dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเจ็ด



    ใจความที่แล้ว..ค้างไว้เรื่องของแกรนด์ ดุ๊ค เซอเก เสด็จอาของซาร์ถูกลอบสังหาร

    เราคงจำกันได้ดีเรื่องของโคดิงกา ในกรุงมอสควาได้ ตอนนั้นเซอเกเป็นข้าหลวงแบบเต็มอำนาจ ไล่เข่นชาวยิวอย่างโหดร้าย มีนิสัยชอบความรุนแรง กดขี่ ข่มเหง
    เมื่อเกิดเหตุที่มีคนเหยียบกันตายมากมายขนาดนั้น แทนที่จะแสดงความรับผิดชอบ
    ช่วยเหลือ แต่กลับทำเฉย..เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    เขาคือหนึ่งในตัวการที่สร้างกระแสความเกลียดชังให้กับพระราชวงค์

    ต่อมาก็เกิดเหตุใหญ่อันเปรียบเสมือนฟางเส้นสุดท้าย..นั่นคือ มกราคม 1905
    ที่เกิดเหตุการณ์ทหารยิงประชาชน หรือ Bloody Sunday ที่หน้าพระราชวังฤดูหนาว แน่นอน...ทุกคนลงความเห็นว่า เซอเกคือเป้าหมาย เป็นฆาตกร
    ดังนั้น..จึงมีคนยอมตาย..คนนั้นคือ Ivan Kalyayev ที่ตัดสินใจลงมือ หมายว่าจะเอาตัวเองให้เป็นระเบิดพลีชีพ เขาลงมือปฏิบัติการในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1905
    ความจริงมีโอกาสในสองวันก่อนนี้แล้ว..แต่เซอเกมีหลานๆ ติดรถไปด้วย
    พวกเขาจึงไม่ทำ เพราะตั้งใจว่าจะเก็บเพียงเซอเกคนเดียว

    สองวันต่อมา....สบโอกาสอันดี เซอเกขึ้นรถม้ามากับสารถีเพียงลำพัง
    อิวานเข้าประชิดตัวในระยะเพียงสี่ฟุต โยนระเบิดใส่เข้าที่กลางตักพอดี
    เสียงดังกึกก้องกัมปะนาท..ร่างของเซอเกกลายเป็นผุยผง ชิ้นส่วนกระเด็นไปทั่ว
    เลือดนองบนหิมะ..อย่างเดียวกับเลือดของประชาชนนับพันในวันที่โดนทหารฆ่า
    ที่หิมะหน้าพระราชวังกลายเป็นสีแดงฉานนั่น..

    อิวานไม่ตาย..บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเพียงเล็กน้อย เสื้อผ้าขาดวิ่น ถูกตัดสินให้ถูกแขวนคอไม่นานต่อมา..

    ดูหน้าตาเขานะคะ ภาพนี้ถ่ายหลังจากที่ถูกจับแทบจะในทันที..ท่าทางสดชื่นพิลึก


    หลังจากที่สิ้นเสียงระเบิด..เอลล่า (พระชายา พี่สาวของอลิกซ์) รีบมายังที่เกิดเหตุ
    เธอกล้าหาญมาก..ที่เที่ยวเดินเก็บชิ้นส่วนของพระสวามีที่กระจัดกระจายในท้องถนน ด้วยน้ำตา..ว่ากันว่า..แม้แต่บนหลังคาก็ยังพบว่ามีเศษนิ้วที่มีแหวนติดอยู่

    จากนั้นมาเอลล่า..ได้สละชีวิตที่เหลือทั้งหมดบวชเป็นชี สละเวลาและทรัพย์สินให้กับสาธารณกุศลและพระศาสนาจนต้องมาจบชีวิตอย่างทรมานด้วยฝีมือของ
    บอลเชวิคในการสังหารหมู่


       

 
    ภาพ..เอลล่า..เมื่อครั้งที่เป็นแกรนด์ ดัชเชส พระชายา

   
   
   ภาพ...เมื่อ เอลล่า กลายมาเป็นผู้ทรงศีล...
   

    เรื่องของเอลล่านี้ ถือเป็นตัวอย่างของเรื่องของกรรมเวรได้เลย..
    คู่ของเซอเกและเอลล่านี้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกประัหลาด ดังที่แกรนด์ ดุ๊ค ซานโดร
    (และคนอื่นๆ) ได้ตั้งข้อกังขาไว้ เพราะคนสองคนนี้ไม่มีอะไรที่เหมือนกันเลย
    ฝ่ายหญิงอ่อนหวาน เรียบร้อย มีจิตใจเมตตา กรุณา ใครเห็นใครรัก เป็นที่รักใคร่นับถือกับทุกคนที่ต่างเรียกเธอว่า aunt Ella (ตามที่พระธิดาและพระโอรสของซาร์เรียก)
    แต่เซอเก..นั้นตรงกันข้ามทุกกรณี
    ทั้งคู่ไม่มีลูกด้วยกัน..แต่เอลล่าได้เอาหลานๆ กำพร้ามาเลี้ยง คือ มารี และดิมิทรี พระธิดาและพระโอรสของ Grand Duke Paul Alexandrovich (พระอนุชาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม) ที่พระชายาเจ้าหญิงอเล็กซานดรา แห่งกรีซ
    ที่สิ้นพระชนม์ไป..

    เมื่อสิ้่นเซอเกไป เอลล่าได้สละทรัพย์สินทุกอย่างแม้กระทั่งแหวนแต่งงานก็นำไปขายเอาเงินมาให้การกุศล เธอได้อุทิศชีวิตให้กับสาธารณกุศล ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บและยากไร้อย่างเต็มกำลัง ที่ส่วนใหญ่คือชาวยิวที่ถูกไล่เข่้นฆ่า
    (ซึ่งเซอเกก็คือผู้ที่เคยสนับสนุนนโยบายนี้อยู่)
    เหมือนกับว่า..เธอได้พยายามล้างบาปให้กับสามี..

    เมื่อตอนที่บอลเชวิคชนะ..เลนินได้ทำการสั่งฆ่าล้างบางโรมานอฟ..กลุ่มคณะผู้การหน่วยฆ่า..ได้รวบรวมพวกเจ้าที่จับกุมมาได้ ยืนเรียงแถวเหนือหลุมขนาดใหญ่และ ทุบตีให้ตกลงไปในหลุม จากนั้นก็โยนระเบิดลงไปในหลุม..
    เสียงสวดมนต์ของเอลล่า..ยังไม่หยุด (นั่นแสดงว่ายังไม่ตาย) ก็เลยโยนตามไปอีกลูกหนึ่ง..คราวนี้เงียบสนิท

    หลังจากนั้น..ชาวยิวที่ภักดีและสำนึกในบุญคุณความดีได้นำพระศพของเอลล่าไปบรรจุไว้ที่พระวิหาร The Church of Mary Magdaleneในเยรูซาเล็มเพื่อเป็นการประกาศเกียรติคุณ



   
     
     

    ขอฝากหนังดีเกี่ยวกับโรมานอฟ Romanovy: Ventsenosnaya Semya มาให้ชมค่ะ


    http://www.youtube.com/watch?v=kz9sNUFZ5rU&feature=related


    ระหว่างที่รัสเซียมีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ให้กับญี่ปุ่นนั้น แววของการก่อการไม่สงบในประเทศได้เริ่มขึ้นแล้ว..นั่นคือไม่สามารถเกณฑ์ไพร่พลไปรบได้ เพราะประชาชนแข็งข้อ ก่อการสไตร์คไปทั่วเมือง..

    พอแพ้สงครามก็เลยยิ่งหนัก เท่ากับว่้าซาร์ผู้เปรียบเสมือน"จอมทัพ" นั้นไม่มีน้ำยา
    ส่งไพร่พลไปตายนับแสนๆ คราวนี้นอกจากคนงานจะสไตร์คแล้ว ประชาชนระดับชาวไร่ชาวนาต่างพากันลุกฮือ นัดกันเผาไร่นากันจนท้องฟ้ามีแต่ควันปกคลุมไปทั่ว
    เมื่อกรรมกรและกสิกรจับมือกัน..เท่ากับว่า..เสียงส่วนใหญ่เทไปให้กับฝ่ายตรงข้าม
    ซาร์จึงรีบเปิดสภา..ในปีต่อมา..1906 ทำท่าเหมือนกับจะมอบอำนาจให้กับสภาผู้แทน..แต่เกิดอาการยึกยักเปลี่ยนพระทัยแล้วเปลี่ยนพระทัยอีก..ไม่ยอมมอบพระราชอำนาจ ทำให้สภาต้องล่มไป..ถึงแม้จะเปิดขึ้นมาใหม่
    แต่ประชาชน..หมดความไว้วางใจ ไม่สามารถจะอภัยให้อีกได้..เพราะบัดนี้มันได้ปรากฏชัดเจนว่าซาร์และซารินาคือตัวปัญหาของบ้านเมือง
    ทหาร..ก็ไม่เอาด้วย..นี่คือประการสำคัญของการเสื่อมสิ้น
    (ดูเอาจากในภาพยนตร์นะคะ..ว่า..ทรงอ่อนแอเพียงใด)

    นักการเมืองใหม่ๆ หัวรุนแรงที่แต่ละคนคือนักปลุกระดมตัวยง..ได้ก้าวขึ้นมา
    พร้อมที่จะ "แก้แค้น" ให้กับเพื่อนร่วมชาติ ที่ได้สังเวยชีวิตในโคดิงกา, ในวันอาทิตย์แดงเดือด, ในสงครามกับญี่ปุ่น..ที่ไม่ควรจะไปรบด้วยซ้ำ

 

    ความขัดแย้งในรัสเซียมีมานานแล้วค่ะ แล้วแต่ว่าซาร์คนไหนจะ"เอาจริง" สามารถสะกดให้อยู่นิ่งได้ ก็ประชากรมีตั้งร้อยห้าสิบล้านคน เป็นคนยากจนเสียเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ก็ย่อมหาความสงบสุขได้ยาก..
    ถ้าได้อ่านแต่ต้น ก็จะทราบว่าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง (พระอัยกาของ
    นิคกี้) สิ้นพระชนม์เพราะการถูกลอบวางระเบิด
    ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม (พระบิดาของนิคกี้) ก็โดนลอบวางระเบิดรถไฟขบวนพระที่นั่งเช่นกัน เพียงแต่โชคดีที่รอดมาได้
    หรือ ถ้าจะให้เล่าย้อนไปตั้งแต่..Peter III of Russia ที่เป็นพระสวามีของ Catherine II (หรือ Catherine the Great) ที่ต้องสละราชบัลลังก์เพราะ ขัดแย้งกับพระราชินีคัทเธอรีน
    ส่วนมกุฏราชกุมารพระโอรส คือ Paul I ก็ขัดแย้งกับพระมารดาอย่างหนักชนิดรู้ตัวเลยว่าจะต้องถูกสังหารอย่างแน่นอน ในที่สุดก็โดนจริงๆ ด้วยฝีมือของทหาร
    เพราะทุกคนได้ลงความเห็นว่า พระองค์เสียสติ ฟั่นเฟือนไปแล้ว
    จากนั้นก็จัดส่งมอบบัลลังก์ให้กับพระโอรส คือ Alexander I ที่ปรากฏว่าทรงพระปรีชาสามารถมาก สามารถรวบรวมรัสเซียให้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน
    เพราะมี"ตัวช่วย" เข้ามาเสริมบทบาทให้พระองค์ได้โดดเด่นขึ้นมา นั่นคือ นโปเลียน ที่หาญกล้ายกทัพขนาดใหญ่หมายจะไปต่อตีกับรัสเซีย..
    แล้วก็แพ้หน้าแหกกลับมา..
    เอมเปอเรอ อเล็กซานเดอร์ที่หนึ่ง จึงกลายเป็นวีรบุรุษราวกับเทพเจ้า
    ส่วนนโปเลียน..หมดอนาคต..ไร้แผ่นดินอยู่   

 

Alexander I  

    เอมเปอเรอสิ้นพระชนม์กระทันหันด้วยโรคไทฟอยด์ แต่..มีเสียงเล่าลือว่าพระองค์หนีไปบวช อีกทั้งในหลุมพระศพ..พวกโซเวียตไปเปิด ก็ไม่พบโครงกระดูก..
    ราชบัลลังก์ส่งต่อให้พระอนุชา Nicholas I ซึ่งต่อมาก็สิ้นพระชนม์ด้วยการปลง
    พระชนม์เองด้วยยาพิษ เนื่องจากเสียพระทัยที่แพ้สงครามให้กับออตโตมันในสงครามไครเมีย..
    รัชกาลที่สืบทอดต่อไป..ก็คือ Alexander II (พระโอรส) ก็สิ้นเพราะระเบิดดังที่เล่ามาแล้วนี่ละค่ะ

    แต่ละยุคแต่ละสมัย..แทบไม่มีความสงบสุขเลย..การขัดแย้งมาในทุกรูปแบบ
    ถ้าซาร์สามารถ"ซื้อใจ" เหล่ากองทัพทุกเหล่าได้ ทุกอย่างก็จะไม่รุนแรง
    ส่วนนิคกี้นั้น..พลาดในจุดใหญ่ๆ นี้ไปหมด ทหารไม่สามารถยึดเอาพระองค์เป็นที่พึ่งได้เลย..
    หลังจากที่แพ้สงครามกับญี่ปุ่นนั่น มีเสียงเรียกร้องให้สละราชสมบัติกันมาก
    เผอิญว่า..ทรงได้พระโอรสมาพอดี..เลยทำให้เกิดสองกระแส สองขั้ว
    เหมือนกับว่าเป็นการผ่อนปรนไปได้อีกระยะหนึ่ง
    แต่แล้ว..ก็มีเรื่องรัสปูตินเข้ามา..เลยช่วยกระพือสิ่งที่เลวร้ายให้โหมกระหน่ำซ้ำเติมเข้าไปอีก

 
    
 
 

    

    ดิฉันมีเกร็ดมาเล่าให้ฟังสนุกๆ นะคะ ว่า..

    ครั้งที่ซาร์เล็กซานเดอร์ที่สามเสด็จทางรถไฟไปทางใต้ ในระยะที่ก่อนสิ้นพระชนม์ไม่นาน ซานโดรได้โดยเสด็จไปด้วย ระหว่างการสนทนาที่เกี่ยวกับความจงรักภักดีของประชาชนที่มีต่อซาร์..พระองค์ได้เกิดข้องพระทัยขึ้นมา
    เหมือนกัน และเพื่อความแก้สงสัย พอถึงสถานีต่อมา..ที่มีฝูงชนมาแห่แหน
    คอยเฝ้ารับเสด็จ พระองค์เสด็จลงไปที่ชานชาลา พร้อมทั้งกวักพระหัตถ์เรียกชายชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้าให้เข้ามาใกล้ๆ ทรงถามขึ้นมา
    "เจ้าอยากจะเป็นซาร์ไหม?"
    ไอ้หมอนั่นตกตะลึงพรึงเพริด..อ้าปากค้าง..ตาเหลือก
    "เอ้า..ว่าไงล่ะ..จะเป็นหรือไม่เป็น ตอบมา.."
    "พะ-ย-ะค่ะ...อ-ย-ยา-ก-เป็-น-น----พะ-ยะ-ค่ะ---"
    "ก็ดี..แล้วถ้าเจ้ามาเป็นข้าจริงๆ อะไรคืออย่างแรกที่เจ้าจะอยากจะทำ"
    คราวนี้ไอ้เจ้านี่ตอบเร็วพรืด ไม่ตะกุกตะกักอย่างทีแรก
    "จะรีบคว้าเงินห้าร้อยรูเบิ้ลก่อนเลย" สิ้นเสียง..ก็มีเสียงโห่จากฝูงชนที่ล้อมวงฟังอยู่แซงขึ้นมา ซาร์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นปรามให้เงียบ..
    "เจ้าจะเอาเท่านั้นเองหรือ รู้หรือเปล่าว่า งานของซาร์นั้นมีค่ามากกว่าเงินห้าร้อยนั้นหลายล้านเท่านะ"
    "ก็อาจใช่..แต่.." ว่าแล้วชายคนนั้นก็กวาดตาไปทางฝูงชนอย่างระแวงระไว
    ต่อด้วยว่า.."แต่เป็นงานที่อันตราย..มีแต่จ้องฆ่า ข้าฯ ขอเลือกไปเลี้ยงฝูงหมาจิ้งจอกที่หิวโซเสียยังจะดีกว่า.."


    ในที่สุด วันที่ 27 เมษายน 1906 คือการเปิดสภาที่เหมือนกับเป็นการเล่นละครตบตาคนดู เพราะมันเต็มไปด้วยนายทุนและขุนนางซึ่งมันเท่ากับเป็นการโหมไฟปฏิวัติให้โชนแรงขึ้นมาอีก เพราะที่นั่งในสภาบางส่วนก็คือหัวหอกของกลุ่มต่อต้าน สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความชิงชัง เคียดแค้น
    จนฉันรู้สึกหวาดๆ ขึ้นมาทันที พยายามยืนประชิดนิคกี้ให้มากที่สุด เพราะ
    ไม่แน่ใจในความปลอดภัย ไม่อยากให้พวกนี้เข้ามาใกล้จนอาจถึงพระองค์

    หลังจากที่ซาร์ได้เสร็จสิ้นจากการกล่าวสุนทรพจน์เสียงโห่ร้องถวายพระพรก็กระหึ่มนั้น..นับว่าเป็นการจบสิ้นการเถลิงอำนาจอย่างสมบูรณาญาสิทธิราช
    ของพระองค์เสียที..คราวนี้ได้มาในรูปใหม่ที่เราเรียกว่าประชาธิปไตย
    ที่มีซาร์เป็นประมุข
    นาย Witte ได้พ้นจากตำแหน่งในเย็นวันนั้น
    นายกฯ คนใหม่ คือ นาย Ivan Goremykin ที่มีทีท่าและแววตาแปลกๆ เหมือนคนที่ไร้วิญญาณยังไงไม่รู้


    ภาพ นาย Ivan Goremykin 


    หลังจากการเปิดสภาผ่านไป..ความวุ่นวายไม่รู้จบก็ตามมา เหล่าสมาชิกสภาเปิดศึกวิวาทะขัดแย้งกันเอง มันน่าเบื่อหน่ายเสียจริง พอแม่ทัพเรือได้เสนองานให้ไปคุมฝูงเรือในน่านน้ำบอลติค ฉันรีบกระโจนรับด้วยความลิงโลด เพราะอารมณ์นั้น..อยากจะออกทะเลเต็มที่แล้ว จะให้ไปขัดพื้นที่ดาดฟ้าก็เอา..
    อีกทั้งเรือ H.I.M.S. Almaz ที่ฉันจะไปคุมนั้น มีตารางต้องออกเดินทะเลในช่วงฤดูร้อนที่เป็นเวลาหลายเดือนโขอยู่ นับว่า..ได้มีเวลาเยียวยาสมอง และได้อยู่ตามลำพังนานพอสมควร
    เซเนียและเด็กๆ ย้ายไปพักผ่อนที่พระราชวังกัทชิโน อาทิตย์ละครั้งก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนฉันที่ฐานทัพ ในการพบปะกันฉันได้ขอร้องเธอไว้ว่า ห้ามพูดถึงเรื่องการเมืองเด็ดขาด ไม่อยากฟัง..
    แต่ก็พอรู้ว่า..นาย Ivan Goremykin หลุดจากตำแหน่งไปแล้ว คนที่มาแทนคือ
    คนรุ่นใหม่ไฟแรง เป็นอดีตข้าหลวงเมือง Saratoff นามว่า Peter Stolypin

    แต่เช้าเช้าวันหนึ่งที่ฉันได้รับข่าวว่า..ลูกชาย Feodor ล้มป่วยลง ออกหัดอีสุกอีใส มีไข้สูง อาการน่าเป็นห่วงที่ทำให้ต้องรีบเดินทางไปดูแล พร้อมกับสั่งงานไว้กับผู้ช่วยว่า..
    "ช่วยดูแลด้วยนะ..อาทิตย์เดียวก็จะกลับมา"

    แต่อาทิตย์ที่ว่านั้น ไม่เคยมาถึงเพราะเพียงสามวันต่อมา..ต้นห้องของฉันที่อยู่ในเรือได้ส่งข่าวมาบอกว่า..ลูกเรือกำลังก่อการจลาจล กำลังลุกฮือทำการปฏิวัติแข็งขืน อีกทั้งขู่ว่าจะจับเอาตัวฉันไว้เป็นประกันถ้าหากว่ากลับไปให้เห็น
    นิคกี้..บอกว่า
    "ในสถานะการณ์แบบนี้..นายต้องล้มเลิกความคิดที่จะเป็นทหารเรือต่อไปเสียเถอะ..เพราะกลับไปก็เสี่ยงเปล่าๆ กองทัพไม่สามารถปล่อยให้แกรนด์ ดุ๊คกลับไปรับราชการแบบเสี่ยงๆ อย่างนั้นได้อีก เสียใจด้วยนะซานโดร"

    ฉันกลับไปนั่งคอตกที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ไม่มีแรงแม้แต่จะเถียง..ท้อใจไปหมดกับกองทัพที่ล้มเหลว..ความตั้งใจที่ไร้ค่า..สมาชิกสภาที่เหลวแหลก..การสไตร์คที่นองเลือด เท่านั้นไม่พอ..ที่ช้ำใจที่สุดคือ เหล่าลูกน้องของฉันเองแท้ๆ ประกาศ
    กร้าวที่จะจับเอาตัวฉันไปเป็นประกัน..
    นี่หรือคือรางวัลที่สละเวลา สละทรัพย์สินส่วนตัว และชีวิตตลอดยี่สิบสี่ปีให้กับกองทัพเรือ
    กับลูกเรือร่วมลำทั้งหมด..ฉันไม่เคยวางอำนาจบาตรใหญ่ คำน้อยไม่เคยดุด่า
    ให้ช้ำใจ
    แต่..อะไรเกิดขึ้นกันนี่..ฉันมากลายเป็นศัตรูกับพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน..

    ฉันใช้พยายามอย่างยิ่งที่จะพยุงตัว..มันระโหยไปหมด คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต..
    ในที่สุด..ความเจ็บป่วยของลูกชายได้สว่างแว๊บเข้ามาสมอง นั่้นซิ..ทำไมเราไม่ใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสเล่า..??
    จึงได้โพล่งออกไปว่า
    "นิคกี้..ไอรีน กับ ฟีโอดอ ไม่ค่อยสบายอยู่ตอนนี้ หมอบอกว่าน่าจะเปลี่ยนที่พักผ่อนที่มีอากาศดีๆ จะเป็นไรไหมถ้ากระหม่อมจะขอเดินทางไปนอกประเทศสักสองสามเดือน"
    "ตามสบายเลย...ซานโดร"

    เรากอดกันเป็นการอำลา แต่ดูท่าแล้ว..นิคกี้ก็ไม่ได้เข้าใจในความรู้สึกที่ชอกช้ำจนถึงขนาดอยากจะหนีออกไปให้ไกลๆ ของฉันเลย..
    ฉันเองก็รู้สึกอดสูที่ต้องทำเช่นนี้เช่นกัน แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะทนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เป็นความรู้สึกที่ท้อแท้จนยอมสละได้หมดทั้งหน้าที่และฐานันดร ถ้าเป็นไปได้..
    ฉันพูดได้เต็มปากเลยว่า..ขยะแขยงรัสเซียอย่างเหลือทนแล้ว..


    หมายเหตุ...เจ้านายที่โดนสังหารเพราะฝีมือของบอลเชวิคนี่ก็เกือบหมดนะคะ เพราะเป้าหมายของ
    เลนินคือล้างเผ่าพันธุ์ให้สิ้นซากของสัญญลักษณ์แห่งศักดินา ฐานันดร
    ที่รอดไปได้ก็มีไม่กี่คน ส่วนใหญ่จะคือพวกเจ้านายที่ถูกซาร์เนรเทศไปก่อนหน้านั้น
    ส่วนซารินาพระมารดา และ ครอบครัวของเซเนีย รอดเพราะมีเรือจากอังกฤษมารับทันเวลา เนื่องจากตอนนั้นพวกปฏิวัติเริ่มอ่อนแรงลงไปมีการขัดแย้งกันเอง
    กลุ่มขุนนางเก่้าๆ ที่มีกองกำลังอยู่รอบนอก เริ่มรวมตัวกันกันได้ หมายที่จะเข้าชิงอำนาจ นี่คือ เหตุผลที่ต้องจัดการกับซาร์และครอบครัว..  เพราะถ้าไม่มีซาร์แล้ว..ทุกอย่างก็จะสงบไปเองโดยปริยาย

    ในยุคที่ซานโดรต้องระเห็จออกไปพักผ่อนสมองนอกประเทศนั้นบ้านเมืองเริ่มสั่นคลอนเต็มที่ เพราะซาร์ฝากการบริหารประเทศไว้ให้กับขุนนางและเสนาบดี
    ซึ่งต่อมา..รัสปูติน ได้เข้ามาส่วนแทรกแซงเพราะเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของซารินา
    เนื่องจากการที่เขาสามารถช่วยเหลือเยียวยาพระโอรสอเล็กเซได้
    ทำให้เชื่อได้ว่าเขามีพลังพิเศษและอิทธิฤทธิ์จากพระเจ้า สามารถขจัดปัดเป่าทุกข์ยากไปได้
    ดังนั้น..รัสปูตินจึงกลายเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งที่อยู่หลังม่านราชบัลลังค์

    ประชาชนได้รับข่าวสารจากฝ่ายตรงข้ามในเรื่องเสียหายอย่างร้ายแรงถึงขนาดมีการวาดภาพซารินาและรัสปูตินในภาพร่วมรักตามผนังตึกต่างๆ รวมไปถึงการวาดภาพล้อในหน้าหนังสือพิมพ์แบบหมดความเกรงใจ
    เพราะไม่มีใครได้ทราบความจริงว่า เพราะพระโอรสอเล็กเซนั้นเป็นโรคฮีโมฟีเลีย
    (ตอนนั้นคือความลับอย่างยิ่งยวด) ที่ซารินาต้องพึ่งพาพ่อมดคนนี้แบบว่าชี้นิ้วจะเอาอะไรก็ได้

    ทหารไม่เข้าใจเช่นกันว่า..ทำไมซาร์และซารินาต้องไปนั่งสวดมนต์กันคราวละนานๆ เป็นชั่วโมงตามคำสั่งของรัสปูติน
    แทนที่จะมาช่วยกันแก้ปัญหาบ้านเมือง

    นี่คือ จุดที่ทำให้ทหารเอาใจออกห่างจากราชบัลลังก์.............วิวันดา


    จะมาเล่าถึงชีวิตของซานโดรในช่วงแปดปีหลังจากที่ขอลาออกมาจากรัสเซียในปี 1906 จนถึงวิกฤติการณ์ระอุของยุโรปที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกในต่อมา

    .ฉันไม่เสียดายหรือรู้สึกละอายใจเลยกับชีวิตช่วงนี้และถ้าสามารถย้อนกลับเวลาไปได้ใหม่ฉันก็คงยังยืนยันว่าจะเลือกทางเดียวกับที่ทำนี่แหละ..
    การเขียนเล่าประหนึ่งการสารภาพบาปครั้งนี้..ฉันทำเอง..ไม่มีใครมาบังคับ
    เพราะคนเราถ้าจะเขียนประวัติกันแล้ว..ถ้าจะต้องมาโกหกหรือปกปิดแล้ว..จะเขียนไปทำไม..
    ฉันไม่ได้ต้องการความเห็นอกเห็นใจจากใครทั้งสิ้น เพราะที่เล่ามานี้คือเรื่องจริงในแปดปีที่ผ่านมาที่มีทั้งทุกข์และสุข
    ความสุขสนุกสนาน เพราะโลกนี้รื่นรมย์เสมอสำหรับฉัน
    ความทุกข์ คือ..ความผิดพลาดที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าฉันรู้จัีกระแวดระวังให้มากกว่านี้

    เราไปพำนักกันที่ Villa Espoir ใน Biarritz (ฝรั่งเศส) ตอนที่เรายกขบวนกันเข้าไปพักในโรงแรม ที่คณะรวมทั้งหมดหลายสิบคน ไหนจะพี่เลี้ยงและพยาบาลของเด็กๆ ..หมู่คุณข้าหลวงและมหาดเล็กของเซเนียและของฉัน..ทำเอาเจ้าของโรงแรมเหงื่อตก..บอกว่าถ้ามีแขกเป็นแกรนด์ ดุ๊คเพิ่มมาอีกคนเดียว เขาอาจจะต้องทำการก่อสร้างเพิ่มเติมขยายโรงแรมอย่างแน่นอน

    น้องสาวของเซเนีย แกรนด์ ดัชเชส ออลก้า ก็มาถึงเช่นกันแต่พักที่โรงแรม
    Hotel du Palais ที่พอเรามาถึงก็เข้าฤดูร้อนของบาร์ริทซ์ที่พวกเราต้องมาโดนยุงกัดกันจนหน้าตาบวม
    อาการเจ็บป่วยของไอรีนและฟีโอดอ เริ่มทุเลาขึ้น ใจฉันไม่อยากกลับไปรัสเซียเลย ขอบคุณพระเจ้าอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..ที่ประทานทางเลือกให้สำหรับชีวิต


    ตรงข้ามกับโรมแรมที่พัก เป็นสนามกอล์ฟสิบห้าหลุม ฉันไม่เคยสนใจกับกีฬาของชาวสก๊อตต์อย่างนี้มาก่อน แต่คราวนี้รู้สึกสนใจและสนุกไปกับมัน เพราะว่า
    เป็นสิ่งที่แปลกใหม่ มีกฏเกณฑ์เฉพาะตัว และที่สำคัญคือ..มันไม่มีความเป็นรัสเชี่ยนอยู่ตรงไหนเลย..
    เพียงข้ามคืนที่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสโมสรกอล์ฟนี้..ฉันก็มีสังคมใหม่..
    ที่มีเพื่อนมากหน้าหลายตา รับเชิญและเลี้ยงตอบแทนกันไม่หวาดไม่ไหว
    มาถึงตอนนี้..ฉันรู้สึกตัวว่า..เริ่ม"มอง"พวกผู้หญิงด้วยความสนใจ
    ซึ่งมันอาจจะเป็นสัญชาติญาณดิบของพวกผู้ชายที่มีอยู่ในส่วนลึกก็เป็นได้
    ตลอดเวลาสิบสองปีที่ฉันได้แต่งงานกับเซเนียมา..ไม่เคยเลยที่จะมีใบหน้าของหญิงใดมาอยู่ในสมอง

    แต่ในสังคมนี้..ช่างมีแต่ความเป็นกันเองไม่มีพิธีรีตองอะไรที่น่าเบื่อหน่ายเหมือนชีวิตที่ผ่านมา
    มันช่างเป็นความสุขเสียจริง....ถึงแม้ว่า"ทุกข์ถนัด"อาจจะตามมา..ฉันก็ไม่แคร์

    ความจริงเราจะต้องอยู่เพียงสามเดือน..ที่เมื่อถึงเวลาฉันพยายามชวนเซเนียให้อยู่ต่อเพราะคริสต์มาสระหว่างครอบครัวที่ฝรั่งเศสจะต้องสนุกกว่าที่รัสเซียอย่างแน่นอน
    ไม่ต้องมีการให้ของขวัญอย่างมากมายกับใครต่อใคร ไม่ต้องไปปั้นหน้่าในงานต่างๆ ให้เหนื่อย
    ฉันเริ่ม"ติดใจ" ในหญิงหนึ่งที่อยู่ในแวดวง เธอมีเชื้อสายสเปน-อิตาเลียน
    ที่น่ารัก ร่าเริง และ คุยสนุกเปิดเผย เพียงเดือนแรกที่ได้รู้จัก..ฉันถึงกับถามตัวเองว่า.."หลงรักผู้หญิงคนนี้หรือ? "คำตอบคือ "ไม่หรอก..แต่ชอบเฉยๆ "
    เพราะคนเราถ้าเป็นประเภทเจอปุ๊บรักปั๊บ..มันก็จะจางหายไปแบบป๊อบแป๊บเช่นกัน
    ฉันเริ่มฟุ้งซ่านเปรียบเทียบชั่งน้ำหนักระหว่างเซเนียกับเธอผู้นี้..ผลคือ ช่างตีคู่กันมาแบบสูสีทีเดียว

    แต่..ความจริงนั้นช่างโหดร้ายนัก ในฐานะพ่อลูกเจ็ด (คนสุดท้องกำลังอยู่ในท้องใกล้คลอดเต็มที) อย่างฉัน..จะไปคิดนอกลูกนอกทางอย่างนั้นได้อย่างไร?

 

    เซเนีย กับพระขนิษฐา แกรนด์ ดัชเชส ออลก้า   


   


    ในฤดูใบไม้ผลิ..เสด็จลุง Bertie * ได้เสด็จมาเยี่ยมเรา เพราะเซเนียคือหลานรักสุดโปรดของพระชายา อีกทั้งครอบครัวของเราก็แนบแฟ้นมาแต่ไหนแต่ไรแม้แต่ในช่วงของสงคราม**ที่มีการขัดแย้งกันบ้างแต่ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เสด็จลุงได้ประทับอยู่ที่
    โอเตล ดู ปาเลส์ ที่พรั่งพร้อมไปด้วยชาวอังกฤษที่แห่กันมาต้อนรับเนื่องจากเมืองบาริทซ์นี้ เปรียบเสมือนเป็นกึ่งเมืองขึ้นของบริเตนเพราะว่า ชาวเมืองชนชั้นคหบดีนั้นส่วนใหญ่คือ ชาวอังกฤษล้วนๆ

    เราพบปะกันเสมอๆ ไม่ว่าเป็นการร่วมโต๊ะเสวย เล่นบริดจ์ เล่นกอล์ฟด้วยกัน เสด็จลุงเป็นคนที่คุยสนุก อารมณ์ขันเหลือเฟือ ใครที่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ๆ จะไม่มีวันเบื่อเลยแม้แต่วินาทีเดียว
    ฉันว่า..ในระหว่างจักรพรรดิ์, กษัตริย์, ประธานาธิบดี ที่ไหนๆ ที่เคยพบมา
    ไม่มีใครเลยที่จะมีความเป็น"ผู้นำ" เหนือกว่าเสด็จลุงไปได้ ก็เพราะเหตุนี้เองกระมัง ที่ไกเซอร์วิลเฮล์มจึงหมั่นใส้พระองค์นัก เพราะ รัศมีและบารมี
    ช่างต่างกันจนเทียบไม่ได้เลย

    ยิ่งอยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ในยามที่ทรงเป็นส่วนพระองค์แอบปกปิดตัวเองในยามไปไหนต่อไหนนั้นยิ่งสนุกนัก เพราะพระองค์มีความเป็นคนธรรมดาอย่างเต็มที่ อ่อนโยนกับเหล่าพนักงานโรงแรมเล็กๆ ที่บางคนไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าชายท่าทางร่ำรวยคนนี้คือใคร..
    เสด็จลุงมีความเมตตาต่อผู้ใช้แรงงานเป็นพิเศษ ครั้งหนึ่้งที่เห็นพนักงานขนกระเป๋าและผู้ช่วยต้องเหน็ดเหนื่อย..พระองค์ให้รางวัลอย่างงาม อย่างชนิดที่คนเหล่านั้นจะไม่มีวันลืมได้ในชั่วชีวิต..

    ฉันละ..ขอบอกตรงๆ ว่า ไม่เคยอิจฉาชาวอังกฤษในเรื่่องของความเก่งกาจหรือรุ่งเรืองจนสามารถขยายอาณานิคมออกไปได้ทั่วโลก
    แต่..ที่อิจฉาที่สุดคือ ความสามารถของผู้ครองบัลลังก์ทุกยุคทุกสมัยต่างหาก เพราะดูเหมือนว่า ทุกพระองค์ประสูติมาเ้พื่อที่จะเป็นผู้นำโดยแท้
    ไม่ว่าจะเป็น สมเด็จพระนางวิคตอเรีย, เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด, จอร์จที่ห้า*** หรือปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์ องค์ปัจจุบัน..****


    ขยายความ...


    *Bertie หรือ เสด็จลุงเขย คือ King Edward VII พระโอรสองค์สุดท้องของพระนางวิคตอเรีย ที่อภิเษก กับเจ้าหญิง Alexandra of Denmark ที่เป็นพี่สาวของ Empress Marie (พระมารดาของนิคกี้และ เซเนีย)  


    **สงครามที่ว่านั่นคือ รัสเซีย-ญี่ปุ่น ที่ทราบกันดีว่า อังกฤษถือท้ายให้การสนับสนุนญี่ปุ่นอยู่

    *** จอร์จที่ห้า คือ พระเจ้า George V พระโอรสของ เอ็ดเวิร์ดที่เจ็ด หรือ เสด็จลุงเบอร์ตี้..

    **** ปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์ องค์ปัจจุบัน ที่ท่านผู้เขียนเอ่ยถึง นั่นคือ พระเจ้า
    เอ็ดเวิร์ดที่แปด (Edward VIII) ในต่อมา..

    ถ้าท่านผู้เขียนมีพระชนมายุยืนยาวไปอีกนิด ท่านก็จะต้องพบกับความผิดหวัง..เพราะ ปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์องค์ปัจจุบันที่ท่านพูดถึงว่าสง่างามและเก่งกาจหนักหนาได้สละราชสมบัติเพื่อที่จะไปครองรักกับแม่ม่าย (สองหน) ไร้ราคาคนหนึ่งนามว่้า วอลลิส ซิมปสัน..........................วิวันดา


    เพราะการมาของเสด็จลุงนี่เอง..ที่ทำให้เราต้องอยู่ต่อในบาริทซ์ แม้ว่า
    ซารินาพระมารดาจะโอดมาจากรัสเซียว่าเหงาเหลือเกิน..ที่ลูกสาวและหลานๆ หายหน้ากันไปหมด ในที่สุดเซเนียก็ประสบความสำเร็จในการที่ชักชวนพระมารดาให้มาพักผ่อนอยู่ด้วยกัน..

    ซารินาพระมารดาเสด็จมาถึงด้วยขบวนรถไฟส่วนพระองค์ที่มากันเป็นกองทัพทั้งคุณพนักงาน คุณข้าหลวง มหาดเล็ก เรียกว่า วุ่นวายกันไปทั้งเมือง
    เพื่อนๆ เราต่างสงสัยว่า ทรงหรูหรานัก แล้วจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าหรือนี่..?


    แม้ว่าฉันจะเรียกพระองค์ว่า "แม่" ก็จริง..อีกทั้งทรงอาวุโสมากกว่า...แต่เรื่องเที่ยว เรื่องสมาคมแล้ว..เราถึงไหนถึงกัน..
    ฉันจัดการซื้อรถยนตร์ขนาดใหญ่คันหนึ่ง ยี่ห้อ Delaunay-Belleville ใหญ่ขนาดบรรจุพวกเราได้ทั้งครอบครัวเอาไว้ขับพาพระองค์เสด็จไปเที่ยวที่โน่นที่นี่..จนคนในแถบนั้นเริ่มคุ้นตากับแกรนด์ ดุ๊ครัสเชี่ยนคนหนึ่งที่ขับรถกินลมเล่นที่มีผู้หญิงและเด็กๆ นั่งกันเต็ม..

    พอถึงเดือนมิถุนายน..ที่เราจำเป็นต้องกลับรัสเซีย..เพราะยืดต่อไปไม่ได้อีกแล้ว..การกลับก็อาศัยร่วมขบวนไปกับขบวนรถไฟส่วนพระองค์ของซารินาพระมารดาและเพราะพระบารมีของพระองค์นี่เอง ที่ทำให้ มองซิเออร์
    ฟาริเเอรส์ ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสมาส่งเสด็จพวกเราด้วย..

    Vassily ลูกชายคนเล็กของเราได้ถือกำเนิดมาในในช่วงปลายเดือนเดียวกันนี้..ที่พระราชวังกัทชิโน่ ตอนที่เกิดมาท่าทางอ่อนแอ เหมือนจะไม่รอด จึงงดพิธีสมโภช..
    แต่ในที่สุดก็รอดมาจนเติบใหญ่จนได้..

 

    เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิด ฉันก็เที่ยวตระเวณเยี่ยมเพื่อนฝูงเก่าๆ
    นิคกี้เริ่มเข้ามาปรับทุกข์ถึงภาวะวุ่นวายของบ้านเมืองเพราะตอนนั้นสภาที่เพิ่งเปิดขึ้นมาแค่ไม่กี่เดือนก็ปิดตัวลงไปแล้ว การเลือกตั้งครั้งที่สองกำลังจะเกิดขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ชื่นชอบกับนาย Stolypin นายกรัฐมนตรี
    ไปไหน ใครก็มักชมให้ได้ยิน
    แต่ฉันไม่ได้สนใจกับนายคนนี้เท่าไหร่..เพราะตอนนี้เริ่มรู้ตัวว่าจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะเริ่มคิดถึง"เธอคนนั้น" อย่างเหลือเกิน
    เมื่อก่อนฉันไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองนัก แต่บัดนี้..ต้องยอมสารภาพว่า
    "หลงรัก" เธออย่างหมดใจ..

    แผนการเดินทางกลับไปฝรั่งเศสเริ่มเข้ามาสู่สมองอีักครั้ง..จนเพื่อนๆ ต่างตกใจถามว่า.."อะไร..จะออกนอกประเทศอีกแล้วหรือ?"
    ถ้าตอบได้ดังใจคิด..ฉันอยากจะบอกไปนักว่า
    "ถ้าเลือกได้...รับรองว่าพวกนายไม่ได้เห็นหัวฉันร๊อกก.."

    ว่าแล้วเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้สาเหตุคือไปเยี่ยมเสด็จพ่อที่ Baden-Baden ที่ทรงมีอาการดีขึ้น..และกำลังจะหนีหนาว..ย้ายกลับไปอยู่
    ริเวียร่า ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้เราได้พบกับพี่หญิงอนาสตาเซีย และ
    มิเกล พี่ชายนอกคอกจนต้องถูกเนรเทศ* ที่คานส์ด้วย..
    พี่หญิงอนาสตาเซียค่้อนข้างเป็นที่รู้จักอย่างดีในแวดวงไฮโซริเวียร่า
    เพราะว่าเธอพิสมัยการเล่นการพนันยิ่งนัก
    มิเกลมีลูกสาวสองคน (ต่อมาคือ Lady Milford-Haven และ Lady Zia Wehrner)

    ว่าที่จริงตอนไม่แคร์หรอกนะว่า..ใครจะนอกคอกหรือไม่..เพราะฉันเองก็กำลังจะเลื่อนตัวเองลงมาอยู่ในระดับเดียวกับคำว่า"นอกคอก" อยู่รอมร่อ
    อยู่แล้ว..

    เรามาถึงกรุงโรม..ในต่อมา..เธอคนนั้นได้มาหาฉันตามสัญญา และเราได้แอบพบกัน..และนัดที่จะเจอกันต่อไปที่ บาริทซ์..
    ในช่วงเดียวกัน..ดิมิทรี ลูกชายของเราเริ่มมีอาการป่วย ออกหัดในหู ที่ค่อนข้างอันตราย มีไข้สูงจนเพ้อ
    เซเนียจึงพาลูกๆ ทั้งหกคนออกเดินทางไปที่บาริทซ์ก่อน ปล่อยให้ฉันดูแลดิมิทรีต่อในโรม..เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ฉันและเธอคนนั้นได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันมากขึ้น เพราะเธอมาทำหน้าที่เป็นพยาบาลให้กับลูกชายด้วย..

    ฉันตกหลุมรักเธออย่างหมดใจ..จนในที่สุึด ไม่สามา่รถที่จะโกหกต่อไปด้วย..ยอมสารภาพกับเซเนียทั้งหมด..
    เซเนีย..นิ่งสงบ..รับฟังเรื่องทั้งหมดอย่างไม่มีอาการฟูมฟายใดๆ กลับบอกว่า ยินดีที่จะรับฟังความจริงที่แสนชอกช้ำมากกว่าการโกหกที่สวยงาม..
    เราสองคน..นั่งคุยถึงเรื่องปัญหาต่างๆ ในทุกซอกทุกมุมของหัวใจ
    และอนา่คตของลูกๆ ทั้งหมด
    ในที่สุด..มาตกลงกันที่ว่า..จะอยู่ด้วยกันฉันท์เพื่อนเพื่อความสุขของลูกๆ เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว..เราสองคนคือเพื่อนที่ดีต่อกัน หวังดีต่อกันเสมอ
    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น..ขอให้ฝ่ายที่เป็น"คนเสีย" คือฉันแต่เพียงคนเดียว..

    แต่ต่อมา..เซเนียก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่า เธอคือ "เพชรน้ำหนึ่ง" เป็นคนดีและเป็นแม่ที่ดีที่สุด..

    เช้าในวันหนึ่งขณะที่ยังอยู่ในบาริทซ์ ข่าวเช้าในหนังสือพิมพ์พาดหัวว่า..นักบินฝรั่งเศสสามารถพาเครื่องบินข้ามช่องแคบอังกฤษได้แล้ว..นี่คือก้าวแรกเริ่มของการคมนาคมยุคใหม่ที่ทำให้ฉันได้คิดถึงวันคืนเก่าๆ ที่เคยเห็นความพยายามของฝรั่งเศสในเรื่องการพัฒนาการบินมาเป็นขั้นตอน จากที่เคยเห็นนักบิน Santos Dumont หัดทดลองบินไปรอบๆ หอไอเฟล ความสำเร็จในการบินข้ามช่องแคบนี้ทำให้ฉันได้ฉุกคิดได้ว่า..ต้องริเริ่มทำอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการคมนาคมใหม่นี่อย่างเร็วด่วน เพื่อที่จะนำเสนอสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบินนี้ให้กับรัสเซียในสัดส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่า
    มีประสิทธิภาพมากกว่า ซึ่งไม่น่าจะยากเพราะเงินบริจาคที่เหลือจากการสร้างเรือรบในสงครามญี่ปุ่นที่อยู่ในความครอบครองของฉันยังมีทิ้งอยู่ในธนาคารถึงสองล้านรูเบิ้ล

    ดังนั้น..ฉันจึงเริ่มลงมือเขียนจดหมายไปถึงกลุ่มผู้บริจาคเพื่อขออนุญาตในการที่จะนำมาซื้อเครื่องบินเอาไว้เป็นเขี้ยวเล็บให้กับกองทัพต่อไป
    ซึ่งเพียงอาทิตย์เดียวก็ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ..ฉันรีบมุ่งหน้าไปยังกรุงปารีส ไปยังบริษัทผู้สร้าง Bleriot and Volsin เพื่อทำการสั่งซื้อเครื่องบินอีกทั้งจ้างครูฝึกสอนซึ่งทางฉันจะต้องเตรียมโรงเก็บ ซ่อมสร้างบำรุงรักษา จัดหานักเรียนและ สิ่งจำเป็นอื่นๆ อันหมายถึงทุนสำรองซึ่งหมายถึงว่าฉันต้องกลับไปรัสเซีย วิ่งรอกไปหาซาร์..ที่นั่น..ที่นี่เพื่อเสนอแผนงาน..
    นิคกี้..รับฟังด้วยพระพักตร์ยิ้มละไมเช่นเคย..ส่วนท่านรมต.กรมราชนาวี มองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ประมาณว่า บ้าไปหรือไง..
    เขาถามพลางหัวเราะสลับว่า
    "เดี๋ยว..กระหม่อมเข้าใจถูกหรือเปล่า..ว่า ฝ่าบาทกำลังจะเอาไอ้ของประกอบขึ้นเล่นๆ อย่างเครื่องบินร่อน Bleriot
    มาใช้ในกองทัพของเรางั้นหรือพะยะค่ะ หรือฝ่าบาทกำลังมีพระประสงค์จะให้ทหารของเราไปหัดบินข้ามช่องแคบอังกฤษ หรือจะให้มาบินเล่นกันใน เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กนี่"
    "ช่างฉันเถอะ..ท่านนายพล ฉันเพียงแต่ขอแค่ให้ท่านอนุญาตให้พวกทหารที่ฉันเลือกลางานและไปปารีสกับฉันเพื่อที่จะทำการฝึกหัดบินกับเบลเรียตและวัวแซงเท่านั้น ส่วนที่เหลือปล่อยให้เป็นธุระของฉันเอง.."

    เพราะฉันเชื่อในคติว่า.."rira bien qui rira le dernier" อันหมายถึง คนที่หัวเราะทีหลังย่อมจะดังกว่า..


    การไปเข้าเฝ้าซาร์ครั้งต่อมา..ฉันได้รับอนุญาตให้คัดเลือกนายทหารตามที่ต้องการได้ แต่ก็ทรงสำทับว่า แม้แต่ท่านอานิโคลาชาแม่ทัพใหญ่ก็ไม่ได้เชื่อน้ำมนต์ในเรื่องการบินนี่เลย กลายเป็นว่าฉันเพ้อเจ้อไปเอง

    ทหารที่ได้รับการคัดเลือกได้เดินทางไปยังปารีสแล้ว..แต่ฉันยังคงวุ่นอยู่กับหาสถานที่สร้างสนามบินและโรงเก็บ เป้าหมายคือ
    Sebastopol เมื่อตกลงใจการสร้างได้เริ่มขึ้นอย่างเร็วด่วน มาเสร็จเอาในปลายฤดูฝนของปี 1908
    นายทหารที่ไปเรียนบิน ได้จบหลักสูตรและกลับมาถึงในฤดูใบไม้ผลิของปี 1909
    ในฤดูร้อนนั้น..ชาวเซนต์ปีเตอร์เบอร์กได้มาร่วมเป็นประจักษ์พยานให้กับสิ่งแปลกใหม่ของรัสเซีย นั่นคือ เครื่องบินเหนือน่านฟ้าที่บินโดยนักบินของเรา
    เสียงโห่ร้องให้กำลังใจดังขึ้นอย่างถล่มทะลายด้วยความตื่นเต้นของประชาชน
    แต่ก็ยังไม่วายที่จะได้ยินเสียงค่อนขอดจากพวกเสนาบดีว่า เป็นการเล่นกลแบบหลอกเด็ก ไม่มีประโยชน์อะไรกับกองทัพเลยแม้แต่นิด..

    สามเดือนต่อมา..ฉันได้ขยายพื้นที่ไปอีกสิบไมล์เพื่อทำการสร้างโรงเรียนฝึกหัดบิน (อันเป็นแห่งแรกในรัสเซีย) เพื่อสร้างนักบินให้มีประสบการณ์ในวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเสริมกำลังให้กับกองทัพ
    ในเดือนธันวาคม 1909 เสด็จพ่อถึงแก่กาลสวรรคตที่เมืองคานส์ หลังจากที่ทรงทุกข์ทรมานกับอัมพฤกษ์นานถึงหกปี
    ทรงมีพระชนมายุได้เจ็ดสิบเจ็ดชันษาพอดี..สิ้นพระองค์ไป ฉันรู้สึกโหวงเหวงในใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะเสด็จพ่อทรงเป็น

    ทหารอย่างแท้จริงและทรงดำเนินชีวิตตามกรอบ ตามระเบียบวินัยได้สมกับที่เป็นพระโอรสของเสด็จปู่..พระเจ้านิโคลาสที่หนึ่ง
    เรือรบได้นำพระศพกลับมาถึงยัง Sebastopol จากนั้น ก็นำไปยังเซนต์ ปีเตอร์เบอร์กเพื่อประกอบพิธีในพระวิหารที่
    Fortess of Peter and Paul นี่คือครั้งที่สามที่ฉันต้องพบกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต
    ในพระวิหาร..ฉันรู้สึกสะท้อนใจเหลือเกิน..แท่นสุสานที่เรียงรายกันหกแท่นนั้นล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่มิอาจมีวันลืมเลือน
    นับจาก เอมเปอเรอ อเล็กซานเดอร์ที่สอง, เอมเปอเรอ อเล็กซานเดอร์ที่สาม, จอร์จี้, อเล็กซิส น้องชายคนเล็ก, แม่, พ่อ..


    ฉันได้ทุ่มเทเวลาให้กับกองการบินที่สร้างขึ้นมาอย่างเต็มที่ ไม่อยากสนใจกับเรื่องของการบ้านการเมืองที่แสนยุ่งเหยิง
    เพราะตอนนั้น กระแสคนรอบด้านและในสภาที่กำลังอิจฉานายสโตลีปิน นายกรัฐมนตรี กับ กระแสชิงชังรัสปูติน ช่างมาแรง
    แบ่งบ้านเมืองออกเป็นหลายฝักหลายฝ่าย อีกทั้งทั้งสองฝ่าย สโตลีปิน กับ รัสปูติน ไม่กินเส้นกันอย่างแรง
    เพราะสโตลีปินเป็นคนตรง ฉลาด เคร่งกฏหมาย ส่วน รัสปูติน ได้ตกเป็นเครื่องมือของคนบางกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังอาศัยการตั้งตัว
    ในการเป็น"ศาสดา"และการ"อิทธิพล" ของเขาเข้ามาวุ่นวายกับการเมือง (จนกลายเป็น ระบอบรัสปูติน..วิวันดา)

    กระแสการขัดแย้งได้เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเกือบถึงขีดว่า..ซาร์จะต้องเลือกเอาระหว่างนายกรัฐมนตรีที่เข้มแข็ง หรือจะแต่งตั้งรัสปูตินให้มาทำหน้าที่เป็นประธานสภาแทน เพราะโดยปรกติแล้วเจ้าหมอผีนี่ชอบแทรกแซงขอแต่งตั้งคนโน้นย้ายคนนี้เป็นประจำ อาศัย"เส้นใหญ่" จากซารินา

    บางครั้งที่มีการพูดคุยกับซาร์ ฉันได้เตือนเสมอว่า..อย่าไว้ใจฝ่ายที่โจมตีสโตลีปินนัก อีกทั้งให้ใส่ใจกับกลุ่มของซารินาพระมารดา กับกลุ่มของ
    อลิกซ์ เพราะสองค่ายนี้การสาดโคลนใส่กันในเสียงลือเสียงเล่าอ้าง..
    ซารินาพระมารดา แม่ยายของฉัน ฟังเรื่องข่าวลือนี้ไปด้วยความขยะแขยง เกลียดชัง
    อลิกซ์..แทนที่จะแก้ไข กลับไปยกย่องเทิดทูนเจ้าหมอผีนี่อย่างไม่เกรงคำครหา โดยที่ไม่รู้ตัวเองว่า กำลังสร้างตำหนิให้กับ
    สถาบันเหนือหัว..จนผู้คนหมดความเกรงใจ..หมดความนับถือ

    ถ้ายังจำกันได้ ถึงพี่ชายนอกคอกของฉัน..Michael Michaelevich ที่ไปแต่งงานกับหญิงที่ต่ำศักดิ์กว่า ในสมัยของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามยังมีพระชนม์อยู่ ยังต้องโทษถึงกับต้องเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่อื่น..
    แต่พอมาถึงครั้งนี้..พวกแกรนด์ ดุ๊ค หลายคน ต่างพากันทำทุกอย่างตามใจกันไปหมด..ไม่สนใจในราชธรรมเนียมประเพณีอีกต่อไป..
    เช่น..
    พระอนุชาแท้ๆ ของซาร์ Misha (Grand Duke Michael  Alexandrovich) ไปอภิเษกกับหญิงสามัญซ้ำยังเป็นแม่ม่ายถึงสองหน หรือ เสด็จอาของซาร์ แกรนด์ ดุ๊ค ปอล ที่ไปอภิเษกกับหญิงสามัญแต่มีหน้ามาขอให้ยกย่องฐานะเทียมเจ้า..หรือ แกรนด์ ดุ๊ค Cyril ไปอภิเษกกับ"Ducky" ที่อดีตเคยเป็นพี่สะใภ้ของอลิกซ์และหย่ากันหลังจากที่มีลูกคนที่สอง
    ทั้งหมดที่ช่างกล้ากัน..เพราะหมดสิ้นความเกรงใจต่อซาร์ผู้เป็นประมุข
    และเป็นการกระทำที่อุกอาจอย่างที่ไม่เคยมีเจ้าคนไหนบังอาจแม้แต่จะคิดมาก่อน

    (จำได้ไหมคะ..ดั๊คกี้ ที่เป็นพระธิดาของ เจ้าชายอัลเฟรด พระโอรสของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย กับ พระนางมารี พระขนิษฐาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม เท่ากับว่า ดั๊คกี้ และ ซีริล เป็นญาติสนิทกันแท้ๆ ถึงได้แต่งงานกันไม่ได้ตั้งแต่ทีแรก เพราะขัดต่อทางศาสนาออโธดอกซ์ แต่ทั้งคู่เคยชอบพอรักใคร่กันในสมัยวัยรุ่น.........วิวันดา)


    ทั้งสามแกรนด์ ดุ๊ค ที่ออกมากระทำการแตกแถวประหนึ่งประกาศอิสรภาพนี้...ย่อมแสดงได้ถึงว่าซาร์หมดน้ำยาในการควบคุมดูแลเหล่าพระราชวงค์ให้อยู่ในกรอบประเพณีได้อีกต่อไป ซึ่งผลเสียคือมันเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อสังคมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนธรรมดา หรือในทางศาสนา

    เมื่อใครต่อใครมีอิสระได้..ฉันก็เอาอย่างบ้าง..กับ"ใครคนนั้น" ที่บาริทซ์ ที่เรามีโอกาสเพียงแต่พบกันเป็นครั้งเป็นคราว
    ในปี 1910 ฉันได้ถือโอกาสนี้..เสนอกับเธอว่า..ถ้าเราจะย้ายไปใช้ชีวิตคู่อย่างสงบที่ออสเตรเลียด้วยกัน เธอจะมีความเห็นว่าอย่างไร เยส หรือ โน..?
    เพราะฉันพร้อมที่จะสละความเป็นเจ้าอย่างทันที..ยินดีที่จะอยู่อย่างชาวไร่ชาวนากับเธอ ถ้าคำตอบเป็น เยส..

    แต่คำตอบที่ได้รับมานั้น..กลายเป็น โน..เพราะ เธอคนนั้นมีความเข้มแข็งและเฉียบขาด
    เธอว่า..เธอไม่สามารถแยกฉันมาจากชาติกำเนิดได้อย่างแน่นอน เพราะ ฉันมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้
    พร้อมสำทับว่า..จะไม่ให้พบหน้าอีกเลย..ถ้าฉันมีความคิดที่จะละทิ้งหน้าที่อย่างที่ว่ามา..

    นี่ก็ผ่านมายี่สิบปีแล้วนะ ตั้งแต่วันนั้นที่เธอคนนั้นได้ตอบปฏิเสธมา..แต่ไร่นาในนออสเตรเลียยังคงอยู่ในความฝันของฉันเสมอ


    เมื่อ หมดหวังจากการปฏิเสธมานั่น..ฉันก็เลยยิ่งบ้างานหนักเข้าไปอีก โรงเรียนฝึกบินเริ่มขยายใหญ่ขึ้น จากรังรูหนูก็มากลายเป็นองค์กรส่วนหนึ่งของกองทัพที่น่าภูมิใจของซาร์ภายในปี 1912 เมื่อเสด็จมาเยี่ยมชม ทรงตรัสว่า
    "นายทำดีแล้วนะซานโดร..ฉันเองที่ดูผิดไปแต่ทีแรก เสียใจด้วยนะที่เคยดูแคลนเอาไว้ นายแน่มาก..ฉันเองก็เลยพลอยได้หน้าไปด้วย..ดีใจหรือเปล่า?"

    ฉันเองก็ไม่รู้ซินะ..เพราะบาดแผลของการเสียฝูงเรือไปในครั้งสงครามญี่ปุ่นนั้น (1904-1906) มันลึกเกินเยียวยา
    ในช่วงนั้น..ฉันได้ยอมทุกอย่างแม้กระทั่งพร้อมที่จะสละชีวิตให้กับรัสเซีย
    แต่จากบัดนี้ไป..ฉันขอใช้ชีวิตอยู่อย่างที่ใจปรารถนาบ้าง..


    
    ท่านผู้เขียนไม่ได้เปรยหรอกค่ะ ท่านไปถามเธอคนนั้นจริงๆ และเธอก็ปฏิเสธจริงๆ ด้วย พี่ว่า..เป็นเพราะการแอบพบกันนั้นมันเป็นการบริหารเสน่ห์อย่างหนึ่ง แต่การที่จะไปร่วมทุกข์ร่วมสุขจริงๆ ในท้องไร่ท้องนาในออสเตรเลียที่ตอนนั้นยังไม่เจริญอย่างเดี๋ยวนี้ แถมยังอาจจะต้องไปสู้รบตบมือกับชาวท้องถิ่นอีกล่ะ..ฝ่ายหญิงคงประมาณการณ์แล้วว่า ไม่คุ้ม..
    เพราะเธอก็เป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคมไฮโซเช่นกัน..
    เชื่อว่า..เธอไม่ได้ลุ่มหลงอะไรกับซานโดรมากมาย..

    ส่วนฝ่ายชาย..ก็คงสับสนพอสมควร เพราะการแต่งงานกับเซเนีย ทั้งคู่แทบไม่เคยมีชีวิตอย่างสามีภรรยาทั่วไป..เพราะเป็นผู้สูงศักดิ์ทั้งคู่
    ไหนจะต้องเวียนว่ายอยู่กับวังวนเดิมๆ ญาติชุดเดียวกัน
    ไปไหนก็แห่กันไปเป็นขบวน...
    ถึงจะรักกันขนาดไหนก็มี"จืด"ได้เหมือนกันนะคะ

    ตอนหลังทั้งคู่อยู่ด้วยกันแบบเพื่อนจริงๆ ..ต่างทำตัวเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดี
    เซเนีย..ก็มี"กิ๊ก" เป็นชาวอเมริกัน แต่ต่อมา..ก็เลิกแล้วต่อกัน เช่นเดียวกับซานโดรที่ห่างหายไปจาก"เธอคนนั้น" ไปตามสภาพ


    ชีวิตในช่วงของสภาพกึ่ง "บ้านแตก" ของท่านผู้เขียนและพระชายาเซเนียนั้น
    ทั้งหมดพยายามใช้ชีวิตอยู่นอกรัสเซียมากจนถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปเยี่ยมพระญาติต่างๆ จนทั่วยุโรป จนกระทั่งการใช้ชีวิตอยู่ที่สวิทเซอร์แลนด์ ฤดูหนาวก็ไปอยู่ที่คานส์, ฝรั่งเศส

    ในความเห็นของดิฉัน..ดูเหมือนว่าท่านได้เลี่ยงในการที่จะเขียนเรื่องลึกๆ เกี่ยวกับความเป็นไปในราชสำนัก หมายถึงเรื่องของรัสปูตินและเรื่องของนายสโตลีปิน นายกรัมนตรีที่เกิดขึ้นในเวลานั้นเพราะมันมีแววว่าจะ"แปดเปื้อน"ไปถึงนิคกี้และซารินา..
    ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจ..เพราะประวัติศาสตร์ช่วงนี้ต่างหากที่ท่านผู้เขียนควรจะเล่าเพราะมันอึมครึมเหลือเกิน อีกทั้ง..เป็นรอยด่างพร้อยที่สำคัญของพระราชวงค์

    เมื่อท่านไม่เล่า..ดิฉันขอนำเสนอเล่าเสริมเองละกัน..
    คือหลังจากที่นายกรัฐมนตรี คนเก่า นาย Goremykin ได้ลาออกไป
    สองสามเดือนจากนั้น ซาร์ก็ได้แต่งตั้งนายกนอมินีคนใหม่คือ นาย Stolypin ภายใต้เมฆหมอกของคลื่นปฏิวัติของคนสารพัดกลุ่ีม
    พวกซ้ายเกาะกลุ่มกันเพื่อโจมตีฝ่ายขวา..นับวันยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
    พวกหัวหอกในฝ่ายปราบปรามของรัฐบาลถูกแอบลอบสังหาร จนตายกันเป็นใบไม้ร่วง

    ดังนั้นรัฐบาลชองนายสโตลีปินจึงเสริมกำลังและเพิ่มโทษทางกฏหมายให้กับพวกก่อการไม่สงบนี้อย่างจริงจัง จนเข้าข่ายเป็นศาลเตี้ย เพียงชั่วระยะเวลาที่เขาครองตำแหน่ง (1906-09) มีการแขวนคอสำเร็จโทษผู้ต้องสงสัยไปถึงสามพันกว่าราย

    นายสโตลีปินพอก้าวเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ เขาได้จัดการ"ยุบสภา" แทบทันที เพราะสภาเก่านั้น ขุนนาง คหบดีครองเก้าอี้กันแน่น ออกกฏหมายอะไรเพื่อคนจนก็มักจะไม่ผ่าน..ดังนั้น..ยุบไปก็สิ้นเรื่อง
    เพราะในสภาใหม่..เขาสามารถทำการ"เช็ดน้ำตา"ให้กับเหล่าชาวไร่ชาวนาได้พอสมควร เพื่อเป็นการลบกระแสกดดัน อีกทั้งเขาพยายามที่จะ
    ออกกฏหมายในเรื่องปันเขตที่ดินและในการยกระดับการเป็นอยู่ให้กับชนชั้นล่างให้อยู่ดีกินดีขึ้น
    (แหม..แผนพัฒนานี้มันคุ้นๆ หูยังไงพิกลเน๊อะ..)


    ในสภาใหม่..แน่นอนว่า..คนรวยย่อมเสียงดังกว่าคนจนเสมอ ซึ่งแผนต่างๆ ของสโตลีปินไม่ได้รับความเห็นชอบเช่นเดิม
    ในปีเดียว ก็ต้องยุบไปอีกเมื่อ 1907 ความหวังที่จะมาช่วยคนจนจึงเป็นเพียงลมๆ แล้งๆ เพราะรัสเซียนั้นเศรษฐกิจได้ถูกครอบครองไปด้วยนายทุน
    มานานแสนนานแล้ว
    การเล่นเกมส์การเมืองต่อไปในสภาสมัยที่สามนั้นสโตลีปินได้สนับสนุนฝ่ายของขุนนางหัวเก่าๆ ให้เข้ามานั่งในสภา เพราะ พวกนี้มักจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาล
    แต่..เรื่องที่จะให้มาสูญเสียอำนาจและทรัพย์สินนั้น... อย่าหวัง
    ดังนั้น เมื่อสโตลีปินพยายามออกกฏหมายแบ่งปันที่ดิน และ กระจายอำนาจให้กับอบต. จังหวัด นั้นถูกโหวตคว่ำไม่เป็นท่าในสภา..
    เขาตัดสินใจลาออก..จากการเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 1911


    ในช่วงของตลอดเวลาที่สโตลีปินอยู่ในตำแหน่ง..เขาได้มีอาการ"เหม็นหน้า" รัสปูติน อย่างที่สุด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นรัสปูตินเปรียบประหนึ่งเป็นเทพเจ้าประจำราชสำนักที่มีสาวกคอยสอพลอมากมาย จนถึงขนาดลืมตัว
    หลุดปากสั่งสอนซา่ร์บ่้อยๆ ว่า
    "เมื่อไหร่ พระองค์จะทำตัวให้สมกับการเป็นซาร์เสียที?"

    สโตลีปินสั่งเนรเทศรัสปูตินให้กลับไปอยู่ที่บ้านนอกเหมือนเดิม..ทั้งซาร์และซารินาต่างเงียบกริบ ไม่กล้าเถียงแม้แต่แอะเดียวเพราะตอนนั้นสถานะการณ์บ้านเมืองไม่สงบ เสียงร่ำลือเสียๆ หายๆ คาวๆ ของซารินากับพ่อมดหมอผีรัสปูตินได้เซ็งแซ่กระหึ่มไปทั่วเมือง
    ดังนั้น..เพื่อเป็นการสยบข่าวลือ รัสปูตินจะต้องออกไปจากแวดวงราชสำนัก..
    แต่..ทุกครั้งที่อเล็กเซเกิดมีอาการกำเริบขึ้นมา..ไม่ว่้าจะัอยู่ในมุมไหนของไซบีเรีย รัสปูตินก็ถูกตา่มตัวกลับมาจนได้ ซารินาลงทุนอ้อนวอนพระสวามี
    ให้ทำทุกอย่างที่จะให้รัสปูตินกลับมาอยู่ใกล้ๆ ให้ได้
    ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่สำคัญ..เพราะชีวิตของพระโอรสคืิอสิ่งสำคัญที่สุด

    นี่คือเหตุผลที่ซาร์ไม่ได้ให้การสนับสนุนสโตลีปินเท่าที่ควรในระยะหลัง
    ซึ่งก็คืิอสาเหตุหนึ่งที่เขาลาออกจากตำแหน่ง..

    แต่การขัดแย้งระหว่างสโตลีปินและรัสปูตินนั้นยังเข้มข้นเช่นเดิม
    ในที่สุด..ก็เกิดเหตุขึ้นจนได้ คือในเดือนกันยายน 1911 ที่สโตลีปินได้ไปที่เมืองเคียฟ ไม่มีผู้คุ้มกันหรือหน่วยรักษาความปลอดภัยไปด้วยทั้งๆ ที่ตำรวจได้เตือนไว้แล้วว่า ชีวิตของเขาอยู่ในอันตราย เขาก็หาฟังไม่..

    วันที่ 14 กันยายน คือวันที่เขาได้ไปรับเสด็จซาร์และซารินาในการร่วมชมออเปร่าในเมืองเคียฟ มือปืนนามว่า Dmitri Bogrov ได้บุกเข้ายิงเขาสองนัด จนล้มคว่ำลงไป แต่เขาหันไปทางพระนี่นั่งที่ประทับและได้เปล่งเสียงว่า
    "ข้าฯ ขอยอมตายเพื่อราชบัลลังก์"
    ร่างที่บาดเจ็บของเขาถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
    ในวันรุ่งขึ้น ที่โรงพยาบาล เมื่อซาร์ได้ไปเยี่ยม ทรงประทับข้างเตียง
    ตรัสแต่คำว่า.."ยกโทษให้ฉันด้วย.."

    สโตลีปินได้อยู่ไปอีกสี่วัน ก่อนเสียชีวิต

    นาย Bogrov มือเพชรฆาตนั้นได้ถูกสั่งประหารด้วยการแขวนคอในเวลาสิบวันต่อมา..เพราะซาร์ได้สั่งให้มีการสืบสวนให้หมดจดก่อนการตัดสิน
    เพราะมีข่าวลือที่เชื่อว่าไม่ใช่เป็นฝีมือของฝ่ายซ้าย..หากแต่เป็นกลุ่มที่จงรักภักดีหรือสาวกของกลุ่มที่เลื่อมใสรัสปูตินนั่นเอง..
    นั่นหมายถึง..ซารินาจะพลอยมีมลทินไปด้วย..
    แต่.. คดีก็หายเงียบไปราวคลื่นกระทบฝั่ง..

    สาเหตุที่คนเริ่มเชื่อกันว่าการเข้าสังหารสโตลีปินอย่างอุกอาจนั้นมาจาก"ใบสั่ง"ของพระราชวัง เพราะว่าถ้าเป็นฝ่ายซ้ายจริงๆ จะไปสังหารสโตลีปินทำไมให้เสียเวลา ทำไมไม่ยิงซาร์ซะให้รู้แล้วรู้รอด ทุกอย่างจะได้จบๆ
    เพราะตอนนั้นกระแสต่อต้านซาร์มีมากเหลือเกิน ทั้งจากพวกฝ่ายในด้วยกัน และจากฝ่ายตรงข้าม..
    แล้วการทำงานรวมทั้งนโยบายของสโตลีปินที่เคยปกครองประเทศมา
    ก็อยู่ในการทำงานที่ต้องประสานกับซาร์
    เรื่องเดียวที่ไม่ประสานกัน นั่นคือ เรื่องของรัสปูตินเท่านั้น

    หลังจากที่เสี้ยนหนามอย่างสโตลีปินได้หมดไป..รัสปูตินได้กลับมาผงาดในราชสำนักอย่างเปิดเผยอีกครั้ง..ด้วยฝีมือของซารินา
    การกลับมาคราวนี้ของเขา..ใหญ่ยิ่งและเหิมเกริมกว่าเดิม..เข้าไปวุ่นวายกับกองทัพจนเป็นที่เอือมระอาของเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ และ
    กลุ่มแกรนด์ ดุ๊ค ที่อยู่ในรัฐบาล
    จนเมื่อหมอกควันของสงคราม (โลกครั้งที่หนึ่ง) ที่กำลังจะเกิดขึ้นมา กระแสจงชังซาริืนายิ่งมีมากขึ้นในฐานะที่เป็นเยอรมัน เป็นญาติกับไกเซอร์
    ที่ปรึุกษาที่พระองค์ทรงพึ่งได้ก็มีคนเดียวคือ รัสปูติน..
    เพราะความเชื่อถือนั่นเอง..ทำให้พระองค์มีน้ำพระทัยในการที่จะช่วยเหลือ
    กองทัพและเหล่าทหาร (ในความคิดของพระองค์เอง) นั่นคือมีพระดำริที่จะส่งรัสปูตินออกไปทำพิธีสวดมนต์ช่วยปกปักรักษาทหารที่จะออกไปแนวหน้า..

    แต่..กระแสสวนกลับมานั้น เป็นไปในด้านลบ..แม่ทัพใหญ่ แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา ได้ประกาศกร้าวว่า..
    "มาซิ..จะจับแขวนคอให้ดู"

    รัสปูตินเองก็ทราบดีว่า..ตัวเองเป็นที่จงชังหนักหนา..ฉะนั้น หลักเกาะเดียวที่มี นั่นคือ ซารินา..
    เท่านั้นไม่พอ รัสปูตินได้ฉวยเอาโอกาสนี้เป่าพระกรรณซารินาด้วยว่า
    กองทัพรัสเซียจะชนะได้ ก็ต่อเมื่อซาร์จะต้องเสด็จออกไปเยี่ยมแนวหน้าและบัญชาการด้วยองค์เอง ด้วยความหมายว่ากระสุนนัดเดียวยิงนกถึงสองตัว นั่นคือ
    หนึ่ง..การที่ซาร์เสด็จออกบัญชาการนั้น จะต้องเกิดการปั่นป่วนในหมู่นายทหารชั้นพระราชวงค์แน่ๆ เนื่องจากการสับสนในนโยบาย
    สอง..ตัวเองจะได้ทำการเสี้ยมสอนซารินา และเข้าแทรกแซงในการเมือง
    ขอแต่งตั้งสาวกคนโน้นคนนี้ได้อย่างสะดวกใจ เพราะนั่นคือฐานกำลังที่สำคัญ   

    เศรษฐกิจในช่วงของการก่อนมีสงครามนั้นตกฮวบฮาบ..รัสเซียเองก็เช่นกัน แต่..ประชาชนไม่เข้าใจ ต่างโทษว่าเป็นเพราะซา่รินาที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของรัสปูติน เช่นตัวอย่าง..ในเดือน พฤศจิกายน ปี 1916 ที่นาย Vladimir Purishkevich สมาชิกสภาปากกล้าคนหนึ่ง ได้อภิปรายกลางสภาว่า..
    "พวกเสนาบดีของซาร์มีสภาพอะไรไม่ต่างกับหุ่นกระบอก ที่มีคนชักอยู่สองคน คือไอ้พ่อมดรัสปูติน..กับเอมเปรส..ที่เป็นคนต่างชาติ เป็นเยอรมันแต่มานั่งอยู่ในบัลลังก์ของรัสเซีย"

    คนที่เห็นด้วยกับข้อความนี้เป็นอย่างยิ่ง..และอยู่ในที่นั้นด้วย คือ
    เจ้าชาย Felix Yusupov ซึ่งเขาคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นไกลที่ไหน..หากแต่เป็นพระสวามีของ Princess Irina Alexandrovna (อภิเษกเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 1914)
    และ เจ้าหญิงไอรีนนั้น หาใช่ใครที่ไหนไม่.เป็นพระธิดาองค์โตของ..ซานโดรและเซเนีย..นั่นเอง..




    ภาพ Felix and Irene (Irina)  

        
     
    ในภาพยนตร์ของรัสเซีย..ที่แนะนำมาข้างต้นนะคะ   Romanovy: Ventsenosnaya Semya

    http://www.youtube.com/watch?v=kz9sNUFZ5rU&feature=related



   
    ที่จะเห็นภาพตอนที่ซาร์ออกไปแนวหน้า..พอขึ้่นรถไฟได้ก็ไม่ทำอะไรเลยเกี่ยวกับการสู้รบ.. ทรงเอาภาพของครอบครัวมาตั้งเรียง..แล้วนอนดู...
    เมื่อมีเรื่องด่วนเข้ามา..ทหารไม่กล้าไปปลุก เพราะกำลังหลับอยู่

    แม้ว่าในภาพยนตร์จะไม่อธิบายด้วยคำพูด แต่..ถ้าใครได้เคยอ่านผ่านๆ ถึงตอนนี้ก็จะเข้าใจว่า...ทำไมทหารที่ถูกเกณฑ์ออกไปรบถึงได้หลบหนีกันมีจำนวนเป็นล้านๆ และไม่มีใครมีกะจิตกะใจที่จะออกไปป้องกันประเทศชาติ
    พวกทหารที่หนีนั้น..ต่างกลับไปบ้านเกิดพร้อมกับอาวุธที่ทางการแจกไป
    ในเมื่อกลายเป็นผู้ต้องหาหนีราชการไปแล้ว..พวกเขาจึงได้่เข้าไปร่วมกับ
    กลุ่มปฏิวัติล้มล้าง..
    นี่คือการเจริญเติบโตอย่างเร็วของพวก"เชวิค" ทั้งหลาย นั่นคือ
    "Bolsheviks" อันหมายถึง เสียงชนกลุ่มใหญ่ และ "Mensheviks" เสียงชนกลุ่มย่อย

 

    เรื่่องของเจ้าชายฟีลิกซ์นั้น น่้าประหลาดใจค่ะ ว่าเธอมีหลายบุคลิกเหลือเกิน
    ที่แน่ๆ คือ เธอเป็น"เสือไบ" ขนานแท้หนักไปทาง"เสือสาว" เสียด้วย เพราะมีประวัติแต่งกายเป็นหญิงเลยทีเดียว

    ส่วนนิยายเรื่องการฆาตกรรมรัสปูติน แบบทั้งใส่ยาพิษ ทั้งแทง ทั้งยิง
    ตามที่เธอให้สัมภาษณ์แบบหวือหวาแสนมหัศจรรย์พันลึกแก่นักข่าวอังกฤษและอเมริกันนั้น ขอเรียนให้ทราบตรงนี้เลยว่า ทุกครั้งที่เธอให้สัมภาษณ์ข้อความมักจะไม่ตรงกัน..
    ตอนแรก..ก็ร่วมกันฆ่าแบบธรรมดา คือ ยิงแล้วเอาศพไปทิ้งน้ำ
    เพราะไม่ทราบว่า"ข่าว"นี้เป็นที่น่าสนใจต่อโลกภายนอก

    ต่อมา..เจ้าชายจึงได้ทราบว่าตัวเองได้กลายมาเป็นบุุคคลสำคัญเพราะการกล้า"ฆ่า"รัสปูติน..ข้อความในการให้สัมภาษณ์ต่อๆ มาจึงเริ่มมีสีสัน
    และเข้มข้นขึ้นเหมือนมนุษย์ธรรมดากำลังต่อสู้กับปีศาจ
    ที่ต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเจ้าชายมีความจำเป็นต้องหาความชอบธรรมให้กับตัวเอง ว่า ไม่ได้ฆ่านักบวช
    และเพื่อปกป้องพระเกียรติืยศของซาร์และซารินา โดยการแต่งเติมให้รัสปูตินเป็นพวกผีร้าย..ที่ใช้มนต์ดำทำให้ซาร์และซารินาหลงเชื่อ

    ตามเหตุการณ์ที่พอประมวลได้คือ หลังจากที่นายสโตลีปินได้ถูกยิงจนเสียชีวิตไปนั้น รัสปูตินลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกา ดีอกดีใจ แถมบอกกับใครๆ ว่า
    เขาเองก็รู้ดีว่า ความตายกำลังจะมาเยี่ยมเยือนนายสโตลีปินอย่างแน่นอน
    เพราะพระเจ้าบอก..

    รัสปูตินเองก็รู้ตัวดีว่า ตัวเองไม่เป็นที่พิสมัยของเจ้านายฝ่ายกุมกำลังนัก
    อย่างที่เล่าว่า แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา แม่ทัพใหญ่ ไม่เคยประหยัดคำซะด้วย
    ท่านบอกปาวๆ เสมอว่า...เจอเมื่อไหร่..เมิงตา่ยยย..
    ดังนั้น รัสปูตินจึงเอาถ้อยคำพวกนี้ไปทูลฟ้องซารินา อีกทั้งแถมคำขู่ในเชิงทำนายไว้ด้วย (เพราะได้ผลทุกครั้ง) ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตัวเขาในเหตุการณ์ปรกติ หมายถึงตายเพราะคนอื่นก็ไม่เป็นไร..แต่หากว่า
    เขาต้องเสียชีวิตเพราะฝีมือของ"เจ้านาย" แล้วละก้อ โรนานอฟจะต้องพินาศในสองปี..

    ที่รัสปูตินว่าไว้เช่นนั้น ไม่ใช่เพราะแม่น..อาจจะเป็นการบังเอิญ เพราะสาวกของเขาก็มีมากหลาย..ใครไม่ชอบหน้าใคร ใครจ้องทำร้ายใคร
    แน่นอนว่ามันก็ต้องมีกระแสมาเข้าหูบ้าง..ยิ่งตัวเองโดนหมายหัวไว้ด้วย
    เลยทำให้ต้องระวังตัวป้องกัน..โดยไปพึ่งบารมีของซารินา เพื่อเป็นการ
    "ปราม" ไม่ให้คนอื่นมาบังอาจแตะต้องตัวเขา


    วกเข้าเรื่องรัสปูตินซะที

    เขามีนามเดิมว่า.. Grigory Efimovich เป็นคนบ้านนอกจริงๆ ที่อยู่ในคราบของนักบวชที่เผอิญว่ามีวิชาหรืออาจจะเป็นเวทมนต์ก็ได้ ที่สามารถสยบซารินาและซาร์ได้ดังใจเนื่องจากเขาคนเดียวที่สามารถรักษาพระโอรสอเล็กเซให้หายจากการเจ็บป่วยได้ในทุกครั้งที่มีอาการกำเริบหนัก..อาการของอเล็กเซนั้น ไม่ว่าหมอไหนในยุโรปต่างก็ว่าไม่น่าจะมีอายุอยู่ได้เกินหกขวบ แต่..ก็อยู่มาได้
    เกินกว่าที่หมอคาดการณ์กันเอาไว้ จึงทำให้ซาร์และซารินา เชื่ออย่างหมดใจว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของรัสปูติน

    1908 คือก้าวแรกของการเข้ามาในพระราชวังของรัสปูตินที่มาแบบเถื่อนๆ หนวดเครายาวรุงรัง สกปรก แถมเข้านอกออกในพระราชฐานชั้นในได้นั้น สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้านายกลุ่มอื่นๆ อีกหลายกลุ่ม
    ไหนจะยังข่าวว่ามีสัมพันธ์ที่ล้ำลึกกับซารินานั่นอีกเล่า..เพราะเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่า รัสปูตินเป็นคนที่นิยมการดื่มและหมกมุ่นในกามารมณ์จนทำให้กระแสข่าวว่าซารินากำลังสมคบกับรัสปูตินทำตัวเป็นไส้ศึกให้กับเยอรมันอันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดเมืองนอนดั้งเดิมของพระองค์นั้นหนาหูขึ้นทุกที
    ตอนนั้น เยอรมันคือศัตรูคู่ศึกกับรัสเซียเพราะสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
    อีกทั้งหลังจากที่นายสโตลีปินได้ตายจากไป..รัสปูตินและพรรคพวกได้ขึ้นมาผงาดแทน..ว่ากันว่าสมาชิกสภาแทบทั้งหมดรวมไปถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในตำแหน่งสำคัญๆ ต่างอยู่ในเส้นสายและ"ระบอบรัสปูติน" ทั้งนั้น..
    ดังนั้น..การ "กำจัด"รัสปูติน..คือสิ่งที่ต้องทำ..แผนการได้ถูกจัดวาง ตระเตรียมกันแบบพร้อมพรัก วันดำเนินการคือ วันที่ 16 ธันวาคม 1916
    แผนก็ไม่มีอะไรซับซ้อน..กะว่า..ไปจับตัวมันมาฆ่าก็เท่านั้น
    ไม่มีใครฉุกใจคิดหรอกว่า ไอ้หมอนี่จะตายยากตายเย็น..


    ก่อนที่จะถึงขั้นต้องเก็บกันนั้น เหล่าพระราชวงค์ต่างก็อัดอั้นตันใจกันหนักหนาในข่าวต่างๆ ..หลายพระองค์ได้เข้าไปทูลถามและเล่าให้ซาร์และซารินาฟังถึงข่าวลือที่เสียๆ หายๆ
    แต่ก็ต้องได้รับความประหลาดใจ เพราะ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะรับฟัง..
    นี่แหละ..จึงเป็นเหตุผลตัดเชือก ว่า สิ้นรัสปูตินไปเสียคน..ทั้งสองพระองค์ก็จะพ้นมลทิน..ไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจมืดของมันอีก

    เจ้าชายฟีลิกซ์ ลูกเขยของซานโดรและเซเนีย เป็นเจ้าชายรูปหล่อที่ร่ำรวยมหาศาลแต่ดั้งเดิม เป็นคนรุ่นใหม่ที่หัวทันสมัย ชอบสังคมโก้เก๋และมีรสนิยมทางเพศแบบแปลกๆ นี่เอง..คือสิ่งที่ทำให้รัสปูตินหลงกล และหลงเชื่อ ว่า เจ้าชายหนุ่มรูปงามชายาสวยคนนี้ ไม่มีพิษมีภัยอะไร

    (ตรงนี้เอง..ที่ทำให้ดิฉันคิดว่ารัสปูตินไม่ได้มีเวทย์มนตร์ หรืออิทธิฤทธิ์ใดๆ ดังที่ร่ำลือ เพราะถ้ามีจริงก็ต้องรู้ว่าตัวเองกำลังจะก้าวไปสู่กับดัก)

    ผู้ร่วมมือคนต่อไปในฐานะแกนนำ นั่นคือ Grand Duke Dmitry Pavlovich ผู้ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับซาร์นั่นเอง เพราะ ดมิทรีเป็นพระโอรสของ แกรนด์ ดุ๊ก ปอล หรือ Pavel Alexandrovich และเป็นหลานปู่ของซาร์ Alexander II เช่นเดียวกับซาร์
    ดมิทรีคนนี้ เคยเป็นคู่หมายกับแกรนด์ ดัชเชส ออลก้า พระธิดาองค์โตของซาร์อยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานก็ปรากฏการณ์ "แต๋วแตก" และเป็นคู่ซี้กับฟีลิกซ์เกย์ขาใหญ่ ตำแหน่งคู่หมั้นคู่หมายของพระธิดาก็เลยถูกถอดไป..

    แกนนำคนต่อไป..คือ สมาชิกสภาปากกล้า Vladimir Purishkevich คนที่เคยแถลงกลางสภาว่า พวกรัฐมนตรีที่นั่งกันสลอนนั่นต่างก็เป็นหุ่นกระบอกที่ถูกชักใยโดยรัสปูตินและเอมเปรสของรัสเซียที่มีเชื้อสายเยอรมัน (ในวันที่ 19 พฤศจิกายน1916).
    คนที่เข้าไปร่วมฟัง คือ ฟีลิกซ์ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ชอบใจ...ส่งเทียบเชิญ
    ให้วลาดิเมียร์เข้ามาร่วมกันสังหารรัสปูติน..ซึ่งเขารับคำด้วยความลิงโลด

    คนต่อมา..คือ นายทหารหนุ่ม ยศร้อยโท Sukhotin จากกองร้อย Preobrazhensky



    ภาพ Vladimir Purishkevich

 

    แผนดั้งเดิมมีวางไว้เป็นข้อๆ พร้อมคำตอบเตรียมไว้แล้วว่า..

    หนึ่ง..จะลงมือเมื่อไหร่?

    คำตอบ..เนื่องจากดมิทรีจะติดธุระจนถึงวันที่ 16 ส่วนวลาดิเมียร์จะต้องออกไปตรวจตรากองทัพที่แนวหน้าในวันที่ 17 ฉะนั้น จะต้องเป็นกลางคืนดึกๆ ของวันที่ 16 จนถึงย่ำรุ่งของวันที่ 17 เพื่อจะได้มีเวลาจัดการกับร่างที่ไร้ชีพอย่างลับหูลับตาคน..ฟีลิกซ์ได้สืบทราบมาว่าที่พำนักของรัสปูตินไม่มียามในช่วงหลังเที่ยงคืนไปแล้ว..ฉะนั้น..จึงเป็นทางสะดวกที่จะนัดหมายไปรับรัสปูตินมาในช่วงนั้น..คือ เที่ยงคืนเศษๆ

    สอง..จะล่อให้รัสปูตินหลงกลตามมาถึงที่วังยูซุปอฟได้อย่างไร?

    คำตอบ..หมองูย่อมตายเพราะงู..คนบ้ากามก็ต้องเอากามเข้าล่อ..ฟีลิกซ์จะใช้ Irina พระชายาคนงาม เข้าล่อ โดยบอกว่าจะมีการร่วมรักหมู่..
    (งานนี้ฟีลิกซ์ได้จดหมายไปถึงไอรีนา ที่ประทับอยู่ที่พระตำหนักที่ไครเมีย
    ขอให้มาช่วยแสดงละครตบตาหน่อย แต่คำตอบที่ได้คือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง) ดังนั้น..จึงต้องแกล้งทำเป็นว่า ไอรีนาอยู่ที่วังในขณะนั้น..

    สาม... แล้วจะ"เชือด"กันตรงส่วนไหนของวัง?

    คำตอบ..

    ฟีลิกซ์จะเข้ามากับรัสปูตินที่ประตูด้านข้างของวัง..และจะพาลงบันไดตรงไปชั้นใต้ดินที่ได้จัดแต่งห้องเสวยไว้อย่างสวยหรู

    สี่...จะใช้อาวุธอะไรดี?

    คำตอบ...วังยูซุปอฟมีตำแหน่งตั้งอยู่ริมคลอง Moika มีสถานีตำรวจอยู่ตรงข้าม ขืนใช้ปืน..ตำรวจอาจแห่มาทั้งโรงพัก ดังนั้นควรใช้ยาพิษเป็นการดีที่สุด

    ห้า...ขั้นตอนและรายละเอียดของการลงมือเป็นอย่างไร?

    คำตอบ...ห้องเสวยจะจัดแบบในสภาพว่า มัการเลี้ยงแขกจำนวนนับสิบมาก่อนและแขกเพิ่งจะลุกกันขึ้นไป ดังนั้น..จะต้องมีเสียงผู้คนอยู่ชั้นบน
    เพื่อเป็นการอ้างว่า พระชายาไอรีนากำลังพูดคุยอยู่กับแขกเหรื่อ
    ฟีลิกซ์จะเอาข้อนี้มาอ้างกับรัสปูตินว่า รอให้แขกคนสุดท้ายกลับ ไอรีนาก็จะลงมาสบทบด้วยในห้องเสวยนี่..ระหว่างที่คอย ฟีลิกซ์จะเสนอไวน์และเค้กที่มีส่วนผสมของยาพิษ (potassium-cyanide)



    หก...อย่างไรจึงจะแน่ใจได้ว่าจะไม่ถูกจับได้หรือถูกพาดพิง?

    คำตอบ...ต้องไม่ให้มีคนรู้ว่ารัสปูตินออกมากับฟีลิกซ์ และไปที่วัง ดังนั้น
    ฟีลิกซ์จึงกำชับหนักหนาให้รัสปูตินปิดปากให้เงียบสนิทถึงการนัดหมาย ด้วยเหตุผลว่าไอรีนาจะเสียหาย..จึงมีการทำแผนซ้อนแผนนั่นคือฟีลิกซ์ไปรับรัสปูตินที่ประตูหลังของอพาร์ทเม้นต์ที่อยู่ ส่วนรัสปูตินได้บอกกับคนใกล้ชิดว่าจะออกไปที่ร้่านกาแฟ Villa Rhode จากนั้น ฟีลิกซ์ส่งคนไปทำทีว่าไปตามหารัสปูตินที่ร้านที่ว่า..แต่..รัสปูตินไม่ได้มาตามนัดหมาย..


    เจ็ด..แล้วจะเอาศพไปทิ้งที่ไหน?

    คำตอบ...หลังจากปลิดชีพไอ้หมอผีนี่แล้ว..ก็จะเอาพรมปูพื้นห่อร่างมันให้มิด เอาหินถ่วงแล้วหย่อนทิ้งน้ำไป..เพราะในช่วงนั้นน้ำในแม่น้ำเป็นน้ำแข็งแน่นหนา หลังจากที่ไปสำรวจเส้นทางกันมาแล้วก็พบว่าบางส่วนของคลอง Malaya Nevka พอมีหลุมเป็นช่้องที่จะหย่อนลงไปได้

 





    ความจริงเรื่องนี้ฟีลิกซ์ได้วางแผนมาระยะหนึ่งด้วย ในฐานะหน้าใหม่ต่อวงการเพราะเป็นเจ้าชายหนุ่มที่ร่ำรวยมหาศาลเพราะมีทั้งทรัพย์เก่า และ การลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ เพิ่งจะย่างก้าวเข้ามาในวงการเมืองได้ไม่นาน
    และมาเป็นเขยของซานโดร
    ซึ่งได้เคยเล่ามาในตอนต้นๆ แล้วว่า ก๊กมิเกลโลวิชของซานโดรนั้น
    "เกาเหลา" กับท่านแม่ทัพใหญ่ นิโคลาชามาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งโตกันขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ ก็ยังไม่เคยลงรอยกัน

    ทีนี้ นิโคลาชานั้นคือ ปรปักษ์กับรัสปูตินอย่างเปิดเผย..ใครก็ตามที่ไม่ถูกกับนิโคลาชา ..รัสปูตินจึงคิดว่าคือกลุ่มของตัวเอง

    ในเดือนพฤศจิกายน..ฟีลิกซ์ได้แสร้งเข้าไปหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเป็นสาวกใกล้ชิดคนหนึ่งของรัสปูติน นามว่า Maria Golovina แกล้งบ่นว่า ไม่สบาย เจ็บในหน้าอกบ่อยๆ ไปหาหมอมาแล้วหลายครั้งก็ยังไม่หาย..
    มาเรีย รีบกุลีกุจอพาไปเข้าพบรัสปูตินทันที เธอเชื่อว่า อาการของฟีลิกซ์ ต้องหายถ้าได้รับพลังวิเศษจากพ่อหมอ
    จากนั้นก็"เข้าทาง" ของฟีลิกซ์ เขาทำตีซี้กับพ่อหมอจนเข้าข่ายสนิทสนมจนเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน รัสปูตินได้เรียกเขาแบบเป็นกันเอง และเอ็นดูในชื่อเล่นว่า"พ่อหนุ่มน้อย" (Little One)

    เพียงชั่วเวลาระยะสั้นๆ นั่นเอง ฟีลิกซ์สามารถลวงล่อให้รัสปูติืนเชื่อในจนถึงขนาดจะพบหากันแต่ละทีสามารถเข้าออกทางประตูลับด้านหลังได้
    เพราะฟีลิกซ์ได้ให้เหตุผลว่าไม่อยากให้ครอบครัวและคนอื่นๆ รู้ถึงการติดต่อ ในข้อนี้..หลายคนเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนนี้ มี"อะไร"ที่"ลึกซึ้ง" เกินกว่าการรักษาเพราะ ทั้งคู่นั้นมีประวัติของการนิยมใช้
    กามารมณ์แบบไม่จำกัดเพศ

    ตอนนั้นพระชายาไอรินาประทับอยู่ที่พระตำหนักในไครเมีย..ฟีลิกซ์แกล้งอ่อยว่า..อาจจะเสด็จกลับมาในเดือนธันวาคม...รัสปูตินตาโต..บอกว่าอยากจะพบพระชายาเหลือเกิน เพราะว่ากันว่า งดงามนัก..
    ฟีลิกซ์..จึงได้เข้าสวมรอย..จัดทำการนัดหมายทันที ว่า
    เที่ยงคืนของวันที่สิบหกนี่แหละ เหมาะสุดๆ ..
    ซึ่งฟีลิกซ์จะทำการรับ-ส่ง ด้วยตัวเองทีเดียว ขอแต่เพียงช่วยเก็บเป็นความลับอย่างสุดยอด เพราะไม่งั้นพระชายาจะเสื่อมเสีย..


            ใน ช่วงนั้นเอง รัสปูตินทราบดีว่าชีวิตตกอยู่ในอันตราย เพราะกระแสการเมืองตึงเครียด สงครามจ่อติดอยู่ที่ชายแดน บ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติ
            ซาร์เองก็อยู่ในฐานะที่ง่อนแง่นเพราะมีการเปิดสภาอภิปรายไม่ไว้วางใจแทบทุกวัน เพียงแต่ซารินาเท่านั้นที่ไม่เคยเชื่อว่า..ประชาชนจะหมดรักในตัวซาร์ เพราะ พระองค์ตรัสเสมอว่าซาร์คือรัสเซีย รัสเซียก็คือซาร์..
            ไม่มีวันที่จะแยกจากกันได้
            โดยมีตัวเขาเอง..ที่ช่วยตอกย้ำให้ซารินาเชื่อเช่นนั้น
            (ก้อ..รัสปูตินเองเป็นคนที่ให้การทำนายอนาคตของรัสเซียว่า..โรมานอฟจะอยู่ยั้งยืนยงไปชั่วตราบนานเท่านาน..ซารินาถึงได้เชื่อขนาดนั้น...วิวันดา)

            เมื่อบรรยากาศรอบด้านมีกลิ่นไอของอันตรายโชยมา..รัสปูตินเริ่มดื่มหนัก
            พอเมาก็เต้นระบำทำเพลงท่วงทำนองของยิปซีไปตามเรื่อง เพื่อเป็นการปลอบใจ บ่อยครั้งที่เขาได้บอกกับคนใกล้ชิดว่า เขากำลังตกเป็นเป้ามีคนหมายมุ่งปองร้ายเอาชีวิต..จนทำให้เหล่าสาวกต้องช่วยกันตักเตือนไม่ให้ออกไปไหน กับใครทั้งนั้น
            แม้กระทั่ง..ในวันที่เกิดเหตุ..

            พอใกล้เวลานัด รัสปูตินจัดการเปลี่ยนเครื่องแต่งกายให้ดูเอี่ยมอ่อง เป็นเสื้อไหมสีฟ้ามีปักด้วยลวดลายดอกข้าวโพด..กางเกงกำมะหยี่สีน้ำเงิน
            และนั่งรอ..อย่างสบายใจ
            เขาได้บอกใครต่อใครว่า..จะไปหลายที่ มีธุระ แม้กระทั่งกับลูกสาว ที่มีนามว่า มาเรีย..ที่มาอยู่ดูแลที่บ้านในขณะนั้น

            ทางฝ่ายของฟีลิกซ์..เมื่อใกล้เวลานัด เหล่าแกนนำทั้งหลายได้มาทำการนัดหมายซักซ้อมแผนการกันอีกครั้งที่ห้องอันเป็นที่หมายของการลงมือ ในชั้นล่างที่เพิ่งทำการตกแต่งใหม่ ที่วัง...
            ห้องนั้น..น่านั่ง แบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ใช้เป็นห้องเสวย และ
            ห้องรับแขก..มีหน้าต่างเล็กๆ สองบาน ที่สามารถเปิดออกไปพอมองเห็นสนามและสวนที่สวยงาม
            เตาผิงได้ถูกจุดขึ้น ทำให้ห้องนั้นอุ่นสบาย ขนมนมเนยและไวน์ได้ถูกจัดวางอย่างพร้อมพรักและสวยงาม ขนมนั้นได้ถูกทำการอบใหม่ๆ ร้อนๆ และมีการผสมไซยาไนด์ด้วยฝีมือของหมอลาซาแวรต์ (Dr. Lazavert)

            พอทุกอย่างเรียบร้อย..เขาและคุณหมอก็ออกไปรับ"เป้าหมาย"

            เที่ยงคืนครึ่ง..ฟีลิกซ์ถึงที่จุดหมาย รัสปูตินออกมารับที่หน้าประตู แต่คนรับใช้ยังไม่เข้านอน..หล่อนจึงเห็นว่า..ผู้ที่มารับนั้นคือ ฟีลิกซ์..
            จากนั้น ชายสองคนจึงก้าวขึ้นรถ..ขับออกไปโดยสารถี ที่มีนามว่า Dr. Lazavert


            หมายเหตุ Dr. Lazavert เพิ่มมาเป็นแกนนำอีกคนหนึ่ง เพราะฟีลิกซ์ต้องการคนช่วยทำหน้าปลอมตัวเป็นสารถี อีกทั้งรัสปูตินไม่เคยรู้จักหน้าตามาก่อน

      

            เมื่อถึงวัง..ฟีลิกซ์พารัสปูตินเข้าทางประตูข้าง..และพาเดินลงไปห้องชั้นล่างที่เตรียมไว้ทันที..รัสปูตินได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมาจากชั้นบน..
            ซึ่งฟีลิกซ์ได้ (แกล้ง) บอกว่า ไอรินากำลังรับรองแขกอยู่ที่ชั้นบน.อีกไม่นานก็คงจะกลับกันหมด จากนั้น เธอก็จะลงมาหา

            ระหว่างที่คอยไอรินา..ฟีลิกซ์ได้ชี้ชวนให้"เหยื่อ" จิบไวน์และลองลิ้มรสขนมที่เตรียมไว้..ในชั้นแรก รัสปูตินปฏิเสธ บอกว่า..กำลังอยู่ในระหว่างลดน้ำตาล
            เขาไม่แตะต้องอะไรเลย..

            ฟีลิกซ์เริ่มไม่สบายใจ เพราะ แผนการไม่เป็นไปตามที่วางไว้..มันไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่ม..แล้วทีนี้จะเอายังไง..
            เขารีบขอตัวกลับขึ้นไปชั้นบน..ไปปรึกษากับแกนนำอื่นๆ ว่า..เอาไงดีวะ
            ระหว่างที่ฝ่ายประสานงานกำลังคิดหาแผนสองอยู่

            ฟีลิกซ์กลับลงมาที่ห้องชั้นล่าง..พบว่า รัสปูตินทนการเย้ายวนของอาหารไม่ได้ เขาหยิบไปกินเรียบร้อยแล้วสองสามชิ้น
            เขาจึงลงร่วมดื่มไวน์...และคอยให้ "เหยื่อ" ร่วงไปเองเพราะพิษยา..เพราะพิษของไซยาไนด์นั้นมันออกผลในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก..

            แต่..รัสปูตินก็ยังจิบไวน์อย่างสบายใจ..ไม่มีอาการผิดปรกติใดๆ แถมยังเดินไปดูกีตาร์ที่วางอยู่มุมห้อง ขอให้ฟีลิกซ์เล่นให้ฟังอีกต่างหาก
            ไม่มีวี่แววของคนที่โดนยาพิษสักนิด
            จนเวลาที่ล่วงไปถึง ตีสองเศษ ฟีลิกซ์เริ่มกระสับกระส่าย..ต้องขอตัวไปข้างบนอีกครั้ง..ไปรายงานให้พรรคพวกรู้ว่า..มันยังไม่ตายว่ะ..
            ดมิทรีส่งปืนพกให้..ยาพิษเอาไม่อยู่..งั้นก็ลูกกระสุนเป็นไง..

            ฟีลิกซ์จึงกลับลงไปพร้อมกับอาวุธติดตัว..รัสปูตินไม่ได้ระแวงระไว..เขา
            ยืนหันหลังให้ กำลังพินิจพิจารณาชื่นชมกับเครื่องเรือนที่สวยงาม..
            ฟีลิกซ์จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่เยียบเย็นว่า..
            "กริโกรี่ เอฟิโมวิช..เจ้าหันไปทางพระกางเขนและสวดมนต์ไปด้วยจะดีกว่า.."
            สิ้นเสียงกระสุนก็ลั่นออกไปหนึ่งนัด..

            สิ้นเสียงปืน..เหล่าแกนนำทั้งหลายก็กรูกันลงมา..ฟีลิกซ์ยืนตระหง่านเหนือร่างที่เหยียดยาวของเหยื่อ..ปืนยังอยู่ในมือ
            พวกเขาจึงลากรัสปูตินไปบนพรม..เพื่อไม่ให้เลือดไหลนองไปตามพื้น..
            แต่รัสปูติน..ยังไม่ตาย เขายังหายใจรวยริน..ร่างยังมีการกระตุกก่อนที่จะ
            เงียบไป..ทุกคนจึงเชื่อใจกันว่า..ตายแล้วแน่นอน

            แผนการต่อไปคือ..เอาศพไปทิ้ง..ให้ลับหูลับตาคน..

            ในช่วงตอนต่อไปจากนี้..คือช่วงที่นิยายเิริ่มออกแนวสับสน..ว่ากันว่ารัสปูตินฟื้นขึ้นมา..แล้ววิ่งหนีจนต้องวิ่งไล่ตามยิงอีกหลายนัดจนกว่าจะตายได้ เหมือนกับคนที่กำลังสู้กับปีศาจร้าย..

            แต่มีบันทึกไว้ว่า..ช่วงนั้น แกนนำคนอื่นๆ ขับรถออกไปหาที่หมายที่เหมาะๆ ในการที่จะถ่วงร่างลงน้ำ เพราะนั่นคือฤดูหนาวที่แม่น้ำทุกสายในเมืองเป็นน้ำแข็งหมด..และเวลาในช่วงนั้นเป็นเวลาที่หนาวจัด จะเอาศพขึ้นรถทะเร่อทะร่าหาช่องแตกตามแม่น้ำไปได้อย่างไร..
            ดังนั้น..จึงต้องออกไปหาแหล่งก่อน...

            ฟีลิกซ์..อยู่ดูแลศพ..ในช่วงนั้น ตำรวจที่อยู่ในสถานีที่ใกล้กับวังได้เข้ามาถามถึงเรื่องเสียงปืนที่ได้ยิน..ฟีลิกซ์ได้บอกไปว่า..ยิงสุนัขเล่น มีรัยป่ะ..?

            แต่ถ้าจะเอาตามที่ฟีลิกซ์มาเขียนเล่าในหนังสือชีวะประวัติของเขาในช่วงนี้ เขาได้เล่าว่า..

            ได้ลงไปดูศพอีกครั้ง พบว่าร่างกายยังอุ่นๆ อยู่ เขาเขย่าดูให้แน่ใจพบว่าไม่ไหวติง..แต่พอเขากำลังจะหันตัวออก..เขาเห็นว่า..ตาข้างซ้ายของรัสปูตินมีการกระพริบไหว และลืมโพลงขึ้นมา..
            มันยังไม่ตาย..นี่หว่า..

            รัสปูตินดีดตัวลุกขึ้นมา..เอื้อมมือเข้ามากระชากไหล่เขาเข้าไป..แต่ฟีลิกซ์สะบัดตัววิ่งขึ้นไปข้างบน ตะโกนบอกปูริชเกวิช ว่า..มันยังไม่ตาย..
            ปูริชเกวิชที่กำลังจะเก็บปืนให้เข้าที่ื เห็นฟีลิกซ์วิ่งหน้าตาตื่นมา ปากคอสั่น
            เขารีบวิ่งลงไปข้างล่าง พบว่า รัสปูตินกำลังวิ่งหนีไปทางสนาม ปากร้องตระโกนว่า..

            "ไอ้ฟีลิกซ์...กรูจะไปฟ้องซารินา.."

      

            Purishkevich วิ่งไล่ตามไปอย่างติดๆ ยิงไล่หลังไปอีกหลายนัด
            พลาดไปบ้างแต่นัดหนึ่งได้โดนจังๆ ที่หลังเต็มๆ รัสปูตินร่วงผล็อย
            นอนนิ่ง เขาจึงตามกระหน่ำที่หัวอีกนัดหนึ่ง..เอาให้ตายแน่ๆ ..
            พร้อมตามเตะซ้ำ..

            ตรงนี้ ตามสำนวนของตำรวจ..นามว่า Vlassiyev ได้ยินเสียงปืนหลายนัดจึงเข้ามาทำการสอบสวน..เขาว่า..ขณะที่ยืนที่ประตูหน้าวัง มองเห็นว่ามีชายสองคนเดินอยู่บนสนาม เขาจำได้ว่า คือ ฟีลิกซ์ และ คนใช้นามว่า Buzhinsky เขาได้ถามว่าได้ยิืนเสียงปืนบ้างไหม..แต่คนรับใช้ตอบว่า ไม่ได้ยินอะไรเลย..อาจะเป็นเสียงท่อไอเสียระเบิดก็ได้ แต่เขายังติดใจสงสัย


            นาย Buzhinsky ได้เล่าให้นายปูริชเกวิช ฟังว่า..ตำรวจเข้ามาถามและสงสัย.. ดังนั้น นายปูริชเกวิชได้ให้คนรับใช้ไปเชิญตัวตำรวจคนนั้น นาย
            วลาสิเยฟ กลับมา..เพราะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว คงจะปิดไม่มิด
            เขาได้เจรจากับตำรวจว่า..
            "นายรู้จักฉันหรือเปล่า..ฉันคือ Purishkevich (ส.ส. คนดังไง) "
            "รู้จักครับ"
            "แล้วนายรู้จักรัสปูตินหรือเปล่า?"
            "รู้จักขอรับ"
            "นั่นแหละ..ดีแล้ว..ถ้ารู้ถ้าเห็นอะไร ก็ทำเฉยๆ ไว้แล้วกัน"

            แต่..พอวลาสิเยฟกลับไปถึงสถานีไม่เพียงยี่สิบนาที เขาก็เล่าเรื่องที่พอรู้พอเห็นให้นายฟัง.

            ดมิทรีและหมอลาซาแวรต์กลับมาจากการหาโลเกชั่น..ก็เกือบจะรุ่งสางแล้ว ฟีลิกซ์ไม่ได้ไปด้วย เขาอยู่ทำการชำระล้างร่างกายให้หมดจดจากคราบเลือด เพราะด้วยความแค้นกับรัสปูตินที่แม้จะตายแล้ว..เขาได้เอา
            ลูกดัมเบลล์ที่ใช้ในการยกน้ำหนักทุบหน้าตาจนเละเทะ เลือดกระจาย..

            เหล่าแกนนำอื่นๆ จึงห่อศพลากขึ้นรถเอาไปทิ้งอย่างเร่งด่วน..ก่อนที่
            จะสว่าง..ไม่มีกระทั่งเวลาหาหินมาถ่วงตามที่เคยแพลนไว้

            จากนั้น..ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับไป บ้านใครบ้านมัน..ต่างหวังว่า
            คงไม่มีใครจับได้..


            ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา..มาเิรียลูกสาวของรัสปูตินตื่นขึ้นมาพบว่า พ่อยังไม่กลับบ้าน เธอจึงโทรหา Maria Golovina เพื่อนคนสนิทของรัสปูตินให้ติดต่อกับฟีลิกซ์ เพราะคนรับใช้ได้บอกเธอว่า เมื่อคืนนั้น ฟีลิกซ์มารับออกไป

            ฟีลิกซ์ได้ตอบกลับไปว่า....ไม่เจอกันเลย..
            ทุกคนได้ทราบดีว่า..มันไม่จริง..
            ซึ่งทางตำรวจก็ให้การเช่นกันถึงเรื่องที่วลาสิเยฟได้เล่าให้ฟัง เกี่ยวกับเสียงปืนและการเอ่ยชื่อถึงรัสปูติน

            ฟีลิกซ์จึงจำเป็นต้องเอาสุนัขไปยิงตรงจุดเกิดเหตุเพื่อหมายจะให้กองเลือดนั้นถูกกลบด้วยเลือดสุนัข แต่ตำรวจไม่โง่ ไม่มีใครหลงเชื่อ เพราะขนาดของกองเลือดนั้นมันมากเกินไปกว่าที่จะเป็นของสุนัข

            ข่าวถึงพระกรรณซารินาอย่างทันที..พระองค์มีพระบัญชาให้มีการสอบสวนโดยด่วน แต่ก่อนอื่นต้องติดตามหาร่างของรัสปูตินก่อน

            วันที่ 19 ธันวาคม ตำรวจได้เบาะแสทางคลองเนฟกาที่มีคนพบรองเท้าเปื้อนเลือดอยู่แถวนั้นในวันก่อน พบรอยแตกของน้ำแข็ง แต่ไม่พบศพ เพราะมันลอยไหลไปตามน้ำจนกระทั่ง..โผล่ขึ้นจนได้
            เมื่อลากขึ้นมา..ในสภาพที่เสมือนถูกแช่แข็ง มือสองข้างยกขึ้น หลายคนจึงเชื่อและร่ำลือกันไปว่า ตอนที่ถูกโยนลงไปนั้นรัสปูตินยังไม่ตาย..

            แต่ที่แน่ๆ คือ ผลตรวจจากนิติเวช..จาก Academy of Military Medicine
            ผลคือ

            * พบแอลกอฮอล์ในร่าง..แต่ไม่มียาพิษ (ใครบางคนต้องโกหกอย่างแน่นอน..)
            * โดยกระสุนสามนัด หนึ่งเข้าที่หน้าอกด้านล่างซ้าย ทำลายกระเพาะ และ ตับ สองเข้าที่ ด้านหลังทางขวา โดนที่ไต สาม โดนหัว
            สมองกระจาย.. (เข้าใจว่า..ช่วยกันยิง)
            * ปอดมีน้ำอยู่น้อยมาก (แสดงว่าตายแล้วแน่นอน ตั้งแต่ก่อนโยนลงน้ำ)

            ศพของรัสปูติืน ซารินานำไปฝังที่พระวิหาร Feodorov ที่พระราชวัง Tsarskoe Selo ในวันที่ 22 ธันวาคม พร้อมกับการจัดพิธีงานศพให้อย่างสมน้ำสมเนื้อ


            สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา..คือ ทุกคนถูกหมายจับ..เพราะอย่างไรเสียมันก็คือคดีฆาตกรรม..
            แต่เหล่า"แกนนำ" ทั้งหลายล้วนแล้วแต่ได้รับกำลังใจจากมหาชนส่วนใหญ่ ทำให้สถานะการณ์พลิกผัน จาก ฆาตกรกลายเป็นวีรบุรุษในพริบตา
            มีจดหมายหลั่งไหลมาให้กำลังใจ ประชาชนแซ่ซ้องสรรเสริญ
            ในที่สุด..ซาร์มีพระบัญชาให้ล้มคดี ไม่มีการไต่สวน เพราะจะว่าไปแล้ว
            "หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ"
            นั่นก็หลานเขย (ฟีลิกซ์)
            นั่นก็ น้อง..เพราะเป็นลูกของอาแท้ๆ (ดมิทรี)
            แต่เพื่อเป็นการแก้เกี้ยว..ดมิทรีถูกลงทัณฑ์แต่ให้ส่งออกไปอยู่แนวหน้า
            ฝั่งเปอร์เซีย (ซึ่งก็กลับมาอย่างปลอดภัยในที่สุด)
            ฟีลิกซ์ ได้ถูกสั่งให้หลบตัวออกไปนอกประเทศ (สักพัก)

            จริงอยู่ที่รัสปูตินคือสาเหตที่ทำให้พระราชวงศ์ถึงจุดที่เสื่อมต่ำที่สุด
            แต่การฆ่าเขานั้น แทบไม่ได้ประโยชน์อะไร เพราะมันสายเสียแล้่ว..
            มันช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย เพราะแก้วนั้นแตกละเอียดไปแล้ว
            สา่มเดือนหลังจากนั้น..กระแสของความต้องการปรับเปลี่ยนการปกครอง
            ทำให้ซาร์ต้องลาออกจากราชบัลลังก์
            และหลังจากนั้นไปอีกปีเดียว ก็คือ การสังหารหมู่ชาวโรมานอฟ

           
            ดิฉันพยายามคิดดูถึงเหตุผลว่าทำไมแกรนด์ ดุ๊ค ซานโดรจึงไม่เล่าเรื่องของรัสปูติน เพราะถ้่าท่านเล่า..ข้อมูลก็น่าจะละเอียดกว่าใครๆ ในเมื่อแกนนำทีมคือลูกเขยแท้ๆ..

            แต่มาถึงบางอ้อ..ก็เมื่อทราบว่า..หลายๆ ฝ่าย"ไม่เชื่อ"ว่า เรื่องนี้ไม่มี"สตรี"เข้ามามีส่วนร่วมด้วย..

            ท่านคงไม่อยากให้มีการพาดพิงไปถึงพระธิดานั่นเอง ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม..

            ตอนนี้เราจะกลับไปต่อยังเรื่องของท่าน..


            ******************************************************


            ปี 1913 ก่อนที่ยุโรปจะเข้าสู่สถานะการณ์โดดสู่กองเพลิงแห่งสงครามโลก
            รัสเซีย..มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ถนนสายใหม่ๆ ตัดเส้นตรงราวกับลูกศรที่พุ่งทะยาน บ้านเมืองปรับเปลี่ยนไปในทุกๆ ด้าน โรงแรมหรูๆ เริ่มมีพนักงานชงเหล้าที่เป็นชาวผิวดำที่หลั่งไหลมาจากเคนตั๊กกี้ (อเมริกา) หรือ นางละครที่โรงละครหรูพ่นบทละครภาษาฝรั่งเศสกันเป็นไฟ แม้แต่ในพระราชวังเองก็ตาม มีการประดับประดางานศิลปของศิลปินชาวอิตาเลี่ยนจนเต็มพรืดไปหมด..ข้าราชการการเมืองชั้นผู้ใหญ่ก็คงยังใช้เวลาอาหารกลางวันนานวันละ
            สามสี่ชั่วโมงเหมือนเดิม โดยไม่ได้สนใจกันเลยว่า ..
            โน่น..ที่โน่น..ตรงมุมปาร์คนั่น พวกนักเรียน นักศึกษาวัยละอ่อน แแก้มใส
            กำลังนั่งจับกลุ่มถกปรัชญาการเมืองของเยอรมันกันอย่างถึงพริกถึงขิง..

            นี่ละ..กลิ่นไอของรัสเซีย..ประเทศที่สั่งแชมเปญกินกันในขนาดขวดยักษ์
            ขวดเล็กๆ ขนาดปรกติ..อย่าหวัง..เมินซะเถอะ

            เป็นไปอย่า่งนั้น..แม้ว่าพระบรมอนุสาวรีย์ของสมเด็จพระเจ้าปีเตอร์มหาราช
            ที่เป็นรูปปั้นหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ที่ประทับตระหง่านอยู่กลางจตุรัสของสภา
            ก็หาได้มีใครใส่ใจที่จะจับจ้องดูไม่..
            คงไม่มีใครจำได้ว่า มหาราชองค์นี้ได้ทรงมีพระบัญชาให้สร้างเมืองขึ้นมา
            เพื่อที่จะเป็นแนวป้องกันและคอยรับมือที่ชายแดนกับฟินแลนด์ ที่ไพร่พลต่างก็ล้มตายกันไปกว่าแสนเพราะไข้เหลือง
            มันเพิ่งผ่านไปเพียงสองร้อยๆ กว่าปีเอง..ที่พระองค์ประสบความสำเร็จป้องกันชายแดนฟินแลนด์จนสำเร็จ จากนั้นก็ทรงย้ายเมืองหลวงจาก
            มอสความายังเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ค เมืองที่ทรงสร้างมาด้วยพระหัตถ์..
            เท่ากับว่าเป็นการย้ายจากฝั่งเอเซียติค..มายัง..ฝั่งยุโรป ไว้รอประจันหน้าและรับมือกับพวกผิวขาวด้วยกัน

            ในรัชสมัยของพระองค์ ที่ได้ทรงแยกรัสเซียออกมาจากคำกล่าวรวมว่าเป็นส่วนหนึ่งของพวกมองโกลที่ร่ำลือว่ามีแสนยานุภาพและสุดป่าเถื่อน
            แต่..เรื่องเถื่อนๆ นี่..ดีกรีของพระองค์นั้นก็ไม่แพ้พวกมองโกลเช่นกัน การฆ่าผลาญประหารชีวิตนั้น ทรงทำได้แม้แต่สั่งโบยพระโอรสอเล็กเซ (จนถึงแก่ชีวิต) ที่บังอาจไม่ลงรอย..อีกทั้ง..ไม่ทรงเชื่อในเรื่องของศาสนา..
            เพราะความเข้มแข็งดุดันของพระองค์นี่เอง สามารถจัดระเบียบชาวรัสเซียได้อย่างเป็นระบบ จากบ้านเมืองที่ไร้วินัย หมกมุ่นไสยศาสตร์มนต์ดำ
            ไม่เข้าที่เข้าทาง..จนมาเป็นปึกแผ่นแข็งแรง

            จนลูกหลา่นกำลังจะฉลองครบรอบสามร้อยปีแห่งโรมานอฟอยู่ในไม่กี่วันนี้..

            ในช่วงสิบปีแรกของศตวรรษใหม่นี้..บ้านเมืองแม้จะสวยงาม แต่ประชาชนตกอยู่ในความหวาดวิตกเพราะสถานะการณ์ที่เลวร้าย มีการฆ่าตัดตอนกันแทบทุกวัน พวกหัวหอกทางด้านปฏิวัติคัดค้านที่เคยๆ หายหน้ากันไปเมื่อครั้งปี 1905-07 ก็เริ่มกลับเข้ามาใหม่ มาจับกลุ่มกันตามร้านกาแฟมุมถนน แลกเปลี่ยนทัศนคติกันอย่างเปิดเผย ทั้งถือคติมั่นว่า..
            "มาทีหลัง แต่จะดังกว่า"

            แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายซ้าย..ต่างก็เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือต่างเร่งมือกันสร้างเม็ดเงินกันอย่างสุดกำลังโดยอาศัยช่้องโหว่ของกฏหมาย
            ในตอนนั้น พวกที่พอมีอันจะกินสามารถขอยืมเงินรูเบิ้ลจากธนาคารเอกชนโดยการนำที่ดินมาเป็นหลักประกันโดยผ่านการรับรองหรือการันตีจากการคลัง การจำนำจำนองจึงสะพัด..

            เมื่อการเงินแข็งแรง..การปฏิบัติการก็เริ่มขึ้น เช่น..ในบรรดาโรงงาน บรรดาอุตสาหกรรม มักจะมีกลุ่มคนที่ดูน่าเสื่อมใส แต่งตัวภูมิฐาน พูดจาด้วยสำเนียง"เลียนเสียง"ชาวปีเตอร์สเบอร์คเข้ามาเยี่ยมเยือนเนืองๆ
            พร้อมกับการอภิปราย..โน้มน้าวจิตใจและความคิด เช่น
            "ทำไมพวกเราต้องมาดักดานกับชีวิตในโรงงานทั้งวันทั้งคืนแบบนี้"
            "ได้เงินมาก็ไม่พอยาไส้.."
            "เราซิ..ถ้าเราช่วยกันเปลี่ยนแปลงการเมืองได้ พวกคุณจะได้มีวันหยุด มีเงินใช้ มีสวัสดิการ เราจะได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม"
            นั่นคือการล้างสมองฝ่ายพวกคนงานล่างๆ

            ในส่วนของผู้บริการจัดการและเจ้าของ..ก็มีการรวมตัวกันเป็นกองทุน..ผลักเข้าตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า ทรัสต์ ทุกคนล้างมือ..ปล่อยให้หน้าที่บริหารจัดการอยู่ในกลุ่มของมือปืนรับจ้างที่เป็นเ้ครือข่ายของธนาคารที่กุมบังเหียน

            การปั่นหุ้นจึงเป็นไปกันอย่างสนุกสนานเพราะไม่มีใครคิดถึงอนาคตของรัสเซียในระยะยาวมากไปกว่าการที่จะผันเงินเข้ากระเป๋าตัวเองให้มากที่สุด และเร็วที่สุด


            ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม..กลุ่มที่มีอำนาจมากที่สุดตกอยู่ในมือของคนสามคน ที่สามชื่อนี้ไม่มีใครที่ไม่รู้จัก แต่มักจะถูกเรียกด้วยสมญานาม เช่น
            "The Unholy Three of the Empire"
            "The Big Three of St. Petersburg"
            "The Three Horsemen of the Apocalypse"
            สามคนนี้มีนาม (สกุล) ว่า..

            สามตระกูล...Yaroshinsky, Batolin, Pootiloff ที่แสนมั่งคั่งจากการผันเงินที่ว่า พวกเขาเป็นเจ้าของทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน โรงงาน เหมือง ป่าไม้ เรือเดินทะเล
            โรงแรม รีสอร์ต หนังสือพิมพ์ และ การกษตรกรรม..

            นาย Batolin มาจากครอบครัวชาวเซอร์ฟที่ยากจน (เมื่อก่อนเป็นทาสด้วยซ้ำ) มีอาชีพเริ่มมาจากเป็นเด็กเดินเอกสารในบริษัทธัญพืช ว่ากันว่า
            นายนี่ยากจนขนาดเพิ่งจะได้มีโอกาสกินเนื้อสัตว์เมื่ออายุปาเข้าไปเก้าขวบแล้ว..

            นาย Pootiloff มาจากครอบครัวที่มีฐานะ ในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
            เรียนมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ และ ผ่านมาหลายประเทศอย่างช่ำชอง

            ส่วนนาย Yaroshinsky ไปไงมาไงค่อนข้างเร้นลับ ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่านายนี่มีสัญชาติือะไรแน่นอน เขาพูดด้วยสำเนียงโปลล์ ภาษาโปลล์ แต่ญาติสนิทของเขาเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในสำนักวาติกัน เขาเริ่มมาจาก
            การเป็นพ่อค้า่ขายน้ำตาล

            สามคนนี้มีที่มาแตกต่างกันแบบสุดโต่ง..แต่ก็ได้เข้ามาใช้อิทธิพลของเงินที่มีเข้ากุมบังเหียนเศรษฐกิจของรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการออกกฏควบคุมธนาคารใหม่ ควบคุมตลาดหุ้นตามความพอใจ อีกทั้งปรับเปลี่ยน
            อัตราค่าจ้างของคนงานในโรงงานให้ขึ้นลงตามดัชนีของหุ้นในแต่ละวัน

            เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพานิชย์ได้แต่ออกมายืนดูทำตาปริบๆ อีกทั้งได้ชื่นชมยินดีปรีดากับความอู้ฟู่ของอภิมหาเศรษฐีทั้งสาม ซ้ำตาโตไปกับภาษาที่พูดถึงเงินจำนวนมากมายมหาศาล ท่านรมต.ได้แต่เออออห่อหมกไปด้วย เพราะท่านเองก็หวังว่าเมื่อหลุดไปจากตำแหน่งประจำนี่แล้ว..ก็อาจจะได้อภินันทนาการไปเป็นประธานแบ้งค์ที่ไหนสักแห่ง..
            แล้วแต่ท่านสามคนนี่จะกรุณา..


            สถาพบ้านเมืองเป็นอย่างไร ไม่มีใครรู้ เพราะหนังสือพิมพ์ฝ่ายโจมตีรัฐบาลที่ด่าได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องการเงินการทอง ทั้งสี่ฉบับยักษ์ใหญ่ เจ้าของคือนาย
            บาโตลิน

            จากนั้นมา..การขยายอำนาจในการจัดระบอบหาคนเก่งเข้ามาเสริมกำลังก็ได้มีเค้าขึ้นมาแบบรางไร เช่น นาย Maxim Gorky นักเขียนใหญ่ที่ทรงอิทธิพล ได้รับเงินอัดฉีดจากธนาคารไซบีเรียเป็นจำนวนเงินหลายล้านรูเบิ้ลให้เปิดหนังสือพิมพ์รายวัน ชื่อว่า..The New Life และรายเดือน The Annals สองสิ่งตีพิมพ์นี้ เชิดชูและสนับสนุนเลนิน และที่แน่ๆ คือ..จาบจ้วงและลบหลู่สถาบันในทุกโอกาสทั้งทางตรงและทางอ้อม
            นายกอร์กี ได้เหิมเกริมถึงขนาดไปจัดตั้งโรงเรียนฝึกการปฏิวัติที่เกาะคาปรี
            (อิตาลี) ผู้สนับสนุนทุนรอนคือ นาย Savva Morozoff มหาเศรษฐีเจ้าพ่อสิ่งทอที่สนับสนุนโจเซฟ สตาลินเต็มตัว

            ฉะนั้น..การปั่นหุ้น รีดเม็ดเงินออกมาเพื่อเป็นการสนับสนุนขบวนการทั้งสิ้น
            ส่วนประชาชนถุกปิดตาสนิท เพราะสื่อทั้งหมดอยู่ในมือของ"แกนนำ"ปฏิวัติ ทั้งสิ้น
            ไม่มีใครรู้ว่า เบื้องหน้าเบื้องหลังของตลาดหุ้นและทรัสต์นั้นเป็นอย่างไร
            ฝ่ายตำรวจลับของรัสเซียได้พยายามแกะรอยตามข่าวที่ได้มาเช่นกัน
            แต่รัฐบาลมองเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ..ทั้งที่ได้มีการบุกเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ของมหาเศรษฐีใหญ่ นาย Nicholas Paramonoff และพบหลักฐานชัดเจนว่าสิ่งตีพิมพ์ ใบปลิวที่แจกจ่ายกันเกลื่อนเมืองของคณะบอลเชวิคนั้น
            นายนิโคลาส ปาราโมนอฟ เป็นนายทุนใหญ่..

            เขาถูกดำเนินคดี..ถูกศาลสั่งจำคุกสองปี...




           ( แต่ทายกันซิ..ว่า เขาจะถูกติดคุกไหมเอ่ย....???)

   


            คดีที่ศาลตัดสินให้นายปาราโมนอฟต้องติดคุกนั้นได้ถูกมีการอุทธรณ์จนสำเร็จ เนื่องจาก..เพราะนายปาราโมนอฟคนนี้แหละ คือนายทุนใหญ่ ให้เงินอุดหนุนจำนวนมหาศาลสร้างอนุสาวรีย์สถานที่ระลึกครบรอบสามร้อยปีโรมานอฟที่ใหญ่โตมโหฬาร


            สายสัมพันธ์และความมั่งคั่งของพวกนายทุนเหล่านี้ได้รวมตัวกันอย่า่งเป็นปึกแผ่น และ ต่างก็สนับสนุนอุดหนุนส่งท่อน้ำเลี้ยงให้กับเหล่าพวกปฏิวัติทั้งใหญ่และเล็ก..แต่พอมีปฏิวัติขึ้นจริงๆ ..พวกมหาเศรษฐีที่เอ่ยนามมาเหล่านี้..ต่างหลบหนีออกนอกรัสเซียกันไปอย่างหวุดหวิด เพราะ..
            ทั้งเลนินและสตาลิน ไม่"เอาไว้" ให้เป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินอย่างแน่นอน

            (ถ้าคิดอย่างไทยๆ เรา..ก็คงจะคล้ายกับว่า..บ้านเกิดเมืองนอนของเมิง..ยังสุมไฟปฏิวัติได้..แล้วกับพวกบอลเชวิคเล่า..จะเหลือเหรอ??)

            แต่ตอนนั้น เหตุการณ์ทุกอย่างก็ได้บ่งบอกชัดว่าสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นอยู่รอมร่อ พวกเหล่าข้าราชการผู้ใหญ่ทางการทูต..ก็ส่งข่าวกันแบบสายแทบไหม้ แต่..ไม่มีใครฟัง
            แม้แต่น้องชายของฉัน แกรนด์ ดุ๊ค เซอเก ได้กลับมาจากออสเตรียในช่วงฤดูฝนของปี 1913 รีบมาส่งข่าวว่าทางฝั่งเยอรมันได้มีการสร้างโรงงานผลิตอาวุธขนาดใหญ่อย่างเร่งด่วนแล้ว
            แต่..ผู้คนกลับหาว่าเป็นเสียงของเด็กเลี้ยงแกะ..
            (ถ้าจำกันได้..อาจเป็นเพราะว่าเรื่องส่วนตัวของเซอเกเอง..ที่ไม่มีใครปลื้ม
            นั่นคือไปทุ่มเทเลี้ยงดูนางระบำ"ชิ้นเก่า" ของนิคกี้อย่างไม่ลืมหูลืมตาแถมยังไปคั่วมั่วจ๊ะกับแกรนด์ ดุ๊ค อันเดร แบบหนึ่งหญิงสองชายอีก)

            เท่านั้นไม่พอ..รมต.กลาโหมได้จัดการเรียกหัวหน้่าบก.หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ให้มาเขียนข่าวแบบเขียนเสือให้เยอรมันกลัว โดยพาดหัวไม้ตัวใหญ่ว่า
            "We Are Ready" ท้าทายซะไม่มี..
            ทั้งๆ ที่ตอนนั้น ปืนใหญ่ ปืนยาว..เราก็ไม่มี อย่าว่าแต่ปืน..เครื่องแบบ เสื้อผ้า
            เสื้อโค๊ท เราก็มีไม่พอสำหรับกองทัพขนาดใหญ่ต่อการศึก

     

            ในค่ำคืนวันหนึ่งที่เหล่าข้าราชการผู้ใหญ่ฝ่ายคลัง..ได้มีการพบปะดินเนอร์กับ
            เหล่ากลุ่ีมพลเรือนชั้นแนวหน้าทั้งหลาย นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งได้ถามขึ้นว่า
            "ใต้เท้าขอรับ..เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปขอรับ ข่าวออกไปอย่างนี้แล้วตลาดหุ้นพรุ่งนี้คงจะมีผลกระทบบ้าง"
            "ตลาดหุ้นน่ะเหรอ...ไปห่วงทำม๊ายย..เชื่อผมเถอะ รับรองว่าขึ้นแน่ๆ เพราะมีข่าวสงครามทีไร หุ้นขึ้นทุกทีแหละ"
            มันก็๋จริงดังว่าหรอกนะ..เพราะหุ้นขึ้นจริงๆ ในวันต่อมา ทำให้ใครต่อใครลืมเรื่องสงครามไปจนหมด แต่..คนที่ไม่ลืมคือ..เอกอัครราชทูตเยอรมันประจำรัสเซีย

            จากวันนั้นมา..ก็เป็นเวลาอีกสามร้อยวันเต็มๆ ที่บ้านเมืองอยู่ในความสงบสุข
            เต็มไปด้วยการละเล่น..เต้นรำจังหวะใหม่"แทงโก้"ที่เสียงเพลงท่วงทำนองของมันกระหึ่มข้ามรัสเซียไปในทุกทิศ กลบเสียงร่ำไห้ของพวกยิบซี เสียง
            ทำลายล้างทุบตี ที่แผ่กระจา่ยไปทั่วอาณาจักร
            การปล้นฆ่า, การฆ่าตัวตาย เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปรกติของบ้านเมือง

            ที่ฝรั่งเศส..ในช่วงที่ฉัีนกำลังจะเดินทางกลับรัสเซียนั้น ยุโรปกำลังในช่วงย่างก้าวเข้าสู่สงครามอยู่นรอมร่อ มันช่างเป็นยุคที่แปลกประหลาดสิ้นดี ผู้คนก็สมองตันจนเหมือนคนสิ้นคิด..
            ทหารกำลังเตรียมการพร้อมที่จะอออกสู่แนวหน้าแท้ๆ ผู้คนต่างไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะทุกคนกำลังใจจดจ่ออยู่กับ"คดีใหญ่" นั่นคือ มาดาม
            Henriette Caillaux ภริยาอดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำร้ายนาย Gaston Calmette บก. หนังสือพิมพ์ Figaro จนถึงแก่ความตาย..
            ด้วยสาเหตุว่า..เธอเจ็บแค้นที่นายกัสตองพยายามที่จะแบล๊คเมล์สามีของเธอ
            หนังสือเล่นข่าวนี้ขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน..จนถึงเดือนกรกฏาคม 1914 จนกลบข่าวที่ออสเตรียกำลังจะเปิดศึกกับเซอร์เบียไปหมด


            และที่ปารีสนี้เอง..ที่ฉันได้ยินกับหูอย่างเต็มๆ เลยจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่สองคนที่กำลังถกถึงเรื่องนี้กันอย่างเมามัน..คนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่า
            มาดามเกโญซ์ หลุดคดีนี้แน่นอน ฉันเลยอดไม่ได้ ต้องถามขึ้นไปอย่างใสซื่อว่า
            "แล้ว"เธอ"เป็นใครกัน...พวกคุณกำลังหมายถึง ออสเตรีย หรือ กรุงปรากกันหรือ?"
            คนพวกนั้นนึกว่าฉันแกล้งทำตลก..เพราะน่าจะรู้ว่าเขาหมายถึง เอนเรียต เกโญซ์ ต่างหาก ทูตรัสเซียได้ถามฉันว่า
            "ฝ่าบาท ทำไมจึงจะรีบเสร็จกลับรัสเซียเล่าพะยะค่ะ ตอนนี้กำลังเป็นฤดูร้อนทีเดียว"
            พอพูดถึงเรื่องสงคราม..ท่านทูต Isvolsky รีบยกมือขึ้นโบกไหวๆ บอกว่า
            "ข่าวปล่อยพะยะค่ะ..ข่าวแบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาในยุโรป..เวลาใครไม่พอใจอะไรก็ขู่เรื่องสงครามทู๊กที...ออสเตรียก็ขู่ฟ่้อไปงั้น ไกเซอร์วิลเฮล์มก็แยกเขี้ยวไปตามเรื่อง พอวันที่สิบห้าเดือนหน้า..ทุกคนก็ลืมกันหมด"

            ให้ตายซิ..ท่านทูตอิสโวสกี้ได้ผ่านราชการการต่างประเทศมานานถึงสามสิบปี เคยเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วยซ้ำ กลับมีความรู้รอบตัวน้อย ด้อยไหวพริบอย่างไม่น่าเชื่อ..

            ฉันเสียอีกที่เกิดไม่ชอบ"ความบังเอิญ" ที่สารพัดเกิดขึ้นมาเดือนกรกฏาคมของปีนั้น จึงได้ตัดสินใจเดินกลับเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กอย่างไม่ฟังการทัดทานใดๆ

     

            ความ"บังเอิญ"แบบสารพัดบังเอิญนั้น..มีต่อกันมาแบบหางว่าวเฉพาะใน
            เืดือนกรกฏาคม 1914 ที่ออสเตรียได้ยื่นคำขาดจะประกาศสงครามกับเซอร์เบีย (ถ้ายังจำได้ เคยเล่าถึงเรื่องกำเนิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งแล้วนะคะว่าเป็นกระสุนนัดเดียวที่ได้สังหารอาร์ค ดยุ๊ค เฟอร์ดินานด์ในยามที่เสด็จประพาส เมืองเซราเจโว, เซอร์เบีย ในวันที่ 28 มิถุนายน 1914)

            มีดังนี้

            ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส..บังเอิญไม่อยู่ต้องไปเยี่ยมชมรัสเซียที่
            เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก

            ไกเซอร์วิลเฮล์ม..บังเอิญไม่ประทับอยู่..เพราะเสด็จล่องเรือสำราญ

            วินสตัน เชอร์ชิลล์ (ตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือ) บังเอิญเรียกให้เรือทั้งหมดที่ออกปฏิบัติการในน่านน้ำต่างๆ ให้กลับสู่กองทัพเรือและให้อยู่ภาวะเตรียมพร้อม

            รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของเซอร์เบีย บังเอิญเอาข้อความข่มขู่
            ของออสเตรียมาให้ทูตฝรั่งเศสดู ทูตฝรั่งเศสก็บังเอิญตอบกลับไปว่า "อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด"

            กรรมกรในโรงงานสรรพาวุธในเซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก บังเอิญก่อการสไตร์ค
            อาทิตย์หนึ่งก่อนที่สงครามจะระเบิด และ ในการปราศรัย ก็บังเอิญว่าเหล่าหัวหอกและแกนนำแทบทั้งหมดพูดรัสเชี่ยนในสำเนียงเยอรมันจ๋า..

            รัฐมนตรีกลาโหมของรัสเซียบังเอิญสั่งเตรียมพร้อม บอกว่า ก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่ทำไงได้...กว่าซาร์จะโทรไปหาถามไถ่ก็สองชั่วโมงหลังจากที่คำสั่งออกไปแล้ว..

            ไอ้ที่ร้ายที่สุด คือการบังเอิญของความไร้สติของเหล่าชาติที่เข้าร่วมในสังฆกรรมสงครามนี้ เยอรมันกับฝรั่งเศส, อังกฤษกับออสเตรีย, รัสเซียกับเบลเยี่ยม ที่ประทุถึงจุดระเบิดในเดือนสิงหาคมของปีนั้น
            มาดาม Margot Asquith ศรีภริยาของนายกรัฐมนตรีอังกฤษในขณะนั้น
            จำได้ว่า..เธอพบกับเชอร์ชิลล์ในสีหน้าที่ยิ้มแย้มดีใจ จนบานเป็นจานเชิง
            ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ที่รัฐสภาในคืนวันนั้น..วันที่สงครามกำลังจะเกิด
            เธอถามเขาด้วยความตื่นเต้นว่า....
            "ดีใจอะไรคะ...เราไม่ต้องรบกับใครแล้วใช่ไหม..ตกลงกันได้ด้วยสันติใช่ไหมคะ?"
            "ใครว่า..สงครามเกิดแน่ๆ แล้วต่างหาก.."

            และในเวลาเดียวกันนั้น ขณะนั้น..เหล่านายทหารเยอรมันก็กำลังเลี้ยงฉลองกันใหญ่..ดีใจที่จะมีสงครามเหมือนกัน

            ส่วนนาย Isvolsky ทูตรัสเซียประจำฝรั่งเศสคนเดียวกับที่สามวันก่อนได้บอกฉันว่า..ไม่มีหรอก สงครามน่ะ วางใจได้ หลังจากวันที่สิบห้า สิงหาคม
            ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยนั่น....กลายพักตร์ไปอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะในขณะที่เขาเดินออกจากกระทรวงต่างประเทศที่ปารีสนั้น..เขาทำท่าลิงโลดประกาศว่า "คราวนี้ละ..จะถึงตาเรามั่ง.."

            คราวนี้..ใครต่อใครก็เริ่มอ่านแถลงการณ์ประกาศสงครามกันเป็นการใหญ่
            ไกเซอร์...อ่านในเบอร์ลิน
            ซาร์....อ่านในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
            ต่างก็ตบท้ายเหมือนๆ กันว่า..ขอให้พระผู้เป็นเจ้่าลงโทษฝ่ายศัตรูให้สาสม..



           ( จะเป็นพระเจ้าองค์ไหนล่ะ...ก้อ...พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันนั่นแหละ..!!...............วิวันดา)

 

            ในช่วงนั้นซารินาพระมารดาหรือแม่ยายของฉันกับเซเนียกำลังพักผ่อนกันอยู่ที่วังมาร์ลโบโรห์, ลอนดอน เป็นการพบปะรวมญาติพร้อมกับควีนอเล็กซานดรา (พระราชินีอังกฤษเป็นพี่สาวของซารินาพระมารดา)
            ทั้งสองคนเมื่อทราบข่าวสงครามต่างไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ จึงไม่ยอมกลับรัสเซียด้วย..ดังนั้นในวันที่ 26 กรกฏาคม ฉันจึงต้องขึ้นรถไฟกลับแต่เพียงคนเดียวเพื่อที่จะไปลงเรือต่อที่ท่า Constanza,
            Rumania
            ตอนที่เดินทางผ่านประเทศออสเตรีย ทหารกลุ่มใหญ่ได้เข้ามาควบคุมสถานีรถไฟ มีคำสั่งให้ขบวนรถโบกี้ทุกคันห้ามปิดม่าน..ต้องเปิด รวมทั้งขบวนของฉันด้วย ขบวนหยุดเมื่อถึงเวียนนา..ฉันเกิดฉุกคิดสงสัยขึ้นมาว่า
            ขบวนรถไฟที่ประทับของฉันที่ดำเนินการโดย "The Oriental Express"จะได้รับการอนุญาตให้เดินรถต่อหรือไม่..หลังจากที่คอยหลายชั่วโมงจึงได้รับการผ่อนปรนว่านำเราไปสั่งถึงแค่ชายแดนโรมาเนีย
            จากนั้น..เราต้องเดินทางด้วยรถยนตร์ไปอีกเพื่อที่จะขึ้นขบวนรถไฟที่ทางรัฐบาลโรมาเนียจัดมาให้เดินทางต่อไปยังท่าเรือ Constanza ที่ Almaz เรือรบของเรามาคอยรับอยู่
            ทันที่ที่ขึ้นเรือได้..ฉันออกคำสั่งให้กัปตันนำเรือออกทันที ไม่ให้ช้าแม้แต่นาทีเดียว

            เพียงแปดชั่วโมงต่อมา เราได้เดินทางถึงไครเมีย
            ซึ่งฉันได้พบว่า อารมณ์ของประชาชนชาวรัสเซียกำลังอยู่ในความตื่นเต้นฮือฮาเกี่ยวกับเรื่องของสงครามที่จะเกิดขึ้นเพราะเบลเยี่ยมได้ทำตัวเป็น"วีรบุรุษ"ขึ้นมา ทำให้ใครต่อใครเกิดชื่นชมอย่างสุดใจ

            (ขออธิบายนิดนะคะ ตลอดเวลามาเบลเยี่ยมได้ประกาศตัวว่าเป็นกลาง..แต่เยอรมันยื่นคำขาดขอให้เปิดทางให้กองทัพเยอรมันผ่าน เบลเยี่ยมปฏิเสธแบบไม่เกรงกลัวกองทัพเยอรมันเลยแม้แต่นิด
            เยอรมันก็ไม่มีทางเลือกทางอื่นนอกจากจะต้องแหกกฏ..เป็นกรงเป็นกลางไม่สนแล้ว..บุกโลดดด
            เบลเยี่ยมก็สู้ขาดใจ..
            เรียกเสียงเมตตาสงสารจากเวทีโลกได้ไม่น้อย..หนังสือพิมพ์ประโคมข่าวสรรเสริญสดุดีไม่มีหยุด......วิวันดา)

      

            แต่..ความเสียหายจริงๆ นั้นมาตรองดูแล้วมันก็ช่างไม่คุ้ม..เหมือนไม้ซีกไปงัดไม้ซุง
            อย่างรัสเซียก็เช่นกัน..เราไปตื่นเต้นอะไรกับเขา ประชาชนของเราไปรู้จักมักจี่กับประเทศเล็กๆ อย่างเบลเยียมตั้งแต่เมื่อไหร่?
            และไปร่วมเกลียดชังเยอรมันกับเขาด้วยเรื่องอันใด?
            ประชาชนของเราจะมาต้องจากบ้านจากเมือง จากลูกจากเมียไปช่วยกอบกู้ Alsace-Lorraine ให้กับฝรั่งเศสเพื่ออะไร?
            แล้วรัฐบาลรัสเซียไปเข้าข้างสนับสนุนฝ่ายอังกฤษเพื่ออะไร ทั้งๆ ที่อังกฤษนั้น..ทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ของเราตลอดเวลา?
            ที่สำคัญก็คือ..เราจะเอาอะไรไปสู้กับเขา ในเมื่อกำลังและอาวุธของเรายังไม่พร้อม ยิ่งประกาศออกไป..นับวันก็รอแต่จะขายหน้า

            สี่สิบแปดชั่วโมงของการเดินทางจากไครเมีย..สู่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก..คำถามต่างๆ เหล่านี้อยู่ในสมองของฉันตลอดเวลา ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดเสียวเพราะสภาพรัสเซียของเราที่แท้จริงนั้นมันช่างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
            ไร้วินัย ยิ่งเห็นประชาชนของเรา วัย 21-48 ต้องมาถูกเกณฑ์ออกไปแนวหน้า ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหาครอบครัวหรือไม่..เมื่อมองออกไปจากหน้าต่างของโบกี้ขบวนรถ เห็นสีหน้าแห้งๆ ของฝูงชน..ฉันก็ยิ่งเศร้าใจ
            ทุกคนได้แต่หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิอิทธิฤทธิ์ของนักบุญนิโคลาสคงจะช่วยปัดเป่าให้พ้นภัย..ฉันก็หวังเช่นนั้นเช่นกัน หวังว่าท่านคงเร่งบริหารพระอิทธิฤทธิ์ให้มากๆ หน่อย

            ฉันพบว่านิคกี้เองก็ยุ่งวุ่นวายในภาระกิจนี้เช่นกัน ตลอดเวลาที่ครองราชย์มากว่ายี่สิบปีเข้านี่ ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญโห่ร้องยินดีต้อนรับจากประชาชนมากเท่าตอนนี้
            ดูท่า..นิคกี้เองก็มีความปลาบปลื้มหาน้อยไม่..พูดจาเป็นการเป็นการขึ้น..
            เขายอมรับตรงๆ กับฉันว่า..จะเลี่ยงไม่เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ก็ได้ แต่ไม่อยากทำให้เซอร์เบีย และฝรั่งเศสต้องผิดหวัง เพราะตลอดเวลามาก็เป็นคู่หู คู่ฮา ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาแต่ก่อนเก่า
            แต่ที่น่าตกใจคือ..ความไม่แน่ใจของฉันเกี่ยวกับความสามารถของเขาในการที่จะบัญชาการทัพขนาดใหญ่ของเรามากกว่า


            ซารินาพระมารดา และ เซเนียได้เดินทางกลับมาถึงอย่างปลอดภัย
            แม้ว่าไกเซอร์วิลเฮล์มได้ปฏิเสธไม่ให้ทั้งสองและขบวนเดินทางผ่านเยอรมันเลยทำให้พวกเขาต้องเดินทางอ้อมไปทางเขตสแกนดิเนเวีย
            ถึงจะเข้ามายังรัสเซียได้
            เมื่อเซเนียกลับมาถึง..พวกลูกๆ ของเราก็ได้แม่กลับคืนมาดูแลพวกเขาอีกครั้ง..
            ฉันจึงขอออกไปร่วมรบในแนวหน้าภายใต้การบังคับบัญชาของแกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชาแม่ทัพใหญ่ ส่วนแม่ทัพน้อยที่ฉันต้องขึ้นตรง ก็คือ Baron Saltsa ที่อดีตคือนายทหารคนสนิทของพระบิดาของฉันเอง

            หลังจากการประชุมที่ยาวนานกับท่านบารอน ซอลต์ซ่าและคณะขุนพลแล้วฉันรู้สึกแปลกๆ ในทฤษฏีศึกครั้งนี้ เพราะมันกลายเป็นว่า...กองทัพจำนวนมหาศาลของเราต้องไปร่วมทำหน้าที่เป็นกองหนุนใหญ่ให้กับอังกฤษ-ฝรั่งเศส
            และได้รับคำสั่งมาให้รักษากรุงปารีสจนขาดใจไม่ว่าจะชิ..หายเท่าไหร่ก็ตาม นั่นหมายถึงชีวิตทหารของเรากว่าห้าแสนและอาวุธยุทโธปกรณ์ไม่รู้เท่าไหร่ที่จะไปขวางกั้นไม่ให้การเดินทัพของเยอรมันเข้าไปยังปารีสยากเย็นขึ้น
            แล้ว..ปารีส..นี่มันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของเราตั้งแต่เมื่อไหร่.
            มันมาเป็นญาติโยมฝ่ายไหนของเราอย่างนั้นหรือ มันจะรุ่งเรืองหรือล่มสลายก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราสักนิด..
            ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ..

            สรุปว่า..ทั้งสี่กองทัพที่ส่งไป..ถูกย่ำยีล้มตายราวใบไม้ร่วงด้วยฝีมือของแม่ทัพเยอรมันฮินเดนเบอร์ค แม่ทัพที่สองของเรา นายพล ซัมโซนอฟ ยอมยิงตัวตายเพื่อที่จะไม่ยอมให้ตัวเองถูกจับไปเป็นเชลย

            ขอให้รู้ไว้ว่า..กรุงปารีสนั้นอยู่ได้ทุกวันนี้..เพราะกองศพที่ทับถมกันเป็นพะเนินเทินทึกของทหารรัสเซียที่ออกไปสู้รบล้มตายเป็นกันชนให้ที่ชายแดนปรัสเซียตะวันออก...ที่ได้ช่วยรักษาไว้ให้ !!

           

            หลังจากวันที่หกของการเข้าทำงานของฉันผ่านไป ท่านแม่ทัพน้อยได้ขอร้องให้ฉันบินด่วนไปยังศูนย์บัญชาการเพื่อที่จะนำเรื่องไปเสนอกับแม่ทัพใหญ่นิโคลาชา เพื่อที่จะรายงานว่ากองทัพของเราที่ส่งไปไม่สามารถ
            เทียบกับกำลังของกองทัพออสเตรียที่ต่อสู้ถาโถมอย่างบ้าคลั่งได้
            อีกทั้งมันเป็นการสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ทหารที่ออกไปรบไม่มีใครหวังว่าจะได้กลับมา
            ศูนย์บัญชาการได้ตั้งอยู่ที่ Stavka อันเป็นเมืองเล็กๆ เป็นชุมทางรถไฟสี่สาย ตัวนิโคลาชา, ปีเตอร์ (น้องชาย) และคณะได้อาศัยอยู่ในขบวนรถไฟที่ดัดแปลงมาเป็นที่ทำงาน
            ช่างไม่สมศักดิ์ศรีเอาเสียเลย..

            นิโคลาชาในเครื่องแบบที่ใหม่เอี่ยมเงาวับ..พาร่างสูงโย่งของเขาเดินกลับไปมา..รับฟังรายงานมากกว่าพูดหรือแสดงความเห็นอะไร (นั่นคือลักษณะพิเศษของเขาที่มักทำให้คนอื่นๆ คิดว่ากำลังใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง)
            เหล่านายพลทั้งหลายล้วนแต่ช่วยกันบัญชาการทางโทรศัพท์สำหรับสนามรบที่อยู่ห่างไกลกว่าสามพันไมล์ด้วยการเดิมพันของชีวิตของทหารหลายล้านนาย
            ฉันมองการทำงานของนิโคลาชาอย่างระแวงระไวในสมรรถนะของเขา..ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นมาในสมองอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ ก็จะไม่ให้คิดได้อย่างไร..
            เพราะเรารู้จักตื้นลึกหนาบางของกันและกันมากว่าสี่สิบปี ที่คุยๆ กันอยู่ทุกวันนี้ก็ตามมารยาทและในฐานะที่เป็นญาติกันก็เท่านั้น

            เขาได้ตกลงใจให้ฉันคุมกองทัพอากาศเพราะจริงๆ แล้วจะว่าไปก็ไม่มีใครอื่นที่เหมาะไปกว่าฉัน..ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งและสนับสนุนมาตั้งแต่เริ่มแรก
            ฉันได้รับขบวนรถไฟที่ดัดแปลงมาเป็นที่ทำงานชั่วคราวอีกหนึ่งคัน ที่เหลือ คือ เครื่องบิน ปืนกล ปืนยาว นักบิน ช่างเครื่อง รถยนตร์ แม้กระทั่งเครื่องพิมพ์ดีด ฉันต้องใช้ความสามารถส่วนตัว..ไปหามาเอง
            ที่ได้จริงๆ คือตำแหน่งที่โก้หรู นั่นคือ Commander-in-Chief of the Imperial Airforce (เป็นคนแรกซะด้วยซิ)
            ฉันก็ไม่ได้บ่นอะไร ยอมรับหน้าที่แต่โดยดี
            เพียงเดือนแรกที่ผ่านไป..เราก็เกิดภาวะขาดแคลนยุทโธปกรณ์ ไม่มีกระสุน เพราะมันเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งการส่งมานั้นต้องเป็นการส่งอ้อมข้ามโลก
            ทั้งๆ ที่เมื่อสองปีก่อน..ท่านรัฐมนตรีกลาโหมได้ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ากองทัพเราได้เตรียมการอย่างพร้อมพรักสำหรับสงคราม..
            จนฉันได้พบกับพี่ชายของฉัน นิโคลาส มิเกลโลวิช ที่ฉันสามารถวางใจได้ในเรื่องคำปรึกษาหารือเกี่ยวการสงคราม
            เพราะนิโคลาสเป็นคนเก่ง เป็นนักเรียนเตรียมทหารระดับเกียรตินิยมที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน พี่ชายได้บอกว่าสงครามครั้งนี้ได้ดำเนินการผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นที่เราได้ส่งทหารมือดีๆ จำนวนมากออกไปล้มตายกันตั้งแต่ปีแรกของสงคราม
            ต่อไปนี้ก็คงได้แต่หวังพึ่งทหารเกณฑ์ที่ขาดการฝึก ขาดทักษะในการรบ ประเทศชาติกำลังจะประสบปัญหาจากการขาดแคลนในหลายๆ ด้าน
            สิ่งที่จะแก้ไขได้อย่างเดียว ถ้าแม่ทัพใหญ่นิโคลาชา หยุดทุกอย่างเดี๋ยวนี้
            เรียกทหารกลับมารักษาฐานที่มั่นเพื่อทำการฝึกฝนใหม่ ทิ้งระยะให้มีการฟื้นตัวสักปี..จากนั้นค่อยว่ากัน เพราะตอนนี้ถ้าส่งออกไปก็จะซ้ำรอยเดิมๆ ..
            พี่ชาย..มองทุกอย่างในด้านลบไปหมด..เขาสั่งสอนฉันอยู่สามชั่วโมงไหนยังจะต้องเจอกัน ร่วมโต๊ะอาหารด้วยกันอีกวันละสองมื้ออีก..

            ยิ่งคิดก็ปวดหัวจี๊ด..

  

            พระเจ้าคงได้ยินในคำทำนายของพี่ชายฉันอย่างชัดเจนกระมัง..เลยช่วยกระตุ้นให้มันเป็นจริงเร็วเข้า..
            ทหารฝีมือดีของเรา อาวุธยุทโธปกรณ์สำรองของเราหมดไปกับการ"ช่วยรักษาบ้านเมืองคนอื่น"ตั้งแต่ปี 1914 ต่อด้วยต้นปี 1915 ไปแล้ว..
            ดังนั้น เมื่อเราโดนบุกในเดือนพฤษภาคม 1915 ข้าศึกได้ใช้ปืนใหญ่ถล่มเรากว่าร้อยๆ รอบ ในขณะที่เราสามารถโต้ตอบไปได้แค่รอบเดียว เทียบอัตราส่วนแล้ว คือหนึ่ง..ต่อสามร้ิอย
            กระสุนปืนใหญ่หมดไป..เราเหลือแค่ปืนยาวรุ่นปี 1878 โน่น..
            ทหารได้รับคำสั่งให้ยิงได้เมื่อจำเป็น (?) และให้รีบไปเก็บกระสุนกลับมาจากศพคนตาย และคนเจ็บมาให้หมด
            สายข่าวจากฝูงบินของเราได้ส่งเข้ามาเตือนเรื่องการปะทะกับกองทัพเยอรมัน-ออสเตรียนที่ฝั่งแม่น้ำ Dounaitza ว่าเราจะเสียเปรียบ..
            ทหารเด็กที่ไร้ประสบการณ์ก็ยังสามารถอ่านเกมส์ออกว่า.ถ้าถอยได้เร็วเท่าไหร่..เราก็สูญเสียน้อยเท่านั้น
            หากแต่ศูนย์บัญชาการรบของนิโคลาชาที่สตาฟกา กลับสั่งให้เดินหน้าต่อไป เพราะไม่งั้นจะเสียหน้าให้กับผู้ร่วมรบฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำลัง
            ตั้งฐานทัพอย่างสบายๆ อยู่ที่กรีกและโรมาเนีย

            ในที่สุด..เราก็ต้องสูญเสียโปแลนด์ เพราะป้องกันไว้ไม่ได้ อีกทั้งต้องยอมถอยทัพอย่างไม่เป็นขบวนกลับไปตั้งมั่นที่ Galicia (ชายแดนของ Poland ต่อติดกับ Ukraine)

   

         
         
         

           
            
         
         



    
 
 
 




เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ โดย วิวันดา

เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเก้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนแปด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหนึ่ง



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker