dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนหก

  เมื่อฉันกลับไปที่สถานีตำรวจอีกครั้ง เพื่อที่จะขอเอกสารการเดินทางเพราะเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ยิวทุกคนต้องมีติดตัวยามไปไหนมาไหน แต่ความพยายามนั้นไร้ผลเช่นเคย
            ฉันถูกปฏิเสธครั้งแล้ว ครั้งเล่า
            อนิจจา..ฉันคร่ำครวญปริ่มว่าจะขาดใจ..สายใยระหว่างฉันและแม่ได้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีโยงเข้าหากันได้อีก ประตูระหว่างเราได้ถูกปิดกั้นอย่างสนิทแล้ว..แม่จ๋า !!

            จดหมายที่แม่ฝากไว้กับเปปปิอ่านได้ใจความว่า
            "บอกกับอีดิธนะ ว่าแม่ได้พยายามรั้งเวลาแล้ว แต่..ไม่มีประโยชน์อันใด อย่าเสียใจและท้อแท้ หวังว่าคงได้ตามมาในรถไฟเที่ยวต่อไป แม่จะรอ ความจริงที่ศูนย์ยิวที่เวียนนาได้บอกว่า ให้อีดิธอยู่ที่นั่นน่ะดีแล้ว อาจจะปลอดภัยกว่าด้วยซ้ำ"

            ฉบับต่อมา แม่เขียนเล่ามาทางเปปปิว่า
            "ตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีหนึ่ง พวกเรากำลังคอยพวก SS ที่จะมารับตัว คุณเฮาส์เน่อร์ได้ช่วยจัดกระเป๋าเดินทางให้เพราะลำพังแม่เองทำอะไรไม่ถูกแล้ว มือไม้สั่นไปหมด ได้โปรดบอกอีดิธด้วยว่า ให้รีบจัดกระเป๋า และดูแลข้าวของให้แม่ด้วยสองสามอย่างที่ทิ้งไว้ มีกระเป๋าเดินทางหนึ่งใบที่ฝากไว้ที่บ้านคุณไวสส์ ข้างในใส่ของไว้จนแน่น ให้อีดิธนำติดตัวไปด้วย แล้วพบกันในเร็วๆ นี้นะ ขอให้ลูกโชคดี รักษาเนื้อรักษาตัวด้วย จุมพิต...จาก แม่ คลอทธิลด์ ฮาห์น"

            แม่ถูกส่งตัวไปในวันที่ 9 มิถุนายน 1942 ส่วนฉันเพิ่งได้รับใบอนุญาตเดินทางจากเกสตาโปในวันที่ 21


            เราหกสาวที่ต้องเดินทางกลับไปยังเวียนนา ในใบอนุญาตที่ได้มานั้น เขียนไว้ชัดเจนว่า เราต้องแสดงให้เจ้าหน้าที่เห็นก่อนขึ้นรถ และทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนขบวน
            แต่..ข่าวกรองได้มีมาถึงว่า อย่าไปรายงานตัวที่สถานีเด็ดขาด
            "อ้าว..แล้วเราจะทำยังไงล่ะ?" สาวนามว่า เออร์มี่ ชวาร์ซ ถามด้วยความตื่นตระหนกในขณะที่มือกำลังวุ่นอยู่กับการจัดของลงกระเป๋า "เขาเห็นพวกเราติด"ดาวเดวิด"เหลืองจ้าขนาดนั้น เดี๋ยวก็ถูกลากไปเข้าคุกหรอก"
            "ฉันจะไม่ติดไอ้ดาวบ้าๆ นี่หรอกนะ" ฉันลดเสียงเป็นจนเกือบกระซิบ ต่อด้วยประโยคว่า "ถ้าขืนมีดาวแสดงตัวหราละก้อ ฉันคงไม่มีโอกาสได้ไปร่ำลาพวกญาติๆและไม่ได้พบกับเปปปิกับคริสตัลแน่ๆ "
            ตอนนั้นฉันยังฝันหวาน และถวิลหาอ้อมกอดอุ่นๆ ที่จะได้รับจากชายผู้เป็นที่รักอยู่อย่างใจจดจ่อ
            แม้ว่ามันจะเป็นเวลาเพียงแค่วันหรือสองวันก็ยังดี
            "แต่ถ้าไม่ติดดาว เราก็ขึ้นรถไฟไม่ได้นะ" เออร์มี่ยังไม่วายกังวล
            "ช่าย..นั่นก็จริง..แต่ตอนลงรถไฟไม่ต้องมีก็ได้นี่ ใครจะมารู้"

            เรา..สาวยิวชุดสุดท้ายที่กำลังจะเดินทางออกจากอัสเชอร์สเลเบน ได้นัดพบกันในตอนย่ำรุ่งของวันเดินทางพร้อมทั้งวางแผนให้เป็นที่เข้าใจกันไว้ว่า
            เราจะแยกอยู่กันเป็นคู่ๆ และ อยู่ในขบวนโบกี้ต่างๆ กัน เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต
            ฉันได้จับคู่กับเออร์มี่
            โชคดีที่ขบวนรถไฟในตอนนั้น ช่างแออัดไปด้วยผู้คนที่ต่างพากันเดินทางไปพักผ่อนพร้อมครอบครัวอย่างสนุกสนาน ทั้งๆ ที่ตอนนั้นบ้านเมืองกำลังอยู่ในระหว่างสงครามแท้ๆ
            นับว่า เยอรมันกำลังชะล่าใจ ประมาทสงครามอย่างยิ่ง ในความนึกคิดของฉัน
            แต่ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า ฉันมัวแต่ทำงานราวกับทาสในโรงงานกระดาษนั่น จนไม่รู้เรื่องกับเขาจนนิดเดียวว่า
            เยอรมันกำลังได้ชัยชนะไปจนเกือบหมดยุโรปแล้ว


            การเดินทางผ่านมาได้ราวๆ สักชั่วโมง ฉันได้เดินไปตามทางเพื่อที่จะเข้าไปใช้ห้องน้ำ เบียดตัวผ่านตำรวจ..ที่ฉันต้องพึมพำบอก "ขอทางหน่อยค่ะ" ด้วยเสียงที่รู้สึกสั่นๆ
            และกระชับเสื้อโค๊ตในอ้อมกอดให้แนบตัวเข้ามา
            ปิดทับด้วยกระเป๋าเดินทางเพื่อไม่ให้ดาวเดวิดนั้นเล็ดรอดโผล่ออกมาให้ใครต่อใครได้เห็น

            ทันที่ที่เข้าไปในห้องน้ำนั้นได้ เสื้อโค๊ตตัวนั้นได้ถูกกางออกเพื่อที่จะได้จัดการเลาะรอยเย็บของดาวนั่นให้หลุดออกมาอย่างไม่ทิ้งร่องรอย
            ขากลับออกไป ฉันสวนกับเออร์มี่ และสบตากันแวบหนึ่ง..เพราะเธอกำลังจะเข้าห้องน้ำเพื่อที่จะทำการอย่างเดียวกัน

            คุณคงแปลกใจนะ ที่ทำไมเราถึงไม่จำบทเรียนที่เกิดกับเบอร์ธา เพื่อนสาวที่มีแฟนเป็นนักโทษฝรั่งเศส ที่ยอมออกไปข้างนอกพบกับแฟนโดยไม่ได้ติดดาว และถูกจับได้ส่งตัวไปค่าย ส่วนนักโทษคนนั้นถูกจัดการขั้นเด็ดขาด
            เชื่อไหม..ถ้าฉันจะบอกว่า ตอนนั้น พวกเราคิดถึงเธอมากที่สุด เพราะ ทุกครั้งที่ผ่านกลุ่ม SS หรือ ตำรวจ พวกเราตัวเย็น มือสั่น แต่พยายามทำสีหน้าให้รื่นเริง
            อาการเป็นปรกติ พยายามคุยกับผู้โดยสารอื่นๆ อย่างเป็นกันเอง
            คุณนายคนหนึ่งได้เล่าว่า เธอกำลังเดินทางไปเยี่ยมลูกสาวที่เวียนนา
            ฉันอวยพรให้เธอมีการเดินทางที่ราบรื่น พร้อมทั้งเบือนหน้าไปทางหน้าต่างเพื่อซ่อนหยาดน้ำตา เพราะ แรงกดดันของความคิดถึงแม่ที่มีขึ้นมาอย่างจับใจ

            พอถึงสถานีเวียนนา..พวกเพื่อนๆ ต่างกระจัดกระจายแยกย้ายกลืนหายไปในหมู่ฝูงชน เจ้าประคุณ..ขออย่าให้เกิดไปเจอใครที่จำได้ขึ้นมาได้เลย !!

            ฉันยืนนิ่งที่ชานชาลา ใจพะวงอยู่แต่ว่า รอยเลาะตะเข็บของดาวเดวิดที่เสื้อโค้ตนั่น มันจะเป็นรูปร่างเด่นชัดขึ้นมาหรือไม่ จะมีใครเห็นหรือเปล่า?
            และ ถ้าเกสตาโปผ่านมา ฉันคงต้องถูกจับแน่ๆ ..โอยย..!!


            จู่ๆ เปปปิก็โผล่ขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน เขาโผเข้ามากอดฉันแน่น จุมพิตที่เขาพรมลงมาให้นั้นช่างดูดดื่ม แสนหวานเสียจนไม่มีอะไรปานเปรียบ...
            ฉันลอยคว้างไปในภวังค์แห่งความรักและปล่อยตัวให้ตกอยู่ในอ้อมอกที่เปรียบเสมือนปราการป้องกันภัย
            แต่มันเป็นเวลาเพียงแต่ช่วงเสี้ยววินาที
            เพราะ ใบหน้าที่อวบอูมของแอนนา พร้อมทั้งรอยคิ้วที่วาดโก่งด้วยดินสอนั่นก็โผล่มาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยขึ้นมาเช่นกัน หล่อนเข้ามาดึงตัวฉันออกมา
            พร้อมสำรวจตรวจตราก่อนที่จะกระชากแขนออกเดินอย่างรวดเร็ว
            เธอกล่าวด้วยเสียงที่ลอดไรฟันออกมาเบาๆ ว่า
            "ขอบคุณพระเจ้านะยะ ที่หล่อนไม่ได้ติดดาวมาด้วย เพราะถ้าขืนหล่อนติดมันมาละก้อ พวกเราไม่มีวันเข้าไปทักทายหล่อนแน่ๆ จากตรงนี้ไปเราก็แยกจากกัน หล่อนก็ไปที่บ้านญาติพี่น้องของหล่อนเองนะยะ ไปกินให้อิ่มหนำ นอนพักให้เต็มตา แล้วตอนเช้าก็รีบไปรายงานตัวที่เกสตาโปซะ เพราะพวกเขาคงคอยรับรายงานอยู่..แม่ของหล่อนก็เหมือนกัน ป่านนี้คงถึงโปแลนด์แล้ว เห็นว่าจะคอยหล่อนอยู่นะ"
            "แม่เขียนจดหมายมาถึงหรือคะ?" ฉันรีบถามละล่ำละลัก
            "เปล่าหรอก ตั้งแต่ไปก็ไม่ได้รับสักฉบับ แต่ได้ข่าวมาว่าหยั่งงั้น หล่อนก็รีบๆ ไปหาเขาก็แล้วกัน อย่าคิดหนีล่ะ เพราะไม่งั้นทุกคนจะเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะแม่ของหล่อนนั่นแหละ จะโดนหนัก.. ไปซิรีบไปซะ กินซะให้อิ่มๆ ล่ะ ผอมโทรมยังกะอะไรดี สาระรูปแทบดูไม่ได้เชียว"


            เปปปิแกะมือแอนนาออกจากแขนของฉัน ใบหน้าเขาซีดขาวด้วยโทสะ
            แอนนาผงะถอยหลังออกไปสองสามก้าวท่าทางตกใจที่เห็นลูกชายเกิดเอาจริงขึ้นมา
            เขาคว้ากระเป๋าเดินทางจากมือของฉันออกไปช่วยถือและโอบตัวเข้าไปประชิดเดินเคียงข้างอย่างไม่ยี่หระต่อสายตาของมารดาที่กำลังซอยเท้าตามหลังมาติดๆ ด้วยอาการอิหลักอิเหลื่อที่ใจนึงเธอก็ไม่อยากที่จะเดินถนนร่วมกับยิว ส่วน อีกใจนึงก็อยากเพื่อที่จะคอยฟังว่าเราพูดคุยถึงอะไร

            เปปปิพาฉันไปแวะหาเยาท์สกี้ก่อน เธอกำลังนั่งเล่นกับลูกน้อยที่บันไดหน้าบ้าน ออตโตกำลังน่ารักน่าชัง ตัวอ้วนกลมน่าฟัด หูกางเหมือนพ่อไม่มีผิด

            เราโผเข้ากอดกันแน่น น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากอย่างสุดกลั้น แต่ทันทีที่มีคนกำลังก้าวลงบันไดมา เธอรีบกล่าวกับฉันด้วยเสียงที่ทุกคนได้ยินว่า
            "คุณออนเดรจ ขึ้นบ้านก่อนซิคะ" และหันไปทางบุคคลผู้นั้นพร้อมกับบอกว่า "นี่คือ น้องสาวของสามีฉันน่ะค่ะ เธอมาจากต่างเมือง มาเยี่ยม"
            เพื่อนบ้านคนนั้นยิ้มให้อย่างมีไมตรีก่อนที่จะเดินจากไป โดยที่ไม่ลืมพูดว่า "ยินดีต้อนรับสู่เวียนนานะหนู, ไฮล์ ฮิตเล่อร์!"
            คำหลังนั้น ฉันได้ยินมาก่อนก็จริง แต่ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะกลายเป็นคำทักทายที่ทุกคนติดปากจนเป็นเรื่องปรกติประจำวัน
            "พรุ่งนี้..ห้าโมงเย็น เจอกันที่ปาร์คเบลเวเดียร์นะ ผมรักคุณ รักคุณเสมอ"
            เปปปิยื่นหน้าเข้ามากระซิบก่อนที่จะจากไปพร้อมกับอาการที่เรียกว่ากระชากของแอนนา
            คืนนั้น เยาท์สกี้เล่าเรื่องราวสารพัดให้ฟังจนฉันหลับฟุบไปบนโต๊ะทานข้าวด้วยความเหนื่อยอ่อน


            เจ้าหนูน้อยออตโตเริ่มโยเยเพราะผ้าอ้อมกำลังแฉะได้ที่ ฉันเลยพาไปชำระล้างและเปลี่ยนให้ใหม่ที่อ่างน้ำ พอสบายตัวเข้าก็หัวเราะเสียงดังเอิ้กอ้าก
            ช่างน่ารักน่าชังอะไรเช่นนี้
            เยาท์สกี้นั่งประจำที่เครื่องเย็บผ้าพร้อมทำงาน หากแต่เสียงของการเย็บจักรมันช่างสนั่นหวั่นไหวจนพูดจากันไม่ค่อยรู้เรื่อง
            และ ที่สำคัญเราไม่สามารถตะโกนใส่กันได้ เพราะหากความลับที่มีล่วงรู้ไปถึงเพื่อนบ้านละก้อ อันตรายหนักหนา
            (เนื่องจากการโปรประกันดาของนายเกิบเบิ้ลส์ในตอนนั้น ได้สั่งสอนให้ประชาชนมีส่วนช่วยรัฐบาลโดยการแจ้งเบาะแสยิวที่ซุกซ่อนในที่ต่างๆ)

            เยาท์สกี้เล่าว่า "ในทุกๆ อาทิตย์ พวกนาซีจะนำไม้ที่ตัดเป็นชิ้นๆ และกาวมาให้ มอบหมายให้ฉันประกอบขึ้นมาเป็นกล่องสำหรับใส่เหรียญตรา หรือบางทีก็สำหรับใส่ปืนพก และรายได้ที่ฉันได้รับก็มาจากบำนาญของออตโตซึ่งก็พออยู่ได้ แต่ปัญหาก็มีอยู่ว่า เรามันเป็นยิว เจ้าออตโตตัวน้อยนี่ก็เป็นลูกยิวที่นับว่าเป็นยิวเต็มตัว**ซึ่งจะต้องติดดาวเหมือนคนอื่นๆ แต่เนื่องจากอายุน้อยว่าห้าขวบจึงยังไม่ต้อง เปปปิเขาก็มาช่วยกรอกเอกสารให้เจ้าหนูออตโตได้รับสิทธิผ่อนปรนให้เป็นมิชลิงค์ (***Mitschling เด็กยิวที่มีพ่อหรือแม่เป็นอารยัน)
            เพื่อที่จะได้รับบัตรปันส่วนอาหารเพิ่มขึ้น ได้ไปโรงเรียน และมีสิทธิออกไปอยู่นอกสลัมยิวได้อย่างที่นี่แหละ เธอล่ะ จะอยู่ได้สักกี่วัน สอง หรือ สาม"
            "ฉันว่าจะซ่อนตัวอยู่จนกว่าสงครามจะเลิกเลยนะ" ฉันตอบพลางหยอกล้อกับเจ้าตัวน้อยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
            เยาท์สกี้ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอก "อย่าพูดเล่นนะอีดิธ ไม่ขำด้วยนะ"
            "เถอะน่า..เล่าเรื่องแม่กับนายเฮาส์เนอร์ให้ฉันฟังดีกว่า ไปไงมาไงกันล่ะ?"
            "เขาเป็นคนนิสัยดีนะ เมียตาย..พวกนาซีส่งเขาไปเข้าไปทำงานในโรงงานในตอนแรก และปล่อยออกมาเพื่อให้ย้ายกลับโปแลนด์ เมื่อเดือนกุมภานี้นะ ฉันได้ยินว่าพวกโรงงานต่างๆ ทั่วเยอรมันปล่อยแรงงานยิวออกมาหมื่นกว่าคน เพื่อที่จะส่งไปยังตะวันออก เพราะพวกมันได้เชลยจากประเทศอื่นๆ มาทำงานแทน..โอ อีดิธ ไอ้สงครามที่นาซีชนะแล้วชนะอีกนี่มันทำให้ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ นะ
            ลองคิดดูซิ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เมื่อเยอรมันมีชัยเหนืออังกฤษ"
            "ไม่มีทางหรอก ที่จะชนะไปได้"
            "เธอรู้ได้ไงล่ะ?"
            "ฮันซี่ น้องสาวฉันน่ะ ตอนนี้เข้าไปอยู่ในหน่วยเสริมกำลังทหารของยิว เคยเล่ามาว่า กองทัพอังกฤษนี่มีความเข้มแข็ง และไม่เคยแพ้ใคร"
            เยาท์สกี้ระเบิดหัวเราะอย่างสุดกลั้น และเร่งฝีจักรให้เสียงดังกลบการสนทนา พร้อมว่า
            "จำไว้นะ ห้ามพูดถึงคำว่า"ยิว"อีก ไม่มีใครเขาพูดถึงกันแล้ว มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่ากลัว ใครๆ เขาพากันรังเกียจขยะแขยงไปหมด อย่าลืม"

         

            ขยายความก่อนค่ะ

            ** กฏหมายนูเรมเบอร์คของฮิตเล่อร์ ไม่ว่าจะมีเชื้อสายยิวจากที่ไหน ตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตาทวด สอบได้สามชั้นขึ้นไป ถือว่าลูกหลานเป็นยิวหมด
            แต่ในพระโตราห์ ถือว่า เด็กที่เกิดจากมารดาที่เป็นยิวให้ถือว่าเป็นยิวโดยสมบูรณ์

            *** Mischling (เอกพจน์) Mischlinge (พหูพจน์) คือชาวครึ่ง หรือ ค่อนยิว ที่มีส่วนผสมของอารยัน..และ
            ฮิตเล่อร์มีทหารที่เป็นยิวครึ่ง ยิวค่อน..นับเป็นแสนๆ คน ส่วนใหญ่ได้รับประกาศนียบัตรรับรองว่าเป็นอารยันพร้อมลายเซ็นของท่านผู้นำประทับให้เห็นเป็นสง่า...มีตั้งแต่ นายพลไปจนถึงจ่า คนพวกนี้มีเชื้อสายยิว แต่เกิดและฝังตัวอยู่ในเยอรมันมาหลายชั่วคน
            บางคนไม่เคยรู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองเป็น"ยิว" มารู้ก็เมื่อหลังจากที่กฏหมายนูเรมเบอร์คได้ออกมาแล้ว
            พวกนี้..หมายถึงยิวกลายๆ ลูกครึ่ง และ ลูกค่อนนี่ ถูกเรียกว่า มิชลิงค์
            ซึ่ง ฮิตเล่อร์ได้มีกฏหมายใหม่ขึ้นมาอีกมากมายสำหรับคนพวกนี้ คนไหนมีเส้นมีสายก็อาจได้รับการแปลงสัญชาติให้เป็นอารยัน
            (ดังที่ เกอริง ได้เคยกล่าวไว้ว่า..ใครจะเป็นยิวหรือไม่ยิว ขึ้นอยู่กับตูที่จะเป็นผู้สั่งว้อย..!!)
            มีหนังสือ และหลักฐานเอกสารรับรองอารยันให้เห็นค่ะ วันหลังจะเอามาสแกนให้ดู
            และจะเล่าเรื่องยิวนานาพันธุ์ (ในสายตาของฮิตเล่อร์) ให้ฟังด้วย



            ที่ศูนย์สงเคราะห์ยิว ไลเซลรอการมาของฉันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่กว้างขวาง เธอจัดการปันส่วนอาหารที่จำเป็นเช่น ขนมปัง เนื้อสัตว์
            กาแฟ น้ำมันทำอาหาร ให้อย่างไม่ต้องร้องขอ ทั้งๆ ที่นั่นคือ ส่วนอันเป็นโควต้าของเธอ
            "ตายจริง..ให้ฉันหมดแล้วเธอจะเอาอะไรกินล่ะ?" ฉันรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
            "ที่นี่มีอาหารเสมอแหละ ไม่ต้องห่วงฉัน เอาไปเถอะและนี่คือ คูปองซื้อของเอาติดตัวไว้ ให้เปปปิหรือเยาท์สกี้ไปซื้อให้ก็ได้
            พรุ่งนี้ก็มาอีกนะ จะหาอะไรไว้ให้กิน ตอนมาก็อย่ามาในเวลาเดียวกันสองวันติด แบ่งเวลาออกไปให้ต่างๆ กัน และอย่าใส่ชุดซ้ำจนคนจำได้"
            นี่คือวิธีการที่ไลเซลได้สอนไว้..
            ออกมาจากตรงนั้น ฉันไม่กล้าที่จะเดินไปแถวๆ ที่อยู่เก่า เพราะกลัวว่าจะมีคนจำได้ ดังนั้น ฉันจึงเดินอ้อมไปทางถนนที่อดีตคือที่ตั้งร้านอาหารของเรา
            ผ่านไปทางห้างที่เคยได้รับฟังวิทยุเป็นครั้งแรก ในอาการที่กึ่งกลัวกึ่งหวาดเกรงว่าจะมีใครที่เคยรู้จักตามมาทักทาย
            หรืออาจนำความไปแจ้งแก่เกสตาโป แต่ถ้าไม่ไปขอความช่วยเหลือกับคนรู้จัก แล้วฉันจะเอาอะไรกิน...
            เปปปิมาพบฉันที่ปาร์คในวันต่อมา และพร้อมกับนำกระเป๋าที่แม่ฝากเอาไว้ให้ติดตัวมาด้วย ในนั้นมีเสื้อผ้าชุดฤดูร้อนอยู่หกชุด
            ถุงใส่เครื่องประดับเล็กๆ น้อย และนาฬิกาพกที่มีสายสร้อยทองของพ่อ สุดท้ายคือตั๋วจำนำ..ที่แม่เอาเสื้อขนสัตว์ไปจำนำไว้
            "ทำไมเราต้องมาพบกันที่นี่ล่ะ?" ฉันถามอย่างข้องใจ "ไปที่บ้านของเธอไม่ได้เหรอ?"
            "ไม่สะดวกนะ เพราะว่าตอนกลางวัน แม่เขาอยู่เตรียมอาหารไว้ให้ บ่ายๆ ก็ต้องอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ ถ้าค่ำๆ ละก้อคงได้
            เราอาจหาอะไรกินด้วยกันแถวๆ นี้ดีไหม?" เขายื่นแขนออกมาหมายจะโอบ แต่ฉันเบี่ยงกายหลบอย่างขัดเคือง
            "นี่คุณไม่มีความรู้สึกบ้างเลยหรือไง..ไม่เคยรู้เลยสักนิดเร๊อะ ว่าไอ้ที่ฉันเสี่ยงตายมายืนตรงนี้ เพราะอยากอยู่ใกล้ๆ คุณ
            ไม่ใช่เพื่อมานั่งกินอาหารบ้าๆ ในปาร์คนี่"
            พูดจบ..ก่อนที่เปปปิจะมีโอกาสได้เอ่ยข้อแก้ตัวอะไร หลังมือของฉันก็ตวัดลงไปบนใบหน้าเขาดังเผียะ เสียงมันไม่เบานัก
            พยายามกลั้นสะอื้นก่อนที่จะกล่าวต่อไปอย่างกระท่อนกระแท่นว่า..
            "สิบสี่เดือนที่ผ่านมานี่..ฉันต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนแทบไม่มีชีวิตรอดกลับมา แต่สิ่งที่เดียวที่เป็นพลังใจให้ยืนหยัดมาได้จนถึงบัดนี้   ก็เพราะ..ความรักที่มีต่อคุณ คิดถึงคุณอยู่ทุกลมหายใจ แล้วไงล่ะ..คุณแค่จะเจียดเวลามานั่งกินอาหารค่ำริมปาร์คกับฉันเนี่ยนะ   ถามจริงๆ เถอะ คุณมีหญิงอื่นแล้วใช่ไหม..ใช่ไหม??
            "ไม่มี..ผมไม่มีใครเลยจริงๆ อีดิธ " เสียงของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความรู้สึกผิด และโผเข้ากอดฉันแน่น พร้อมกระซิบว่า
            "เอาเถอะ ผมจะหาที่เหมาะๆ สำหรับเรา ผมสัญญา"


            ฉันไปหาคุณนาย มาเรีย ไนเดอรัลล์ ที่บริษัทส่งออกตามที่มีน่าได้ให้ที่อยู่ไว้..
            เมื่อไปถึงที่นั่น และหลังจากที่ได้ให้ชื่อไปกับพนักงานที่มีนามว่า คุณ คาทเธ ผู้ซึ่งทำเสียงตื่นเต้นไปรายงานต่อคุณนายว่า
            "คุณอีดิธมาน่ะค่ะ อีดิธเพื่อนของมีน่า.."
            เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลังของร้าน และปรากฏตัวขึ้นมา คือ สาวใหญ่ทรงงาม สูงเพรียว ท่าทางโก้เก๋ เธอมองฉันปราดเดียวอย่างสำรวจ และตามด้วยรอยยิ้มที่มีไมตรี
            "เข้ามาข้างในซิ แม่หนู..อ้อ คาทเธ ช่วยไปหากาแฟ กับขนมมาให้อีดิธทานหน่อยซิ"
            คุณนายมาเรียอดีตเคยเป็นภรรยาของทนายความใหญ่ที่มีชื่อเสียงก้องเมือง (อาชีพที่ฉันเคยใฝ่ฝันว่าอยากจะเป็น)
            เธอไม่ใช่คนสวยแบบบาดจิต แต่ มีบุคลิกที่แสนสง่า เฉิดฉายด้วยรสนิยม ผมสีน้ำตาลเข้มที่จัดแต่งม้วนลอนตลบขึ้นอย่างสวยงาม   ที่หน้าอกเสื้อชุดหรูของเธอมีเข็มกลัดเป็นรูปสวัสดิกะเล็กๆ ติดอยู่ นั่นหมายถึงว่า เธอคือสมาชิกคนหนึ่งในพรรคนาซีในรุ่นแรกๆ ของปี 1930's
            ขณะที่กำลังรับประทานของว่างที่จัดมาให้นั้น..ดวงตาสีเข้มของเธอได้จับจ้องฉันอย่างพินิจพิเคราะห์ เธอคงแอบเห็นว่า มือฉันสั่นระริกด้วยความประหม่า
            จึงกล่าวเบาๆ ว่า.."ดูแล้ว..ฉันว่าเธอสมควรจะต้องออกไปพักผ่อน บำรุงร่างกายหน่อยนะ โทรมเหลือเกิน"
            "คือดิฉันคิดว่า อาจจะมีเวลาอยู่กับแฟนสักสองสามวันค่ะ แต่ แม่เขาไม่ยอมให้เข้าไปในบ้าน"
            "แล้วเขาเชื่อแม่หรือ?"
            "ค่ะ"
            "เขาเป็นผู้ชายชนิดไหนน่ะหือ?"
            "จบกฏหมายแล้วค่ะ เรียนเก่งด้วย"
            "อ้อ..พอเข้าใจละ เป็นไอ้พวกลูกแหง่ แล้วเธอกับเขามี "อะไร" กันหรือเปล่า?"
            "ค่ะ"
            "ถ้างั้นเขาก็เป็นของเธอซิ ไม่ใช่ของแม่อีกต่อไปแล้ว ต้องให้รู้จักรับผิดชอบบ้าง..คาทเธ..ขอขนมมาเพิ่มอีกหน่อยซิ"
            คุณนายสั่งเสียงขรมเพราะแขกอย่างฉันดูท่าเจริญอาหาร ทานหมดเรียบจนจานกระเบื้องนั้นสะอาดเอี่ยมไม่เหลือกระทั่งน้ำตาลที่แต่งหน้าขนม
            "คาทเธเขามีลุงที่อยู่ที่เมืองไฮน์เบอร์ค ทำไร่และสวนผลไม้ และที่ที่พักใหญ่โต ฉันจะส่งเธอไปที่นั่นสักอาทิตย์ ไปพักผ่อน
            กินและนอนให้เต็มที่ กลับมาค่อยว่ากันใหม่ แต่ต้องไปรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิตกันก่อน ตกลงมั๊ย?"
            "แต่..คุณนายคะ..ดิฉันจะไปได้อย่างไร เพราะว่าตอนนี้มีการบอมบ์กันทางอากาศอยู่บ่อยๆ เส้นทางรถไฟคือจุดยุทธศาสตร์และมีทหารคอยดูแลอยู่ทั่วไป
            ฉันอาจจะโดนจับก่อนที่จะถึงน่ะค่ะ"
            "เธอก็เดินทางกลางคืนซิ..และไม่ต้องห่วง ฉันจะทำเอกสารเดินทางของสมาชิกพรรคพร้อมมีรูปติดให้ ถ้าเผื่อว่าใครขอดู
            แต่คงไม่มีใครสงสัยหรอกน่ะ เชื่อเถอะ"
            "คุณนายได้ข่าวจากมีน่าบ้างไหมคะ?"
            "ไม่ได้เลย" สีหน้าของเธอสลดวูบ..และกล่าวต่อไปว่า " เธอรู้ใช่ไหมว่า ฉันช่วยมีน่าให้อยู่ที่ไหนก็ได้ในออสเตรียนี่"
            "ใช่ค่ะ แต่มีน่าอยากไปอยู่กับครอบครัว..กับพ่อแม่พี่น้อง ซึ่งดิฉันก็สมควรที่จะต้องทำอย่างเดียวกันนะคะ"
            พูดจบ..น้ำตาเจ้ากรรมพาลจะไหลออกมาอย่างไม่หยุด

    

            คุณนายเอื้อมมือมาจับมือฉันไปดู และยังหยิบครีมหอมมาทา..ไล้ไปตามรอยแยกแตกของผิวหนังที่หยาบกร้านของข้อมือ
            ข้อนิ้ว..ความสัมผัสของความกรุณาที่อบอุ่นนั้นได้เสมือนเป็นน้ำทิพย์ที่ชะโลมความชื่นใจมาให้อย่างบอกไม่ถูก
            "เอาครีมนี่ไปใช้นะ ทามือวันละสองครั้งทุกวัน อีกหน่อยก็ดีขึ้น"
            วันต่อมา..เยาท์สกี้ก็คงรู้สึกโล่งอกที่ฉันตัดสินใจเดินทางไปยังที่คุณนายได้แนะ..ไฮน์เบอร์ค ชายแดนฝั่งเชคโก
            ที่มีชื่อเสียงในด้านความเป็นธรรมชาติที่สวยงาม ป่าเขียว ลำธารใส
            ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันมีกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่ข้างในคือสิ่งของที่คุณนายจัดหามาให้ทั้งนั้น รวมทั้งเอกสารเดินทางนั่นด้วย
            ตลอดระยะของการเดินทาง ฉันก็ยังไม่วายหวาดผวาว่าเอกสารนั่นอาจไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง เกสตาโปอาจมาลากตัวฉันไปเมื่อไหร่ก็ได้
            ดังนั้น ฉันยอมทนนั่งจับเจ่าอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลยตลอดเวลาที่อยู่ในรถไฟ..สมองได้แต่คิดหาคำแก้ตัวกลับไปดังนี้ว่า...
            "ปล่าวนะ ไม่มีใครช่วยเลย ฉันซื้อตั๋วรถไปด้วยเงินของฉันเอง เรื่องบัตรนาซีนั่น ฉันก็ทำปลอมขึ้นมาเอง เอาของคนอื่นมาแล้วมาแปะรูปใส่
            ญาติพี่น้องก็ไม่มีเหลือในเวียนนาเลยสักคน ตัวคนเดียวจริงๆ "
            นั่นหายถึงว่า ในกรณีที่ถูกเกสตาโปจับได้...แต่จะด้วยปาฏิหาริย์หรืออะไรก็ตามที ฉันได้เดินทางถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
            ลุงของคาทเธ ที่มีร่างอ้วนใหญ่ ผมดกฟู มายืนรอรับที่สถานรถไฟ และได้ช่วยถือกระเป๋าพร้อมพาไปที่รถเทียมม้าที่นำมาด้วย
            ตลอดทาง ลุงได้พูดถึงแต่เรื่องอาหารและขนมอร่อยๆ ที่ภรรยาของแกกำลังจัดการทำขึ้นมาเลี้ยงต้อนรับคนป่วยอย่างฉัน
            เนื่องจากว่า คุณนายได้ส่งข้อความมาบอกไว้ว่า ฉันไม่ค่อยสบาย มีอาการของโรคกระเพาะเรื้อรัง ที่จำเป็นต้องออกมาพำนักรักษาตัว

        

            คืนนั้น ฉันหลับสบายบนที่นอนอันหนานุ่ม ภายใต้ผ้าห่มนิ่มฟู ไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่า บนมุมหนึ่งโต๊ะเครื่องแป้งข้างที่นอนได้จัดเป็นมุมบูชาเล็กๆ ที่มีภาพของท่านผู้นำ
            อีกทั้งประดับประดารอบๆ ไปด้วยธงนาซี และ แจกันดอกไม้..
            อนิจจา..นี่จะให้หมายความว่า ท่านผู้นำฮิตเล่อร์ได้ปกป้องดูแลฉันในยามหลับสนิทงั้นหรือ น่าขำจริง !!!!
            บนโต๊ะอาหารเช้าที่เพียบพร้อมไปด้วยขนมนมเนยสารพัดชนิด ฉันได้พบแขกที่มาพำนักอีกชุดหนึ่ง พวกเขาสามี ภรรยา และ ลูกสองคน มาจากเมือง Linz   ภายใต้การสนับสนุนของนโยบายท่องเที่ยวทั่วในมหาอาณาจักรไรค์ ของฮิตเล่อร์ อันเป็นการหาเสียงให้กับพรรคด้วยประการหนึ่ง
            ฉันพยายามฝืนกลืนอาหารเหล่านั้นเข้าไป เพราะสมองได้สั่งว่า ควรที่จะต้องทำร่างกายให้แข็งแรงที่สุด ในยามนี้ เห็นทีจะอ่อนแอไม่ได้
            แต่..ลุงนั่นก็ไม่สนใจในอาการของฉันมากมายเท่าไหร่ เขาพร่ำพูดถึงแต่ความดีของท่านผู้นำอย่างโน้น อย่างนี้ อย่างไม่มีหยุดปาก
            "โอ้ว..ท่านเป็นคนดีที่ฟ้าประทานมาให้เราทีเดียว"
            "ท่านรักและเมตตาพวกเด็กๆ อย่างหมดใจ"
            "ท่านไม่ใช่เก่งแต่เรื่องการเมืองและการปกครองเลยนะ ท่านยังซาบซึ้งในศิลปะอย่างหาตัวจับยาก"
            "อนาคตของชาติกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุด เรากำลังมีดินแดนทำกินที่ยื่นไปถึงโปแลนด์ ถึงรัสเซีย เราจะมั่งคั่งเกินกว่าใครๆ "
            พูดจบ..ลุงนั่นก็ยกแก้วเบียร์ขึ้นชู พร้อมทั้ง อวยพรให้กับฮิตเล่อร์ด้วยเสียงอันดังก้องทุ่ง..
            ส่วนฉันอดรนทนไม่ได้ ท้องใส้พาลขย้อนอาหารที่ฝืนกินเข้าไปจนออกมาเกือบหมด เสียงลุงเปรยๆ ไล่หลังมาให้ได้ยินว่า
            "ยายหนูนั่น มันไม่ค่อยสบาย น่าสงสารจริง กินอะไรก็ไม่ค่อยได้"


            ไม่ถึงอาทิตน์ ฉันก็กลับสู่เวียนนา ลุงและป้าผู้อารีได้จัดการห่อขนมปังอบสดๆ เนยแข็ง มาให้ไว้กินระหว่างทาง ซึ่งฉันได้นำมันมาให้กับเยาท์สกี้และพ่อหนูน้อยออตโต
            ได้ลิ้มรส..ตาหนูได้ใช้ฟันหน้าซี่เล็กๆ ที่เพิ่งขึ้นแทะขนมปังที่ได้มานั้นอย่างเอร็ดอร่อย..
            ส่วนฉันได้ออกไปพบกับคริสตัล เพื่อนเก่าที่ร้านกาแฟ เธอดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก และ ยังคงซ่อนแฟนหนุ่มชาวยิว เบอร์สกี้ ไว้ในใต้ถุนร้านเหมือนเดิม ในการพุดคุยเธอได้เล่าว่า
            "อันโตน ไรเดอร์ เธอจำได้ไหม..เพื่อเราที่เรียนรัฐศาสตร์น่ะ ....."
            "อย่าบอกนะ..ว่า..ว่า.."
            "นั่นแหละ ใช่..เขาตายในฝรั่งเศส"
            สิ้นประโยค..น้ำตาฉันหยดลงมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ...นึกถึงภาพที่ครั้งหนึ่งเราคือเพื่อนกัน..เฮฮาด้วยกัน
            คริสตัลกำลังเป็นวิตกกังวลในเรื่องที่พ่อของเธอ นายเดนเนอร์ ผู้ซึ่งทำงานในหน่วยวิศวเครื่องยนตร์ให้กับกองทัพที่กำลังสู้รบทางฝั่งรัสเซีย เธอเล่าว่า
            "ข่าวจากวิทยุที่มาจากทางฝั่งนั้น มีว่า พวกบอลเชวิค ต่างทิ้งให้ประชาชนของตัวเองอดอยาก และหนาวตาย ทหารหนีเอาตัวรอดกันหมด ส่วนฉันกลับไม่เชื่อนะ เพราะเธออย่าลืมซิว่า แม่ฉันก็เป็นรัสเชี่ยนคนหนึ่ง  และชาวรัสเซียไม่ใช่คนขี้ขลาดอย่างที่เขาว่ามาหรอก คอยดูซิ ท่านผู้นำจะต้องได้รับบทเรียนอย่างสาสมจากรัสเซีย ไม่เชื่อ เธอคอยดูไปนะ" พูดจบ คริสตัลก็หันมาโอบไหล่ฉันไว้ด้วยความปราณี พร้อมกับถามว่า
            "แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป?"
            "ไม่รู้ซิ..คงต้องไปโปแลนด์มั้ง?"
            "อย่าไปเลย ไปอยู่กับคุณนายเถอะ เธอมีเส้นสายวงในเยอะแยะ เพราะว่าเมื่อก่อน เธอได้เป็นผู้อุปถัมภ์สนับสนุนพรรคในยุคแรกๆ ตอนนี้พวกเขาก็เลยถือว่า คุณนายคือผู้มีบุญคุณ เห็นไหมล่ะ พวกนาซีได้ให้ร้านที่ยึดมาจากยิวตระกูล อาเช่อร์ ไปฟรีๆ แต่พวกนั้นก็โชคดีนะ ที่ไหวตัวหลบออกนอกประเทศไปก่อนได้ เห็นจะมีก็แต่เธอนี่แหละ จะทำอะไรก็ไม่ทำ.."
            พูดจบ คริสตัลหันมาทุบหลังฉันเบาๆ อย่างสัพยอก..แต่ เผอิญว่า มันไม่ขำเลยสำหรับฉัน


            คุณนายไนเดอรัลล์ เงยหน้าจากการรินกาแฟจากกากระเบื้องอย่างดี ขึ้นมาทักทายอย่างดีใจ ที่เห็นฉันก้าวเข้าไปหาในห้อง
            "มานั่งซิ..ขนมอร่อยๆ ของชอบของเธอทั้งนั้นเลย..ฉันจำได้ แต่..เอ..ทำไมถึงกินอะไรไม่ได้เลยล่ะ ตอนที่ไปพักผ่อนที่ชนบทน่ะ?"
            "ขออภัยค่ะ ดิฉันไม่ได้เจตนาที่จะไม่ทาน..แต่"
            "ไม่ต้องแต่..ฉันรู้ดีว่าเธอกำลังไม่ค่อยสบาย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์แบบนี้นะ ฉันคงจะต้องจับเธอส่งไปโรงพยาบาลแล้วละ อ้อ..ถามหน่อยเถอะ เธอมีลุงที่ชื่อว่า คุณหมอ อิกนาตซ์ ฮอฟมันน์ ใช่หรือไม่?"
            "ค่ะ..แต่คุณลุงได้เสัยชีวิตแล้ว ท่านฆ่าตัวตาย"
            "ฉันรู้จักกับท่านด้วย และภรรยาสาวของท่านได้หลบหนี..ฉันเป็นคนที่ช่วยจัดการส่งข้าวของออกไปให้กับเธอจากออสเตรีย"
            "โอ้..คุณเองน่ะหรือคะ ที่ แม่เล่าว่า มีคนช่วยเหลือป้า.." ฉันถึงกับโผเข้าไปขอบคุณ และยังสับสนในใจว่า ในเมื่อเธอไม่รังเกียจยิว แต่ทำไมเธอจึงฝักใฝ่นาซีถึงขนาดเข้าร่วมพรรค
            ซึ่งเธอได้ตอบข้อสงสัยมาว่า
            "เมื่อตอนเป็นสาวๆ นะ..ฉันได้ไปทำงานให้กับคุณ ไนเดอรัลล์ ในฐานะเลขานุการิณี เผอิญว่า ท่านมาต้องตา ต้องใจในตัวฉัน ในที่สุด ฉันก็เลยตกเป็นภรรยาลับที่ไม่ลับของท่านเข้า
            เนื่องจาก ภรรยาของท่านจริงๆ นั้น ไม่มีการสมาคมหรือพูดจากันมานานหนักหนา แต่ท่านก็หย่ากันไม่ได้ เนื่องจากทั้งคู่เป็นคาทอลิคที่มีกฏบัญญัติที่เคร่งครัดในเรื่องห้ามการหย่าร้าง
            ทีนี้ พอพรรคนาซีกำลังเริ่มเติบโต นโยบายของพรรคมีว่าจะยกเลิกกฏข้อห้ามเรื่องหย่านี่..ฉันก็เลยสนับสนุน ซึ่งในที่สุด เราก็ได้แต่งงานกันจนได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะสายไปสำหรับการที่จะมีทายาทสืบสกุล
            แต่ฉันก็ได้เกียรติยศ และ ทรัพย์สินทุกอย่างมากองอยู่แทบเท้า"
            ไม่น่าเชื่อเลย..ว่า..เพราะความอยากแต่งงาน และการมีหน้ามีตาของผู้หญิงดีๆ คนหนึ่ง ต้องทำให้เธอตัดสินใจเลือกเส้นทางเข้าร่วมกับพรรคที่ร้ายกาจอย่างนาซี !


            คืนนั้น..ฉันนอนที่ห้องชั้นล่างในร้านของคริสตัล โดยเลือกซอกเล็กๆ ซอกหนึ่งที่มีกล่องกระดาษปิดบังตัวอยู่ ยามที่เดินผ่านไปมาภายนอก สอดส่องไฟฉายเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราว
            ฉันถึงกับต้องกลั้นหายใจ รู้สึกหวาดผวาแทนเพื่อผู้ที่ให้ความอุปถัมภ์ เพราะถ้าเกิดเกสตาโปจับฉันได้ คนที่จะต้องรับโทษทัณฑ์ไปด้วย นั่นคือ คริสตัล แม่เพื่อนรัก
            ฉะนั้น..ฉันควรจะต้องที่หลักที่เกาะใหม่ให้เร็วที่สุด
            วันรุ่งขึ้น..ฉันได้พบกับลุง ฟีลิกซ์ โรเมอร์ เราเดินสวนกันโดยที่เขาไม่ได้ทันสังเกต ส่วนฉันรีบตีวงกลับ..และเดินตามในระยะห่างๆ ไม่ให้เป็นที่พิรุธ และเข้าไปทักทายในยามที่ปลอดคน
            ลุงเล่าว่า..เกสตาโปได้มาที่บ้านครั้งหนึ่ง แต่ลุงได้แก้ตัวไปว่า กำลังจะเดินทางออกนอกประเทศไปยังอาฟริกาใต้ เมื่อเกสตาโปของดูเอกสาร
            ลุงก็บอกว่า ได้ส่งเอกสารทั้งหมดไปยังสำนักงานเพื่อขอบัตรเดินทาง
            พวกเกสตาโปกลับไปอย่าง..เชื่อสนิท (เพราะ คนพวกนี้บางคนไม่ได้ฉลาดอะไรมากมายนัก)
            คืนนั้น ฉันพำนักอยู่กับลุง แต่ไม่กล้าที่จะย้ายเข้าไปอยู่ด้วย เกรงว่า เพื่อนบ้านจะสงสัย เพราะลุงอายุมากแล้ว จู่ๆ มีผู้หญิงสาวมาอยู่ด้วยจะเป็นที่ผิดสังเกตต่อสายคนคนอื่นๆ
            แม่ได้เขียนจดหมายมาเล่าให้ฟังว่า..ญาติสาวของฉัน เซลม่า ลูกของลุงคนหนึ่ง ได้ถูกส่งตัวไปโปแลนด์ แฟนหนุ่มของเธอผู้ซึ่งกำลังถูกเกณฑ์ไปทำงานในโรงงาน รู้ข่าวเข้าถึงกับสละสิทธิกรรมกรโรงงานเครื่องยนตร์ กลับมายังเวียนนา เพื่อที่จะขอเคียงข้างเดินทางไปยังโปแลนด์กับเซลม่า
            เรื่องนี้ช่างจับใจและแสนโรแมนติกอย่างเหลือเกิน ฉันถึงกับลงทุนอ้อนวอน เปปปิ ให้ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ไปโปแลนด์ด้วยกัน ไปผจญอุปสรรคข้างหน้าโดยไม่แคร์ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
            ซึ่งไม่มีผลใดๆ เพราะเขาปฏิเสธอย่างทันควัน แต่..อย่างน้อยเขาก็ได้ไอเดียจากความคิดนี้ โดยการใช้เป็นข้อต่อรองกับแอนนาผู้เป็นมารดา ว่า..
            "ถ้าไม่ช่วย...ก็จะไปอยู่กับอีดิธที่โปแลนด์"


            ในที่สุด แอนนาก็หาที่ให้ฉันได้ซุกหัวนอน นั่นคือ ห้องว่างๆ ข้างๆ ที่เจ้าของกำลังเดินทางไปพักผ่อน และได้ฝากกุญแจไว้ให้ กับเธอเผื่อฉุกเฉิน
            ที่นั่น..ฉันได้พำนักอยู่หลายคืนพอสมควร หากแต่ในสภาพที่ไม่สามารถใช้ห้องน้ำ หรือ เปิดไฟได้ เพราะเกรงว่าเพื่อนบ้านจะคิดว่าเป็นขโมยขึ้น และแจ้งตำรวจ
            และแล้ว..ในวันหนึ่ง แอนนาก็โผล่มาแต่เช้า เธอรีบกระชากแขนฉันให้ออกไปจากห้อง ปากก็ไล่ว่า..รีบไปจากที่นี่ซะ..เพราะเจ้าของเขาจะกลับมาแล้ว..ไป ไป๊...
            ฉันออกมายืนนอกถนน ไม่รู้จะไปที่ไหน..เคว้งคว้างไปหมด สมองสั่งการอะไรไม่ถูก เพราะถ้าตัดสินใจไปโปแลนด์ตอนนี้ แล้วฉันจะได้พบกับแม่หรือไม่ ไม่มีใครรู้
            และ คืนนี้เล่า..จะนอนที่ไหน?
            ระหว่างที่เดินเก้ๆ กังๆ ฉันถูกเฉี่ยวด้วยจักรยานที่ผ่านมาจนล้มลง..
            "เดินระวังหน่อยซิ"
            "ขอโทษค่ะ"
             ชายร่างผอมบางคนนั้น ยิ้มให้ด้วยไมตรี ถามให้แน่ใจ ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรก่อนที่จะเดินจูงจักรยานและชวนคุยว่า
            "ไอ้พวกนาซีนี่มันทำให้เวียนนาเสียหมด มันตั้งด่านตรวจไปทุกมุมถนน ถ้าผมเลือกได้นะ ขอเอานาย ฟอน ชูส์ชนิคค์กลับมาดีกว่า แต่ป่านนี้ไม่รู้ว่าเขาได้ล้มหายตายจากไปที่ไหนนะ ไปแวะหาอะไรดื่มกันหน่อยดีไหม?"
            "ไม่ละค่ะ ดิฉันต้องรีบไป"
            "ไปน่า ครึ่งชั่วโมงเอง" เขามีทีท่าตั้งใจจริงในการชวนครั้งนี้
            ในที่สุด ฉันจึงไปนั่งเป็นเพื่อนได้หน่อยนึง ก่อนลาจาก เขาผู้นั้น ได้ให้เหรียญที่ระลึก เป็นรูปของนักบุญเซนต์ แอนโทนี่ ไว้เป็นเครื่องคุ้มครอง ฉันรู้สึกประทับใจจนน้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาปริ่มขอบตา
            "เอ้า..จะร้องไห้ไปทำไม..ผมไม่ได้ขอคุณแต่งงานนะ แค่ให้ของที่ระลึกเท่านั้น" เขาหยอกล้อแบบเอ็นดู

            และจนกระทั่งบัดนั้นถึงบัดนี้ เหรียญที่ระลึกนั้นก็ยังอยู่กับตัวเสมอ




            การระหกระเหินของฉันนั้น พอได้ประทังอาศัยไปอาบน้ำในโรงอาบน้ำสาธารณะ ที่รัฐบาลได้จัดบริการให้กับพวกเวียนนีสประเภท"โลโซ"
            คือพวกที่อาศัยอยู่ในแฟลตที่มีให้แต่ห้องสุขา ไม่มีอ่างอาบน้ำ คนเหล่านั้นจึงต้องมาพึ่งบริการของโรงอาบน้ำที่มักจัดให้อยู่ในตามเขตต่างๆ
            ที่นั่นไม่มียามเฝ้า ไม่มีป้ายห้ามยิวเข้า..ฉันจึงได้มีโอกาสแช่ตัวอยู่ในสระน้ำอุ่นอย่างสบายใจ มีโอกาสได้ฟอกถูตัว สระผมให้สะอาดภายใต้น้ำจากฝักบัวที่มีอยู่เรียงราย

            ฉันต้องสะดุ้งตกใจจนเกือบหวีดเสียงออกมา เมื่อมีมือลึกลับมือหนึ่งมาแตะที่ไหล่จากด้านหลัง
            "จุ๊..จุ๊..อย่าเอ็ดไป ฉันเอง จำได้เปล่า?" สตรีนางนั้นยิ้มจนปากกว้าง แม้นว่า แว่นตาของเธอหมอกมัวไปด้วยไอน้ำ แต่ฉันก็ยังจำได้
            ว่าเธอคือ ลิลี่ คราเม่อร์ ผู้คุมจากโรงงานกระดาษที่อัสเชอร์สเลเบน
            เราโผเข้ากอดกันอย่างดีใจ..ลิลี่เล่าว่า พ่อของเธอได้หลบหนีออกไปอยู่ที่นิวซีแลนด์อย่างปลอดภัย
            ส่วนตัวเธอ ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้านที่ให้ที่อยู่ซ่อนหลบตัว
            "เราจะทนอยู่ในสภาพอย่างนี้ได้อย่างไร?" ฉันถามอย่างหมดหนทาง
            "ฉันเชื่อนะ อีดิธ ว่า ฮิตเล่อร์และพรรคพวกของมันจะต้องประสบความหายนะในเร็ววันนี้แหละ ฝ่ายอธรรมมันไม่มีวันเจริญหรอกนะ เธอว่าม๊ะ?"
            ตอนนั้น..ฉันอยู่ในสภาพที่หมดหวังจนไม่อยากจะเชื่อในคำของเธอมากนัก..
            ทุกวันนี้ ฉันก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของลีลี่เลย..ไม่รู้ว่าเธอได้เหลือรอดชีวิตมาจากสงครามครั้งนั้นหรือไม่..


            "หาที่อยู่ให้ฉันนะ"...ฉันยื่นคำขาดให้กับเปปปิ ในการพบปะกันของค่ำคืนหนึ่งในสวนสาธารณะ
            "ไม่รู้จะไปหาที่ไหนน่ะซิ" เขาตอบมาอย่างท้อแท้ในน้ำเสียง
            "อะไรนะ..อย่างคุณนี่นะ หมดหนทาง..คุณเป็นคนที่ใครต่อใครพากันมาพึ่ง เป็นนักกฎหมายที่ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน ถึงแม้ไม่มีปริญญาก็เถอะ แต่ก็ยังเป็นที่นับหน้าถือตา..เป็นที่รู้จัก กะอีแค่หาที่ซุกหัวนอนให้กับแฟนคนเดียวนี่ คุณกลับทำไม่ได้.."
            "ก็ทำไมคุณถึงไม่หลบซ่อนตัวอยู่กับตาลุงที่ไฮน์แบร์คนั่นเล่า..พวกเขาพร้อมที่จะช่วยคุณนะ"
            "ทำไมน่ะหรือ..ก็เพราะฉันทนไม่ได้ต่อการสรรเสริญนาซี บูชาฮิตเล่อร์วันละสามเวลาน่ะซิ.. แม่ของฉันกำลังอดอยากปากแห้งอยู่ในสลัมไหนในโปแลนด์ก็ยังไม่รู้   ไหนจะเพื่อนๆ ที่ต่างหลบหนีกันไปทุกสารทิศ ป่านนี้อาจเป็นตายร้ายดี ฉันอยู่ทนฟังไม่ได้หรอก"
            "อย่าเพิ่งโมโหโทโสไปซิ..โอ๋.. ไม่เอาน่า..อย่าร้องไห้นะ"
            "งั้นคุณก็ไปบอกแม่คุณ ให้ย้ายไปอยู่กับสามีเธอซิ..คุณฮอฟเฟอร์น่ะ แล้วฉันย้ายก็ไปอยู่กับคุณในแฟลต"
            "ไม่ได้หรอก แม่คงไม่ยอมไปไหน เพราะ กลัวว่าพวกมันจะมาลากตัวผมไปน่ะ คุณไม่รู้หรอกว่า ผมเองก็ลำบากใจ ทำงานไม่ได้เพราะเป็นยิว  แต่ถ้าออกไปเดินเพ่นพ่าน ผู้คนก็จะสงสัยว่าทำไมไม่ทำงาน บางคนอาจคิดว่าผมหนีทหารแล้วไปรายงานก็ได้ ทุกวันนี้ผมต้องไปรับจ้างทำความสะอาดปล่องไฟ หลบๆ ซ่อนๆ ตัวอยู่แต่ในนั้น  เสร็จออกมาก็เนื้อตัวมอมแมมหน้าตาเลอะเทอะ ไม่มีใครจำหน้าได้ ตอนนี้ผมพยายามหางานประเภทเย็บเข้าเล่มหนังสือ แต่ไม่มีหัวศิลปทางด้านนี้เอาเสียเลย..อีดิธ..คุณไม่เข้าใจหรอกนะว่าผมเองก็อึดอัดจะตาย ที่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคุณ คนที่เกสตาโปกำลังต้องการตัว.."

            สิ้นประโยคนั้น..ฉันถึงกับจ้องหน้าเขาอย่างตะลึงงัน..ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง ฉันเพิ่งประจักษ์เดี๋ยวนี้เองว่า
            เปปปิสุดที่รักของฉัน บุรุษที่ฉันฝากอนาคตของฉันไว้ในกำมือ ชายที่ฉันได้หวังพึ่งพิงในการฝากชีวิตของวันข้างหน้า มีทีท่าไม่ต่างอะไรกับเด็กน้อยวัยเยาว์
            หาใช่ชายชาตรีอย่างที่คิดไม่..
            มิหนำซ้ำ..ที่ฉันรู้แน่ๆ ก็คือ ความรักของเราได้เหือดแห้งหายไปจนสิ้น มันได้ถูกตัดจนขาดสะบั้นด้วยลัทธิของนาซี..ที่สามารถย้อมจิตใจให้เขาเกิดความเกรงกลัว ในการที่จะต้องมาผูกพันกับสาวยิวอย่างฉัน..!



            ตลอดเดือนกรกฎาคม.. ฉันใช้เวลาระหกระเหินไปสถานที่ต่างๆ ยามกลางวัน ฉันมักซ่อนตัวอยู่ในโรงภาพยนตร์โดยอาศัยความมืดไม่ให้ใครมาพบเห็น
            แต่..วันหนึ่งขณะที่ฉายหนังข่าว ฉันได้เห็นการกวาดต้อนชาวยิวราวกับสัตว์ คนพากษ์ได้พูดว่า
            "นี่คือการจับกุมพวกฆาตกร ที่จะต้องได้รับโทษอย่างสาสมกับการกระทำ"
            ฉันทนฟังต่อไปไม่ได้ รีบผลุนผลันออกมาข้างนอก และ ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกมาจากด้านหลังว่า
            "คุณฮาห์น..คุณฮาห์น ใช่ไหม?"
            ฉันรีบปฏิเสธ..สาวเท้าวิ่งไปข้างหน้า..และไม่เหลียวหลังไปมองด้วยซ้ำว่า คนคนนั้นเป็นใคร..?
            ฉันแวะไปหาญาติสาว เยาท์สกี้ เธอรีบบอกเสียงหลงว่า
            "เธอจะอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ อีดิธ เพราะว่า ทางการส่งคนมาดูเสมอๆ เพราะว่า ฉันได้ขอบัตรปันอาหารและสิทธิพิเศษอื่นๆ ให้กับออตโต..เขาต้องแวะเวียนมาตรวจตราบ่อยๆไปหาที่อื่นอยู่เถอะ"
            ฉันจึงหันไปหาคริสตัล ไปขอพึ่งห้องใต้ถุนเธอบ้างเป็นบางคืน และ พยายามติดต่อกับญาติและคนรู้จักอื่นๆ แต่ก็ไม่เป็นผล ทุกคนต่างเกรงกลัวโทษทัณฑ์ที่จะได้รับในการให้ความช่วยเหลือยิว

            หกอาทิตย์เต็มๆ ที่ฉันต้องหลบๆ ซ่อนๆ เร่ร่อนไปที่โน่นที่นี่..จนหมดสิ้นกำลังใจที่จะต่อสู้หลบหนีอีกต่อไป
            หนทางสุดท้ายคือ การตัดสินใจไปเข้าค่ายในโปแลนด์


            ก่อนไป..ฉันได้ไปหาเพื่อที่จะกล่าวคำอำลากับคุณนายไนเดอรัลล์
            "ดิฉันมาลาค่ะ..คุณนาย" เธอไม่ตอบว่ากระไร แต่กลับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพูดว่า
            "แฮนเซิล..ฉันมีเด็กคนหนึ่ง เอกสารเธอหายหมด ช่วยจัดการให้ทีได้ไหม?"
            ทางฝ่ายโน้นคงตอบตกลงมาอย่างง่ายๆ เพราะคุณนายได้หันมาบอกให้ฉันไปที่สำนักงานสอบต้นตระกูล ที่อยู่เลขที่ 9 ถนน Freischmangasse
            และเธอได้สั่งว่า
            "เมื่อไปถึงนะ บอกความจริงทั้งหมดให้เขาฟัง "
            ซึ่งฉันรีบไปในทันทีตามคำบัญชา..

            ที่นั่น หน้าประตูสำนักงานเขียนไว้ว่า..Jahann Platter ผู้อำนวยการ
            (ขออธิบายเกี่ยวกับ สำนักงานสอบต้นตระกูล คือ ในยุคนั้น สำนักงานนี้มีหน้าที่จัดการสอยเรียงลำดับต้นตระกูลของใครต่อใครในการที่จะยืนยันว่า เป็นอารยันมาถึงสามชั่วคนเพื่อดูว่าไม่มียิวปะปน เพื่อที่จะออกบัตรรับรองให้)

            ทันทีที่สายตาประสบกับป้ายชื่อหน้าประตู ฉันถึงกับแข้งขาสั่น ..นี่ฉันกำลังถูกหลอกให้มาเข้าถ้ำเสือหรือไร..?
            แต่หูก็ยังได้ยินเสียงแว่วๆ ของมีน่า ที่เคยบอกไว้ว่า
            ขอให้ไว้ใจคุณนาย..คุณนายช่วยเราได้เสมอ..


            คนที่มาเปิดประตูคือบุตรชายของนายพลาเตอร์ เขาพาฉันไปยังห้องทำงานของพ่อของเขา
            ที่นั่น..หัวใจของฉันได้กองไปอยู่ที่ตาตุ่ม เพราะชายที่นั่งอยู่นั่น แต่งกายด้วยชุดสีกากีที่แขนมีปลอกเครื่องหมายสวัสดิกะลอยเด่น
            "เธอโชคดีนะ ที่พบฉันในวันนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ ฉันไม่อยู่ต้องเดินทางไปอาฟริกาเหนือ ไหนลองเล่าปัญหามาซิ"
            ฉันได้ทำตามที่คุณนายสอนมาทุกอย่าง..นั่นคือเล่าความจริงทั้งหมด
            "เธอมีเพื่อนที่เป็นอารยันบ้างไหม?"
            "มีค่ะ"
            "งั้นก็ลองไปหาเพื่อนอารยันของเธอที่มีหน้าตาและส่วนสัดใกล้ๆ กันกับเธอนะ อ้อ อายุไล่เลี่ยกันด้วย ให้เพื่อนของเธอไปที่สำนักงานบัตรปันส่วน   และแจ้งว่า กำลังจะไปต่างเมือง ทางสำนักงานจะออกใบรับรองในการขอของปันส่วนในเมืองที่เธอจะไป จากนั้นให้เธอคอยสักสองสามวัน  ก่อนที่จะไปแจ้งความกับตำรวจว่า ไปเที่ยวแล้วทำกระเป๋าหาย ตกน้ำหรืออะไรทำนองนั้น ข้าวของ เอกสารและบัตรปันส่วนได้อยู่ในกระเป๋านั้นด้วย  ขอให้ใช้ทุกประโยคตามที่ฉันบอก อย่าบอกว่า ไฟใหม้ หรือ ถูกหมาแทะ เพราะ เขาจะขอดูหลักฐานที่เหลือได้ แต่ถ้าตกน้ำอย่างแม่น้ำดานูปไม่มีใครลงไปงมมาให้หรอก ตำรวจก็จะให้ใบแทนมาทุกอย่าง..เข้าใจหรือไม่?
            "ค่ะ เข้าใจค่ะ"
            "จากนั้น เธอก็ขอบัตรจริงมาจากเพื่อนของเธอ รวมทั้งใบสูติบัตร และ ใบรับรองจากโบสถ์ เอาไปใช้ว่าเป็นเพื่อนของเธอคนคนนั้น และตัวเธอเองก็รีบออกไปจากเวียนนา.. ไปอยู่ต่างเมืองที่ไหนก็ได้ ในชื่อของเพื่อนของเธอ และจำไว้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตายอย่างไร  ห้ามไปขอสิทธิในการปันส่วนทุกชนิด เพราะ มันจะไปซ้ำกับส่วนที่เพื่อนของเธอได้ขอไป หลักฐานมันจะฟ้องออกมา
            อ้อ..ไปซื้อบัตรรถไฟแบบเหมาปีซะ เพราะในบัตรจะมีรูปถ่าย ซึ่งเธอสามารถใช้แทนบัตรประชาชนได้ในทุกกรณี รวมทั้งบัตรเอกสารอื่นๆ ของเพื่อนของเธอ
            แค่นี้..เธอก็สามารถอยู่ได้อย่างรอดปลอดภัยในอาณาจักรไรคซ์นี่"
            "ขอบพระคุณมากค่ะ ท่าน ที่กรุณา"
            "แต่อีกเรื่องหนึ่งที่จะบอกคือ..เนื่องจากตอนนี้เรากำลังขาดแคลนแรงงาน อีกหน่อยก็คงต้องมีการเรียกแรงงานหญิงเข้าสู่โรงงาน เพื่อนเธอก็อาจถูกเรียกตัว และนั่นหมายถึงเธอด้วย  ฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดคือ เธอต้องไปหางานทำแบบอาสาสมัครกาชาด เพราะคนที่ทำงานในนี้จะไม่ถูกเรียกตัวไปในโรงงาน"

            การสัมภาษณ์ได้จบลง ถ้อยคำทุกขั้นตอนฉันได้จดจำเข้าสู่สมองอย่างไม่มีตกหล่น
            ก่อนกลับ..เขาไม่ได้อวยพรให้โชคดีหรืออย่างไร..ไม่แม้แต่จะบอกลา..เราไม่เคยได้พบกันอีกเลยจนทุกวันนี้
            แต่..เขาคือผู้ที่ช่วยชุบชีวิตให้ฉันราวกับฟ้าประทาน..!


            เปปปิรับเป็นตัวแทนในการเจรจากับคริสตัลให้ถึงแผนการนี้ เพราะเธอคนเดียวที่สามารถช่วยได้
            หลังจากที่อธิบายจบ
            คริสตัลไม่ได้รีรอแม้แต่วินาทีเดียวที่จะตกปากรับคำ เธอบอกว่า
            "ฉันมีเอกสารพร้อมหมด พรุ่งนี้เลยละกัน ฉันจะไปจัดการทุกอย่างให้"
            คุณเข้าใจไหมว่า..อะไรจะเกิดขึ้น ถ้า คริสตัลถูกจับได้ว่าโกหกรัฐบาลเพื่อมาช่วยเหลือยิว
            เธอจะต้องถูกส่งตัวไปทรมานในค่ายกักกัน หรือไม่ก็..อาจถูกประหารชีวิต แต่เธอก็ยังยอมทำเพื่อฉัน..

            คุณนายไนเดอรัลล์ได้เชิญฉันไปในงานเลี้ยงอาหารค่ำกับกลุ่มอาจารย์ สมาชิกพรรคนาซีด้วยกัน ที่ส่วนใหญ่ทำงานกับหน่วยของบัตรปันส่วน
            ในการสนทนา คุณนายพยายามถามไถ่ถึงเรื่องระบบการให้บัตร รับบัตร และขั้นตอนอื่นๆ ซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็นการให้ฉันฟังเล็คเช่อร์ให้เข้าใจไปแบบกลายๆ

            คริสตัลพยายามนั่งตากแดดจนผิวเกรียม เพื่อให้เหมือนกับว่า เธอได้ไปพักผ่อนพายเรือกลางแดดแบบสมจริงสมจัง
            ในวันที่ 30 กรกฎาคม 1942 คือวันที่เธอไปที่สถานีตำรวจเพื่อแจ้งความเรื่องกระเป๋าพร้อมบัตรตกน้ำหายป๋อมแป๋ม.
            ซึ่งทุกคนเชื่อสนิทใจ รีบออกบัตรใหม่ให้อย่างไม่รอช้า..และ..เข้าตำราเดิม คือมีนายตำรวจได้ขอเชื้อเชิญเธอไปร่วมรับกาแฟด้วย
            ซึ่งเธอได้ตอบตกลงไปอีกตามเคย แต่ไม่กี่วันต่อมาเธอก็ได้เล่าให้เขาฟังถึงเรื่อง ชายที่รักกำลังสู้รบอยู่ที่แนวหน้าที่ไหนสักแห่งหนึ่ง
            คราวนี้ตัวละครอาจจะเปลี่ยนไปเป็นหมอที่ออกหน่วยอยู่กับอาฟริกา คอร์ป (กับท่านนายพลรอมเมล) ก็เป็นได้

           

            คริสตัลได้มอบบัตรจริงให้ฉันทั้งหมด ซึ่งฉันก็เตรียมตัวเดินทางออกจากเวียนนาทันทีเช่นกัน แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน
            นอกจากโรงงานกล่องกระดาษที่ อัสเชอร์ชเลเบน แล้ว..ฉันแทบไม่รู้จักเยอรมันเลย
            ฉันไปใช้สมองสำหรับคิดเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ในหนังข่าว..ได้ฉายให้เห็นว่า นายเกิบเบิลส์กำลังเปิดงานนิทรรศการศิลปที่เมืองมิวนิค  ที่หอศิลปใหม่ที่ออกแบบเป็นแท่งยาวๆ ตามสไตล์ของฮิตเล่อร์ ที่มีชื่อว่า Das Haus der Deutschen Kunst
            งานเปิดที่มีริ้วขบวนพาเหรดมโหรีจากวงดุริยางค์ขนาดใหญ่ ในงานมีการแสดงถึงภาพปั้นงานศิลปต่างๆ ที่มีทั้งภาพปั้นฮิตเล่อร์ครึ่งตัว
            และงานศิลปของศิลปินชื่อดังอื่นๆ อย่าง..แต่ที่สะดุดตาของฉันที่สุดคือ ภาพแกะสลักหินอ่อนของ Josef Thorak ในชื่อว่า Mutter mit Kind
            ที่เป็นรูปของแม่ที่กำลังให้นมลูก และ ภาพปั้นที่มีชื่อว่า Die Woge ของ Fritz Klimsch ที่เป็นภาพของหญิงสาวที่นอนตะแคงข้างทอดกาย
            ไปตามยาว ภาพนั้นเหมือนกับมีจิตวิญญาณส่งกระแสจิตมาถึง..ริมฝีปากของเธอนั้น เหมือนกับจะเปล่งเสียงอันอ่อนโยน..เรียกให้ฉันไปหา
            สายตาของฉันได้จ้องมองภาพนั้นบนจออย่างไม่กระพริบ รู้สึกเต็มตื้นได้ถึงอ้อมกอดที่อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
            ร่างของเธอที่เป็นหินอ่อนนั้น ดูมีชีวิตชีวาและมีเลือดเนื้อราวกับเทพธิดาจริงๆ
            วินาทีนั้นเองที่ฉันได้ตัดสินใจ..บอกกับคุณนายอย่างมั่นใจที่สุดในชีวิต..ว่า
            "ดิฉันจะไปมิวนิคค่ะ"

        

            ฉันหาข้อความการแบ่งเช่าห้องในเมืองมิวนิคจากหน้าหนังสือพิมพ์ และพบว่า มีหญิงเจ้าของบ้านที่อยู่ในเมือง
            ไดเซนโฮเฟน ต้องการให้คนช่วยงานด้านการตัดเย็บเพื่อแลกกับที่พักอาศัย ซึ่ง มันเหมาะมากสำหรับฉัน

            คุณนายได้ช่วยขายเสื้อขนแกะของแม่เพื่อฉันจะได้มีเงินติดตัว ส่วนเครื่องทองหยองเล็กๆ น้อยๆ นั้น ฉันฝากไว้ที่เธอ
            ด้วยความไว้วางใจ
            ฉันไปแวะหาเยาท์สกี้เพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางพร้อมทั้งเสื้อผ้าที่แม่ได้ทิ้งไว้ให้ เราลาจากกันด้วยใบหน้าที่นองไปด้วยน้ำตา..
            จากนั้น..ก็แวะไปที่บ้านเปปปิ พบกับแอนนาที่แสดงความดีใจจนออกนอกหน้าที่เห็นฉันไปพ้นๆ เสียได้ ปากเธอก็พร่ำถึงเรื่องที่หลานสาวของเธอคนหนึ่งที่เพิ่งกลับจากการไปเที่ยวในโครงการสนับสนุนของนาซี อีกทั้งเรื่องที่เธอต้องเตรียมเสบียงกรังที่มีทั้งใส้กรอก ขนมหวาน ให้กับหลานสาวคนนั้นอย่างเต็มอัตรา
            แต่..สำหรับฉัน ที่นั่งอยู่ทนโท่ตรงนั้น เธอไม่ได้ออกปากหรือเตรียมแซนวิชสักอันสำหรับเอาติดตัวไปกินกลางทาง..

            ฉันรอ จนกระทั่ง เขากลับมา..พร้อมกับของขวัญคือหนังสือของ Goethe ที่เขาประกอบเล่มขึ้นเองด้วยฝีมือ แม้ว่ามันจะไม่ดีนัก แต่ก็พอใช้ได้
            ด้านในของปก เขาทำที่หลืบที่ซ่อนเอกสารแท้จริงของฉัน Edith Hahn สาวยิวจากเวียนนาเอาไว้ รวมทั้งเอกสารต่างๆ จากมหาวิทยาลัย
            "วันหนึ่ง คุณอาจจะต้องใช้มันนะ" เขากระซิบ "เพื่อจะได้อวดต่อชาวโลกว่า คุณคือปัญญาชนคนหนึ่ง"
            และเขาได้ไปส่งฉันที่สถานีรถไฟในคืนนั้น สู่มิวนิค
            เราไม่มีการจูบลา..เพราะ พิศวาสที่เคยมีนั้น..มันอันตรธานหายไปนานแล้ว !


            บนรถไฟ..โชคดีสำหรับฉันอย่างเหลือเกินที่ไม่เคยต้องโดนตรวจไม่ว่าจะเป็นการเดินทางครั้งไหนๆ
            นับตั้งแต่..จากโรงงานกล่องกระดาษที่ไม่ได้ติดดาวเดวิด ที่เสี่ยงอันตรายอย่างเหลือเกิน หรือเมื่อครั้งที่ไปพักผ่อนที่ชนบทกับลุงของคาทเธ

            ครั้งนี้..ที่กำลังจะไปมิวนิค ที่ฉันมีเอกสารพร้อมมูล..ในนามของ Christina Maria Margarethe Denner หญิงอารยันวัยยี่สิบ  ที่นั่งรถไฟไปพร้อมกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ทั้งขบวน เดินชนใครต่อใคร ก็ยังไม่มีคนสามารถสังเกตถึงความแตกต่างได้แม้แต่นิดเดียว
            แต่ส่วนที่ฉันต้องกล้ำกลืนไปด้วยความลำบากยากเย็นนั้น คือ การที่ต้องลืมให้หมดว่า ตัวเองคือใคร?
            และต้องทำจิตวิญญาณสวมลงในชื่อใหม่ คนใหม่..ชีวิตใหม่ให้สำเร็จ

            เช้าของวันใหม่มาถึง ฉันมาถึงสถานีปลายทาง มองดูผู้คนชาวเยอรมันที่เดินไปมาขวักใขว่ ท่าทางเขาเหล่านั้นดูสมบูรณ์พูนสุข ต่างมีปลอกแขนที่ติดเครื่องหมายสวัสดิกะ ภาพของท่านผู้นำมีติดอยู่ทั่วเมือง ธงสามสี ขาว แดง ดำ มีแขวนอยู่ทั่วไปทั้งบนผนังและหลังคาตึก
            เพลงปลุกใจดังกระหึ่มอย่างไม่มีหยุด กลุ่มหญิงสาวดูร่าเริงหัวเราะต่อกระซิก ทหารแต่งตัวด้วยเครื่องแบบที่แสนโก้เก๋
            ทุกอย่างหาซื้อได้อย่างสบาย ไม่ว่า จะเป็นดอกไม้, เหล้าองุ่น หรือ อาหารอร่อยๆ
            ในยามนั้น มิวนิค เปรียบได้ดังเมืองสวรรค์จริง...............!!!



         
 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (101996)
avatar
ใบมะรุม

ชอบมาก  ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ใบมะรุม วันที่ตอบ 2012-02-16 08:31:10 IP : 118.172.249.188



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker