dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนห้า


    วันหนึ่งที่ออกไปตัดหน่อไม้ฝรั่งในไร่
    ท้องฟ้าดำมืด..ฝนตั้งเค้าทะมึนมาแต่ไกลๆ พวกเรารู้ดีว่าอีกไม่นานฝนต้องตกลงมาอย่างแน่นอน
    และนายเฟรชเน่อร์เองก็รู้ดีเช่นกัน..เขารีบตะโกนสั่งงานว่า..เร่งมือเข้าหน่อย.เร็วๆ เข้า.พวกแกน่ะ
    และไม่ทันขาดคำ ฝนก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว
    แต่ก็ไม่มีสั่งให้หยุดงานแต่อย่างใด เพราะนายเฟรชเน่อร์ต้องการให้มีผลผลิตส่งตามโควต้าที่ได้รับมา

    พวกเราต้องย่ำทำงานอยู่ในพื้นดินที่เริ่มแฉะเป็นโคลน มือเปียกจนจับมีดตัดหน่อไม้ไม่ถนัด มันลื่นไปลื่นมา หูก็คอยฟังแต่เสียงที่จะบัญชาลงมาให้หยุดทำงานซะที
    แต่..ไม่มีคำพูดสักคำหลุดมาจากปากผู้คุมงาน นายเฟรชเน่อร์ที่ยืนสั่งงานปาวๆ อย่างทองไม่รู้ร้อนอยู่ภายใต้ร่มที่กางไว้ในมือ

    พวกเรายังคงต้องก้มหน้าเข้าหาพื้นดิน ทำงานต่อไป..
    ทั้งๆ ที่พื้นดินเจิ่งนองไปด้วยน้ำฝนที่ไหลลงมาท่วม..
    จนในที่สุดหน่อไม้ฝรั่งทั้งหลายนั่นหลุดลอยขึ้นมาเป็นแพ..นั่นแหละ ..เขาจึงอนุญาตให้พวกเราเข้ามาหลบฝนได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะให้เรากลับไปพักผ่อนหรืออย่างไร
    แต่..เป็นการพักชั่วคราว จนกว่าฝนจะซาลง..ต้องกลับไปทำงานต่อ
    ฟรีดา (สาวคนที่ถูกถอนฟันไปสิบซี่) ทนไม่ไหว..เธอจึงโวยขึ้นมาว่า.."เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า..หน่อไม้บ้าๆ นี่มีค่ามากกว่าชีวิตคนอย่างพวกเรา"
    และ..คำพูดนั้นคงโดนใจนายนั่นพอสมควร ในที่สุด เขาก็ให้พวกเรากลับไปพักได้
    แต่อย่างน้อยๆ ฉันก็รู้ได้ว่า คนบางคนถึงแม้จะโหดร้ายขนาดไหนแต่ในใจจริงๆ แล้ว ก็ยังมีความเมตตาหลงเหลืออยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพียงแต่การแสดงออกนั้นมักจะแตกต่างกันไปเป็นรายบุคคลขึ้นอยู่กับสถานะการณ์

            เชลยฝรั่งเศสที่มาทำงานร่วมกับพวกเรา ชื่อว่า ปิแอร์ แต่พวกเราเรียกเขาว่า ฟรังซ์ (ที่ย่อมาจาก Franzose ในภาษาเยอรมัน = Frenchman)
            ฟรังซ์เป็นกสิกรไวน์ที่มาจาก Pyrenees และที่เสื้อของเขาจะมีอักษรสีขาวตัวใหญ่ว่า KG (มาจาก Kriegsgsfangener = POW) ประทับอยู่
            งานของเขาคือการจูงม้าที่เทียมคราดให้ทำหน้าที่พรวนดินสำหรับการเพาะปลูก ส่วนพวกเราเดินตามหลังทำหน้าที่ถอนหญ้า และ ริดรอนวัชพืชให้ออกไปนอกเส้นทาง
            ซึ่งโอกาสตรงนี้ ทำให้ฉันได้มีโอกาสฝึกใช้ภาษาฝรั่งเศสกับฟรังซ์
            และด้วยกล้องถ่ายรูปที่เอาติดมาด้วย ฉันจึงมีโอกาสถ่ายรูปเขา และส่งไปให้เปปปิอัด..
            พร้อมทั้งได้จัดการส่งไปให้ภรรยาและลูกๆ ของฟรังซ์ฝรั่งเศสได้ดู
            แต่..เปปปิเกิดมีอารมณ์"หึง"ขึ้นมา..ตามประสาชายชาวเยอรมันที่มักจะคิดว่าหนุ่มฝรั่งเศสนั้น"เหนือ"กว่าในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่า เจ้าชู้อย่างหาตัวจับยาก
            จนฉันต้องเขียนตอบกลับไปว่า
            "อย่าบ้าไปหน่อยเลย..พวกเรารวมทั้งฟรังซ์ ล้วนแล้วแต่ทำงานราวกับทาส ทุกคนเหนื่อยและคิดถึงบ้านจนจะบ้า..ไม่มีใครมีอารมณ์คิดถึงเรื่องชู้สาวนี่ได้หรอก"
            แต่เรื่อง"ชู้สาว"ที่ว่านี่..ไม่ได้มาจากคนฝรั่งเศสหรอกนะ..พวกเยอรมันด้วยกันนี่แหละ ตัวดีนัก !!

            นายเฟรชเน่อร์..พยายามทำท่าก้อร่อก้อติก เล่าเรื่องโจ๊กแบบอุบาทว์กับฟรีดาเสมอ
            เวอร์เน่อร์..หนุ่มน้อยชาวไร่ ที่อยากจะเป็นทหารนัก ก็ยังพยายามที่จะจีบเอวา..
            ออตโต..ชาวไร่ที่ตอนนี้เป็นนายทหารเหล่า SA ที่แวะเวียนมาเล่นหูเล่นตากับสาวๆ ที่นี่บ่อยๆ


            ในตอนนั้น พวกชาวไร่จัดว่าเป็นพวกที่อยู่ดีกินดีที่สุดในเยอรมัน
            งานก็ไม่ต้องทำเพราะมีทาสคอยให้การรับใช้ พวกนี้มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือ ส่งส่วยให้นาซีตามที่ร้องขอมา
            ออตโตเคยเล่าว่า..พวกเมืองกรุงเคยดูถูกชาวท้องไร่ท้องนาอย่างพวกเขาว่าเป็นไอ้พวกบ้านนอกคอกนา
            แต่ตอนนี้แหละ ที่เขาได้แก้แค้นคืน.
            เพราะไม่ว่าเป็นผลผลิต หรือ หมูเห็ดเป็ดไก่อะไรก็ตาม เขาโก่งราคาจนแพงลิบ..ขนาดนั้น ผู้คนยังแย่งกันซื้อ

            ข่าวของความลำบากที่พวกเราได้รับ..คงกระจายไปถึงในเวียนนา หรือไม่ก็คงเป็นสัญชาติญาณของความเป็นแม่ ที่ฉันรู้ได้จากสิ่งของในพัสดุที่แม่ส่งมาให้
            เช่น..ถุงมือ นั่นต้องหมายถึงว่าแม่ได้เริ่มรู้สึกหนาว..จึงคิดว่าฉันต้องหนาวด้วยเช่นกัน
            หรือ ขนมหวานที่หายาก นั่นคงเป็นเพราะแม่ต้องหิวโหย

            เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้จากการเป็นค่าจ้างทำงาน ฉันส่งให้เปปปิพร้อมทั้งรายการสิ่งของที่ต้องซื้อให้แม่..เช่น..สบู่ กระดาษเพื่อเขียนจดหมายถึงฉัน และของขวัญเล็กๆ น้อยให้กับแม่เขา..แอนนา
            บางที..ฉันก็ไปขอซื้อผลแอปเปิ้ล มันฝรั่ง ถั่ว แม้แต่หน่อไม้ฝรั่ง จัดการห่อส่งไปให้แม่ เพื่อให้ใครต่อใคร เช่น เยาท์สกี้ และเพื่อนบ้าน ได้มาแบ่งปันกันเอาไปกินกันอย่างตามมีตามเกิด

            ยิวจากโปแลนด์ได้ถูกส่งตัวกลับไปยังมาตุภูมิเกือบหมด และ ในฤดูร้อนของปี 1941 ข่าวก็มาอีกว่า จะมีการส่งชาวยิวออสเตรีย และ ยิวเยอรมันไปที่นั่นด้วย
            พวกเราเรียกการเนรเทศที่น่าสพรึงกลัวครั้งนี้ว่า..Aktion (อาคชั่น = Action)
            ไม่มีใครรู้จักว่าโปแลนด์เป็นอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่ใช่ที่อยู่ดีหรือสะดวกสบายแน่นอน
            ถ้าแม่..ต้องถูกส่งตัวไปยังโปแลนด์ แม่อาจจะต้องไปเป็นคนรับใช้ในบ้านของพวกเยอรมันที่ต้องทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถู ล้างชาม ทำกับข้าว
            แค่คิด..ฉันก็เสียวไปถึงสันหลัง....ภาพที่แม่สุดรักสุดบูชาจะต้องไปเป็นคนรับใช้..โอย..ฉันคงทนไม่ได้ !!

            ทั้งนายเฟรชเน่อร์ และเมีย..ต่างรับรองกับฉันอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า ถ้ายังทำงานให้อย่างไม่มีปริปากเช่นนี้ ครอบครัวของเราจะไม่มีการถูกเนรเทศไปไหน
            แต่..ความบีบคั้นเริ่มแน่นเข้ามา..อย่างในวันหยุดวันหนึ่งที่พวกเราทั้งหกออกไปเดินเล่น ตำรวจได้เข้ามาตามหาและถามถึง..
            นายเฟรชเน่อร์ได้แก้ตัวให้ว่า..ออกไปทำงานในไร่ไกลโพ้น ไม่ต้องไปรบกวน
            พอพวกเรากลับมา..นายนี่ก็รีบจัดแจงทวงบุญทวงคุณทันทีว่า
            "เนี่ย..ชั้นช่วยเอาไว้นะเนี่ย..ไม่งั้นพวกแกตกที่นั่งลำบากแน่ๆ "     


            ต่อมา..ได้มีการสร้างแค้มป์นักโทษชาวโปล์ที่ชายไร่
            พวกนักโทษพวกนี้ถูกเกณฑ์มาทำงานหนักๆ ให้กับชาวไร่ เช่น ลากก้อนหิน สร้างบ้าน ล้างคอกหมูฯ ลฯ
            ยามที่พวกเราเดินผ่านตอนที่ออกไปทำงาน มักได้รับเสียงที่ส่งมาทักทายเสมอๆ
            ซึ่งฉันมักบอกพวกสาวๆ ว่า..ให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ซะ..
            แต่..แม่สาวน้อยผมดำที่มีชื่อว่า ไลเซล บรุสท์ ติดใจในเรื่องโปแลนด์ไม่หาย เธอจึงเดินเข้าไปถามว่า..ที่โปแลนด์มีสภาพเป็นอย่างไร?
            "สวยงามมาก" นายนักโทษนั่นตอบมา..ท่าทางเขายังอายุไม่มากนัก
            "กรุงวอร์ซอว์ล่ะ?"
            "โอย..งดงามไปด้วยแสงระยิบระยับเชียว ทั้งโรงอุปรากร พิพิธภัณฑ์, หอสมุด, มหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วยคณาจารย์ เหมาะสำหรับสาวน้อยยิวอย่างเธอที่จะไปอยู่
            ถ้าอยากฟังอีก ก็เข้ามาใกล้ๆ ซิจะเล่าให้ฟัง"

            ฉันรีบดึงแขนไลเซลให้ออกมาห่างๆ พร้อมเล่าให้ฟังว่า
            "ครั้งหนึ่งในเวียนนา ฉันก็เจอกับคนจีนที่มาชวนให้ออกไปอยู่ที่เมืองจีนนะ และเชื่อว่า ขืนไปจริงๆ ป่านนี้ก็อาจไปอยู่ตามซ่อ..ราคาถูกๆ ในเกาลูน และเช่นเดียวกันขืนเธอเข้าไปในแคมป์นั่นตามที่เขาชวนละก้อ แน่ใจได้เลยว่า ไม่มีทางได้ออกมาอีกเลย"
            ที่พูดไปนั่น..ฉันได้หมายถึงแคมป์เชลยชาวโปล์ที่ท่าทางตะละคนอดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิงมานาน..ที่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินเยอรมัน..
            ไม่ได้สังหรณ์เลยสักนิดว่า..ในโปแลนด์จริงๆ แล้วก็มีสภาพไม่ต่างไปจากในค่ายที่เห็นสักเท่าไหร่เลย


            งานยิ่งหนักมากเท่าไหร่ ร่างกายของฉันก็ผ่ายผอมลงไปมากเท่านั้น ความโหดร้ายที่ได้รับมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้พวกเราเกิดความเมตตาในชีวิตอื่นๆ ที่เกิดมาร่วมโลกมากเท่านั้นเช่นกัน..
            เช่น..เราได้พบว่าในโรงนอน..มีหนูมาเพ่นพ่าน แทนที่เราจะเกลียดมันจนต้องไล่ตามฆ่า..แต่เปล่าเลย พวกเรากลับทิ้งเศษอาหารไว้ให้มัน
            หรือพยายามช่วยกันทนุถนอมดูแลลูกไก่ที่ป่วย.. จนกระทั่งมันตายจากไป

            ในจดหมายที่เขียนไปหาเปปปิในตอนหนึ่ง ฉันได้เล่าว่า..สงครามในครั้งนี้ ฉันมีความเชื่ออยู่สองอย่าง..
            หนึ่งคือ ..ไม่มีทางหลุดพ้นไปไหนได้ นอกจากสุดท้าย..คงต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ในไร่นี้อย่างหมดทางเลือก
            สองคือ..ปาฏิหารย์เท่านั้นที่จะเกิดขึ้นมา..นั่นคือ กองทัพอากาศของอังกฤษได้หย่อนระเบิดถูกที่ โดยลงตรงกลางที่อยู่ของฮิตเล่อร์และเกิบเบิลส์พอดี
            อันเป็นจุดจบของพวกนาซี..และ นั่นหมายถึงเราคงได้มีโอกาสแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

            และที่นี่..ในไร่นรกแห่งเมือง Osterberg นี่..ฉันได้มีเพื่อนแท้ขึ้นมาคนหนึ่ง เธอคือ มิน่า คาทซ์ สาวน้อยวัย 18 ปี ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจน
            เธอและเพื่อนสูงวัยกว่าคนหนึ่งที่มาด้วยกันชื่อว่า
            นางกรุนวอลด์ ทั้งคู่เคยทำงานให้กับบริษัทของยิว
            แต่ต่อมาบริษัทนั้นได้ถูกยึดโดยนาซีมาขายให้กับคุณนายมาเรีย ไนเดอรัลล์
            ที่เผอิญต้องการคนงานเป็นสาวยิวสองคนที่เอ่ยนามมานี้ให้มาช่วยเหลือเรื่องานที่ยังใหม่สำหรับเธอ
            จนในที่สุดคนทั้งสามได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน

            คุณนายมาเรีย จึงพยายามที่จะขอให้คนทั้งสองให้อยู่ทำงานกับเธอไปนานเท่านาน แต่..เกสตาโปไม่ยินยอม
            เมื่อมาอยู่ที่ไร่นี่..ทั้งสองยังได้รับพัสดุของใช้ดีๆ เช่น สบู่ อาหาร เสื้อผ้าดีๆ จากคุณนายมาเรียเจ้านายเก่าชาวอารยันอยู่เป็นประจำ


            มีน่า เป็นเหมือนกับดาวดวงน้อยบนท้องฟ้าที่มืดมิด เธอสามารถร้องเพลง และหัวเราะได้ในสถานะการณ์ย่ำแย่อย่างที่พวกเรากำลังได้รับ
            ดังนั้น ใครต่อใครจึงรักใคร่เอ็นดูแม่สาวน้อยคนนี้หนักหนา
            ทั้งฉันและมีน่า เราทำงานแบบเคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นการตัดหน่อไม้, สุมกองฟาง, ดึงหัวมันฝรั่งออกมาจากดิน ที่เราจะต้องโยนมันขึ้นไปบนถังขนาดยี่สิบห้ากิโล
            จากนั้นก็ช่วยกันยกคนละข้างขึ้นวางบนรถลากที่จอดคอยอยู่
            ตลอดเวลาทำงาน..เราคุยกันไปได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภายในครอบครัว หรือโรงเรียน อย่างน้อยมันได้ทำให้เรารู้สึกเพลิดเพลินไปกับงานที่ทำไม่ว่ามันจะหนักหนาเช่นไร
            จนคนอื่นๆ เริ่มออกอาการประชดประชันนิดๆ ว่า..ทั้งฉันและมีน่าทำงานเร็วราวกับม้าแข่งในสนามปลูกถั่ว..

            ระหว่างที่ขุดมัน หรือ ปลูกถั่วก็ตาม ฉันได้ถือโอกาสนี้..สอนมีน่าไปด้วยในเรื่องของ กฏหมาย, การเมือง, วรรณคดี และ เศรษฐกิจ
            ซึ่งไม่ว่าฉันได้สอนอะไรออกไป
            มีน่าเรียนตามได้เร็วราวกับสมองซึมซับได้
            การศึกษากันกลางไร่อย่างนี้..ทำให้ทั้ง ครูและนักเรียน อย่างเราทั้งสองมีกะจิตกะใจในการต่อสู้ทำงานเยี่ยงทาสอย่างไม่มีการปริปากบ่น..

            ฤดูร้อนได้มาถึง..เราทำงานกันกลางไร่แบบเหงื่อไหลไคลย้อย หน้าตาเนื้อตัวถูกแดดเผาจนเกรียม
            จนบางครั้งต้องควักโคลนขึ้นมาทาตัวให้พอประทัง
            ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่ เพื่อขอครีมทาตัวชนิดอะไรก็ได้
            แต่..ในยามนั้นจะไปหากันที่ไหน ไม่ใช่ว่ามันหายไปจากท้องตลาดเวียนนาแต่อย่างไร
            หากแต่..ยิวไม่ได้รับการอนุญาตให้ซื้อสิ่งของอื่นๆ นอกเหนือไปจากที่กำหนดให้ในบัตรปันสัดส่วน..

           
            ในเดือนสิงหาคม เกิดมีฝนตกที่ถือว่าเป็นการผิดฤดูกาล ผลผลิตในไร่ที่ทำท่าว่าจะดีนั้น เกิดล่มขึ้นมา..
            ทำให้เกิดการขาดแคลนไปทั่ว
            หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสร็จ ฉันได้ใช้เงินเพียงเล็กน้อยที่มี ขอซื้อมันฝรั่งหนึ่งถุงเพื่อที่จะส่งไปให้แม่..
            เพราะเชื่อว่าที่เวียนนาก็ต้องขาดแคลนเช่นกัน
            แต่เมื่อได้ไปถึงที่ทำการ สาวไปรษณีย์ได้บอกเสียงดังเพื่อให้นายที่นั่งในห้องได้ยินว่า..
            ห้ามไม่ให้มีการส่งอาหารออกไปนอกเยอรมัน
            "ทำไมล่ะ"
            "เพราะว่า..ชาวเยอรมันต่างขาดแคลนจนแทบไม่มีมันฝรั่งกินกัน แล้วพวกยิวจะแบ่งเอาไปได้ยังไง..หนอยแน่ะ"

            ฉันจึงหันหลังเดินออกมา..แต่เมื่อมาถึงข้างนอก สาวเจ้าพนักงานคนนั้นได้เดินตามมาพร้อมทั้งกระซิบว่า
            "ใส่กล่องไปนะ..เขียนระบุว่าเป็นเสื้อผ้า รับรองว่าถึง"


            ต่อมา..จดหมายได้มีการเปิดอ่าน ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล คิดกลัวไปต่างๆ นานา ว่าได้เขียนอะไรลงไปบ้าง หรือ เกรงว่า ทางแม่ เปปปิ หรือ คริสตัล จะเขียนอะไรมาโดยไม่ได้ทันระวัง
            เพราะข่าวของการเนรเทศและริดรอนสิทธิต่างๆ นั้นมาเป็นระยะ เกิดแม่เขียนมาว่า..
            "เสื้อขนสัตว์ตัวหรูนั่น แม่จะเก็บไว้ให้หนูนะ"
            ใครเปิดอ่านก็จะทราบได้ว่าแม่มีเสื้อขนสัตว์ราคาแพงอยู่ในความครอบครอง อาจจะไปขโมยแล้วทำร้ายแม่ล่ะ จะทำอย่างไร?
            หรือถ้าเปปปิเกิดเขียนเล่าเรื่องการที่เขากำลังหลบหนีซ่อนตัวอยู่ละก้อ..เกาตาโปอาจจะไปตามจับเขาก็ได้
            ฉะนั้น..สิ่งเดียวที่ฉันต้องรีบทำ นั่นคือเขียนจดหมายไปบอก.. โดยใช้ข้อความว่า
            "ที่รัก..อ่านจดหมายของฉันแล้วเก็บข้อความใส่เก็บไว้ในใจก็พอ จากนั้นจงทำลายให้หมด ทางฉันเองก็จะทำอย่างนี้เช่นกัน"
            เราเริ่มใช้อักษรย่อ..เช่น เกสตาโป จะเป็น "PE" ย่อมาจาก.. Prinz Eugenstrasse (อันเป็นชื่อถนนที่ สำนักงานของเกสตาโปตั้งอยู่)
            หรือ คำว่า ไปโรงเรียน
            หมายถึงการที่ใครสักคนต้องถูกเนรเทศ โดยการที่ต้องไปรายงานตัวที่สำนักงาน..ที่อดีตเป็นที่ตั้งของโรงเรียน

            มาถึงตรงนี้..ฉันเป็นฝ่ายวิงวอนขอให้เปปปิแต่งงานกับฉันโดยไว เพราะหวังไว้ว่า เราทั้งคู่อาจเดินทางออกไปอยู่ประเทศอื่น อย่างมิโล และ มีมี่
            หรืออย่างน้อยๆ .ถ้าแม้จะไปไหนไม่ได้ .เราก็ยังได้อยู่ด้วยกันฉันท์สามีภรรยา เป็นครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ สักสองสามคน..
            ฉันรู้สึกมีความสุขทุกครั้ง เพียงแต่ได้คิดหวังถึงอนาคตที่จะมี"เขา" ที่บอกพร่ำเสมอมาว่า รักฉันอย่างเหลือเกิน
            แต่..ในความเป็นจริง..เมื่อฉันต้องการให้เขารับฉันไปแต่งงานเข้าจริงๆ เขากลับทำเฉย..ไม่ตอบ หรือไม่แม้กระทั่งจะให้ความหวังใดๆ ในวันข้างหน้า.

       


            เราคิดไปถึงขั้นเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ซึ่งนับว่าเป็นการอกตัญญูกับบรรพบุรุษอย่างที่สุด
            ฉันได้เข้าใจและเห็นใจพวก Marranos** แห่งสเปนก็ในคราวนี้เอง
            (ในสมัยของ ศตวรรษที่ 14 ที่สเปนมีสงครามศาสนาที่ดุเดือดถึงกับมีการทำร้ายขั้นประหารชีวิตแก่พวกนอกรีต กลุ่มผู้ก่อการนั้นเป็นที่เรียกกันว่า Inquistition
            พวกยิวในสเปนจึงจำเป็นต้องไปขออนุญาตจากรับไบในการเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ และเป็นการสัญญาว่าจะเปลี่ยนไปตามกระแสการเมืองอันเป็นชั่วคราว
            เมื่อเหตุการณ์ร้ายๆ ผ่านไป จะกลับไปเป็นจูดาห์ตามเดิม นี่คือการเริ่มต้นที่ว่าของคำว่า คริสเตียนยิว เพราะในต่อๆ มา ยิวบางคนก็เลื่อมใสในพระศาสนาคริสต์
            แถมยังเคร่งอีกต่างหาก เป็นการเปลี่ยนไปอย่างถาวร พวกนี้ เรียกว่า พวก Marranos ซึ่งคำว่า Marrano ในภาษาสแปนิช แปลว่า คนที่โสโครกเหมือนหมู น่ะค่ะ)

            ฉันเชื่อว่า ถ้าจะเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ในตอนนี้ พระเจ้าคงเห็นใจและประทานอภัยให้อย่างแน่นอน..
            ขั้นแรกฉันไปที่โบสถ์ในเมือง Osterberg ยืนมองไปที่พระรูปของพระเยซูเจ้า และ พยายามสร้างศรัทธาให้เลื่อมใสในพระองค์
            แต่ในขณะนั้นคือระยะแห่งการสงคราม
            ผู้คนต่างออกไปแนวหน้ากันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังเห็นว่า ไม่มีการจุดเทียนบูชาในโบสถ์ ไม่มีคนมานั่งคุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอนให้ผู้ที่เป็นที่รัก
            กลับบ้านมาอย่างแคล้วรอดปลอดภัย
            นั่นแสดงถึงว่า พวกนาซีได้ประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม ในการที่ให้คนเลิกเชื่อถือ และหมดศรัทธาในพระในเจ้า..
            เพราะต่างหันมาเชื่อใน"ท่านผู้นำ"แต่เพียงผู้เดียว

           
            ฉันเขียนจดหมายไปถามเปปปิว่า ฉันจะต้องทำอย่างไรในการเปลี่ยนศาสนา..ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
            ฉันเริ่มหัดท่องคำสวด และฝันถึงครอบครัวคริสเตียนที่อบอุ่นที่มีทั้งเขาและฉัน..หรือ..เราอาจจะมีลูกเล็กๆ เพียง..ถ้าเขาผละออกมาจากอกแม่ได้ และ....
            ถ้า..รอบเดือนของฉันจะกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง..
            เพราะ ความทุกข์ระทม ความยากลำบากตรากตรำของร่างกาย ทำให้มันเหือดหายไปสิ้น ทั้งๆ ที่มันเป็นการดีที่หมดห่วงไป
            แต่ฉันก็ไม่วายเป็นกังวล..ทุกๆ คืนที่นอนแบบอยู่บนที่นอนที่ยัดด้วยฟางนั้น หลังของฉันปวดร้าวไปทั้งแผ่น นิ้วมือเกร็งจนต้องพยายามให้มันยืดออกมากลับคืน..
            ฉันก็ยังหวังเสมอให้"มัน"กลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิม

            วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังเขียนจดหมาย ทรูดได้เข้ามาคุยขัดจังหวะ..
            "เลิกเขียนซะทีเถอะ จดหมายนั่นน่ะ อีดิธ เธอไม่มีประจำเดือนมานานเท่าไหร่แล้ว"
            "ตั้งแต่มิถุนาละมัง"
            "ฉันด้วย..ไลเซล ฟรีดา และ ลูซี่ก็ด้วย ฉันเขียนจดหมายไปหาแม่..แม่ไปปรึกษาหมอ หมอบอกว่าเป็นเพราะพวกเราทำงานหนักกันจนเกินควร หมอของเธอว่ายังไงล่ะ?"
            "หมอโคลห์น บอกแม่ว่า..ฉันคงท้องมั้ง..!!" ว่าแล้วเราสองคนก็หัวเราะกันงอหายใน"มุขเด็ด"ของฉัน


            เปปปิเขียนตอบเป็นโค้ดมาจากเวียนนาว่า ป่วยการสำหรับการที่จะเปลี่ยนการนับถือศาสนาในตอนนี้ เพราะมันไม่มีประโยชน์อันใดเลย..
            แผนนี้จึงถูกระงับไปโดยปริยาย
            คุณนายมอร์เตน ได้ส่งพวกเราไปช่วยงานให้กับเพื่อนบ้าน ครอบครัวเกรเบส ที่เผอิญว่าขาดแคลนแรงงานพอดี
            ตอนนี้ สถานะของพวกเราก็เฉกเช่นเดียวกับ"ทาส" ที่มาจากโปแลนด์ จากเซอร์เบีย หรือจากฝรั่งเศส
            หากแต่ว่า ข้อแตกต่างนั้นคือ เราไม่มีประเทศเหมือนคนอื่นๆ อีกต่อไป
            อย่างไรก็ตาม..ฉันยังเชื่อว่า จะได้กลับไปบ้านในเดือนตุลาคม เพราะ พอย่างเข้าฤดูหนาวภาระเพาะปลูกเก็บเกี่ยวก็หมดสิ้น พวกเรามาที่นี่เพราะเพื่อใช้แรงงาน
            ถ้าหมดฤดู ก็หมายความว่า หมดหน้าที่ อย่างนั้นมิใช่หรือ?

            การที่จะต้องมาตกค้างอยู่ในฤดูหนาวที่นี่คือสิ่งที่ฉันหวาดกลัวอย่างที่สุด เพราะความเยียบเย็นจนเป็นน้ำแข็งไปทุกหย่อมหญ้านั้น..เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา
            ยิ่งคิด ฉันก็ยิ่งคิดถึงแม่อย่างจับใจ แม่ผู้แสนอ่อนหวาน น่ารัก อบอุ่น และขนมอร่อยๆ หอมกรุ่นด้วยฝีมือแม่ และ อารมณ์ขันต่างๆ ที่แม่มักเอามาล้อไอ้บ้าเผด็จการฮิตเล่อร์นั่น..
            ทั้งๆ ที่อายุก็ปาเข้าไป 27 นี่แล้ว ฉันยังถวิลหาอ้อมอกของแม่อยู่ทั้งในยามหลับและตื่น..ทุกครั้งที่หลับตาลง ฉันมักได้ยินเสียงอ่อนโยนของแม่ที่พูดอยู่เสมอว่า
            "เมื่อหนูมีครอบครัว..หนูจะเป็นแม่ที่ดีที่สุด แม่เชื่ออย่างนั้นนะจ๊ะ"

            ยิ่งคิดถึงบ้านมากเท่าไหร่ ยามที่ฉันต้องเกร็งนิ้วตัดหน่อไม้ฝรั่ง หรือ ขุดหัวมันฝรั่งแล้วโยนลงไปในตะกร้านั่น
            หัวใจของฉันกลับอื้ออึง และโลดแล่นไปกับเสียงเพลงว้อลทซ์แห่งเวียนนา ราวกับกำลังเต้นรำอยู่ในอ้อมแขนของชายที่เป็นที่รัก
            "นี่ อีดิธ..ตื่นจากฝันกลางวันได้แล้ว.." เสียงไอ้ผู้คุมนั่นโวยวายมา

         

            จริงของเขานะ..เพราะฉันเริ่มเรียนรู้ในการฝังความนึกคิดให้ติดอยู่กับอดีตให้มากที่สุด และพยายามมองข้ามความโหดร้ายต่างๆ ของไร่นรกนี่... เพื่อเป็นการทำใจไม่ให้มันแตกสลายไปก่อนเวลาอันควร

            จนกระทั่ง ตำรวจได้เข้ามาบอกว่า พวกเราต้องแปะเครื่องหมายดาวเหลือง อันเป็นสัญญลักษณ์ของดาวเดวิด เพื่อแสดงว่าเป็น"ยิว"
            ฉันยังนึกว่า นี่คือเรื่องตลกที่สุด ชาวเวียนนาที่แสนศิวิไลซ์คงไม่มีวันยอมทำตามอย่างแน่นอน..
            แต่ที่ไหนได้ ทรูดได้รับจดหมายจากบ้าน บอกมาว่า..ชาวเวียนนาก็ต้องติดดาวเดวิดกันทั่วเมืองเช่นกัน
            ฉันตะลึงต่อข่าวที่ได้ยิน ..นี่ชาวบ้านชาวเมืองเป็นอะไรกันไปหมดแล้วนี่..เรากำลังกลับสู่ยุคมืดหรืออย่างไร?
            ตำรวจมาบอกข่าวเพิ่มเติมว่า เราต้องจดหมายไปขอดาวเดวิดที่เวียนนา เมื่อมันถูกส่งมาถึงเราต้องรีบนำมันมาแปะบนเสื้อผ้าให้เป็นที่สำคัญ และจะต้องติดตัวตลอดเวลา
            นั่นหมายความว่า จากนี้ไป..ด้วยดาวเหลืองที่แปะที่ตัวนั้น เท่ากับว่า พวกเราไม่สามารถซื้อของอะไรได้เลย เพราะร้านค้าทั้งหลายห้ามมิไห้มีการค้าขายกับยิว
            สรุปว่า พวกเราดื้อดึงไม่ติด..
            อีตาผู้คุมนั่นก็ไม่เห็นว่าอะไร
            เพราะความจริงแล้ว..เขาต้องการการทำงานจากแรงงานของพวกเราอย่างเต็มที่มากกว่าที่จะมาปวดหัวกับเรื่องการรับสนองปฏิบัติจากตำรวจ..

       

            เปปปิส่งข่าวมาบอกว่า ออนเดรจ สามีของเยาท์สกี้ได้เสียชีวิตในแนวหน้า ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่เศร้าเสียใจที่สุด.. เยาท์สกี้แม่ญาติสาวที่น่าสงสารของฉัน
            และได้เขียนจดหมายตอบไปว่า เสื้อผ้าชุดสำหรับงานศพที่ฉันเก็บไว้ในหีบนั้น..ขอให้เอาไปให้เธอใส่ด้วย

            และตามมาด้วยจดหมายจากเพื่อนเก่า รูดอล์ฟ กิสคา..ที่เป็นทหารอยู่ที่ Sudetenland ว่า..
            ประหลาดใจจังที่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่..
            (อ้าว...ทำไมล่ะ เขาจะไม่ใช้แรงงานพวกเราแล้วหรือ หรือว่ามีนโยบายใหม่ให้ฆ่ายิวทั้งหมด?) เขาเขียนมาว่า..
            "ฉันรู้สึกสมเพชชาวประชาอื่นๆ ที่ไม่ใช่เยอรมันเสียจริง..และ ฉันเองก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมากที่ได้มีส่วนช่วยท่านผู้นำสร้างมหาอาณาจักร์ไรค์ให้กับชาวเยอรมันที่เคยถูกทอดทิ้งมาก่อนในอดีต..ไฮล์ ฮิตเล่อร์ !!

            คนแรกที่ได้รับอนุญาตให้กลับไปบ้านได้ นั่นคือ ไลเซล บรุสต์ คนที่ช่างสนใจเรื่องราวของนักโทษจากต่างแดน ซึ่งทันที่ที่ได้ไปถึงเวียนนาเธอได้ส่งพัสดุมาให้
            ที่ฉันต้องแอบนำไปวางไว้ที่ชายไร่ตรงที่นักโทษฝรั่งเศสทำงานอยู่ ในนั้นคือเสื้อผ้าชุดที่จำเป็น
            เพราะเท่าที่เห็นแล้วให้น่าเวทนา เพราะเท่าที่พวกเขามีใส่อยู่นั้นไม่ต่างอะไรไปจากผ้าขี้ริ้ว..
            และนี่คือการทำงานที่เสี่ยงมาก ถ้าถูกจับได้ ก็หมายความถึงมีโทษร้ายแรง แต่ถ้าไม่ทำ..มันก็จะใจดำต่อเพื่อนมนุษย์ที่กำลังทุกข์ยากจนเกินไป


            ฉันคอยให้ทุกๆ คนในห้องหลับสนิท..จึงค่อยๆ ย่องออกมาด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา
            คืนนั้นมีอากาศที่ค่อนข้างอบอ้าว..ท้องฟ้ามีเมฆสีดำก้อนใหญ่ที่ตอนเช้าคงจะเปลี่ยนสภาพกลายมาเป็นฝน
            ฉันแอบเอาห่อของนั่นซุกไว้ในอกเสื้อ เสียงกรอบแกรบของมันดังสะท้านเข้าไปถึงทรวง
            สูดหายใจเข้าให้เต็มปอด ก่อนที่จะวิ่งออกไปในไร่

            ฉันวิ่งเข้าไปในในดงข้าวโพดเพื่อเป็นการพรางตัว..ไม่กล้าแม้แต่จะเหลียวหลัง เกรงว่าจะมีอีตาผู้คุมนั่นยืนมองอยู่ จนกระทั่งผ่านพ้นมาถึงไร่ถั่ว
            ฉันพยายามก้มตัวลงให้ลดต่ำลงที่สุดจนถึงชายไร่ จึงวางห่อพัสดุลงไว้ตรงนั้น..มองไปรอบๆ ตัวนิดหนึ่ง..ไม่เห็นใคร จากนั้นก็รีบวิ่งกับไปยังโรงนอนทันที

            ทรูดนั่งอยู่บนเตียง..แววตาของเธอแสดงความตระหนก..ที่เห็นว่าฉันหายออกไป..ฉันรีบยกมือขึ้นปิดปากเธอเป็นสัญญาณไม่ให้เอ่ยปากถามอะไร
            วันต่อมา..ฟรังซ์นักโทษฝรั่งเศสได้ถามฉันว่า..
            "วางห่อของไว้ที่ไหน?"
            "ก็ตรงที่นัดนั่นแหละ"
            "ไม่มีนะ มันหายไปแล้ว"
            "ตายจริง..คงมีคนมาขโมยไปแล้วละ" ฉันตกใจจนแทบสิ้นสติ เพราะอาจมีคนเห็นฉันในคืนนั้นก็เป็นได้ อาจจะเป็นผู้คุม หรือไม่ก็ใครคนที่เปิดจดหมายของไลเซลออกอ่าน
            นั่นหมายถึง เราต้องมีความผิด จนอาจถูกส่งตัวไปยังค่ายนรกที่ดักเฮา
            วันต่อๆ ไปนั่น..ฉันกังวลอยู่แต่ว่า เกสจาโปจะมาลากตัวไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้
            แต่..ก็ไม่มีใครมา ห่อของก็หายไป ทุกวันนี้เลยยังไม่รู้ว่ามันหายไปไหน..

     
            เวลาที่กำลังจะกลับสู่เวียนนาเริ่มใกล้เข้ามา..
            ฉันพยายามที่จะบอกเรื่องของการวางแผนที่ผิดพลาดของเราให้เปปปิฟังว่า..
            เสียดายเหลือเกินที่เราทั้งสองน่าจะออกไปนอกประเทศด้วยกันในยามที่มีโอกาสครั้งนั้น และทุกอย่างนั้นโทษใครไม่ได้นอกจากต้องโทษตัวเอง
            แต่ก็เอาเถอะ..ฉันจะนับวันคอย คอยในวันที่เราจะกลับสู่อ้อมแขนของกันและกันอีกครั้ง..อีก 14 วันเอง เราก็จะอยู่ด้วยกันอีกแล้ว

            มีน่า..พลิกตัวตะแคงหันหน้ามาทางฉัน และถามว่า..
            "ไหน..ลองเล่าซิ ว่าจะกลับไปยังไง"
            "ฉันก็จะไปลงที่สถานีเวสเตอร์น ก้าวลงบนชานชาลา เขาก็จะยืนคอยอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งช่อดอกไม้..พร้อมกับรอยยิ้มต้อนรับที่แสนอ่อนหวาน เราก็จะกลับบ้านไปด้วยกัน ผ่านถนนเบลเวเดียร์ ผ่านสวนดอกไม้ เราก็จะไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันสามวันสามคืน ฉันจะนอนให้เขาป้อนข้าวป้อนน้ำซะให้เข็ด"
            เสียงมีน่าพลิกตัว..กรนเบาๆ เพราะเรื่องแบบนี้คงไม่น่าสนใจสำหรับคนที่ไม่เคยมีแฟนอย่างเธอ..

            เราทั้งหมดจัดการบรรจุของลงกระเป๋า..เก้าคนได้รับตั๋วเดินทางเรียบร้อย รวมทั้งนาง กรุนวัลด์ และ นางแฮคเชค
            และคนอื่นๆ รวมทั้งเราต่างรอคอยคำสั่งจากนางเฟรชเน่อร์ในการขานชื่อเพื่อรับทราบถึงเวลาการเดินทาง..แต่..คำสั่งนั้นกลายเป็นว่า...
            "พวกเธอที่เหลือยังไม่ได้กลับไปเวียนนา เธอต้องไปยัง เมือง อาเชอสเลเบน ที่โรงงานทำกระดาษ แต่ขอให้รู้ว่าพวกเธอนั้นโชคดี เพราะ ตราบใดที่ยังทำงานอยู่หมายถึงว่า
            ครอบครัวของเธอยังปลอดภัย "
            มีน่า..ร้องให้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น..ฉันต้องกอดไหล่ของเธอไว้เป็นการปลอบโยน
            และกลับไปเขียนจดหมายถึงเปปปิต่อในวันที่ 12 ตุลาคม 1941ว่า
            "บอกแม่ด้วย..ว่าไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะได้พบกันอีก เพราะ ชีวิตข้างหน้านั้นช่างไม่แน่ไม่นอน เวียนนาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ ขอจบการเขียนในวันนี้แค่นี้ก่อน
            รักเธอเสมอ..จากอีดิธผู้ทุกข์ระทม"


            แล้วเราก็มาถึง..อาเชอสเลเบน ค่ายแรงงานแห่งใหม่..ด้วยเครื่องแต่งตัวที่จัดว่าดีที่สุดที่มี รองเท้าคู่ที่เปื้อนดินน้อยที่สุด และ ดาวเดวิดที่แปะหรา ซึ่งเป็นคำสั่งที่เราต้อง
            มีอยู่บนตัวตลอดการเดินทาง
            พวกคนทำงานสาวๆ ในนั้นต่างมาจ้องมองพวกเราเหมือนกับเป็นตัวประหลาด ซึ่งก็แน่ละ เพราะสาวๆ ทั้งหมดต่างแต่งตัวสวยงาม ทรงผมถูกจัดแต่งเรียบร้อย เล็บมือขาวสะอาด
            และ..โอแม่แจ้า..พวกเขาใส่ถุงน่องกันด้วย !!

            ตัวตึกอาคารสามชั้นที่เห็น ช่างดูใหญ่โต สวยงาม ข้างในมีห้องครัว ห้องอาบน้ำที่มีฝักบัว ห้องนั่งเล่นที่หน้าต่างทุกบานมีม่านติด ฝาผนังมีภาพงามๆ ประดับ
            ฉันถึงกับอุทานออกมา..เพราะมันช่างต่างกับไร่นรกที่ Osterberg ที่เพิ่งจากมาราวกับฟ้ากับดิน
            สาวร่างใหญ่ที่แนะนำตัวเองว่า เธอชื่อ ลิลี่ เครเม่อร์ ได้นำกาแฟ (เทียมๆ ที่ทำจากข้าวโพดคั่ว) มาแจกจ่ายให้
            เธอคนนี้ท่าทางคงแก่เรียน ดูจากแว่นตาที่วางอยู่ร่วงมาจนเกือบถึงปลายจมูก..นัยว่า จบขั้นปริญญามาจากมหาวิทยาลัยทีเดียว
            "เขาให้พวกเธอแต่งตัวกันแบบนี้ที่ ออสแตร์แบร์คเร๊อะ?"
            "ก็มันเป็นไร่นา" พวกเราตอบ
            "แต่ที่นี่..พวกเธอต้องแต่งตัวให้เหมาะสม" และจากนั้น ลีลี่ได้ก้มลงมาลดเสียงเป็นกระซิบว่า "เพราะพวกเขาอยากให้เห็นว่าเป็นการทำงานที่ไม่เอาเปรียบ
            สวัสดิการดี จ่ายดี เผื่อว่าจะมีคนเข้ามาดู จะได้ไม่เห็นภาพที่แย่ๆ
            "เรามีคนมาดู หรือมาเยี่ยมได้ด้วยหรือ?" มีน่าหูผึ่งกับทุกเรื่องที่จะเป็นข่าวดี
            "เปล่า..ไม่เคยมีหรอก ชั้นพูดไปยังงั้นแหละ.. จะบ้าไปหรือไง?"


            จากนั้นเราก็ถูกพาไปยังอาคารที่พัก ที่มีพวกคนงานสาวสวยต่างผลัดกันเดินเข้าเดินออกและทุกๆ คนที่เห็นต่างก็มีดาวเดวิดประดับหราด้วยกันทั้งนั้น
            ตอนเช้า เวลาหกโมงเช้า..พวกสาวสวยเหล่านั้น ต่างรีบตื่นขึ้นมาแต่งตัวกันแบบเอาเป็นเอาตาย เครื่องจับลอนผมถูกทำให้ร้อนพร้อมใช้งาน
            ในตอนแรก ฉันเข้าใจว่า คนพวกนี้ทำไปเพราะความรักสวยรักงาม..แต่..มารู้ในทีหลังว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น..
            ทุกคนต้องการทำตัว"เด่น"เพื่อเป็นที่ต้องตาของของหัวหน้างาน..มันไม่ใช่เพราะเรื่องชู้สาว เพราะกฏหมายของนูเรมเบอร์ที่ออกมาได้สะกัดกั้นความสัมพันธ์ของอารยันกับยิวไว้อย่างชะงัด
            เพราะโทษนั้นถึงขั้นจองจำกันอย่างไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่เป็นเพราะ พวกเธอเหล่านั้น ต้องการที่จะทำตัวให้"ดูดี มีค่า" จะได้มีงานทำไปจนตลอด
            ครอบครัวที่อยู่ข้างหลังจะได้ปลอดภัย..

            โรงงานที่ทำอยู่นี้ คือ โรงงานกระดาษ ชื่อว่า H.C. Bestechon ที่มีตึกด้านหน้าโอ่อ่า หรูหรา ใต้หน้าต่างทุกบานมีกระถางดอกไม้ประดับเป็นแนว
            แต่พวกเราไม่มีสิทธิไปใช้ในส่วนนั้น เพราะหน้าที่ คือ ต้องถูกคุมโดยแม่ผู้คุมสาวงาม ชื่อว่า นางเดรเบนสตัดท์ ให้เดินเรียงแถวออกจากอาคารที่อยู่ด้านหลัง
            มุ่งเข้าสู่ตัวโรงงาน
            พวกเรา..ที่ฉันพยายามนับมาได้ทั้งสิ้น..82 คน แต่อาจจะมีมากกว่านี้


            ทรูด, มีน่า และ ฉัน ได้ถูกสั่งให้เข้าประจำในหน้าที่ทำกล่องในพัสดุภัณฑ์ต่างๆ เช่น กล่องมักกะโรนี กล่องใส่แป้งมัน กล่องใส่กาแฟ กล่องใส่ข้าวโอ๊ตแห้ง
            อีกทั้งอีกสารพัดกล่องใส่อาหารที่พวกเราไม่เคยได้ลิ้มรส..

            การทำงาน คือ การที่พวกเราแต่ละคนต้องยืนประจำที่ ที่เครื่องตัดกล่องสีเขียวใหญ่ยักษ์ มือซ้ายจะต้องสอดแผ่นกระดาษเข้าใต้เครื่องที่มีใบมีดสำหรับตัดที่คมเฉียบราวกับกิโยติน
            เครื่องจะหล่นลงมาตัดตามตำแหน่งของกระดาษ
            จากนั้น..เครื่องยกขึ้น มือขวาต้องรีบดึงกระดาษที่ตัดแล้วออก พร้อมทั้งมือซ้ายก็เริ่มทำหน้าที่สอดกระดาษเข้ามาใหม่ต่อไป
            ทำอย่างนั้นไป ตั้งแต่ หกโมงครึ่งเช้า ไปจนถึง สิบเอ็ดโมงสี่สิบห้า จึงได้พัก และ เริ่มใหม่ คือ บ่ายโมงสิบห้า ไปจนถึง ห้าโมงสี่สิบห้า ..
            ทุกวัน..เป็นเช่นนั้น ที่พวกเราต้องอยู่กับเสียงเครื่องจักรและ เสียงปึงปังของการตัดกระดาษอย่างไม่มีทางเลือก

            นาซีคนที่เป็นหัวหน้างาน ชื่อว่า นาย เฟลเกนเทรา ได้มาจับเวลาของการทำงานของพวกเรา โดยให้นาย ลีมันน์ วิศวะช่างยนตร์ของโรงงานมาตั้งเวลาที่เครื่อง
            และ สั่งว่า "เริ่มได้" ฉันรีบทำงานอย่างไม่คิดชีวิต สอดกระดาษ ตัด ดึงออก..จนมือเป็นระวิง สิบนาทีผ่านไป..เขากระชากเสียงสั่งว่า "หยุดได้"
            หัวใจฉันแทบกองไปอยู่ที่เท้า..ปลายนิ้วมือทุกนิ้ว
            แสบแปล๊บปล๊าบไปหมด
            นายเฟลเกนเทราเริ่มนับกล่องที่ตัดไปทีละชิ้น ละชิ้น

            จากนั้น เขาก็จำนวนนั้นคูณด้วยหก นั่นหมายถึงโควต้าที่ฉันต้องตัดกล่องได้ภายในหนึ่งชั่วโมงของการทำงาน
            จากนั้นก็คูณด้วย แปด...อันหมายถึง โควต้าของการทำงานในหนึ่งวัน..มันรวมออกมาได้ว่า ฉันต้องตัดกล่องทั้งหมด 20,000 กล่อง..
            ฉันรีบแย้งว่า "มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะท่าน ที่จะเอามาตรฐานของการทำงานในสิบนาทีมาเป็นตัววัดของการทำงานทั้งวัน"
            นายนั่น ไม่ตอบอะไร..แต่เดินจากไปพร้อมทั้งยืนยันว่า จำนวนที่ตั้งมานั้น ถูกต้องทุกประการ !!
            ฉันจึงรีบเดินตาม หมายใจจะพูดกันให้รู้เรื่อง
            แต่. ผู้คุมงานหญิงอีกคนหนึ่งได้ห้ามไว้ บอกว่า ไม่มีประโยชน์
            และเธอได้ทำท่าเอานิ้วมือปิดปากในเชิงความหมายว่า เงียบๆ ไว้เถอะ..!!
            ฉันจึงได้เห็นว่า..นิ้วนั้น (และนิ้วโป้ง) คือ สองนิ้วที่เหลือในมือข้างขวาของเธอ !!


            วันแรกของการทำงาน ฉันตัดได้เพียง 12,500 กล่อง ซึ่งงานนี้แม้ไม่ใช่เป็นการการใช้แรงงานในไร่ปลูกมันอย่างที่ผ่านมา
            แต่ มันเหนื่อยยิ่งกว่า
            เพราะ ทันที่ที่เสียงหวูดเลิกงานได้ดังขึ้น ฉันก็แทบพยุงร่างให้ลุกเดินออกไปไม่ได้
            อาหารค่ำมื้อนั้น เราได้ขนมปังกันคนละสองแผ่น และ กาแฟ (เทียมๆ) คนละแก้ว

            วันต่อมา..ฉันได้รับรายงานการทำงานว่า ถ้าทำไม่ครบจำนวนที่ได้รับ จึงต้องอยู่ทำงานต่อให้ครบ เสียงหวูดดัง ฉันยังนับได้แค่ 17,000 กล่อง
            ดังนั้น..ฉันจึงไปไหนไม่ได้ ต้องอยู่ทำงานต่อไปอีกหลายชั่วโมงจนครบตามจำนวน ด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อนแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น
            แต่..อารยันคนหนึ่งได้โยนไม้กวาดมาให้ พร้อมทั้งออกคำสั่งว่า "เก็บกวาดซะด้วย"
            โชคดีที่ ผู้คุม นาย เกบฮาร์ดท์ ได้เกิดเมตตาขึ้นมา บอกว่า
            "ไม่ต้องหรอก อีดิธ กลับไปเถอะ..ไปกินข้าวซะ"


            มื้อกลางวันที่เราได้รับส่วนใหญ่นั้นคือ น้ำซุปผักใสๆ ที่มีส่วนประกอบของมันฝรั่ง กระหล่ำ ที่รสชาติไม่ต่างอะไรกับน้ำล้างถ้วย อันเป็นข้อเปรีบบเทียบของ
            ลิลี่ ปราชญ์ประจำกลุ่ม..ที่ทุกคนล้วนแต่เห็นพ้องต้องกัน

            นอกเหนือไปจากงานโรงงานแล้ว พวกเราต้องผลัดกันทำเวร เช่นในเดือนหนึ่ง..ฉันต้องช่วยทำครัวหนึ่งอาทิตย์ นั่นหมายถึงการทำความสะอาดโต๊ะ
            ล้างภาชนะ ปอกและต้มมันฝรั่ง..ที่ฉันรำพึงในใจขณะที่ยืนอยู่หน้าเตาว่า ถ้าจะหยิบใส่กระเป๋าไปสักลูกหนึ่งคงร้อนพิลึก..แต่ก็น่าลองดู
            แต่สายตาของกุ๊กนาซีที่เฝ้ามองมาอย่างรู้ทันในความคิด ทำให้ฉันนึกแหยงจนไม่กล้า..
            มื้อเย็น..ก็เป็นขนมปังและกาแฟ (เทียมๆ) อีกแล้ว..มีน่าถึงกับปรับทุกข์ว่า "นี่พวกเขาจะทรมานให้เราหิวตายหรือไงกันเนี่ย อีดิธ?"
            "เราต้องพยายามกินกลางวันให้เยอะๆ เข้าไว้แล้วละ นี่ฉันเขียนจดหมายไปขอของกินจากที่บ้านแล้วนะ" ฉันตอบ แต่ทรูดรีบแย้งว่า
            "ที่บ้าน พวกเราชาวยิวก็ไม่มีอะไรจะกินกันแล้วนะ พี่สาวของฉันแต่งงานกับอารยัน มีของกินเหลือเฟือ เขาเคยส่งไปให้ที่บ้านด้วย เพราะ พวกเราอดอยากกันจะแย่"
            "พี่สาวเธออยู่ที่ไหนล่ะ?"
            "ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขา"อยู่" หรือเปล่าน่ะซิ..เพราะสามีของเขาไล่ออกจากบ้าน เอาแต่ลูกๆ ไว้ และบอกกับพวกเกสตาโปว่า เธอได้ตายไปแล้ว"
            "อ้าว..แล้วใจคอพี่เธอจะทิ้งพวกลูกๆ ให้อยู่กับพ่ออย่างนั้นได้อย่างไรล่ะ" สิ้นเสียงคำถามของมีน่า ทรูดที่เคยเป็นคนสงบเสงี่ยมเกิดมีโทสะขึ้นมาในทันใด
            เธอกระชากแขนมีน่าให้หันมาเผชิญหน้า แล้วเค้นเสียงออกมาว่า
            "เธอไม่รู้หรอกว่า พี่สาวฉันน่ะโชคดีขนาดไหน ที่ไอ้ผัวนั่นมันบอกไปว่า เธอได้ตายไปแล้ว แทนที่จะจับตัวส่งให้เกสตาโป เลิกถามโง่ๆ อย่างนี้ซะทีเถอะ ยัยปัญญาอ่อน !!"


            ในระยะแรกๆ ที่เข้ามาที่โรงานกระดาษ กฏข้อบังคับต่างๆ ของที่นี่และที่ไร่ในออสแตร์แบร์คใกล้เคียงกัน แต่พออยู่นานๆ ไป ข้อที่โหดกว่าเริ่มปรากฏเด่นชัด
            เช่น..ใครพักที่ชั้นไหนต้องเข้าห้องน้ำที่ชั้นนั้น ถ้าไปที่ชั้นอื่นจะต้องถูกปรับ 15 เฟนนิค และการซักผ้าต้องอยู่ในวันที่กำหนดให้เท่านั้น ห้ามอาบน้ำหลังสองทุ่ม
            การทำเตียงต้องทำตามแบบที่สอนไว้เท่านั้น คือพับมุมผ้าเข้าใต้ที่นอนสองทบ ผ้าห่มต้องไม่มีรอยย่น ห้ามวางสิ่งของบนตู้ การออกไปข้างนอก ต้องเป็นเวลา คือ
            วันเสาร์บ่าย 2-6 โมง วันอาทิตย์เช้า 9-11 โมง และบ่าย 2-6 โมง ทุกคนต้องติดดาวเดวิดตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนมาไหน และห้ามซื้อของใดๆ
            (เพราะไม่มีใครขายให้อยู่ดี)

            มีน่าเอาบัตรปันอาหารที่ได้รับจากนายจ้างอารยันที่แสนดีมาอวด..เพราะ คุณนาย ไนเดอร์รัลล์ เข้าใจว่ามีน่าอาจจะใช้ซื้อขนมปังได้ จึงได้ส่งมาให้
            "แล้วเราจะทำอย่างไรกะมันดีล่ะ?" มีน่าถามอย่างหมดหวัง
            "ไม่เป็นไร ฉันจะส่งไปให้เปปปิแฟนฉัน ให้เขาซื้อแล้วส่งมาให้เราอีกที" ฉันแก้สถานะการณ์ได้อย่างสวยหรู
            แต่..ถามฉันซิ.. ที่เรากว่าจะได้รับเนี่ย..ขนมปังมิแข็งโป๊ก เก่างั่ก แถมมีราขึ้นหรืออย่างไร คำตอบคือ ใช่ทุกอย่าง..มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
            แต่มันก็เป็นของขวัญจากสวรรค์ เป็นเครื่องแสดงน้ำใจจากคนที่รักและเป็นห่วงเรา แม้ว่ามันจะเก่าถึง 14 วันก็เถอะ เรายังสามารถเอามันห่อด้วย
            ผ้าชื้นๆ และเอร็ดอร่อยกับการบิเอาออกมาแทะๆ แบบไม่ต่างอะไรกับหนู


            วันเสาร์..เป็นวันจ่ายเงินเดือน ฉันได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 12 มาร์ค 72 เฟนนิค แต่หลังจากที่หักค่าที่พักไป 6 มาร์ค
            และมีการหักค่าไฟที่ฉันใช้เกินในการทำงานเพื่อที่จะต้องตัดกล่องให้ครบตามโควต้า ฉันเหลือเงินเพียง 4 มาร์ค 19 เฟนนิค
            เนื่องจาก..ซื้อหาอะไรไม่ได้ เงินจึงไม่มีประโยชน์ ฉันจึงไปที่ไปรษณีย์เพื่อที่จะส่งไปให้แม่..
            แต่..ไม่ทันที่จะผ่านผ้นประตู ยามได้เข้ามาสะกัดกั้น..
            "มีใบอนุญาตให้ออกไปจากผู้คุม นางเดรเบนสตัดท์ หรือเปล่า?"
            "แต่เธอหยุดงานนี่คะ"
            "ก็ต้องขอไว้ล่วงหน้าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วซิ"
            "คุณคะ..ถ้าแม่ไม่ได้ข่าวจากฉันเลย เขาต้องคิดว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับฉันนะคะ" ฉันพยายามอธิบาย
            "ถ้าฉันให้เธออกไปข้างนอกพร้อมจดหมายนั่น ผู้จัดการก็อาจคิดได้ว่า ฉันร่วมมือกับเธอลักขโมยของโรงงานก็ได้"
            "ก็แล้วโรงงานนี่มันมีอะไรให้ขโมยล่ะ นอกจากกล่องกระดาษ"
            "กลับไปข้างในซะ..ไปซิ"
            ฉันถอยหลังกลับแต่โดยดี..ยามนั่นถึงแม้จะแก่ แต่ก็ถือกระบองอันเบ้อเร่อ ท่าทางเขาไม่ใช่คนดุร้ายอะไรแต่ออกแนวตื่นตระหนกมากกว่า

            ในคืนหนึ่ง..ทรูดเกิดอาการท้องเสียอย่างกระทันหัน ห้องน้ำที่มีอยู่ก็ไม่ว่าง..เธอจึงจำเป็นต้องไปเข้าห้องน้ำในชั้นอื่น พอลงมาก็เจอกันกับ นางเดรเบนสตัดท์เข้าพอดี
            ไม่มีการพูดพล่ามทำเพลง ผู้คุมหญิงตรงเข้าตบหน้าเธอซ้อนๆ กันหลายที ทรูดตกใจจนร้องไม่ออก
            "เงินเดือนของเธอจะถูกตัด ห้าสิบเฟนนิค และ ห้ามการรับ-ส่ง จดหมายไปหนึ่งอาทิตย์"
            มาถึงตรงนี้..ทรูดร้องไห้ออกมาโฮใหญ่ เพราะ จดหมายเปรียบเสมือนเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงจิตใจให้ก้มหน้าอดทนอยู่สู้งาน
            โทษชนิดนี้ (postperre) สำหรับพวกเราถือว่าเป็นโทษที่หนักหนาสาหัสนัก

           

            ****เสริมนิดนะคะ...ขอเล่าเรื่องหนังที่รอคอยดูมาตั้งแต่เริ่มสร้าง..
            และได้สมใจในวันนี้คือ Der Untergang
            เป็นหนังยอดเยี่ยมของเยอรมันค่ะ เรื่องคล้ายๆ อย่างนี้เคยสร้างมานานแล้วในนามว่า The Bunker
            เกี่ยวกับ ระยะ 15 วันก่อนที่เบอร์ลินจะพ่ายแพ้แก่รัสเซีย
            (สัมพันธมิตร) โดยใช้เรื่องราวจากปากคำของ Traudl Jung เลขาประจำตัวของฮิตเล่อร์ที่มีอายุอยู่ถึงปี 2002
            และในตอนจบได้มีการถ่ายการสัมภาษณ์เธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วย

            155 นาทีของความยาวของหนังเรื่องนี้ ไม่มีใครในโรงลุกไปเข้าห้องน้ำเลยค่ะ เพราะเข้มข้นทุกตอน เก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดียอดเยี่ยม
            การถ่ายทำ..ไม่มีที่ติ..
            ถ้าใครที่อ่านเรื่องฮิตเล่อร์ ที่เขียนไว้ จะเข้าใจและสนุกตามไปด้วยทุกตอน เพราะตัวละครที่เล่ามา ทั้ง ไกเทล
            เกอริง ฮิมม์เล่อร์ เกบเบิลส์และเม๊กดา ออกมาโลดแล่นให้เห็นตามลักษณะอุปนิสัยประจำตัว..

            เรื่องนี้.สร้างไปตามความเป็นจริง..ไม่ได้ทำให้ใครเห็นว่า ฮิตเล่อร์คือซาตาน หรือเป็นภูตผีปีศาจ แต่อย่างไร
            เขาคือคนที่มีความเชื่อ ฝังลึก (ในสิ่งที่ผิดๆ) เป็นผู้นำที่ผิดพลาดคนหนึ่ง ที่พาประเทศชาติล่มจมไปกับมือ
            และเราได้เห็นในสัจจธรรมว่า..
            ในยามแพ้นั้น ชาวเยอรมันก็ได้รับกรรมอย่างสาสมเช่นกัน

            ใคร่ขอเรียนให้ไปชมหนังเรื่องนี้ให้ได้ ยิ่งเป็นคอหนังสงครามละก้อ..อย่าพลาดเชียว เสียดายตายเลย..!!

            http://www.a-film.nl/deruntergang/         *******วิวันดา

            

            หัวหน้าแผนกตัดกล่องของพวกเราเป็นสาวใหญ่ หน้าตาออกแนวขี้ริ้ว หลังโก่งนิดๆ
            แต่ดวงตาคู่นั้นมีแววไมตรีอยู่ไม่น้อย
            เธอรอจนหัวหน้า นายเฟลเกนเทราได้เดินลับมุมไป จึงรีบก้มมากระซิบว่า
            "ฟังนะ อีดิธ ถ้าเธอวางกระดาษให้ซ้อนกันแน่นๆ เธอจะสามารถตัดได้ครั้งละห้าแผ่น ไม่ใช่แค่สี่อย่างที่ทำอยู่" พูดพลาง เธอก็เข้ามาสอนให้เห็นวิธี
            "ถ้าใบมีดมันหักละก้อ มาบอกฉันละกัน ฉันจะให้ช่างเครื่องมาดูให้ อย่าทำให้ใครเห็นนะ แอบๆ หน่อย" เธอกระซิบก่อนที่จะรีบเดินจากไป
            ฉันได้เริ่มต้นลองทำตามตั้งแต่วินาทีนั้น..
            ผลคือ ปาฏิหารย์..เพราะฉันได้เพิ่มผลผลิตมาได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ภายในไม่กี่วินาที
            และเธอมักเดินเกร่มาให้สัญญาณว่า หัวหน้ากำลังเดินมาทางเรา..นั่นหมายถึงการกลับไปใช้สี่แผ่นอย่างเดิม
            และผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนี้ ทำให้พวกเรามีสิทธิไปแอบพักได้สิบห้านาที ในเวลาบ่ายสี่โมงโดยถือโอกาสที่บรรดาหัวหน้างานไปพักผ่อน
            ดื่มน้ำชา โดยผู้คุมหญิงผู้อารีนั่นคอยเป็นหูเป็นตาเฝ้าดูต้นทางให้แทบทุกวัน
            อันว่าน้ำใจที่หลั่งไหลมาในครั้งนี้..ไม่มีเหตุผลต้องอธิบายว่ามันมาได้อย่างไร
            ไม่ว่าจะเป็นความโหดร้ายของผู้คุมหอนอนที่ตบหน้าทรูด กับความอารีผู้คุมคนนี้ ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีเหตุผลในการกระทำของตนเองด้วยกันทั้งนั้น
            เพียงแต่ทั้งสอง เลือกที่จะทำตามความพอใจและนิสัยดั้งเดิมของตัวเอง

            ในเดือน พฤศจิกายน มีคำสั่งให้ฉันต้องทำโควต้าเพิ่มขึ้นถึง 35,000 กล่องต่อวัน เล่นเอาฉันถึงกับเข่าอ่อน หัวใจวูบหล่นหาย
            เพราะ..แน่ใจว่า ไม่มีทางทำตามได้อย่างแน่นอน
            และถ้าทำไม่ได้ตามนั้น หมายความว่า แม่จะต้องถูกส่งตัวไปยังค่ายที่โปแลนด์..โอ..พระเจ้าช่วยลูกด้วย!!
            แต่มีน่า..กลับมองเห็นเป็นเรื่องขัน เธอนำริบบิ้นสีแดงมาให้พร้อมกับออกท่าออกทางประกาศข่าวว่า
            "ขอแสดงความยินดีด้วยนะอีดิธ ตอนนี้เธอคือดาวตัดกล่องดวงเด่นของบริษัทเบสเตเฮิร์นของเรา..ไชโย ไชโย๊ !!"


            เพื่อนเก่าของเรา ไลเซล บรุสต์ ได้จดหมายมาว่า ตอนนี้เธอได้อยู่ในเวียนนาเรียบร้อยแล้ว และเข้าทำงานที่ศูนย์สงเคราะห์ยิว
            เธอได้ไปพบกับครอบครัวของฉัน ทุกคนสบายดีและปลอดภัย..
            เพียงข้อความแค่นั้น ที่ทำให้กำลังใจที่หดหายไปทั้งหมดกลับคืนมาสู่ตัวอย่างรวดเร็ว ฉันนำริบบิ้นสีแดงที่มีน่าให้มาติด เดินเชิดหน้าเข้าประจำที่ ทำงานแบบบ้าคลั่ง..รวดเร็วราวจักรผันและไม่มีการหยุดพัก
            เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของแม่ที่เป็นที่สุดในชีวิต..
            และโควต้านั้นประสบความสัมฤทธิ์ผล (ด้วยการส่งกระดาษคราวละห้าแผ่น) เพียงแต่การทำงานอย่างไม่มีพักเช่นนั้น
            ทำให้ใบมีดที่เครื่องหักสะบั้น..
            นายเฟเกนเทราหงุดหงิดจัดสั่งตัดเงินเดือนของฉันเอาไปเป็นค่าซ่อม
            นายเกบสตัดท์เดินผ่านมาเห็นจะจะว่าฉันได้สอดกระดาษคราวละห้าแผ่น แต่เขาไม่ได้พูดว่ากระไร
            กลับทำเดินเฉยผ่านไป..แบบไม่รู้ไม่ชี้
            ปลายนิ้วมือทุกนิ้วของฉันถลอกเพราะหนังเปิดออกเห็นเลือดแดงซิบๆ เพราะการทำงานที่แสนหนักหน่วง
            แต่..ฉันจะหยุดได้อย่างไร

            ปลายเดือนพฤศจิกายน เราได้พบว่าพวกผู้หญิงที่อยู่บนชั้นสามของตึกนอนของเราได้แต่งตัวในชุดเดินทางพร้อมทั้งสัมภาระ
            พวกเธอกำลังจะได้กลับบ้าน..
            "โอ..พวกเธอโชคดีจัง" มีน่าส่งเสียงทักทาย " กำลังจะไปแต่งงานหรือไปหย่าล่ะ เราได้ข่าวว่ามีใครบางคนกำลังตั้งท้องด้วยนะ"
            พวกผู้หญิงพงกนั้นต่างพากันหัวเราะกิ๊กกั๊ก ตอนนั้น มุขเรื่องท้องนี่คือเรื่องสุดขำขันอย่างสุดๆ
            เพราะแทบทุกคนต่างไม่มีประจำเดือนกันมานานแสนนาน
            "ไม่ใช่หรอก เราต้องกลับไปเพราะพ่อแม่ของเรากำลังจะถูกส่งตัวไปค่าย เราจะไปกับเขาด้วย" หนึ่งในนั้นตอบมา
            จากนั้นไม่นาน ผู้หญิงอีกสามคนก็กำลังจะกลับเวียนนาไปด้วยเหตุผลเดียวกัน เพื่อที่จะร่วมเดินทางไปกับพ่อแม่ยังโปแลนด์
            มาถึงตอนนี้ ที่โรงงานก็เกิดการขาดแคลนแรงงานขึ้นมาทันที..การกลับของพวกเธอจึงต้องถูกชะลอไปก่อน
            ทางบริษัทได้พยายามต่อรองกับนาซีอย่างสุดฤทธิ์
            คือ พวกเธอต้องตามไปสมทบทีหลัง พ่อแม่และครอบครัวได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน
            ส่วนฉันนั้น..กำลังวิตกอย่างที่สุด เพราะไม่รู้ว่าจะถึงคราวจากพรากของตัวเองเมื่อไหร่
            จึงรีบเขียนจดหมายไปถึงแม่ว่า
            "แม่จ๋า..ถ้ามีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอะไร รีบบอกหนูนะ เพราะกว่าหนูจะขออนุญาตเดินทางจากนาซีต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน"
            ฉันไม่ลืมที่จะสำทับไปกับเปปปิว่า
            "ต้องบอกมาโดยด่วนนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแม่"


            ฉันเริ่มทำงานตั้งแต่ตะวันยังไม่ขึ้นจนถึงตะวันตกไปแล้ว..มืดชนมืด..จนไม่รู้ว่าวันไหนคือวันอะไร
            เขียนจดหมายก็ใส่วันที่ผิดๆ แต่ก็เขียนถึงแม่ทุกวัน..ไม่มีขาด พร้อมกับคำถามที่เรียงไปเป็นตับ
            ว่า..ตอนนี้เรากำลังรบกับใคร?
            สถานการณ์เป็นอย่างไร?
            ฉันไม่เคยได้เห็นหนังสือพิมพ์ ไม่มีเวลาฟังวิทยุ (เครื่องเดียวที่ตั้งอยู่ในครัว) ทุกวันฟังแต่ข่าวลือสารพัด..
            แม่จ๋า เมื่อไหร่พวกเขาจะมาช่วยปลกปล่อยพวกเราซะที..?
            แม่จ๋า..แม่อดหรือเปล่า ไม่ต้องส่งอาหารมาให้หนูนะ
            แม่จ๋า..แม่ออกไปเดินข้างนอกได้ไหม ทำงานบ้างหรือเปล่า?
            อ่านจดหมายหนูแล้วรีบเผาทิ้งนะจ๊ะ..

            สำหรับจดหมายที่มีไปถึงเปปปิ ข้อความส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กัน เพียงแต่ความนัยระหว่างบรรทัดนั้น บ่งบอกถึง
            คำถามที่มีอยู่ว่า "คิดถึงฉันบ้างไหม?" "ยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?"

           
            ข่าวลือที่โหมมาล้วนแต่น่ากลัวทั้งสิ้น เราได้ข่าวว่า
            พวกนาซีกำลังกำจัดยิวให้สิ้นซากเพื่อที่จะให้เยอรมันเต็มไปด้วยสายเลือดอารยันที่ผุดผ่องบริสุทธิ์
            อีกทั้งข่าวมาว่า..คนแก่ ทุพพลภาพ เด็กที่ไม่สมประกอบ ทั้งหมดได้ถูกส่งตัวไปเข้าห้องแก๊ส..
            ลิลี่กับฉันต่างพูดแก่กันว่า..เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ใครบางคนต้องแกล้งออกข่าวให้พวกเราตกใจกลัว

            ข่าวก็มีอีกว่า..คนที่ถูกส่งไปค่ายนั้นต้องทำงานหนักจนตาย โดยวิธีทรมานแบบผิดแผกมนุษย์ เช่น
            ให้ไปยกหินหนักๆ ให้ไปยืนตากหิมะ ตากฝน และให้อดอาหาร
            ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อัปมงคลทั้งสิ้น..
            ยิ่งข่าวของสภาพและสถานการณ์ของค่ายในโปแลนด์ ที่มาจากจดหมายของคู่รักของเพื่อนหญิงคนงาน
            ที่เขาเขียนเตือนมาว่า "พยายามอยู่ในอัสแตเเบร์คเถอะ..เพราะที่นี่ มันแสนเลวร้าย อดอยาก ไม่มีอากาศจะหายใจ
            แออัดจนไม่มีที่นอน ผู้คนล้มตายกันราวใบไม้ร่วงไม่เว้นแต่ละวัน ทุกๆ วันมีเชลยยิวที่ส่งตัวจากประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ "
            พอข่าวเรื่องจดหมายนี้..รู้ไปถึงหูเกสตาโป พวกนั้นก็แห่กันมาที่โรงงาน ลากตัวหญิงเจ้าของจดหมายออกไป ค้นตู้เสื้อผ้าของเธอกระจุยกระจาย
            รวมทั้งกรีดที่นอนจนฉีกขาดเพื่อหาจดหมายเจ้ากรรมนั่น
            จากการกระทำของพวกเขา ทำให้พวกเราเชื่อว่า ข้อความในนั้นคงต้องเป็นความจริงอย่างแน่นอน
            โปแลนด์ก็เปรียบได้คือนรกชัดๆ ..
            ฉันรีบเขียนจดหมายไปบอกเปปปิว่า..
            "บอกแม่ไปว่า..ไม่ต้องตอบจดหมายหรือคำถามอะไรของฉันที่เขียนไปเลยนะ.."


            เดือนกุมภาพันธ์ ฉันล้มป่วยด้วยอาการของโรคฝีดาษพร้อมๆ กับเพื่อนหญิงคนงานอีกคนหนึ่ง แอนนีลีส
            สองอาทิตย์เต็มๆ ที่เราต้องนอนจับใข้อยู่ในห้องพยาบาลของโรงงาน แต่ขวัญและกำลังใจที่มียังอยู่ครบ
            ฉันได้บอกกับตัวเองว่า จะเป็นอะไรไปตอนนี้ไม่ได้ ต้องไม่ป่วย ต้องไปทำงาน ..
            และได้พยายามพยุงตัวลุกขึ้น แต่พยาบาลได้ลากตัวฉันขึ้นไปบนเตียงใหม่ เอาอาหารมาให้และก็หายตัวไป
            ทำนองว่า..ถ้าหายก็โชคดีไป ถ้าไม่หายก็ช่วยไม่ได้

            แต่..การป่วยครั้งนี้ ถือว่าเป็นโชคช่วยชีวิตแท้ๆ เพราะว่าร่างกายของฉันได้อ่อนแอและตรากตรำมากจนเกินไป
            การพักผ่อนนอนเฉยๆ ถึงหกอาทิตย์นั้น ได้ทำให้เป็นการพักผ่อนอย่างเต็มที่จนมีเรี่ยวแรงกลับมาทำงาน
            ได้ดีดังเดิมในกลางเดือนมีนาคม

            การกลับมาครั้งนี้ ฉันได้พบว่าหอนอนของเรานั้นว่างไปถนัดใจ
            ในฉบับแรกๆ ของจดหมายแม่ที่ได้รับเล่ามาอย่างตื่นเต้นว่า
            กำลังมี"รัก"ใหม่และกำลังจะแต่งงานกับ
            นาย แมค เฮาสเนอร์ ซึ่งฉันพลอยยินดีกับแม่ในความสุขครั้งนี้
            แต่ฉบับต่อๆ มา..เริ่มไม่ปะติดปะต่อในข้อความ ราวกับว่า แม่กำลังมีปัญหาหนักใจ
            เปปปิเล่ามาว่า ป้าซูซี่ของเขา กำลังถูกส่งตัวไปค่าย เช่นเดียวกับครอบครัวของวูฟกัง และ โรเม่อร์


            ที่โรงงาน..การจองล้างจองผลาญก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน พวกคนงานหญิงที่กลับไปบ้านไปแต่งงานก็ถูกส่งตัวไปยังค่ายพร้อมกับสามี
            เพื่อนหญิงคนที่มีความรักกับนักโทษฝรั่งเศสก็ถูกส่งตัวไปยังที่เดียวกัน ส่วนนักโทษคนนั้นถูกยิงทิ้ง..
            เพื่อนเก่าของฉัน ซิค..ตายในสนามรบแนวตะวันออก
            พัสดุที่มีน่าส่งไปให้ครอบครัวถูกตีกลับ..และข่าวตามมาว่า ครอบครัวทั้งหมดของเธอได้ถูกส่งตัวไปแล้วเช่นเดียวกัน
            ซึ่งเธอจะต้องเดินทางตามไปด่วน..
            พวกเราพยายามหาเศษไหมพรมที่เหลือๆ มาถักเป็นเสื้อหนาวให้เป็นของขวัญ ฉันถักแขนนึง ส่วนทรูดถักอีกข้าง..

            วันที่มีน่าจากไป..นั่นหมายถึง ฉันหมดคู่คิด ขาดเพื่อนที่อยู่เคียงข้างอีกต่อไป..
            จดหมายที่มีไปถึงแม่..ฉันได้ขอฝากมีน่าให้แม่ช่วยดูแลเธอด้วย ฝากกับเปปปิว่า ถ้ามีน่าขาดเหลืออะไรขอให้พยายามช่วยอย่างสุดกำลัง
            แต่..ก็คงทำอะไรไม่ได้มาก เพราะเธอมีเวลาอยู่แค่เพียงวันสองวันก่อนเดินทางเท่านั้น
            มีน่าเขียนจดหมายมาว่า..ได้ไปเยี่ยมแม่ของฉันและครอบครัวของแอนนีลีสแล้ว และได้รับของที่ระลึกมาด้วย
            เธอได้ย้ำหนักหนาว่า.."อีดิธ..พยายามติดต่อกับคุณน้าไว้นะ (เธอหมายถึงคุณนายไนเดอรัลล นายหญิงอารยันผู้อารี)
            อย่าโศกเศร้าเสียใจไปเลยทุกอย่างยังพอมีความหวังว่าจะกลับมาดีดังเดิม อย่าหักโหมทำงานนัก ฉันจะพยายามส่งข่าวถึงเธอเสมอๆ
            ถ้าไม่ได้ข่าวจากฉันละก้อ ขอให้คิดว่าอย่างไรเสียฉันก็ไม่เคยลืมเธอเลย..รักเสมอ มีน่าเพื่อนของเธอ"


            ฉันไม่เคยรู้เลยว่า ฮิตเล่อร์ได้จัดการสั่งให้แรงงานยิวทั้งหมดเดินหน้าเข้าค่ายนรก พวกเขาไม่ต้องการเราอีกต่อไป
            เพราะว่าแรงงานจากเชลยของประเทศอื่นๆ ที่ไปชนะมานั้น มีมากมายเหลือเฟือ
            ฉันจึงไม่ได้สังหรณ์ใจเลยสักนิดว่า หนทางข้างหน้านั้นมันน่ากลัวสักแค่ไหน..
            ฉันได้ทำการเผาจดหมายของเปปปิทิ้งไปจนหมด เหลือไว้เพียงฉบับเดียวที่ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 1942
            เพราะข้อความในนั้นมันช่างอ่อนหวานและเต็มไปด้วยความรักเขามีให้กับฉันอย่างสุดซึ้ง

            แต่ในที่สุด..โทรเลขจากแม่ก็มาถึงมีใจความว่า
            "แม่ต้องไปด่วน รีบมานะ"
            ฉันรีบแจ้นไปที่สถานีตำรวจและบอกว่า.."ฉันต้องเดินทางค่ะ แม่ฉันกำลังจะจากไป..ฉันต้องไปพร้อมกับแม่"
            ทุกคนเงียบ..ไม่มีคำตอบ
            ฉันเข้าพบกับหัวหน้างาน ร้องขอความช่วยเหลือและวิงวอน..

            ที่เวียนนาก็เช่นกัน..ที่แม่ไปขอความกรุณาจากเกสตาโปให้ผ่อนผันขอรอจนกว่าลูกสาวจะเดินทางไปถึง
            "ลูกสาวอายุเท่าไหร่?"
            "ยี่สิบแปดค่ะ"
            "โตแล้วนี่..เดินทางเองได้ไม่ต้องมารอกันให้เสียเวลา"
            "กรุณาเถอะค่ะ"
            "ไม่ได้..!!"    และนั่นคือประกาศิต....

          
 




เชลย โดย วิวันดา

เชลย..............ตอนแปด จบบริบูรณ์
เชลย..............ตอนเจ็ด
เชลย..............ตอนหก
เชลย..............ตอนสี่
เชลย..............ตอนสาม
เชลย..............ตอนสอง
เชลย..............ตอนหนึ่ง



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101957)
avatar
Khunphu

ดิฉันติดตามอ่านอยู่นานค่ะ เป็นความรู้จริงๆค่ะ

ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่นำมาแป่งปันค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น Khunphu วันที่ตอบ 2012-01-12 21:55:04 IP : 58.64.125.149


ความคิดเห็นที่ 2 (101965)
avatar
ใบมะรุม

อยากอ่านต่อครับ

 

 

ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ใบมะรุม วันที่ตอบ 2012-01-19 16:58:01 IP : 125.27.59.5


ความคิดเห็นที่ 3 (102028)
avatar
didy

ขอบคุณสำหรับบทความดีดี ค่ะ ติดตามอยู่ตลอดนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น didy วันที่ตอบ 2012-04-12 10:37:26 IP : 58.136.18.28



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker