dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนสี่

  

                
     

            ยายออกไปช่วยคนทำความสะอาดลากที่นอนออกไปตาก จนเกิดอุบัติเหตุที่กล้ามเนื้อที่ท้องเกิดปริขึ้นมา
            จึงได้เข้าโรงพยาบาลเพื่อรับการผ่าตัด แต่ยายไม่ได้รอดออกมา..
            เพราะได้เสียชีวิตขณะที่อยู๋บนเตียงผ่าตัดนั่นเอง

            ตา..แทบไม่เชื่อว่ายายจะรีบด่วนจากไปอย่างรวดเร็วแบบนั้น จึงเสียใจมาก และ ทำใจให้ยอมรับการสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้เลย  ตายังเรียกหาและมองหายายเสมอๆ
            และหลังจากที่ยายจากไปไม่นาน เหล่านานาชาติในยุโรปได้จัดส่งตัวแทนของแต่ละประเทศเข้ามาประชุมในญัตติเกี่ยวกับการที่จะยื่นมือมาช่วยชาวยิวในออสเตรียกันได้อย่างไร
            การประชุมครั้งนี้ ได้จัดอย่างหรูหราที่ Evian-les-Bains รีสอร์ตและสปาชั้นดีที่เทือกเขาแอลป์ฝั่งฝรั่งเศส  บริเวณใกล้กับทะเลสาบเจนีวา
            นายไอคมันน์ได้ส่งตัวแทนไปเข้าร่วมประชุมด้วย  พร้อมทั้งข้อความที่ประกาศอย่างเยาะเย้ยต่อผู้ที่เข้าร่วมประชุมว่า
            "ได้เลยขอรับ ถ้าท่านมีจิตเมตตาจะช่วยพวกยิวจริงแล้ว..ช่วยได้เลย..เชิญครับ ยิวที่ฉลาด  นิสัยดี ความรู้สูง อันเป็นรากฐานของสังคมออสเตรียในปัจจุบัน เชิญเลือกไปได้เลย
            ตามราคาดังนี้ครับ..400 เหรียญ(ยูเอส) ต่อหัว..อ้าว..นั่งนิ่งทำไมล่ะครับ แพงไปหรือไง ถ้างั้นเอางี้ ..ผมลดให้เหลือหัวละ 200   ว่าไง..  ยังสนใจจะช่วยไหมล่ะครับ ??"
            ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครควักเงินออกมาสักสลึง  ยกเว้นผู้นำของ Dominican Republic ที่ได้ยอมเลือกยิวไปกลุ่มหนึ่ง เพื่อไปช่วยในการปรับปรุง ฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของประเทศ
            (ได้ข่าวว่า..พวกเขาทำสำเร็จด้วยนะ)


            วันที่ 9 พฤศจิกายน 1938  ฉันงดการไปทำงานที่บ้านนายเดนเนอร์หนึ่งวัน เพราะวันนั้นคือ วันที่เราต้องไปส่ง ฮันซี่ที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางสู่ประเทศสู่ปาเลสไตน์ หลังจากที่แม่ได้ถอนเงินจนหมดธนาคารเพื่อจ่ายค่า
            ใบอนุญาตเดินทางซึ่งเป็นราคาที่สูงลิ่ว
            จนทั้งฉันและมิมี่ต่างรู้ดีว่า แม่ไม่มีเงินเหลือเลยสำหรับค่าใบอนุญาตของพวกเรา แต่แม่ว่า..เพราะทั้งฉันและมิมี่ต่างก็มีชายคนรักคอยช่วยเหลือ
            แต่..น้องฮันซี่..เธอไม่มีใครเลยที่จะช่วยประคับประคอง
            ในกระเป๋าเดินทางใบเดียวของน้อง ตามที่กำหนดนั้น ไม่มีอะไรมาก นอกจากรองเท้า เสื้อผ้าชั้นใน..เสื้อตัว กางเกงตัว กระโปรงชุด และกระโปรงครึ่งท่อน
            ส่วนแม่ได้เตรียม  ใข่ต้ม ขนมนมเนย นมกระป๋อง ให้ไปกินระหว่างเดินทาง
            ก่อนจาก..พวกเรากอดกันร้องไห้ ยกเว้นฮันซี่คนดียว ที่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยด เธอย้ำหนักหนาว่า..
            "ออกมาจากไอ้ประเทศบ้าๆนี่ให้ได้นะ  อย่างเร็วที่สุดด้วย นะ..นะ.."
            รถไฟเคลื่อนขบวนอออกไปช้าๆ  เรามองน้องที่ยืนชะโงกหน้าออกมาทางหน้าต่าง...จนลับหายไป

            ระหว่างทางที่เดินกลับมาบ้านนั้น เราได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมมาแต่ไกล..เหลียวมองไปทางต้นเสียง..ก็พบกับแสงไฟแดงฉานขึ้นมาขอบฟ้าไกลๆโน่น..
            นั่นหมายความว่า อีกด้านหนึ่งของเมืองกำลังเกิดเพลิงใหม้ครั้งใหญ่  เสียงรถหวอของนาซีวิ่งกันให้พล่าน เสียงทหารที่ยกกันมาเป็นกองทัพ..เอะอะ ชุลมุน ท่าทางเอาเรื่อง
            ทั้งฉันและมิมี่ต่างรีบจูงแม่คนละคนละข้าง..พาวิ่งออกไปจากจุดนั้นอย่างรวดเร็ว..

            เมื่อมาถึงบ้าน คนที่ดูแลอาคาร คุณนายฟาลัต ได้ยืนรออยู่ชั้นล่างด้วยสีหน้าเป็นกังวล
            รีบบอกพวกเราว่า.." พวกมันกำลังพังโรงสวดทั่วเมือง และเข้าทำลายร้านค้าของชาวยิวแทบทั้งหมด  คืนนี้ต้องอยู่กับบ้าน ออกไปไหนไม่ได้เลยเชียว"


            (9-10 พฤศจิกายน 1938 คือวัน Kristallnacht ที่เล่ามาแล้วในเรื่อง ฮิตเล่อร์...วิวันดา)  

            

            สักพักเดียว มิโลก็ก้าวเข้ามา ด้วยท่าทางที่เหนื่อยหอบ ใบหน้าซีดเผือด  แต่ก็ยังขอว่า " ขอผมอยู่ที่นี่ก่อนนะครับ คุณนายฮาห์น เพราะว่ามีข่าวออกมาว่าคืนนี้พวกนาซีจะ
            ไปเกณฑ์ชายหนุ่มตามบ้าน เพื่อเอาไปเข้าค่ายแรงงาน ไม่รู้ว่าจะเป็นที่ไหน ดักเฮา หรือ บัคเชนวัลด์ "
            แล้วเขาก็ไปนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง มิมี่รีบไปนั่งแทบพื้นซบแทบเข่าชายผู้เป็นที่รักด้วยความเห็นใจ..
            เสียงเพล้ง พล้าง ดังมาจากอีกฝั่งของถนน เสียงผู้คนที่กำลังทำลายข้างของอย่างบ้าคลั่งดังมาเป็นระลอก..จนเวลาสี่ทุ่ม ที่ญาติของฉันคนหนึ่งชื่อ เออร์วิน ที่เป็นนักเรียนแพทย์
            ก็เข้ามาขอหลบภัยอีกคน..เขาว่าเขาเพิ่งกลับจากการปฏิบัติการในห้องแลบ และมาประสบเหตการณ์เผาโรงสวด และเห็นกับตาว่า ชาวยิวถูกลากไปซ้อมจนสลบ
            จึงรีบกลับหลังหันมาทางทิศทางนี้..
            ต่อมา..เปปปิ..ก็อีกคนหนี่งที่ก้าวเข้ามาในห้อง และเป็นคนเดียวที่ดูมีสติมากกว่าคนอื่นๆ..ท่าทางเขาเยือกเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขาว่า
            "พวกม็อบเดี๋ยวมันเหนื่อย..ก็สลายตัวไปเอง จะมีอาร๊ายย นอกจากเศษกระจกที่ต้องทำความสะอาด ซ่อมซะ เดี๋ยวอาทิตย์หนึ่งผ่านไปคนก็ลืมแล้ว"
            เขาพูดอย่างง่ายๆ  ที่ทำให้พวกเราทุกคนต่างหันไปจับจ้องที่เขาพร้อมทั้งคิดว่า จะบ้าไปหรือปล่าว?
            แม่หลุดปากออกมาว่า..แหม..เธอนี่ไปเป็นทนายจริงนะ..เพราะมองเห็นแต่ทางได้..
            เขารีบแก้ตัวว่า.."ปล่าวหรอกครับ..เพียงแค่ผมไม่อยากให้แม่หวานใจของผมต้องมาเป็นกังวล" ว่าพลางเขาก็ลูบไล้ไปที่หน้าผากฉันเบาๆ และเอ่ยต่อว่า
            "เดี๋ยวหน้าย่น..ไม่สวยนะ"
            แค่นั้นพร้อมกับการโอบประคองให้ไปนั่งคู่ด้วยกันบนโซฟา ก็ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาอย่างประหลาด  เปปปิเป็นคนนิสัยดีอย่างนี้เสมอ กล้าหาญ และอยู่เคียงข้างพวกเรามาโดยตลอด
            แม้แต่ยามที่ภัยมาจ่อถึงประตูบ้าน..เขาช่างน่าบูชาเสียเหลือเกิน !!

            

            แต่แล้ว..จู่ๆ ร่างท้วมๆของแอนนาก็พรวดพราดเข้ามา  ตัวเนื้อสั่นไปด้วยความโมโหโกรธา เสียงเธอกรีดก้องว่า
            "อยู่นี่เอง..ไอ้โง่..หนอย...ชั้นสู้อุตส่าห์ไปติดสินบนใครต่อใครเพื่อที่จะให้แกพ้นออกจากความเป็นยิว..เอาแกมาเป็นคริสเตียนจนได้ แล้วไง..แล้วง๊ายยย..
            คืนนี้ที่ใครต่อใครเขาต่อต้านพวกยิวบ้านี่..ถึงขนาดทั้งเผาทั้งรื้อ แล้วแกทำงัย..ดันมานั่งเอ้อระเหยเป็นใข่แดงในบ้านยิว.. แกไม่รู้หรือไง ว่าใครๆเขาก็รังเกียจพวกมันทั้งนั้น
            ไป..กลับไปบ้านกับชั้นเดี๋ยวนี้"  
            เท่านั้นไม่พอ..แอนนาหันมาทางฉันพร้อมชี้หน้าว่า
            "ปล่อยเขาไปนะ..แม่อีดิธ ถ้าหล่อนว่าหล่อนรักเขาจริง  เพราะขืนมาอยู่กับหล่อน ลูกชั้นจะได้ถูกลากคอไปเข้าคุกด้วย  ชั้นมีลูกชายคนเดียว ที่เปรียบเสมือนทุกสิ่ง..ทุก..อย่างงงง"
            เสียงเธอเริ่มขาดหายเป็นห้วงด้วยก้อนสะอื้นในตอนท้ายๆ..แม่ก็ยังอุตส่าห์ใจดี..ไปรินบรั่นดีมาให้ซดปลอบใจแก้วหนึ่ง  เปปปิรวบรวมสติได้ จึงพูดว่า
            "แม่ครับ..เลิกโวยวายซะทีเถอะ อายเค้า  ผมกับอีดิธ เรากำลังจะหาทางออกไปจากที่นี่ อาจจะเป็นอังกฤษ หรือ ปาเลสไตน์"
            "อาไรนะ..ไหนแกว่าใหม่ซิ..นี่หมายความว่าพวกแกกำลังคิดจะทิ้งชั้นไปงั้นเหรอ..โธ่เอ๋ย..ในที่สุด หญิงม่ายที่น่าสงสารอย่างฉันก็ไม่มีใครเหลียวแลจริงๆ"
            แอนนาเริ่มออกท่าออกทางกราดเกรี้ยวมากขึ้น..และ..สลับรำพัน
            "แม่...ขอเสียทีเถอะ คำว่าหญิงม่ายที่น่าสงสารเนี่ย แม่ลืมไปแล้วหรือ ว่า สามีแม่ ก็คือ  นายฮอฟเฟอร์ไงล่ะ เขาก็ดูแลแม่ดีนี่"
            ประโยคนี้จากปากของเปปปิเล่นเอาแอนนาสะอึก เพราะ ในที่สุดความลับที่เก็บงำไว้ต้องมาเปิดเผยต่อหน้าคนหลายคน..แต่เธอก็หายอมไม่ ยังคงอาละวาดต่อไป
            "เอาซี้..แกจะทิ้งชั้นไปใช่ไหม..ถ้างั้นชั้นก็ไม่ขออยู่ให้มันเกะกะนัยตาของแก..มะ..ชั้นจะฆ่าตัวตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเดี๋ยวนี้" ว่าแล้ว เธอก็รีบไปที่หน้าต่าง ทำท่าจะปีนไปบนรางกระถางต้นไม้
            เหมือนจงใจจะเตรียมกระโดดสู่เบื้องล่าง..
            ชายหนุ่มรีบคว้าเอวที่แสนเทอะทะของมารดา เข้ามาสู่อ้อมอก และลูบหลังลูกไหล่ปลอบประโลม  "ไม่เป็นไรนะครับ..โอ๋..โอ๋..."
            แต่แอนนาก็ยังโวยไม่เลิก ว่า..ไปกลับบ้านเดี๋ยวนี้..เลิกกับมันซะ..อย่าไปยุ่งกับมันอีก !!

            

            หลังจากที่คนทั้งสองลับร่างๆไปนั้น  ฉันพอเข้าใจอะไรได้ขึ้นอย่างลางๆว่า นี่คือเหตุผลที่เปปปิพยายามบ่ายเบี่ยงเสมอ ในเรื่องที่จะออกไปจากออสเตรีย
            เขาจะไปได้อย่างไร ในเมื่อ แอนนาออกอาการกราดเกรี้ยว ทั้งพยายามขู่ด้วยการฆ่าตัวตายแบบที่เห็น
            โซ่พันธนาการที่รัดรึงเขาไว้นั้น มันช่างแข็งแรงที่ปลดออกได้ยากยิ่ง เพราะโซ่นั้น คือสิ่งที่แอนนาเรียกว่า "ความรัก"

            เราทั้งหมด.. นั่งนิ่งเงียบ ปล่อยให้เสียงของการล้างผลาญในคืน Kristallnacht  ดังกรีดก้องกังวานเข้าไปในหู และบาดเข้าไปถึงใจ..

            มิมีแต่งงานกับมิโล..ในเดือน ธันวาคม 1938 และได้หลบหนีออกไปยังอิสราเอลได้ในเดือน กุมภาพันธ์ 1939
            แม่ต้องขายเครื่องเรือนเกือบหมดทุกชิ้นเพื่อจะจ่ายค่าเดินทางแบบใต้โต๊ะ ซึ่งแม่บอกว่า..มีเงินเหลือพอที่จะยัดเยียดฉันให้ออกไปนอกประเทศได้อีกคน
            แต่..ฉันปฏิเสธความหวังดีของแม่ครั้งนี้อย่างไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะ ฉันคงทนไม่ได้ที่จะต้องจากชายผู้เป็นที่รักไปสุดขอบฟ้า

            ข่าวร้ายๆของบ้านเมืองได้เกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ฮิตเล่อร์ได้เข้ามาเหยียบย่างในออสเตรีย..และในที่สุด
            ฮิตเล่อร์ก็ได้เข้าไปยึดครองเชคโกสโลวาเกียอย่างง่ายดาย ตามความเห็นชอบของนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
            นาย แชมเบอร์เลน  ในเดือน มีนาคม 1939  
            แม่รับฟังข่าวนี้ด้วยท่าทีหมดอาลัยตายอยากในชีวิต และพึมพัมขึ้นมาว่า
            "ถ้าพวกโกยิม..ไม่มาปกป้องกันเองแล้ว..เราจะหวังว่าเขาจะมาช่วยเหลือเราได้อย่างไร?"
            { Goy หรือ Goyim คือ คำที่ชาวยิวเรียกชาวตะวันตกที่ไม่ใช่ยิว }
            ข่าวร้ายๆต่อมาคือ เหล่าญาติของพวกเราที่เชคโก..ต่างได้ถูกจับเข้าคุกและต้องยอมเสียทรัพย์สมบัติทุกชิ้นที่มี เพื่อแลกกับอิสรภาพ
            หลายคนต้องลี้ภัยเข้าไปในรัสเซีย..

            เราพยายามไปเยี่ยมตาที่เมืองสตอคเคโรบ่อยๆ เพราะ ตาเริ่มเจ็บออดๆแอดๆ  บรรดาน้องและญาติของแม่ก็ไปผลัดกันไปดูแลอย่างไม่ให้ขาดตอน

            

            วันหนึ่ง..มีทหารมาทุบโครมๆที่หน้าประตูบ้าน เสียงนั้นมันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงที่ว่า ท้องใส้มันเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
            ข่าวที่ทหารคนนั้นนำมาบอก..
            นั่นคือ รัฐบาลนาซีได้ยึดบ้านและร้านค้าจักรยานของตาไปให้แก่ชาวออสเตรียนคริสเตียนที่แสนดีไปแล้ว
            และ..นั่นหมายถึงว่า เราต้องไปรับตามาอยู่ด้วย  หมดสิ้นกันที..สตอคเคโรที่รัก...!!
            หมดสิ้นไปหมด บ้านที่เปรียบเสมือนชีวิตของตาและยายที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่าสี่สิบปี  ข้าวของทุกอย่างไม่ว่าถ้วยโถโอชาม   จนถึงเตียงไม้เก่าแก่ ผ้าลูกไม้ถักของยาย ถูกปล้นเอาไปอย่างต่อหน้าต่อตา

            ฉันดูแลตาอย่างใกล้ชิด และพยายามปรุงอาหารที่ชอบให้  ตาจะขอบคุณเบาๆ แต่คงแย้งด้วยความเกรงใจอย่างเต็มที่ว่า
            "อร่อยสู้ที่ยายทำไม่ได้นะ"
            "หนูทราบค่ะ..ตา"
            "เอ้อ..แล้วยายไปไหนล่ะ"
            "ยายเสียแล้วค่ะ"
            "อ้อ..จริงนะ..ลืมไป" ตาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ทอดสายตามองดูมือของตัวเองที่เต็มได้รอยแตกและหยาบกร้านจากการทำงานหนักมาตลอดชีวิต และไม่วายถามว่า
            "เมื่อไหร่..จะกลับไปบ้านได้ซะที?"
            แต่..ตาก็ไม่ได้ทรมานอะไรมากมาย เพราะ วันรุ่งขึ้นตาก็ได้จากไปอย่างสงบ..
            บ้านที่ตาคร่ำครวญถึง และอยากจะกลับไปอย่างเหลือเกินนั้น..คือ เลขที่ 12 Donaustrasse, Stockerau ทุกวันนี้มันก็ยังถูก(คนอื่น)ครอบครองอยู่

            

            มาถึงคราวของเราบ้าง..คุณนายฟาลัตผู้ดูแลตึกได้มาหาเราพร้อมด้วยน้ำตาและจดหมายขับไล่ในมือ..บอกว่า
            "เข้าของตึกก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลนาซีสั่งมา"
            ฉันและแม่จึงต้องออกจากบ้านที่เราเคยอยู่..ไปยังสลัมยิวในเวียนนา ซึ่งที่นั่นคือ แฟลตของป้าของมิโล
            คุณนาย เมมอง ที่มีญาติหญิงวัยกลางคนอีกสองคน
            ที่รวมอยู่ด้วย เมื่อเราไปเพิ่มอีกสอง รวมเป็นห้า.. ห้องพักเล็กๆนั่น จึงต้องอยู่กันอย่างแออัด  ที่วันๆนึงต้องเดินชนกันไม่รู้ว่ากี่รอบ
            แต่ไม่ว่าครั้งไหน เราต่างมักขอโทษกันด้วยมารยาทอันดีทุกครั้ง

            ฉันและแม่ ช่วยกันหาเลี้ยงชีพด้วยการรับซ่อมแซมเสื้อผ้า  ไม่ใช่การตัดเย็บตามสั่งอย่างแต่ก่อน  
            ยิ่งในระยะนั้น การเย็บที่เราได้รับทำมากที่สุด..นั่นคือ การเอาเข้า..เพราะชาวยิวทุกคนรอบข้าง เริ่มผอมเอา ผอมเอา..
            แต่..เยาท์สกี้ แม่ญาติสาวของฉันกลับอ้วนเอา อ้วนเอา...เธอได้หาโอกาสคุยกับฉันในวันหนึ่งด้วยใบหน้าอาบนองไปด้วยน้ำตา
            "ฉันรู้ดีนะ ว่าไม่ควรจะมาท้องเอาในตอนนี้ แต่ออตโตเขากำลังจะออกไปรบที่แนวหน้า จะมีโอกาสกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้   เราเลย..เลย..รักกันถี่ไปหน่อย มันก็เลยท้องเนี่ย..จะทำอย่างไรดีล่ะ ช่วยกันคิดหน่อยซิ..
            บางทีพวกเขาคงไม่ทำอะไรกับเด็กหรอกนะ  
            เธอว่ามั๊ยย..อีดิธ  มันน่าจะมีทางยกเว้นนะ เพราะอย่างน้อยพ่อของเด็กก็ไม่ใช่ยิว แถมยังเป็นทหารอีกด้วย"
            "งั้นมั๊ง.."  ฉันตอบไปตามแกน ทั้งๆที่รู้ดีแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้..นาซีหรือ..จะมีการยกเว้น
            "ฉันพยายามสมัครไปหางานทำเป็นแม่บ้านที่อังกฤษ..คิดว่าเขาอาจจะไม่รู้ว่าฉันท้อง แต่ที่ไหนได้ พวกเขารู้ทันทีที่เห็นฉันเลย" พูดจบ เยาท์สกี้ก็หันมาจ้องตาฉันเขม็ง
            พร้อมทั้งเน้นเสียงพูดต่อไปว่า
            "ฉันจะท้องไม่ได้นะ อีดิธ..ฉันต้องไปหาหมอให้เร็วที่สุด"

       
            สรุปว่าเราไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากติดต่อไปที่เพื่อนเก่า โคห์น ที่เพิ่งจบแพทย์ศาสตร์ พร้อมทั้งใบประกอบโรคศิลป
            แต่เมื่อไปถึง..จึงทราบว่า พวกนาซีได้ยึดทุกอย่างไปจากเขาจนสิ้น แม้กระทั่งการห้ามทำการรักษา  โคห์นเล่าให้พวกเราฟังว่า
            เอลฟิ  เวสเตอร์ไมย์ ได้เข้าเป็นสมาชิกนาซี และได้อนุญาตให้ทำการรักษาวินิจฉัยโรคทั้งๆที่ยังไม่จบแพทย์ศาสตร์เสียด้วยซ้ำ
            แต่ด้วยความเวทนา..โคห์นจึงตรวจครรภ์ของเยาท์สกี้อย่างตามมีตามเกิด  แต่ไม่สามารถกระทำ abortion ให้ได้
            เพราะเขาบอกว่า มันเสี่ยงต่อชีวิตจนเกินไป เพราะเครื่องไม้เครื่องมือไม่มี
            อีกทั้ง..เป็นการเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เขาบอกว่า
            "กลับไปบ้านเถอะ ไปรักษาตัวเองจนถึงกำหนดคลอด แล้วก็เลี้ยงเขาให้ดี"
            เยาท์สกี้จึงกลับไปบ้าน ไปช่วยออตโต..เก็บข้าวของลงกระเป๋าเพื่อจะออกไปรบที่แนวหน้าโปแลนด์
            ก่อนลาจาก..เขาจูบเธอ พร้อมกับสัญญาว่าจะกลับมา


            >>>ขออธิบายเพิ่มนิดนึงค่ะ..ในยุคสมัยนั้น ยิวในยุโรปมีหลายประเภท ที่มาแตกแขนงแยกออกไปเพราะการแต่งงานผสมนั้นก็มีมาก
            บางคนไม่ทราบด้วยซ้ำว่า ต้นตระกูลเป็นยิว เพราะไม่มีการปฏิบัติสืบทอดกันมา..พวกนี้เขาเรียกว่า พวก Secular  หมายถึงพวก "outside of religion"
            แต่มักจะทราบกันด้วยนามสกุล ที่มักมีต่อด้วย baum , thal, meyer  นี่ละค่ะ
            ในยุคที่มีการต่อต้านยิว..หลายๆคนจึงต้องเปลี่ยนนามสกุลถึงกับมีการซื้อขายเอกสารอันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว หรือ มีการให้พวกไฮโซตกยาก(ที่มี von..ทั้งหลาย)
            ยอมรับเป็นลูกบุญธรรมก็มี (ตัวอย่างคือ รมต.ต่างประเทศของฮิตเล่อร์ นาย Joachim von Ribbentrop ที่ไปขอใช้นามสกุลของคนอื่น ทั้งๆที่ของตัวเองได้ทำลายหลักฐาน
            ไปหมดจนเป็นที่น่าสงสัย)  ช่วงข้าวยากหมากแพง เศรษฐกิจตกต่ำถึงขีดสุดอย่างนั้น เงินซื้อได้ทุกอย่างเชียวค่ะ

        

            ฉันและแม่ถึงคราวถังแตกอย่างรวดเร็ว เพราะ ค่าจ้างในการซ่อมเสื้อผ้านั้นมันช่างน้อยนิด
            เหลือแค่ชิ้นละ สตางค์แดงเดียว(หนึ่ง groschen ออสเตรีย หรือเทียบเท่ากับ หนึ่ง pfennigs เยอรมัน)
            จนเราทั้งสองต้องใช้ระบบแลกเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น
            แม่ปวดฟันอย่างสุดแสนทรมาน จะไปหาหมอยิวก็ไม่ได้ เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกห้ามการรักษา
            และด้วยความช่วยเหลือของเปปปิ แม่จึงได้มีโอกาสไปหาหมออารยัน
            ซึ่ง หมอต้องการค่าถอนฟันเป็นทอง  แม่จึงต้องถอดสร้อยให้ไปเส้นหนึ่ง หมอส่ายหน้า..บอกว่าไม่พอ  แม่ก็ถอดให้ไปอีกเส้นหนึ่ง..หมอก็ยังส่ายหน้าอีก..
            ในที่สุด แม่ต้องถอดไปให้อีกเส้น รวมเป็นสาม...สำหรับฟันผุๆเพียงซี่เดียว

            ฉันพยายามไปตามเก็บหนี้เก่าๆซึ่งเป็นค่าผ่อนจักรยานและจักรเย็บผ้า..ที่ลูกค้าซื้อเงินผ่อนไปจากตา..
            แต่..ทุกคนต่างหัวเราะเยาะ และปิดประตูใส่หน้า เพราะ ในตอนนั้นไม่มีใครโง่มาจ่ายเงินคืนให้"ยิว" เพราะ รัฐบาลได้สนับสนุนการ"ชักดาบ"ครั้งนี้อย่างทั่วถึง
            น้ามาเรียน..น้องสาวของแม่คนหนึ่งได้แต่งงานไปกับ
            นายอดอล์ฟ โรบิเชค ที่ทำงานให้กับบริษัทดานูป อันเป็นบริษัทเดินเรือส่งสินค้า ที่ Belgrade
            ซึ่งน้ามาเรียนได้ฝากพัศดุอันเป็นกล่องที่เต็มไปด้วยอาหารแห้ง เครื่องกระป๋อง มาให้เราได้อาศัยใช้ยังชีพแบ่งกันกินทั้งบ้าน  รอดตายไปได้อย่างลำเค็ญ

            ถ้าคุณคิดว่า..พวกออสเตรียนทั้งหลายที่ต่างอ้างว่า ไม่เคยรู้เรื่องเลยในการพวกยิวได้ถูกปล้นทรัพย์สิน..และถูกบีบคั้นอย่างแสนสาหัสขนาดนี้..
            ฉันจะบอกให้ฟังว่า..ทุกอย่างคือการมดเท็จทั้งสิ้น พวกเขารู้ดีอยู่แก่ใจทุกอย่าง เพราะ ครั้งหนึ่ง ฉันถูกตำรวจจับในการเดินข้ามถนนผิดระเบียบ และจะต้องเสียค่าปรับที่เป็นจำนวนเงินไม่น้อย
            แต่พอตำรวจทราบว่า ฉันเป็นยิว..เขาก็ปล่อยตัวฉันไปอย่างง่ายๆ เพราะ พวกเขารู้ดีว่า ขังไว้ในคุกก็ป่วยการ  เปลืองขนมปังปล่าวๆปลี้ๆ เพราะ พวกยิวต่างกรอบเป็นข้าวเกรียบทั้งนั้น
            ฉะนั้น..พวกคุณเห็นหรือยังว่า..ไอ้ที่มาอ้างกันปาวๆว่า ไม่เค๊ย  ไม่เคยรู้เรื่องเลย..ว่าอะไรได้เกิดขึ้นกับเพื่อนมนุษย์(ชาวยิว)นั้น..ไม่เป็นความจริงแน่นอน !!


            ความรักของคริสตัลก็ช่างลุ่มๆดอนและมีอุปสรรคขวากหนามมากมาย เพราะการเมืองนาซีล้วนๆ..
            เธอเล่าให้เรื่องฟังอย่างกลัดกลุ้มว่า..
            "อีดิธ..ไอ้พวก SS นะ..มันสร้างความเดือดร้อนอย่างไม่หยุดยั้งเลยเชียว โดยเฉพาะไอ้กฏหมายนูเรมเบอร์คบ้าบอนั่นก็อีก..ที่ว่า ปู่ย่าตายายทั้งสองสายต้องเป็นอารยันทั้งหมด  ลูกหลานจึงจะเป็นอารยัน
            และถ้า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อสายยิว ลูกหลานก็ให้นับว่าเป็นยิว..ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไหนก็ตาม..ใช่ม๊ะ..แล้วอะไรเกิดขึ้นเธอรู้ปล่าว..เบอร์สกี้ แฟนฉันน่ะ พ่อเขาเป็นยิวที่เกิดในเชคโก..."
            "ตายจริง.." ฉันตกใจถึงกับต้องอุทาน
            "งั้นนะซิ..แต่ทีนี้นะ..มันมีเรื่องยุ่งยิ่งกว่าอีก คือ พ่อฉันน่ะ เขาช่วยยัดเงินใต้โต๊ะไปซื้อเอกสารมายืนยันได้ว่า บรรพบุรุษทั้งสองสายของพ่อเบอร์สกี้ เป็นอารยันทั้งสองฝั่งจนได้  เป็นการดำเนินงานที่เข้าท่าใช่ม๊ะล่ะ?"
            "แหม..โล่งอก." ฉันก็พลอยถอนหายใจเฮือกไปกับเธอ
            "แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิ..เพราะทันที่ที่ทำเอกสารที่ว่าพ่อของเบอร์สกี้เป็นอารยันแท้ๆเสร็จสิ้นลง..พวกนาซีเรียกชื่อเขาไปเกณฑ์ทหารทันที"
            "ตายแล้ว.." ฉันใจหายวูบ
            "พอพ่อของเบอร์สกี้ไปรับหมายเกณฑ์ตามที่เรียกเท่านั้น..เขาก็เห็นชัดว่าไม่ใช่อารยัน แต่เป็นยิว..ก็เลยถูกจับเข้าคุก แต่ในขณะเดียวกัน เบอร์สกี้ก็ถูกหมายเกณฑ์เช่นกัน..
            เพราะเอกสารที่ซื้อมาดูน่าเชื่อถือว่าเป็นอารยันจริง แต่..พวกนาซีมารู้ทีหลังว่า เบอร์สกี้มีพ่อที่ติดคุก แต่ไม่มีใครรู้ว่า ติดคุกเพราะสาเหตุอะไร
            พวกเขาจึงต้องทำโทษเบอร์สกี้ในฐานะที่ไม่ได้ให้การไปตามความจริง  โดยปลดเขาออกการเป็นทหารเกณฑ์ และส่งตัวกลับเวียนนา แล้วอะไรเกิดขึ้นอีกเธอรู้ไหม..?
            "อะไรเหรอ??"  
            "ก็ขณะที่เบอร์สกี้กำลังเดินทางกลับมาเวียนนานั้น หน่วยทหารนั่นถูกระเบิดของพวกฝรั่งเศสกู้ชาติตายเรียบเลย"

            ฉันรู้สึกเสียใจที่ได้รับทราบถึงการสูญเสียชีวตของทหาร แต่ก็ยังดีใจลึกๆที่ได้รู้ว่า ..อย่างน้อยๆก็ยังมีขบวนการต่อต้านนาซีอยู่ในโลกนี้จริงๆ
            "แต่ตอนนี้ พวกเขาคงรู้แล้วละ ว่า เบอร์สกี้คือลูกยิว..เพราะว่าพวกเกสตาโปเริ่มออกตามหาตัวเขาแล้วละ"
            "โอย..แย่แล้ว"  ฉันรู้สึกใจหายวูบ

            

            "แต่..ฉันหาทางออกไว้แล้วละ พ่อได้ซื้อร้านเล็กให้ฉันร้านนึงจากชาวยิวสำหรับทำการค้าแบบขายของที่ระลึก กระจุกกระจิกอะไรอย่างนั้น..ซึ่งมีสิทธิที่จะจ้างนักบัญชีมาช่วยงาน   ฉันก็เลยจะจ้างเบอร์สกี้นี่แหละ"
            "แต่มันเสี่ยงมากนะ คริสตัล เดี๋ยวพวกนั้นก็แห่กันมาที่ร้านเธอหรอก"
            "พวกเขาเคยมากันแล้ว..และบอกให้ฉันไปรายงานตัวที่สำนักงานเกสตาโปในวันพรุ่งนี้" คริสตัลตอบหน้าตาเฉย..
            "อย่าไปเลยนะ..อย่าไปเสี่ยงเลย คริสตัล..เธอเป็นอารยัน จะไปไหนก็ไปได้ น่าจะออกไปนอกประเทศ ไปให้พ้นๆจากวงจรนาซีนี่เถอะ" ฉันรีบเตือนด้วยความเป็นห่วง
            "พ่อกำลังจะไปทำงานในหน่วยการสร้างเครื่องต่อสู้อากาศยานที่มุนสเตอร์  
            แต่ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ อีดิธ"

            การที่คริสตัลจะไปที่สำนักงาน Brown House ฉันไพล่ไปนึกถึงเมื่อตอนที่ฮันซี่ น้องสาวถูกพวกเกสตาโปจับไปนั่งทรมานให้เย็บกระดุมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
            แต่คริสตัลกลับไปเป็นทุกข์เป็นร้อนเลยสักนิด..เธอว่า
            " อีดิธที่รักจ๋า..ขอยืมเสื้อสีเหลืองที่มีลายปักเป็นรูปนกไปใส่หน่อยนะ..รับรองน่า ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย"

            วันรุ่งขึ้น คริสตัลเฉิดฉายในเสื้อสีเหลืองตัวสวยด้วยฝีมือตัดเย็บของแม่ฉัน  ซึ่งเธอสวมใส่ได้อย่างพอดีตัว ปากทาด้วยสีแดงสวย ขนตาถูกปัดให้เป็นสีเข้ม
            เธอเดินกระโปรงบานพริ้วไปตลอดทางจนถึงสำนักงานเกสตาโป ที่เมื่อไปถึง..เหล่าผู้ชายที่นั่น ต่างพากันชะเง้อคอยาวข้ามเคาน์เตอร์มาคอยสบตากับสาวงาม คริสตัล

            ผู้กอง..คนที่เป็นเจ้าของเรื่อง ออกมาต้อนรับแบบแสร้งทำท่าขรึม
            "คุณเดนเนอร์.. คุณมีลูกจ้างที่มาทำบัญชีให้ที่ร้าน ตอนนี้เขาไปที่ไหนเสียล่ะครับ.."
            "อ๋อ..พนักงานทำบัญชีของดิฉันน่ะหรือคะ..ตอนนี้ยังอยู่ในการเดินทางไปหลายที่น่ะค่ะ เพราะเพิ่งส่งโปสการ์ดมาให้ฉันนี่เอง"
            "ถ้ากลับมาเมื่อไหร่..ให้มารายงานตัวที่นี่นะครับ"
            "ได้เลยค่ะ ดิฉันจะให้เขามาทันที"
            ว่าแล้ว..เธอก็ยิ้มหวานปานหยดให้กับผู้กองหนุ่มนั่น ผู้ซึ่งจับมือเธอขึ้นไปจุมพิตเบาๆและขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงกาแฟ ซึ่ง เธอมิได้ปฏิเสธ
            "ว่าอะไรนะ..เธอไปออกเดทกับพวกเกสตาโปเชียวหรือ?"  ฉันเอะอะลั่น
            "แหม..มันก็แค่เลี้ยงกาแฟน่ะ จะเป็นไรไป.." คริสตัลรีบอธิบายต่อว่า
            "ขืนไม่ไปซิ..จะได้มีพิรุธเป็นที่สงสัยแย่..แต่อีตาผู้กองนั่น ก็ขอนัดเจอครั้งต่อไปนะ ฉันเลยตัดบทบอกไปว่ามีแฟนเป็นทหารอยู่แนวหน้าเหมือนกัน  และ ไม่อยากทำอะไรให้คู่รักไม่สบายใจ"
            คริสตัลยิ้มยียวนแบบผู้ชนะ..พร้อมกับทำท่ากรีดกรายส่งเสื้อตัวสวยนั่นคืนมาด้วยมาดราวกับดาราฮอลลีวูด
            เพราะด้วยฝีมือของสาวน้อย.. เบอร์สกี้จึงเป็นยิวที่โชคดีที่สุดในโลก เพราะเขานั่งทำงานอย่างสบายใจในใต้ถุนร้านของเธอ

           

            เปปปิแวะมาเยี่ยมทุกวันหลังจากเลิกงาน..   เขาได้งานทำที่ศาลในตำแหน่งเสมียนพิมพ์งาน  ซึ่งกว่าจะเดินมาถึงซึ่งใช้เวลากว่า สี่สิบห้านาทีก็ปาเข้าไปทุ่มนึง
            และเขามักจะวางนาฬิกาไว้บนโต๊ะ
            เพื่อที่จะได้ไม่ลืมที่จะออกเดินทางกลับบ้านในเวลา สามทุ่มสิบห้า เพื่อจะได้ถึงตามเวลาที่แอนนากำหนดไว้ให้คือ ต้องกลับบ้านเวลาสี่ทุ่มตรง..

            ความรักของเราทั้งสองไปไหนไม่ได้ไกล นอกจากการเดินออกไปนั่งคุยกันที่สวนสาธารณะ หรือ แอบไปพรอดรักกันบ้างในแฟลตของเขา..
            แต่ในบ่ายวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังจะมีความสัมพันธที่ลึกล้ำ เสียงเอะอะมาจากห้องชั้นล่าง..ที่มีเสียงของหญิงได้ร้องรำพันออกมาด้วยความเจ็บช้ำว่า
            "อย่าเอาเขาไปเลยค่ะ...ได้โปรด เขาไม่มีความผิดอะไร..กรุณาเถิดค่ะ"
            แต่..ไม่มีผลอันใด นอกจากเสียงฝีเท้าคนหลายๆคนที่กำลังเดินขึ้นลงบันได..เข้าทำการจับกุมผู้คนในอาคารนั้น..
            ทั้งฉันและเปปปิ ..ต่างเต็มไปด้วยความหวาดผวา อารมณ์รื่นในรสกามา..เหือดหายไปสิ้น..
            วันรุ่งขึ้น..เปปปิไม่ได้ไปทำงาน..และไม่ไปปรากฏตัวอีกเลย ไม่ใช่เพราะว่าถูกไล่ออก แต่..เป็นเพราะต้องหยุดไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ดังเช่นพวกครึ่งยิว ค่อนยิวทั้งหลาย..

            เปปปิอยู๋ในฐานะที่ลำบาก..เพราะ
            ไม่สามารถที่จะได้รับบัตรปันอาหารสงเคราะห์ยิว..เพราะ ตอนนี้เขาไม่ใช่ (ตามเอกสาร)
            และไม่สามารถไปรับบัตรปันส่วนของฝ่ายอารยัน..เพราะ..ถ้าไป..ก็จะถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร
            แอนนา..ต้องไปสบถสาบานไฟแลบกับเจ้าพนักงาน ว่า เธอสูบบุหรี่จัดมาก เพื่อที่จะได้โควต้าเพิ่ม (เอาไปเผื่อลูก)

            กลางวันเขาจะไปนั่งเงียบๆตามปาร์คโดยไม่ทำตัวให้เป็นที่สนใจใดๆ
            ส่วนเวลาว่างทั้งหมด เขาใช้มันไปหมดไปโดยการร่างบทบัญญัติรัฐธรรมนูญให้กับออสเตรียเอาไว้ใช้
            ในอนาคต..ยามที่ปลอดยุคนาซี

            น่าตลกดีไหม..แฟนฉัน..พ่อนักปราชญ์เปปปิที่บังอาจร่างตัวบทกฏหมายว่าด้วยรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองประเทศ..ทั้งๆที่ยังไม่รู้สถานะของตัวเองซะด้วยซ้ำว่าเป็นราษฏรเต็มขั้น หรือ ครึ่งขั้น หรือ ยังมีสิทธิในการเป็นพลเมืองเหลืออยู่กับเขาหรือเปล่า..?

           

            ปี 1939 เยอรมันบุกโปแลนด์ อันเป็นเหตุให้ฝรั่งเศสและอังกฤษประกาศสงครามตูมขึ้นมา.
            .พวกเราต่างยินดีกันเป็นอย่างยิ่ง เพราะคิดว่า อย่างไรเสียในที่สุด ก็จะต้องมีคนมาต่อต้านนาซีอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
            ฉะนั้น..การที่ยังคงอยู่ในเวียนนาก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะอีกหน่อย ฮิตเล่อร์ก็ต้องล้มหายตายจากไป

            แต่..ใครเล่าจะไปรู้ว่า..พอสงครามเกิดขึ้นมา..ช่องทางที่จะสามารถออกสู่ประเทศอื่นๆต่างถูกปิดตายไปจนหมด
            คนแก่และคนป่วย(ยิว)ต่างหมดทางที่จะอยู่รอดไปได้ อย่างรายของ
            คุณนาย Liebermann ภรรยาหม้ายของศิลปินภาพวาด(เยอรมัน-ยิว)ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง  Max Liebermann ยอมปลิดชีพของตัวเองในวันที่เกสตาโปบุกไปจับ..

 

            

 

 

หนึ่งในงานศิลปของ Max   

            ญาติของฉัน คุณตาหมอ Ignatz Hoffman  ที่เป็นลุงของแม่  แกแต่งงานใหม่กับหญิงที่มีอายุน้อยกว่ามาก และอยู่กันอย่างมีความสุขมาตลอด
            และก่อนที่เกสตาโปจะไปจับ..คุณตากลืนยาพิษฆ่าตัวตาย และก่อนตายได้บอกให้เมียหนีไปให้เร็วที่สุด ไม่ต้องเป็นห่วงคนแก่อย่างแก..
            และ..เธอก็หนีรอดออกไปได้จริงๆ พร้อมกับสมบัติที่มีค่า

            พวกยิวที่มีพื้นฐานมาจากโปแลนด์ในเยอรมันและออสเตรีย ถูกส่งตัวกลับไปยังภูมิลำเนาเดิม..ผู้หญิงแก่ที่อยู่ร่วมห้องกับเราสองคน ต่างก็มาลาเพราะจะโดนส่งตัวกลับ
            เราได้ส่งพัศดุไปให้พวกเขาตามที่อยู่ในโปแลนด์ที่ได้ให้ไว้ โดยผ่านศูนย์สงเคราะห์ยิวในกรุงวอซอว์
            แต่..พัศดุ ได้ถูกส่งกลับ เนื่องจาก เป็นการผิดกฏหมายที่จะส่งของให้ชาวยิว..
            เราได้รับคำแนะนำจากเพื่อนบ้านว่า..ให้เขียนที่อยู่ผู้รับเป็นภาษาโปลิช  
            และ..พัศดุนั่นได้ถึงมือผู้รับจริงๆ อย่างน่าอัศจรรย์นัก

          

            ต่อมา..เราเริ่มขาดการติดต่อในระหว่างเพื่อนและญาติพี่น้อง เพราะดูเหมือนต่างคนเริ่มล่องลอยหายไปจากพื้นดินราวกับโลกหมดแรงดึงดูด
            หรือ ไม่ก็ถูกสูบหายไปในดิน..ตามรอยเท้าของทัพของนาซีที่เดินหน้าไปในยุโรปอย่างไม่หยุดยั้ง..

            น้ามาเรียนส่งข่าวมาบอกว่า เธอและสามีกำลังจะย้ายไปอยู่ในอิตาลี..
            น้าริชาร์ดและเมีย..ส่งโปสการ์ดมาจากเมืองจีน..
            น้องฮันซี่, มิมี่ และ มิโล..ต่างเดินทางถึงปาเลสไตน์อย่างปลอดภัย
            แมกซ์ สเตอร์นบาช ญาติของเรา..เป็นศิลปินมือหนึ่งที่จบจากวิทยาลัยศิลปแห่งเวียนนา( ที่ฮิตเล่อร์พยายามสอบเข้าถึงสองครั้งแต่ไม่ผ่าน)
            ได้เดินทางข้ามเขาหนีไป เราหวังว่า ป่านนี้เขาคงเอาตัวรอดไปถึง สวิตเซอร์แลนด์

            ส่วนฉัน..ได้ขอยืมเสื้อตัวสีม่วงสวยของคริสตัลไปใส่ถ่ายรูป เพื่อที่จะได้ให้เปปปิเก็บไว้ดู เพราะสังหรณ์ใจว่า..จากนี้ไปเราคงหาโอกาสพบกันยาก..หรือ อาจต้องแยกจากกัน
            แต่เปปปิก็ยังเชื่อมั่นว่า มันคงไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น..
            ทั้งๆที่ ตัวอย่างก็มีให้เห็นๆคือ ออตโต ออนเดรจ สามีของเยาท์สกี้ ที่ หายไปในแนวหน้าไม่มีใครได้ข่าวคราว
            เขาไม่ได้รู้ได้เห็นซะด้วยซ้ำ ว่า เยาท์สกี้ได้ลูกชายและตั้งชื่อว่า ออตโต..ตามพ่อ

            ความหวังของฉัน เหลือเพียงอย่างเดียว คือ รอให้เยอรมันพ่ายแพ้ในสงครามครั้งนี้  ขอให้ฝรั่งเศสสู้รบอย่างแข็งขัน หรือ ขอให้อิตาลีเข้าร่วมกับอังกฤษ
            หรืออเมริกาโจนเข้ามาร่วมรบ..เพียงแค่นั้น..เยอรมันก็ต้องแพ้อย่างแน่นอน

            

            แต่วันหนึ่งของปี 1940 ..ในขณะที่ฉันและเปปปิกำลังเดินเล่นเลียบแม่น้ำดานูป เสียงใครคนหนึ่งตะโกนข้ามฟากมาจากอีกฝั่งหนึ่งไกลๆว่า..
            "ฝรั่งเศสแพ้แล้ว.."  พร้อมทั้งเสียงไชโยโห่ก้องของประชาชนที่เต็มไปด้วยความปิติในชัยชนะของเยอรมันดังขึ้นมาอย่างอื้ออึง

            ฉันกลับรู้สึกหมดแรง  สิ้นหวัง..ท้องใส้พลอยปั่นป่วนไปหมด ..หายใจขัด แขนขาหมดเรี่ยวแรงที่จะเดินต่อไป..
            เปปปิต้องเดินประคองพากลับจนถึงบ้านเขา และจัดการเอายาระงับประสาทของแอนนามาจับกรอกปากฉันหนึ่งเม็ด พร้อมทั้งเฝ้าดูว่าฉันได้กลืนมันลงไปอย่างไม่มีตุกติก

            ในยามต่อมา ที่ อิตาลีร่วมประกาศสงครามกับฝรั่งเศสและอังกฤษนั้น..ฉันคว้ายานี่มากลืนกินเองเชียว..โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ เพราะ ความรู้สึกได้บอกกับตัวเองว่า
            อนาคตของเราได้หมดสิ้นแล้ว..เราถูกปิดตายอยู่ในอาณาจักรเผด็จการของฮิตเล่อร์อย่างไม่มีทางรอด..

            เปปปิ..ไม่ยอมสิ้นหวังเหมือนอย่างฉัน..เขายังคงสม่ำเสมอต่อเรา อีกทั้งน้ำใจในการแบ่งปันอาหารจากฝ่ายอารยัน เช่น กาแฟ เนยแข็ง หนังสือ มีมาให้อย่างเป็นประจำ


            ในขณะที่ ชาวยิวที่ได้หนีหลุดรอดเงื้อมมือของนาซีไปได้ จำนวน 100,000   ถึง  185,000  อันเป็นเหตุให้นาซีได้ออกกฏมาใหม่ว่า ชาวยิวในออสเตรียจะต้องมีการขึ้นบัญชี
            โดยการเอาปืนมาจ่อบังคับให้ไปรวมตัวกันที่จตุรัสกลางเมือง  แบ่งตามวัน..ตามตัวอักษรนามสกุล  เช่น..วันนี้ F พรุ่งนี้..คือ G
            และ มาถึง  H   ก็คือวันที่ 24 มิถุนายน 1941
            ฉันและแม่..ไปยืนเข้าแถวตั้งแต่เช้า  ใครที่เป็นลมเราก็ช่วยกันพยุง..พาไปเข้าร่มให้พ้นแดด..
            เกสตาโปขับรถบรรทุกเวียนไปเวียนมา พร้อมกับปากกระบอกปืนที่จ่อมาทางพวกเรา  
            คนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถ..มากระทุ้งแม่และฉัน พร้อมทั้งบอกว่า
            "ไป..ไปขึ้นรถ"
            "ไปไหน..ไปทำไม"  เราถาม
            "ไม่ต้องมาถามคำถามโง่ๆ..ไปอียิว..ไปขึ้นรถ"  เสียงมันสำราก
            เราทั้งสองขึ้นไปบนรถบรรทุกนั่น..ฉันจับมือแม่ไว้แน่นอย่างไม่ยอมปล่อย และมันได้พาเราไปที่ทำงาน ที่มีพวก SS ส่งเอกสารมาให้ตรงหน้า พร้อมกับยื่นปากกา บอกว่า
            "แกทั้งสองต้องออกไปทำงานในไร่  ลงชื่อรับรู้ซะ"
            เท่านั้นเอง..เลือดแห่งความเป็นนักกฏหมายของฉันก็ฉีดพล่านไปทั่วร่าง..การโต้แย้งเพื่อหาทางออกได้เกิดขึ้น ฉันชี้ไปที่แม่ก่อนที่จะร่ายวาจาออกมาว่า
            "หญิงชราคนนี้ไม่ควรจะมาที่นี่.." พูดพลางก็ดันตัวแม่ไปยืนข้างหลัง..
            "เพราะเธอไม่ใช่ชาวเวียนนา อีกทั้งไม่ใช่ยิว แกเป็นแค่อดีตลูกจ้างของฉันที่มาเป็นเพื่อนเท่านั้น.."
            "ไม่ต้องพูดมาก..เซ็นชื่อซะ"  
            "ดูซิ..แกก็แก่ปานนั้น จะเอาไปทำงานในไร่ได้อย่างไร  แถมเป็นโรคใขข้อด้วย..ทำงานไม่ได้หรอก ถ้าพวกคุณอยากได้คนทำงานนะ ไปเลือกเอาซิที่แถวนั่นน่ะ
            มีน้องสาวของฉันอยู่ชื่อว่า เกรสเช่น..อายุแค่ 22 แข็งแรง ทำงานเก่งยังกะอะไรแน่ะ..ยิ่งเรื่องงานในไร่นี้ถนัดมาก..ไปดูซิ"
            ฉันเริ่ม"มั่ว"ในข้อมูลเพื่อให้พวกเขาเบนความสนใจไปจากแม่.
            "เอาละ..เอาละ..เลิกพูดซะที..หุบปาก  ยายแก่แกไปได้แล้ว.." ว่าแล้วเจ้าหมอนั่นก็คืนอิสรภาพให้กับแม่..ส่งตัวเธอกลับออกไปข้างนอก
            ส่วนฉัน..เซ็นชื่อลงไปในกระดาษนั่นอย่างไม่มีเงื่อนไข..
            ในนั้นคือ สัญญาการส่งตัวออกไปทำงานในไร่ที่ตอนเหนือของเยอรมัน และถ้าฉันไม่ไปปรากฏตัวที่สถานีรถไฟในเช้าวันรุ่งขึ้น
            นั่นหมายถึงการได้รับโทษขึ้นสูงสุด
            คืนนั้น..ฉันและแม่นอนกอดกันร้องไห้จนรุ่งสาง...

            "หกอาทิตย์เองนะแม่จ๋า..แค่หกอาทิตย์...แล้วหนูก็จะได้กลับมาบ้าน  บางทีตอนนั้นอเมริกาอาจจะเข้าร่วมในสงครามแล้วก็ได้นะแม่.."  
            ฉันพร่ำบอกแม่ในขณะที่กำลังจัดกระเป๋าเดินทางที่มีเพียงใบเดียวกับย่ามที่ใช้สะพายติดตัว  แม่บรรจุอาหารเกือบทุกอย่างที่เรามีในบ้าน..ให้ฉันเอาติดตัวไป

            เปปปิและแอนนาไปส่งฉันที่สถานีรถไฟ..ท่าทางเขาเคร่งขรึม..แต่ยังอ่อนหวานอย่างเช่นเคย..
            เราทั้งสองเดินกุมมือกันไปอย่างเงียบงัน  แต่คนเดียวที่พูดไม่หยุด นั่นคือ แอนนา  เธอที่มีทีท่าสดชื่น..พูดได้เรื่อยเจื้อยถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ เธอคงดีใจเสียเหลือเกินที่เห็นฉันจากไปเสียได้
            แม่พยายามยื้อเธอให้ไปอีกทางหนึ่ง เพื่อเปิดโอกาสได้เราได้มีโอกาสร่ำลา ซึ่งฉันยังจำได้ดีถึง  รอยจุมพิตสุดท้ายจากเขาที่ปะปนไปด้วยคราบน้ำตาของเรา

            เสียงหวูดรถไฟดังขึ้น..ฉันรีบหันไปกระซิบปลอบแม่ด้วยข้อความเดิมๆคือ "ในสัญญา..หนูจะไปแค่หกอาทิตย์เองนะแม่จ๋า..เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว แม่อย่าห่วงนะจ๊ะ"

         

            ในรถไฟ..ระหว่างการเดินทางในตู้โบกี้นั้น เต็มไปด้วยหญิงสาวมากมายที่ต่างคนต่างคุยกันจ้อ..  แค่ถึงเมือง Melk .. ฉันก็ได้รู้ไปหมดว่า ใครคลอดลูกยังไง เจ็บท้องอยู่กี่วันกี่คืน..
            และ ตลอดเวลาจะมีหญิงในเครื่องแบบนาซีที่คอยควบคุม..เดินไปเดินมา ท่าทางขึงขังเอาเรื่อง

            พอมาถึงสถานีเมือง Leipzig  พวกเราทั้งหมดถูกต้อนให้เข้าไปในห้อง ที่มีตำรวจสองนายทำการสั่งให้พวกเราเช็ดเครื่องสำอางออกจากใบหน้า  ก่อนที่จะส่งไปขึ้นรถไฟต่ออีกสายหนึ่ง
            คราวนี้ เสียงคุยค่อยเงียบหายไป เพราะทุกคนเริ่มรู้ตัว..และรู้รส แล้วว่า..ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพที่เป็นนักโทษ
            ฉันเลือกที่จะยืนมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง..
            ดูทิวทัศน์ของท้องทุ่ง และ บ้านไร่ที่สร้างเหมือนๆกันไปหมดของประเทศเยอรมันที่เห็นอยู่ตรงหน้า..

            ในที่สุด..ก็ถึง..เมือง Magdeburg  ที่เราต้องลากกระเป๋าลงมาจากบันไดชันๆของรถไฟเอง  และ ยืนออกันอยู่ที่ชานชาลาด้วยความหนาวเหน็บ

       

            พวกเจ้าของไร่..มาถึงท่าทางกร่างแบบพิกลๆ เพราะคงยังไม่คุ้นกับการที่มี"อำนาจใหญ่โต" ขึ้นมาอย่างรวดเร็วเลยยังทำตัวไม่ค่อยถูก..ต่างก็เขม้นมองพวกเราแบบพินิจพิจารณาราวกับว่า พวกเราคือ ม้า หรือ วัว..

            จากนั้น..พวกเขาก็แบ่งเราออกเป็นกลุ่มๆ  เจ้าของไร่เล็กๆ ก็เลือกเอาไปได้สองคน....เจ้าของไร่ที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็เลือกเอาไป แปดหรือสิบคน..
            ส่วนฉันไปกับกลุ่มใหญ่..นั่นคือ กลุ่ม 18 คน  กับเจ้าของไร่  Mertens ใน Osterberg
            ซึ่งจัดว่าเป็นไร่ใหญ่มาก มีเนื้อที่ถึง 600 morgens
            ( คำว่า morgen แปลว่า เช้า หรือ morning ในภาษาอังกฤษ ซึ่งเยอรมันได้จัดแบ่งเป็นอัตราของที่ดิน โดยวัดจากความสามารถของชาวไร่ที่สามารถไถดินได้ในหนึ่งเช้า..จำนวนพื้นที่ที่ไถได้นั้น นับว่าเป็น หนึ่งมอร์เกน)
            ไร่นี้..มีม้าตัวใหญ่ห้าตัว..มีบ้านหลังใหญ่ของเจ้าของไร่หนึ่งหลัง(ที่พวกเราไม่เคยเข้าไป)  โรงนาหนึ่งหลัง และ โรงนอนของพวกเรา
            เจ้าของคือ คุณนาย Mertens วัยยี่สิบเศษๆ ที่สามีได้ออกไปรบในแนวหน้า  และคุณนายเองก็เชื่อในคำพูดของนายเกิบเบิลส์ที่ได้ออกโคสะนาปาวๆว่า
            "พวกยิวเป็นชนชาติที่น่าเกลียด น่าขยะแขยง  เลวร้าย สกปรกโสโครก ขี้ขโมย"
            แต่พอมาพบกับพวกเราจริงๆเข้า..คุณนายก็ต้องพบกับความประหลาดใจ  ที่เห็นสาวยิวรู้จักมารยาทเป็นอย่างดี ทุกคนรู้จัก ใช้คำว่าขอโทษ และ ขอบคุณ..

            วันรุ่งขึ้น..คือวันที่พวกเราจะต้องออกไปทำงานในไร่ของเธอ...



            เคยเลยที่จะมีครั้งไหนในชีวิต..ที่ฉันต้องทำงานหนักอย่างแสนสาหัสเช่นนี้มาก่อน
            เราทุกคนต้องออกไปในไร่ ตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงเที่ยง พักหนึ่งชั่วโมง  จากนั้น ก็ต่อไปจนถึงหกโมงเย็น  
            อาทิตย์ละหกวัน หยุดวันอาทิตย์
            งานของเราคือ ปลูกถั่ว ต่อด้วยหัวบีต  ต่อด้วยมันฝรั่ง และ ตัดหน่อไม้ฝรั่ง (แอสปารากัส)  ซึ่งการตัดหน่อของมันนั้น ต้องคุกเข่าไปกับพื้น และต้องก้มตัวลงไปจนชิด เพื่อที่จะใช้มือล้วงลงไปในดิน
            จนรู้สึกถึงโคนอ่อนแล้วจังใช้มีดแซะขึ้นมา..เสร็จแล้วก็ต้องกลบดินให้คืนดังเดิม ซึ่งวันๆนึงต้องทำซ้ำกันเป็นพันๆครั้ง..
            ฉันรู้สึกปวดตามข้อกระดูกแทบทุกชิ้นในร่างกาย  กล้ามเนื้อเขม็งตึง หลังไหล่ร้าวไปหมด

            ผู้คุมคนงานจอมเฮี๊ยบที่คอยจี้เร่งพวกเรา นั้นชื่อว่า  
            นายเฟรชเนอร์  ที่มีร่างผอมเกร็ง  ลุกลี้ลุกลน   แต่งตัวราวผู้ดีที่ใส่เสื้อขาวสะอาดสะอ้าน หมวกแก๊ป และ เสื้อกั๊กพร้อมเสื้อนอก..
            แต่..ท่าทางแล้งน้ำใจอย่างเห็นได้ชัด วันๆเขาจะยืนคอยกวาดสายตาดูการทำงานแบบไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
            เมื่อตอนที่ไปเซ็นสัญญา ..ฉันได้รับทราบว่าการมาทำงานครั้งนี้จะเป็นเวลาเพียงแค่ หกอาทิตย์  แต่เมื่อมาได้ยินพวกผู้หญิงที่คุยๆกันบนรถไฟ.. เขาว่าจะเป็นสองเดือน
            แต่พออีตาเฟรชเน่อร์ได้ยิน คำว่า สองเดือน เขาถึงกับหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่  กรีดเสียงแหลมเล็กออกมาว่า
            "มันก็แล้วแต่นะ..ว่า..ใครทำงานให้ใคร..ยิวอย่างพวกแกก็ต้องมาเป็นทาสเรา ทำงานให้เรา อีกหน่อย ทาสฝรั่งเศสก็ต้องมา และ ทาสอังกฤษก็กำลังจะตามมาอีกไม่นานนี้  
            ทาสก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชาตินั่นแหละ...ข้องใจม๊ะ?"

            งานต่อไปของฉันคือต้องไปขุดดินในหลุมขนาดใหญ่ ที่ไม่ว่าจะพยายามขุดลึกไปลงไปข้างล่างแค่ไหน ดินที่ร่วนซุยข้างบนก็หล่นลงมาทับถมกลับคืน..จนฉันดูเหมือนกับจะถูกฝังทั้งเป็น
            นายเฟรชเน่อร์ที่ยืนดูอยู่ ถึงกับตะโกนด่าออกมาด้วยความขัดใจ  "อียิวหน้าโง่..โง่บัดซ...ทำงานไม่เข้าเรื่องเลยนะแก..เร่งมือเข้าหน่อย"
            ฉันปล่อยโฮออกมาด้วยความน้อยใจและเคืองแค้นในโชคชะตา..
            ฉันปล่อยให้น้ำตาเจ้ากรรมนั่นมันไหลออกมาอย่างไม่มีการกลั้นไว้ใดๆทั้งสิ้น ให้มันออกมาให้ท่วมหลุมที่กำลังขุดอยู่นี่
            และ..ถ้าจะจมตายไปกับน้ำตาของตัวเอง..ฉันก็ยินดี !!

            นอนคืนนั้น ..ฉันบอกกับตัวเองว่า จะฮึดทำงาน..จะไม่ยอมให้คนชั้นชาวไร่อย่างไอ้บ้านั่น..มาจิกหัวด่าได้อีก
            และด้วยความอุตสาหะพยายามทุ่มเทกำลังใจและกำลังกายทั้งหมดที่มี อาทิตย์ต่อมา..ฉันกลายมาเป็นหญิงชาวไร่ที่แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
            คราวนี้ ตานั่น..หันไปเล่นงานเชลยหญิงจากรัสเซียแทน..ด่าว่าไม่พอ..เขายังจับหน้าเธอกดลงไปในดินอีกด้วย..

            คุณนายเมอร์เทนเจ้าของไร่ เดินมาดูในบางที และ ทักทายพวกเราด้วยคำว่า "ไฮล์  ฮิตเล่อร์"  และเธอรู้สึกเก้อๆ..เพราะทุกคนได้แต่มองตอบแต่ไม่มีใครปริปากว่ากระไร

            

            ในโรงนอนไม้กึ่งอิฐของเรา มีด้วยกันอยู่ห้าห้อง..รวมทั้งห้องครัวอีกหนึ่ง  ห้องที่ฉันอยู่..มีด้วยกันสี่คน  
            เทลเช่อร์ ที่ค่อนข้างเงียบขรึม
            ทรูด และ ลูซี่ สองสาวนั่นอายุสิบแปดเท่ากัน
            และ ฉันที่ไม่มีใครเชื่อว่า (เกือบ)เป็นบัณฑิต และอายุยี่สิบเจ็ดเข้าไปแล้ว

            ส่วนห้องตรงข้าม..เป็นห้องของสาวหกคน ที่เราเรียกพวกเขาว่า คุณหนูทั้งหก เพราะพวกนั้นเป็นพวกกลุ่มไฮโซมาจากเวียนนา
            และอีกห้องหนึ่งริมทางเดิน..ก็มีอีกหกคน..หนึ่งในนั้นเป็นสาวยิวจากโรเมเนียที่น่าสงสาร เธอเชื่อว่า ฟรีดา  ผมสีดำ..หน้าตาสวยพอใช้   อีกสาวหนึ่ง กำลังท้องสองเดือน
            ส่วนอีกสาวหนึ่ง..ในอดีตเธอเคยทำงานเป็นสาวใช้ให้กับครอบครัวไฮโซ อย่างกับครอบครัวของกลุ่มคุณหนูทั้งหกนั่น..
            เธอจึงเฝ้ามองพวกคุณหนูเหล่านั้นถูกจิกหัวใช้ด้วยความขบขันและสะใจ
            แต่ต่อมา..ก็ไม่มีใครสนใจเรื่องของใครอีกต่อไป.. เพราะ การทำงานราวกับสัตว์แรงงานทำให้ทุกคนเหนื่อยแทบสลบ..  ความแค้นระหว่าง"ชนชั้น"ต้องเก็บเอาไว้ทีหลัง

            เตียงนอนของเราเป็นเหล็กที่ปูด้วยที่นอนยัดฟาง..มีผ้าปูเตียงเป็นตาตารางสีน้ำเงินขาว..ผ้าห่มบางๆคนละผืน ซึ่งฉันต้องใส่เสื้อผ้าทับกันหลายๆชั้น ทั้ง เสื้อ  กางเกง ถุงเท้า
            ก็ยังไม่วายหายหนาว  จนต้องเขียนจดหมายไปหาแม่ และ เปปปิ เพื่อของให้ส่งเครื่องนอนมาเพิ่ม..

         
            ต่อมา..ความอดอยากขาดแคลนก็ได้กระจายมาจนถึงพวกเราในที่สุด  เพราะ ผงกาแฟที่ได้รับแจกนั้น มันกลายเป็น กาแฟเทียม..ที่ทำมาจากข้าวโพดคั่ว..
            ทุกสี่วัน พวกเราจะได้ขนมปังคนละครึ่งก้อน  และอาหารกลางวันคือ  ใข่ต้มคนละฟอง..หรือ ซุปที่ทำมาจากเศษหน่อไม้ฝรั่งในไร่บ้าง หรือไม่ก็เป็น..ซุปเศษมันฝรั่งต้มบ้าง
            คืนไหนที่โชคดี พวกเราอาจได้รับข้าวโอ๊ตต้มกับนม
            ฉันพอได้อาศัยพัสดุจากแม่..ที่มักจะมีขนมเค้กซุกซ่อนมาให้ หรือ สิ่งที่วิเศษสุดและหายากที่สุดในโลก นั่นก็คือ แยมผลไม้..

            นางเฟรชเน่อร์ ภรรยาของตาผู้คุมนั่น  ช่างวางอำนาจได้อย่างไม่มีใครเกิน   ก่อนที่พวกเราจะเดินเรียงแถวออกไปทำงาน  หล่อนมักจะตะโกนอ่าน
            "กฏข้อบังคับชาวยิวในการทำงานของไร่" กรอกหูให้ฟังทุกเช้าที่เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
            "พวกแรงงานยิวทุกคนที่อยู่ที่นี่..ต้องอยู่ในความดูแล และรับผิดชอบของนางเฟรชเน่อร์...คือ ฉันเอง.." ต่อด้วย
            "ทุกเช้า..ก่อนออกไปทำงาน  ทุกคนต้องทำความสะอาดห้องนอน ทำเตียงให้เรียบร้อย ห้องน้ำต้องสะอาดเอี่ยม   คนที่มีอายุมากที่สุดต้องรับผิดชอบความสะอาดในห้องนอน ..นั่นคือ เธอ"
            ว่าแล้ว หล่อนชี้นิ้วมาที่ฉัน..ต่อด้วย
            "การกินอาหารต้องกินในห้องโถงเท่านั้น..ห้ามนำเข้าห้องนอนเป็นเด็ดขาด  การทำความสะอาดเสื้อผ้าต้องไปที่ห้องซักรีดเท่านั้น...บุหรี่คือของต้องห้าม  ห้ามออกไปนอกบริเวณฟาร์มนอกเหนือจากที่กำหนด
            ห้ามไปในสถานที่เริงเรมย์ เช่น ดูหนัง ดูละคร  ใครจะซื้อของใช้ส่วนตัว..ต้องได้รับการอนุญาตและตรวจสอบ โดยผู้จัดการ..คือ ฉัน"
            นั่นหมายความว่า..ไม่ว่าจะเป็นยาสีฟัน  เกลือ หรือ ผ้าอนามัย พวกเราทุกคนต้องได้รับการอนุมัติจากหล่อนเสียก่อน..


            และ..กฏต่อมามีว่า..
            "การที่จะไปในเมือง..ทำได้ในวันเสาร์ เวลา 19.00-21.00  และ วันอาทิตย์ 14.00-18.00  และการเดินต้องเดินเป็นกลุ่ม  กลุ่มละสามคนอย่างน้อย  และจำไว้ด้วยว่า บางถนนพวกแกจะไปไม่ได้
            หรืองานต่างๆในเมือง Osterberg  ก็ห้ามเด็ดขาดเช่นกัน ..เดินไปแล้วก็ต้องเดินกลับ จำไว้นะ"

            ก็เข้ามาตรวจตราพวกเราถึงไร่บ่อยๆ พร้อมทั้งขู่ฟ่อว่า..ถ้าก่อความเดือดร้อนเมื่อไหร่ จะจับเข้าคุกทันที..
            ซึ่งเป็นข้อความที่น่าขำกลิ้ง..เพราะกว่าพวกเราจะทำงานเสร็จก็เหนื่อยจนแทบคลานขึ้นเตียง จะเอาสมองและพลังงานที่ไหนไป"ก่อความเดือดร้อน" ให้ใคร
            ตำรวจจะเอาป้ายห้ามต่างๆมาติดประกาศ ซึ่งมันไม่มีอะไรใหม่สำหรับพวกเรา เพราะ ข้อความที่ว่า
            ห้ามเข้าโรงเต้นรำ ห้ามเข้าโรงภาพยนตร์ ห้ามดื่มเบียร์ในคาเฟ่ ...แต่ คุณนายเฟรชเน่อร์ได้มาบอกกฏใหม่ให้ทราบ..นั่นคือ  Rassenschande
            กฏหมายแห่งความเหลื่อมล้ำ กดขี่ในชนชั้นอันใหม่คือ
            ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างยิวและเยอรมันใด..โทษนั้นคือ ติดคุกสถานเดียว

            สภาพของการทำงานในไร่..ที่ไม่ว่าจะเจ็บป่วยอย่างไรก็ต้องทำ  ใช้เป็นข้อแก้ตัวไม่ได้..
            นั่นคือ หญิงคนที่กำลังตั้งครรภ์นั้น รู้สึกแพ้ท้องจนทำงานแทบไม่ได้ เธอขอพัก ลาป่วย
            หมอเข้ามาตรวจ บอกว่า..ไม่ได้เป็นอะไร..ไม่อนุญาตให้พัก ..เธอต้องออกไปทำงาน ..อ้วกไปด้วยทุกเช้า
            ในที่สุด..คณะจากกรมแรงงานในชุดเครื่องแบบของนาซี ได้เข้ามาดูอาการ และ อนุญาตให้ไปพักผ่อนได้ แต่ไม่ใช่ให้กลับบ้าน... หากแต่ส่งเธอไปยัง...(ค่ายนรก)โปแลนด์

         

            ส่วนฟรีดา..บอกกับนางเฟรชเน่อร์ว่า เธอปวดฟัน..และ ได้ส่งไปหาทันตแพทย์ ที่ถอนฟันของเธอออกถึง 10 ซี่ แทนที่จะเป็นซี่เดียวที่ปวด
            และให้พักเพียงวันเดียว จากนั้น เธอต้องกลับไปทำงานในไร่ทั้งๆที่เลือดยังกลบปาก..
            ฟรีดาผู้น่าสงสาร เธอมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้นเอง..!!

            ตลอดฤดูใบไม้ผลิ..ที่เราต้องคลานไปตัดหน่อไม้ฝรั่งจนปวดนิ้วทุกนิ้วเหมือนกับว่ามันหักละเอียดไปในทุกข้อ
            หลังค่อมจนยืนตรงไม่ได้ เพราะว่า การเพิ่มชั่วโมงทำงาน
            จาก อาทิตย์ละ 56 มาเป็น 80  เพราะ ต้องให้เสร็จตามกำหนดก่อนสิ้นฤดูกาล และต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่ ไปจนถึง หกโมงเย็น
            และหนทางแก้แค้นอย่างเดียวที่พวกเราทำได้นั่นคือ..การตัดหน่อไม้ฝรั่งแบบทำลายถึงราก..ไม่ให้เหลือไปผลิขึ้นไปปีต่อไป

            ครั้งหนึ่ง..หลังจากที่สภาพร่างกายของฉันมันล้าจนแทบสู้ไม่ไหว..หัวเข่าบวมเป่ง  เสื้อผ้ารุ่งริ่งเต็มไปด้วยโคลน..ฉันได้เขียนจดหมายไปถึงเปปปิสุดที่รักว่า
            "ถ้ากลับในเวียนนาแล้วต้องโดนฆ่าตาย..ยังจะดีกว่า..มาค่อยๆจมตายในโคลนไปทีละนิด ทีละนิด อย่างที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้"
            แต่แล้ว..ฉันก็นึกละอายแก่ใจที่ได้เขียนบ่นไปเช่นนั้น เพราะในสถานะการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครอยู่ดีไปกว่าใคร เพราะจะว่าไป ที่บ่นไปนั่นคือ การที่ต้องทำงานแต่เช้า และ คลานขึ้นเตียง
            อันเป็นสิ่งที่คนเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ในยุโรปที่กำลังต้องทำอยู่เพื่อความอยู่รอด..
            หลังจากสิ้นฤดูกาลเก็บเกี่ยว..งานก็น้อยลง  บางคนถูกส่งตัวกลับ แต่..กลุ่มของฉันที่ถือว่าทำงานแข็งขันทั้งหกคน..ต้องอยู่ต่อ !!


            ลมแห่งฤดูร้อนกำลังพัดกรายเข้ามา  ทุ่งหญ้าพริ้วไสวราวกับคลื่นในทะเล  ร่างกายของฉันบึกบึนและแข็งแรงขึ้นอย่างผิดหูผิดตา พร้อมที่จะรับงานใหม่..
            และยังคงส่งจดหมายไปถึงเปปปิสุดที่รัดอย่างไม่เคยขาด เพราะจดหมายคือสิ่งเดียวที่จรรโลงใจ พัสดุคือสิ่งจรรโลงกาย..ให้ฉันมีแรงได้อยู่สู้มาจนถึงวันนี้
            พวกนาซีปล่อยให้พวกเราได้รับพัสดุอย่างไม่หวงห้าม เพราะรู้ดีว่า ยิ่งส่งมา..พวกเราก็ไม่ต้องไปหวังพึ่งอาหารจากเยอรมัน ยิ่งกินก็จะได้มีแรงทำงานให้ยิ่งกว่าทาส

            แต่พวกรัสเซีย พวกโปลิช พวกเซอร์เบียน อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า The Ostrabeiter  คือกลุ่มที่ถูกห้ามไม่ให้เขียนจดหมาย เพราะนาซีเกรงว่า จะเขียนเล่าไปถึงความทารุณโหดร้ายที่ได้รับจากนาซี
            ซึ่งอาจตามมาด้วยการต่อต้านครั้งใหญ่ในอนาคต
            ส่วนฉันเขียนจดหมายถึง..แม่ ถึงเปปปิ ถึงเยาท์สกี้ ถึงครอบครัวเดนเน่อร์ และเพื่อนคนอื่นๆอย่างสม่ำเสมอ บางทีวันละสามฉบับ จนไม่มีอะไรจะเล่า เพราะต้องระวังไม่ให้แม่ไม่สบายใจ
            บางทีก็เล่าไปถึงจำนวนหน่อไม้ที่ตัดได้ในแต่ละวัน  หรือ พรวนดินไปได้ยาวแค่ไหน..
            หรือไม่ก็เล่าไปถึง การ"ค้า"ทาสจากเซอร์เบีย ที่แลกเปลี่ยนกันด้วยเครื่องมือทำไร่เท่านั้น..
            หรือ..เล่าไปถึงว่า นายเฟรชเน่อร์ได้จิ๊กยาสูบไปจากกล่องพัสดุที่เปปปิส่งมาให้ฉัน..ที่ตั้งใจจะเอามาให้นักโทษฝรั่งเศสที่เคยมาช่วยพวกเราทำงานในไร่
            หรือ เล่าไปถึง วิธีการที่สามารถนั่งลงบนก้นในพื้นที่แคบมากระหว่างแถวหน่อไม้ฝรั่งอย่างช่ำชอง ไม่ต้องนั่งยองๆให้ปวดเข่า
            สำหรับเปปปิ...ฉันมักเล่าแต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ...แต่กับแม่..ฉันโกหกเป็นไฟ..!

           

            กับเปปปิ..ฉันเล่าไปว่า  กำลังเป็นใข้หวัดอย่างแรง  กับแม่..ฉันแข็งแรง และสบายดี
            กับเปปปิ..ฉันเล่าว่า..ได้พบกับคุณนาย  แฮคเชค เพื่อนบ้านเก่าแก่ในฟาร์มนี่  กับแม่..ฉันไม่พูดถึงเลย เพราะเกรงว่าแม่จะไปเขียนจดหมายไปหาคุณนายแฮคเชคแล้วจะรู้ความจริงว่า
            ลูกสาวเป็นใข้สูง ทั้งจามทั้งไอ  ผิวหนังเป็นผื่นทั้งตัว..ฟันเริ่มเป็นสีน้ำตาลเพราะขาดสารอาหาร  

            หรือที่ฉัน ฟรีดา ทรูด และ ลูซี่  เดินไปในเมือง
            เด็กๆชาวบ้านได้ออกมาตะโกนด่าว่า  "พวกอียิวโสโครก" หรือ  ร้านค้าไม่ขายของให้กับเรานั้น
            ฉันก็ยังเขียนไปเล่าให้แม่ฟังว่า..ผู้คนที่ ออสเตอร์เบอร์ค ช่างแสนดีและมีไมตรีต่อเราเสียจริงๆ !!

            ฉันพยายามเรียนภาษากับนักโทษจากฝรั่งเศส และ ภาษาอังกฤษจากหนังสือชื่อว่า  McCallum  เพราะ คิดว่าไหนๆร่างกายก็ผอมจนกระดูกแทบออกนอกเนื้อ
            ควรจะหันมาบริหารสมองแทน....ไม่ควรยอมให้ฝ่อไปตามร่างกาย
            พวกเราถูกตัดขาดจากโลกภายนอก..ไม่เคยอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่เคยฟังวิทยุ
            ฉันได้เขียนจดหมายไปหาเพื่อนเก่า  Zich  ผู้ซึ่งเป็นทหาร(นาซี)  และ เขียนไปถึงแฟนเก่า รูดอล์ฟ กิสคา ที่เป็นทหารนาซีในเชคโก เพียงเพื่อหวังว่าจะได้ทราบข่าวคืบหน้าอะไรบ้าง
            แม้แต่กับเปปปิ ..ฉันก็ถามถึงเรื่องข่าว..ที่ว่า..
            จริงหรือที่  Crete ได้ถูกกลืนไปแล้วโดยนาซี ?
            เพราะฉันแทบทนไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอียิปต์..และภาพชิ้นส่วนของประวัติศาสตร์อันยิ่งยงของมนุษยชาติได้ถูกทำลายไปด้วยปืนบาซูก้า และวัตถุระเบิด  
            ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ว่าสงครามครั้งนี้มีภาพเป็นอย่างไร ทั้งๆที่ ..ข่าวนาซีที่ได้ทิ้งระเบิดในใจกลางประเทศสเปน ผลาญชีวิตคนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เป็นจำนวนมากนั้นก็เป็นความจริง..
            แต่คงเข้าใจนะว่า..ในยามนั้น..ถนนหนทางในเยอรมันเองแท้ๆ ยังมีการใช้รถเทียมม้าวิ่งอยู่เลย..
            ฉะนั้น..คนที่ไม่เข้าใจในสงครามล้างผลาญแบบใหม่อย่างฉันก็คงมีอีกเยอะไป..!!

         




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101901)
avatar
Pim

อยากอ่านตอนต่อไปค่ะ ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านค่ัะ อ่านแล้วสะเทือนใจจริงๆที่คนทำกับคนได้ขนาดนี้

ผู้แสดงความคิดเห็น Pim วันที่ตอบ 2011-11-19 20:40:42 IP : 171.4.162.36



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker