dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก

ขอประทานโทษค่ะ...หายไปช่วงหนึ่ง เพราะตอนนี้ดิฉันมาทำธุระอยู่ที่ฝรั่งเศส..จะอยู่นานไปถึงสิ้นเดือนมกรา...อาจจะมีการล่าช้าบ้างก็ขออภัยตรงนี้เลยนะคะ...

V
V
V
V
    
    ท้ายกระทู้ที่แล้วอีกเช่นกัน..ที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่าจากนี้ไปจะนับสายญาติโดยใช้ความสัมพันธ์กับซาร์องค์ใหม่.. นิโคลาสที่สองหรือ นิคกี้..เป็นหลัก เพราะ..คนเก่งของเรา ท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ มิเกลโลวิช
    ได้กลายสภาพจาก ท่านอา มาเป็น น้องเขยของซาร์ไปแล้ว..


    ถ้าจะโทษใครสักคนที่ทำให้นิคกี้มาครองมงกุฎซาร์แห่งรัสเซีย..ก็สมควรที่จะเป็นความไม่เอาใจใส่ของพวกนางพยาบาล และ ความชุ่ยของแพทย์หลวง
    ที่ทำให้พระโอรสองค์โต อเล็กซานเดอร์ (พี่ชายคนก่อนนิคกี้) สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ยังเล็กๆ ตำแหน่งก็เลยเลื่อนลงมา..

    นิคกี้..เป็นที่รู้กันว่า..เงียบหงิม ขี้อาย ไม่ขี้แย ไม่ชอบเล่น และไม่ค่อยหัวเราะเช่นกัน โตขึ้นมากับในสภาพที่วังที่อึมครึม ห้องที่อับลม เพดานต่ำจนหายใจไม่ออกอย่าง Gatchino
    สิ่งที่นิคกี้เป็น..และรับมาเต็มๆ คือ บุคลิกรวมทั้งหมดของนานาพระอาจารย์
    ไม่ว่าจะเป็น พวกนายพลรัสเชี่ยนที่สอนแต่เรื่องทหาร หรือ พวกพระอาจารย์ชาวสวิสหัวศิลป..หรือ พวกพระอาจารย์ชาวอังกฤษที่ขยันแต่ออกไปปิคนิค
    ทั้งหมดที่เอ่ยมา..ไม่มีความสามารถพอที่จะปั้น"ใคร" สักคนหนึ่งให้ขึ้นมาเป็นซาร์ได้เลย..
    สิ่งที่ถ่ายทอดให้กับนิคกี้นั้น ก็แค่สิ่งที่พวกเขารู้..และสิ่งที่พวกเขารู้นั้น..
    มันช่างน้อยนิดเสียจริง..

    หลังจากเรียนจบ..นอกจากคุณสมบัติที่ได้รับบรรจุเป็นนายทหารในหน่วยฮัสซาร์แล้ว..ความสามารถพิเศษที่มีก็คือ ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันที่ใช้คล่อง นอกเหนือไปกว่านั้น..นิคกี้ช่างมีประสบการณ์น้อยไปเสียทุกด้าน

    ปี 1890 สี่ปีก่อนที่นิคกี้จะได้ครองบัลลังก์ เขาได้ออกท่องเที่ยวเดินทางไปรอบโลกเพื่อออกไปเรียนรู้หาประสบการณ์ชีวิต เรานัดเจอกันที่ Colombo
    (ซีลอน) ฉันได้รับข่าวการมาของเขาขณะที่ล่องไพรอยู่กลางป่าลึก ออกมาเจอกันในสภาพของคนป่าจริงๆ เพราะสามอาทิตย์หนวดเคราไม่ได้โกน
    เรานั่งคุยกันบนดาดฟ้าของเรือ Tamara ที่ฉันเอาของที่"ล่า"ได้มาเรียงอวด
    อาจจะเป็นเพราะบรรยากาศของดงดิบ ที่มีเสียงโหยหวนของฝูงลิงที่แทรกมาเป็นระยะๆ นั้น ทำให้นิคกี้อยู่ในอารมณ์คุยเก่งมากกว่าปรกติ
    เขาบ่นว่าอิจฉาชีวิตฉันเสียจริง..ที่ออกไปทำอะไรที่เสี่ยงๆ ได้ในขณะที่เขาต้องเล่นบทซาเรวิช นั่งๆ นอนๆ อยู่แต่บนเรือพระที่นั่ง..และบ่นว่า
    "การเดินทางของฉันมันน่าเบื่อชะมัด..ซ้ำๆ ซากๆ ..ขึ้นฝั่งก็เจอแต่วัง กับเสนาบดี ไม่ว่าจะเป็นวังที่ไหนไหน ก็เหมือนกันไปหมดแหละ..รู้งี้..นั่งอยู่กับบ้านดีกว่า.."

    วันรุ่งขึ้น..ฉันกลับเข้าป่าเช่นเดิม นิคกี้เดินทางต่อไปญี่ปุ่น..และเท่าที่ทราบ
    ว่าไปโดน"ฟันหัว" จนเลือดโชก ดีที่เจ้าชายยอร์จ (แห่งกรีซ) มาช่วยไว้ทัน
    ไม่งั้นอาจถึงแก่ชีวิต แต่ก็เหลือรอยแผลเป็นไว้รอยใหญ่พอสมควร..
    นี่คือ สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นมาเป็นครั้งที่สองในชีวิตของนิคกี้ นอกเหนือไปจาก
    เหตุลอบปลงพระชนม์ของสมเด็จพระอัยกา

    นิคกี้..ภายในอุ้งพระหัตถ์ของพระบิดาที่แข็งแรงและแข็งแกร่งนั้น ทำให้
    เขาแทบไม่ต้องแสดงความสามารถอะไรเลย เพราะอย่างไรเสียถึงต่อให้มี"แวว" ก็ไม่มีทางที่"ฉาย" ออกมาได้..

    เรื่องแข็งแรงนั้น.. (ขอเล่าซ้ำนะคะ..วิวันดา) ซาร์อเล็กซานเดอร์ได้แสดงความสามารถให้โลกได้ประจักษ์มาแล้วในวันที่ 17 ตุลาคม 1888 ที่รถไฟขบวนพระที่นั่งได้ตกรางจากการก่อวินาศกรรมของฝ่ายต่อต้าน..พระองค์สามารถใช้พละกำลังดันหลังคาโบกี้ไม่ให้ยุบตัวลง เพื่อให้ ซารินา พระโอรส พระธิดาให้คลานออกไปได้อย่างปลอดภัยทั้งหมด..
    จากนั้นมา..ทรงได้สมญาว่า เป็น เฮอร์คิวลิส
    แต่ไม่มีใครทราบว่า นั่นเป็นการสะเทือนไปจนถึงพระวักกะ..จนเป็นเหตุให้สิ้นพระชนม์ในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 1894

    และในวันนั้นเอง ที่ฉันได้เห็นน้ำตาจากดวงตาสีฟ้าของนิคกี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย..ห้องที่ประทับ..เขาเข้ามากอดและร้องไห้..
    "ซานโดร..ต่อไปนี้จะทำกันอย่างไร..เราจะอยู่กันยังไง ทั้ง ฉัน เซเนีย เธอ
    เสด็จแม่..แล้วยังรัสเซียอีกล่ะ..ฉันยังไม่พร้อมที่จะเป็นซาร์เลยนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องไปพูดกับพวกเสนาบดีผู้ใหญ่อย่างไร ซานโดรช่วยฉันด้วยนะ.."

    ฉันทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่าปลอบใจ..พร้อมทั้งให้รายชื่อเหล่าเสนาบดีที่ไว้ใจได้ แต่..รู้ดีอยู่เต็มอกว่า..อุปสรรคข้างหน้านั้น..ใหญ่หลวงนัก

    พระคู่หมั้นอลิกซ์มาจากเยอรมันถึงรัสเซียได้เข้าเฝ้าซาร์ก่อนสิ้นพระชนม์ไม่เท่าไร..การแต่งงานของนิคกี้ก็แสนรีบเร่งหลังจากงานพระศพไปไม่เท่าไหร่
    ช่วงฮันนีมูนของเขาคือ..การเข้าเคารพพระศพวันละสองครั้ง พร้อมกับการรับแขกสองชุด แขกงานมงคล กับแขกงานศพ..

    เอมเปรสองค์ใหม่..พูดภาษารัสเซียอย่างกระท่อนกระแท่นเต็มที..ทำให้ภาพของเอมเปรสทั้งเก่าและใหม่นั้น..ต่างกันสุดโต่ง..
    พระนางมารี..ทรงประทับอยู่ในรัสเซียมานานถึงสิบเจ็ดปีก่อนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นซารินา แต่อลิกซ์ มีเวลาเพียงเก้าสิบหกชั่วโมงที่จะต้องเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรม ประเพณีของเรา.. ไม่นับในส่วนที่จะต้องจำพระประยูรญาติให้ครบทุกพระองค์ด้วย..ดังนั้น..ทุกอย่างจึงน่าสะพรึงกลัวสำหรับเธอพอสมควร
    จนทำตัวไม่ถูก

    แต่ในสายตาของคนภายนอก มักจะใช้วิธีเปรียบเทียบเอาอย่างง่ายๆ ระหว่าง
    สองนางกษัตริย์ แน่นอนว่า เอมเปรสมารี ช่างสดใส..ยิ้มง่าย สวยงาม
    สังคมคล่อง..ในขณะที่อลิกซ์ กลายเป็น เย่อหยิ่ง ชาเย็น...ไม่มีมนุษย์สัมพันธ์


    ก่อนงานฉลองพิธีราชาภิเษกที่จะจัดขึ้นที่ พระอุทยาน Khodynka เพียงไม่กี่วัน..เหตุของมันนั้นนับว่าเป็นปริศนาพอสมควรต่อการสงสัยของเหล่าผู้สื่อข่าวต่างประเทศ..
    เพียงแต่พวกเราเท่านั้นที่รู้ดีว่า..ความผิดพลาดนั้นมาจากการบริหารจัดการที่"มือไม่ถึง" ที่แผนงานนี้ไปอยู่ในมือของเสด็จอาเซอเก ที่มีหน้าที่ประหนึ่งผู้ว่าการกรุงมอสควา ที่ทราบดีล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องมีประชาชนหลั่งไหลเข้ามานับแสนนับล้าน..
    ฉันเคยถามนิคกี้ว่า..
    "ฝ่าบาทแน่ใจหรือว่า..ว่า เสด็จอาทรงเตรียมการพร้อมต่อคนจำนวนมหาศาลขนาดนั้น?"
    "อ๋อ แน่นอน..ท่านทรงทราบดี..ไม่เอาน่า..ซานโดร คิดถึงท่านในด้านดีๆ หน่อยเถอะ."
    "ก็คิดดีแล้วนี่ไง..เพราะกระหม่อมยังจำได้ดีถึงพิธีราชาภิเษกครั้งที่แล้วของ
    พระบิดาของฝ่าบาทที่พระองค์ได้ลงมาควบคุมทุกอย่างด้วยองค์เองอย่างเข้มงวดกวดขัน มันไม่ง่ายเลยนะที่จะแจกจ่ายของชำร่วย และจัดเลี้ยงให้กับคนจำนวนแสนๆ ในที่แคบๆ แบบนั้น.."
    "เอาน่า..ซานโดร เสด็จอาท่านรู้ดีทุกอย่างเท่าๆ กับนายนั่นแหละ หรือ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ" นิคกี้ตอบด้วยเสียงที่เยียบเย็น

    ฉันได้แต่น้อมศรีษะทำความเคารพให้..และเดินออกมาอย่างเงียบๆ

    สองวันแรกของงานก็ดูดี อากาศในฤดูใบไม้ผลิช่างสดใส..ถนนหนทางถูกประดับด้วยริ้วธงสบัดไหว..เสียงระฆังดังไปทั่วเมืองจากโบสถ์กว่าพันหกร้อยแห่งในกรุงมอสควา
    แต่วันต่อมา..ในวันที่เกิดเหตุ ตามรายการ..แจกของชำร่วยคือ สิบเอ็ดโมงเช้า ที่มีผู้คนมาเฝ้านอนคอยปักหลักพักแรมจำนวนมหาศาลล่วงหน้าอยู่แล้ว
    ยิ่งเช้าขึ้นมา ก็มีหลั่งไหลมาเพิ่มอีกประมาณคร่าวๆ ไม่น้อยกว่าห้าแสน
    เนื่องแน่นไปในทุกอณูของเนื้อที่ในเมือง
    ผู้ที่ควบคุมรักษาการณ์มีเพียงตำรวจและทหารหยิบมือเดียว..กับ..เชือกบางๆ ที่ล้อมรอบอุทยานไว้เท่านั้น

    สิ่งที่เสด็จอาเซอเก..ไม่ได้คาดคิดไว้..นั่นคือ..ประชาชนที่หลั่งไหลมานี้ ไม่มีใครยอมที่จะกลับบ้านไปมือเปล่าๆ โดยไม่มีของชำร่วยแห่งประวัติศาสตร์
    ติดไม้ติดมือไปอย่างแน่นอน

    ทันที่ที่สัญญานได้ถูกส่งออกไป ว่าเปิดงาน..ไม่มีใครสนใจที่จะฟังเสียงตะโกนของทหารคอสแซคที่ว่า..
    "ระวัง..ระวัง..พื้นข้างหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อ.." ต่างแย่งกันกรูเข้าไป..
    คนที่ล้มก็ถูกเหยียบข้าม..เหยียบทับกันต่อๆ ไป..

    บ่ายสามโมงที่เราออกตรวจดูโดยรอบพื้นที่ที่เกิดเหตุ..สวนกับรถม้าที่ขนศพคันแล้ว คันเล่า..กองพะเนินเทินทึก กว่าห้าพันที่ที่เสียชีวิต อีกนับหมื่นๆ ที่พิการบาดเจ็บ
    ตำรวจรีบช่วยกันปกปิด หมกเม็ดโดยการเลี่ยงความสนใจซาร์ให้ไปทางอื่น
    เช่นทางเสียงโห่ร้องอวยชัยให้พร..มันช่างทุเรศสิ้นดี

    ฉันและพี่น้องทั้งหมด..เรียกร้องให้ปลดเสด็จอาเซอเกออกจากตำแหน่งโดยด่วน..และขอให้ยกเลิกพิธีการที่เหลือทั้งหมด..
    แต่..พวกกลุ่มเสด็จพระอัยกาและเสด็จอาทั้งหมด "เข้าข้าง" เสด็จอาเซอเก
    พร้อมทั้ง"ใส่ไฟ" ว่า

    "ก็รู้ๆ กันอยู่ ว่า ก๊กมิเกลโลวิชทั้งก๊กนั่น มันหัวรุนแรง..มันชอบพูดเหมือนให้ท้ายพวกก่อการปฏิวัติกันนัก..มันจะมีอะไรนอกจากอยากจะเป็นผู้ว่าการกรุงกันซะเองน่ะซิ.."

    แต่พี่ชายคนโตของฉัน แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาส มิเกลโลวิช..ผู้ที่ติดดินที่สุดได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างกินใจทุกคน..ว่า..
    "จำไว้นะ ฝ่าบาท..เลือดเนื้อทุกหยาดหยดของคนห้าพันคนที่สูญเสียไป
    มันจะเป็นรอยด่างดวงอยู่บนบัลลังก์ของฝ่าบาทตลอดไป..เราไม่สามารถชุบชีวิตพวกเขาให้ฟื้นมาได้ แต่อย่างน้อยเราต้องแสดงความเสียใจและช่วยรับผิดชอบให้กับครอบครัวของเขา อย่าให้ฝ่ายตรงข้ามของเราเอาไปโพนทะนาได้ว่า..ทั้งๆ ที่คนตายขนาดนั้นแล้ว..ซาร์ยังออกไปสำเริงสำราญในงานเต้นรำต่อได้"

    แต่มันก็ไม่มีผลอันใด เพราะ คืนนั้น..ซาร์ก็ยังไปงานราตรีสโมสรที่สถานทูตฝรั่งเศสจัดเลี้ยงเคียงข้างกับเสด็จอาเซอเก..ที่แสนรื่นเริง ยิ้มกว้าง..
    ทักทายใครต่อใครไปทั่วงาน..
    จนเป็นที่กังขาของชาวต่างประเทศที่รู้เห็นเหตุการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่เกิดขึ้นมาว่า..ไอ้พวกโรมานอฟนี่..มันเสียสติกันไปหรือเปล่า..?

    พอฟลอร์เต้นรำได้เปิดขึ้น..เราพี่น้องสี่ชาย..ยอมเสียมารยาท..ตบเท้าหันหลังกลับกันหมด แต่ก็ทันได้ยินเสียงจากเสด็จอาอเล็กซิสไล่หลังมาว่า..
    "ไปแล้ว..ไอ้พวกสาวกของ Robespierre"


    หมายเหตุ..Robespierre โรเบสปีแอร์ ที่เอ่ยถึง คือ Maximilien Robespierre หนึ่งในแกนนำคณะปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส
    เป็นคนที่อ่านคำพิพากษาพระเจ้าหลุยส์ที่สิบหก..ที่ถูกถอดยศมาเป็นสามัญชนในนามของ นาย Louis Capet ก่อนส่งขึ้นสู่แท่นกิโยติน..ดังประกาศให้ทราบทั่วๆ กันถึงความผิดดังนี้ว่า..


    "You have not to pass sentence for or against a single man, but you have to take a resolution on a question of the public safety, and to decide a question of national foresight. It is with regret that I pronounce a fatal truth: Louis ought to perish rather than a hundred thousand virtuous citizens; Louis must die that the country may live."


    ..................................วิวันดา


    ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาและพสกนิกร..กระแสพระราชดำรัสเปรียบประหนึ่ง
    ประกาศิต..แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า..
    ในการครองราชย์สิบปีแรกของซาร์นิโคลาสนั้น ไม่ได้ทำอะไรนอกจาก
    นั่งฟังเลคเช่อร์จากอาทั้งสองคน..ทันที่ที่ประตูห้องทรงงานได้ปิดลงต่อคนภายนอก..สภาพภายในห้องคือ
    นิคกี้จะนั่งหงอยๆ อยู่บนโต๊ะขนาดมหึมา ที่ถูกประกบทั้งสองข้างด้วย
    หนึ่ง คือ เสด็จอาอเล็กซิส ร่างอ้วนใหญ่ ในชุดแม่ทัพเรือเต็มยศ น้ำหนักกว่าสองร้อยห้าสิบปอนด์ ที่ตบโต๊ะแต่ละครั้ง..สะท้านสะเทือน     

    อีกหนึ่ง คือ ท่านอานิโคลาส (นาโคลาชา) ..ที่มีพระวรกายสูงใหญ่หกฟุตห้านิ้ว..ในเครื่องแบบอะร้าอร่ามเต็มยศ เต็มไปด้วยเหรียญตรา สายสะพายของผู้บัญชาการทหารบก    

    ส่วนผู้น่าสงสาร..นั่นคือ นิคกี้ ซาร์ในร่างของสุภาพบุรุษที่สูงเพียงห้าฟุตเจ็ดนิ้ว..

    ส่วนเสด็จอาเซอเก และ เสด็จอาวลาดิเมียร์ นั่นก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
    ที่ทำให้ได้ยินพระนามทีไร..ต้องถอนพระทัยออกมาเฮือกใหญ่ทุกครั้ง..

    ทั้งสี่ที่กล่าวนามมานี้..ล้วนแล้วแต่มีความต้องการเป็นของตัวเองทั้งสิ้น

    นิโคลาส หรือ นิโคลาชา..มักคิดว่าตัวเองคือวีรบุรุษสงครามที่ยิ่งใหญ่
    ต้องการควบคุมกองทัพไว้ทั้งหมด

    อเล็กซิส..ต้องการควบคุมทัพเรืออย่างเบ็ดเสร็จ

    เซอเก..ต้องการคุมท้องที่มอสควาอันเปรียบเหมือนศูนย์กลางแต่ผู้เดียว

    วลาดิเมียร์...ต้องการดูแลควบคุมส่วนฝ่ายอาร์ตทุกแขนง..

    ทั้งสี่แรงแข็งขันนี้..ต่างก็มีทีม"ลิ่วล้อ"สำหรับไว้ใช้งานของตัวเอง..ที่มักจะได้เลื่อนชั้นเลื่อนตำแหน่งแซงคิวคนอื่น..เท่านั้นไม่พอ ต่างพยายามยัดเยียด
    ให้เข้ามาใกล้ชิดซาร์ พร้อมสรรพคุณที่ต่างโอ้อวดทับกันไปมา..

    เพียงแค่วันๆ ผ่านไป พอได้เวลาหกโมงเย็น..ซาร์ก็แทบหมดแรงในการที่รับมือกับคนกลุ่มนี้..บ่อย ครั้งที่ทอดพระเนตรไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของเสด็จพระบิดาที่ล่วงลับ...ในใจคงอยากที่จะมีความสามารถในการใช้ภาษา"กร้าว"อย่างที่เคยได้ยินจากพระโอษฐ์เพราะ ใครๆ ต่างก็เกรงกลัวจนหัวหด..ตัวอย่างเช่น..ทรงส่งสาสน์ไปยังเสด็จอาเซอเกผู้เจ้ากี้เจ้าการเกินเหตุ..ว่า
    "เลิกทำตัวเป็นซาร์แทนฉันซะที.."

    หรือ..
    "ไล่ไอ้ชาติ..ชั่..นั่นออกไปเดี๋ยวนี้.." นี่คือคำสั่ง เมื่อทรงทราบข่าวว่ามีข้าราชการของพระองค์ไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน

    หรือ
    "กำลังตกปลาอยู่..มีธุระก็คอยไปก่อน..ยุโรปมันล่มลงไปวันนี้พรุ่งนี้หรือไง.." เมื่อกรมพระราชพิธีให้ส่งข่าวมากราบทูลว่า..คณะทูตจากนานาประเทศขอเข้าเฝ้า..

    หรือ..รัฐมนตรีที่มักใหญ่ใฝ่สูงจนเกินเหตุทำพูดทำนองขู่ว่าจะขอลาออกหากมิได้ตำแหน่งดังใจ..จะถูกกระชากคอเสื้อเข้ามาแล้วเขย่าจนสั่นเหมือนลูกหมา..พร้อมด่าว่า..
    "หุบปากซะที..ไม่ต้องมาบอก..เพราะถ้าเมื่อไหร่ฉันหมดความอดทนขึ้นมา
    รับรองว่านายถูกเตะโด่งออกไปแน่ๆ .."

    หรือยามที่..ไกเซอร์วิลเฮล์มทำมาขอร่วมสัมพันธภาพ ในโปรเจคที่ว่า
    แบ่งโลกกันคนละครึ่ง (ม๊ะล่ะ..) ระหว่างรัสเซียกับเยอรมัน..ก็จะโดนสวนตอบไปสั้นๆ ว่า..
    "อย่าพล่ามๆ ไปหน่อยเลย..หัดดูตัวเองในกระจกซะมั่ง..จะได้รู้ว่าไม่มีใครเขาอยากคบด้วยแล้ว.."

    น่าเสียดายจริงที่ทรงจากไปเร็วเหลือเกิน พระชนมายุแค่สี่สิบเก้าชันษาเท่านั้น
    นิคกี้ไม่เคยหวังว่าจะมาเป็นซาร์..คิดว่าพระบิดาจะต้องอยู่นานไปอีกอย่างน้อยยี่สิบหรือสามสิบปี เมื่อนั้น..ทุกอย่างก็จะพร้อมและเป็นระเบียบไปกว่านี้..รวมถึงเหล่าพระญาติสายในที่ทำตัวเป็นจอมจุ้น..และสายนอกที่เอะอะมะเทิ่งอย่างไกเซอร์


    ฉันได้เคยใช้สิทธิในฐานะที่เป็น"ท่านอา"คนหนึ่ง..นั่งคุยกับนิคกี้แบบเคร่งเครียดนานนับชั่วโมงๆ ในเรื่องของตำแหน่งงานของพระประยูรญาติ..
    เพราะถือว่า ถ้าจะนับกันในฝีมือและประสบการณ์แล้ว..ฉันก็ไม่เป็นรองใคร
    ไม่ว่าจะนับกันในส่วนไหน ฉันร่ายยาว อ้างอิงไปถึง ประวัติศาสตร์ เศรษฐกิจ
    ประชาชนชาวโลกในภาคพื้นที่ต่างๆ ..
    แต่..ไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ต้องการจากนิคกี้ได้เลย เพราะอย่างไรเสีย เขามองเห็นฉันเป็นเพียง "ซานโดร" เพื่อนสนิท และ น้องเขย ที่รู้จักกันจนแทบจะถึงเนื้อใน เขารู้ดีว่า ฉันมักมีอารมณ์ขัน มองเรื่องเครียดในชีวิตประจำวันให้เป็นเรื่องขำได้ ...รู้ดีว่าชอบนั่งขดตัวในท่าสบายๆ ในโซฟา
    และที่สำคัญ..นิคกี้ไม่ได้มีความยำเกรงฉันในฐานะญาติผู้ใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร !!

    หลายต่อหลายครั้งที่ฉันพยายามพูดถึงการปรับเปลี่ยนการบริหารงานในกองทัพเรือที่ เสด็จอาอเล็กซิสดูแลอยู่ เพราะมันเก่าแก่ล้าสมัยเหลือเกิน
    เรามาถึงศตวรรษที่สิบแปดแล้ว วิวัฒนาการใหม่ๆ ก็ออกมาหลากหลายควรจะริเริ่มนำมาใช้...แต่เขากลับยักไหล่..บอกด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
    "เสด็จอาคงไม่ชอบใจนัก..ฉันบอกได้ล่วงหน้าเลย ว่าท่านไม่ยอมให้เปลี่ยน
    อะไรทั้งนั้น"
    "ก็นั่นซิ..ถ้าเป็นอย่างนั้น ฝ่าบาทก็ต้องออกคำสั่งซิ..เพราะนี่เป็นพระราชอาณาจักรของพระองค์นี่.."
    "ก็แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ"
    "สวยเลย..ก็..เอาอำนาจแห่งความเป็นซาร์ไง..ออกคำสั่งเปลี่ยนแปลงเพื่อให้บ้านเมืองดีขึ้น ..เจริญขึ้น..."
    "ฟังดูดีนะ..ซานโดร แต่เสด็จอาต้องาละวาดแน่ๆ ใครต่อใครจะพากันเดือดร้อนไปหมด"
    "ก็ต้องเป็นอย่างนั้น..แต่ถ้าจะให้ดี ก็ออกคำสั่งย้ายเสด็จอาออกจากตำแหน่ง
    แล้วก็เลี่ยงไม่ให้เข้าเฝ้าสักระยะซิ"
    "โอย..จะให้ฉันย้ายเสด็จอาอเล็กซิสเนี่ยนะ..ไม่ได้หรอก..พระองค์เป็นพระอนุชาสุดรักของเสด็จพ่อเลยนะ..ซานโดร..รู้ตัวเองบ้างไหม..ว่าตั้งแต่ไปได้กลิ่นไอมาจากอเมริกาเนี่ย.. ชักจะเบนไปทางสังคมนิยมเข้าไปทุกทีแล้วนะ"

    และนี่คือความอดทนระยะสุดท้ายของฉัน..ที่ยื่นใบลาออกจากราชการ..หลังจากที่ร่ำๆ อยากจะลาออกจากกองทัพเรือที่ย่ำอยู่กับที่ ไม่มีการพัฒนามานานพอสมควรแล้ว
    การลาออกของฉัน..ทำให้เสด็จอาอเล็กซิสยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปเป็นอาทิตย์

    เสด็จอา Vladimir และครอบครัว (1847-1909) พระอนุชาองค์รองจากซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม 

 

    เสด็จอา Alexis (1850-1908) พระอนุชาองค์ต่อมา..ของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม   

    
    ท่านอานิโคลาชา.. (Nicholas Nicholaevich 1856-1929)      

        
   

    เสด็จอาเซอเก (1857-1905) พระอนุชาองค์รองสุดท้องของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม 

 
    (จะว่าไปแล้ว..ซานโดรเขียนได้แรงจริงๆ....จากผู้อ่าน)

    นั่นก็จริงค่ะ..แต่ท่านมีเหตุผลของท่านหลายอย่างเพราะบ้านเมืองอยู่ในวิกฤติจริงๆ ..ท่านทราบข้อมูลภายในเป็นอย่างดีจึงพยายามทุกวิถีทางในฐานะญาติ พวกข้อมูลดังกล่าว..ดิฉันจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้..

    อย่างแรกคือ..เรื่องเศรษฐกิจของโรมานอฟ.. (จากข้อเขียนของแกรนด์ ดุ๊ค ซานโดร)


    ดังที่ทราบกันอยู่ทั่วไปว่า..โรมานอฟนั้นร่ำรวยจนถือว่าซาร์คือหนึ่งในท๊อป
    เทนของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก..ขนาดหลังจากที่ล่มไปแล้วตั้งสิบสามปี
    นักข่าวใหญ่ในอเมริกายังตีข่าวว่า มีเงินจำนวนมหาศาลของโรมานอฟนอนนิ่งอยู่ในแบงค์ในอังกฤษ
    และไม่กี่ปีมานี้เองมียายบ้าคนหนึ่งมาตู่เอาว่าตัวเองคือ แกรนด์ ดัชเชสอนาสตาเซีย (พระธิดาองค์เล็กของนิคกี้) ที่รอดชีวิตมาปรากฏตัวขึ้นเพื่อต้องการจะเคลมเงินที่ว่านี้..แสดงว่ายายบ้าคนนี้โกหกหลอกลวงโลกแบบหน้าด้านๆ เพราะจะบอกให้ว่า ตั้งแต่เริ่ม 1915 มา
    เงินของโรมานอฟในแบงค์อังกฤษนั้นหมดเกลี้ยง..ไม่เหลือแม้แต่เก๊เดียว

    เมื่อก่อนนั้น..มีอยู่จริง มีมาตั้งแต่สมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง (1856-1881) ที่ทรงฝากทิ้งเอาไว้ จำนวน ยี่สิบล้านปอนด์ แต่..เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในช่วงของ 1915-1917 เงินนั้นได้ถูกนำไปช่วยสนับสนุนในกองทุนทำสงคราม ตรงนี้คือสิ่งที่คนภายนอกไม่มีใครทราบ อีกทั้งซาร์ไม่มี
    เสนาบดีฝ่ายเศรษฐกิจฝีมือดีๆ ที่จะให้คำปรึกษาหารือ
    และถ้า..ซาร์เหลือชีวิตรอดออกมาจากเงื้อมมืของพวกบอลเชวิคได้..
    รับรองได้เลยว่า..ซาร์จะพบว่าตัวเองอยู่ในสถาะที่สิ้นไร้ไม้ตอกจริงๆ หรือถ้าจะมีสมบัติติดไม้ติดมือออกมาบ้าง..ก็ไม่สามารถเทียบอะไรได้กับพวกอภิมหาเศรษฐีอย่าง the Rockefellers, the Mellons, the du Ponts หรือ the Rothschilds หรือแม้แต่พวกเศรษฐีใหม่ๆ อื่นๆ ที่ผุดขึ้นมาราวกับดอกเห็ดในยุคหลังสงครามนี่..


    รายได้ของซาร์ต่อปีนั้น..มาจากสามทาง คือ

    หนึ่ง..จากรัฐบาลที่ให้งบประมาณสิบเอ็ดล้านรูเบิ้ล หรือเทียบเท่ากับหกล้านดอลล่าร์

    สอง..จากผลิตผลของที่ดินอันเป็นทรัพสินส่วนพระองค์

    สาม..ดอกเบี้ยจากธนาคารนอกประเทศ เช่น อังกฤษ และ เยอรมัน


    ข้อหนึ่ง..คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมาก..

    ข้อสอง..อันนี้รายละเอียดเยอะมาก จึงต้องขยายให้ทราบดังนี้ ว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นแบ่งออกเป็นหลายชนิด อย่างแรกคือที่ดิน..ที่มีนับแสนๆ เอเคอร์ที่ใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเกษตรกรรมหลายอย่าง เช่น เป็นสวนผลไม้ เป็นไร่องุ่นทำไวน์
    (ตอนนั้น รัสเซียได้ผลิตไวน์ซ่า (แชมเปญ) ได้แล้ว ตั้งแต่สมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง เรียกว่า 'Shampanskoe' และได้ดำเนินงานอย่างเป็นล้ำเป็นสัน โดย Prince Golitsyn ที่ได้จัดหลักสูตรสอนให้เหล่ากสิกรในแถบ
    Novorossiysk ที่อยู่ห่างจาก Black Sea ไปเพียงสองกิโลเมตร จนได้ผลที่น่าพอใจและมีชื่อเสียงมาจนถึงบัดนี้.. อย่างยี่ห้อ Abrau Durso เคยได้รับรางวัลในงานประกวดด้วย...
    อันนี้ต้องขอแจมค่ะ ในฐานะคนเขียนเรื่องไวน์อย่างดิฉัน..วิวันดา)

    ที่ไม่มีการโฆษณาว่ามีรายได้จากการขายไวน์ได้บ้างเพราะว่าตอนนั้น รัสเซียออกจะเกรงใจฝรั่งเศสมากจนเกินควร ในฐานะเกลอที่แสนดี..
    แต่ ไม่ว่าจะขายไวน์ หรือ ผลไม้พวกลูกแอปเปิ้ล ลูกพีช หรือลูกแพร์กันขนาดไหนก็ไม่สามารถจะเอารายได้จากตรงนั้นมาทำการสร้างทางรถไฟ
    สายใต้ไปยังไครเมียได้ เพราะ ราคาแอปเปิ้ลขายกันแค่ถังละห้าเซ็นต์


    ต่อ มาคือ พวกเครื่องเพชร และ เครื่องประดับที่สะสมมาตั้งแต่สมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดินี พระนางคัทเธอรีน ที่ตีมูลค่าไว้ ห้าสิบล้าน
    เหรียญดอลล่าร์เมื่อปี 1914 แต่ก็ไม่ได้สามารถเอามาทำประโยชน์อะไรให้มีรายได้งอกเงยขึ้นมา..ซ้ำจะเอาไปขายเปลี่ยนเป็นเงินก็ไม่ได้อีก..
    นอกเหนือกว่านั้นก็คือ เครื่องเพชรชิ้นใหญ่ๆ ชุดใหญ่ๆ เช่นพวกมงกุฏและศิราภรณ์ เครื่องประดับอื่นๆ ของบรรพบุรุษ ที่ตีราคากว่าแปดสิบล้านเหรียญ แต่นั่นก็เป็น"เงินเย็น" ที่ขยับขยายไม่ได้เช่นกัน..

    ต่อมาคือเรื่องดอกเบี้ยธนาคาร..ที่ไม่ได้มีเป็นจำนวนมากอย่างที่คนอื่นๆ คิด
    เพราะว่า..มีกฏหมายห้ามมิให้ผู้อำนวยการฝายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นำทรัพย์สินส่วนพระองค์ไปลงทุนในตลาดต่างด้าวอย่างเด็ดขาดเพื่อเป็นการป้องกันการครหาว่ามีการนำเงินออกนอกประเทศ


    ทั้งนี้ทั้งนั้น..รายได้จริงของซาร์ที่เป็นหลักๆ คือเงินเบี้ยหวัดรายปี ที่ตกแล้วประมาณ สิบถึงสิบสองล้านดอลล่าร์ ซึ่งนับว่ามหาศาลสำหรับคนทั่วไป
    แต่สำหรับซาร์แล้ว..มันเรียกได้ว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง..
    เพราะ..ค่าเลี้ยงดูเหล่าพระญาติที่ต้องแจกจ่ายกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ
    อย่างเช่น..พวกแกรนด์ ดุ๊ค ที่จะต้องได้รับเงินกันคนละ หนึ่งแสนดอลล่าร์ต่อปี พวกแกรนด์ ดัชเชสจะได้รับเงินคนละห้าแสนดอลล่าร์ติดตัวเมื่อออกเรือนไป พวกเจ้าชายเจ้าหญิง (หมายถึงพวกพระโอรสและพระธิดาของ
    แกรนด์ ดัชเชสในสายของซาร์ ที่ไปอภิเษกกับราชวงค์อื่นๆ ) จะได้รับเงินรับขวัญในตอนเกิดกันอีก คนละห้าแสน..
    เงินตรงส่วนนี้..เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าสองสามล้านในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับการถี่ห่างของการกำเนิดเจ้า..

    จากนั้นมาก็คือค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเหล่าพระราชวังต่างๆ ที่มีด้วยกันมากมาย อย่างพระราชวังใหญ่ๆ ..มีด้วยกันถึงห้าแห่ง..
    หนึ่งคือ พระราชวังฤดูหนาว เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กที่สร้างในสมัยของพระจักรพรรดินี เอลิซาเบ็ท ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ เนวา ที่ต้องมีคุณพนักงานจำนวน
    กว่าพันสองร้อยคน ซึ่งใช้งานจริงๆ ก็เป็นเพียงสถานที่ที่เก็บเครื่องเพชรและเครื่องประดับในห้องที่เรียกว่า "White Salon"
    และ..ในช่วงของสิบสองปีสุดท้ายของโรมานอฟก็แค่ใช้เป็นที่จัดงานบอลฤดูหนาวเท่านั้น เพราะซาร์ได้ย้ายไปใช้พระราชวัง Czarskoie-Selo เป็นที่ประทับถาวร..ซึ่งที่นั่นก็มีคุณพนักงานกว่าหกร้อยคน..อีกทั้งอาณาบริเวณกว้างขวางกว่าแปดร้อยเอเคอร์ ที่มีคอกม้า..ทะเลสาบน้ำจืด สวนดอกไม้ที่ต้องแรงงานคนเข้ามาดูแล..

    ในช่วงฤดูร้อน..ซาร์มักจะทรงแปรพระราชฐานไปยังพระราชวังปีเตอร์ฮอฟ
    หรือไม่ก็ที่พระราชวังที่ลิวาเดีย ทั้งสองแห่งนั้นต้องใช้ทุนอันมหาศาลในการดูแลรักษาเช่นกัน

    หรือพระราชวัง Anichkoff อันเป็นที่ประทับของซารินาพระมารดานั่นก็ใหญ่โตและมีคุณพนักงานรับใช้นับร้อยๆ ไหนจะพระราชวังในมอสควา และกัทชิโน ที่ทั้งหมดรวมกัน หมายถึงว่า ซาร์จะต้องจ่ายเงินเดือนให้กับคนงานกว่าสามแสนคน..รวมทั้งค่าเลี้ยงดูสวัสดิการอื่นๆ ต่างหาก
    นอกจากนั้นคือ โรงละครหลวง..อันเป็นมหรสพที่จำเป็นและเป็นหน้าตาของชาววังที่มีค่าใช้จ่ายนับล้านๆ เหรียญต่อปี
    ไหนจะ..ค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนเหล่าวิทยาลัยศิลปะอื่นๆ ...ที่ซาร์ต้องรับเป็นธุระดูแลลูกหลานชาวบ้านที่มีฝีมือแต่ยากจนอีกเป็นจำนวนมาก..เพราะรัฐบาลไม่สามารถเข้ามาดูแลตรงนี้ได้ทั้งหมด

    ต่อมาก็คือ งานสาธารณกุศล..เช่นหน่วยกาชาด.. ที่ซาร์ต้องควักกระเป๋าต้องเพิ่มเงินให้อีกปีละเจ็ดหมื่นเหรียญ

    จากนั้นก็เป็นรายจ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง..อย่างเช่น King of Montenegro แวะเข้ามาเยี่ยมเยียนและโอดครวญถึงความลำบากในฐานะประเทศราชที่ช่วยป้องกันชายแดน นั่นก็หมายถึงจะได้รับเช๊คปลอบขวัญและช่วยสร้างเสริมกำลังใจไปไม่น้อยกว่าสามแสน..

    หรือ ท่านผบ.โรงเรียนนายร้อย..เข้ามาปรับทุกข์ถึงนักเรียนกลุ่มที่เรียนดีแต่ยากจน..ก็จะได้ทุนไปช่วยสนับสนุน..

    หรือ..ราชองค์รักษ์คนสนิทมารำพันว่าหมดเนื้อหมดตัวไปหลงมัวเมาไปกับการพนัน..เข้ามาขอพระกรุณาธิคุณให้ช่วยปัดเป่า..นั่นก็อีกสองสามหมื่น..

    หรือ ลูกหลานข้าราชบริพาร ถวายฏีการ้องทุกข์..ขาดแคลนค่าเล่าเรียน
    นั่นก็อีกเป็นจำนวนไม่น้อย

    หรือ พวกที่เสียชีวิตในขณะปฏิบัติหน้าที่ เช่นตำรวจ..ครอบครัวที่เหลืออยู่แสนยากจน..ซาร์ก็ต้องรับภาระเอามาดูแล

    เหล่านี้เป็นต้น..

    ตอนที่ซาร์ได้ขึ้นครองราชย์ใหม่ๆ พระองค์ได้รับเงินมรดกจากสมเด็จทวด
    มาเป็นจำนวนสองล้านเหรียญ..พระองค์ไปแยกเงินก้อนนี้ไปฝากไว้ต่างหาก หมายพระทัยว่าจะใช้แค่ดอกเบี้ยในการงานสาธารณกุศลที่จำเป็น
    แต่..เงินก้อนนี้ได้หมดเกลี้ยงไปทั้งต้นและดอกในระยะเวลาแค่สามปีแรกของการครองบัลลังก์..


    สรุปว่า..ซาร์จะมีเงินเหลือใช้ส่วนพระองค์เพียงปีละไม่ถึงแสน..เท่ากับว่า..
    อยู่ในสภาพที่"ถังแตก" ไปอย่างเรียบร้อยตั้งแต่ต้นปี..
    และนั่นหมายถึงว่า..กว่าจะสิ้นปี ซาร์จะต้องหาเงินมาเพิ่มจึงจะอยู่รอด
    ทางเลือกมีสองทาง คือจะต้องถอนเงินจำนวนยี่สิบล้านปอนด์จากธนาคารในอังกฤษมาใช้ หรือต้องเรียกเจ้ากระทรวงการคลังมาคุยให้เป็นเรื่องเป็นราว
    แต่..ซาร์ไม่ทรงทำทั้งสองอย่าง..ได้แต่บอกว่า.."งั้นต่อไปนี้..เราก็ประหยัดๆ หน่อยก็แล้วกัน"

    ทั้งที่ทรงหวงและห่วงเงินจำนวนนั้นจนไม่ยอมนำออกมาใช้ก็จริง..แต่ในความสำนึกและรับผิดชอบที่มีต่อประเทศชาตินั้น..ซาร์ทรงมีพระทัยให้อย่างเต็มเปี่ยม อย่างกรณีของเงินยี่สิบล้านที่ทางอังกฤษขอให้ช่วยในสงครามพระองค์ก็ยินดีจัดมอบให้อย่างไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว..

    เมื่อมองย้อนหลังกลับไปในสมัยที่เรายังรุ่งเรืองกับเดี๋ยวนี้ที่ฉันมาเทียบกับพวก เศรษฐีอเมริกันสมัยใหม่..ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะมีใครไหม..ที่จะมัวมาสนใจกับการมีเรือยอร์ทส่วนตัวอย่างเรือพระที่นั่งสแตนดาร์ทและยอมทุ่มค่าใช้จ่ายอย่างมหาศาลเพื่อประดับบารมี เพราะเชื่อว่าจะไม่มีพวกเศรษฐีคนไหน
    ยอมที่จะปล่อยให้ตัวเองลำบากยากจนในยามแก่ตัวเหมือนกับซาร์ของรัสเซียในวันที่ลงพระนามสละราชสมบัติยกทุกอย่างที่เคยครอบครองให้กับรัฐบาลใหม่..
    ถึงแม้ว่าหากมีชีวิตรอดออกมา"ลี้ภัย" ในอังกฤษ ก็หมายความว่า..
    พระองค์ต้องวิ่งหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวเลยทีเดียว..


    ซาร์เป็นคนดีที่แสนเปอร์เฝค..สำหรับการเป็นมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่ง เพราะ
    รักครอบครัวเป็นเลิศ เป็นลูกที่ดี เป็นสามีที่ประเสริฐ..เป็นผู้ที่ใครเห็นใครรัก เพราะมีกิริยาอ่อนน้อม..ท่าทางประนีประนอม ชอบการสมานฉันท์..
    เพียงแต่พระองค์..มิได้เฉลียวพระทัยเลยว่า..คนที่จะเป็น"เจ้ามหาชีวิต"
    ได้นั้น..จะเป็นเพียง"มนุษย์" ที่ดีธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่ได้..


    ส่วนข้างล่างนี้ ขอเล่าเสริมเองค่ะ เพราะท่านแกรนด์ ดุ๊ค ท่านคงช้ำพระทัยมาก
    ไม่ได้เล่าให้ละเอียดถึงการรบนอกประเทศมากนัก

    ในปี 1904..คื่อปีที่ความเป็นมหาอำนาจของรัสเซียได้ถูกหยามอย่างหมดลายในสงครามระหว่างรัสเซีย-ญี่ปุ่น..ในยุทธการที่ Port Arthur เมืองท่าที่อยู่ในแมนจูเรีย..ชายแดนของจีน..
    ในการศึกครั้งนี้..คือการแย่งพื้นที่ที่เป็นส่วนอ่อนไหวชายแดนของญี่ปุ่นที่ติดกับเกาหลีในน่านน้ำของมหาสมุทรแปซิฟิค..ทื่รัสเซียใช้เป็นที่จอดเรือเพราะเป็นยุทธภูมิที่ดี มีอากาศอบอุ่น ไม่มีน้ำแข็งจับเกาะ ในสมัยซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง พระองค์ได้เคยออกพระโอษฐ์ว่าจะถอนทหารออกไป
    แต่..ในเชิงปฏิบัติกับตรงกันข้าม เพราะแทนที่จะถอนทหารไปดังว่า..กลับกลายเป็นการสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียที่จะยาวไปจรดท่า Vladivostok
    นั่นเท่ากับว่า รัสเซียกำลังคิดจะครองท่าอาร์เธ่อร์อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
    เท่ากับว่า..จะเป็นการตัดขาดช่องทางระหว่าง..จีนกับญี่ปุ่น

    ดูในแผนที่นะคะ.. 

   

    ****ญี่ปุ่นได้"ยาดี" จากอเมริกา เพราะ ปธน. ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ได้ประกาศกร้าวเอาไว้ว่าจะไม่แทรกแซงในเรื่องของน่านน้ำแปซิฟิคเด็ดขาด และห้ามคนอื่นๆ เช่นประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้าไปยุ่งด้วยเช่นกัน
    แต่ก็ห้ามไปอย่างนั้นแหละ เพราะศึกครั้งนี้จะเป็นระหว่างรัสเซียและญี่ปุ่นเท่านั้น ใครจะเข้ามาช่วยได้ เพราะมันช่างห่างไกลอ้อมโลกจากยุโรปปานนั้น
    ญี่ปุ่นต้องรีบดำเนินการประกาศสงครามโดยด่วน ต้องรีบ..ในขณะที่ทางรถไฟยังกำลังสร้าง..ยังไม่เสร็จ เส้นทางการลำเลียงเสบียงและอาวุธของรัสเซียคือปัญหาใหญ่ที่จะกำหนดชะตาของสงครามครั้งนี้..
    ส่วนเรือที่จอดเฝ้าท่าอยู่นั้น..ญี่ปุ่นคำนวนแล้วว่า..เก่าแก่เต็มที..
    ส่วน รัสเซีย..พอญี่ปุ่นประกาศสงครามด้วย..ทุกคนต่างขำกลิ้ง..เพราะใครจะไปเชื่อว่าประเทศเล็กๆ ที่มีประชาชนแค่ไม่กี่ล้านคนจะหาญกล้า..มาต่อกรกับรัสเซียที่ใหญ่เท่ากับทวีปหนึ่ง ประชากรกว่าร้อยห้าสิบล้านคน..
    เทียบค่าแล้ว..ไม่ต่างอะไรกับ "เห็บ"กัด..

    รัสเซียส่งแค่พลทหารเลวมาคอยรับมือ เพราะประเมินค่าสงครามครั้งนี้ต่ำมาก..ไม่คิดเลยสักนิดว่า ญี่ปุ่นจะมีเรือที่ทันสมัยกว่า..ทหารได้รับการฝึกมาอย่างดีและมีวินัยพร้อมที่จะสู้ตาย..

    ในที่สุดก็เป็นไปตามคาด..ว่า..เรือของรัสเซียที่ ท่าอาร์เธอร์นั้นมีสภาพอะไรไม่ต่างกับเศษเหล็ก โดนตอร์ปิโดไปสองสามลูกก็ร่วงจมหายไปในทะเล
    ทหารเจอกับสภาพที่อดอยากเพราะเสบียงส่งถึงอย่างลำบาก ระยะทางไกลกว่าห้าพันไมล์ ทางรถไฟยังสร้างไม่เสร็จ..เส้นทางที่ต้องลำเลียงลำบากแสนเข็ญ..
    ในที่สุด..นายพลรัสเซียผู้บัญชาการของท่าอาร์เธ่อร์ ต้องยอมวางอาวุธ
    รัสเซียพ่ายแพ้ในสงครามกับญี่ปุ่น..
    ขายหน้าชาวโลกไปถึงไหนๆ ..
    หมดสิ้นความเป็นมหาอำนาจไปในบัดดล..


    ****ข้อความนี้ เล่าเสริมโดย.......... วิวันดา

 

    ในช่วงของศึกสงครามนั้น ซาร์มิได้มีจิตใจในการบริหารประเทศนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเสนาบดี เพราะ ซารินาได้ทรงครรภ์อีกครั้ง คลอดพระธิดาขึ้นมาอีกองค์หนึ่ง พระนามว่าอนาสตาเซีย..
    ประเทศชาติตกอยู่ในความวังเวงอีกครั้ง..
    จนหมดหนทางที่จะหวังในชีวิตต่อไป..ซารินาได้เริ่มเข้าพึ่งมนต์ดำ เวทย์มนต์ และ คำแนะนำสั่งสอนจากเหล่าพ่อมด หมอผี
    รายแรกคือ Dr. Phillppe of Paris ที่แนะนำเข้ามาโดย สองศรีพี่น้องเจ้าหญิงแห่งมอนเตเนกริน (พระธิดาของ King Nicholas of Montenegro
    และถ้ายังจำได้ ทั้งสองคือพระชายาของแกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา และ
    แกรนด์ ดุ๊ค ปีเตอร์ สองพี่น้อง)
    พ่อหมอฟีลีปคนนี้...สายลับของรัสเซียที่ดำเนินงานในฝรั่งเศสได้เตือนมาให้ทราบแล้วว่า มีประวัติในทางหลอกลวงต้มตุ๋น..ชอบแอบอ้างตัวเองว่าเป็นผู้หยั่งรู้ มีอำนาจพิเศษรักษาคนไข้ และสามารถช่วยเลือกเพศให้กับเด็กในครรภ์ด้วย..
    หลังจากที่ซารินาได้เข้าไปร่วมในการเป็นสาวกได้เพียงสองเดือน ก็ทรงรู้สึกองค์ว่าครรภ์ขึ้นมาอีกครั้ง พ่อหมอฟีลีปรีบเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการสั่งห้ามโน่นห้ามนี่..ห้ามออกงาน..จนหกเดือนผ่านไป..แพทย์หลวงได้ลงความเห็นว่า
    ซารินามิได้ทรงครรภ์แต่อย่างใด..เป็นเพียงอาการของความเครียดเข้ารุมเร้า
    พ่อหมอตัวดี..รีบเก็บข้าวของกลับไปปารีสอย่างทันที..

    สองปีต่อมา..คือปี 1904 ..ขณะที่บ้านเมืองกำลังทำสงครามกับญี่ปุ่นนั้น
    ข่าวร้าย...คือการพ่ายแพ้สงครามให้กับพวกเห็บ..
    ข่าวดี...คือซารินา..ทรงครรภ์ และ ประสูติพระโอรส..พระนามว่า Alexei (หรือ Alexis) ในวันที่ 30 มิถุนายน..
    ประชาชนค่อยลืมความทุกข์โศกไปได้พอสมควร..สถานะการณ์ของ"ข่าวดี"
    นั้นค่อยกลบเกลื่อน"ข่าวร้าย" ไปได้อย่างเนียนๆ ..

    พอเริ่มเข้าชันษาที่สาม..อเล็กเซหกล้มขณะที่กำลังเล่นในสวนบาดแผลไม่ใหญ่..แต่เลือดไหลไม่หยุด หมอได้พยายามช่วยห้ามเลือดอย่างเต็มที่ แต่..
    ต้องหันไปช่วยซารินาที่ทรงประชวรพระวาโยจนล้มพับไปแล้ว..
    เพราะอาการเลือดออกนี้..ซารินาทรงคุ้นเคยดี..ว่ามันเป็นสมุฏฐานของโรคต้นตระกูลที่ถ่ายทอดมาในสายกรรมพันธุ์ที่หลอกหลอนในครอบครัวมานานกว่าสามร้อยปี นั่นคือ hemophilia

    มันเป็นเวรเป็นกรรมอะไรของรัสเซียกันหนอ..ที่เรามีนโยบายอย่างจริงจังในการหา"แม่พันธุ์" จากราชวงค์อื่นๆ เพื่อวัตถุประสงค์ในการข้ามสายพันธุ์เพื่อความแข็งแรงของผู้สืบตระกูล..
    แต่ไฉน..เราจึงมองข้ามสาย Hesse-Darmstadt ไปได้ ทั้งๆ ที่สายนี้..มีประวัติการเจ็บป่วยของโรคนี้อยู่แล้ว..****


    ****พี่ชายของอลิกซ์ คือ Prince Friedrich สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่อายุได้สองขวบครึ่ง..ด้วยโรคฮีโมฟีเลีย


    เพียงข้ามคืนไปจากวันนั้นมา..ซาร์ดูทรุดโทรมและดูเจริญพระชันษาไปราวสิบปี เพราะพระองค์แทบจะรับไม่ได้ที่พระโอรสองค์เดียวอันเป็นความหวังของรัสเซียทั้งประเทศ จะเป็นโรคร้ายแรงที่รักษาไม่หาย..และอาจจะไม่มีพระชนมายุยืนยาวไปอีกเท่าไหร่..ทรงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า
    "ในยุโรปนี่..ไม่มีเลยหรือ แพทย์ที่เก่งๆ สักคน จะเรียกเท่าไหร่ฉันก็ยอม
    จะให้มาอยู่ประจำในวังนี่เลย..จะให้ความสะดวกสะบายทุกอย่าง.."

    บรรดาแพทย์ต่างตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า...

    "ไม่มีทางเลยพระเจ้าค่า...ขอฝ่าบาทได้ทรงทราบว่าอาการของโรคนี้จะมาเป็นพักๆ และต้องระวังมิให้พระโอรสต้องเกิดอุบัติเหตุใดๆ เป็นดีที่สุด"

    ดังนั้น..ราชองค์รักษ์ร่างสูงใหญ่ นามว่า Derevenko จึงถูกเรียกให้มาประจำการ ทำหน้าที่อุ้มพระโอรสในอ้อมแขนอย่างชนิดที่มิให้พระบาทแตะดิน..

    จากนั้นมา..ทั้งซาร์และซารินาตกอยู่ในสภาพที่หมดสิ้นซึ่งชีวิตจิตใจ
    พวกเราต้องระวังกิริยามิให้"ร่าเริง" นัก..ต่อเบื้องพระพักตร์ยามที่ไปเยี่ยมเยียนเข้าเฝ้า..เราก็ต้องเตรียมตัวรับความเศร้า..ซาร์ หมกมุ่นอยู่แต่กับการอ่านหนังสือ แต่ซารินา..ไม่ยอมแพ้..เธอไม่ยอมสิ้นหวังในชีวิต
    เพราะเชื่อว่าในโลกนี้ย่อมต้องมีสิ่งที่เร้นลับ..และมีฤทธิ์ที่จะต้องช่วยพระโอรสได้..เพียงแต่พระองค์จะต้องใฝ่หา และอ้อนวอนอย่างสุดฤทธิ์ขอพึ่งพาในพระบารมี

 

    ขอตอบคำถามที่ถามถึงอายุและสุขภาพของซารินาในยามที่ทรงมีพระโอรส..

    ตอนที่มีพระธิดามารี และ อนาสตาเซีย ตอนนั้นก็ต้องประทับรถเข็นบ่อยๆ แล้วค่ะ เพราะมีอาการปวดที่พระชงฆ์มาก และแน่นอนว่าคงเครียดด้วย
    ส่วนพระชนมายุเมื่อตอนที่มีพระโอรสอเล็กเซ นั่นก็ สามสิบสองค่ะ

    

    เมื่อซารินาหันมาเลื่อมใสในทางมนต์ดำ และเวทย์มนต์คาถา คิดว่า นี่คือทางเดียวที่จะช่วยเหลือพระโอรสได้ พี่น้องสองเจ้าหญิงแห่งมอนเตเนกริน
    ก็ได้ชักนำให้พ่อหมอบ้านนอก..รัสปูตินแห่งไซบีเรียให้เข้ามาช่วยเหลือ เพราะสรรพคุณที่ว่า
    "พ่อหมอคนนี้เขาเก่งกาจและมีพลังพิเศษที่ได้รับมาจากพระเจ้าเชียวนะ
    อลิกซ์ ..เธอก็รู้นี่นาว่า พระเจ้าน่ะ พระองค์มักจะประทานพรพิเศษให้กับพวกชาวบ้านๆ ติดดินแบบนี้แหละ เพราะพวกเขามีจิตที่บริสุทธิ์ไง..ไม่ใช่อย่างพวกเราๆ ที่สะดวกสบายทุกอย่างจนกิเลศพอกพูน"

    เรื่องประวัติของรัสปูติน คงแทบไม่ต้องเล่า เพราะคนส่วนใหญ่รู้จักดีอยู่แล้ว..
    แต่ส่วนที่ว่ามีพลังพิเศษต่างหากที่น่าสนใจ เพราะดังที่ว่า อาการของอเล็กเซนั้น มักจะเกิดเป็นพักๆ อาจจะเป็นไปได้ว่าทุกครั้งที่รัสปูตินไปที่พระราชวัง อาการก็หายไป..หรือความสามารถในการสะกดจิตให้หายเจ็บปวดได้
    แต่อะไรก็ตาม ทั้งซาร์และซารินาได้มีความเชื่อถือและเลื่อมใสพ่อหมอคนนี้อย่างหมดใจ จนได้รับสิทธิพิเศษหลายๆ อย่าง..
    ครั้งหนึ่งที่มีเสียงครหาหนาหู...ที่ว่าซาร์บริหารงานบ้านเมืองในอำนาจของพ่อมดหมอผีจนต้องให้พ่อหมอรัสปูตินต้องระเห็จออกไปจากวังกลับไปไซบีเรีย

    พอออกไปไม่เท่าไหร่ รัสปูตินก็ไปถูกอีหนูนางในฮาเร็มของตัวเองแทงเอาจนบาดเจ็บที่บ้านเกิด..อเล็กเซได้เกิดอาการเจ็บป่วยด้วยโรคกำเริบขึ้นมาอีก
    คราวนี้..ซารินาถึงกับต้องอ้อนวอนซาร์ให้เรียกรัสปูตินกลับมา..
    และในการมาครั้งนี้ของพ่อหมอ..เขามาอย่างผู้ชนะ..เรียกร้องได้ทุกอย่างจากซาร์ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่เบิกได้ไม่อั้นจากธนาคาร..หรือ..การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ การเมืองที่คิดจะฝากใครไปนั่งตำแหน่งไหนก็ได้..
    เมื่อมี"อำนาจ" ขนาดนั้น..ใครที่เคยเกลียดชัง..ที่ว่า แสนสกปรก โสโครก
    หน้าตาน่าเกลียด..กลับหันมาชื่นชมบูชา..พากันยกย่องสรรเสริญ

    คืออาการเจ็บป่วยของอเล็กเซนั้น ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ ซึ่งหมายถึงข้อกระดูกส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกาย ที่มักจะเป็นที่ขา หรือเข่า จะบวมโตขึ้น
    เจ็บปวดมาก มีไข้ นอนไม่ได้ พลิกตัวไม่ได้ เด็กอายุขนาดหกเจ็ดขวบ
    ที่ร้องไห้ โหยหวน...บางครั้ง เจ้าตัวเองถึงกับร้องเรียกหาพระเจ้าให้มาเอาชีวิตไป..เพราะอยากตายเหลือเกิน เจ็บจนทนไม่ไหว..

    ผู้เป็นพ่อแม่..ไม่ว่าใครก็ตาม..ได้ยินอย่างนั้นก็อยากจะตายตามไปด้วย..
    อีกทั้งความกังวล เพราะไม่ว่าแพทย์ที่ไหนก็ได้ลงความเห็นว่า พระโอรสอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวนัก (หมายถึงไม่น่าจะถึงสิบขวบ)
    เมื่อมีชายคนหนึ่ง..ที่สามารถช่วยได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม จะเอาอะไร
    เราก็ต้องยอมทั้งนั้น
    ครั้งหนึ่งที่อเล็กเซเจ็บหนักจนเกือบตาย ต้องเรียกหารัสปูตินมาช่วยด่วน
    พ่อหมอรัสปูตินได้เข้ายืนที่ข้างเตียง..สวดมนต์พึมพัม..ลูบไล้หน้าตาของ
    อเล็กเซไปมา สักพักเด็กก็หลับ จากนั้นมาอาการก็ดีขึ้น สองวันต่อมาก็หายเป็นปรกติ..

    นี่คืออำนาจที่ซาร์และซารินาต้องยอมสยบให้.........วิวันดา

 
    รัสปูตินมีอิทธิพลอยู่ในพระราชวังนานนับสิบปี จากพ่อหมอที่สมถะ..เคร่งวิชา มากลายเป็น พ่อมดอุบาทว์ วุ่นวายบงการชีวิตการเป็นอยู่ของซาร์และซารินา อีกทั้งจัดวงจรสาวกของตัวเองให้เป็นเอกเทศ รับอามิสสินจ้าง..
    ซึ่งเป็นที่รังเกียจอย่างทั่วไปในหมู่พระญาติใกล้ชิด ที่ต่างกลืนไม่เข้า คายไม่ออก..

    หากแต่คนภายนอกไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร..ไม่รู้ว่าทำไมรัสปูตินต้องเข้ามาอยู่ในพระราชวังหลวง เนื่องจากอาการเจ็บป่วยของอเล็กเซนั้นได้ถูกปิดเป็นความลับ จึงได้ครหาไปต่างๆ นานา..

    เรื่องการเคลื่อนไหวของหมู่ผู้ก่อการร้ายนั้น มีมานานแล้ว..ดังที่เล่ามาตั้งแต่แรกแล้วว่าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองที่ถูกลอบทำร้ายโดยระเบิดจนถึงแก่สวรรคต
    นั่นก็คือฝีมือของพวกที่ต้องการล้มล้าง..
    แต่เราก็ต้องมาดูถึงสาเหตุกันอีกที..ว่า ทำไมประชาชนถึงอยากจะปลดแอกตัวเองกันนัก ไม่รักเจ้าเหนือหัวหรืออย่างไร..
    ก็ต้องตอบว่า..รักยังไงก็คงไม่ไหว..เพราะสภาพของรัสเซียในยามนั้นที่แผ่นดินทางการเกษตรทั้งหมดอยู่ในมือของพวกอภิสิทธิชนที่มีอยู่รวมกันไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมด..

    ไม่ล้มล้างกันตอนนี้แล้ว..จะไปล้มล้างกันตอนไหน ประชาชนอดอยากกันถึงขนาดที่บางหมู่บ้านต้องกิน"ศพ" มนุษย์ด้วยกันเอง


    ในช่วงที่แพ้สงครามกับญี่ปุ่นนั้น..สถานะการณ์ภายในประเทศย่ำแย่มาก
    ซาร์ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการได้เหมือนอย่างกับพระบิดา
    ที่เคยเล่าไว้แล้วว่า ได้ทรงจัดให้รัสเซียเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีโรงงาน
    ผุดขึ้นมามากมายภายใต้แผนงานและนโยบายของนาย Sergei Witte รัฐมนตรีว่าการพานิชย์และเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นประธานในการจัดสร้างเส้นทางรถไฟสายทรานไซบีเรีย..
    นายวิตต์เป็นคนที่มือใหญ่ ใจเติบ ต้องการสร้างรัสเซียให้เป็นมหาอำนาจดังใจ..จึงต้องไปเที่ยวระดมทุนจากนายทุนฝรั่งเศส โดยการให้เปิดโอกาสให้สิทธิพิเศษมาจัดตั้งโรงงานตามใจชอบ
    นี่คือที่มาของการกดขี่แรงงาน..ยิ่งประเทศเกิดภาวะแล้ง..กสิกรหันหน้ามา
    พึ่งงานในมือง ก็ยิ่งโดนกดขี่อย่างหนักเข้าไปอีก โดยที่รัฐบาลไม่ได้สนใจช่วยเหลือ
    นี่คือสาเหตุที่มา..และยิ่งมาแพ้สงครามให้กับญี่ปุ่นอย่างยับเยินที่ไม่มีใครคาดคิด ทำให้ประชาชนเริ่มรู้ตัวแล้วว่า..คงรักประเทศชาติต่อไปอีกไม่ไหว
    เพราะชนวนที่แพ้สงครามนั้น..มันน่าเจ็บใจ คือ อาวุธล้าสมัย..
    ถนนหนทางการลำเลียงส่งเสบียงทุรกันดาร ทหารที่ท่าอาร์เธอร์ถูกปล่อยทิ้งให้สู้รบกันอย่างอดๆ อยากๆ

    ประชาชนได้ลุกฮือขึ้นมา..ด้วยความหวังสุดท้ายนั่นคือ หวังจะไปพึ่งซาร์
    ต้องการให้ซาร์เห็นใจ..และเข้าใจถึงปัญหา พวกเขาไม่เชื่อพวกเสนาบดีอีกต่อไป..ดังนั้นในวันที่.. 22 มกราคม 1905 ที่ประชาชนนับแสนต่างพร้อมใจกันเดินขบวนไปที่พระราชวังหลวง เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก นำโดย หลวงพ่อ Capon เพื่อจะถวายฏีกาท่ามกลางหิมะที่ขาวโพลน..ต่างพากันไชโยโห่ร้องพร้อมทั้งตะโกนขอให้พระเจ้าคุ้มครองซาร์อันเป็นที่รักและบูชา

    แต่ซาร์ไม่ได้ประทับอยู่ที่พระราชวังฤดูหนาวนั่น..เพราะที่ประทับคือพระราชวัง ซาร์โก เซโล

    ทหารเข้าตรึงรักษาพื้นที่..แม้ประชาชนจะร้องตะโกนเป็นระยะๆ ว่า
    "เรามาแบบไร้อาวุธ..ต้องการสันติ..โปรดอย่ายิงประชาชน.."
    แต่ไม่ได้ผล..ทหารต่างซัลโวใส่ไม่ยั้ง..ประชาชนที่หมายจะพึ่งพระบารมีล้มตายราวใบไว้ร่วง..นับพันศพ..เลือดแดงฉานเด่นชัดบนพื้นที่คลุมไปด้วยหิมะ

    และจากนั้นมา..ประชาชนหมดสิ้นในความรักที่มีต่อซาร์และพระราชวงค์
    เพราะเหตุการณ์นี้..มันย้ำเตือนให้คิดถึงไปยังโศกนาฏกรรมที่โคดิงกา
    ที่ตอนนั้นทุกคนปักใจเชื่อว่าเป็นความผิดของเหล่าเสนาบดี อย่าง แกรนด์ ดุ๊ค เซอเก ส่วนซาร์นั้นบริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่อง..

    แต่..จากวันที่ 22 มกราคม 1905 หรือเป็นที่รู้จักกันว่า Bloody Sunday นั้น
    ได้ยืนยันให้ประชาชนเชื่อได้ว่า..ซาร์นิโคลาส นั่นคือ ตัวการที่แท้จริง....วิวันดา    

 
   
    ขอย้อนกลับไปถึงข้อเขียนของซานโดรต่อ..หลังจากที่อภิเษกกับเซเนียแล้ว
    จะว่าไปจริงๆ ตลอดเวลายี่สิบสามปีที่นิคกี้ครองราชย์จนถึงเวลาแห่งการล่มสลายนั้น สองพระนางคู่นี้ก็มีส่วนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตลอดเวลา
    เอาเรื่องรายละเอียดที่ท่านผู้เขียนต้องลาออกจากราชการทหารเรือก่อน..เพราะจะเป็นการขยายพระอุปนิสัยของซาร์ได้ชัดเจน..

    V
    V
    V
    V

    หลังจากแต่งงานได้ไม่กี่เดือน ทั้งๆ อยู่ในระหว่างดื่มชิมน้ำผึ้งพระจันทร์กันอยู่
    แท้ๆ ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามสวรรคตกระทันหันนั้น..ทำให้คู่ของ เซเนียและซานโดรกับ นิคกี้และอลิกซ์ สนิทสนมกันเป็นที่สุด เพราะเซเนียก็คือเพื่อนสนิทของอลิกซ์ เช่นเดียวกันกับฝ่ายชายที่เป็นทั้งเพื่อนและญาติใกล้ชิด มีอะไรก็ปรับทุกข์แก่กัน ไปไหนไปกัน..อย่างเช่น
    มีอพาร์ทเม้นต์ใกล้กันในพระราชวังอานิชคอฟ..เพราะว่าต้องมาอยู่เป็นเพื่อนให้กับซารินาพระมารดาให้อบอุ่นใจทั้งเขยทั้งสะใภ้
    หรือยามที่แปรพระราชฐานไปยังพระราชวังฤดูหนาว เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
    หรือ..พระราชวังกัทชิโน หรือ พระราชวังปีเตอร์ฮอฟ
    ก็ไปด้วยกันหมด..

    ในฤดูฝน เราไปเยี่ยมจอร์จิที่ Abbas-Tuman และที่บ้านของเราในไครเมีย Ay-Todor นั่นก็อยู่ใกล้กับพระราชวังลิวาเดียชนิดว่าเดินถึงกันได้
    เราสนิทสนมกันถึงขนาดที่ว่า ในเดือนกรกฏาคม 1895 ที่ ไอรีน (Grand Duchess Irene (ต่อมาคือพระชายาของ เจ้าชาย Yousoupoff มือสังหารรัสปูติน) ลูกสาวคนแรกของฉันเกิดมา..อลิกซ์นั่งเฝ้าดูแลพยาบาลเซเนียอย่างไม่คลาดสายตา..

    อลิกซ์..ในฐานะคนแปลกหน้าในหมู่พระราชวงค์ของพระสวามี เธอจึงไม่มีที่พึ่งที่ไหนที่พอจะไว้ใจได้ นอกจากพวกเรา
    แทบทุกครั้งหลังจากอาหารค่ำ..เราทั้งหมดต้องมานั่งช่วยอ่านเอกสารงานราชการที่ส่งมาจากคณะรัฐมนตรีนานนับชั่วโมงๆ
    จากประสบการณ์นับสิบปีของการเป็นทหารเรือของฉันที่ทำให้ฉันได้เสนอแผนงานการปรับปรุงกองทัพเรือให้ใหม่
    นิคกี้เห็นดีด้วยทั้งหมด..สั่งให้ไปจัดพิมพ์เป็นเอกสารจำนวนมากเพื่อส่งไปให้กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพเรือภายใต้การนำของเสด็จอาอเล็กซิส..
    และ ท่านผบ. ติชาเชฟฟ์ (Tchichacheff)

    (แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ซาร์และน้องเขย..รวมหัวกันวางแผนเขี่ยกองทัพเรือหน้าเก่าๆ ให้ออกเพื่อ เพื่อจะเอาน้ำใหม่เข้ามา..)

    อลิกซ์ได้มีส่วนช่วยในการดำเนินงานครั้งนี้ด้วย เธอเอาใจช่วยและติดตามผลงานใกล้ชิด..ในโต๊ะพระกระยาหารกลางวันวันหนึ่งที่อยู่กันพร้อมหน้า ในเดือนเมษายน 1896 อลิกซ์ได้เข้ามาแอบกระซิบถามว่า
    "ส่งเอกสารไปหมดหรือยัง?"

    ฉันรีบก้มหน้าตอบพร้อมๆ กับจุมพิตพระหัตถ์ ว่า
    "เมื่อเช้านี้เอง.."

    ทุกคนในโต๊ะทำท่าหูผึ่งขึ้นมาทันที

    เช้าวันต่อมา..อลิกซ์ได้เรียกเราเข้าไปหา พร้อมทั้งบอกว่า เสด็จอาท่านพิโรธมากที่ฉันเหิมเกริมสั่งสอนงานของท่าน อีกทั้งขู่ว่าจะลาออกรวมทั้งท่านผบ.ติชาเชฟฟ์ด้วยถ้าหากว่าไม่ได้คำขอลุกะโทษอย่างเป็นทางการจากฉัน


    แน่นอนว่า..ฉันต้องรีบแจ้นไปหานิคกี้โดยด่วน..


    สิ่งแรกเลย..ที่ฉันละล่ำละลักบอกนิคกี้ว่า

    "จำได้ไหม..ที่ฝ่าบาทเห็นดีด้วย..บอกให้กระหม่อมจัดการส่งเอกสารไปให้เสด็จอา"

    "จำด้ายยย...แต่..เสด็จอาท่านก็พูดถูกนะ..ที่ว่า ฉันไม่สมควรจะให้น้องเขยมาวุ่นวายกับงานราชการของท่าน.."

    ได้ยินประโยคนี้เข้า..ฉันถึงกับยืนเซ่อไปจังงังใหญ่ กว่าจะหลุดออกไปว่า
    "ให้ตายเถอะ..ก็ก่อนจะทำเอกสาร..ฝ่าบาทเองต่างหากที่เป็นคนหนุนให้ทำ ให้แจก.."
    "น่านก็ช่ายยย...แต่เอาเหอะ..เราไม่อยากให้ครอบครัวต้องมาทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้..นายก็ยอมๆ เสด็จอาท่านหน่อยก็แล้วกัน..ทำตามข้อเสนอของเสด็จอาท่านหน่อยละกัน"
    "ข้อเสนออะไร?"
    "ท่านว่า..นายน่าจะไปบัญชาการเรือรบหลวง Emperor Nicholas I ที่อยู่ที่น่านน้ำในเมืองจีน.."
    "อ้อ..เข้าใจแล้ว..หมายถึงว่าโทษของการทำตามประประสงค์ของซาร์ ทำให้กระหม่อมต้องเป็นฝ่ายถูกเนรเทศไปเมืองจีนซะงั้น..?"
    นิคกี้ทำหน้าตึง..ด้วยความไม่พอพระทัย
    "มันเป็นวินัยของทหารน่า.."
    "และถ้ากระหม่อมปฏิเสธ.."
    "ก้อ..ไม่รู้เหมือนกัน..ฉันว่าเสด็จอาอาจจะอยากให้เธอลาออกจากการรับราชการมั้ง.."

    ฉันต้องสวดมนต์ของพรจากพระเจ้า..เพราะตอนนั้นสติกำลังจะขาดผึงด้วยโทสะที่แทบจะกลั้นไม่อยู่..
    "ตกลง..งั้นก็เอาตามนั้นละกัน เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย.."
    นิคกี้ท่าทางโล่งใจ..รีบเข้ามาสวมกอดฉัน พร้อมทั้งบอกว่า
    "ฉันรู้ว่าอย่างไรเสียนายก็ต้องเลือกทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรา เอาน่า..
    ปล่อยให้เสด็จอาท่านไปสักพัก ปีสองปี..เดี๋ยวหายโกรธเราค่อยว่ากันใหม่
    ทีนี้นายอยากจะทำอะไรก็ตามสบาย..เซเนียก็จะสบายใจไปด้วยที่สามีจะได้อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา"


    ก็จริงของนิคกี้..เซเนียกับฉันมีความสุขกันดีในชีวิตครอบครัว..มีลูกติดๆ กัน
    เรียงแถว เป็นหญิงเพียงหนึ่ง เกิด 1896 นอกนั้นชายล้วนหกคน..ไล่ไปตั้งแต่1897 จนถึง 1906 นับว่าถี่ยิบ..จนบ้านที่ Ay-Todor นั้นออกจะคับแคบไป
    จนต้องซื้อที่ข้างๆ ขยายออกไปอีก
    วันๆ ฉันก็ได้แต่ดูแลพื้นที่..ทำการปลูกผลไม้ ทำไร่องุ่น ผลิตไวน์เอง ปลูกดอกไม้..ซื้อไปซื้อมาก็ขายไปจนเกือบติดกับพระราชอาณาเขตของพระราชวังลิวาเดีย ที่ทำถนนเชื่อมถึงกัน ถนนนี้ซาร์และซารินาพากันเสด็จมาเยี่ยมบ่อยๆ จนเรียกได้ว่าเป็น ถนนโดยเสด็จ..

    จากวันที่เราขัดใจกันในวันนั้น..ฉันพยายามระงับและทำให้เป็นเรื่องปรกติระหว่างเรา รู้สึกเห็นใจและสงสารเขาพอสมควร..ที่..เป็นคนใจอ่อน ไม่เป็นตัวของตัวเอง

    แขกประจำบ้านของเราอีกคนหนึ่งคือ Princess Zinaida Yousoupoff ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าแก่สมัยเด็กๆ ที่เราเคยเล่นสเก๊ตด้วยกันแทบทุกวันอาทิตย์
    เจ้าหญิงซิไนดา เป็นคนสวย ร่ำรวย ใจบุญสุนทาน มีลูกชายหล่อเหลากะเขาคนหนึ่ง Prince Felix Yousoupoff ที่มักมาเล่นกับลูกๆ ของเราบ่อยๆ
    (ต่อมาก็มาเป็นเขย..)


    ภาพ Princess Zinaida Yousoupoff 


    สามปีผ่านไป..ที่ใช้ชีวิตเป็นพ่อบ้านเฉยๆ จนรู้สึกเบื่อหน่ายอย่าที่สุด จนถึงขนาดที่ต้องยอม..ฉันไปถามนิคกี้ดูว่าอารมณ์ของเสด็จอาอเล็กซิสดีขึ้นหรือยัง..ซึ่งคำตอบก็มีมาว่า..
    "อ้อ..ตกลงไอ้หัวแข็งคอเคเชี่ยนมันยอมรับผิดแล้วซิ"
    "พะยะค่ะ เสด็จอา..ซานโดรเขายอมรับว่าผิดไปแล้ว.."
    "งั้นก็ดี..งั้นอาจะให้มันไปควบคุมเรือรบหน่วยลาดตระเวณ"

    แต่ในฤดูร้อนปีนั้น..เราก็ได้สูญเสียจอร์จิไปอย่างไม่มีวันกลับ..ที่บ้านที่เมือง
    Abbas-Tuman ในขณะที่เขาออกไปขี่จักรยานยนตร์เล่นในยามเช้า..อาการกำเริบขึ้นมาล้มลงไปข้างทาง มีหญิงชาวบ้านผ่านมาพบเข้าช่วยประคองไว้ในอ้อมแขน..ช่วยดูแลจนเขาสิ้นใจจากไป..
    โรคปอดนี้ร้ายแรงมาก ได้พรากชีวิต อเล็กซิส น้องชายคนเล็กของฉัน และ
    ญาติ..Wiacheslav Constantinovich

    ในปี 1900 ฉันได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นกัปตันเรือรบลำใหม่ Rostislaff
    ประจำอยู่ที่ Black Sea ซึ่งถือว่าเป็นฤกษ์ดีในอนาคตข้างหน้าสำหรับการขึ้นศตวรรษใหม่และการรับตำแหน่งใหม่นี้..เป็นการแสดงความสามารถของตัวเองอย่างล้วนๆ แม้ว่าจะต้องอยู่ห่างไกลไปจากบ้านและครอบครัวไปบ้าง..

    ฤดูร้อนมาถึง..ที่ฉันต้องล่องไปกับเรือเพื่อไปสู่ฐานปฏิบัติการ Far East
    นิคกี้ได้ขอร้องให้ฉันทำหน้าที่ควบไปทั้งสองตำแหน่ง นั่นคือการเป็นกัปตันเรือ และ เป็นตัวแทนการค้าของกลุ่มวลาดิวอสต๊อคที่อยู่ในเขตลุ่มแม่น้ำ Yalu อันเป็นเขตกั้นพรมแดนระหว่างเรากับเกาหลี
    พวกกลุ่มพ่อค้านี้..สนใจที่จะทำเหมือง..เพราะว่าในเขตท้องที่ลุ่มแม่น้ำยาลูนั้น มีแหล่งแร่ทองคำอยู่มากมาย อันเป็นงานใหญ่และต้องการเงินสนับสนุนจากซาร์ และการที่เข้าถึงรัฐบาลของจักรพรรดิ์เกาหลีเพื่อบรรลุถึงวัตถุประสงค์ได้นั้น ต้องใช้ศิลปทางการทูตอย่างล้ำลึก นี่คือสิ่งที่ฉันเป็นห่วงมาก
    เพราะรู้ดีว่า กระทรวงการต่างประเทศของเรานั้น สามหาวไม่มีใครเกิน..
    วันวันนั่งติดอยู่กับโต๊ะ..ฝันหวานวาดวิมานที่จะทำให้ได้อย่างอังกฤษที่เข้าครองอินเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด..

    อย่างเมื่อสองปีก่อนที่เข้าไปยึดครองท่า Arthur เอามาไว้ในครอบครองอยู่คนเดียวไม่แบ่งคนอื่นจนญี่ปุ่นทำท่าไม่พอใจ..ขนาดญี่ปุ่นได้ส่งเสนาบดี อิโต (Ito) มาขอเจรจาออมชอมด้วยถึงในพระราชวังหลวงก็ยังต้องพบความผิดหวังกลับไป..จนในที่สุดเขาต้องไปเป็นแนวร่วมกับอังกฤษที่ต่อต้านรัสเซียมาแต่ไหนแต่ไร
    การที่ซาร์สนใจอยากจะขยายดินแดนมาทางตะวันออกไกลนี้ เพราะแรงยุยงส่งเสริมของไกเซอร์ (วิลเฮล์มที่สอง) ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าถ้าเมื่อไหร่"แหลม"เข้ามาในฝั่งแมนจูเรียนี่ละก้อ..จะต้องเปิด"ศึก"กับญี่ปุ่นแน่ๆ ..


    จนวันหนึ่งที่อดรนทนไม่ไหว..ต้องถามออกไปว่า
    "ฝ่าบาทอยากจะมีสงครามกับญี่ปุ่นกระนั้นหรือ?" และรีบเสนอต่อไปว่า
    "ถ้าจะเอาอย่างนั้น..ก็ต้องรีบสร้างทางรถไฟสายไซบีเรียให้เสร็จโดยด่วน..
    เพิ่มกำลังพลและเสบียงที่ตะวันออกของไซบีเรีย เตรียมฝูงเรือรบลำใหม่ๆ ออกท้องทะเลได้เลย"
    นิคกี้ได้แต่ยักไหล่ บอกว่า ฉันไม่ควรสนใจเสียงนกเสียงกาให้มากจนเกินไป
    เพราะไม่เชื่อว่าญี่ปุ่นจะกล้าประกาศทำสงครามกับรัสเซียอย่างแน่นอน
    น้ำหน้าอย่างญี่ปุ่น ไม่น่าจะมีน้ำยาทำสงครามกับใครได้ในตลอดชีวิตของพระองค์ที่เป็นซาร์
    นิคกี้..มั่นใจเสียเหลือเกิน..

    ส่วนฉัน..ก็ต้องรับหน้าที่ไปปฏิบัติการที่ลุ่มแม่น้ำยาลูตามพระบัญชา..

    หนึ่งปีผ่านไป..รัฐบาลได้เริ่มพูดถึงแผนงานใหม่ที่จะขยายเส้นทางรถไฟสายไซบีเรียให้ยาวไปถึงชายแดนเกาหลีเพื่อที่จะได้สมานเป็นทองแผ่นเดียวกัน
    ฉันเริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดระหว่าง ญี่ปุ่นกับรัสเซีย จนในที่สุดงานในฐานะประธานที่ปรึกษาของโปรเจคลุ่มแม่น้ำยาลูนั้นมันไม่น่าพิสมัย จึงเขียนใบลาออก อีกทั้งเขียนไปอย่างหมดเปลือกด้วยว่า..สงครามกับญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นแน่นอนถ้าเราไม่เตรียมการให้พร้อม (เพราะมัวไปสนใจกับเกาหลีอยู่) ก็อาจจะหมายถึงความพินาศของทหารรัสเซียจำนวนแสน.."

    เมื่อนิคกี้ได้รับใบลาออก..พยายามขอให้ฉันคิดใหม่ ทบทวนดูอีกที..แต่.
    ไม่ได้ผล เพราะตัดสินใจแล้ว..ว่า..ไม่เอา..

    การลาออกของฉันนั้นเกิดขึ้นในปี 1902 ..ควรที่จะออกข่าวป่าวประกาศ แต่เนื่องจากมันจะกระทบกระเทือนต่อสายใยของการค้าที่กำลังสานโดยกลุ่มพ่อค้า ดังนั้น ท่านรัฐมนตรี Baron Fredericks เห็นว่าควรจะเก็บไว้เป็นความลับรู้กันเฉพาะในหมู่วงใน..
    แต่พอสองปีต่อมา..สงครามกับญี่ปุ่นได้ระเบิดขึ้นในปี 1904 ผู้คนพากันหาว่า
    เป็นเพราะน้องเขยของซาร์ไปทำรุ่มร่ามในลุ่มแม่น้ำยาลู จนทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจ


    ความจริงได้มาเปิดเผยขึ้นเมื่อคณะปฏิวัติบอลเชวิคได้ทำเอกสารพร้อมหลักฐานแถลงถึงสาเหตุของสงครามกับญี่ปุ่น 1904-1905 ให้ปรากฏสู่สายตาของชาวโลกนั้น..บ่งชัดเจนว่าฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ

 

    ฉันก็เลยเหลือหมวกใบเดียว นั่นคือเป็นทหารเรือล่องไปกับเรือ Rostislaff
    ยามว่างก็ไปดูแลไร่องุ่นทำไวน์ของตัวเองที่บ้าน เลือกชีวิตในการเป็นข้าราชการอย่างเดียว ฉะนั้นถ้าจะมีอะไรผิดพลาดก็เป็นความผิดของตัวเอง
    โทษอะไรใครไม่ได้

    ในการสนทนากับนิคกี้บ่อยๆ นั้น..ฉันพยายามชักจูงและชี้แนะให้เรามีการปรับปรุงขยายเส้นทางเดินเรือพานิชย์ อีกทั้งพัฒนาท่าเรือต่างๆ ของเราให้ทันสมัยและแข็งแรงมั่นคง ฉันเสียเวลาพร่ำไปหลายเดือนกว่านิคกี้จะตกลงใจ
    อีกทั้ง..ในที่สุด เขาก็เสนอให้ฉันไปเป็นรัฐมนตรีว่าการพานิชย์นาวี..
    ซึ่งตำแหน่งนี้..ได้รับการบรรจุในปลายปี 1902 นับว่าฉันได้เป็นเสนาบดีที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาติ (พระชนมายุสามสิบหกปี)
    ซึ่งตอนนั้นรัฐมนตรีการคลังและพานิชย์คนดังคือ นาย เซอเก วิตต์
    ที่ดูท่าจะเข้ากันได้ดีกับฉัน..แต่ในฐานะที่เป็นแกรนด์ ดุ๊ค นั้นทำให้เขาค่อนข้างเครียดไปพอสมควร..เพราะไม่รู้ว่าคำสัมภาษณ์ของฉันที่จะไปปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์ หรือกับคณะเสนาบดีคนอื่นๆ นั้นจะเป็นอย่างไร
    เนื่องจาก..เขาไม่สามารถ"สั่ง"ฉันให้คิด หรือ พูดตามที่เขาต้องการได้

    ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาทำได้ คือ ฝืนยิ้มต่อหน้าฉัน ลับหลังก็ส่งรายงานไปทูลให้ฟ้องซาร์ว่า "งบประมาณของชาติจะถูกกัดกร่อนไปด้วยโปรเจคชิ้นใหญ่ของเรื่องกองเรือพานิชย์"
    หนังสือพิมพ์รีบรับลูกไปตีข่าว..โดยใช้ฐานข้อมูลจากนายวิตต์..






    ดูภาพพาโนรามาของ เอ-โตดอร์ ได้ที่นี่ค่ะ

    http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.panoramio.com/photos/original/9852051.jpg&imgrefurl=http://www.panoramio.com/photo/9852051&usg=__IPj0Tw9gnJc15mk9tjy1f5MT9HE=&h=600&w=2123&sz=350&hl=en&start=32&um=1&tbnid=0EjZRPIRrQZXCM:&tbnh=42&tbnw=150&prev=/images%3Fq%3DAy-Todor%26start%3D20%26ndsp%3D20%26um%3D1%26hl%3Den%26rlz%3D1T4PCTA_enUS285%26sa%3DN


    แม้ว่าจะมีกระแสเสียงที่ต่อต้านเสนาบดีแกรนด์ ดุ๊คพอสมควร แต่ฉันก็ประสบความสำเร็จในการวางเส้นทางพานิชย์ในน่านน้ำอ่าวเปอร์เซียควบขนานไปกับอีกสี่บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เป็นคู่แข่งของเยอรมันและอังกฤษ
    เพราะความสำเร็จในงานสำคัญนี้..ได้ทำให้แผนการขั้นต่อไปคือการจัดระบบ
    แผนพัฒนาสิบปี ในการที่จะทำนุบำรุงท่าเรือพานิชย์ให้ทันสมัยในการรองรับ
    เรือของเรา..

    ปัญหาต่อมาของเราคือ "น้ำมัน"ที่ฉันได้เสนอให้มีการแบ่งให้สัมปทานกับ"คนนอก"มาลงทุนขุดเจาะในเขต Baku ที่อยู่ในเขตของกองทัพเรือ เพราะงานนี้จะสร้างกำไรให้กับประเทศอย่างมหาศาล
    แผนนี้ได้ถูกต่อต้านอย่างหนัก..ต่างหาว่าฉันมีความคิดที่นอกคอก..อกตัญญูต่อบ้านเกิด เป็นไอ้โซเชียลลิสต์ที่คิดจะเอาที่ดินของกองทัพไปให้
    คนอื่นมาทำกิน..

    แต่ต่อมา..ช่วงก่อนสงครามโลก ดินแดนที่อุดมไปด้วยน้ำมันของบาคูได้ขายไปให้กับกลุ่มพ่อค้าอาร์เมเนี่ยนในราคาที่ถูกแสนถูก ปล่อยให้เขาตักตวงเอาน้ำมันไปขายจนได้กำไรเป็นพันๆ ล้านเหรียญดอลล่าร์

    ต่อมา..วันที่ 22 มกราคม 1903 คืองานราตรีสโมสรแต่งแฟนซีครั้งยิ่งใหญ่ของพระราชวังหลวงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก (และจะเป็นงานใหญ่ครั้งสุดท้ายแห่งโรมานอฟ)
    ดังเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนนั้นที่ฉันและนิคกี้ที่ได้มีโอกาสยลซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สองเสด็จออกมาในท้องพระโรงแห่งพระราชวังหลวงโดยมีเจ้าหญิงยูเรียฟสกาย่าอยู่เคียงข้าง..
    นี่ก็ผ่านมาจนถึงบัดนี้ที่เราจะได้ใช้ท้องพระโรงนี้..จัดงานใหญ่อีกครั้ง สายตาที่อ่านปราดไปในบัตรเชิญที่จำเพาะว่าทุกคนต้องแต่งกายแฟนซี..ในธีมของศตวรรษที่สิบเจ็ด เหมือนประหนึ่งเป็นพระประสงค์ของซาร์ที่จะเรียกบรรยากาศเก่าๆ แห่งความรุ่งเรืองในยุคนั้นให้กลับมาอีกครั้ง..  



    งานเลี้ยงประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล อีกทั้งได้มีการจัดซ้ำสองอีกครั้งแบบเดียวกันเป๊ะในคฤหาสน์ของมหาเศรษฐีท่านเค้านต์ Alexander Sheremeteff
    แต่งานแฟนซีที่แสนอลังการของเรานั้น ได้สร้างความแปลกใจให้กับทูตของนานาประเทศเป็นอย่างมาก เพราะขณะที่เรากำลังเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน
    ประชาชนคนงานข้างนอกกำลังก่อการสไตร์ค..
    บรรยากาศฝั่งเอเซียกำลังอึมครึม..
    นายพล Kouropatkin เจ้ากรมกลาโหมที่อุตส่าห์ถ่อร่างไปสำรวจพื้นที่ณ.แดนไกลโพ้น กลับมาก็ยังถวายรายงานให้ทรงทราบว่าทุกอย่างเป็นปรกติดี..กองทัพญี่ปุ่นที่ว่าทำท่าขึงขังนั้นเป็นเรื่องตลก ท่าอาร์เธ่อร์ก็มั่นคงแข็งแรงอยู่ได้อีกนานนับสิบปี กองทัพเรือของเราถ้าจะเอาจริงๆ ไอ้พวกญี่ปุ่นต้องได้รับรสอย่างสาสม..

    ฉันอ่านรายงานของท่านเจ้ากรมด้วยความเศร้าใจ รีบรุดไปที่พระราชวังซาร์โก เซโล เพื่อเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง..
    แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร..มิใยที่จะเตือนนิคกี้แล้ว เตือนอีก..ก็เสมือนกับชี้ทางให้คนตาบอด..
    แต่อย่างไรเสีย..ฉันได้แต่อ้อนวอนให้นิคกี้ซีเรียสกับเรื่องนี้ให้มากๆ หน่อย
    ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมาเถียงกันอย่างเด็กๆ อย่างเมื่อก่อน
    "เจ้ากรมนี่..ท่าจะบ้า หรือไม่ก็โง่..หรือเป็นทั้งสองอย่าง
    ท่าอาร์เธอร์อาจจะดูแข็งแรงถ้าจะรบกันแบบเก่า แต่ไม่สามารถทนกระสุนปืนใหญ่แบบใหม่ได้หรอก กองทัพเรือของเรา..เป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกจุดยุทธศาสตร์เลยนะ.."
    "แล้วนายคิดว่า นายน่ะเก่งกว่าพวกเสนาธิการกองทัพงั้นซิ" นิคกี้เริ่มออกแนวถากถาง..
    "ความรู้เรื่องญี่ปุ่น เรื่องของชนชาติญี่ปุ่นไง กระหม่อมไม่ได้รู้จักพวกเขาแค่มองจากหน้าต่างรถ หรือแค่นั่งอ่านเอาบนโต๊ะทำงานเท่านั้นนะ..เพราะใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นถึงสองปี รู้จักทุกชนชั้น พบกันทุกวัน..ถ้าฝ่าบาทอยากจะหัวเราะเยาะก็เชิญเลย..แต่..พวกญี่ปุ่นคือนักสู้เลือดเดือด กล้าหาญ กล้าตายจริงๆ .."
    นิคกี้ยักไหล่..
    "อ้อ..นายจะให้ซาร์แห่งรัสเซีย..มานั่งฟังคำพูดของน้องเขย..และจะให้เชื่อมากกว่าฝ่ายเสธ.งั้นซิ?"

    ฉันกลับมายังที่ทำงานของตัวเอง..สาบานต่อหน้าพระว่า..จะไม่แนะนำอะไรกับนิคกี้อีกต่อไป..

    เช้าวันหนึ่งในเดือนกรกฏาคม ที่มีโทรศัพท์ด่วนมาจากวังเสด็จพ่อ..มหาดเล็กรายงานมาว่า เสด็จพ่อล้มในห้องบรรทม..มีอาการของหัวใจกำเริบ
    เมื่อฟื้นขึ้นมาทรงเป็นอัมพฤกษ์ สามอาทิตย์เต็มๆ ที่พระองค์อยู่ระหว่างความเป็นความตาย..นอนนิ่งขยับพระองค์ไม่ได้
    ฉันเฝ้าดูแลท่านตลอดทั้งวันทั้งคืน สงสารจนบอกไม่ถูก เสด็จพ่อมีพระชนมายุมาถึงเจ็ดสิบเอ็ดชันษา ผ่านมารับใช้สนองพระเดชพระคุณถึงสามรัชกาล
    จนเดือนสิงหาคม..ที่พระองค์เริ่มรู้สึกองค์ เริ่มขยับได้บ้าง..ทีมหมอและพยาบาลจึงได้ทำการย้ายพระองค์ไปยังฝรั่งเศส เมือง คานส์ เพื่อการบำรุงรักษาพักฟื้น..

    เสด็จพ่อยังมีพระชนมายุต่อได้ไปอีกหกปี..ทันเห็นและรับรู้ในความหย่อนยาน ไร้สมรรถภาพของกองทัพของเรา

    ฉันกลับบ้านในเดือนกันยายน..ไปที่พระราชวังหลวงในเดือนตุลาคม
    สภาองคมนตรีขาดเสด็จพ่อไปเสียคน..วุ่นวายโกลาหลพอสมควร
    ส่วนฉันในฐานะพ่อลูกเจ็ด ไปไหนทีก็เหมือนกับเคลื่อนทัพ เพราะทีมงานของพระพี่เลี้ยง พระอาจารย์ พยาบาล..นายทหารที่ติดตามรวมกันนับจำนวนไม่น้อย..
    หลังจากการฉลองปีใหม่ผ่านไป..ฉันตกลงใจที่จะพาครอบครัวไปเยี่ยมเสด็จพ่อที่คานส์ ก่อนไป..
    ในฐานะเจ้า..ฉันต้องไปขออนุญาตการเดินทางจากซาร์
    เป็นลายลักษณ์อักษร..
    แต่ในฐานะน้องเขย..แค่บอกกันเฉยๆ บนโต๊ะเสวย
    เป็นอันว่ารับรู้..

    ตอนนั้น อลิกซ์ทรงครรภ์อีกครั้ง..นิคกี้หวังว่าใจอย่างยิ่งว่าจะเป็นพระโอรส..
    หลังจากพระกระยาหารกลางวันผ่านพ้นไป..เราก็เดินออกไปสูบบุหรี่กันข้างนอก
    นิคกี้ไม่ยอมเอ่ยถึงเรื่องทางตะวันออก..แต่ก็ยังมีทีท่าเชื่อมั่นเต็มที่
    อีกทั้งเป็นบุคลิกของเขา..ที่ไม่ชอบการสนทนาเรื่องหนักๆ
    แต่..ฉัน..สังหรณ์ใจจนอดรนทนไม่ได้..จึงต้องเริ่มการสนทนา
    "ฝ่าบาทยังเชื่อว่าอย่างไรเสียสงครามก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ?"
    "งั้นซิ.."
    "แต่...ถ้าเราไม่ยอมโอนอ่อนตามข้อเสนอของญี่ปุ่น..เท่ากับเขาไม่มีทางเลือก"
    "พวกญี่ปุ่นไม่มีวันที่จะประกาศสงครามกับเราหรอก.."
    "ใครจะหยุดเขาได้เล่า..?"
    "พวกมันไม่กล้าหรอก.."
    "สรุปว่า..ฝ่าบาทจะยอมอ่อนข้อลงบ้าง..หรือไม่ยอมเลย?"
    "น่ารำคาญจริง..ซานโดร..ฉันบอกตรงนี้เลยว่า..พวกมันไม่มีวันที่จะเปิดศึกกับเราแน่ๆ "
    "ขอให้เป็นจริงอย่างนั้นเถอะ"
    "อ๋อ..แน่นอน"

    จากนั้น..ฉันและครอบครัวเดินทางจากรัสเซีย..ไปเยี่ยมเสด็จพ่อและอยู่นานถึงสามอาทิตย์..
    ในวันที่เดินทางกลับรัสเซีย..ที่สถานีรถไฟ การ์ เดอ ลีออง (Gare de Lyon)
    ในปารีส ที่สายตาได้เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวใหญ่ยักษ์เจ็ดบรรทัดว่า..
    "ทัพเรือญี่ปุ่นถล่มตอร์ปิโดใส่ฝูงเรือรัสเชี่ยนไม่ยั้งที่ท่าอาร์เธอร์"

    นี่คือธรรมเนียมเก่าแก่ของพวกตะวันออกจริงๆ ..ที่"ลุย"ก่อนแล้วค่อยแจ้งข้อหาทีหลัง..!!

 

    จากคานส์..ฉันรีบกลับไปรัสเซียเพื่อเข้าเฝ้าซาร์เป็นการด่วนที่พระราชวัง
    อานิชคอฟ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องทรงงาน พบว่าซาร์กำลังประทับยืน ทอดพระเนตรไปยังสายฝนพรำที่อยู่นอกหน้าต่าง
    หลังจากการทักทายกัน...ทรงบ่นเรื่องดินฟ้าอากาศนิดหน่อย
    แล้วเราก็วกเข้าเรื่อง..ฉันเริ่มก่อน
    "ที่เข้าเฝ้านี่เพราะอยากจะขออนุญาตไปแนวหน้าที่ท่าอาร์เธอร์ ไปช่วยดูแล
    ทหารและกองเรือ คงเข้าพระทัยดีนะว่ากระหม่อมรู้สึกอย่างไร"

    "เข้าใจซิ..แต่ให้ไปไม่ได้หรอก..ซานโดร เราอยากให้นายอยู่ให้คำปรึกษากับเราที่นี่ ความจริงนายน่าจะไปพบกับเสด็จอาอเล็กซิสและพวกเจ้ากรมด่วนเลยนะ"

    เราเถียงกันประมาณชั่วโมงหนึ่ง เพราะว่าฉันพยายามทูลให้ทราบว่า ที่แนวหน้า..ฉันจะมีประโยชน์มากกว่า แต่ไม่สำเร็จ
    พอเชื่อได้ว่า..เป็นฝีมือของซารินาพระมารดาและเซเนียที่ไม่ต้องการให้ฉันออกไปเสี่ยงชีวิต

    บ่ายวันนั้น..ฉันได้ไปพบกับเจ้ากรม Avelan ที่อดีตคือท่านผบ.ของเรือ Rynda ที่ฉันเคยประจำอยู่ เป็นคนเก่งมีฝีมือ ตอนนี้ได้เลื่อนตำแหน่งมาเป็นเจ้ากรมยุทธการนาวี
    ทั้งผบ. อเวลัน และ ท่านรมต. Rojdestvensky เจ้านายของเขา..ไม่สามารถให้คำตอบกับฉันได้..ว่า..จะต้องทำอย่างไรเราถึงจะมีชัยเหนือพวกญี่ปุ่นที่ใช้เรือรบพร้อมปืนใหญ่ที่ทันสมัยจากอังกฤษ ด้วย..เรือรบที่แสนเก่าแก่เทอะทะที่สี่สิบห้าลำจอดอยู่ในน่านน้ำแปซิฟิค

    ท่านรมต. โรเดทสเวนสกี้ พูดจาชุ่ยๆ ออกมา..ว่า..ตัวท่านเองอยากจะแล่นเรือออกไปรบกับพวกญี่ปุ่นให้รู้ดำรู้แดงไปเลย..
    ท่านผบ. อเวลันได้ฟังเข้า โกรธจนหนวดกระดิก เพราะนี่มันไร้ซึ่งสติปัญญาของคนระดับรมต.จะคิดออกมาได้..ในฐานะของจอมทัพ..มันต้องคิดหาทางแก้ไขด้วยตำราพิชัยยุทธ ไม่ใช่เอะอะก็จะออกไปรบแบบบ้าๆ บอๆ
    ท่านรมต. ก็เถียงอีกอย่างข้างๆ คูๆ ว่า
    "จะให้ทำอย่างไร ในเมื่อประชาชนต้องการข่าวที่ให้ความมั่นใจได้ กระหม่อมเองก็รู้ดีว่า..โอกาสที่จะชนะญี่ปุ่นนั้นเราแทบไม่มีเลย.."
    "อ้าว..ทีงี้มาพูดอย่างนี้..เมื่อก่อนนั้นยังหัวเราะเยาะพวกญี่ปุ่นอยู่ไม่ใช่เหรอ.." ฉันโวย ซึ่ง..ท่านรมต.ก็แถต่อไปว่า
    "กระหม่อมไม่ได้หัวเราะเยาะ..แต่กระหม่อมหมายความจริงๆ ว่าจะขอรบด้วยตัวเองจนสุดใจขาดดิ้น.."

    "ให้ตายซิ.. เราเอาคนอย่างนี้มาเป็นแม่ทัพเรือได้อย่างไรกัน..!!!!!"
    

    แต่ก็ไม่น่าสงสัยหรอกนะ..เพราะดูจากบุคลิกของจอมทัพเรือเหนือหัว เสด็จอาอเล็กซิส ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดี เพราะไม่ว่าข่าวจะมีมาถึงว่า ญี่ปุ่นมีพร้อมทั้งหมดในเรื่องยุทโธปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรือ กำลังพล ม้า..
    ก็ยังไม่สนใจ..เพราะเชื่อมั่นเหลือเกินว่านกอินทรีย์ย่อมจิกตีพวกลิงหน้าเหลืองจนร้องเจี๊ยกจ๊ากวิ่งกระเจิงอย่างไม่มี ทางสู้อย่างแน่นอน
    แล้วก็จะเบนการสนทนาไปยังเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับสงคราม เช่น
    ได้ตำราการปรุงปลาสเตอร์เจียนมาใหม่ อร่อยเหาะ..หรือ ข่าวของบรรดาพระสหายที่กำลังสำเริงสำราญอยู่ที่มอนตี คาโล

    นายพล Kouroupatkin แห่งกองทัพบกที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งในฐานะผบ.
    ที่กระเหี้ยนกระหือรือเสียเหลือเกิน เชื่อว่า..พวกลิงหน้าเหลืองนั่นจะต้องแตกพ่ายไปก่อนที่เขาจะออกไปแนวหน้าซะด้วยซ้ำ เพราะตำราที่เรียนมาจากโรงเรียนนายร้อยว่าไว้อย่างนั้น..ดังนั้นข่าว"โว"ทั้งหลายที่ออกจากปากนายพลคนนี้จึงมักจะเป็นข่าวใหญ่ประชาชนอ่านแล้วสบายใจ..

    คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาแถลงไขในเรื่องการสงครามในครั้งนี้ เพราะมันเท่ากับเป็นการตอกย้ำว่า..รัสเซียพลาดแล้วก็พลาดอีกอยู่นั่นแล้ว
    สิบแปดเดือนเต็มๆ
    แต่ที่แก้หน้าไปได้หน่อยนึง..ก็คือ นายเซอเก วิตต์ ได้ใช้ลิ้นทองเจรจาทางการทูตจนได้สนธิสัญญาสงบศึก Treaty of Portsmouth ที่ทำให้เราดูดีในสายตาของชาวโลก..



    อันนี้เล่าเสริมค่ะ..Treaty of Portsmouth (1905)

    ที่ประธานาธิบดี Theodore Roosevelt เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจาให้
    เนื่องจากรัสเซียได้อ้างความไม่พร้อมในสงครามเนื่องจากประเทศได้มีความไม่สงบสุขภายใน เนื่องจากมีขบวนการต่อต้านอย่างรุนแรง (คงจำได้เรื่องของ Bloody October) การประชุมได้มีขึ้นที่กองทัพเรือ Portsmouth, New Hampshire ในวันที่ 5 กันยายน 1905
    ก็มีการออมชอมกันดี ญี่ปุ่นได้ท่าอาร์เธอร์ไป และให้รัสเซียเซ็นสัญญาเช่า
    อยู่เป็นระยะยี่สิบห้าปี..อีกทั้งต้องคลายการควบคุมน่านน้ำทางด้านใต้ของหมู่เกาะ Sakhalin เรียกได้ว่าแบ่งกันกินแบ่งกันใช้..

    ผลจากงานนี้..ท่านปธน. ธีโอดอร์ รูสเวลต์ ได้รับรางวัลโนเบล..
    นาย เซอเก วิตต์ ได้รับตำแหน่งประธานรัฐมนตรี เทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีคนแรกของรัสเซีย เพราะ จากวิกฤตินี้ทำให้ซาร์ต้องจัดระบบราชการใหม่
    ในระบบรัฐสภา หรือที่เรียกว่า The State Duma ที่ดูเหมือนว่าประชาชนจะได้รับสิทธิและเสรีภาพ..มีการเลือกตั้งอย่างประเทศที่เจริญแล้ว..
    แต่ต่อมาไม่ทันถึงปี..ก่อนที่จะจัดการแผนงานและสถานที่เสร็จ..ซาร์ได้เปลี่ยนพระทัยอีกแล้ว..เกิดหวงอำนาจขึ้นมา..ออกพระราชบัญญัติมาใหม่
    ให้ประชาชนผิดหวังไปตามๆ กันนั่นคือ มันกลายเป็น State Duma ภายใต้การนำของซาร์ที่จะปลดหรือตั้งรัฐมนตรีคนไหนก็ได้..หรือจะทำการเลือกตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ตามความพอพระทัย
    เราเรียกสภานี้ว่า..The imperial State Duma ที่ได้มีการเลือกตั้งถึง สี่ครั้ง
    ครั้งแรกคือ 1906 สองครั้งใน 1907 และใน 1912.....................วิวันดา


    ชีวิตของฉันในช่วง 1904-1905 นี่..มันช่างปวดใจนัก..
    ในเดือนกุมภาพันธ์ 1904 ที่นิคกี้สนใจในแผนงานของฉันที่เสนอไป แผนนั้นคือแผนที่เราเรียกว่า cruiser war อันหมายถึงเราจะใช้เรือกองสินค้าของเราดัดแปลงติดอาวุธควบคุมน่านน้ำรอบญี่ปุ่น
    คอยตรวจค้นเรือสินค้าด้วยกัน เพื่อไม่ให้มีการนำสินค้า"ต้องห้าม" เข้ามา
    เช่น อาวุธ ดินปืน ..เพราะข่าวจากสายลับของเรานั้นมีเข้ามาเสมอว่า..พวก
    สินค้าพวกนี้ได้หลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่น ด้วยฝีมือของเยอรมัน และ อังกฤษ
    ฉัน.. ในฐานะของรมต.กองเรือพานิชย์ ได้จัดการสั่งซื้อเรืออีกสี่ลำขนาดระวางหมื่นสองพันตัน.. (จากอเมริกา) และมีเรือพานิชย์เอกชนเข้ามาร่วมด้วยอีกมากมาย..
    ทุกคนต่างเห็นด้วย..สั่งปฏิบัติการด่วนได้เลย..

    เราได้ส่งเรือดังกล่าวไปล่องในทะเลแดง..จับพวกลักลอบ"สินค้าต้องห้าม"
    นี้ได้ถึงสิบสองลำขนาดยักษ์ๆ ..อันเป็นของเยอรมันและอังกฤษตามคาด
    ถึงแม้ว่าแผนงานนี้จะเป็นที่ทุ่มทุนมหาศาล..แต่ก็คุ้มจนเกินคุ้ม..


    ฉันกำลังนั่งฝันหวาน..รอเสียงชมเชยถึงผลสำเร็จในครั้งนี้..หากแต่
    แทนที่จะเป็นดอกไม้..กลับกลายเป็นคำสั่งให้เข้าเฝ้าซาร์โดยด่วน
    เพราะท่านรมต. ต่างประเทศได้หอบโทรเลขปึกใหญ่จากเยอรมัน และอังกฤษเข้าไปทูลฟ้อง..ว่า..ทั้งเบอร์ลินและลอนดอนกำลังลุกเป็นไฟ..
    ต่างโกรธแค้นที่เรือสินค้าถูกยึด..หาว่า..เป็นการกระทำอุกอาจเยี่ยงโจรสลัด

    เมื่อไปถึง..ก็อยู่กันพร้อมหน้า ซาร์ เสด็จอาอเล็กซิส นายพลอเวลัน
    สองคนสุดท้ายนั่น ทำท่าเหมือนกับเป็นเด็กน้อยที่แสนบริสุทธิ์ ที่ถูกจับได้ว่า
    กำลังซุกซน แอบหยิบขนมไปกิน..โดยการเสี้ยมสอนโดยเด็กแก่นที่มีนามว่า..ซานโดร..

    นิคกี้เองก็เถอะ..ทำท่าลืมไปสนิทว่า แผนงานนี้ เขาเองเป็นผู้อนุมัติ..
    แถมยังมีหน้ามาบอกว่า..ขอคำอธิบาย..
    ฉันโวย..
    "คำอธิบายบ้าบออะไรกัน..แล้วมันเรื่องอะไรกันที่ประเทศที่ยิ่งยงอย่างรัสเซียต้องไปเที่ยวขอโทษขอโพยในการที่เราจะรักษาความปลอดภัยของเสถียรภาพของเรา..มันผิดตรงไหนที่เราจำเป็นจะต้องเข้าตรวจค้นของต้องห้ามที่มันจะเอามาทำลาย ทำร้ายเรา นี่มันภาวะสงครามนะ..ไม่จำเป็นต้องมาห่วงเรื่องการทูตให้มากนัก"
    "แต่ฝ่าบาทไม่เข้าพระทัย..เราไม่อยากจะเปิดศึกกับอังกฤษ หรือ เยอรมัน
    จากข้อความในโทรเลข..ไกเซอร์ทรงเกี้ยวกราดมากเลย.." รมต. ต่างประเทศรีบตอบ..
    "ก็ไม่เข้าใจน่ะซิ..แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ..ไกเซอร์น่ะเป็นคนปากโป้ง ปากเปราะอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร..อีกทั้งมันก็น่าสงสัยนักว่า..เขาเป็นพวกเราหรือเป็นศัตรูกันแน่..เล่นบทนกสองหัวมาตลอดเวลา ไหนเมื่อก่อนเคยพูดบ่อยๆ ไม่ใช่หรือว่า..พวกเราชาวผิวขาวต้องผนึกกำลังช่วยเหลือกัน"

    รมต. รีบหันไปฟ้องซาร์ต่อว่า..
    "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทพะยะค่ะ..แกรนด์ ดุ๊คไม่เข้าพระทัยจริงๆ ว่านี่เป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ ..คงอยากจะปกป้องกองเรือของพระองค์มากกว่า.."
    "อ้าว..กลายเป็นกองเรือของฉันคนเดียวไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน.." ฉันหันไปทางเสด็จอา และ นายพลอเวลัน ที่ต่างหลบตากันวูบวาบ..
    นิคกี้รีบขัดจังหวะ..โดยตรัสว่า
    "เอางี้..ฉันตัดสินใจแล้ว..ซานโดร..นายรีบส่งคำสั่งด่วน..ให้ปล่อยเรือที่เราจับมาได้ทั้งหมดเดี๋ยวนี้เลย..แล้วก็เลิกแล้วต่อกัน..ไม่ต้องไปจับใครเขาอีก"

    ฉันแทบกระอักออกมาเป็นโลหิต..เพราะรู้สึกเจ็บปวดแทนผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ที่พวกเขาทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์
    แต่แล้วก็ต้องมาโอละพ่อ..
    และยิ่งเจ็บปวดหนักเข้าไปอีก..ที่จินตนาการมองเห็นหน้าของไกเซอร์ที่กำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจ..อีกทั้งเสียงหัวเราะก้องด้วยความมีชัยของท่านจอมทัพอิโต..
    ถ้าเป็นภาวะธรรมดา ฉันคงต้องขอลาออกจากทุกตำแหน่งที่นั่งอยู่ แต่..
    ความเป็นแกรนด์ดุ๊ค..ที่จะต้องร่วมทุกร่วมสุขกับเจ้าเหนือหัวนั้น..ทำได้แค่สองอย่างคือรับสนองพระบัญชา และ กล้ำกลืนความเจ็บปวดเอาไว้กับตัวเอง..


    หลังจากบทเรียนที่เจ็บปวดที่ได้รับจาก cruiser war ที่ผ่านมานั้น ฉันก็หวังว่า นิคกี้คงจะปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ เลิกมายุ่งกันซะที..
    แต่ที่ไหนได้..ถูกเรียกเข้าเฝ้าอีก..พบกับชุดเดิม เสด็จอา, นายพลอเวลัน
    ที่ต่างพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ตามแผนของแม่ทัพ Rojdestvensky
    ที่วางมาว่า..สมควรส่งเรือรบทั้งหมดที่เหลือไปยังน่านน้ำแปซิฟิคในจุดเดิมที่ถูกตีแตกมาแล้วทุกครั้ง..ก็ทั้งๆ ที่รู้ว่าแทบไม่มีทางชนะแล้วจะส่งไปทำไม..
    ท่านแม่ทัพได้ตอบว่า..
    "ก็...ต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อให้ประชาชนได้อุ่นใจว่าเราได้สู้ถึงที่สุดแล้ว"
    นี่ก็จะบ้ากันเข้าไปใหญ่..เพราะนั่นหมายถึงชีวิตทหารนับหมื่น นับแสน..
    ไหนจะเรือรบอีก..เพื่อจะเอาไปแลกกับคำหรูๆ ในหน้าข่าว..ว่า..การสู้ศึกแบบแผนผสมผสาน หรือ อภิมหายิ่งใหญ่แห่งราชนาวีที่จะเข้าขยี้กองเรือของญี่ปุ่นให้พ้นไปจากน่านน้ำแปซิฟิคให้ย่อยยับไปในพริบตา..

    นิคกี้ต้องการถามความเห็นจากพวกเรา..เสด็จอานั่งเงียบ..นายพลอเวลันพูดจาเรื่อยเจื้อยน้ำท่วมทุ่ง..หาความหมายที่แท้จริงไม่ได้
    ฉันพรั่งพรูถ้อยคำออกไปอย่างไม่เกรงใจใครทั้งสิ้นว่า..
    "ไม่สมควรที่จะส่งเรือรบของเราที่เหลือออกไปเป็นเหยื่ออีก.."
    ที่นิคกี้..เห็นด้วยทุกประการ..

    สองอาทิตย์ผ่านไป..นิคกี้เปลี่ยนใจอีกแล้ว..สั่งให้กองเรือเตรียมพร้อมออกสู่ทะเล..ฉันต้องตามเสด็จไปที่ท่าเรือ Kronstadt ในพิธีตรวจกองเรือและ
    ทำพิธีอวยพร..
    ในขณะที่เรากำลังเดินทาง ในเรือพระที่นั่ง ซาร์เริ่มลังเลอีกครั้ง เพราะลึกๆ แล้วในพระทัยทรงทราบดีว่า..ความคิดของฉันที่เสนอนั้น ถูกต้องหมด
    ซาร์ตรัสว่า..
    "เอ..เราปรึกษาเสด็จอา กับ อเวลันอีกทีดีไหม..คราวนี้ให้ฉันคุยกับเขาส่วนตัวเลย..จะได้ไม่ต้องมาหาว่าเพราะนายมาเสี้ยมสอนเรา.."

    ว่าแล้ว..พวกเขาก็มีประชุมกันนายหลายชั่วโมง โดยมี"ไอ้เด็กแสบ" แห่งทัพเรืออย่างฉันคอยอยู่ข้างนอก..
    อเวลัน..ออกมาข้างนอก และบอกฉันว่า
    "ฝ่าบาทชนะ..เราจะไม่ส่งเรือออกไปรบพะยะค่ะ"

    สิบวันต่อมา..ซาร์ได้เปลี่ยนพระทัยอีกแล้ว..คราวนี้คือครั้งสุดท้าย..
    กองเรือรบได้ถูกส่งออกไปยังน่านน้ำแปซิฟิคจนได้ มีพิธีการส่งกันอย่างมโหฬาร
    วันที่ 14 พฤษภาคม 1905 ครบรอบเก้าปีแห่งการครองราชย์ เรากำลังปิกนิคกันที่พระราชวังกัทชิโน ข่าวส่งมาจากนายพลอเวลัน..ว่า..
    ฝูงเรือรบที่ส่งออกไปนั้น..ถูกยิงจมหมดที่ ยุทธนาวีน่านน้ำ Tsushima
    แม่ทัพ Rojdestvensky ถูกจับตัวไปเป็นเชลย..
    ซาร์ทรงรับทราบข่าวด้วยพระพักตร์ที่เผือดขาว..ทรงจุดโอสถมวน..เงียบกริบ
    เพราะนี่คือความอับอายหายนะที่สุดของประเทศ..ที่จะไปโทษใครเล่า
    นอกจากตัวเอง..

    พระโอรสอเล็กเซเพิ่งจะมีพระชนมายุได้เก้าเดือนครึ่ง..บ้านเมืองมีแต่ข่าวร้าย นอกจากการสูญเสียกองเรือและชีวิตทหารนับแสนแล้ว..
    และ..สามเดือนที่ผ่านมาหมาดๆ นี่เอง..ที่..เสด็จอาเซอเก.. (พระอนุชาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม และ เป็นพระสวามีของ     เอลล่าผู้เป็นพี่สาวของอลิกซ์) เพิ่งจะถูกลอบทำร้ายโดยระเบิดจนถึงแก่สวรรคต..

 
 
 







แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker