์ทรงคิดที่จะส่งพระโอรสและพระธิดาให้มาศึกษาในอเมริกาบ้างไหมพระเจ้าค่ะ?"
            "ถ้าจะให้ตอบตอนนี้เลย..ก็เห็นท่าจะไม่นะ แต่พอคุณพูดเสนอความคิดขึ้นมา..เราก็จะกลับไปลองคิดดูใหม่"
            "พระองค์ทรงมีความเห็นอย่างไร เกี่ยวกับความสำเร็จอย่างมากมายของวง เดอะ บีตเทิลส์ และรายได้ที่พวกเขาได้สร้างกันอย่างมหาศาลให้กับประเทศอังกฤษพระเจ้าค่ะ?"
            "ก็งั้นๆ นะ..ไม่ได้มากมายอะไรอย่างที่คิดกัน"
            (เจ้าชายฟิลิปไม่เคยทรงโปรด และให้ความสนใจกับบรรดาเพลงร๊อคทั้งหลาย อย่างครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงมีโอกาสได้ไปทอดพระเนตรการแสดงของ ทอม โจนส์ เมื่อตอนที่ส่งเสด็จ
            พระองค์ได้ตรัสถามทอม โจนส์ ว่า..ถามจริงเถอะ..คุณใช้อะไรกลั้วคอตอนเช้าๆ น่ะ..เมล็ดกรวดหรือไง สุ้มเสียงถึงได้แหบอย่างนั้น?
            พอวันต่อมา..ที่พระองค์ได้นำเรื่องนี้ไปเล่าในการประชุมนักธุรกิจว่า..แทบทำพระทัยเชื่อได้ยากว่า นายทอมคนนี้ ที่มีอายุเพียง ยี่สิบห้าปี มีค่าตัวถึงสามล้านเหรียญ โดยการร้องเพลงที่สุดห่วยจนทนฟังแทบไม่ได้)
            "ทำไมวันเฉลิมพระชนม์ของสมเด็จจึง...............?????"
            "อย่าให้ตอบเรื่องนี้ได้ไหม..ว่าทำไมจึงมาฉลองวันเฉลิมฯ ในเดือนมิถุนายน (พิธี Trooping the Colour) ทั้งๆ ที่ทรงประสูติในเดือนเมษายน มันเป็นปัญหาโลกแตกน่ะ อย่างทำไมเราจึงเรียกเงินว่า ปอนด์ หรือ ชิลลิ่ง หรือกฏประหลาดๆ ของอังกฤษที่มักไม่มีคำตอบที่แน่นอนน่ะ"

            ไม่ว่าการพบปะกับนักข่าวในครั้งไหนหรือที่ไหน เจ้าชาย
            ฟิลิปได้ทรงสร้างความพอใจให้กับนักข่าวอย่างเอกอุ ด้วยการแทรกพระอารมณ์ขันลงไปบ้างประปราย..
            และผลสำเร็จคือ พระองค์ได้ทรงสามารถระดมกองทุนบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ได้นับล้านๆ เหรียญ
            เมื่อเสด็จกลับไปยังลอนดอน พระองค์ได้นำเสนอเรื่องให้พิจารณาการว่าจ้างบริษัทมีเดียให้กับสถาบันพระราชวงค์วินด์เซอร์ หรือ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในคำว่า..The Firm ทันที
            (คำว่า..The Firm นั้น เปรียบได้ดังที่ว่าคือ สถาบันพระราชวงค์ ที่ประกอบไปด้วย สมเด็จ และครอบครัว..จากนั้นคือ เหล่าองคมนตรี และ เสนาบดีที่มีการถวายงานอยุ่ในทุกสาขา ที่เปรียบได้ราวกับองค์กรใหญ่ๆ องค์กรหนึ่งทีเดียว)


            (***จะตอบให้ว่า ทำไมวันเฉลิมจึงเลื่อนมาฉลองในเดือนมิถุนายน ก็เพราะว่าในเดือนเมษายนนั้น ดินฟ้าอากาศของอังกฤษยังไม่เป็นใจในการที่จะทำการพาเหรด หรือจัดงานสำคัญที่จะเรียกนักท่องเที่ยวให้แห่แหนกันมาน่ะซิคะ
            วันเฉลิม หรือ Trooping the Colour นั้น เป็นงานใหญ่ระดับชาติ ที่สมเด็จทรงประทับในรถม้าพระที่นั่ง และเรียงตามมาด้วยสมาชิกในพระราชวงค์ทั้งหมด กองดุริยางค์โอ่อ่าตระการตา..
            เม็ดเงินสะพัดนับร้อยๆ ล้านปอนด์ ขืนไปจัดในวันเฉลิมจริงๆ ในเดือนเมษายน คนดูอาจต้องวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่น..วิวันดา)


            สมเด็จพระราชินีแทบไม่เชื่อพระกรรณในเรื่องของการที่จะว่าจ้างบริษัทให้มาช่วยโปรโมทพระองค์ หรือ ให้กับ เดอะ เฟิร์ม ทรงแย้งว่า
            "สมเด็จพระบิดาไม่เคยต้องใช้ให้ใครมาช่วยโฆษณาให้เลยนะ"
            "ก็พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องใช้ไงล่ะ ก็มีทั้งท่านนายก
            วินสตัน เชอร์ชิลล์ อีกทั้งสงครามโลกครั้งที่สองเป็นแบ๊คกราวนด์อยู่ แค่นี้ก็ดังจนไม่รู้ดังยังไงแล้ว"
            เจ้าชายพระสวามีก็ไม่ทรงยอมอ่อนข้อ เถียงพระศอเป็นเอ็นเช่นกัน
            อีกทั้งพระองค์พยายามชี้แนะให้สมเด็จได้ทรงเล็งเห็นว่า..การที่เดอะ เฟิร์มจะอยู่ได้ต่อนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงขนานอย่างขนานใหญ่ หรือ อยากจะเป็นอย่างพวกบรอนโทเซารัส (ไดโนเสาร์พันธ์หนึ่ง) ที่ไม่มีการ
            ปรับตัว จนในที่สุดก็ต้องถูกนำกระดูกไปแขวนให้คนดูในพิพิธภัณฑ์ อยากจะเห็นชาววินด์เซอร์เป็นอย่างนั้นหรือ?
            และไม่ว่าจะทรงยกตัวอย่างอะไรออกมาก็ตาม..สมเด็จทรงปฏิเสธหมด เพราะไม่ทรงเห็นด้วยด้วยประการทั้งปวง

            จนในเช้าวันหนึ่ง ที่พระสวามีทรงถือหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ เทเลกราฟ เข้ามาให้ทอดพระเนตรถึงในห้องบรรทม..หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ยี่ห้อนี้ คือ หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระบอกเสียงให้กับพระราชวงค์อย่างแน่นแฟ้นมาแต่ไหนแต่ไร..
            แต่คราวนี้..กลับเขียนบทความ..หัวข้อว่า
            " ท่าทีของคนรุ่นใหม่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์"
            เนื้อความมีว่า
            "คนรุ่นใหม่ๆ ในยุคนี้ ไม่ค่อยสนใจหรือเลื่อมใสในสถาบันกษัตริย์มากนัก พวกเขามองเห็นสมเด็จพระราชินีมีค่าเป็นเพียงอนุสาวรีย์ประจำชาติชิ้นหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งเมื่อมีการพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง
            มาเป็นสาธารณรัฐ พวกเขาก็มีท่าทีสนใจ และไม่ขัดแย้ง..จนสามารถคาดเดากันได้ว่า พระราชวงค์อังกฤษอาจจะไม่ล่มสลายไปเพราะกระแสความจงชังจากประชาชนอย่างแน่นอน
            แต่ถ้าจะละลายหายไปเพราะประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายในความล้าหลัง คร่ำครึจะก้อ..อาจเป็นไปได้ทีเดียว"
            สมเด็จทรงอ่านข้อความทวนไปทวนมา อีกทั้งขยับฉลองพระเนตรขึ้นลง ราวกับแทบไม่เชื่อในตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าพระพักต์ว่า นี่คือ ความจริง..ที่มีคนกล้าเขียน..

            ดังนั้น เพียงสองสามอาทิตย์ต่อมา..ราชเลขานุการในพระองค์ นาย วิลเลี่ยม เฮเซลไทน์ ได้รับสนองพระบัญชามาถึงเรื่องการที่พระองค์จะต้องทรงปรับเปลี่ยนภาพพจน์ต่อผู้สื่อข่าวใหม่
            จากเมื่อก่อน ที่พระราชินีต้องไม่มีข่าวให้ระคายเคืองในหน้าคอลัมน์ซุบซิบ บัดนี้..สามารถกระทำได้ (ในขอบเขตของความจริง)
            และ การใช้ประโยชน์ของสื่อโทรทัศน์เพื่อการแพร่ภาพพระราชอิริยาบท และพระราชกรณียกิจต่างๆ ต่อสายตาของประชาชน


            งานแรกของนายเฮเซลไทน์ที่ได้รับมอบหมายนั้น คืองานสมโภชเจ้าฟ้าชายชารลส์ให้เป็น ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ ตามตำแหน่งพระยศของพระโอรสองค์ใหญ่อันเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาช้านาน
            สมเด็จได้ทรงเคยสัญญาว่า จะจัดงานนี้ให้ประชาชนเป็นสักขีพยานในปราสาท แคนาฟอน เมื่อเจ้าฟ้าชายจะมีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดชันษา และพระองค์ได้ทรงอนุญาตให้มีการถ่ายทอดโทรทัศน์อย่างใกล้ชิด

            ทางบีบีซี พอเห็นได้คืบก็จะเอาศอก ทูลขอทำพระประวัติของเจ้าฟ้าชายเสียในคราวเดียวกันแบบมินิซีรีย์ สมเด็จและพระสวามีรีบปฏิเสธอย่างทันที
            เนื่องจากทั้งสองพระองค์ไม่ทรงแน่ใจว่า
            เจ้าฟ้าชายทรงพร้อมที่จะออกเผชิญกับสื่อมากน้อยแค่ไหน..
            บีบีซี..ก็ไม่ยอมแพ้..ทูลขอว่า..
            "ถ้างั้นก็ขอทำการถ่ายทอดพระจริยาวัตรของสมเด็จและพระสวามีแทนก็แล้วกัน ประชาชนสนใจอยากจะทราบชีวิตในรั้วในวังเหลือเกิน ใครต่อใครพากันว่า พระองค์ทรงเหมือนกับไม่มีชีวิตจิตใจ ดูอย่างท่านลอร์ดเมาท์แบต
            เทนยังยอมให้โทรทัศน์ได้ทำชีวประวัติของพระองค์ยาวถึงแปดตอน ใครต่อใครพากันชอบใจ
            ทรงเรียกคะแนนนิยมมาได้มากเชียวพระเจ้าค่า"
            สมเด็จยังทรงทำพระทัยไม่ได้ ตอบไปอย่างเด็ดขาดว่า
            "ฉันไม่ใช่ แจ๊คกี้ เคนเนดี้ และที่วังนี่ก็ไม่ใช่ทำเนียบขาวนะ.."
            (พระองค์ทรงเสวยดันเล็กๆ เพราะ ท่านผู้หญิงแจ๊คกี้เคยพานักข่าวเยี่ยมชมที่พำนักในทำเนียบ และ ออกทีวีด้วย เพราะอย่างที่เล่ามาแล้วว่า ไม่ทรงโปรดการแสดงออกทุกชนิด)
            แต่..ไหนเลยบีบีซีจะยอมแพ้ง่ายๆ ...คงจะอ่านเกมส์ออกกันแล้วว่า..การที่ทรงโอนอ่อนมาถึงขนาดนี้แล้วทุกอย่างต่อไปก็ไม่น่ายากเกินความพยายาม..

            ความพยายามที่ว่านี่ ใช้เวลาถึงสามเดือนในขั้นตอนของการโน้มน้าวพระทัย เจ้าชายฟิลิปทรงมีปัญหาได้ในทุกเรื่องเช่นเคย..พระองค์คอยขัดคอฝ่ายบีบีซีว่า
            "พวกนักข่าวเนี่ย..ตัวดีนัก ชอบคอยหาโอกาสเจาะภาพเหมาะๆ ออกไปขาย เช่นตอนที่พวกเรากำลังแคะจมูกหรืออะไรอย่างเงี้ยะ"
            "พวกกระหม่อมไม่ใช่นักข่าว..พระเจ้าค่ะ" ประธานบีบีซีรีบตอบโต้
            กว่าจะลงตัวได้ก็ต้องตามพระทัยในข้อเสนอของสมเด็จที่ว่า
            หนึ่ง....พระองค์มีสิทธิเต็มที่ในการแก้ใข หรือ ตัดทิ้งตอนที่ไม่เหมาะสม
            สอง....พระองค์จะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิในลิขสิทธิ์ในฟิล์ม
            (ที่จะมีชื่อว่า Royal Family) นั้นแต่พระองค์เดียว
            สาม....ถ้ามีการจัดจำหน่ายนอกประเทศ ต้องถวายรายได้ครึ่งหนึ่งให้กับพระองค์

            ทุกอย่างตกลงตามเงื่อนไข..พระองค์จึงทรงอนุญาตให้ช่างภาพมาบันทึกภาพในห้องประชุมงานกับคณะรัฐมนตรีในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้ ทั้งๆ ที่ การประชุมราชการนี้ค่อนข้างเป็นความลับแม้แต่เจ้าชายพระสวามี
            ก็ไม่เคยทรงอนุญาตให้มีส่วนรู้เห็น
            จากนั้นก็ทรงอนุญาตให้คณะถ่ายทำได้ติดตามไปยังพระราชวังบัลมอรัล ทำการบันทึกภาพความเป็นอยู่ในครอบครัวแบบสบายๆ สไตล์ชนบท
            และทรงให้คำแนะนำอีกด้วยว่า ถ้าจะนำไปจัดจำหน่ายในอเมริกาก็ควรที่จะแทรกข่าวการเยือนอังกฤษของประธานาธิบดีนิกสัน
            รวมทั้งตอนที่ นาย วอลเตอร์ แอนเนนเบอร์คเข้าพิธีรับตำแหน่งทูตสหรัฐอเมริกาประจำวิหารเซนต์ เจมส์ ไปด้วย
            พระองค์ทรงตรัสว่า.."นี่ละ พิเศษสุดทีเดียว"

            ทีนี้มาถึงพระจริยาวัตรในแต่ละวัน ที่เจ้าหน้าที่ของบีบีซีได้เสนอว่า อยากได้ภาพของพระองค์ที่กำลังทรงพระสำราญกับคุณหมาตัวโปรด
            พระองค์ทรงเรียกมาทั้งหมด สิบสี่ตัว..
            เล่นเอาเจ้าชายพระสวามีถึงกับโวยลั่น..ว่า
            "นี่..คุณนายยยยยย.... เขาต้องการไอ้หมาเวรนั่นเพียงตัวเดียว ไม่ใช่ทั้งหมดสิบสี่ตัว..รุงรังไปหมด"
            สรุปว่า..ในช่วงนั้นของฟิล์มได้ปรากฏภาพของคุณหมาๆ ทั้งหมดตามพระราชประสงค์ แต่ที่ขาดหายไปคือ เจ้าชายพระสวามี..

           

 

คณะถ่ายทำได้ปักหลักอยู่ในที่พำนักในพระราชวังเพื่อติดตามบันทึกภาพถึงเจ็ดสิบห้าวัน และพวกเขาได้รับพระบรมราชานุญาตให้ติดตามต่อไปในการเสด็จเยือนชิลีด้วย
            ค่าถ่ายทำทั้งหมดตกแล้ว ประมาณ สามแสนห้าหมื่นปอนด์ ความยาว หนึ่งร้อยห้านาที ในชื่อว่า Royal Family (หรือที่พวกล้อเลียนนำมาตั้งชื่อให้ใหม่ว่า Corgis and Beth) ออกฉายปรากฏสู่สายตาของไพร่ฟ้าชาวอังกฤษ ในเดือน มิถุนายน ปี 1969 และมีการเรียกร้องให้กลับมาฉายอีกครั้งในเดือน ธันวาคม

            สมเด็จเองก็ทรงเอียนกับข่าวของพระองค์เต็มที ทรงยกเลิกการให้พระบรมราโชวาทในวันสิ้นปีเพราะเหตุว่า..เดี๋ยวจะเลี่ยนจนเกินไป..
            แต่ประชาชนต่างก็พากันส่งจดหมายกราบบังคมทูลขอให้กลับมาให้พระบรมราโชวาทดังเดิม..

            ภาพบนแผ่นฟิล์มนั้นได้ประทับใจประชาชนชาวอังกฤษอย่างมิรู้ลืม ที่พวกเขาได้มีโอกาสเห็นสมเด็จและเจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงช่วยกันจัดสลัด พระสวามีและเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ทรงช่วยกันย่างใส้กรอกและเนื้อสเต๊ค
            สมเด็จทรงใช้พระดรรชนีจิ้มลงไปในน้ำสลัดและทดลองชิม ทรงทำพระพักต์แปลกก่อนที่จะตรัสว่า..ใส่น้ำมันเยอะไป
            จากนั้น พระองค์ก็ทรงหยิบน้ำส้มรินเติมลงไป..และตรัสว่า..เอาละใช้ได้แล้ว
            เจ้าชายฟิลิปได้ทรงตรัสออกมาดังๆ ว่า..
            "โชคดีของคนดู...ที่ไม่ต้องมาชิม"

            อีกฉากหนึ่ง..คือภาพที่พระองค์ได้โชว์เครื่องเพชร ทรงชี้ไปที่กล่องที่โชว์สร้อยพระศอทับทิม และทรงตรัสว่า เป็นเส้นโปรดที่ทรงได้รับพระราชทานตกทอดมาจากสมเด็จพระนางวิคตอเรีย (อันเป็นของกำนัลจาก จักรพรรดิ์แห่งเปอร์เซีย)
            จากนั้นพระองค์ได้ทรงหันไปถามนางพระกำนัลว่า
            "เอ๊ะ เส้นนี้ฉันเคยใส่หรือยังนะ?"

            มีฉากที่สมเด็จทรงพาเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปซื้อขนมหวาน และ พระองค์ทรงจ่ายเงินค่าขนมแบบต้องค้นหาเศษสตังค์ ที่เกือบมีไม่พอจ่าย..
            ภาพในการถ่ายทำชีวิตครอบครัวทั้งหมดแทบไม่ต้องมีอะไรต้องตัดทิ้งไปเลย..ยกเว้นฉากที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงขึ้นสายเครื่องดนตรีเซลโล และ ขึงสาย A ตึงไปจนสายขาด ดีดไปต้องเอาพระปรางของเจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ดพระอนุชาจนเป็นเส้นแดงห้อเลือด ทรงกรรแสงจ้า..
            เจ้าชายฟิลิปทรงเกรงว่าจะเป็นเรื่องการเล่นแรงๆ ของพี่น้อง ที่ไม่น่าจะเอาออกอากาศ จึงเสนอให้ตัดช่วงนี้ทิ้งไป
            สมเด็จทรงตรัสว่า..
            "ไม่เห็นจะเป็นไรเลย...เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้กับใครทั้งนั้น"

            งานนี้ นับว่าได้ประสบความสำเร็จอย่างเกินคาด ประชาชนกลับมาสนใจรักใคร่เอ็นดูในครอบครัวน้อยๆ ของเหนือหัวกันอย่างล้นหลาม..นับว่าเป็นการทำงานแบบมืออาชีพอย่างจริงจัง สมควรต่อการปรบมือให้..

            ชาวคณะเดอะ เฟิร์ม..ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่งว่า..สื่อภาพยนตร์และโทรทัศน์มีความสำคัญในการผดุงภาพพจน์ดีๆ ขององค์กรให้อยู่คู่ไปกับจิตใจประชาชนสืบต่อไปนานเท่านาน...

            เพียงแต่..ทุกคนไม่เคยสังหรณ์ใจเลยว่า..สื่อที่ว่านี้..คือดาบสองคมที่สามารถให้ทั้งผลดีอย่างสุดขั้วและผลร้ายอย่างสุดโต่งได้ในขณะเดียวกัน.. !!!!

       
            การเลี้ยงดูพระโอรสของสมเด็จหรือก็แทบจะเรียกว่าได้ดังใจ
            ยามที่เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้ทรงเจริญชันษาขึ้นมา
            พระองค์จึงแตกต่างไปจากหนุ่มในวัยเดียวกันอย่างสิ้นเชิง..
            ในขณะที่เหล่านักศึกษาเคมบริดจ์ทั้งหลายกำลังตื่นตัวต่อต้านสงครามเวียดนาม
            เจ้าฟ้าชายชารลส์ ทรงโปรดปรานกีฬาโปโล
            ขณะที่พวกเขาคลั่งใคล้บุบผาชน
            เจ้าฟ้าชายทรงว่า ไอ้พวกนี้มันบ้าๆ บอๆ
            ขณะที่พวกเขาต่างพากันไปชุมนุมตามบาร์เหล้า เหล่สาวๆ เจ้าฟ้าชายกลับโปรดที่จะจิบเหล้าเชอร์รี่บรั่นดี
            ขณะที่พวกเขาต่างเดทสาว และพากันมาร่วมหลับนอน
            เจ้าฟ้าชายโปรดที่จะรักษาพรหมจรรย์ให้อยู่กับองค์ให้นานที่สุดเท่าที่จะสามารถ
            และยังเที่ยวบอกกับใครต่อใครว่า จะไม่ทรงอภิเษกจนกว่าจะถึงสามสิบชันษา
            ทั้งหมดนี้คือความเชื่อถือและภาคภูมิใจในความเป็นหัวโบราณ ของพระองค์อย่างที่สุด

            จนพระชนมายุได้สิบแปด เจ้าฟ้าชายพระองค์นี้ก็ยังมิเคยได้ออกเดทกับสาวนางไหน ทั้งๆ ที่ในยามนั้น พระองค์คือหนุ่มวัยรุ่นที่จัดว่าร่ำรวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง ทรงมีรายได้จากการปันผลกำไรจากกองทุนทรัพย์สินส่วนพระองค์
            (Duchy of Cornwell properties) ปีละ ห้าแสนปอนด์ และรายได้จากเบี้ยหวัดในฐานะ ปริ้นซ์ ออฟ เวลส์ อีกปีละ หนึ่งแสนสองหมื่นห้าพัน ปอนด์
            จนกระทั่งมามีพระชนมายุได้ยี่สิบเอ็ด พระองค์ก็เริ่มมีคนโน้นคนนี้เข้ามาเกี่ยวข้อง..สาวแรกที่เข้ามาพัวพัน ก็คือ เพื่อนนักศึกษาที่มาจากอเมริกาใต้
            แต่ไม่ว่าจะเป็นสาวคนไหนก็ตาม ทุกคนจะต้องแอดเดรสพระองค์ให้ถูกต้อง จะต้องเรียกพระองค์ว่า "sir"
            แม้กระทั่งยามที่ร่วมรักบนเตียง..

            บาร์บาร่า คาร์ทแลนด์ นักเขียนนิยายโรแมนติคชื่อดังได้เคยกล่าวถึงเจ้าฟ้าชายไว้ว่า
            "พระองค์น่ารักมาก มีสเน่ห์เหมือนกับพระอัยกาน้อย ท่านลอร์ด เมาท์แบตเทนเหลือเกิน จะว่ากันจริงๆ แล้ว
            ท่านลอร์ดท่านก็รักและหวงของท่านจะตายไป ปู่หลานคู่นี้น่ะ แม้แต่คฤหาสน์ที่บอร์ดแลนด์ของท่าน ท่านยังจัดให้เป็นที่สำเริงสำราญของพระนัดดา ไม่ว่าจะพาสาวหน้าไหนมาก็ได้ ทุกอย่างจะเป็นความลับ ไม่มีทางเล็ดลอดไปถึงหูของนักข่าวได้เลย"
            ทุกอย่างที่บาร์บาร่าได้กล่าวมานั้นเป็นความจริงอย่างที่สุด ปู่หลานคู่นี้สนิทสนมแนบแน่นกันมาก
            เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงรักใคร่ชื่นชมบูชาท่านลอร์ดราวกับเทพเจ้า
            ส่วนฝ่ายผู้สูงวัยก็เข้าใจในธรรมชาติของชายหนุ่มอย่างพระนัดดา จนยอมตามพระทัยทุกอย่าง..
            นาย จอห์ บาร์เร็ตต์ เลขาธิการส่วนตัวของท่านลอร์ดได้เล่าให้ฟังว่า..
            "ในวันหยุดนั้น เราจะต้องจัดบ้านรับรองเจ้าฟ้าชายและเพื่อนสาวๆ ที่ผลัดกันเปลี่ยนหน้ามา อย่าง เลดี้เจน
            เวลเลสลี่ย์ หลานท่านลอร์ด เวลลิงตัน
            หรือ ลูเซีย ซานตา ครูซ ธิดาของท่านทูตสเปน
            หรือ คามิลลา แชนด์ หลานทวดของหม่อม อลิซ เคปเปล พระสนมในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด ซึ่งต่อมา คามิลล่าได้ไปสมรสกับ ผู้พัน แอนดรูว์ ปาร์คเกอร์ โบว์ลส์
            ความจริงคามิลล่าเป็นคนที่มีเสน่ห์ น่ารัก เปิดเผยดี เพียงแต่ในยามนั้น เจ้าฟ้าชายยังอ่อนประสบการณ์ในเรื่องของความรักจนเกินไป เลยไม่ทรงทราบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับเธอนั้นจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกกันว่า รักแท้"

            (คามิลล่าได้เคยเล่าให้น้องสามี ริชาร์ด ปาร์คเกอร์ โบว์ลส์ ฟังว่า..เธอคือหญิงคนแรกที่สอนเรื่อง"อย่างว่า" ให้กับเจ้าฟ้าชาย (ปี 1971)
            ตอนนั้นพระองค์ทรงเงอะงะมาก ทำอะไรไม่ถูก
            ในที่สุด เธอได้ทูลผสมหัวเราะไปว่า..ไม่เห็นจะยากเลย..
            ก็นึกว่าหม่อมฉันเป็นม้าโยกซิเพคะ....)


            สาวอีกนางหนึ่งที่ท่านลอร์ด หลุยส์พยามยามลุ้นอย่างตัวโก่ง นั่นคือ สาวน้อยวัยสิบห้า หลานสาวของท่านเอง
            อาแมนด้า นัทชบูล ซึ่งเป็นธิดาคนที่สองของ ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น ที่มีอายุต่างกับเจ้าฟ้าชายถึงเก้าปี
            (อ้ะ..เดี๋ยวจะงง จะอธิบายให้ว่า..ลอร์ด และ เลดี้ บราเบิร์น คือ ลูกเขย และ ลูกสาวคนโต ของท่านลอร์ด เธอมีนามเดิมคือ แพตตริเซีย เมาท์แบตเทน ที่ได้ไปแต่งงานกับ จอห์น นัทชบูล ซึ่งต่อมา จอห์นได้รับการถ่ายทอด
            บรรดาศักดิ์ลอร์ด บราเบิร์น จากบิดาที่ล่วงลับไป
            แพตริเซีย จึงกลายมาเป็น เลดี้ บราเบิร์น
            ต่อมาไม่นานจากนั้น ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน ได้ทูลขอต่อสมเด็จในการที่จะยกฐานะลูกสาวคนโตให้ใช้ตามบรรดาศักดิ์ของตัวเอง เพราะว่าไม่มีลูกชายที่จะสืบสกุล.. แพตตริเซีย หรือ เลดี้ บราเบิร์น จึงได้กลายมาเป็น เคาน์เตสส์ เมาท์แบตเทน ออฟ เบอร์มา (= Countess Mountbatten of Burma) ซึ่งเธอสามารถจะถ่ายเทบรรดาศักดิ์นี้ยังบุตรชายคนโตได้ต่อไป เมื่อชีวิตหาไม่แล้ว..)

            อาแมนด้า คือ ความหวังอันสูงสุดของท่านลอร์ดที่จะเห็นหลานสาวของตัวเองขึ้นนั่งบัลลังค์อังกฤษในฐานะพระราชินีองค์ต่อไป ดังนี้..การพบปะของคนทั้งสองมักมีขึ้นอยู่อย่างไม่ขาดระยะ
            โดยฝีมือของท่านลอร์ดดัน..
            หลังจากการที่ไปเที่ยวด้วยกันตามประสาพี่น้อง ที่บาฮามัส เจ้าฟ้าชายได้ทรงจดหมายมาเล่าว่า...
            "หลานเพิ่งสังเกตุว่า น้องอาแมนด้าโตขึ้นมาก และที่น่าเป็นห่วงคือ เธอออกแววว่าเป็นสาวงามจัดทีเดียว"
            เจ้าชายฟิลิปพอทรงทราบเรื่องเข้า รู้สึกพอพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงตรัสว่า.."โล่งอกไปที...เป็นคนใกล้ตัวอย่างนี้ก็ค่อยยังชั่วหน่อย"
            ระหว่างที่ทุกคนเฝ้ารอให้อาแมนด้าประสีประสาขึ้นมาอีกสักหน่อยนั้น ท่านลอร์ดก็ได้จัดคู่ชกให้กับเจ้าฟ้าชายไปพลางๆ พร้อมทั้งกำกับใกล้ชิด โดยการสั่งสอนเตือนสติเสมอว่า....
            หญิงคู่นอนน่ะ จะไปหาที่ไหนก็ได้ แต่เรื่องที่จะเอามาเป็นคู่ครองจริงๆ นั้น ต้องเลือกเฟ้นราวกับการคัดเพชรน้ำเอกทีเดียวนะ...

            เรื่องการหนุนหลังให้กับเจ้าฟ้าชาย ท่านลอร์ดถือเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติทีเดียว
            และหวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงยังไม่ลืมนะคะว่า เด็กสร้างคนแรกที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
            นั่นก็มิใช่ใครอื่นไกล..เจ้าชายฟิลิป หลานแท้ๆ ของท่านลอร์ดนั่นเอง คราวนี้ต่อมาถึงรุ่นของเจ้าฟ้าชาย ที่ปู่น้อยอย่างท่านลอร์ดจะเฉยอยู่ได้อย่างไรกัน
            แม้แต่การให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไทม์ ท่าน
            ลอร์ดยังไม่วายชมเชยหลานของตัวเองว่า หล่อกว่า
            วาร์เรน เบ๊ตตี้ (ดาราหนุ่มรูปหล่อ น้องชายของดาราน่องทองเชอร์รี่ แมคเลน เกิดทันไหมเอ่ย??)
            ท่านว่า หลานท่านน่ะ มีหญิงติดเยอะ ..
            แต่ในเรื่องความหนักใจจริงๆ ที่ท่านลอร์ดไม่อยากบอกใคร..นั่นก็คือ หลานเจ้าฟ้าของท่านนั้น หลงรักคนง่าย..

            บรรดานักข่าวต่างๆ จึงพากันรุมตอมเจ้าฟ้าชายอย่างตามติด ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน แม้กระทั่งไปทรงสกีที่เทือกเขาแอลป์ก็ยังไม่พ้นหูพ้นตา ขนาดในที่สุดลับเฉพาะ..
            ที่เจ้าฟ้าชายพาแฟนสาว แอนนา วอลเลส ไปพร่ำพรอดรักที่ชายหาดของฝั่งแม่น้ำดี อยู่ในเขตพระราชฐานของพระราชวังบัลมอรัล ก็ยังไม่รอดพ้น
            นายเจมส์ วิทเทเคอร์ นักข่าวคนหนึ่งได้เล่าว่า..
            "ผมเเฝ้าซุ่มดูพระองค์และแอนนา โดยการหลบตัวอยู่ในพุ่มไม้ตั้งนาน..พอทุกอย่างกำลังเข้าไคล..พระองค์เกิดหันมาเห็นเราที่กำลังขยับกล้องส่องทางไกลอยู่..
            ท่าวน้านแหละ
            ทรงกระโจนแผล๋วไปหลบอยู่หลังต้นไม้ทันที ทรงปล่อยให้แอนนารีบตาลีตาเหลือกคว้าผ้าผ่อนมาคลุมตัวอยู่คนเดียว..ช่างไม่แมนเอาซะเลย..ผมละรู้สึกอายแทน แต่ก็ไม่ได้เอาเรื่องนี้ไปเขียนเป็นข่าวหรอกนะ
            เพราะอย่างไรเสีย พระองค์ก็คือกษัตริย์ของเราองค์ต่อไป"


            ฉะนั้น ในทางภาพพจน์ที่ปรากฏตามหน้าสื่อแล้ว เจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมารแห่งสหราชอาราจักร
            คือชายหนุ่มที่เพียบพร้อมไปด้วยประการทั้งปวง
            หากแต่ในความเป็นจริง พระองค์ได้ถูกเปรียบไว้ว่าเป็นชายที่มีคนให้เกียรติยกย่อง ถูกกล่าวขวัญถึงมากที่สุด
            หากเพียง..แค่กล่าวขวัญถึงเท่านั้น แต่ไม่มีใครอยากคบค้าด้วย
            เพราะ พระองค์ช่างเคร่งเครียด ไร้อารมณ์ขัน แก่มารยาทไปจนเกินเหตุ
            เจ้าฟ้าชายเอง ก็ยังเคยกล่าวให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
            "เราไม่ใช่คนที่มีสามัญสำนึกอย่างธรรมดาๆ ถึงอยากจะเป็น เราก็เป็นไม่ได้ ทุกอย่างสำหรับเราคือระเบียบและวินัยที่ถูกฝึกมาให้รู้จักคำว่าภาระและหน้าที่ที่ต้องพึงปฏิบัติต่อราชบัลลังค์มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
            นี่คือข้อแตกต่างที่ทำให้เราไม่เหมือนกับคนอื่นๆ "

            ความแตกต่างที่ว่านี้ ทำให้เพื่อนนักศึกษาที่เคมบริดจ์มักจะถากถางพระองค์เป็นประจำไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง..เช่นเรื่องการเรียน ที่พวกนักศึกษาที่เก่งๆ มักจะเลือกสอบสี่วิชาที่จะผ่าน A-level
            พวกปานกลางก็สอบสามวิชา พวกหางแถวได้รับอนุญาตให้สอบแค่สองวิชา..เจ้าฟ้าชายคือพวกอันดับหลัง..
            หรือ เรื่องที่ทรงฉลองพระองค์ด้วยสูทสีขรึมเข้าชั้นเรียนทุกครั้งนั้น พวกนักศึกษาร่วมชั้นก็จะค่อนขอดเสมอว่า..
            ช่างโบราณได้อารมณ์จริง จริ๊งงง...!!!
            ที่สำคัญของการล้อเลียนอย่างสุดๆ นั้น คือ ใบพระกรรณที่กางโก่งออกมาอย่างผิดปรกติ
            ซึ่งลักษณะที่ว่าผิดปรกตินั้น ทรงถูกล้อเลียนมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนแม้แต่ตัวพระองค์เองก็ยังขาดความมั่นพระทัย ดูได้จากการที่มักจะทรงหมุนพระธำมรงค์ตราประจำเวลส์ที่ทรงสวมอยู่ไปมาเสมอ
            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตเคยทูลแนะนำสมเด็จให้เจ้าฟ้าชายได้เข้ารับการศัลยกรรม ปรับปรุงพระกรรณให้เป็นที่เป็นทางขึ้น แต่..ไม่ได้ผลอันใด
            ส่วนเดวิด พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต พอมีพระชนมายุได้สามชันษา ก็มีแววว่า "หูกาง" ออกมาบานเบิกเช่นกัน เจ้าฟ้าหญิงจึงมิได้รอช้า ส่งเข้าโรงพยาบาลเด็ก
            เกรท ออสมอนด์ สตรีท
            เพื่อเข้าทำการผ่าตัดเก็บแนบทันที..
            เจ้าฟ้าหญิงทรงตรัสติดตลกว่า..นี่คือสำเนาของหูวินด์เซอร์ที่ถูกต้อง...
            แม้แต่ท่านลอร์ดเองก็ยังพยายามที่จะทูลสมเด็จถึงเรื่องนี้ ถึงกับทูลแรงๆ ว่า..
            "เราจะมีกษัตริย์ที่มีพระกรรณใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?"
            นายนอร์แมน พาร์คินสัน จิตรกรวาดพระสาทิสสลักษณ์ด้วยสีน้ำมัน ทนไม่ได้ในยามที่จะต้องวาดเจ้าฟ้าชาย เขาถึงกับต้องจัดการนำเทบกาวสองด้านมาติดที่หลัง
            พระกรรณให้..

     

            ข้าราชบริพารเก่าแก่มักจะแก้ข้อสงสัยให้ในยามที่มีคนสงสัยเสมอ ว่า เจ้าฟ้าชายนั้นทรงเติบโตมาอย่างไร?
            คำตอบที่ออกมาเหมือนๆ กันก็คือ
            "พระองค์ทรงเคร่งในวินัย เคร่งมารยาท แค่ติดขรึมๆ เหมือนสมเด็จพระราชินี ไม่ค่อยซน ไม่เหมือนกับเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ที่เก่งกล้า คล่องแคล่วสารพัด เหมือนกับเจ้าชายฟิลิปพระบิดา จนสององค์นี่น่าจะสลับเพศกัน จะเหมาะมาก"
            ส่วนเจ้าฟ้าชายก็ขยันให้สัมภาษณ์พอประมาณ ดังที่ยามนักข่าวถามถึงเรื่องคู่ครอง..ว่าจะทรงเลือกพระราชินีอย่างไร?
            เพราะเท่าที่ติดตามกันมา เห็นว่า สาวๆ ส่วนใหญ่ที่ทรง
            เดทมักจะมีอะไรที่คล้ายๆ กัน คือ สูง เพรียว ผมสีบลอนด์ เข้าข่ายลักษณะของเหล่านางฟ้าชาร์ลี
            คำตอบคือ..
            "ฉันกลัวเรื่องนี้ที่สุด เรื่องการแต่งงานเนี่ย..เพราะสำหรับฉันแล้วจะเป็นการที่ตัดสินใจพลาดไม่ได้เลย การหย่าร้างนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในสถานะของคนอย่างฉัน
            ฉะนั้น จึงต้องค่อยๆ เลือก ค่อยๆ คิดด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง" และ
            "ถ้าฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่กับใครสักคนยาวนานถึงห้าสิบปีละก้อ แน่นอนว่า ต้องใช้สมองคิดมากกว่าความปรารถนาของหัวใจ เพราะ แค่เพียงหลงรักใครสักคนหนึ่งนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอต่อการตัดสินใจ"

            ที่เจ้าฟ้าชายได้ทรงให้สัมภาษณ์อย่างเปิดพระอุระขนาดนั้น เนื่องจากในตอนนั้น ข่าวการแตกแยกของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับลอร์ดสโนว์ดอนกำลังร้อนระอุ และ หนังสือพิมพ์ต่างก็กำลังเบิกบานกับเสรีภาพของการเขียนเรื่องซุบซิบภายในพระราชวัง..
            ทุกอย่างจึงออกมาด้วยภาพที่มีสีสันกว่าการเบาะแว้งของคู่ไหนๆ ในประวัติศาสตร์แห่ง เดอะ เฟิร์ม...วินด์เซอร์

            นิตยสารอิตาเลี่ยน ได้พาดหัวข่าวว่า.."ปาร์ตี้ที่เร้าใจ และ ร้อนเร่า " ที่มีข่าวของลอร์ด สโนว์ดอน กำลังเริงรื่นไปกับการสะสมภาพโป๊ๆ สารพัด
            รายการโชว์ สปิตติ้ง อิมเมจ ได้ทำข่าวลอร์ด สโนว์ดอน และ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ว่าเป็นคู่กรรมคู่เวรอย่างไม่มีใครเหมือน
            นิตยสารเอสไควร์ ได้ทำข่าว ใจความว่า สองสโนว์ดอนทำตัวไม่น่านับถือ แม้แต่เพื่อนสนิทยังหมดความเคารพ..

            ยามที่เจ้าฟ้าหญิงได้โทรศัพท์ไปต่อว่า...ในเรื่องของข่าวที่เรียกพระนามโดยไม่มีพระอิสสริยศนำ
            บรรณาธิการ คือ พระสหายเก่าแก่ของเจ้าฟ้าหญิงตั้งแต่เล็กแต่น้อย สวนกลับคืนไปว่า..
            ก็ทีพระองค์ยังเรียกใครต่อใครด้วยชื่อแรก ทำไมเราจะเรียกพระองค์ว่า มาร์กาเร็ต (เฉยๆ ) บ้างไม่ได้ล่ะ
            "เธอจะมาเรียกฉันอย่างนั้นไม่ได้..จำเอาไว้....."
            ทรงขู่ฟ่อกลับมา พร้อมการตัดสัมพันธ์

            ใครต่อใครต่างก็รู้และต้องทำใจว่า..เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ ทรงเอาแต่พระทัย และทรงเจ้ายศเจ้าอย่างเป็นที่สุด พระองค์โปรดที่จะให้เรียกขานว่า
            มาดาม..หรือ มาดามดาร์ลิ่งค์ และต้องลงท้ายด้วยว่า Her Royal Highness อีกทั้งทรงโปรดการถวายความเคารพ ทั้งการถอนสายบัว และ การโค้งคำนับ
            ยามเมื่อเสด็จเข้ามาในห้อง หมายถึงว่า ไม่มีใครกล้าบังอาจขอตัวกลับก่อนได้
            หรือถ้าทรงโปรดที่จะลีลาศจนถึงสว่าง ทุกคนก็จะต้องร่วมลีลาศจนถึงเช้าด้วยเช่นกัน
            หรือถ้าจะทรงร้องเพลง ทุกคนต้องนิ่งเงียบ ตั้งใจฟัง..


            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและพระสวามีถึงคราวที่เรียกว่า ต่างคนต่างไป...พระองค์ได้ไปทรงสร้างบ้านพักแบบไปรเวทที่เกาะมัสตีค คาริบเบียน ซึ่งลอร์ดสโนว์ดอนไม่เคยได้ย่างกรายไปเหยียบ
            เพราะตัวเองก็มีเรือนหลังเล็กที่อยู่อย่างสันโดษในแขวง ซัสเซกค์ ที่เจ้าฟ้าหญิงก็มิเคยได้เสด็จไปเช่นกัน..
            ทั้งคู่ต่างมี"คนรัก"ของตัวแนบข้าง ของใครของมัน ..

            ของเธอ คือ ไม่เฉพาะเจาะจงลงไป ตามแต่จะพอพระทัย..ในกลุ่มพระสหายที่เข้ามาวนเวียนนั้น คือ ดาวร๊อคชื่อดัง มิค แจ๊กเกอร์, ดาราชื่อก้อง ปีเตอร์ เซลเล่อร์, นักเขียนลูกขุนนาง นาย รอบิน ดักลาส-โฮม,
            ช่างภาพมือหนึ่ง นายแพทริค ลิชฟิลด์ (คนนี้คือพระญาติแท้ๆ เพราะมารดาของนายแพทริค คือ แอนน์
            โบลส์-ลีออง ลูกสาวของน้องชาย ควีนมัม)

            ของเขาคือ เลดี้ จาคเกอลีน รัฟฟัส-ไอแสคส์ ที่มีอายุเพียง ยี่สิบปี
            ข่าวของการเดทอย่างหวานแหววระหว่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตกับนาย รอบิน ดักลาส-โฮม นักเขียนหลานชายอดีตรัฐมนตรี เซอร์ อเล๊ค ดักลาส-โฮม ได้กระพือไปถึงหูของท่านลอร์ด สโนว์ดอน
            ในขณะที่เขาได้ออกไปทำงานถ่ายภาพไซด์ไลน์ ให้กับหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ ไทม์ ว่า ทั้งสองเดทกันเฉยๆ ก็ยังไม่เท่าไหร่ หากแต่..เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงพาชายอื่นไปเริงรื่นในบ้านน้อยๆ ของเขาในซัสเซกค์นี่ต่างหาก
            ที่มันสุดจะทน..
            เขาจึงกลับมาอาละวาดแบบไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น ซึ่งอันเป็นสาเหตุให้เจ้าฟ้าหญิงต้องเขียนจดหมายอำลากับ"กิ๊ก"ทันที..
            ในจดหมาย พระองค์ว่า..
            "สุดที่รัก..ฉันไม่รู้จริงๆ ว่า เขาจะอาละวาดต่อไปอีกถึงขนาดไหน ยามที่เขาโมโหถึงขนาดนี้ เดาใจกันยาก และนี่เขายังไม่รู้เรื่องของเราทั้งหมดด้วยนะ..ระวังตัวกันไว้หน่อยก็ดี ทั้งทางฉันและทางเธอ
            สัญญานะ..ว่าเรายังจะไม่ลืมกัน เราจะยังเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจเสมอใช่ไหมจ๊ะ ช่วยเป็นกำลังใจให้ฉันด้วย สักวันหนึ่ง..ฉันจะกลับมาหาเธออีก แต่ในขณะนี้..ฉันยังไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น
            หวังว่าเธอคงเข้าใจ.."

            ถึงแม้เจ้าฟ้าหญิงจะทรงยอมสลัดกิ๊ก แค่รอยร้าวฉานนั้นมันได้แตกแยกเป็นทางยาวจนไม่อาจสมานได้เสียแล้ว..
            ในเมื่อทั้งคู่ต่างต้องจำใจ"ทนอยู่" เพราะสถานะภาพทางสังคมที่ค้ำคอ
            ดังนั้น..การทะเลาะเบาะแว้ง จิกกัด ประชดประชัด กระแนะกระแหนจึงตามมาในทุกโอกาสที่มี..
            ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ทรงปล่อยพระองค์ตามสบาย อย่างไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น การทรงพระโอสถมวนได้เพิ่มจำนวนขึ้นมากอย่างน่าตกใจ การเสวยน้ำจันก็หนักขึ้นถึงขนาดจิบยินโทนิคพร้อมกับพระกระยาหารเช้า
            เมื่อทรงเกิดมีอาการของโรคประจำพระองค์ขึ้นมา คือ ไมเกรน ก็ทรงเสวยยานอนหลับเป็นการผ่อนคลาย โปรดการพบจิตแพทย์ ยามที่ทรงกลัดกลุ้มพระทัย
            ฝ่ายท่านลอร์ด พระสวามี ก็แยกตัวไปอยู่ตามลำพัง ครั้งละนานๆ เป็นอาทิตย์ เขาได้ประกาศให้ทรงทราบเสมอ ว่า อยากจะหย่าอย่างเต็มทน...
            แต่ฝ่ายหญิง..ไม่ยินยอมพร้อมพระทัยในเรื่องของการหย่าร้าง เพราะทรงทราบดีว่า เรื่องนี้คือเรื่องใหญ่ของเดอะ เฟิร์ม อีกทั้งต้องทรงคิดถึงพระโอรส เดวิด และพระธิดา ซาร่าห์ ที่ยังเล็กอยู่มากแค่ หกขวบ กับสามขวบ..
            จนในที่สุด..ลอร์ด สโนว์ดอน ...ขอเข้ากราบบังคมทูลต่อสมเเด็จเอง ในการที่จะขอแยกตัวออกไปให้พ้นๆ เพราะทนต่อการเป็น"เขยเจ้า" ไม่ไหวแล้ว..


            สมเด็จทรงปฏิเสธที่จะรับฟังในเรื่องปัญหาครอบครัว เรื่องของผัวๆ เมียๆ
            จนกระทั่ง ข่าวได้พาดหัวในหนังสือพิมพ์ เดลี่ เอ๊กซ์เปรส ถึงเรื่องการร้าวฉานของครอบครัวสโนว์ดอน เรียกเสียงฮือฮาจากประชาชนที่สนใจไปทั่วประเทศ...
            พระองค์จึงต้องเรียกเจ้าปัญหาทั้งคู่มาพบ ที่พระราชวังบั๊คกิ้งแอม ในคืนของวันที่ 18 ธันวาคม 1967 พร้อมกับ เจ้าชายฟิลิป และ ควีนมัม ที่ต้องมาร่วมรับฟัง
            เจ้าชายฟิลิป ทรงเห็นว่า น่าจะมีการแยกกันอยู่อย่างเงียบๆ ไม่ต้องกระโตกกระตากบอกใครต่อใคร..
            ควีนมัมก็ได้แต่ทรงกรรแสง มิยอมตรัสอะไรทั้งสิ้น
            สมเด็จ..ทรงโดดเดี่ยวเกินไป...ต่อการที่จะตัดสินพระทัยด้วยองค์เองให้เด็ดขาด
            ลอร์ดสโนว์ดอน..นั่งกระสับกระส่ายรอฟังคำวินิจฉัย และ ขยับ"หลักฐาน" คือจดหมายรักสองสามฉบับของนาย
            รอบิน ดักลาส-โฮม ที่เตรียมมาในกระเป๋า พร้อมที่จะนำออกมาแฉต่อหน้าพระพักต์
            แต่..สมเด็จได้ทรงตรัสออกมาว่า..รอไปหน่อยนะ ขอฉันได้ไปปรึกษากับฝ่ายเสนาบดีก่อน
            เขาจึงลุกขึ้น ถวายคำนับและเดินออกไปเงียบๆ
            ส่วนเจ้าฟ้าหญิงได้ออกมาเล่าให้พระสหายฟังว่า สมเด็จได้แอบเอ็ดเอาว่า..
            "ทำไมจะแยกกันทั้งที ต้องให้มันวุ่นวายคนอื่นด้วยนะ ทำให้มันเงียบๆ ไม่ได้หรือไง?"

            ส่วนลอร์ดสโนว์ดอน ..ออกมาแล้วก็ให้รู้จึกอึดอัดใจยิ่งนัก เพราะเท่ากับว่า ต้องทนอยู่คาราคาซังไปอย่างนี้ โดยไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าใด..กว่าจะทรงอนุญาต
            ดังนั้น สงครามอารมณ์ และ สงครามปาก จึงได้เกิดขึ้น...ไม่ว่าลับหลัง หรือ ต่อหน้าชาวประชา..
            ดังตอนที่ ทั้งสองจำใจต้องร่วมเดินทางไปด้วยกันที่ คอร์ฟู, ประเทศ กรีซ หลังจากการเสวยพระกระยาหารกลางวันได้ผ่านไป.เจ้าฟ้าหญิงทรงเสด็จกลับไปห้องบรรทมเพื่อการนอนพักผ่อนก่อนที่จะถึงเวลาดินเนอร์
            ต่อมาไม่นาน ทรงพยายามที่จะติดต่อกับท่านลอร์ด พระสวามี แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ทรงโทรเรียกที่ห้องเท่าไหร่ ก็ไม่รับสาย..ในที่สุด พระองค์ได้ทรงลุกขึ้นจากพระที่ เสด็จไปกดกริ่งเรียกที่หน้าห้องด้วยองค์เอง
            ในชุดบรรทม รองพระบาทแตะ พระเกศายุ่งเหยิง
            ปรากฏว่า..ผู้ที่ออกมารับหน้า... คือกลุ่มๆ เพื่อนของท่านลอร์ดที่ได้เชิญมาทานน้ำชากำลังปาร์ตี้กันในห้องอย่างสนุกสนาน
            ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริดที่เห็น "เจ้าหญิงแร้งทึ้ง" ยืนเด่นเป็นสง่าที่หน้าประตู...
            เจ้าฟ้าหญิงแทบจะกระอักออกมาเป็นโลหิต..เพราะ เสียรู้ในแผนการฉีกพระพักต์ให้อับอายครั้งนี้ของท่านลอร์ด...


            จากนั้น..คือ การเปิดฉากฟาดฟันครั้งใหญ่ ที่..ไม่ว่าจะเป็นการทำกาแฟหกรดราดบนแผ่นฟิล์มงานของลอร์ด
            สโนว์ดอน ที่จะมีพระสุรเสียงเล็กแหลม ตามมาว่า
            "อุ๊ยตาย โทษที ไม่ทันเห็น"
            ...หรือ...
            ในงานดินเนอร์สันนิบาตที่มหานครนิวยอร์ค ที่มี แม่งานคือธิดาอดีตท่านทูตอเมริกาประจำอังกฤษ นาง ชาร์มาน ดักลัส ผู้ซึ่งต้องเดินไปมาสังสรรค์กับแขกเหรื่อวีไอพีต่างๆ
            ท่านลอร์ด สโนว์ดอน ยืนคุยกับกลุ่มเพื่อนๆ อยู่มุมหนึ่ง
            เจ้าฟ้าหญิง ก็ประทับอยุ่อีกมุมหนึ่ง..
            นางชาร์มาน ได้เข้ามาถวายความเคารพและถามถึงโดยมารยาทระดับอินเตอร์ว่า
            "Queen ทรงพระเกษมสำราญดีหรือเพคะ?"
            เจ้าฟ้าหญิงทรงกรีดพระสุรเสียงขึ้นอย่างไม่เบานัก...ว่า..
            "คุณหมายถึง ควีนคนไหนล่ะ..ควีน.แม่ฉัน..ควีนพี่สาวฉัน หรือ อีควีนผัวฉัน...????"
            สิ้นประโยค..เล่นเอาทุกคนตกใจมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

            พองานเลิก..เจ้าฟ้าหญิงทรงมีพระประสงค์ที่จะเสด็จไปขอบใจเหล่าพนักงานฝ่ายบริการอาหาร ถึงในครัว..
            จึงส่งมหาดเล็กให้ไปเชิญท่านลอร์ด พระสวามีให้ไปด้วยกัน..
            มหาดเล็กจึงไปตามพระบัญชา..และเรียนให้ทราบตามนั้น
            ท่านลอร์ด ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้..ไม่ได้ยิน....
            จนมหาดเล็กจึงต้องพยายามใหม่ พูดให้ดังกว่าเก่า..ว่า
            "ท่านครับ..เจ้าฟ้าหญิงทรงให้กระผมมมาเรียนว่า พระองค์พร้อมที่จะเสด็จไปในครัวแล้วขอรับ"
            เสียงตอบกลับมาก็ดังไม่แพ้กันว่า...
            "งั้นเหรอ..แล้วจะเสด็จไปทำไมล่ะ ในครัวนั่นน่ะ จะไปทรงเจียวใข่หรือไง???"

            อาทิตย์หนึ่งต่อมา..ทั้งเจ้าฟ้าหญิง และพระสวามี ต้อง (จำใจ) ไปในงานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่ เจ้าภาพต้องกลับมาเล่าด้วยความอับอายว่า
            อาหารคอร์สแรกได้ผ่านไป ท่านลอร์ดได้นำถุงกระดาษขึ้นมาสวมหัว..ทุกคนแปลกใจ แต่ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร
            อาหารคอร์สที่สองได้นำมาเสริฟ เจ้าฟ้าหญิงทรงอดรนทนไม่ได้ ตรัสขึ้นมาว่า..
            "จะบ้าหรือไง..ทำไมต้องเอาถุงมาคลุมหัวฮะ..??"
            "ไม่อยากจะมองหน้าเธอน่ะซิ"
            เท่านั้นไม่พอ..ทุกโอกาสที่มี ท่านลอร์ดมักจะติเตียนเรื่องฉลองพระองค์ และฉลองพระบาท แบบไม่มีการไว้
            พระพักต์ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใคร..
            อย่างฉลองพระองค์ ที่บานพริ้ว สีเจิดจ้า เขาจะพูดขึ้นมาว่า...
            "คุณนาย..นั่นเสื้อผ้าหรือนั่น..นึกว่าเป็นร่มนักบินซะอีก"
            ฉลองพระบาท..ก็ไม่วายโดนว่า
            "โอ้...ให้ตายเถอะ ที่มันโบราณ รุ่นหลังสงครามเลยนะเนี่ย"
            (เนื่องจาก เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดรองเท้าแบบรองพื้นหนาๆ เพื่อที่จะหนุนให้ดูสูงขึ้น)

            และแน่นอน เมื่อข่าวของการร้าวฉานได้แพร่ออกไปทีไร คนที่โดนยำเละ นั่นคือ ท่านลอร์ด ชาวดินที่หาญกล้าโน้มดอกฟ้าลงมาและไม่รู้จักรักษา ทนุถนอม นี่คือเสียงที่สะท้อนกลับมา..
            ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจุมพิตทักทายแนบประกบปากกับ
            รูดอล์ฟ นูริเยฟ ดาราบัลเล่ต์ชายชื่อก้องโลก
            หรือการไปปรากฏตัวที่งานด้วยใบหน้าที่ครบเครื่องไปด้วยเครื่องสำอาง..
            ความจริงแล้ว..ในอดีต ท่านลอร์ดสโนว์ดอน ได้เคยช่วยงานในพระราชกรณียกิจอย่างแข็งขัน จนสมเด็จพระราชินีโปรดปรานและพอพระทัยต่อชายสามัญชนคนนี้ไม่น้อย..
            อย่างครั้งหนึ่ง ที่ได้เสด็จไปในงานเลี้ยงฉลอง
            รางวัลออสการ์ของนักถ่ายภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ที่พระองค์ได้ทรงถามกับเจ้าของรางวัลว่า
            "ในการทำภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลนี่..คุณได้ทำหน้าที่อะไรบ้าง?"
            "กระหม่อมทำหน้าที่เป็นช่างภาพพะยะค่ะ"
            "เหรอ..น่าสนใจจัง ช่างบังเอิญเหลือเกิน เพราะฉันเองก็มีน้องเขยเป็นช่างภาพเหมือนกัน.."
            "นั่นซิ..ช่างบังเอิญจริงๆ พะยะค่ะ เพราะกระหม่อมก็มีน้องเขยเป็น"ควีน" เช่นกัน"
            สมเด็จทรงเสด็จพระราชดำเนินผ่านไป แบบว่า ไม่ทรงได้ยิน..

      

            มาถึงปี 1972 คือปีที่แสนบังเอิญ..ที่สมเด็จได้ทรงประพาสประเทสฝรั่งเศสห้าวันตามคำเชิญของรัฐบาล
            และในโอกาสเดียวกันนั้น คืออาการร่อแร่ของท่านดยุค ออฟ วินด์เซอร์ วัย เจ็ดสิบเจ็ด
            ที่ทรงตัดสินพระทัยที่จะเสด็จเข้าเยี่ยมเยียน พระปิตุลา เนื่องจากว่า แพทย์ประจำตัวของท่านดยุค ได้ส่งรายงานไปกราบบังคมทูลให้ทรงทราบว่า
            "คราวนี้ เห็นทีจะไม่รอดพะยะค่ะ"
            ซึ่งวันต่อมา..ท่านทูตอังกฤษ นาย นิโคลาส โซเมส รีบติดต่อแพทย์เจ้าของรายงานด่วนว่า..
            "ฟังนะ คุณหมอ คุณจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของคุณ แต่..ท่านดยุคจะต้องตายก่อน หรือ ตายหลังจากที่ได้เสด็จเยือนฝรั่งเศสแล้ว..ไม่ใช่ในช่วงระหว่าง..เข้าใจไหม?"

            นักข่าวต่างพากันกระหายที่จะทำข่าวนี้กันมากที่สุด เพราะ ทุกคนอยากที่จะรู้ว่า หลังจากที่มีการตัดญาติขาดมิตรกันมานาน คราวนี้จะมีการพบกันจริงๆ หรือไม่ ?
            ท่านราชเลขาส่วนพระองค์ฯ ได้บอกตัดบทสั้นๆ กับนักข่าวว่า
            "คุณก็รู้ว่าท่านดยุคเจ็บหนัก ผมก็รู้ว่าท่านก็ร่อแร่...แต่.."บางคน" ที่ ไม่รู้ และไม่ชี้ ก็มีนี่นา..."
            การเสด็จฝรั่งเศสครั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้โดยเสด็จไปด้วย และได้เข้าทำความเคารพต่อพระอัยกา ถึงที่บ้านพักตำบล บาส์ เดอ บูลองน์ (Bois de Boulogne) ชานกรุงปารีส
            ที่นั่น พระองค์ได้ทรงพบกับพระญาติที่มิเคยได้ทรงรู้จักมาก่อน เขาคือชายชราที่มีสภาพทรุดโทรมไปด้วยอาการของมะเร็งในปอดระยะสุดท้าย
            ชายชราคนนั้นพยายามยันกายลุกขึ้นเพื่อมายืนถวายความเคารพ..ก่อนที่จะสิ้นใจไปในเวลาไม่กี่วันต่อมา..
            ภาพที่ทรงเห็น..ทำให้เจ้าฟ้าชายถึงกับสงสารพระอัยกาผู้อาภัพคนนี้นักหนา..
            หม่อมวอลลิส สะใภ้จงชังของวินด์เซอร์ขนานแท้และดั้งเดิมนั้น ได้รู้สึกตัวทันทีว่า สมเด็จพระราชินีนั้น ทรงชาเย็นอย่างเหลือเชื่อ และ พอเข้าใจในการเสด็จเยี่ยมในครั้งนี้ว่าเป็นการเมืองมากกว่าการมีแก่ใจที่จะอยากเสด็จมาเอง..

            เจ้าฟ้าชายชารลส์ ก็รู้สึกสงสารหม่อมสุดหัวใจเช่นกัน ที่ต้องโดนการกีดกันสารพัดมาตลอดชีวิต ถึงกับเสนอว่า จะทรงไปรับที่สนามบินยามที่หม่อมไปร่วมในพิธีพระศพของท่านดยุค
            แต่..ข้อเสนอนี้"ไม่ผ่าน"ความเห็นชอบจากรัฐสภา ที่ลงมติว่า เป็นการไม่สมควรที่เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมารจะต้องเสด็จไปรับหญิงม่ายสามัญชน..
            และมตินี้..เจ้าฟ้าชายทรงทรงทราบซึ้งในพระทัยเป็นอย่างดีว่า...มาจากใคร ถ้าไม่ใช่จากควีนมัม พระอัยยิกาเจ้า..

            ผู้ที่ต้องเสนอตัวไปรับแทน..นั่นคือ ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน
            และในพิธีพระศพครั้งนี้ หม่อมวอลลิส ได้รับการอนุญาตให้พำนักในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮมได้ แต่..แค่เฉพาะระหว่างวันงานพิธีเท่านั้น..
            ทันทีที่หม่อมวอลลิสได้มาถึง..เข้าพำนักตามที่ได้จัดให้ คณะเดอะ เฟิร์ม ทั้งหมดได้ต่างพากันผันผายไปอยุ่กันในพระราชวังวินเซอร์จนหมด ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวอย่างอ้างว้างในบั๊คกิ้งแฮมนั่น

       
            ท่ามกลางกลิ่นควันของการเบาะแว้งของครอบครัว
            สโนว์ดอน
            ท่ามกลางความรักที่ไม่สมดุลย์ของท่านดยุค ออฟ
            วินด์เซอร์และหม่อม
            ยิ่งเหมือนกับเป็นการสร้างกระแสกดดันให้กับเจ้าฟ้าชาย
            ชารลส์ ที่ต้องทรงเคร่งครัดรักษากฎมณเฑียรบาล
            สองข้อสำคัญ เกี่ยวกับการอภิเษกคือ
            ข้อ 1701 ที่ห้ามมิให้ผู้สืบสันตะติวงค์ทำการสมรสกับชาวโรมัน คาธอลิค
            ข้อ 1772 ที่มีว่า..ผู้ที่อยู่ในลำดับการสืบราชบัลลังค์ ถ้าจะมีการอภิเษกก่อนมีพระชามายุ ยี่สิบห้า ชันษา ต้องทูลขอพระบรมราชานุญาต ถ้าเกินไปกว่านั้น ต้อง
            ประกาศความตั้งใจให้เป็นทางการ และรอให้ได้รับอนุญาตจากรัฐสภาเสียก่อน จึงจะทำการอภิเษกได้
            ซึ่งประชาชนทุกคนต่างเฝ้ารอที่จะเห็นว่า..นางผู้ใดกัน...ที่จะมาเป็นพระราชินีของพระองค์ จะงามเหมาะสม และ มีความเหมาะสมสักแค่ไหน..
            (การเฝ้ารออย่างออกหน้าออกตาของใครต่อใครนั้น เริ่มมาตั้งแต่เจ้าฟ้าชายทรงมีพระชนมายุได้เพียงสามชันษาได้มัง..)
            ไหนจะยังงานครบรอบอภิเษกครบยี่สิบห้าปีของสมเด็จและเจ้าชายฟิลิป ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นงานพระราชพิธีครั้งใหญ่ ในเดือน พฤศจิกายน ปี 1972 นี่อีก
            ที่ชาวประชาต่างพากันสรรเสริญและร่วมกันฉลองอย่างครึกครื้นไปทั่วประเทศ ถึงการถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร..

            สมเด็จได้ทรงเชิญคู่แต่งงานที่เป็นชาวบ้านธรรมดามาร่วมในงานเลี้ยงด้วยถึง หนึ่งร้อยคู่ เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นได้ทำการสมรสในวันเดียวและปีเดียวกันกับพระองค์
            ผู้คนต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาในกรุงลอนดอนกันอย่างแน่นขนัด เพื่อที่จะได้ชื่นชมในพระบารมี อีกทั้งมีการถ่ายทอดโทรทัศน์ (รับค่าโฆษณาด้วย)
            ท่านนายกเทศมนตรีได้กล่าวถวายพระพร พร้อมทั้งแสดงปลาบปลื้มในพระกรุณามหาธิคุณที่ได้ทรงเปิดพระวโรกาสให้คนที่อยู่ห่างไกลมีโอกาสได้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด

            จากนั้น ท่านรัฐมนตรีปากจัด นาย วิลลี่ แฮมมิงตัน ได้ขึ้นถวายพระพรและร่วมถวายความยินดี ซึ่งผู้คนต่างพากันไม่เชื่อหูว่าจะได้ฟัง เพราะนายคนนี้เป็นคนหนึ่งที่
            มักจะกล่าวถึงพระราชวงค์แบบติเตียนเสมอ แต่เขาได้กล่าวคำถวายพระพรไปไม่กี่คำ
            เสียงเคาะจานโลหะ ด้วยช้อนส้อมได้กังระรัวขึ้นเป็นจังหวะ จากกลุ่มหัวเอียงซ้าย..ที่ได้พากันประท้วงว่า..
            "นี่คือการหากินของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อาศัยใช้ความศรัทธาของประชาชนมาเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง"

            ต่อมา นายวิลลี่ ได้นำข้อความจากคนกลุ่มนี้ มาเสนอต่อรัฐสภา ถึงเรื่องของเดอะ เฟิร์ม นี่ว่า..
            เรื่องรายได้ในการจัดงานต่างๆ เหล่านี้ น่าจะมีการผลักเข้ากองการกุศลสงเคราะห์แม่และเด็กบ้าง..
            ทุกคนต่างทำเป็นไม่ได้ยิน....ในสิ่งที่เขาได้ร้องขอ
            เขามาเล่าว่า...
            "ในตอนนั้นน่ะ ทุกคนมองเห็นผมเป็นไอ้บ้า เพ้อเจ้อ แต่อีกยี่สิบปีต่อมา การแข่งกันหาเงินเข้าการกุศล (ของ เดอะ เฟิร์มกลายเป็นแฟชั่นสุดฮิต"

            สมเด็จได้ทรงกล่าวคำปราศรัยที่จับจิตคนฟัง ว่าด้วยเรื่องของการครองเรือน ที่หมายถึงการรวมชีวิตของคนทั้งสองเข้าเป็นหนึ่งเดียวนั้น ยังไม่เพียงพอ
            เพราะครอบครัวที่ดีต้องมีพร้อมทั้งความรักของเหล่าญาติ ผู้หลักผู้ใหญ่และผู้น้อย เช่น ปู่ย่าตายาย ลุงอาหลานที่ต่างต้องสมานสามัคคีกันเข้าไว้...
            สิ้นเสียงตรัส ผู้คนต่างพากันเพิ่มความรัก เทิดทูนบูชาพระราชินีของเขากันอย่างหมดใจ
            เพราะนี่คือ สภาพส่วนใหญ่ของครอบครัวชาวอังกฤษ
            ที่ถือเป็นมาตรฐานในการรักษารากฐานของขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้น

         

            หลังจากที่ผลสำเร็จของการจัดงานฉลองวันครบรอบอภิเษกผ่านไปเพียงไม่เท่าไร สมเด็จได้ทรงจัดส่ง"ข้อความสำคัญ"ให้กับคณะรัฐบาล
            ว่าด้วยเรื่องการขอขึ้นเงินเบี้ยหวัดรายปีให้กับเดอะ เฟิร์ม ในขณะที่ตอนนั้นคนว่างงานในอังกฤษมีถึงหลักล้าน

            แต่คณะรัฐบาลต่างพากันเห็นด้วยเกือบทั้งหมด ในการที่จะถวายเงินเพิ่ม ยกเว้นอยู่คนเดียวที่ยกมือขึ้นคัดค้าน..
            เขาคือ นายวิลลี่ แฮมมิงตัน เจ้าเก่า..ที่เขาลุกขึ้นแถลงว่า
            "ทำไมพระองค์ต้องมีเงินรายได้เพิ่มขึ้นเป็นล้านปอนด์ ในเมื่อคนจนยังต้องนอนหนาวกันกลางถนน แล้วดูรายการนี่ซิ ...รายการค่าใช้จ่ายของควีนมัม
            ที่มีพระกำนัลสายในถึง สามสิบสามคน
            ไม่นับนางสนองพระโอษฐ์ดูแลในห้องอีก ห้า ดูแลนอกห้องอีก สิบเอ็ด ห้องอะไรจะใหญ่โตขนาดนั้น
            จริงอยู่... พระองค์ทรงมีพระชนมายุมากแล้ว แต่คนแก่ที่ไหนจะใช้จ่ายสิ้นเปลืองเท่านี้ จะว่าพระองค์ทรงน่ารัก สรวลง่าย..
            ป๊าดธ่อ...ถ้าลองยายผมได้รับเงินมากขนาดนี้ต่อปีละก้อ รับรองว่าท่านก็หัวเราะเอิ้กอ้าก..ยิ้มไม่หุบเช่นกัน.."
            ไม่ว่าเสียงทัดทานจะอื้ออึงจากฝ่ายจารีตนิยมมากเท่าใด เขายังไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้น ต่อด้วยว่า..
            "แล้วเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตที่แสนไม่เอาไหนนั่น เลิกเลี้ยงกันซะที..ไม่ได้ทำตัวให้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาสักนิด" หรือไม่เว้นกระทั่ง..
            "งานของสมเด็จน่ะ ที่ว่ายากๆ กระผมเชื่อว่า ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงของหญิงชาวอังกฤษคนไหนหรอก"

            นายวิลลี่ ได้มาเล่าให้ฟังในปี 1993 ว่า ในครั้งนั้น เขาได้เสนอให้มีการตรวจสอบฐานะทางการเงินของเดอะ เฟิร์ม ด้วยซ้ำ เพราะไม่ว่ากี่ครั้งกี่ครั้งที่ทางสำนักพระราชวังของเงินเพิ่มมา ไม่เคยมีใครขัดข้อง ต่างพากันถวายแต่โดยดี..

            พอเขาได้เสนอความคิดเห็นเรื่องขอตรวจสอบบัญชีค่าใช้จ่ายไป..มีคนโกรธแค้นถึงกับขู่ฆ่าเอาชีวิต
            เจ้าชายฟิลิปเรียกเขาว่า ไอ้คอมมิวนิสต์
            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตเรียกเขาว่า ไอ้ไพร่ชาวสก๊อต..
            คำว่า"ไพร่" นั้น มักจะทรงใช้อย่างติดพระโอษฐ์เป็นประจำ ไม่ว่าจะทรงเรียกใครต่อใคร แม้กับพระอัยยิกาเจ้า
            พระนางแมรี่ ที่ไม่ต้องด้วยอุปนิสัยของพระนัดดาอย่างเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตนัก จึงมีการไม่ลงรอยกันอย่างบ่อยครั้ง
            เจ้าฟ้าหญิงเคยตรัสให้ใครต่อใครได้ยินเสมอว่า
            "ก็เพราะสมเด็จย่าทรงมีปมด้อยน่ะซิ..ที่ไม่ได้ทรงเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินอย่างเรา"


            (หมายเหตุ พระนาง แมรี่ ฐานันดรดั้งเดิมเป็นเจ้าหญิงก็จริงค่ะ แต่เป็นเจ้าที่ในอังกฤษถือว่าต่ำศักดิ์ที่สุด เนื่องจากพระบิดาของพระนางแม่รี่ เป็นบุตรที่เกิดจากเจ้าชายพระบิดากับมารดาที่เป็นสามัญชน และไม่ได้เป็นเมียแต่งออกหน้าออกตา)

            

          
         
         

       



            เรื่องเทียบชั้นฐานันดรนั้น มิใช่แต่เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตจะทรงใช้อย่างติดพระโอษฐ์เลย
            สมเด็จเองก็ทรงใช้ออกบ่อยด้วยความเคยชิน
            อย่างเช่นเมื่อครั้งที่มีการถ่ายทำภาพยนตร์ชุดโทรทัศน์ออกอากาศ เรื่อง
            Edward VIII and Mrs. Simpson ดาราที่มาแสดงเป็นพระเจ้ายอร์จที่หก คือ Adrew Ray ที่สมเด็จไม่ทรงชอบพระทัยเลยสักนิด พระองค์ว่า
            "นายคนนี้ดูยังไงก็"สามัญ"จนเกินไปกว่าที่จะมาแสดงป็นพ่อของฉัน"

            ในฐานะที่เป็นเจ้า เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตไม่เคยต้องพกเงินสด ไม่เคยต้องทรงจ่ายบิลค่าอะไรทั้งสิ้น ไม่มีแม้กระทั่งเครดิตการ์ด ทุกอย่างจะถูกตามจ่ายให้โดยผู้ดูแลผลประโยชน์ของ เดอะ เฟิร์ม
            จากเงินเบี้ยหวัดตามที่รัฐบาลได้จ่ายให้ ที่พระองค์มักบ่นเสมอว่า ช่างเล็กน้อยเสียเหลือเกิน ไม่คุ้มค่า..

            เรื่องทรงสุดเเหนียวนี้..เล่าขานกันเอิกเกริก อย่างรายของนายวิลเลี่ยม ซี บริวเออร์ เจ้าของคนหนึ่งของบริษัทค้าเครื่องหอม Crabtree & Evelyn ที่ได้เล่าว่า
            เมื่อช่วงคริสต์มาสปีหนึ่ง มีลูกค้าคนหนึ่งมาสั่งกระเช้าพิเศษเครื่องหอมรวมนานาชนิด ที่มีทั้งครีมอาบน้ำ น้ำหอม โลชั่น ขนาดใหญ่ ชนิดที่ต้องใช้คนสองคนช่วยกันหิ้ว
            แต่พอหลังจากวันหยุดผ่านไป
            ร้านที่สาขาเคนซิงตัน ก็มีโอกาสได้ถวายการต้อนรับเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและตามหลังด้วยนางพระกำนัลที่ช่วยกันยกกระเช้า"พิเศษ"ใบนั้นเข้ามา
            ผมเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นใบเดียวกัน คือว่า มีคนเอาไปถวายท่านน่ะ พระองค์ทรงนำมาคืน และขอขึ้นเป็นเงินสด ความจริงทางร้านของเราจะไม่ทำอย่างนั้น
            ถ้าจะนำของมาคืน เราจะให้เป็นเครดิตที่จะแลกเป็นของอย่างอื่น แต่พระองค์ทรงมีพระบัญชามาว่า เครดิตไม่รับ จะรับเป็นเงินสดเท่านั้น
            ผมก็เลยตามพระทัย..ให้คืนไปเป็นเงิน เพราะเห็นว่าท่านเป็นเจ้าฟ้าหญิง"

            เรื่องการรับของกำนัลนี้..ทรงถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทรงคาดหวังเสมอว่า ใครต่อใครต้องดูแลพระองค์ และ ไม่ว่าสมเด็จหรือควีนมัม ต่างก็ทรงคิดเหมือนกัน
            อย่างเรื่องที่จะเสด็จไปเยี่ยมเยือนบ้านของพระสหายคนไหน นางพระกำนัลจะต้องไปตรวจตราสถานที่ก่อน ว่ามีอะไรขาดตกบกพร่องไป
            ถ้าขาด.. ก็ต้องหามาเติม อย่างครั้งหนึ่งที่จะเสด็จบ้านของรัฐมนตรียุติธรรม นาย ไมเคิล แพรทท์ ที่มีหมายรายการยาวเหยียดนำร่องมาก่อน ว่า
            ห้ามมีเด็กเล็ก
            ต้องมีเหล้ายิน และ น้ำโทนิคเตรียมพร้อมไว้ในห้องรับรอง
            ในห้องน้ำ..ต้องมีกระดาษฟางพับเตรียมไว้ให้ทรงใช้ชำระ..
            กระดาษฟาง หรือ ที่เรียกว่า Bronco paper นั้น มีใช้กันอย่างแพร่หลายในยามสงครามที่กระดาษขาดตลาด ผู้คนต้องนำมาใช้เป็นกระดาษชำระ ต่อมาเมื่อมีทิชชูนิ่ม กระดาษฟางจึงนำมาใช้ในวงการอุตสาหกรรม
            หรือ สำหรับทำความสะอาดคอกม้า...แต่ เดอะ เฟิร์ม ยังถนัดใช้กระดาษฟางแทนกระดาษทิชชูอยู่ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับท่าเจ้าของคฤหาสน์สุดกำลัง อีกทั้งต้องไปสั่งมาให้เป็นพิเศษ เนื่องจากมันใกล้สูญพันธ์เต็มที่

            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตนี่คือบุคคลสำคัญ ที่ไม่ว่าจะเสด็จไปเป็นอาคันตุกะบ้านใคร ถือว่าบ้านนั้นโชคร้ายเต็มที่ เพราะข้อมูลจะแจงเข้ามาละเอียดยิบ เช่น
            ต้องปรับคีย์เปียโนใหม่
            ต้องหาแผ่นเสียงของ เอลล่า ฟิทซ์เจอรัลด์ เตรียมไว้เยอะๆ
            ต้องไปหาพวกหนุ่มที่มีความสามารถทั้งร้องและเต้นมาสำรองเอาไว้
            ที่สำคัญสุด คือ เหล้ายินขนาดแรง แปดสิบดีกรี เอาไว้ให้พร้อมทั้งวัน ส่วนกลางคืนคือ เหล้าสก๊อต
            ส่วนเวลาน้ำชา ต้องเตรียม Jammy dodgers ไว้ให้เสวยเป็นเครื่องว่าง
            ( Jammy dodgers คือ แซนวิชขนมปังแผ่นที่มีราสพ์เบอรรี่ แยม เป็นใส้ทาตรงกลาง แล้วตัดขอบขนมปังออก หั่นเป็นคำๆ และแยมนั้นต้องเป็นชนิดที่ไม่มีเมล็ด เพราะจะไปติดในพระทนต์ ซึ่งเจ้าภาพต้องสั่งมาเป็นพิเศษจากต่างประเทศอีกเช่นกัน)

            ดังนั้น ไม่ว่าการแปรพระราชฐานไปพักผ่อนยังที่ใด หรือ กับใคร ล้านแต่เป้นเรื่องฝันร้ายของเจ้าบ้านแทบทั้งสิ้น
            ถ้าเป็นสมเด็จ...เจ้าบ้านต้องเก็บแมวทั้งหมด ถ้ามี เพราะทรงเกลียดแมว และต้องเตรียมน้ำข้าวบาร์ลี่ย์ไว้ให้ทรงใช้ล้างพระพักต์
            (barley water เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชนิดหนึ่ง ทำมาจากข้าวบาร์ลี่ย์)
            อย่างลอร์ด ดักลาส แห่ง ไนด์พัธ ได้เล่าว่า
            "พอมีจดหมายมาจากราชเลขาฯ ว่า เดอะ เฟิร์ม จะเสด็จมาร่วมรับน้ำชาด้วยนะ แม่ผมลมจับก่อนทุกครั้ง.."

            

            แต่ต่อมา พวกเหล่าผู้ดีเหล่านั้นไม่ต้องเป็นห่วงอีกต่อไป เพราะพระสหายใหม่ๆ ของเจ้าฟ้าหญิงล้วนแล้วแต่เป็น
            อภิมหาเศรษฐี เช่น อะกา ข่าน, อีเมลดา มากอส
            ที่มีพร้อมให้การรับรอง ไม่ว่าจะเป็นวิลลาหรูๆ หรือ
            เรือยอชโก้ๆ ถ้าจะเดินทางออกนอกประเทศอย่าง อิตาลี ..ก็ พระสหายอย่าง นายแฮโรลด์ อาคตอน หรือ นายกอร์ ไวดัล ที่มีพร้อมไว้คอยถวายการต้อนรับทุกอย่าง

            เจ้าฟ้าหญิงทรงโปรดการที่จะเป็น"ผู้รับ"เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากพวกมหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่ทุ่มไม่อั้น ซึ่งกลายมาเป็นเหตุบาดหมางกันไปในที่สุด คือ
            ทั้งพระองค์และลอร์ด สโนว์ดอน ได้รับเชิญให้ไปเป็นแขก วีไอพี ในงานการกุศลที่นครนิวยอร์ค (จากปากคำของนักข่าว นาย สตีเฟ่น เบอร์มิงแฮม หนึ่งในกรรมการจัดงาน)
            หลังจากงาน เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงเรียกค่า"ออกงาน" กับเจ้าภาพเป็นเงินจำนวน สามหมื่นเหรียญ
            ซึ่งทุกคนต่างพากันประหลาดใจ และไม่มีใครมีปัญญาจ่าย เนื่องจากเป็นงานการกุศลที่มีรายได้จากการขายบัตร
            ซึ่งรวมกันแล้วยังมีไม่พอจ่ายตามทีทรงเรียกด้วยซ้ำ
            จากนั้น..สัมพันธภาพของพระองค์กับกลุ่มไฮโซนี้ก็ขาดจากกัน ด้วยเรื่องของเงินสามหมื่นเหรียญ
            จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่คุ้มกันเลย ต่อการที่ต้องถูกเปิดโปงแบบไม่มีการเกรงพระทัย
            เพราะข้อความได้ออกมาว่า เจ้าฟ้าหญิงพระองค์นี้ชอบเล่นละครตบตาชาวบ้านนัก กับพระสหายที่แสนสนิทมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ว่าจะไปเที่ยวพำนักด้วยกันในพระตำหนักที่มัสตีค หรือ ร่วมวงร้องเพลงด้วยกันทั้งวันทั้งคืน เพราะ พระองค์ทรงโปรดเรื่องนี้เป็นที่สุด และทรงเชื่อว่า แม้แต่ บาร์บร่า สตรัยแซนด์ ก็ยังร้องไม่ดีเท่ากับพระองค์
            แต่พอมีเรื่องเงินๆ ทองๆ เข้ามาปุ๊บ...ขนาดเจอกันในงานแบบจังๆ หน้า เจ้าฟ้าหญิงทรงทำเมินเฉยราวกับเห็นเขาเป็นหัวหลักหัวตอ

            ไม่ใช่แต่กับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสายตรงเท่านั้น ที่ชอบเรื่องของฟรี แม้แต่เจ้าหญิง ไมเคิล แห่ง เค้นท์ (เรียกตามพระยศของพระสวามี ที่เป็นพระญาติของสมเด็จ) ที่ครั้งหนึ่งเจ้าหญิงได้ไปเดินในย่าน โบชอมป์ กรุง ลอนดอน
            ที่มีร้านจิวเวลรี่หลายๆ ร้านตั้งอยู่เรียงราย ทรงผ่านมาที่หน้าร้าน โมซาฟาเรียน สายพระเนตรก็สะดุดเข้าที่ งาช้างสลักเป็นรูปตุ๊กตาหมีเล็กๆ ราคาหนึ่งพันปอนด์
            เจ้าหญิงอิดออด เพราะความที่ต้องพระทัย
            เจ้าของร้านจึงสั่งลูกสาวให้ห่อถวาย
            ต่อมาเลขานุการของพระองค์ได้นำจดหมายตอบขอบใจมาให้
            เจ้าของร้านได้นำไปใส่กรอบทองประดับเด่นที่หน้าร้าน..
            หรือแม้แต่เจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่ไม่ทรงยอมจับจ่ายใช้สอยอะไรเลย เพราะทรงตรัสว่าแพงไปหมด
            นาย สตีเฟ่น แบร์รี่ อดีตราชองค์รักษ์ได้เล่าว่า..
            "ถี่ถ้วนเหมือนพระมารดาไม่มีผิด ขนาดไหนน่ะเหรอ ขนาดนับชิ้นไก่แช่แข็งในตู้เย็นในทุกพระราชวังแหละ..เมื่อเสวยเหลือ ต้องนำไปแช่เก็บ นำมาอุ่นเสวยในมื้อต่อไป
            หลอดยาสีพระทนต์นั้นรีดจนแบนแต๊ดแต๋ แถมหลอดก็ไม่ยอมทิ้งขยะ ทรงสั่งให้เอาไปใส่ในถังสำหรับการรีไซเคิล.."
            นาย จอห์น แบร์เร็ต เลขานุการเก่าแก่ประจำตัวท่านลอร์ด หลุยส์ ได้เล่าว่า
            "มัธยัสถ์ทั้งก๊ก เริ่มมาจากองค์สมเด็จมาเลยเชียว เงินเดือนคุณพนักงานนั้น ..จ่ายแค่ปีละ หมื่นกว่าปอนด์ พร้อมที่พัก (นับว่าน้อยมาก) เพราะทรงคิดว่า ได้เลือกมารับใช้ใกล้ชิดก็บุญโข ของขวัญก็มีให้เฉพาะตอนคริสมาสต์เท่านั้น แถมแต่ละอย่างแทบไม่น่าเชื่อว่า ทรงคิดได้ไง...อย่างคนทำความสะอาดฉลองพระองค์ ทรงประทานถุงใส่ผ้าพร้อมไม้หนีบแถบหนึ่ง..
            อย่างช่างเย็บฉลองพระองค์ ทรงให้เกือกม้าแม่เหล็ก สำหรับเอาไว้ดูดเข็มที่ตกๆ หล่นๆ ขึ้นมาเก็บ
            แต่กับพระสหายแล้ว..มักจะประทานของดีหน่อย เช่น นายโนเอล โคเวิร์ด
            ทรงประทานตลับใส่บุหรี่ ที่มีตรามงกุฏบนกล่องให้ แต่ นายโนเอลเป็นคนที่ต่อต่านการสูบบุหรี่ ส่วนรายอื่นๆ มักจะได้กรอบรูปเงินที่ใส่พระบรมฉายาลักษณ์คู่กับเจ้าชายฟิลิป แต่ถ้าเป็นของขวัญจากเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตละก้อ..ต้องทำใจ อย่างนางพระกำนัลคนเก่าแก่ พระองค์ประทานแปรงขัดห้องน้ำให้ ทรงว่า..ทรงเห็นว่าไม่มี เพราะเคยไปใช้ห้องน้ำในห้องของนางพระกำนัลคนนั้น"


            สมเด็จนั้น เป็นที่ทราบกันว่าไม่เคยทิ้งข้าวของ อย่างฉลองพระองค์ เมื่อไม่ใช้แล้ว ก็นำไปส่งต่อให้กับพระขนิษฐา หรือพระธิดา
            ครั้งหนึ่งที่พระราชวัง บัลมอรัล คุณหมาๆ ของพระองค์ได้รุมกัดกระต่ายจนตาย เลือดออกมานองตัว แดงฉาน
            พระองค์ได้ทรงนำกระต่ายนั้นไปให้พ่อครัว รับสั่งว่า
            "เอาไปทำอะไรกินกันได้ เอาไปซิ"
            หรือ ทรงประทานไม้ดอกพร้อมกระถางให้กับข้าราชบริพาร แต่มีข้อความกำกับมาว่า..
            "โปรดนำกระถางไปคืนที่สวนหลวง เมื่อต้นไม้หาชีวิตไม่แล้ว..."
            หรือ ทรงสั่งให้คุณพนักงานไปเปลี่ยนหลอดไฟที่ข้างที่บรรทม จากสี่สิบวัตต์มาเป็นหกสิบวัตต์ แต่คุณพนักงานต้องรอจนกว่า..หลอดเก่าได้ขาดไปแล้ว

            เมื่อในช่วงของปี 1970's ที่เกิดวิกฤติภาวะแล้งน้ำ พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมรับมือ โดยการสั่งให้ทำป้ายไปแขวนไว้ในห้องน้ำทุกห้องในพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม..ว่า
            "Don't pull for pee"
            (เรื่องที่ทรงใช้คำว่า pee ในป้ายนั้น นักประวัติศาสตร์ต่างกลุ้มรุมตำหนิกันร้อนฉ่า เพราะมันขัดกันกับสมัยของพระนางเจ้า อลิซาเบ็ธ ที่หนึ่ง ที่แม้แต่จะให้ตราพระราชทานกับบริษัทจัดจำหน่ายส้วม หรือที่เรียกว่า WC = Water Closet ยังไม่ทรงยอม เพราะทรงเกรงไปว่าจะไม่เหมาะสม)
            หรือ ขนาดที่ท่านเชอร์ชิลล์ได้นอนประแหงบๆ ใกล้ที่จะลาโลกเต็มทีนั้น พระองค์อุตส่าห์ส่งแชมเปญไปให้ถึงเตียง ตั้งหกขวด แต่มันเป็นพวกแชมเปญราคาถูกๆ หรือที่เรียกว่า non-vintage
            ทั้งๆ ที่พระองค์นั้น ได้พระนามว่าเป็นสตรีที่ร่ำราวยที่สุดในโลก..
            (ท่านวินสตัน เชอร์ชิลล์ โปรดการดื่มแชมเปญมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ดื่มวันละหกขวด แต่ต้องเป็นยี่ห้อชั้นหนึ่งของโลก คือ Pol Roger Cuvee' ราคาในปัจจุบันขวดละ ร้อยกว่ายูโร)

            สมเด็จทรงสื่อสารในด้านเอกสารได้ดีกว่าอย่างอื่น เช่น เมื่อทรงได้รับฏีกาจากพวกประชาชนที่ต่อต้านการเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ ของนักสร้างชาวเดนิช ในเรื่อง The Love Life of Jesus Christ
            พระองค์ทรงเข้าพระทัยและเห็นด้วยทันที การระงับการสร้างจึงได้เกิดขึ้น
            หรือเมื่อกลุ่มผู้สื่อข่าวได้คิดจะทุ่มทุนสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ ยอร์คเชียร์ ริปเปอร์ ฆาตกรตัวร้ายที่สร้างความสะเทือนขวัญให้กับตอนเหนือของอังกฤษมานานถึงห้าปี
            มารดาของเหยื่อคนหนึ่งได้ถวายฏีกาต่อต้าน เพราะมันน่าจะเป็นเรื่องของโศกนาฏกรรมแห่งชาติมากกว่าที่จะเอาไปทำให้เป็นธุรกิจเกิดผลกำรี้กำไรขึ้นมา
            พระองค์ทรงสั่งระงับไปเช่นกัน..
            ประชาชนจึงต่างภูมิใจที่มีนางกษัตริย์เจ้าแผ่นดินที่มีพระปรีชาสามารถ เข้าอกเข้าใจในจิตใจของประชาชนเป็นอย่างดี
            จนลืมไปว่า..พระองค์และครอบครัวร่ำรวยอย่างล้นฟ้า ได้รับเบี้ยหวัดจากภาษีอากรของราษฏร
            ครอบครองเกือบทุกอย่างในพระราชอาณาจักร

            แต่คนที่ไม่ลืมก็ยังมี อย่างนาย วิลลี่ แฮมมิงตัน และพรรคพวกที่คอยตอกย้ำเตือนออกบ่อยๆ
            ในปี 1972 รัฐสภาได้มีการโหวตที่จะไม่เก็บภาษีในรายได้ที่ได้ทรงขอเพิ่มมาในรายการดังนี้ ของพระองค์เอง สามล้านปอนด์, ควีนมัม สองแสนสามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์,
            เจ้าชายฟิลิป หนึ่งแสนหกหมื่นสองพันห้าร้อยปอนด์ เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต สามหมื่นเจ็ดพันห้าร้อยปอนด์
            ส่วนเจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงมีรายได้จากกองทุนส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเบี้ยหวัด
            ซึ่งเป็นประเด็นถกกันร้อนแรงพอสมควร..
            จนท่านลอร์ด หลุยส์ ได้ส่งจดหมายไปหาเจ้าชาย ฟิลิป เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
            "หลานควรจะต้องติดต่อสื่อใหญ่ๆ อย่างหนังสือไทม์ และอธิบายให้เขาเข้าใจด้วยว่า..จริงอยู่..ที่สมเด็จร่ำรวยติดอันดับโลก แต่ทรัพย์สมบัติทั้งหมดคืออสังหาริมทรัพย์ที่มีทั้งพระราชวัง เพชรนิลจินดา และ ภาพวาดเก่าแก่ ที่ตีราคาออกมาเป็นตัวเลขลอยๆ เท่านั้น หาใช่เงินสดพกเข้าห่อเสียที่ไหน จะไปขายให้ใครก็ไม่ได้ อีกทั้งทรัพย์สมบัติเหล่านี้มิได้สร้างผลประโยชน์ให้งอกเงยขึ้นมา
            รีบจัดการซะ เชื่อลุงเถิด โปรดอย่าไปฟังความเห็นของพวกเสนาบดีพวกนั้นเลย ก่อนที่ภาพลักษณ์ของพระราชวงค์กำลังจะมัวหมองมากไปกว่านี้"
            แต่การร้องขอในจดหมายของท่านลอร์ดไม่ได้รับการปฏิบัติตามแต่อย่างไร...ทุกคนต่างพากันนิ่งเฉย


            ปีต่อมา คือ 1973 กระแสกดดันในเรื่องการหาคู่ของเจ้าฟ้าชายชารลส์ได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว เพราะว่า เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระขนิษฐาได้ทรงรับหมั้น ร้อยเอก มาร์ค ฟิลลิป
            ซึ่งกำหนดวันอภิเษกนั้น ตรงกับวันคล้ายวันประสูติครบ ยี่สิบห้าชันษาของพระเชษฐาพอดี คือ วันที่ 14 พฤศจิกายน 1973
            หากแต่เจ้าฟ้าชายไม่ทรงเห็นว่าจะเป็นเรื่องที่น่าดีพระทัยตรงไหน อีกทั้งรู้สึกพระหัยหายๆ ไปอีกต่างหาก
            เนื่องจากทั้งพระองค์และเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด สนิทสนมรักใคร่
            ครั้นเมื่อจะมีการแยกจากกัน พระองค์ย่อมรู้สึกอ้างว้าง โดดเดี่ยวเป็นเรื่องธรรมดา
            ตอนที่ทราบข่าว พระองค์ทรงอยู่ในเรือรบหลวง HMS Minerva และได้ทรงจดหมายมากราบทูลเจ้าชายฟิลิปว่า..
            "ลูกรู้สึกตกใจ..และ ใจหายๆ อย่างไรไม่รู้ ที่น้องหญิงจะออกเรือนไป"
            การเติบโตมาด้วยกันของคนทั้งคู่นั้น ค่อนข้างใกล้ชิด และมาสนิทสนมกันมากขึ้น ก็เมื่อที่ทั้งสองต้องเดินทางไปด้วยกันยังประเทศออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้แทนพระองค์
            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ แตกต่างไปจาก พระเชษฐาอย่างมากมาย ในเรื่องของอุปนิสัยใจคอ ที่ทรงห้าวหาญ ไม่ชอบการเสแสร้ง ไม่ปกปิดอาการ ชอบเอาแต่พระทัย รู้สึกอย่างไรทรงแสดงอย่างนั้น ซึ่งในบางครั้ง
            ออกจะผิดด้วยมารยาท แต่ก็ทรงไม่แคร์ใครทั้งสิ้น
            เมื่อมาเปรียบเทียบกันแล้ว ทำให้เจ้าฟ้าชายทรงดูดีขึ้นมาอย่างทันที เพราะมีลักษณะของการนุ่มนวล โอนอ่อน ประนีประนอม
            แต่ไม่ทรงเฉลียวฉลาดเอาซะเลย..อย่างเช่น ทรงถามท่านทูตอเมริกันว่า
            "ที่อเมริกานี่ พวกคาธอลิคกับพวกโปแตสแต้นท์ชอบทะเลาะกันเหมือนอย่างที่อังกฤษไหม?"
            (ไม่ทรงรู้ หรือลืมก็ไม่ทราบ ว่าเรื่องศาสนานี่เขาไม่นำมาถกกัน)
            ยามเมื่อมีคนถามเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ว่า "ทรงรู้สึกอย่างไรที่มีบ้านส่วนตัวเป็นถึงพระราชวัง?"
            พระองค์สบัดเสียงตอบว่า.."ไม่รู้ซิ เพราะที่นั่นไม่ใช่ที่ส่วนตัว แต่เป็นทรัพย์สินของพระราชบัลลังค์"

            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ได้ทรงทำพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ต่อใครๆ โดยเฉพาะกับเหล่าผู้สื่อข่าวว่า ทรงไร้เสน่ห์ อย่างโดยสิ้นเชิง นึกเบื่อขึ้นมา อยากจะหาวก็หาว
            ไม่อยากตอบคำถามของ...ก็ไม่ตอบซะงั้น..
            หลายๆ คนพร้อมใจกันลงความเห็นว่า ช่างเหมือนพระบิดาราวกับถอดแบบออกมาเป๊ะ..ที่ครั้งหนึ่งเจ้าชายฟิลิป ได้ทรงตรัสดังๆ ว่า
            "นักข่าวที่ดี คือนักข่าวที่ตายไปแล้ว"
            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ก็เช่นกัน ที่มองเห็นคนกลุ่มนี้ราวกับใส้เดือนกิ้งกือ ไม่ได้ส่วนของความหวานหยดย้อยมาจากควีนมัมเลยแม้แต่นิด
            ผิดกับเจ้าฟ้าชายชารลส์ที่ทรงเป็นหลานรักของพระอัยยิกา..
            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ คือ หลานคนโปรดของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ต ที่ชื่นชมกันนัก พระองค์ว่า
            "แอนน์โชคดีกว่าฉันเยอะ ที่กล้าแสดงออก ทั้งๆ ที่เราเป็นลูกคนที่สองเหมือนกัน ถูกเลี้ยงมาคล้ายๆ กัน แต่ แอนน์มีโอกาสดีกว่า เพราะได้เรียนหนังสือ"

         
            Earl Louis Mountbatten ไปรับ
            Duchess Of Windsor วันที่ 2 มิถุนายน1972
            ที่ Heathrow airport

                
             
 
           

            มาถึงตอนนั้น เจ้าฟ้าชายชารลส์เริ่มพระทัยไม่ดี เพราะเพื่อนฝูงที่รู้จักต่างก็แยกออกไปแต่งงานกันทีละคน สองคน จนบางครั้งทรงตรัสบ่นกับคนใกล้ชิดว่า..
            "อีกหน่อย..ก็จะเหลือฉันค้างอยู่บนหิ้งอยู่คนเดียว"
            ส่วนว่าที่พระพี่เขย กัปตัน มาร์ค ฟิลลิป ที่มีท่าทางแหยๆ นั่น พระองค์ได้ตั้งสมญาให้ว่า "พ่อหมอก = The Fog"
            เนื่องจากว่า ซื่อบื้อ..ซะเหลือเกิ๊นน..
            ( ทรงใช้คำว่า so thick อันเป็นคำเปรียบเทียบหมายถึงในเรื่องสติปัญญาตามภูมิอากาศของพื้นที่ อังกฤษจะมีหมอกลงหนาหนักเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงนำมาใช้ในการอุปมาอุปมัย ค่ะ.....วิวันดา)
            ส่วนเรื่องการหมั้นนั้น..เป็นเพราะว่า ภาพโรแมนติคที่มีฉากจุมพิตกันระหว่างสองคนนี้ หมายถึง เจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์กับนายทหารม้ารักษาพระองค์ได้หลุดลงไปในหน้าหนังสือพิมพ์...
            ทางพระราชวังได้ออกมาปฏิเสธข่าวทั้งหมด อ้างว่า หญิงในภาพนั้นหาใช่เจ้าฟ้าหญิงไม่..
            ส่วนในรายละเอียดของเนื้อข่าว ที่ลงไปเรื่องความสัมพันธอื่นๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์ ซันเดย์ มิเรอร์
            ทางเดอะ เฟิร์ม ได้เรียกนาย โรเบิร์ต เอดเวิร์ดส์ ตัวบ.ก. หย่ายยย เข้ามาทำการอบรมสั่งสอนในการรู้ควรไม่ควร
            อีกทั้ง สั่งให้ลงแก้ข่าวด่วน..
            ซึ่ง นายเอดเวิร์ดส์ ได้กระทำตาม..ลงข้อความแก้ข่าวให้ทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนเข้าใจใหม่ตามนั้น..ว่า..
            "ไม่จริ๊ง ไม่จริง..ทั้งคู่มิได้เป็นไปตามข่าวลือดังกล่าว และที่สำคัญคือ ทั้งสองคนมิได้รู้จักมักจี่กันซะด้วยซ้ำ..."

            แต่เพียงไม่กี่อาทิตย์ต่อมา..ทางสำนักพระราชวังก็ได้ออกคำแถลงการของการหมั้นระหว่างเจ้าฟ้าหญิง และพ่อหมอก...
            นี่คือง..จุดหนึ่ง ที่หนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าว เริ่มรู้สึกไม่ชอบใจในการเล่นจำอวดของเดอะ เฟิร์ม อีกทั้งความเชื่อถืออื่นๆ ได้หย่อนยานไปอย่างช่วยไม่ได้

            การแต่งงานหรือการอภิเษกของพระราชวงค์นั้น มีจุดหมายใหญ่ๆ คือการที่จะต้องมีทายาทสืบสายสกุล..ก่อนที่จะประกาศหมั้นระหว่างสองคนนี้ได้ นายหมอกได้ถูกเรียกตัวเข้าไปในพระราชวัง
            และทางแพทย์หลวงได้ทำการตรวจความแข็งแรงของ semen เพื่อจะให้แน่ใจได้ว่าไม่มีอุปสรรคในการที่จะผลิตทายาท จึงจะเป็นที่ยอมรับ
            เพราะในตอนนั้น เจ้าฟ้าชายชารลส์ ยังมิได้ทรงอภิเษก ซ้ำยังไม่มีวี่แวว ส่วนเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ เพื่อมีพระชนม์พรรษาเพียง สิบสาม เจ้าฟ้าชายเอ็ดเวิร์ด แค่ เก้า
            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ คือ อันดับสี่ในการสืบราชบัลลังค์ ดังนั้น จึงต้องพิถีพิถันกันให้มากหน่อย

            และเมื่อหมั้นแล้ว..สมเด็จจึงได้เตรียมที่จะยกลูกเขย นายหมอกนี่ให้เป็นเจ้านายไปซะ..เพราะไม่งั้นก็จะกลายเป็นกาในฝูงหงส์ที่ไล่อันดับกันไม่ลงตัว..
            แต่..นายหมอก ยังไงก็คือ นายหมอก..เพราะเขาปฏิเสธ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่ลอยมาตรงหน้าอย่างไม่ใยดี เขาทูลไปว่า เขาอยากไปอยู่เงียบๆ กับครอบครัวนอกเมือง
            สมเด็จจึงได้ทุ่มทุนกว่าสองล้านปอนด์ซื้อพระตำหนักบ้านไร่ ที่ กอสเตอร์เชียร์ ที่มีเนื้อที่กว่า ห้าร้อย เอเคอร์ ให้เป็นของขวัญ
            ที่นายหมอกได้รู้สึกถึงในพระกรุณามหาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะ เขาพอใจในของขวัญชิ้นนี้เป็นอย่างมาก..

            ส่วนนายปากร้าย วิลลี่ แฮมมิลตัน เจ้าเก่า ก็ไม่หยุดกระแนะกระแหนถึงการใช้จ่ายในครั้งนี้ของพระองค์ โดยหาว่า นายหมอกนี่..เป็นแค่ผู้ชายปีกทองธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น..

          

            สี่เดือนต่อมา..เจ้าฟ้าหญิงแอนน์และพระสวามีนายหมอกได้สร้างวีรกรรมให้ชาวอังกฤษได้ภูมิใจในพระปรีชาของพระองค์อย่างหนักหนา กล่าวคือ
            ได้ทรงต่อสู้กับผู้ร้ายที่มีปืนด้วยมือเปล่าอย่างไม่มีความขลาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
            เรื่องมีอยู่ว่า..
            พระองค์และพระสวามีได้กำลังเสด็จกลับพระราชวังบั๊คกิ้งแฮม ซึ่งในรถยนตร์พระที่นั่งนั้น ได้มีเครื่องหมายคือไฟสีน้ำเงินเปิดอยู่เหนือกระจกหน้ารถ อันเป็นที่ทราบกันว่า
            เจ้านายได้ประทับอยู่ข้างใน..
            ขณะนั้น ก็ได้มีรถยนตร์ ยี่ห้อ ฟอร์ดได้ขับเข้ามาชนรถพระที่นั่งเพื่อให้หยุด..
            คนขับรถฟอร์ดได้กระโดดออกมาพร้อมทั้งสาดกระสุนไปยังทิศทางของคนขับ และ ทางรถตำรวจที่แล่นติดตามมา..และ ทางประชาชน
            ก่อนที่เขาไปพุ่งตัวไปทางประตูรถพระที่นั่ง หมายใจว่าจะกระชากเปิดออกและเข้าทำร้ายเจ้าฟ้าหญิง
            แต่..นายนั่นก็ได้แต่เยื้อชักเย่อกับประตูอยู่นั่นแล้ว..เปิดไม่ออก เพราะทางข้างใน... เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ทรงออกแรงยึดบานประตูไว้อย่างแน่นเหนียวเช่นกัน..
            จนกระทั่ง ประชาชนได้กรูเข้ามาให้ความช่วยเหลือ จับตัวคนร้ายได้ไว้..

            นั่นคือครั้งแรกของการก่อเหตุของผู้ก่อการร้ายในอังกฤษ..ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เหล่าตำรวจติดตามนั้น ไม่มีใครพกปืนสักคน ไม่เคยพกกันมาในประวัติศาสตร์
            จะมีก็เพียงครั้งเดียวที่ตำรวจอังกฤษได้รับอนุญาตให้พกปืนพร้อมกระสุน นั่นคือ คืนวันที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด ทรงประกาศสละราชบัลลังค์ ปี 1936 ซึ่งทางรัฐบาลเกรงว่า
            ประชาชนจะก่อเหตุจราจล เพราะยังมีคนส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจ..
            จากนั้นมาถึง 1974 ที่เกิดเหตุนี่..ตำรวจไม่เคยพกปืน...
            พอหลังจากหายอกสั่นขวัญแขวนกันไปแล้ว..ใครต่อใครจึงพากันยกย่องเจ้าฟ้าหญิงแอนน์กันทั่งทั้งเกาะ ที่สมเป็นขัตติยนารีเอาซะจริงๆ ..
            หนังสือพิมพ์พากันลงข่าวถึงความเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่..ข้อพระกรแข็งแรงราวกับเหล็กวิลาส.. (จากการให้สัมภาษณ์ของคนขับแท๊กซี่ที่เห็นเหตุการณ์)
            ข้อความที่ว่ามานั้น เจ้าชายฟิลิป พระบิดา ทรงเห็นด้วยอย่างยิ่ง..พระองค์ทราบข่าวจากโทรศัพท์ทางไกลที่เจ้าฟ้าหญิงได้โทรไปทูลถึงในประเทศอินโดนีเซีย
            ขณะที่พระองค์และสมเด็จกำลังประพาสเอเซียในช่วงนั้นพอดี
            เจ้าฟ้าหญิงมิได้ทูลให้สมเด็จทรงทราบ เกรงว่าจะตกพระทัย แต่..ในฐานะที่เป็นลูกรักของพ่อ พระองค์จึงสะดวกพระทัยที่จะคุยเรื่องนี้กับเจ้าฟิลิปมากกว่า..
            หลังจากที่มีการสืบสวนคนร้าย ได้ใจความว่า ต้องการจะลักพาเจ้าฟ้าหญิงด้วยเหตุผลทางการเมือง
            เจ้าชายฟิลิปถึงกับโล่งพระทัย..ทรงตรัสว่า
            "โล่งใจแทนไอ้หมอนั่น..ขืนมันจับตัวแอนน์ไปได้ละก้อ..มันนั่นแหละจะซวย.. เพราะรับรองได้เลยว่า แม่อาละวาดสุดฤทธิ์"
            เมื่อตอนที่เสด็จกลับถึงลอนดอน สมเด็จได้ปูนบำเหน็จรางวัลให้กับพลเมืองดีสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการช่วยเหลือเจ้าฟ้าหญิง
            ส่วนเจ้าชายฟิลิป ได้ทรงลูบหลังลูบไหล่พระธิดา และชมเชยว่า..
            "เก่งเหลือเกินลูก และ ขอบใจที่ช่วยรักษาหน้าพวกเราไว้ได้เป็นอย่างดี"


            จากจุดนั้นมา..เสียงคัดง้างในเรื่องของการเพิ่มเงินเบี้ยหวัดรายปีที่เถียงกันมานาน ก็ลงตัว..
            ทุกคนยินยอมให้เพิ่มตามที่มีพระราชประสงค์
            จนกระทั่ง..เรื่องฉาวโฉ่ของเจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตได้ประทุขึ้นมาอีกครั้ง..คราวนี้มันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่ประชาชนจะรับได้ นั่นคือ..
            ทรงมีสัมพันธสวาทกับหนุ่มน้อยชาวเกย์ที่มีอายุอ่อนกว่ากันถึงสิบเจ็ดปี เขาคนนั้นมีนามว่า..รัดดี้ หรือ Roderic Llewellynn บุตรชายคนที่สองของ Sir Henry Llewellynn
            เมื่อมีคนไปสัมภาษณ์ที่ท่านเซอร์ ถึงเรื่องเพื่อนคู่ใจคนใหม่ของรัดดี้ ท่านเซอร์ทำหน้าขำๆ ตอบว่า..
            "อ๋อ..รู้แล้วละว่าหมายถึงใคร..แต่ฉันยังไม่หายประหลาดใจนะ เพราะปรกติแล้ว รัดดี้มักจะมั่วอยู่กับพวกบรรดาหนุ่มเสริฟอิตาเลี่ยน..แต่คราวนี้ทำไมถึงได้เปลี่ยนรสนิยมไปก็ไม่รู้ซิ?"
            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงว่า นายรัดดี้ฮิปปี้ผมยาว ชาวเวลส์คนนี้ มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายกับท่านลอร์ดสโนว์ดอนตอนหนุ่มๆ ครั้งที่ยังเคยรัก อ่อนหงาน และเอาพระทัยพระองค์
            แรกๆ ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ต่างเก็บเป็นความลับสนิท รู้กันในหมู่พระสหายไม่กี่คน ไม่มีการออกงานด้วยกันแต่อย่างใด..
            ส่วนท่านลอร์ดสโนว์ดอนที่ฮึ่มๆ อยากจะหย่าขาดอย่างเต็มที่นั้น โชคก็ได้เข้าข้างเขาจนได้
            เพราะถ้าเหตุนี้ไม่เกิด การหย่าก็จะหาสาเหตุที่เหมาะสมไม่ได้ นั่นคือ
            การที่เจ้าฟ้าหญิงได้พาไอ้หนูรัดดี้ไปเริงรักถึงในพระตำหนักที่เกาะมัสตีค..และ..มีภาพหลุดไปลงบนหน้าหนังสือพิมพ์..
            ที่ทั้งสองกำลังนั่งแนบชิดกันบนเก้าอี้ริมสระน้ำ ฝ่ายหญิงทรงชุดว่ายน้ำ ฝ่ายชายกำลังลูบไล้ทาครีมกันแดดให้บนพระอังสะ
            ข่าวได้ลงพาดหัวว่า.."ภาพช็อตเด็ดที่ไม่มีสามีคนไหนจะทนดูได้"
            แต่ไม่ใช่แต่กับสามีเท่านั้นที่จะสามารถทนได้ ประชาชนก็ไม่"ทน"ต่อไปเช่นกัน..เพราะ ในอดีตที่มีเรื่องฉาวๆ ของพระองค์นั้น ใครต่อใครพากันอภัยให้ เพราะเห็นพระทัยในความรักที่ไม่สมหวัง (กับ ปีเตอร์ ทาวน์เซ่นด์)
            และ ต่างก็เห็นว่า ทรงเป็นเจ้าหญิงที่อาภัพนัก..
            แต่สำหรับเรื่องทิ้งลูกๆ ออกไปเริงรักกับฮิปปี้ที่มีภาพออกมาเห็นตำตานี่แล้ว......ความรักและความสงสารที่ประชาชนเคยมีให้นั้น เหือดแห้งหายไปสิ้น
            ทุกคนลงความเห็นพ้องต้องกันว่า..ถ้าทำตัวอย่างนี้..เงินเบี้ยหวัดที่ได้ไปจากภาษีของประชาชนปีละเจ็ดหมื่นนั้น..อย่าหวังเลยว่าจะให้ต่อไป
            คราวนี้..ชาวรัฐสภาต่างเห็นพ้องต้องกันในมติ

            ลอร์ดสโนว์ดอน เริ่มตีปีกพั่บๆ ..พร้อมที่ดำเนินการในเรื่องหย่าร้างทันที แต่..ไม่ทันที่เขาจะคิดอ่านทำอะไร เขาก็ถูกเรียกตัวให้หา โดยสมเด็จ..
            การเจรจาได้เกิดขึ้น จะมีข้อแม้อะไรนั้นไม่มีใครทราบได้ แต่ ถ้าจะเดาในสถานะการณ์ที่เกิด ก็พอจะเดาได้ว่ามีข้อแลกเปลี่ยนที่น่าจะคุ้มค่า เพราะ
            สมเด็จได้ทรงเรียกตัวเจ้าฟ้าหญิงพระชนิษฐากลับมาอังกฤษด่วน (เพียงพระองค์เดียว ฮิปปี้ไม่ได้มาด้วย)
            ท่านลอร์ดพระสวามีไปรับเสด็จที่สนามบิน ถึงเครื่องพระที่นั่ง และ มีการจุมพิตทักทายพร้อมกับนำเสื้อโค๊ทจนสัตว์ไปคลุมพระองค์ให้ ต่อหน้านักข่าว
            ราวกับว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
            แต่สองเดือนต่อมา..ข่าวจากพระราชวังเคนซิงตันได้มีแถลงการณ์ออกมาว่า
            "เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและพระสวามี ลอร์ด สโนว์ดอน จะแยกกันอยู่อย่างเป็นทางการ โดยที่เจ้าฟ้าหญิงจะทรงปฏิบัติพระกรณียกิจต่อไปเพียงพระองค์เดียว
            ส่วนการหย่าร้างนั้นจะยังไม่เกิดขึ้น.."

       
            
         
         

            

            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและพระสวามี (ลอร์ดสโนว์ดอน)
            พระโอรสและพระธิดา ... เดวิดและซาราห์

                
             
             


     

          

            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตและรัดดี้ (Roddy Llewellyn)

                
             
             


            
         
         

    

            ... Roddy Llewellyn   

                
             
             

   


      
            

           
       
            ตอนนั้น เจ้าฟ้าหญิงทรงมีพระชนมายุได้ สี่สิบสาม
            รัดดี้มีอายุเพียง ยี่สิบห้า เองค่ะ

            
         
         
 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker