dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนเจ็ด

ขออภัยเป็นอย่างยิ่งค่ะ..ที่ล่าช้าไปนานมาก เนื่องจากดิฉันได้เดินทางถึงสามทวีปในช่วงตั้งแต่ฤดูหนาวเป็นต้นมา..จากอเมริกา ไปฝรั่งเศส (นานสามเดือน) และกลับไปอเมริกาอีกสามอาทิตย์ จากอเมริกาไปเมืองไทยอีกหนึ่งเดือน..

จากนั้นก็สะบักสะบอมเอาการเพราะ jet lag ไปนานพอสมควรเลยค่ะ...

 

 

            ฉันไม่ได้เดินทางเข้าสู่อุ้งมือเสืออย่างที่คิดแม้แต่นิด เพราะเมืองเล็กๆที่จะไปอาศัยอยู่นั้น มีชื่อว่า ไดเซ่นฮอเฟ่น {Deisenhofen}
            ต้องอยู่ชานเมืองมิวนิครอบนอก บ้านที่จะเป็นนิวาสถานของฉันคือ ส่วนที่แบ่งเช่ามาจาก ครอบครัวของนายและนางเคิร์ล
            ทันที่คุณนายเคิร์ลได้เปิดประตูรับเสียงกริ่ง..ฉันเริ่มตะกุกตะกัก แนะนำตัวเองไปว่า
            "มาร์กา..เอ่อ..เอ่อ..เด..เด..เดนเน่อร์ แต่ใครๆก็ระ..ระ..เรียก ฉันว่า..กรีท..."
            "เอาเถอะ..ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณเหนื่อยจากการเดินทางมามากแล้ว..รีบไปอาบน้ำอาบท่าเข้านอนก่อนเถอะ เดี๋ยวจะหากาแฟกับเค้กไปให้ทาน
            มะ..จะพาไป" คุณนายเคิร์ลผู้อารีรีบตัดบทและจัดแจงรับรองหญิงแปลกหน้าอย่างฉันราวกับญาติสนิท ซึ่งทุกวันนี้..ฉันยังประทับใจอย่างไม่เคยรู้เลือน

            คุณนายเคิร์ลเป็นคนที่มีอารมณ์ขันอย่างเหลือเฟือ และมีอาชีพเป็นนางพยาบาล ส่วนสามี..คุณเคิร์ลนั้น ทำงานที่ศาล ทั้งคู่ได้พบรักจนมาถึงร่วมหอลงโรงจนมีบุตรชาย
            วัยสี่ขวบด้วยกัน ก็คือเส้นทางแบบเดียวกับฉันนี่แหละ คือ การแบ่งห้องให้เช่า
            อีกทั้งการที่ครอบครัวนี้เป็นชาวโปแตสเเต้นท์ที่อยู่ในแวดวงของกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่นับถือคาธอลิค พวกเขาจึงไม่ค่อยได้สุงสิงกับหมู่เพื่อนบ้านทั้งหลาย
            ซึ่งเป็นผลดีกับฉันอย่างที่สุด

            และในการจ่ายค่าเช่าบ้านนั้น เราใช้วิธีแลกเปลี่ยนกัน คือ ฉันทำการตัดเย็บซ่อมเสื้อผ้าให้กับคุณนายอาทิตย์ละสามวัน โดยการหมุนเวียนนำวัสดุเก่าๆมาใช้
            เช่น นำเสื้อคลุมของคุณเคิร์ลมาตัดเป็นกระโปรงให้คุณนาย แก้เสื้อเชิร์ต เย็บเสื้อกางเกงให้เด็ก ปะชุนผ้าปูที่นอน
            ฉันได้เล่า(โกหก)ให้คุณนายฟังว่า แม่ตาย พ่อแต่งงานใหม่กับหญิงสาวที่มีอายุแก่ฉันไม่กี่ปี ซึ่งฉันและแม่เลี้ยงนั้นเข้ากันไม่ได้เลย
            จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ฉันต้องกระเด็นออกมาจากเวียนนา เพื่อที่จะมาหางานทำเป็นอาสากาชาด
            คุณนายได้ฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม และเชื่อสนิท บอกฉันให้อยู่ในบ้านได้อย่างตามสบาย เพียงแต่ขออย่างเดียว
            คือ อย่านำผู้ชายเข้ามาในบ้าน
            ซึ่งฉันรับคำด้วยความยินดี


            คุณนายได้เล่าประวัติส่วนตัวให้ฉันฟังบ้างเช่นกัน ว่า..
            "เมื่อก่อนสงครามนะ..นายจ้างเก่าของฉันเขาเป็นทนายความชาวยิว ที่จ้างฉันไปดูแลพยาบาลแม่ของเขา จนต่อมารัฐบาลได้ออกกฏหมายว่าห้ามชาวเยอรมันทำงานกับพวกยิว ฉันเลยต้องออกมา
            น่าสงสารเขานะ แม่ของเขาร้องไห้ไม่อยากให้ฉันจากไป ส่วนเขาถูกจับ..ฉันเองก็ถูกจับในเวลาไม่นานต่อมา
            เขาหาว่า ฉันมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับนายจ้าง และพยายามรีดข้อมูลจากฉันว่า เขาเอาทองไปซุกซ่อนที่ไหน?"
            คุณนายเล่าไปพลาง มือก็ปอกมันฝรั่งไปพลาง ส่วนฉันกำลังเย็บผ้าอยู่ที่จักร เธอเล่าต่ออย่างขำๆว่า
            "ฉันก็เลยย้อนถามกลับไปว่า..หน้าฉันนี่มันเหมือนกับคนทำงานในเหมืองทองหรือไง..เขาก็ว่า ในฐานะที่เป็นลูกจ้างคนสนิท ย่อมต้องรู้ดี
            ฉันก็ย้อนไปอีกว่า..ฉันเป็นพยาบาลนะ ไม่เห็นอะไรนอกจากกระโถน.." เธอเล่าไปขำไป..แต่..สีหน้าเธอได้เปลี่ยนไปยามที่เล่าต่อว่า
            "พวกเขาพาคุณทนายมาพบฉันในที่คุมขัง ท่าทางเขาเหมือนกับถูกทารุณมาพอสมควรนะ เธอรู้ไหมว่า เมื่อเจอกัน คุณทนายเขาทำไง..เขาทรุดลงคุกเข่าต่อหน้าฉัน
            พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ ที่เขาต้องทำให้ฉันมาลำบากลำบน มาร่วมชะตากรรมทั้งๆที่ไม่มีความผิด"
            "แล้วไงต่อไปคะ?" ฉันรีบถาม
            "เขาก็หายไป..สาบสูญไปอย่างไม่มีร่องรอยกันทั้งครอบครัว"
            เพียงสองอาทิตย์แรกที่ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามาร่วมในชายคาของครอบครัวนี้ ฉันได้ยินเรื่องราวต่างๆที่ล้วนแล้วแต่เหลือเชื่อ..เช่น
            "พวก SS นะ ส่วนใหญ่ก็เท่ดี หน้าตาหล่อเหลา หัวรุนแรง แต่ก็เหมาะกับหน้าที่ดีแล้ว แต่เสียอย่างเดียว คือ ใครๆก็กลัวพวกนี้จนไม่อยากคบค้าด้วย
            พวกหนุ่ม SS นี่เลยอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว หงอยเหงาไปตามๆกัน"
            (ฉันถึงกับถอนใจ..ในความคิดของคุณนายว่า คนพวกนี้น่าสงสาร..) หรือ
            "รัฐบาลนาซีก็เข้าใจในความจริงข้อนี้นะ จึงพยายามช่วย..โดยการจัดเดทให้หลับนอนกับสาวๆในกลุ่มยุวชนฮิตเล่อร์ ซึ่งก็เหมาะสมกันดี เพราะต่างมีเลือดรักชาติด้วยกันทั้งสองฝ่าย ลูกออกมารัฐบาลก็เอาไปเลี้ยงดูให้
            (คราวนี้..ฉันถึงกับหัวเราะออกมา เพราะมันไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะเป็นแผนโปรปะกันดาของใครบางคนต่างหาก) แต่..คุณนายได้ยืนยันว่า
            "จริงๆ..ตรงที่เลี้ยงเด็กนั้น เราเรียกว่า องค์กรสงเคราะห์เด็กแรกเกิด เลเบนส์บอร์น {Lebensborn} เวลาเธอไปเที่ยว
            มิวนิคก็ลองไปดูซิ สำนักงานอยู่ที่นั่น..!!

            มิวนิคในเดือน สิงหาคม 1942 นั้น เต็มไปด้วยสีสันแห่งความรื่นเริง เพราะเยอรมันได้มีชัยชนะไปทั่ว ผู้คนต่างเดินทางเข้ามาเที่ยวอยางอุ่นหนาฝาคั่ง รวมทั้งการไปแวะเยี่ยมเยียนโรงเบียร์ที่ฮิตเล่อร์ได้ก่อการกบฎต่อรัฐบาล
            บาเวเรียน (เดือน พฤศจิกายน 1923)และ หอศิลปแห่งชาติ

            ส่วนฉัน..ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อโค้ทตัวโคร่ง..เดินไปบนถนนที่หนาแน่นไปด้วยผู้คนด้วยสายตาที่สอดส่ายสนใจไปในทุกสิ่ง รอบกายนั้น เต็มไปด้วยเสียงเพลงจากคอนเสิร์ทต่างๆ มีโรงละครอุปรากร มีการเสดงนิทรรศการ
            มีทหารหน่วย SS จากดินแดนบอลติค ที่พูดภาษาเยอรมันกันไม่ได้สักคำแต่ก็ยังแต่งเครื่องแบบพร้อมเครื่องหมายกันอย่างโก้หรู
            สมองของฉันแว้บไปถึง ชาวยิวในวิลนา(Vilna) เมืองที่พ่อเคยบอกว่าเปรียบเสมือนเยรูซาเล็มแห่งยุโรป ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง เพราะทุกอย่างได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของนาซีหมดแล้ว
            สายตาได้ไพล่ไปเห็น เชลยรัสเซีย ที่กำลังถูกคุมให้ทำงานเป็นกรรมกรแบกหามอยู่ข้างถนน เสื้อผ้าที่สวมใส่ของเขาถูกป้ายให้เป็นวงกลมโตสีแดงให้เห็นเป็นสำคัญ
            ผู้คุมนาซีกำกับด้วยปืนไรเฟิลในมืออย่างเอาเป็นเอาตาย
            และได้เห็น ชายชราชาวยิวที่กำลังถูกบังคับให้ก้มลงขัดถูพื้นถนนอย่างทุลักทุเล..
            หัวใจของฉันกระตุกขึ้นมาอย่างแรงด้วยความเวทนา
            อยากจะเข้าไปกอดและพูดจาปลอบประโลมเขาเหลือเกิน
            แต่..ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องหักใจเดินคอแข็งผ่านเลยไป
            จนในที่สุด ก็มายืนอยู่ตรงหน้าตึกที่ทำการของ
            เลเบนส์บอร์น ที่คุณนายเคิร์ลได้กล่าวถึง
            และได้ประจักษ์กับตาของตัวเอง..ว่า..มันมีจริง..!!

            โชคดีที่ฉันไม่ได้มีบุคลิกอันเป็นที่ต้องตาหรือมีจุดเด่นให้เป็นที่สังเกตแต่อย่างใด การที่สวมวิญญาณของสาวนามว่า กรีท ที่มีท่าทีขี้อาย สงบปากสงบคำ ไร้เดียงสา ไม่มีพิษมีภัย และสุภาพเรียบร้อย
            ซึ่ง ในบางครั้งสาวประเภทนี้ก็เป็นที่หมายตาของพวกทหารที่เข้ามาพักผ่อนในมิวนิคเช่นกัน เพราะพวกทหารเหล่านี้ต่างพยายามหาเพื่อนเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น
            เรื่องการถูกชวนให้เข้าร่วมนั่งดื่มน้ำชากาแฟจึงมักเกิดขึ้นเสมอๆ ซึ่ง..ฉันยังจำได้ถึงบทเรียนที่ได้เห็นจากคริสตัล แม่เพื่อนรัก ยามที่เธอเคยได้รับเชิญจากพวกเกสตาโป
            และวิธีการหลอกล่อเอาตัวรอดเช่นนั้น มักใช้ได้ผลเสมอ แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ การที่มีเจ้ามือมาเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันนั้นก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะ ..กระเป๋าแห้งเต็มที
            เงินทองที่มีอยู่นั้น มาจากเงินได้จากการขายเสื้อเฟอร์ของแม่ และมันก็กำลังร่อยหรอลงไปทุกที
            การที่ยอมรับคำเชิญไปนั่งดื่มกาแฟกับพวกทหารนั้น มักไม่ต้องใช้ความสามารถอะไรนอกจากการเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะพวกนี้มักชอบเล่าถึงเรื่องของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ ไม่ค่อยฟังชาวบ้าน
            ซึ่งนับเป็นการแปลกไปอีกอย่างหนึ่งของคนในยุคนั้น เพราะ ทุกคนล้วนต่างมีปัญหาของตัวเองอย่างล้นเหลือ จนไม่อยากฟังเรื่องของคนอื่นให้หนักสมอง
            บางคนก็ขอนัดเจออีก..ฉันก็รับไปตามแกน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาตามนัด เพราะ ไม่มีใครคิดที่จะมาติดตามหาใคร บ้านช่องอยู่ไหนก็ไม่มีการบอกกล่าวอยู่แล้ว


            ถึงเวลาที่สภากาชาดได้เรียกตัวให้ไปสัมภาษณ์ ..
            สถานที่นั้นช่างใหญ่โต โอ่โถง เป็นบ้านหรูริมแม่น้ำ อิซาร์ของเศรษฐีนีคนหนึ่ง บนฝาผนังมีภาพของท่านผู้นำประดับ
            อย่างเด่นชัด..เจ้าของบ้านแต่งกายด้วยชุดกำมะหยี่สีแดงเข้ม เครื่องประดับคือ เครื่องหมายสวัสดิกะฝังเพชรที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอ
            เธอได้ถามถึงประวัติของฉัน
            ซึ่งฉันได้เรียบเรียงคำตอบได้อย่างละเอียดละออ จากข้อมูลประวัติของบรรพบุรุษของคริสตัลที่เป็ปปิได้จัดรวบรวมไว้ให้ เช่น ปู่ทวดเกิดที่ไหน เมืองไหน ตำบลไหน
            เรียนที่ไหน ทำงานที่ไหน ฝ่ายตาทวดก็เช่นกัน หากแต่ข้อมูลของฝ่านมารดาของคริสตัลนั้นไม่ค่อยแน่ชัด เนื่องจากว่าเธอได้เสียชีวิตไปนานแล้ว อีกทั้งเป็นชาวรัสเซียขาว
            หากแต่ เนื่องจากบิดา (คือ นายเดนเน่อร์) นั้นเป็นข้าราชการในกองทัพนาซี การสัมภาษณ์จึงสรุปได้ง่ายดาย ผู้สัมภาษณ์ได้ตบท้ายว่า
            "คุณมีความรู้เกี่ยวกับบรรพบุรุษดีมาก ขอชมเชยจากใจจริง คนที่มารับการสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยรู้เรื่องของตัวเองเหมือนเธอเลยนะ กรีท.."
            ใจฉันหายแว้บ..ท้องใส้พาลปั่นป่วน..นี่ฉันเผลอพิรุธ
            "รู้ดีเกิน"..อะไรออกหรือเปล่าเนี่ย..??
            แต่..มาดามคนนั้นได้บอกว่า จะส่งผลไปให้ทราบภายในสองสามอาทิตย์ข้างหน้า..
            ซึ่งมันทำให้ฉันต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกในที่สุด

            ฉันแวะไปดูมหาอุปรากร ลา โบเฮม (La Boheme) ที่มีดาราฝ่ายหญิงที่รับบท Mimi คือ Trude Eipperle มีทหารคนหนึ่งได้เข้ามาขอประกบคู่เข้าไปดูพร้อมกับฉัน
            เพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการที่ไม่ต้องคอยเข้าคิวซื้อตั๋ว ในสิทธิพิเศษที่ทหารมาชมพร้อมกับภรรยา ซึ่งฉันก็ตกลงยินยอมตามนั้น
            ทำให้เราได้ตั๋วมาอย่างทันอกทันใจ ทหารคนนั้นได้พาฉันไปในร้านอาหารที่เต็มไปด้วยผู้คนหนาแน่น ฉันเชื่อว่าเขาคงมียศใหญ่โตพอสมควร
            เพราะจากที่เห็นว่า เขาสามารถเอื้อมมือไปหยิบจานอาหารในมือของบริกรที่กำลังจะไปส่งให้โต๊ะอื่นมาก่อน ทุกคนก็เห็นแต่ไม่มีใครเอ่ยปากโต้แย้งอย่างใด

            คุณนายเคิร์ลตั้งใจจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้กับฉัน
            เธอมีคูปองเหลือในบัตรปันส่วนเสื้อผ้า เพราะข้อแก้ตัวที่ฉันได้เคยบอกไปว่า ส่วนของฉันนั้นได้ใช้หมดไปนานแล้ว
            (ความจริงคือ ฉันไม่กล้าไปขอบัตรปันส่วนใดๆ เพราะนั่นจะเป็นสาเหตุให้ความแตกว่า..ฉันคือ เดนเน่อร์ตัวปลอม ตามที่มิสเตอร์ โยฮัน พราทเน่อร์ ได้สั่งไว้หนักหนา)
            คุณนายพาฉันไปร้านขายเสื้อผ้า ได้ซื้อชุด เดิร์นเดิล (dirndl) ที่กำลังเป็นที่สุดฮิตในยุคนั้นให้ ฉันยังจำได้ดี ว่า ชุดสำเร็จรูปนั้น คือ กระโปรงบานสีแดง คาดขอบเอว มีเสื้อคลุมสีเดียวกัน มีเสื้อสวมตัวในสีขาว
            ซึ่งเมื่อลองแล้ว..ช่างพอดิบพอดี คุณนายเคิร์ลยืนยิ้มร่าอยู่เบื้องหลัง ที่ฉันเห็นได้ชัดจากเงาสะท้อนบนกระจก..
            ช่างเหมือนกับรอยยิ้มของแม่เสียเหลือเกิน ยามที่แม่ตัดเย็บเสื้อผ้าให้ออกมาสวยงามดังใจ
            ยิ่งคิด.. น้ำตาเจ้ากรรมพาลจะไหลออกมา..
            "กรีท..เป็นอะไรไปน่ะ?" คุณนายรีบถามด้วยความห่วงใย
            "ไม่เป็นไรหรอกค่ะ " ฉันรีบกลบเกลื่อนอาการนั้นได้อย่างรวดเร็ว
            เจ้าของร้านเสื้อคงรู้จักกับคุณนายพอสมควร เพราะมีการลดราคาคูปองให้ไม่น้อย
            และชุดนั้นฉันได้ใส่ไปเฉิดฉายในงานเทศกาล Weiss Ferdl Cabaret อันเป็นเทศกาลของความรื่นรมย์ที่ประชาชนต่างพากันเฉลิมฉลองที่ทหารได้ประสบความสำเร็จจากการโจมตีฉบับสายฟ้าแลบในทุกที่ที่บุกเข้าไป
            ทุกคนควงคู่รักออกมาใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน
            บรรยากาศแห่งความมั่งมีได้เร่งเร้าให้ผู้คนพากันสรวลเสเฮฮา ที่ ต่างได้รับการแจกบ้านใหม่ ธุรกิจใหม่ที่ได้มาแบบถูกๆ
            โดยไม่มีใครสนใจสักนิดว่า..ทุกอย่างนั้น ได้มาเพราะการไปปล้นใครเขามาบ้าง..
            ตลกคนหนึ่ง ดันไปพูดว่า..
            "เยอรมันนี่ใจกว้างดีแท้..ได้ยินมาว่า พวกเขาใจดีถึงขนาดเลิกใช้อ่างอาบน้ำกันเชียว เพราะยกไปให้ห่านได้แหวกว่ายเล่นให้สำราญใจ เพื่อที่จะให้ห่านพวกนั้นมันเนื้อตัวสะอาด
            อ้วนพี
            ทีนี้..พอเข้าที่..ก็ ไปจับมันมาเชือด ทำอาหารขึ้นโต๊ะในช่วงเทศกาลคริสต์มาส "
            นายตลกคนนี้พูดอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกลากตัวไป..


            28 สิงหาคม 1942 เป็นวันศุกร์ที่มีอากาศร้อนอบอ้าว
            ฉันจำได้ดีถึงวันและเวลา เพราะว่า
            วันนั้นคือ วันเกิดของเกอเธ ที่ฉันได้ไปที่หอศิลปในเมือง
            มิวนิค เพื่อไปดูการแสดงภาพวาดต่างๆ..
            ชายร่างสูงคนหนึ่งได้เข้ามานั่งใกล้ๆบนม้านั่งตัวเดียวกัน เขามีผมบางๆออกสีทอง ดวงตาสีฟ้าสดใส ริมฝีปากบางเฉียบ เป็นอารยันแท้ๆเชียว..
            เขาแต่งกายด้วยเสื้อผ้าชุดพลเรือน มีเครื่องหมายสวัสดิกะติดที่หน้าอก อันเป็นสัญญลักษณ์ว่าเป็นสมาชิกของไทยรัก..เอ๊ย..นาซี เขาชวนคุยว่า
            "ภาพเขียนทิวทัศน์ท้องทุ่งนี่..มันช่างเป็นสัญญลักษณ์ของชนบทบาเวเรียน แท้ๆเชียว แต่..คุณคงรู้ดีอยู่แล้วละนะ"
            "ไม่ทราบซิคะ"
            "คืองี้..ในการเขียนเนี่ย จิตรกรเขายกย่องปิตุภูมิของเรา ที่มีกสิกรที่แข็งแรง ฝูงวัวที่อ้วนพี ดินฟ้าอากาศต้องตามฤดูกาล มันช่างสวยงามเสียจริงๆ"
            สายตาของเขาเหลือบมามองที่มือของฉัน เพื่อที่จะสอดส่ายหาแหวนแต่งงาน และ เมื่อไม่เห็น..เขาจึงต่อว่า
            "สวยเหมือนคุณไงล่ะ ฟลาวไลน์...?"
            ฉันไม่ได้ตอบในสิ่งที่เขาทิ้งท้ายไว้ กระเถิบตัวให้ออกมาห่างนิดหนึ่ง รักษาทีท่า ซึ่งเขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คุยต่อไปว่า
            "ผมทำงานที่ แบรนเดนเบอร์ค-ฮาเวล มีคนงานที่เป็นกสิกรที่ว่านี้มากทีเดียว แต่ไม่ยักมีใครหน้าตาหล่อเข้มอย่างในภาพวาดนี้สักคน คุณว่าม๊ะ ว่าคนวาดนั้นวาดมาจากจินตนาการล้วนๆ"
            ฉันได้ยิ้มรับน้อยๆพองาม
            "คุณรู้ปล่าวว่า..ท่านผู้นำของเราท่านรักงานศิลปยังกะอะไรดี ทุกปีท่านจะกว้านซื้อเป็นร้อยๆภาพที่นำมาแสดงในหอศิลปนี่ จิตรกรทุกคนต่างหาทางที่จะวิ่งเต้นเอางานของตัวเองมาติดตั้งในนี้ให้ได้ เพียงแค่มีผลงานเข้ามาครั้งเดียวก็ถือว่า ติดอันดับกับเขาแล้ว..และยิ่งถ้ามีญาติทางพ่ออยู่ในบอร์ดของกลุ่มกรุปป์ (อุตสาหกรมถลุงเหล็ก Krupp) หรือ มีญาติทางแม่เคยไปร่วมวงน้ำชากับ
            นายหญิง เอ๊ย..มาดามเกิบเบิลส์ ละก้อ..จะช่วยได้เยอะเชียว"
            "คุณเป็นจิตรกรหรือคะ?"
            "ครับ"
            "จริงๆหรือ หมายถึงว่าทำเป็นอาชีพน่ะค่ะ.."
            "อาชีพของผมจริงๆเดี๋ยวนี้คือ การเป็นผู้คุมการทาสีให้กับโรงงานประกอบเครื่องบินที่ บริษัทผลิตเครื่องบิน อาราโด แต่ความฝันจริงๆของผมคือ อยากเป็นจิตรกร
            คุณได้รู้เรื่องมั่งหรือเปล่า ว่า ท่านผู้นำ..ได้ออกทุนจากกระเป๋าตัวเองให้กับ นาย เซปป์ ฮิลซ์ (Sepp Hilz) ให้สร้างสตูดิโอ และเลื่อนเขาให้มาเป็นศาสตราจารย์
            ในมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่นายเซปป์นี่ เป็นช่างวาดกระจอกๆคนนึงเท่านั้น"
            "ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยค่ะ"
            "งั้นเราเดินไปชมภาพอื่นๆด้วยกันนะ"
            "ค่ะ"
            เมื่อเดินไปเคียงข้างกัน เขามีร่างที่สูงใหญ่และเดินเร็วจนแทบซอยเท้าตามไม่ทัน ส่วนเขาได้แต่คุยไปเรื่อยๆ
            "ส่วนตัวแล้ว..ผมชอบภาพออกแนวคลาสสิค ท่านผู้นำท่านชอบแนว ออสโตร-บาเวเรียน อย่างของ Spitzweg หรือไม่ก็ Grutzner
            ส่วนผมกลับชอบของ Angelika Kauffmann"
            "ใครนะคะ?"
            "เธอเป็นศิลปินชั้นแนวหน้าในยุคศตวรรษที่สิบแปด เป็นคนสวยมาก ดูจากในภาพวาดเหมือนของเธอนะ ต่อมาเธอได้สนใจในประวัติศาสตร์เยอรมัน จึงได้วาดภาพฉากชัยชนะของ จอมทัพเฮอร์มานน์ ที่ได้เพิ่ง
            กลับมาจากชัยชนะในสงครามต่อสู้กับชาวโรมัน ที่ Teutoburg และ เมื่อกลับมา ภรรยาได้รอรับอยู่ด้วยความยินดีปรีดา พวกผู้หญิงชาวเมืองต่างพากันร้องรำทำเพลง
            ผมชอบภาพนั้นจริงๆ.."
            เขาหันมาส่งมือให้ และแนะนำว่า
            "ผมชื่อ เวอร์เน่อร์ เวตเทอร์"
            "ดิฉัน กรีท เดนเน่อร์ "
            "คุณจะรังเกียจไหมครับที่จะร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผม"
            "ถ้าคุณสัญญาว่าจะเล่าเรื่องสนุกๆให้ฟังอีก"
            ซึ่งเขาได้ทำตามสัญญาอย่างที่ว่าไว้ เพราะ เขาช่างสรรหาเรื่องเกี่ยวกับศิลปมาคุยได้อย่างไม่รู้จบ นับว่าเป็นคนที่มีความรู้มากมาย น่าประทับใจพอสมควร
            เขาเป็นคนมาจากไรห์แลนด์ ใกล้ๆกับ ดุสเซนดอร์ฟ และมาท่องเที่ยวที่มิวนิคเพราะได้รับการหยุดพักร้อนสองอาทิตย์ ซึ่งเขามีเวลาเหลืออีกเพียงเจ็ดวัน


            ในอาหารมื้อนั้น เขาขอให้ฉันช่วยออกคูปองส่วนตัวมาสมทบเป็นค่าอาหาร ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกนับว่ามาแปลกจากชายคนอื่นๆ
            เขาได้สั่งแซนวิช การรับประทานแซนวิชของเขานั้น เขาตัดมันด้วยมีดและใช้กินด้วยส้อม
            ที่ฉันมองอย่างขำๆ เขาจึงแก้เกี้ยวว่า
            "ป้าพอลล่าของผม สอนไว้หนักหนาว่าห้ามหยิบอาหารกินด้วยมือ ผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่อายุได้สิบสอง"
            ท่าทางเขาละเมียดละไมกับการรับประทาน ดูเป็นผู้ดีมีชาติตระกูล น่าประทับใจ
            หากแต่..การที่เขาเป็นสมาชิกในพรรคนาซีนี่ซิ..มันไม่เข้าท่าเอาเลย
            แต่จะว่าไปแล้ว..ท่าทางเขาไม่ใช่คนที่มีพิษมีภัย
            แต่เอ..หรือเขาอาจจะเป็นพวก SS นอกเครื่องแบบก็เป็นได้นี่นา..
            แต่..พวก SS จะมารู้เรื่องศิลปะอะไรได้มากมายขนาดนี้
            ฉันคิดวนเวียนไปมาอย่างวุ่นวายใจ..
            เขาก็พูดไปเรื่อยๆว่า
            "แมคซ์ ลิบเบอร์มานน์ เป็นจิตรกรมือหนึ่งเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่เขาเป็นยิว.."
            ประโยคนั้น ทำให้ฉันตกลงใจที่จะพบเขาอีกในวันต่อมา..และวันต่อๆไปตลอดโควต้าของวันหยุดที่เขามีเหลือ

            ทุกครั้งที่มีความคิดว่า เขาอาจเป็นพวกนอกเครื่องแบบ ใจอดหายๆไม่ได้ แต่ต้องยอมรับความจริงกับตัวเองอย่างหนึ่งว่า..ฉันชอบที่จะคบค้ากับเขา
            เพราะความที่เป็นคนง่ายๆ คุยสนุก คุยเก่ง ที่ทำให้ฉันแทบไม่ต้องคุยอะไรเลย นอกจากรับฟัง..
            เขาก็เป็นเหมือนกับชาวเยอรมันคนอื่นๆทั่วไป ที่เทใจและศรัทธาให้กับท่านผู้นำ มั่นใจในเสถียรภาพของกองทัพแห่งชาติ จงชังรัสเซีย ชอบนินทาเกิบเบิลส์เกี่ยวกับเรื่องฉาวโลกีย์

            เพียงสัปดาห์เดียวที่เราได้พบปะพูดคุยกันนั้น ฉันถือว่าเป็นบทเรียนสูตรสำเร็จ ในการนำมาซึ่งเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองให้เป็นสาวเยอรมันอย่างเต็มตัว
            อีกทั้งเหตุผลสำคัญอื่นๆก็มี คือ เขาทำให้ฉันได้รู้สึกว่าเป็นสุภาพสตรีอีกครั้ง เช่นการเปิดประตูให้ หรือการช่วยประคองในการก้าวขึ้นรถไฟ ในตอนส่งขากลับบ้านทุกเย็น
            ยิ่งคิด ก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆในโชคชะตาของตัวเอง
            ที่เมื่อเดือนก่อนแท้ๆที่ฉันเพิ่งผ่านชะตากรรมที่โหดร้ายอย่างแสนสาหัส แทบไม่มีจะกิน แทบสิ้นชีพกลางท้องไร่ท้องนา
            แต่ในเดือนนี้ ที่ฉันมาเดินลอยหน้าลอยตาเป็นสาวเยอรมันที่มีชายผู้แสนดีอยู่เคียงข้างคอยพิทักษ์ปกป้อง


            เราได้ไปเดินเล่นกันที่ อิงลิช การ์เดน ที่มีสนามหญ้าสีเขียวขจี ซึ่งเขาลงเอนตัวนอนเหยียดยาว เอนศรีษะขึ้นมาหนุนที่ตักของฉันด้วยอิริยาบทที่สบายๆ เขาเล่าว่า
            "ผมมีพี่น้องชายอีกสามคน โรเบิร์ต กับ เกิร์ท ออกรบอยู่ที่แนวหน้า อีกคนหนึ่ง ทำงานนั่งโต๊ะสบายๆให้กับพรรค
            เกิร์ทมีลูกสาวเล็กๆคนหนึ่ง ชื่อว่า บาร์เบิล
            คนนี้แหละเป็นหลานคนโปรดของผมเลย"
            เราจึงซื้อตุ๊กตาที่มีผมเปียไปฝากให้กับบาร์เบิล
            และแวะดื่มเบียร์ เวอร์เน่อร์ ซดมันอั้กๆ แต่ฉันจิบมันอย่างน้อยๆ ซึ่งเขากลับเห็นขำในท่าทางของฉัน เขาว่า..
            ผิดแปลกไปจากผู้หญิงเยอรมันทั่วไป เพราะทุกคนยกซดกันทั้งนั้น
            ขั้นตอนนี้..ฉันต้องจำไปเป็นแบบฝึกหัดใหม่ ไปหัดเลียนแบบให้เหมือน
            "ตอนที่ผมเป็นเด็กๆ พ่อทิ้งพวกเราไป..แม่ผมก็ชอบดื่มเบียร์นะ มากกว่าคุณเยอะแยะ..พวกเราจนน่ะ ซนกันอย่างวายร้ายเชียว บ้านช่องสกปรกรกรุงรัง
            เพราะแม่ไม่อยากทำอะไร ไม่มีอารมณ์ ป้าพอลล่า พี่สาวของแม่มักจะมาหามาดูแลพวกเรา วันหนึ่ง ป้ามาเจอแม่ในสภาพนอนแผ่หลา เมาแอ๋ มองไปที่ใต้โต๊ะ
            เจอกับขวดเบียร์เกลื่อน ป้าเลยพาผมกับเกิร์ทน้องชายไปอยู่ด้วยที่เบอร์ลิน.." เขาเล่าต่อว่า
            "ลุงของผม สามีของป้าน่ะ เขาเป็นยิว ชื่อว่า ไซมอน-โคลานิ เป็นศาสตราจารย์สอนภาษาสันสกฤต เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง คุณรู้ไหมว่า เพราะลุงคนนี้นี่แหละ
            ที่มองเห็นว่าผมมีแววเป็นศิลปิน จึงส่งผมไปเรียนทางด้านนี้"
            (อ๋อ..เขาเองก็มีญาติโยมเป็นยิวเหมือนกัน..งั้น เขาคงไม่เห็นพวกเราเป็นอมนุษย์เหมือนอย่างคนอื่นๆกระมัง)
            เวอร์เน่อร์เล่าต่อว่า..
            "แค่มีพื้นฐานการศึกษามาอย่างดี ก็หาใว่าจะหางานทำได้ง่ายๆในยุคสงครามที่สร้างความฝืดเคืองไปทั่วนี่ ผมน่ะ..กลายเป็นศิลปินใส้แห้งไปเลยนะ
            อับจนถึงขนาดต้องไปหาที่นอนในป่าตอนช่วงฤดูร้อน ไม่ใช่ผมคนเดียว ยังมีกลุ่มพวกคนหนุ่มๆตกงานอีกหลายคน ต่อมา..นาซีได้เสนองานให้พวกเรา ให้ที่อยู่ ให้เครื่องแบบ มันก็ทำให้ความเป็นอยู่สบายขึ้น ผมกลับไปเยี่ยมป้าพอลล่า และ ลุง แต่ไปถึง..ลุงก็เสียชีวิต ผมก็เลยได้ไปงานศพแทน"
            ฉันรู้สึกเศร้าใจจนต้องเสียน้ำตาให้ เพราะมองเห็นภาพของงานศพของพ่อ ที่มีการสวดภาษาฮีบรู ท่ามกลางกลุ่มวงศาคณาญาติยิว
            แต่งานของลุงเขาคงจะแปลกกว่า..ที่มีหลานชายโผล่ไปในเครื่องแบบนาซี..
            "งั้นหมายความว่า เพราะคุณได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรค จึงไม่ต้องออกไปรบที่แนวหน้าอย่างั้นหรือคะ?"
            "ปล่าว..เพราะว่าผมตาบอดข้างหนึ่งต่างหาก เนื่องมาจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนตร์ที่ทำให้กระโหลกร้าว ประสาทจักษุเสียไป ลองเข้ามาดูใกล้ๆซิ คุณจะเห็น"
            ฉันจึงเอนตัวชะโงกข้ามโต๊ะไปดูจนใกล้..
            เขาก็ชะโงกหน้ามาให้ดูใกล้ๆ
            และฉวยเอาโอกาสนั้น จูบฉันเข้าเบาๆ
            ซึ่ง..มันทำให้ฉันตกตะลึงไปชั่วขณะ..ทำอะไรไม่ถูก อายจนหน้าแดง
            เวอร์เน่อร์หัวเราะอย่างขันๆที่เห็นฉันอายจนม้วนต้วน เขาสัพยอกเบาๆว่า..
            "ให้ตายเถอะ..คุณนี่น่ารักจริงๆ"


            เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันในทุกบ่าย..โดยไปนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟเพื่อรอฟังข่าวสงครามสตาลินกราด ที่ฮิตเล่อร์ได้ทำการเข้าไปบุกรัสเซียตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1941
            และบุกที่ไหน ชนะที่นั่น ไล่ลึกเข้าไปเรื่อยๆ
            จนต่อมา รัสเซียเริ่มทำการต่อต้านอย่างแข็งขันผิดสังเกต ฤดูหนาวที่หฤโหดก็กำลังย่างกรายเข้าสู่
            ผู้คนต่างเฝ้ารอฟังข่าวอย่างท่าทางวิตก ที่ฉันเพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก..
            ขนาดจดหมายจากคุณนายไนเดอร์รัลล์ที่ส่งมาหาที่บ้าน
            ยังเล่าว่าเธอไปโบสถ์เพื่อสวดให้กับทัพเยอรมันแทบทุกวัน ทั้งๆที่เธอเป็นคนที่ต่อต้านเรื่องวัดเรื่องวายังกับอะไรดี
            แต่เวอร์เน่อร์ กลับไม่มีทีท่าที่เป็นกังวล เขาบอกว่า
            "ท่านแม่ทัพพอลลัสออกเก่งกาจ เดี๋ยวก็ทัพเข้าเมืองได้ ทีนี้พวกทหารจะได้นอนอุ่นสบายในตัวเมืองอย่างไม่น่าเป็นกังวลตลอดทั้งฤดู"

            เมื่อยามที่เขาจะมาส่งฉันที่สถานีรถไฟเที่ยวสุดท้ายในตอนเย็น ถึงกลางทาง..เขาได้รู้ตัวว่าลืมกล้องถ่ายรูปไว้ที่ร้านกาแฟที่เพิ่งจากมา ซึ่งในยามนั้น มันคือของมีค่าที่หายากในยามสงคราม
            และถ้าเราทั้งสองจะต้องกลับไป..นั่นหมายถึงว่า ฉันจะต้องพลาดรถเที่ยวนี้ และจะต้องอยู่ค้างคืนเพื่อที่จะรอรถเที่ยวต่อไปในวันรุ่งขึ้น ซึ่ง..เป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ไม่คิดที่จะทำ
            จึงบอกเขาไปว่า..
            "งั้นคุณก็กลับไปหากล้อง ส่วนฉันกลับไปเอง ไม่ต้องไปส่งหรอก"
            "ไม่ได้..มาด้วยกัน ผมก็ต้องส่งคุณให้ถึงที่"
            "เรื่องกล้องสำคัญกว่านะ.." แต่ท่าทางและแววตาของเขาเอาจริง และเอาเรื่องพอสมควร จนฉันไม่กล้าสบตา
            "อย่ามาเถียงหน่อยเลยน่า กรีท อย่ามาบอกให้ผมว่าต้องทำโน่นทำนี่.."
            ฉันก็เลยได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขาว่า..เจ้าอารมณ์และเกรี้ยวกราดไม่เบา
            หลังจากที่แยกจากกันตอนนั้น เขาก็กลับไปที่แบรนเดนเบอร์ค ที่มีจดหมายส่งมาเป็นระยะ อีกทั้งของกำนัลเล็กน้อยๆ ครั้งเมื่อถึงวันเกิดของเขาในเดือนกันยายน
            ฉันคิดที่จะส่งถุงมือให้เป็นของขวัญ หากแต่ คุณนายเคิร์ท รีบบอกว่า
            "ไม่ด๊าย..ไม่ได้ ตามธรรมเนียมแล้ว ต้องส่งเค้กไปให้"
            "ก็ฉันทำไม่เป็นนี่คะ"
            "ก็ฉันทำเป็นนี่นา"
            และ..ในที่สุด เวอร์เน่อร์ เวตเท่อร์ แห่ง..แบรนเดนเบอร์คได้รับเค้กสุดอร่อยจาก กรีท เดนเน่อร์ สาวน้อยจากไดเซ่นฮอเฟ่น ซึ่งเป็นความประทับใจที่เขาไม่มีวันลืม..!!


            การเข้าฝึกหัดงานในสภากาชาดของฉัน เริ่มต้นในเดือน ตุลาคม ที่ต้องใช้เวลาฝึกถึงสามอาทิตย์ ในเมือง กราเฟลฟิงค์ สถานที่คือเรือนไม้ที่เป็นแนวยาว ที่โอบล้อมไปด้วยป่าไม้ ซึ่งดูโปร่งโล่งในช่วงฤดูใบไม้ร่วง..

            ฉันพยายามทำตัวไม่สุงสิงกับใคร และทักทายเท่าในที่จำเป็นเช่น อรุณสวัสดิ์ หรือ สนธยาสวัสดิ์
            ในช่วงเช้า นางพยาบาลจะมาสอนเรื่องเกี่ยวกับส่วนต่างๆของร่างกาย การทำแผล การเตรียมเครื่องมือปฐมพยาบาล
            ในยามบ่าย ผู้หญิงฝ่ายตัวแทนของพรรคนาซี จะเข้ามาทำการสอนและทำการโปรปะกันดาในการเป็นอาสากาชาดที่ต้องช่วยย้อมใจทหารที่เข้ามารับการรักษาว่า
            "ไม่ว่าไอ้พวกขี้ขลาดตาขาวอังกฤษจะมาลอบโจมตีทิ้งระเบิดให้เราเมื่อเดือนพฤษภาที่ผ่านมา..แต่ พระวิหารโคโลญจ์ของเราก็ยังตั้งเด่นเป็นสง่า และพวกเธอต้องบอกให้ใครต่อใครทราบว่า
            จะไม่มีมีวันที่ข้าศึกสามารถล่วงล้ำมาบอมบ์ได้ใน Rhineland นี่..เข้าใจไหม?"
            "เข้าใจค่ะ.."
            (ต่อมา..เรื่องจริงๆก็คือ Rhineland นี่แหละ ถูกระเบิดจนป่นปี้) และ เธอต่อด้วยว่า
            "พวกเธอที่อยู่ในที่นี้..ได้รับสิทธิให้ไปจับจองที่ดินและอาคารที่พักอาศัยในประเทศโปแลนด์ที่เราได้มาเป็นเมืองขึ้น อีกทั้งข้าทาสชาวโปลล์ที่ทุกคนได้รู้แก่ใจดีแล้วว่า
            พวกเราคือเจ้านายที่จะจิกหัวใช้อย่างไรก็ได้"
            ฉันได้ยินก็ไม่อยากจะเชื่อว่า มีชาวอาสากาชาดคนไหนคิดเรื่องย้ายไปโปแลนด์อย่างจริงๆจังๆ
            แต่ที่ไหนได้..มีชาวเยอรมันนับพันๆคนที่แห่ไปจริงๆ ไปตักตวงเอาอย่างสนุกสนานและมันมือ
            ต่อมา เมื่อหลังจากเยอรมันแพ้สงคราม คนพวกนี้ก็แห่กันกลับมา และ ไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนเหลือในบ้านเกิด อีกทั้งไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆจากเพื่อนร่วมชาติอีกต่างหาก

            หญิงโปรปะกันดานาซีต่อด้วยอีกว่า..
            "จำเอาไว้นะ..ว่าพวกเธอชาวอาสากาชาดนั้น คือกลุ่มที่ท่านผู้นำได้คิดถึงอยู่ตลอดเวลา ท่านรักพวกเธอมาก อย่าทำให้ท่านผิดหวัง..จงทำหน้าที่ให้เต็มที่ด้วยความสามารถและสติปัญญา"
            และสุดท้ายเธอได้ให้เราเข้าพิธีสาบานตน พร้อมกับ
            การสลุต "ไฮล์ ฮิตเล่อร์"
            เพียงแต่ในใจของฉันนั้น กลับท่องแต่ว่า..
            "ขอให้ฮิตเล่อร์มันจงพินาศ ..ฉ..หาย..ขอให้อเมริกา อังกฤษเข้ามาบอมบ์มันให้เป็นจุล ขอให้ทัพเยอรมันที่สตาลินกราดมันหนาวจนตาย ขออย่าให้ทุกคนลืมว่าฉันยังมีชีวิตอยู่.."


            ฤดูหนาวกำลังย่างกรายเข้ามา..และ ก่อนที่จะมีการหมายส่งตัวฉันไปทำงานที่ไหนนั้น ฉันจึงคิดอยากที่จะไปเยี่ยมเวียนนาบ้านเกิดก่อนที่จะหนาวไปกว่านี้
            ลึกๆแล้ว..คือ ฉันคิดถึงบ้านอย่างเหลือเกิน อยากจะคุยกับใครสักคนหนึ่งเพื่อที่จะได้เบาะแสของครอบครัวที่กระจัดกระจาย
            จึงบอกกับคุณนายเคิร์ลว่า..อยากจะกลับไปเวียนนาเพื่อที่จะไปเก็บเสื้อผ้าและของใช้สำหรับฤดูหนาว ซึ่งเธอได้เข้าใจเป็นอย่างดี
            การเดินทางในครั้งนี้ แสนสดวกสบาย เพราะฉันมีบัตรประจำตัวของอาสากาชาด ที่มีภาพถ่ายติดให้เห็นเป็นสำคัญ
            แต่เมื่อถึง..การต้อนรับที่เวียนนานั้น ค่อนข้างผิดหวัง เพราะ เป็ปปิ มีทีท่าเก้อๆเขินๆไม่สนิทสนมเช่นเคย
            เยาท์สกี้ก็น่าสงสาร ที่ต้องอยู่อย่างกระเบียดกระเสียน
            บัตรปันส่วนที่ได้จากสมาคมยิวก็แทบไม่ได้อีกต่อไป
            ออตโตน้อยลูกชายก็ไม่ได้รับการรับรองว่าเป็น มิชลิงค์
            ดังนั้น จึงถือว่าเป็นลูกยิว..ไม่มีสิทธิได้รับนม
            ไม่มีสิทธิไปเรียนหนังสือ
            ฉันพยายามเล่าถึงเรื่องของตัวเอง ในการเป็นอาสากาชาด เรื่องคุณนายเคิร์ล เรื่องสภาพความเป็นไปใน
            มิวนิค เธอไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งนั้น บอกฉันว่า
            "กลับไปซะไป..ไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น"
            ความตั้งใจที่จะอยู่กับเยาท์สกี้ญาติสาวถึงสามวันนั้น ต้องลดเหลือแค่สองวัน และเดินทางกลับไปยังไดเซ่นฮอเฟ่น ด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว
            คุณนายเคิร์ลรีบนำโทรเลขจากเวอร์เน่อร์มาให้ ใจความว่า จะมาถึงมิวนิคเช้าพรุ่งนี้ และอยากพบ..
            ซึ่งเป็นความบังเอิญอย่างเหลือแสน เพราะเพียงถ้าฉันต้องอยู่ในเวียนนาสามวันตามที่ตั้งใจไว้ ก็คงคลาดกัน..

            เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น..ฉันได้เดินทางไปพบกับเขาที่สถานีตามเวลานัดหมาย และรีบถอดหมวกออก..ด้วยเกรงว่าเขาอาจจำฉันไม่ได้ในเครื่องนุ่งห่มที่หนาเตอะตะ
            แต่ที่ไหนได้ เขากลับส่งเสียงทักทายโหวกเหวกมาแต่ไกล และเข้ามาโอบกอดด้วยความดีใจ
            เราไปรับประมานอาหารเช้าด้วยกันที่หอศิลป..เขากุมมือฉันอย่างทนุถนอมก่อนที่จะพูดว่า
            "เมื่อวาน..ก่อนไปทำงานผมได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่า จะอยู่โดยที่ไม่มีคุณไม่ได้"
            "อะไรนะ?"
            "ก็..อย่างที่บอกมานั่นน่ะ คือ คุณต้องเป็นภรรยาของผมละ"
            "อะไรนะ?"
            "ผมก็เลยลางาน บอกกับนายว่า บ้านแม่ที่ Rhineland ถูกระเบิด และผมต้องไปช่วยดูแล"
            "นี่คุณ โกหกขนาดนั้นน่ะ ติดคุกเชียวนะ..ข้อหาโป้ปดมดเท็จ บิดเบือนสร้างสถานะการณ์"
            "ก็เขาเชื่อผมนี่..ดูหน้าผมซิ น่าเชื่อถือจะตายไป..นะ นะ แต่งงานกับผมนะ"
            "เรากำลังอยู่ระหว่างสงคราม ไม่ควรแต่งงานในสภาพที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้"
            "ก็ผมรักคุณนี่..คิดถึงแต่คุณทุกวัน ทุกเวลา ไม่ว่าจะกินจะนอน"
            "โธ่..คุณเวอร์เน่อร์ กรุณาเถอะ..อย่าพูดถึงมันเลย.."
            "ผมอยากจะพบกับคุณพ่อของคุณ อยากจะขอลูกสาวท่าน จะไปขอถึงเวียนนาด้วยตัวเอง รับรองว่าท่านต้องชอบผมแน่ๆ..ไม่เชื่อลองดูม๊ะ"

      
            ความคิดหาทางออกในสมองหมุนติ้วราวจักรผัน
            เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมาเจอกับปัญหานี้ ความตั้งใจเพียงแค่จะมาพบปะพูดคุยกันในฐานะคนที่เคยรู้จักเท่านั้น
            แต่ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า..ช่างกระตือรือล้น..พร้อมที่จะไปพบกับพ่อแม่ของฉันอย่างมุ่งมั่น ..แล้วฉันจะไปหาพ่อแม่ที่ไหนมาอ้างกันเล่า?
            "ได้โปรดเถอะค่ะ นี่มันรวดเร็วไป เราเพิ่งรู้จักกันไม่นานมานี้เอง"
            "สำหรับผม..แค่นี้ก็เหลือแหล่ ผมน่ะเป็นคนใจร้อนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร"
            "ก็ทำไมไม่จดหมายมาบอกกันก่อน ทำไมต้องปดกับที่ทำงานด้วย?"
            เขาทอดตัวเอนยาวไปกับเก้าอี้ ถอนหายใจออกมายาว บอกด้วยเสียงเรียบๆว่า
            "เพราะ..ผมรู้สึกผิดน่ะซิ ผมโกหกคุณหมดทุกอย่างเลยนะ ความจริงก็คือว่า..ผมแต่งงานแล้วและกำลังอยู่ในระหว่างการหย่าร้าง แม่หนูบาร์เบิ้ลที่ผมบอกว่าเป็นลูกสาวของน้องชายนั้น..จริงๆแล้วคือลูกสาวของผมเอง
            เมื่อไหนๆก็จะต้องมาสารภาพกับคุณ ผมจึงอยากที่จะมาบอกด้วยตัวเอง และที่สำคัญคือ ผมรักคุณ รักคุณมาก จนรู้สึกได้ว่าคุณเป็นเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตผม
            ไปอยู่ที่แบรนเดนเบอร์คกับผมนะ..คนดี พอการหย่าร้างเสร็จสิ้นเรียบร้อย เราก็มาแต่งงานกัน"
            สิ้นประโยคสารภาพของเขา มือที่ถือถ้วยกาแฟของฉันไหวระริก จนกาแฟกระฉอกออกมาเปื้อนผ้าปูโต๊ะด่างเป็นวง เขามุ่งหมายใจที่จะพาฉันไปพบกับญาติคนอื่นๆให้ได้
            เช่น น้องชาย น้องสะใภ้
            แม้กระทั่งป้าพอลล่าผู้แสนดี ยังไม่นับกลุ่มเพื่อนๆที่เขาอ้างชื่อคนโน้นคนนี้มาสารพัด

            ระหว่างทางที่เราเดินไปด้วยกันในหอศิลปที่สองข้างผนังนั้นประดับประดาไปด้วยภาพของท่านผู้นำฮิตเล่อร์
            ท่านแม่ทัพเกอริง ภาพของท้องฟ้าที่ฉานไปด้วยสีเพลิง ภาพของทหารที่สวมหมวกเหล็ก มีใบหน้าเคร่งเครียด ไม่ได้เปลี่ยนอารมณ์ของเวอร์เน่อร์ให้เอนเอียงไปพูดหรือคิดถึงเรื่องอื่นได้เลย นอกจากเรื่อง"ของเรา"ในอนาต


            เขาเกาะกุมมือของฉันอย่างไม่ยอมปล่อย
            เล่าเรื่องของเขาไปเรื่อยๆว่า เขามีงานทำที่ดี มีแฟลตที่อยู่อาศัยสวยงาม ซึ่งจะนำมาซึ่งความสุขให้กับฉันได้อย่างไม่ยาก
            เขาเสริมต่อว่า..
            "คิดดูนะ..อ่างอาบน้ำสวยๆ เก้าอี้โซฟางามๆ
            อ้อ..รถโฟล์คสวาเกนอีกล่ะ ผมจะหามากองแทบเท้าคุณให้หมด"
            "บ้านเมืองของเราทุกวันนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนเลยนะคะ ถ้าคุณต้องออกไปแนวหน้าและมีอะไรที่ร้ายแรงเกิดขึ้นมาล่ะ..จะทำอย่างไร?"
            "พวกเขาไม่มีวันส่งผมไปตายหรอกน่า ก็ผมเป็นคนพิการ ตาบอดข้างหนึ่ง..จำไม่ได้เหรอ?"
            "ก็แล้วถ้าเผื่อว่า ..เกิดมีการระเบิดที่สถานพยาบาล แล้วฉันโดน.." ฉันพยายามบ่ายเบี่ยงอย่างเต็มที่
            "อ้าว..แล้วเกิดว่าเขาส่งคุณไปประจำที่กาชาดอื่นๆ เกิดคุณไปเจอกับทหารเจ้าชู้เข้า มันมาจีบคุณ หลงรักคุณหัวปักหัวปำอย่างที่เกิดขึ้นกับผมนี่ล่ะ ผมไม่ยอมหรอก
            แค่คิดก็ทำใจไม่ได้แล้ว" เขายังดื้อดึงต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดละ
            "โอย..หยุดก่อนเถอะ คุณเวอร์เน่อร์"
            "ไหน..เล่าเรื่องคุณพ่อของคุณให้ผมฟังบ้างซิ"
            (หนอย..อยากจะรู้นักเหรอ..พ่อฉันเป็นยิว..ยิวชั้นดีด้วย และถ้าพ่อมีโอกาสได้มาล่วงรู้ว่าฉันกำลังเดินควงอยู่กับผู้ชายอย่างคุณ พ่อคงฆ่าฉันให้ตาย ก่อนที่ท่านจะเป็นลมตายไปอีกรอบหนึ่ง)
            "เรื่องคุณแม่คุณด้วย ผมอยากฟัง"
            (แม่ฉันอยู่ที่ค่ายกักกันในโปแลนด์ เพราะไอ้ฮิตเล่อร์.. นายของเธอส่งไปน่ะซิ)
            "พวกพี่ๆน้องๆของคุณล่ะ?"
            (พวกเขาไปอยู่ในปาเลสไตน์ กำลังร่วมมือกับกองทัพอังกฤษให้เข้ามาบดขยี้พวกนาซีไงล่ะ ขอให้พระเจ้าคุ้มครองพวกเขาให้ประสบความสำเร็จด้วยเถิด..เจ้าประคุณ)
            "เรื่องญาติโยม พี่ป้าน้าอาคนอื่นๆด้วยนะ อ้อ แฟนเก่าๆของคุณด้วย"
            (สาบสูญกันไปหมดแล้ว บางคนก็ตายจาก ถึงอยู่ก็อยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานเต็มที ตายไปเสียได้ก็สิ้นเคราะห์)
            "ผมรักคุณจัง..ยังไงก็ต้องแต่งงานกับคุณให้ได้"
            (โอย..ไม่เอา..ไปให้พ้น ฉันทำไม่ได้หรอก ใครต่อใครจะต้องมาพลอยรับเคราะห์ โดยเฉพาะคนที่มีบุญคุณล้นหัว คุณนายไนเดอร์รัลล์ คริสตัลเพื่อนรัก เป็ปปิ แล้วก็คุณด้วย)
            ความคิดในสมองได้ถึงจุดประทุ..ฉันกรีดเสียงออกมาด้วยความร้าวรานว่า..
            "คุณ..ฉันไม่อาจจะร่วมทางเดินกับคุณได้อย่างเด็ดขาด ขอได้โปรด..."
            "ทำไมล่ะ กรีท..คุณให้สัญญากับใครไว้ก่อนแล้วหรือ..ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนหน้านี้ล่ะ ทำไมคุณถึงใจดำกับผมอย่างนี้.."
            ใบหน้าของเขาซีดเผือด มีทีท่าเสียใจระคนผิดหวังอย่างสุดหัวใจ ซึ่งมันได้สร้างความเจ็บปวดให้กับฉันอย่างทวีคุณเช่นกัน
            และโดยที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว..ฉันได้โอบคอเขาแน่น
            กระซิบที่หูของเขาด้วยน้ำเสียงสุดเยียบเย็นว่า..
            "ฟังให้ดีนะที่รัก ที่ฉันแต่งงานกับคุณไม่ได้ เพราะฉันเป็นยิว..ได้ยินไหม..ว่า ฉันคือยิว ที่มีประวัติอยู่ที่เกสตาโปในเวียนนา และเท่าที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ คือ ของปลอมทั้งสิ้น !!!"

      
            เวอร์เน่อร์หยุดชะงักนิดหนึ่ง เขาดันฉันออกห่างไปจนสุดแขน ทำหน้าเคร่ง หรี่ตาแบบมีเลศนัย ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง และกล่าวว่า
            "โอ้โห..ที่คุณต้มผมจนเปื่อยเลยนะเนี่ย.."
            ตอนนี้..สีหน้าของเขานั้นไม่ต่างไปจากสีหน้าของพวกทหาร SS ในภาพวาดพวกนั้นเลยแม้แต่นิด..
            (โอย..:-)..หลุดปากบอกเขาไปได้อย่างไร นี่มันตายกับตายสถานเดียวเลยนะ) ฉันคิดด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง ถ้าเขาจะจับไปฆ่าไปแกง ฉันก็จะไม่เสียดายชีวิตแม้แต่นิด
            แต่..คริสตัลเท่านั้น ที่จะต้องเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส ยิ่งคิดฉันยิ่งเป็นห่วงอย่างสุดใจ
            "งั้นถือซะว่า..เราหายกันก็แล้วกันนะ" เวอร์เน่อร์พูดขึ้นมาอย่างหน้าตาเฉยในที่สุด เหมือนกับสิ่งที่ได้ยินคือเรื่องจิ๊บจ้อย เขากล่าวต่อว่า
            "ก็ผมโกหกคุณ..เรื่องที่ว่าเป็นโสด คุณโกหกผมในเรื่องว่าเป็นอารยัน สรุปก็หายกันไง..แต่งงานกับผมนะ"
            "จะบ้าเหรอ..เราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เกิดมีคนรู้ขึ้นมาจะทำไง?"
            "จะไปรู้ได้ไงล่ะ ถ้าคุณไม่ไปบอกใครอื่นนอกจากผม..หรือคุณคิดจะไปโพนทะนาบอกใครอีก?"
            "อย่าพูดเล่นไป..นี่มันเรื่องคอขาดบาดตายนะ คุณคงไม่เข้าใจว่าโทษทัณฑ์นั้นมันร้ายแรงนัก แค่คุณมาคบค้ากับฉันก็มีความผิดถึงขั้นติดคุก หรือส่งไปค่ายนรก
            แล้วพวกเขาจะเอาฉันและเพื่อนไปทรมานจนตาย คุณไม่กลัวหรอกหรือ?"
            เวอร์เน่อร์หัวเราะออกมาดังๆ บอกมาหน้าตาเฉย..ว่า..ไม่กลัว
            "อ้อ..แล้วความจริงอีกเรื่องหนึ่งคือ ฉันอายุยี่สิบแปดแล้วนะ ไม่ใช่ยี่สิบเอ็ด"
            "แล้วไงล่ะ อายุเท่าไหร่แล้วไง..?" เขาตอบด้วยทีท่าสบายๆไม่มีกังวลใดๆ

            เราทั้งสองได้เดินไปถึงส่วนที่ตั้งภาพปั้นครึ่งตัวของท่านผู้นำฮิตเล่อร์ที่ประดิษฐานอยู่อย่างเด่นเป็นสง่า เขาหยุดนิ่งและหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นจริงเป็นจังว่า
            "คุณทำอาหารอื่นๆอร่อยเหมือนอย่างกับเค้กที่คุณส่งไปให้ผมหรือเปล่า?"
            ฉันพยักหน้า...โกหกไปแบบไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไม..
            ช่างประหลาดเหลือเกินในความเป็นลูกผู้หญิงนี่..ศักดิ์ศรีมันช่างมากมายจนไม่อาจหาคำมาบรรยายได้
            ฉันยอมสารภาพความจริงในเรื่องเป็นยิวให้เขารู้ได้อย่างไม่กลัวตาย
            แต่เรื่องที่จะให้สารภาพว่าเป็นคนไม่เอาไหน ทำกับข้าวไม่เป็น ไม่เก่งนั้น..เป็นตายอย่างไรก็ยอมรับไม่ได้
            แต่กระนั้น..ฉันก็ยังยืนยันในเรื่องการตัดรอนสัมพันธ์ระหว่างเรา
            "กลับไปเเบรนเดนเบอร์คเถอะค่ะ ลืมเรื่องของเราให้หมด ฉันจะไม่ถือเอาจริงเอาจังกับคำสัญญาของคุณ"

            เวอร์เน่อร์กลับไปยังแบรนเดนเบอร์คจริงๆ แต่ไม่ใช่กลับไปคิดทบทวนใหม่แต่อย่างใด เพราะคนอย่างเขาเมื่อตัดสินใจแล้ว นั่นคือ เด็ดขาด..
            คุณๆคงสงสัยกันนะว่า..ฉันไม่กลัวว่าเขาจะไปแจ้งความเรื่องการพบสาวยิวปลอมตัวอย่างฉันหรือไร..
            ไม่กลัวว่าเกสตาโปจะไปลากตัวคุณนายเคิร์ลในฐานะที่ให้ที่ซุกหัวนอนกับคนอย่างฉันนั้นหรือ..
            บอกตามตรง..ฉันเชื่อลึกๆว่า เวอร์เน่อร์ต้องไม่เป็นเช่นนั้น เขาต้องไม่ขายฉันอย่างแน่อน ด้วยเหตุผลใดที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ฉันตอบไม่ได้..
            มันอาจเป็นเพราะ ฉันหมดทางเลือกอื่นใดแล้วกระมัง?

            เขาส่งโทรเลขมาติดกันจนถี่ยิบ เล่าถึงเรื่องการวิ่งเต้นติดต่อให้ฉันไปพักกับครอบครัวของเพื่อนที่มีห้องว่าง..และ ให้ไปอยู่จนกว่าการหย่าร้างของเขาจะสิ้นสุด
            ฉันรู้จักเกรงๆในเรื่องโทรเลขเหล่านั้น เกรงไปว่า อาจเป็นพิรุธจนเป็นที่น่าสงสัยจนเรื่องไปถึงหูพวก SS
            และเกรงไปว่า ถ้าสภากาชาดส่งฉันออกไปอยู่ในแนวหน้าอย่างโปแลนด์
            ฉันจะไปหาเอกสารเดินทางมาจากไหน
            ดังนั้น..ทางออกที่จะไปอยู่กินกับเวอร์เน่อร์ที่เป็นสมาชิกของพรรคนาซี อีกทั้งทำงานชิ้นสำคัญคือการประกอบเครื่องบินสู้ศึกนั่นก็เป็นเกียรติประวัติอันงดงาม
            ซึ่งน่าจะปลอดภัยดีกว่าอยู่เป็นผู้หญิงโสดหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างนี้

            เมื่อตกลงใจได้..ฉันจึงเขียนจดหมายไปบอกเป็ปปิ เล่าให้ฟังถึงเรื่องทั้งหมด เขาตอบกลับมาด้วยอารมณ์โกรธด้วยถ้อยคำรุนแรงด่าว่า..ว่า
            "คุณทำไปได้อย่างไรกัน ที่จะไปอยู่กินกับพวกอารยัน จำคำสัญญาที่คุณให้ไกับพ่อคุณไม่ได้หรือไง..พ่อคุณคงไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆถ้าท่านรู้เข้า แล้วคุณไม่เคยคิดเลยหรือ
            ว่า ผมยังรักคุณอยู่นะ.."
            ใช่ซิ..ฉันยังจำได้ดีถึงความรักห่วยๆของเขาเสมอ ว่า..
            เขาไม่เคยหาที่ซุกหัวนอนให้กับฉันในยามที่เดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็นในเวียนนาครั้งโน้น
            แม่ของเขา..ที่แสนเป็นคนกว้างขวางในพื้นที่..ไม่เคยหยิบยื่นน้ำใจมาให้..แม้แต่ชาเพียงสักถ้วยเดียวก็ไม่เคย..
            และครั้งหนึ่งที่คุณนายไนเดอรัลล์ได้พูดไม่ถูกหูเพียงคำเดียว
            เขาไม่เคยมองหน้าหรือพูดจากับเธออีกเลย ทั้งๆที่ผู้หญิงคนนี้มีบุญคุณกับฉันอย่างล้นเหลือ
            เขาเคยมีโอกาสที่จะพาฉันออกไปอยู่กันนอกประเทศ อย่างอังกฤษ เขาก็ไม่ยอมทำ
            หรือโอกาสที่จะพากันไปสร้างตัวในเยรูซาเล็มตั้งแต่ควันสงครามเริ่มกรุ่นขึ้นนั้น..เขาก็ไม่ยอม
            เพราะ..เขาอ้างว่า เขาจะห่างแม่ที่แสนใจร้ายของเขานั้นไม่ได้
            นี่แหละ..คือ ความรักของเป็ปปิ ที่ฉันจำได้อย่างไม่มีวันรู้ลืม..!!
            มาถึงบัดนี้..ได้มีอัศวินขี่ม้าขาวที่ได้หยิบยื่นหัวใจรักให้กับฉัน โดยที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น..ไม่ใช่ความรักอย่างเดียวที่ได้มอบให้ เขาได้เสนอตัวเป็นเกราะกำบัง
            ที่จะทำให้ฉันได้อยู่อย่างรอดปลอดภัยจากเงื้อมมือมารอีกเล่า..
            ทั้งหมดนี้..ต้องขอขอบคุณพระเจ้าที่ยังทรงมีเมตตาประทานแสงสว่างและโอกาสใหม่ให้แก่ชีวิตที่อับจนอย่างฉัน

            คุณนายเคิร์ลและสามี แอบเข้าไปในป่า ลอบตัดต้นสนคริสมาสต์ต้นเล็กๆมาให้ (เพราะมันเป็นข้อห้าม) แต่ทั้งคู่ไม่อยากให้ฉันเดินทางไปที่แบรนเดนเบอร์คด้วยมือเปล่า
            ดังนั้น..ในวันที่ 13 ธันวาคม 1942 ฉันได้เดินทางไปพบเวอร์เน่อร์พร้อมกับต้นคริสมาสต์น้อยๆที่มัดห่อมาอย่างดีในกระเป๋าเดินทาง..


            ฉันเริ่มใช้ชีวิตเหมือนกับแม่บ้านเยอรมันทั่วๆไป ซึ่งน่าอิจฉาที่สุดในโลก เพราะในยุคนาซีนี่..แม่บ้านทั้งหมดไม่ต้องกระดิกนิ้วทำอะไรทั้งสิ้น ท่านผู้นำต้องการให้พวกเธอทั้งหมดทนุถนอมร่างกายให้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้ขยายพันธ์ให้มากที่สุด
            ฉันพยายามทำตัวให้เรียบง่าย ไม่สุงสิงกับใคร และบอกตัวเองว่า ฉันคือ กรีท เดนเน่อร์ พยายามลืมอดีตที่ผ่านมาให้หมด
            แต่..ใครเล่าจะรู้ได้ว่า จากภายนอกที่มีท่าทางติ๋มๆนั้น
            ภายในใจของฉันร้อนระอุไปด้วยความหวาดระแวง ความเครียด ความกังวล จนกลายเป็นคนที่ข่มตาให้หลับได้อย่างยากยิ่ง
            เวอร์เน่อร์พักอยู่ในบ้านของบริษัทที่เป็นสวัสดิการให้กับพนักงาน โครงการนั้นใหญ่โตที่มีแฟลตตั้งอยู่เรียงเป็นแถว นับได้ถึงสามพันห้อง ซึ่งค่าเช่านั้นได้หักไปจากเงินเดือนทุกเดือนก่อนที่จะถึงมือ

            บริษัทผลิตเครื่องบิน อาราโด เป็นบริษัทที่ใหญ่โต และเป็นบริษัทแรกได้ผลิตเครื่องบินเจ๊ตทิ้งระเบิด เจ้าของคือ นายฟีลิกซ์ วากอนเฟอร์ และ นาย วอลเตอร์ บลัม
            ทั้งสองเป็นยิ่งกว่าอภิมหาเศรษฐี โดยเฉพาะคนหลัง คือ นายบลัมนั้นได้เป็นผู้อำนวยการของสำนักงานงบประมาณให้กับกองทัพเยอรมัน ท่านอัลเบิร์ต สเปียร์(รมต. กระทรวงสงคราม) ถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นศาสตราจารย์อีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
            ในปี 1940 ทางบริษัทมีพนักงานแค่ 8,000 คน พอมาถึงปี 1944 มีเพิ่มขึ้นเป็น 9,500 คน สามสิบห้าเปอร์เซนต์ในนั้น คือ พวกแรงงานต่างชาติ
            พวกคุณคงสงสัยกันใช่ไหมว่า..ทำไมท่านผู้นำถึงได้ให้คนต่างชาติมาทำงานในสถานที่ผลิตยุทธภัณฑ์สำคัญเช่นนี้ จะตอบให้ว่า..เป็นเพราะ ท่านผู้นำไม่ต้องการใช้แรงงานหญิงอย่างที่เล่ามาน่ะซิ ท่านบอกว่าผู้หญิงเยอรมันมีหน้าที่ดูแลบ้าน ดูแลสามี และเป็นแม่ที่ดีเท่านั้น
            ในตอนนั้น ข่าวที่มาจากอังกฤษ และอเมริกาก็มีมาว่า พวกพลเมืองผู้หญิงของเขาต้องเข้าไปทำงานในโรงงาน รัฐบาลได้ช่วยสงเคราะห์เลี้ยงดูบุตรให้
            แต่..ท่านฮิตเล่อร์มีความคิดที่สวนทางอย่างสิ้นเชิง แม่บ้านเยอรมันได้รับเงินทองเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องทำงาน ยิ่งเป็นแม่พันธ์ดี พันธ์ดกด้วยละก้อ มีสิทธิได้รับเหรียญรางวัล
            ฉะนั้น ในโรงงานต่างๆ อย่าง อาราโด จึงมีแต่คนงานชาย ที่ส่วนใหญ่แล้ว..ไม่เด็กเกิน ก็แก่หงำเหงือก
            พวกแรงงานต่างชาตินั้น พำนักอยู่ในค่ายพนักงานที่มีด้วยกันถึงแปดค่าย..
            พวกชาวดัทช์ที่มีฝีมือทางช่างยนตร์ก็จะกินดีอยู่ดีหน่อย ฝรั่งเศส..ก็เช่นกัน เพราะฝรั่งเศสนี่เป้นอะไรที่ชาวเยอรมันมักจะเกรงใจในเรื่องของความสามารถและความเนี๊ยบ..
            ส่วนพวกอิตาเลี่ยน ที่ความจริงแล้วจะนับว่าเป็นแรงงานต่างชาติก็จะเป็นการไม่ให้เกียรติกัน เพราะ เขาคือแนวร่วมสัมพันธมิตรของสงครามครั้งนี้ แต่..เป็นแนวร่วมที่ไม่เคยได้ลงรอยกันเลย
            พวกเยอรมัน ต่างเดียจฉันท์ อิตาเลี่ยนว่า..มารยาททราม ขี้ขลาดตาขาว
            พวกอิตาเลี่ยนก็หาว่า พวกเยอรมันนั้น ป่าเถื่อน ไม่มีวัฒนธรรม อีกทั้งพวกเขาเกลียดอาหารเยอรมันอย่างที่สุด
            เพื่อนข้างบ้านเคยเล่าให้ฉันฟังว่า เธอได้พบกับชาวอิตาเลี่ยนในร้านอาหาร และ ทันที่ที่ได้ชิมใส้กรอกเยอรมันเข้าไป เจ้าพวกนั้นถึงกับถ่มถุยลงกับพื้น และ ตระโกนด่าก่อนออกจากร้านไปว่า
            คงมีแต่พวกฮั่นในยุคบาเบเรี่ยนเท่านั้น ที่จะสามารถกระเดือกอาหารแบบนี้ลงคอไปได้ !!

            ส่วนพวกแรงงานจากฝั่งตะวันออก เช่น โปล์ เซิร์ป รัสเชี่ยน พวกนี้น่าสงสารอยู่ในสภาพไม่ต่างกับจองจำในคุก เพราะ มีผู้คุมคอยเฝ้าตลอดเวลา


            แฟลตคนงานแต่ละตึกนั้นมีสี่ชั้น ชั้นละมีสามยูนิตที่อยู่อาศัย ของเรานั้นอยู่ที่ชั้นแรก ที่ข้างหน้ายังเป็นลานกว้างเพื่อเตรียมจะสร้างสวนหย่อม แต่ตอนนี้ยังเป็นที่ใช้วางถังขยะ
            ในแฟลต มีห้องนอนหนึ่งห้อง และห้องโถงที่ใช้อเนกประสงค์ มีเป็นทั้งครัว ห้องนั่งเล่น ห้องรับแขก และห้องทานข้าว และมีห้องว่างเล็กๆอีกห้องหนึ่งซึ่งเราเก็บไว้เผื่อรับแขกใครไปใครมา
            ส่วนห้องน้ำนั้น มีอ่างอาบน้ำ..ถ้าจะใช้น้ำร้อนเราสามารถนำน้ำใส่กาไปตั้งไปเครื่องทำความร้อนเพียงพักเดียวก็เอาไปรินใส่ในอ่างอาบได้เลย
            เตาทำอาหารนั้น ออกแบบมาพิเศษสำหรับยุคสงคราม คือ ใช้ไฟฟ้า แต่ถ้าเกิดว่า ไฟฟ้าดับ..ก็สามารถใช้เชื้อเพลิงถ่านหินทดแทนได้ในช่องที่ได้ออกแบบมาเตรียมไว้ให้
            เวอร์เน่อร์ได้ระมัดระวังเรื่องการติฉินนินทา โดยการกันให้ฉันไปพักอยู่กับภรรยาเพื่อนของเขา คือ
            นางไฮล์ดี้ ชเลเกล สาวนิสัยดีที่อาศัยอยู่ห่างไปจากแฟลตของเขาเพียงไม่กี่ห้อง
            นายไฮนซ์ ชเลเกล สามีของเธอยังอยู่ในแนวหน้าทางตะวันออก เขาเป็นช่างเช่นกัน ทั้งคู่ไม่มีบุตร ซึ่งนี่คือปัญหาที่ไฮล์ดี้ต้องขยันไปพบแพทย์เพื่อขอความช่วยเหลือ
            แม้กระทั่งการผ่าตัดขจัดปัญหาของการมีลูกยาก
            รัฐบาลจ่ายให้หมดทุกบาททุกสตางค์ เธอเล่าให้ฟังว่า..
            "ตอนที่ไฮนซ์เข้าร่วมในกองทัพนะ เขาเกิดบาดเจ็บนิดหน่อย ต้องนอนโรงพยาบาล พวกเขาออกเงินให้ฉันไปเยี่ยมถึงที่นั่นเลย โอย..กรีทเอ๋ย..เรามีความสุขกันมาก
            ยังกับฮันนีมูนเลยเชียว เพราะนั่นมันเป็นการพักผ่อนตากอากาศครั้งแรกในชีวิตของฉันเลยนะเธอ ครอบครัวฉันน่ะจ๊น..จน..สมัยที่ฉันยังเป็นเด็กๆ พ่อไม่เคยมีงานทำเป็นหลักเป็นแห่ง เราต้องอาศัยกับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยๆ
            พอท่านผู้นำขึ้นมามีอำนาจ ท่านก็จัดให้มีกลุ่ม"ยุวชน
            ฮิตเล่อร์"ที่ฉันก็เข้าร่วมด้วย ตอนที่อายุได้สิบห้า ฉันได้ไปงานกินเลี้ยงเป็นครั้งแรกในชีวิต
            กรีท..เธอเชื่อไหม..ว่า เขาเสิร์ฟขนมปังก้อนกับเนยสดด้วยละ..มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของฉันเลยนะที่ได้มีโอกาสลิ้มรส"เนย"จริงๆกะเขา "
            (เพราะเหตุนี้ละหรือ แค่กับการได้กินเนยเนี่ยะนะ..ที่มันทำให้พวกเธอถึงได้ตาบอด หูหนวก ไม่รู้เลยว่า ท่านผู้นำของเธอนั้น ได้กระทำทารุณโหดร้ายใหเกับใครเขาบ้าง..)
            ไฮล์ดี้ได้เล่าต่อไปว่า..
            "ฉันรู้สึกเสมอว่าเป็นหนี้บุญคุณท่านทั้งชีวิต ขอให้ท่านอยู่เย็นเป็นสุข อายุมั่นขวัญยืนเถิ๊ดด..คุณพระคุณเจ้า"
            และ เราก็กระทบถ้วยชากันดังกิ๊ก..อวยพรให้กับท่านผู้นำผูมากไปด้วยความดี..เพราะฉันไม่มีทางเลือกอื่นใด..!!

            ไฮล์ดี้เป็นคนเดียวที่ฉันสนิทสนมด้วย เธอได้พาฉันไปให้รู้จักร้านขายของ ตลาดสด และเธอได้เล่าเรื่อยเปื่อยไปถึงอลิซาเบธ ภรรยาเก่าของเวอร์เน่อร์ ว่า
            "อลิซาเบธเป็นคนร่างสูงใหญ่ สูงกว่าเวอร์เน่อร์ด้วยมัง เจ้าอารมณ์ โมโหร้าย เวลาที่เขาทะเลาะกันนะ เสียงเอ็ดตะโรได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน ไม่เชื่อเธอลองไปถามคุณนาย
            ซิคเกอร์ ที่อยู่ห้องข้างๆดูซิ บางทีก็ตีกัน ไม่รู้ว่าใครตีใคร ชุลมุนไปหมด ไม่เป็นที่น่าสงสัยเลยว่าทำไมเวอร์เน่อร์ถึงได้เลือกผู้หญิงใจเย็นอย่างคุณมาเป็นแฟน"


            ตอนที่เขาแยกกัน อลิซาเบธได้ขนเครื่องเรือนออกไปจนเกือบหมด เหลือติดบ้านไว้ให้ไม่กี่ชิ้น
            ซึ่งเวอร์เน่อร์ได้ใช้ความเป็นช่างศิลปของเขาจัดแจงตกแต่งทาสี เปลี่ยนบรรยากาศเสียใหม่ก่อนที่ฉันจะย้ายเข้าไป เขาได้ใช้ผนังส่วนที่เป็นไม้..ระบายสี วาดภาพเป็นรูปผลไม้ที่พันไปตามเถากิ่งไม้ โดยการใช้เทคนิคที่เรียกว่า
            Scheiflack ที่มีขั้นตอนที่ซับซ้อน คือ การขัดไม้ด้วยกระดาษทราย เครือบเงา ทาสี แต่เมื่อเสร็จออกมาแล้ว มันสวยงามจนฉันอดรู้สึกภูมิใจในตัวเขาไม่ได้
            เขาถามฉันว่า.."คุณว่าไง..?"
            ฉันตอบไปดังที่ใจคิดว่า" สวยมาก ฉันเชื่อแล้วละว่า คุณคืออาร์ติสต์ผู้ยิ่งใหญ่.."
            ในเดือนมกราคม..หลังจากที่การหย่าร้างของเขาได้เสร็จสิ้น ฉันจึงได้ฤกษ์ย้ายเข้าไปอยู่ด้วยในฐานะคู่ผัวตัวเมีย ซึ่งตรงนั้นคือจุดเริ่มต้น ของชีวิตใหม่
            ชีวิตที่บอกว่าฉันคือแม่บ้านเยอรมัน ที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง มีผู้คุ้มครองดูแล และมีอนาคต..

            เราทั้งสองพยายามอยู่อย่างสันติสุข เพราะในฐานะอย่างฉันไม่อาจเรียกร้องขอสิทธิอะไรได้มากนัก หน้าที่ของช้างเท้าหน้าเป็นของเวอร์เน่อร์ทั้งหมด
            ส่วนฉัน..ได้เก็บปากเก็บคำในเรื่องของความเป็นยิวอย่างสนิท ไม่เคยเอ่ยเอื้อนให้แสลงใจอีกเลย
            ชื่อของ อีดิธ ฮาห์น นั้น ถูกลบหายไปจากความทรงจำ
            ฉันได้ทุ่มเทพลังงานและพลังสมองพัฒนาในเรื่องที่ได้เคยโกหกเขาไว้..คือเรื่องที่ว่า ฉันคือแม่ครัวมือดี..
            คุณนายไนเดอรัลล์ได้จัดการส่งหนังสือและสูตรตำราทำกับข้าวมาให้..ในชื่อว่า.."ปรุงด้วยรัก "
            ซึ่งฉันได้ฝึกหัดอย่างมุมานะ ทุกๆเช้า ฉันจะตื่นเวลาตีห้าตรง เพื่อที่จะทำอาหารเช้า และเตรียมอาหารกลางวันให้เขานำไปทานที่ทำงาน
            อาหารส่วนของฉันมักหนักไปทางมันฝรั่ง เพื่อที่จะเหลือขนมปังไว้ทำแซนวิชให้เวอร์เน่อร์ หรือยามที่ต้องไปเข้าเวรพยาบาลที่สภากาชาด
            ฉันได้เตรียมเครื่องปรุงอาหารง่ายๆ อย่าง แพนเค้กมันฝรั่ง ไว้ให้เขาทำทานเอง
            ซึ่งตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เขาอ้วนขึ้นกว่าเดิมสองกิโล.
            ป้าพอลล่าแวะมาเยี่ยมบ่อยๆ และสอนไว้เสมอว่า เวอร์เน่อร์ชอบความสะอาดแบบชนิดหมดจดไม่มีฝุ่นจับ
            ขอให้ถือว่าการเช็ดถูคือเรื่องที่ต้องกระทำอย่างจริงจัง
            และต้องทำในทุกขณะจิต
            ซึ่ง..วันหนึ่งที่เขากลับมาถึงบ้าน เขาได้เอามือไปลูบที่ขอบประตูด้านบน ซึ่ง เขาต้องได้พบกับความประหลาดใจที่ได้พบว่ามันสะอาดเกลี้ยงเกลา
            เพราะ ฉันได้ปีนขึ้นไปเช็ดตามคำสอนของป้าพอลล่า..ที่ได้เตือนไว้ว่า..บททดสอบจะมีมาเรื่อยๆ อย่าวางใจ
            เวอร์เน่อร์ถึงกับชมเปาะในความเป็นแม่บ้านอนามัยจัดของฉัน

            (หมายเหตุนะคะ ว่า.... กิตติศัพท์ความเป็นคนสะอาดเนี๊ยบนั้น คือ แม่บ้านเยอรมัน อันเป็นที่รู้กันและมักนำมาใช้ในประโยคชมเชยและเปรียบเทียบในหมู่ชาวตะวันตกเสมอ...วิวันดา)

      

            เวอร์เน่อร์เป็นคนที่ชอบวางอำนาจ ชอบเอาเปรียบโดยนิสัยที่แท้จริง
            แต่ในยามบ้านเมืองอยู่ในยุคเผด็จการเช่นนี้เลยออกจะดูไม่ค่อยแปลกเท่าไหร่สำหรับคนอื่นๆ
            หากแต่สำหรับผู้ร่วมงานด้วย..เขาจึงมีปัญหาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเขามักจะใช้วิธีหลีกเลี่ยงด้วยการปั้นน้ำเป็นตัวอย่างใหญ่โตแทบทุกครั้ง เพราะการสร้างเรื่องโกหกมดเท็จนั้น
            เวอร์เน่อร์มีความชำนาญอย่างหาตัวจับยาก
            เขาสามารถสร้างมันขึ้นมาอย่างมีสีสันสุดบรรยาย ตัวอย่างเช่น ถ้าวันไหนเขาเกิดขี้เกียจไปทำงานขึ้นมา เขาจะโกหกบอกที่ทำงานว่า
            บ้านน้องชายที่เบอร์ลินถูกฝูงบิน RAF ของอังกฤษถล่ม พวกหลานๆไม่มีที่จะซุกหัวนอน ต้องไปนอนอยู่ตามข้างถนน ซึ่งเขาจำเป็นจะต้อง"หยุดงาน" ไปช่วยเหลือ ดูแล
            ซึ่ง..ที่ทำงานต่างก็พากันเชื่ออย่างหมดใจ

            อย่างเรื่องของฉันเอง..ในหลายๆปีต่อมาที่เราได้เลิกร้างจากกันไปแล้ว ฉันได้เผอิญรู้จักและสนิทสนมกับภรรยาคนหลังๆของเขา.....เธอเล่าให้ฟังว่า เวอร์เน่อร์ได้เคยเล่าให้ฟังถึง
            พ่อของฉันได้ฆ่าตัวตายโดยการกระโดดตึก เท่านั้นไม่พอ เขายังบอกว่า พ่อได้เอาเครื่องพิมพ์ดีดแขวนคอช่วยถ่วงน้ำหนักอีกด้วย ฉันเองก็สงสัยเหลือเกินว่า ทำไมเวอร์เน่อร์ต้องโกหกมากมายถึงขนาดนั้น
            แต่เมื่อมานึกๆดู เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่าที่จะสร้างเรื่องให้เธอฟังเพื่อความบันเทิง นั่นคือสิ่งที่เขาถนัดทำเพราะในยุคนั้น ชีวิตคนช่างอับเฉา อยู่ใกล้กับความตายตลอดทุกนาที การสร้างสีสันโกหกปลิ้นปล้อนเล็กๆน้อยๆ ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครนำมาใส่ใจ นอกจากฟังเอาสนุก

            เวอร์เน่อร์และฉันไม่เคยเอ่ยถึงเรื่อง"ยิว" กันเลย เพราะมันเป็นเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างที่สุดของเราทั้งสอง เขาทราบดีว่าพื้นฐานการศึกษาของฉันนั้นไม่ใช่ธรรมดา
            ซึ่งฉันไม่พยายามเอ่ยถึงมันเช่นกัน เพราะไม่อยากสร้างปมเขื่องในครอบครัวหรือทำตัวเหนือกว่าเขาด้วยประการทั้งปวง แต่อย่างน้อยก็ได้นำความรู้เดิมมาช่วยได้ในยามที่
            เห็นว่า..เขากำลังเสียทีให้กับอลิซาเบธในการหย่าร้าง
            ฉันได้ให้ข้อมูลไปว่า..ในข้อตกลงของการเลี้ยงดูบุตร เขาควรจะขอต่อศาลในการที่จะมีโอกาสเลี้ยงดูบุตรสาว แม่หนูบาร์เบิลคราวละหกอาทิตย์ เพราะเขามีสิทธิในการร้องขอ
            ในฐานะบิดา ซึ่งฉันได้ขยายเพิ่มเติมไปว่า..
            "ถ้าขอแค่ระยะสั้นๆ แค่วันหยุดเพียงวันสองวันนั้น คุณจะไม่มีโอกาสสนิทสนมกับลูกเลย แต่ถ้าขอรับมาเลี้ยงคราวละหกอาทิตย์นั้น คุณจะได้ใกล้ชิด ไปเที่ยวไหนๆด้วยกันได้"
            เวอร์เน่อร์จึงขอต่อศาลไปตามที่แนะนำ และได้รับอนุญาตตามนั้น ในเดือนมกราคม 1943 ที่การหย่าร้างได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์
            เขาดีอกดีใจ ถึงกับโอบเอวฉันเต้นว้อลทซ์ไปรอบๆห้อง ฮัมเพลงตามไปอย่างเบาๆ เขาชมว่า
            "มันวิเศษจริงๆเลยที่มีทนายความมาอยู่ด้วยในบ้านเนี่ย"


            ทุกๆเดือน เขาจะส่งเงินบางส่วนไปซื้อรถ(ที่กำลังอยู่ในการประกอบสร้างเพื่อประชาชน) ตามนโยบายของนาซี
            รถนั้นคือ รถ Volkswagen ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งาน
            เรียบง่าย และประหยัด
            แต่ฉันไม่มีความศรัทธาในเรื่องนี้แต่อย่างใด บอกตรงๆว่า..ไม่เชื่อ เพราะอย่างไรเสีย..มันก็คือนโยบายสูบเงินจากชาวบ้านแบบง่ายๆนั่นเอง ฉันได้บอกเขาว่า
            "คุณไม่มีทางได้รถนั่นมาครอบครองหรอก เชื่อเถอะ"
            "ได้ไง..ผมส่งเงินไปหลายงวดแล้วนะ "
            "ฉันสาบานได้เลย ที่รัก ..ว่า ไม่มีทาง"
            เขามองหน้าฉันนิ่งๆอยู่อึดใจ และอาจฉุกคิดขึ้นมาได้ หรืออาจจะเป็นลางสังหรณ์บางประการ ว่า สิ่งที่ฉันพูดมานั้นอาจเป็นความจริง เขาจึงล้มเลิกการผ่อนรถนั่นไป
            และสุดท้ายเขาก็คือ ชาวเยอรมันผู้โชคดีคนหนึ่งในจำนวนไม่กี่คนที่ไม่ได้ถูกนาซีปล้นทรัพย์ส่วนนี้ไปได้

            เรื่อง"หลับนอน" ก็อีกเช่นกัน..ที่เขาจัดให้เป็นระบบและระเบียบ ว่า เราต้องเข้านอนพร้อมกัน ตื่นพร้อมกัน ไม่มีใครสามารถทำตัวอ้อยอิ่งหรืออ้อยสร้อยบนฟูกได้
            และการให้ความสุขแก่เขานั้น ต้องมีครบถ้วน จะหาข้อแก้ตัวว่า ปวดหัวตัวร้อน หรือทำงานดูแลคนใข้ ดูแลปัดกวาดบ้านมาทั้งวันแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน ขอพัก ก็ไม่ได้
            ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะถ้าจะอยู่ในถ้ำเสือ ก็ต้องเลี้ยงเสือให้อิ่มหนำสำราญ ไม่มีการโต้แย้งให้เสียอารมณ์โดยใช่เหตุ
            ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องยาก คุณๆคงไม่ค่อยเข้าใจ ว่าผู้หญิงที่หมดสิ้นหนทาง ถึงขนาดต้องเสแสร้งว่าเป็นคนอื่นตลอดเวลาอย่างฉัน จะไปหาความรื่นรมย์ในเรื่อง"อย่างว่า" ได้อย่างไร
            คำตอบคือ..ได้ค่ะ ได้อย่างไม่มีปัญหา เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งเดียวที่มีส่วนช่วยอย่างมากในการผ่อนคลายความเครียดที่สุมอยู่ในสมองและในใจถึงแม้จะเดี๋ยวด๋าวก็ตาม
            แต่อีกส่วนหนึ่งก็คือ ฉันรู้สึกดีๆกับเวอร์เน่อร์มากขึ้นทุกวัน

            ปัญหาก็ยังมีอีก คือ ภรรยาเก่าของเขา อลิซาเบธที่ไม่ยอมปล่อยวางในเรื่องของฉันเอาเสียเลย ถึงแม้ว่า เธอจะได้ย้ายออกไปอยู่ที่เมืองอื่นแล้วก็ตาม
            แต่..ฉันรู้สึกได้ว่า เธอไม่ได้จากไปไหนเลย เพราะไม่ว่าบนโต๊ะอาหาร หรือ บนเตียงของเรา เหมือนมีเงาของเธอวูบวาบอยู่ตรงนั้นตรงนี้
            คุณนายซีคเกลอร์ เพื่อนบ้านได้เล่าให้ฟังว่า..
            "ตอนที่คุณไปทำงาน อลิซาเบธมาแวะที่นี่ ยังถามถึงคุณเลย ว่า ผู้หญิงเวียนนีสคนนั้นเป็นใครกันนะ ลูกเต้าเหล่าใครกัน ฉันก็เลยบอกเธอไปว่า..กรีทเป็นคนดี ที่เธอน่าจะดีใจที่แม่หนูบาร์เบิลได้แม่เลี้ยงที่แสนวิเศษอย่างนี้"
            จากคำบอกเล่า..ฉันสังเกตเห็นได้ถึงแววตาแห่งความ"สะใจ"ของเพื่อนบ้านที่ได้ประสบความสำเร็จในการที่สร้างเพลิงพิโรธให้กับอลิซาเบธได้
            เท่านั้นไม่พอ..อลิซาเบธยังไปเที่ยวบอกเพื่อนบ้านคนอื่นๆด้วยว่า ถ้าเกิดเวอร์เน่อร์ยังรักเธออยู่ และต้องการที่จะกลับมาดีกันอีก เธอก็โอเค..
            นี่คือสิ่งที่สร้างความกังวลให้ฉันอย่างเอกอุ เพราะว่า..ฉันต้องการที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา หากแต่เรื่องแต่งงานนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไหนจะต้องมีการเช็คประวัติ
            และที่มาทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง..
            แต่ถ้าไม่แต่ง..เกิดอลิซาเบธย้ายกลับเข้ามาจริงๆ..จะทำอย่างไร?


            อย่าว่าแต่..อิทธิพลของเธอยังหลอนฉันได้ขนาดนี้เลย
            แม้แต่เวอร์เน่อรเองก็โดนหยอกอยู่เมื่อไหร่ เขานั้นถึงขนาดถูกครอบงำเลยทีเดียว..
            คืนหนึ่ง..ขณะที่เราอยู่ในครัว ฉันกำลังนั่งชุนถุงเท้าเงียบๆ เขากำลังนั่งอ่านหนังสือ ที่ขอยืมมาจากห้องสมุดในที่ทำงาน สักพัก..หนังสือเล่มนั้นก็ร่วงสู่พื้น
            เขาผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย และพูดออกมาอย่างกราดเกรี้ยวว่า
            "คุณต้องรับผิดชอบในปัญหาเรื่องเงินของเรา เพราะคุณมันใช้จ่ายอย่างไม่บันยะบันยัง ซื้อเสื้อผ้ามาก็ใช้มันแค่หนสองหนก็ทิ้ง เพราะขี้เกียจซัก ขี้เกียจรีดหาความเป็นลูกผู้หญิงสักนิดก็ไม่มี"
            ฉันนั่งงงไปหมด..เขากำลังพูดถึงฉันหรือถึงใครกัน มองไปรอบๆห้องห้องก็ไม่มีใคร นอกจากฉันที่นั่งหัวโด่อยู่คนเดียว แต่ถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมานั่น
            มันไม่ใช่ฉันเลยสักนิด
            "เวอร์เน่อร์คะ..มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย?" ฉันถามออกไปอย่างเบาๆด้วยความมึนงง ซึ่งเขาไม่ได้ยินเสียด้วยซ้ำ พาตัวเดินกลับไปกลับมา งุ่นง่าน
            เอามือเสยผมไปมา และพูดต่อว่า
            "ผมทำงานหนักยังกับวัวกับควาย โกหกปั้นเรื่องหลอกคนเขาไปทั่วเพื่อที่จะหาสิ่งของมาปรนเปรอให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญให้กับคุณหรือ บาร์เบิล   คุณก็ยังไม่มีวันพอใจ ยังมีหน้ามาบอกว่า เพื่อนคนนั้นมีไอ้โน่น คนนี้มีไอ้นี่ อยากได้มันไปหมด"
            มาถึงตอนนี้ ฉันก็เข้าใจทันทีว่าเขาหมายถึงอลิซาเบธ และทุกคำพูดที่เขากล่าวมานั้น อาจจะมาจากจิตใต้สำนึกบทโต้แย้ง บทวิวาทะที่เขาและเธอเคยมีให้ต่อกัน
            "คุณคะ..คุณหย่ากับอลิซาเบธแล้วนะ อย่าเก็บมันมาคิดต่อไปเลย..ฉันค่ะ ฉัน..กรีท..ที่เรากำลังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขไงคะ หยุดคิดเรื่องเก่าๆเถอะค่ะ"
            เขากลับทุบกำปั้นเปรี้ยงไปบนโต๊ะทานข้าว มันแรงเสียจนทั้งช้อนและมีดกระดอนขึ้นมา จานที่จัดวางอยู่สั่นระริก เขาตะโกนว่า
            "ผมจะไม่ทนต่อไปแล้ว ในบ้านนี้ผมคือนาย..ที่คุณต้องเชื่อฟัง ไม่มีการซื้อของเข้ามาอีกต่อไป คุณจะต้องใช้ของเก่าๆที่มีอยู่ทั้งหมด ถ้าของจำเป็นของบาร์เบิล
            ผมจะเป็นคนซื้อเอง เข้าใจไหม??"
            สิ้นประโยค..เขาก็ทรุดตัวลงนั่งฮวบไปบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่อ่อนล้า
            ซึ่งกว่าฉันจะเรียกให้ขวัญกลับมาสู่เนื้อสู่ตัวเขาได้ ก็นานพอสมควร
            บัดนั้น ฉันได้สำนึกได้ว่า..กำลังอยู่กินกับคนที่บ้าๆบอๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ..คนดีๆที่ไหนเขาจะยอมมาร่วมหอลงโรงกับผู้หญิงยิวอย่างฉันกันเล่า??


            ของมีค่าที่สุดอีกชิ้นหนึ่งที่เวอร์เน่อร์มีในครอบครอง
            นั่นคือ เครื่องรับวิทยุ ที่เขาได้ใช้เศษกระดาษยัดไว้ตรงปุ่มหมุนหาคลื่น เพื่อเป็นการล๊อคให้ฟังได้แต่คลื่นของสถานีเยอรมัน
            วิทยุคือสิ่งเดียวที่สร้างความบันเทิงให้กับชาติในยามนั้น ถึงแม้ว่าจะมีแต่ข่าวรายงานสงครามรายวันก็ตามที แต่ก็ยังสามารถรับฟังเพลงจากคอนเสิร์ตต่างๆได้
            ส่วนรายการโปรปะกันดาของนายเกิบเบิลส์นั้น มีแทรกเข้ามาได้ในทุกเมื่อเช่นกัน
            ถ้าใครบังอาจฟังข่าวจากต่างแดนละก้อ มีโทษร้ายแรงถึงขนาดส่งไปทรมานในค่ายนรก และคนที่ทำความผิดสถานนี้นั้นมีให้นับได้เป็นพันๆคนทีเดียว

            ในช่วงของเดือนกุมภาพันธ์ต้นๆเดือน(1943) ข่าววิทยุได้รายงานมาว่า ทัพเยอรมันถูกต้านจนต้องถอยร่นออกมาในสงครามสตาลินกราด แต่แนวทางในการนำเสนอข่าว
            ออกมาในลักษณะแบบไม่ค่อยเคร่งเครียดเท่าไหร่ ตามสไตล์กลบเกลื่อนแบบฉบับของเกิบเบิ้ลส์ กล่าวคือ ก่อนการรายงานจะมีเสียงรัวของกลองมาปลุกใจนำมาเป็นการประเดิม
            ตามด้วยเสียงเพลงของ เบโธเฟน ฟิฟธ์ ซิมโฟนี่ ก่อนที่จะมีเสียงว่า
            "สงครามสตาลินกราดได้มาถึงที่สิ้นสุด ทหารของเราได้ต่อสู้จนถึงโลหิตหยาดหยดสุดท้าย กองพลที่หกภายใต้การนำของแม่ทัพพอลลัสถูกฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังเหนือกว่า
            เข้าควบคุมสถานะการณ์อยู่ในตอนนี้"
            ฟังแล้ว..ช่างออมชอมเสียจริง..แต่..ฮิตเล่อร์ได้ประกาศให้ทุกคนไว้อาลัยให้กับความสูญเสียของประเทศชาติในครั้งนี้ถึงสี่วัน มหรสพทุกชนิดให้งดหมด..

            วันที่ 18 กุมภาพันธ์ เสียงของนายเกิบเบิ้ลส์ได้ออกอากาศถึงการประกาศสงครามแบบสู้ตายทิ้งทวน ที่เรียกร้องให้ชาวเยอรมันทุกคนยอมสละชีวิต ร่างกายและวิญญาณ
            ให้กับท่านผู้นำเพื่อที่จะนำชัยชนะมาสู่ประเทศชาติ
            มาถึงตรงนี้...ผู้คนนับพันนับหมื่นได้ไปชุมนุมกันแวที่สวนลุมพินี เอ๊ย..ไม่ใช่ ไปที่สเตเดี้ยม ต่างไชโยโห่ร้องกันว่า
            Fuhrer befiehl, wir folgen!"
            ใจความว่า..ขอท่านผู้นำบัญชามาเลย พวกเราจะยอมทำตาม..
            นี่คือ..อานุภาพของการสื่อโปรปะกันดาล้วนๆ เพราะรัฐบาลได้ควบคุมสื่อมาอย่างหมดจดมาเป็นเวลาช้านาน จนผู้คนไม่รู้ถึง"อันตราย"ที่จะตามมาจากการแพ้สงคราม
            สตาลินกราดในครั้งนี้
            อีกทั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..กองทัพเยอรมันที่พ่ายแก่รัสเซียนั้นยับเยินเสียหายอย่างน่าทุเรศใจแค่ไหน
            นี่ยังไม่นับการพ่ายแพ้ของจอมทัพรอมเมลที่ เอล อาลาเมน
            แถมการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตรที่อาฟริกาเหนือนั่นอีก
            ไม่มีใครเข้าใจหรือสังหรณ์เลยว่า..นั่นคือจุดพลิกผันของเยอรมันที่กำลังจะเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้
            ทุกคนยังเชื่ออย่างหมดใจว่า..อีกไม่นาน อังกฤษจะต้องกลายมาเป็นเมืองขึ้น รวมทั้งที่อื่นในโลกนี้ด้วย..
            ในเมื่อฉันได้อยู่กับคนที่ไม่ค่อยฉลาดนักอย่างเวอร์เน่อร์ ข่าวของนาซีคือสิ่งเดียวที่เราต้องบริโภคเข้าไปทุกๆวัน

            ค่ำๆวันหนึ่งที่เขาต้องทำงานดึก ฉันมีโอกาสได้อยู่คนเดียวในบ้าน สายตาจ้องเขม็งไปวิทยุ และที่กระดาษที่ยัดไว้ตรงปุ่มหมุนหาคลื่น ในใจคิดว่า
            "หากเอามันออกล่ะ.." อีกใจหนึ่งก็ตอบว่า
            "อย่าเลย.."
            "น่าจะลองขยับดูนะ" คราวนี้ ฉันรู้สึกเหมือนว่า..เจ้ากระดาษนั่นส่งเสียงมา
            "โอย..ไม่ได้หรอก เดี๋ยวก็โดนส่งไปค่ายนรกที่ดักเฮา หรือ บุชเชิ่นวอลด์ หรอก " ฉันตอบกลับไปด้วยรู้สึกที่แหยงๆ
            "กลัวละซิ..งั้นก็จงโง่เง่าต่อไปก็แล้วกัน" ฟังมันว่า..
            ฉันรีบหันหลังให้กับเจ้าวิทยุนั่น..คิดอยู่คนเดียวว่าตัวเองนั้นท่าจะบ้าตามไปกับเวอร์เน่อร์ซะแล้วกระมัง..พูดกับกระดาษก็ได้ จึงหันหางานทำโดยการไปเช็ดถูพื้นครัว
            แต่เสียงของกระดาษนั่นยังตามมารังควานไม่หาย..
            "นี่..คุณนาย รู้ป่าวว่า ตอนนี้อีกคลื่นนึงใกล้ๆกันนี่นะ ข่าวจากไหน..จะบอกให้ก็ได้ว่า..จากบีบีซีเชียวนะยะ"
            "ไม่รู้ไม่ชี้"
            "ยังมีคลื่นจากมอสโคว์ด้วยละ"
            "อ้อ..ไหนจะ Voice of America อีก"
            "หุบปากได้ไหม?"
            "ลืมบอกไปว่า..เขาออกอากาศเป็นภาษาเยอรมันด้วยนะ"
            เสียงห้องข้างบนกำลังตอกตะปูบนฝาห้องดังกึงๆ อันเป็นกิจวัตรประวันค่ำคืนของเขาหลังเลิกงาน ส่วนภรรยาที่มีนามว่า คลาร่า มักชอบร้องเพลงเสียงลั่นในยามทำงานบ้าน
            เช่น ถูบ้าน รีดผ้า..
            เจ้ากระดาษได้ส่งเสียงมาสั่งสอนต่อว่า
            "เคยได้ยินบทกวีบทนี้ของเกอเต้บ้างไหม..ที่ว่า..ทำตัวขี้ขลาดหนึ่ง ไม่ใส่ใจหนึ่ง หงุมหงิมขี้อายหนึ่ง ขี้บ่นหนึ่ง มิสามารถชี้ทางพ้นทุกข์ให้ใครได้ไม่.."
            เท่านั้นเอง..สติของฉันก็ขาดผึง..เอื้อมมือไปสะกิดเจ้ากระดาษชิ้นนั้นให้หลุดออกไปวิทยุทันที
            เสียงของการตกฝาโป้งๆข้างบนนั้น ได้กลบเกลื่อนให้ได้เป็นอย่างดี
            และ..นั่นคือครั้งแรกที่โสตประสาทหูของฉันได้สัมผัสกับสถานีวิทยุบีบีซี..

            เวอร์เน่อร์กลับาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการทำงาน ก่อนเข้านอน ฉันได้กระซิบบอกเขาเบาๆว่า
            "ฟังนะ..วันนี้ฉันได้ฟังข่าวจากบีบีซี เขาว่า..ทหารเยอรมันเกือบสามแสนคนที่ไปในสงครามสตาลินกราด มีเพียงสี่หมื่นกว่าคนเท่านั้น ที่เหลือรอด
            ที่ตายไปอย่างทรมานก็แสนสี่หมื่นคน และที่ถูกจับไปเป็นเชลยก็อีกเกือบแสน พวกเชลยนั่นก็อยู่ในสภาพที่อดอยาก หนาวจนเนื้อหลุดเพราะต้องเดินในหิมะ
            ที่ได้กลับมาถึงเยอรมันจริงๆนั้น มีแค่หกพันคนเอง"
            ทันทีที่ได้ฟัง..น้ำตาของเวอร์เน่อร์ไหลพรากจนฉันตกใจ
            และจากจุดนั้นเอง..ฉันได้แอบฟังข่าวจากต่างประเทศวันละสามสี่ครั้ง โดยเวอร์เน่อร์ก็เข้าร่วมฟังด้วย
            ข่าวจากมอสโคว์มักเชื่อถือไม่ค่อยได้ มักเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า
            "Tod der Deutschen Okkupanten!" ใจความคือ..แช่งมาก่อนเลย ว่า ขอให้พวกเยอรมันจงชิ..หาย ตายโห..!!
            ส่วนบีบีซี ก็มักมีการใส่สีตีใข่พอสมควร
            ส่วนเสียงอเมริกาก็ฟังไม่ค่อยชัด
            ที่ดีและน่าเชื่อถือที่สุด คือ Beromunster of Switzerland
            เรื่องข่าวสารต่างๆที่ได้แอบฟังนั้น เราได้บอกต่อไปยังป้าพอลล่าด้วยในยามที่เธอแวะมาหา ซึ่งเธอได้เขียนโน๊ต
            กลับมาเป็นนัยๆว่า ขอบคุณสำหรับรูปภาพสวยๆ

            วันหนึ่งที่ฉันได้เดินไปหาเพื่อนบ้าน คุณนายซิคเกลอร์ หูฉันได้แว่วๆเสียงของข่าวจากบีบีซีที่คุ้นๆหูลอดอออกมาจากห้องของคลาร่า
            ตรงนั้นเอง..ที่ฉันได้เข้าใจดีถึงเสียงการตอกตะปู และเสียงร้องเพลงที่มักได้ยินรายวันนั้นว่า..นั่นคือการกลบเกลื่อนเสียงวิทยุนั่นเอง
            ทุกคนต่างแอบฟังสถานีต่างประเทศอย่างเราด้วยกันแทบทั้งนั้น
            แต่ยามที่อยู่กันนอกบ้าน เวอร์เน่อร์สวมบทบาทของชาวเยอรมันที่รักชาติ เทิดทูนบูชาท่านผู้นำอย่างหมดใจได้อย่างดี เพราะเพื่อนร่วมงานของเขามักมาพูดกับฉันบ่อยๆว่า
            "จริงของเวอร์เน่อร์เขาเลยนะ ที่ว่าอีตาเชอร์ชิลล์นั่นมันก็ไอ้ผู้ดีขี้เมาธรรมดาๆนี่เอง คนอังกฤษเองยังเกลียดมัน ไม่มีสนับสนุนมัน ไม่มีใครรักเหมือนอย่างท่านผู้นำของเราได้รับเลยแม้แต่นิด ไม่นานหรอก..ผู้คนเขาก็ไม่เล่นด้วยกับมัน อังกฤษก็จะเป็นของเราในที่สุด"
            อีกคนหนึ่งก็ว่า..
            "เวอร์เน่อร์พูดถูกนะว่า..ท่านผู้นำเนี่ย..ท่านแสนฉลาดรอบรู้ไปหมด"
            เชื่อได้เลยนะ ว่า คนที่ถูกกล่าวขวัญถึงเนี่ย..คือคนเดียวกันกับคนที่กินอยู่หลับนอนกับสาวยิว แถมยังแอบฟัง
            วิทยุข่าวสารต่างต่างประเทศทุกคืนอีกต่างหาก

            การทำงานเป็นอาสากาชาดของฉันนั้น ช่างดีเหลือหลาย เพราะได้รับสิทธิพิเศษไม่ต้องไปปั๊มบัตรปันส่วนรายเดือนอย่างพวกประชาชนคนอื่นๆ
            อย่างเวอร์เน่อร์นั้น จะได้รับแจกบัตรปันส่วนจากที่ทำงาน ส่วนฉันเมื่อก่อน..จะต้องไปที่สำนักงานด้วยตัวเอง ที่มันเป็นการเสี่ยงอย่างน่ากลัวที่สุด
            เพราะมันเป็นของคริสตัล แม่เพื่อนสาว..
            เกรงว่า..สักวันหนึ่งต้นขั้วของมันจะเกิดมาจ๊ะกัน..แล้ว..การสืบสวนจะตามมาว่าคนไหนคือตัวจริง คนไหนคือตัวปลอม..
            ซึ่งฉันจะต้องระวังตัวอย่างที่สุด ด้วยเกรงว่าความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสนั้นจะตกไปถึงคริสตัลได้
            ดังนั้น ฉันจึงพยายามอยู่อย่างกระเบียดกระเสียนเท่าที่มีอยู่
            จนกระทั่ง..ในเดือนกุมภาพันธ์นั้น ที่ฉันได้รับการบรรจุเข้าเป็นอาสากาชาด ในแผนกจัดเตรียมอาหารให้คนป่วย
            ฉันจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้บัตรปันส่วนอีกต่อไป เพราะ มีเงินเดือนเดือนละ สามสิบด้อยช์มาร์ค ซึ่งความจริงไม่ได้ถือว่าเป็นเงินเดือนจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นค่าขนมจะดีกว่า
            แต่มันก็ดีกว่าเงินที่เคยได้รับจากการทำงานในโรงงานนรกที่ผ่านมา..
            แถมในการทำงานก็มีการเลี้ยงอาหารทุกมื้อ ซึ่งทุกคนทานพร้อมกับกลุ่มพวกพยาบาลที่มีการขอพรพระเจ้าก่อนลงมือรับประทาน
            จนกระทั่งในฤดูใบไม้ผลิของปี 1943 จึงได้มีการสั่งห้ามการสวดมนต์ทุกชนิด
            บนเครื่องแบบของฉัน จะมีเข็มกลัดตรากาชาดที่มีเครื่องหมายสวัสดิกะเด่นอยู่ตรงกลางที่พวกเราจะต้องติดอยู่บริเวณเหนือหัวใจ ซึ่งฉันฝืนใจทำตามไม่ได้
            พยายามเลี่ยงไม่ติด พวกพยาบาลจึงมักต้องเตือนเสมอ แต่อาศัยที่ว่า ฉันได้ทำหน้าซื่อเข้าใส่ ทำตาบ้องแบ้ว..อ้อมแอ้มตอบไปว่าลืมบ้าง..หรือ หายไปแล้วบ้าง
            ซึ่งต่อๆมา..พวกเขามักจะไม่ค่อยสนใจหรือเข้มงวดกับเด็กใสซื่ออยางฉันมากนัก เพราะต่างก็มีงานทำแบบล้นมือด้วยกันทุกคน
            หรืออย่างกรณีที่ฉันมักชอบพูดภาษาฝรั่งเศสกับคนใข้ที่เป็นนักโทษฝรั่งเศส พวกพยาบาลมักสั่งให้ฉันส่งภาษาไปด่าว่าคนใข้ เช่น ฝรั่งเศสคือไอ้หมูสกปรก
            ฉักมักทำหน้าเหรอหรา บอกไปว่า..ไม่รู้ศัพท์จริงๆว่า หมูสกปรกนั้น ว่าอย่างไร?
            ต่อมาก็คือการเข้าร่วมกับสภาสตรีอาสาสงคราม ซึ่งผู้หญิงทุกคนควรที่จะเข้าร่วมด้วย ฉันก็แกล้งทำเซ่อซ่า ลืมไปแทบทุกที..
            ความที่ฉันออกทีท่าอารีอารอบกับคนใข้นักโทษจนเกินขนาดนั้น..ทำให้ถูกสั่งย้ายในที่สุด ให้ไปทำงานในแผนกสูติกรรม

            ในยามนั้น..หลังการคลอดบุตร คนใข้ต้องอยู่โรงพยาบาลถึงเก้าวัน เด็กจะถูกดูแลโดยพยาบาลผู้ช่วยอย่างฉัน และนำมาให้เฉพาะยามที่ต้องให้ดื่มนมจากแม่
            ซึ่งคนใข้พวกนี้คือ พวกภริยาของชาวไร่ชาวนาที่มีครอบครัวขนาดใหญ่อยู่แล้ว มีลูกเต้าเป็นพรวน ยามที่ญาติมาเยี่ยมก็จัดว่าโกลาหล ซึ่งต้องดูแลกันวุ่นวาย
            หลายต่อหลายครั้งที่ฉันได้รับเกียรติให้เป็นแม่ทูนหัวของทารกที่อยู่ในความดูแล
            ฉันตอบรับคำเชิญหมดทุกรายการ แต่หาทางเลี่ยงออกในวินาทีสุดท้ายทุกครั้งไป
            เนื่องจาก กิจกรรมในโบสถ์ของชาวคริสเตียนนั้น..ฉันไม่ประสีประสาเลย..ขืนไป..ความก็แตกกันพอดี
            ภาพที่น่าขำก็คือ เวลาอุ้มลูกอ่อนกลับบ้านของพวกแม่บ้านชาวนาเหล่านั้น เด็กทารกถูกหุ้มห่อไปด้วยผ้าอ้อมที่เป็นแพรเนื้อดี รวมทั้งการได้รับแจกเสื้อผ้าเด็กที่ทำด้วยไหมนุ่มนิ่ม หรูหรา ราคาแพง..ที่..เราไปปล้น กอบโกยเอามาจากฝรั่งเศสทั้งหมด..


            ความจริงฉันชอบที่จะทำงานในแผนกนี้ เพราะรู้สึกได้เหมือนกับว่าตัวเองได้อยู่ใกล้ๆกับแม่..ได้จับมือกับแม่..
            แต่ในยามที่ต้องเผิญกับภาวะวิกฤติก็มี..คือ การการใช้ยากล่อมประสาทในการช่วยลดความเจ็บปวดในการคลอด ที่มีผลทำให้เกิดอาการเพ้อออกมาจิตใต้สำนึก
            ซึ่งความจริงบางชนิดอาจทำให้ผู้พูดต้องเดือดร้อนได้ เช่น..ผู้ป่วยรายหนึ่งได้เพ้อสารภาพออกมาว่า ลูกคนนี้มิใช่ของสามี หากแต่เป็นของเชลยโปลล์ที่นำมาใช้แรงงาน
            เธอถึงกับ เพ้อถึงเขาว่า.."ยัน..ยัน..ที่รักจ๋า"
            ฉันต้องรีบเอามือไปปิดที่ปากให้..และกระซิบบอกไปว่า..อย่าพูดอีกนะ อันตราย
            อีกรายหนึ่ง..ได้เพ้อออกมาว่า เธอได้ยินเสียงของลูกชายที่ถูกจับไปเป็นเชลยอยู่ในแนวหน้ารัสเซีย (มีการให้นักโทษส่งข้อความบอกทางบ้านออกอากาศ)
            และดีใจเหลือเกินที่เขารอด และยังมีชีวิตอยู่ รายนี้นับว่าโชคดีไปที่มีฉันเพียงคนเดียวที่ทราบว่าเธอได้แอบฟังวิทยุต่างด้าวเช่นกัน
            ในเดือน พฤษภาคม 1943 ฉันได้รับตรวจสุขภาพที่หมอลงความเห็นว่า ฉันมีอาการขาดสารอาหารที่สมควรได้รับการพักผ่อนบำรุงร่างกายสักสองสามวัน ซึ่ง..ฉันเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะพาเวอร์เน่อร์ไปเยี่ยมบ้านที่เวียนนา และะได้พบกับ เพื่อนๆของฉัน เช่น เปปปิ ,เยาทสกี้, คริสตัล และ คุณนายไนเดอรัลล์ผู้มีพระคุณ
            ฉันและเวอร์เน่อร์ได้ถือโอกาสไปเที่ยวที่ชนบทใน Weinerwald ไปนั่งมองแม่น้ำดานูปให้สมใจอยาก แต่เผอิญฝนเจ้ากรรมได้ตกลงมาอย่างหนาเม็ดทำให้ต้องค้างคืนในวันนั้น
            ครั้นพอรุ่งขึ้น เมื่อกลับไปถึงเวียนนา ทุกคนต่างตระหนกตกใจกันไปหมด ด้วยเข้าใจว่าเราได้ถูกจับตัวไปโดยเกสตาโป
            ก่อนลาจาก คริสตัลได้นำผ้าไหมม้วนใหญ่มาอวด เธอตั้งใจว่าจะนำมันมาตัดเป็นผืนสำหรับทำผ้าพันคอแจกจ่ายเป็นที่ระลึก หากแต่จะตกแต่งลวดลายให้สวยงามได้อย่างไร
            เวอร์เน่อร์ยิ้ม..บอกว่า..ไม่ยาก จะนำไปวาดให้เป็นภาพวิวสวยๆของเวียนนาตามมุมผ้า เช่นพระวิหาร Saint Stephen จะอยู่มุมหนึ่ง โรงมหาโอเปร่าจะอยู่มุมหนึ่ง ด้านนี้จะวาดด้วยสีฟ้า ตรงนี้จะใช้สีทอง"
            "แล้วคุณจะไปหาสีมาจากที่ไหนล่ะ?" คริสตัลถามอย่างไม่แน่ใจ
            "เรื่องสีนั่น เรื่องเล็ก..ปล่อยให้เป็นธุระของผมแล้วกัน" เวอร์เน่อร์ตอบด้วยความมั่นใจ
            ฉันก็พอเดาได้ว่า สีพวกนั้นจะต้องจากห้องเก็บของของโรงงานอาราโดอย่างแน่นอน
           

เมื่อลาจาก..ฉันรู้สึกใจหายๆเช่นเคย และเชื่อว่าถึงตรงนี้ เพื่อนๆทุกคนคงสบายใจในเรื่องความอยู่รอดปลอดภัยของฉัน เพราะ มีเวอร์เน่อร์คอยเป็นฉัตรแก้วกั้นเกศให้

            ตอนนี้..ฉันเริ่มรู้สึกสุขกายสบายใจเป็นหลักเป็นฐานขึ้น แต่ก็ไม่เคยหมดความระแวงระไวแม้แต่ชั่วขณะจิต แต่..อีกด้านหนึ่งนั้น ฉันเริ่มสูญเสียความเป็น"ตัวจริง" มากขึ้นไปทุกที จนรู้สึกโหยหา..ว่า..ต่อไปใครจะจำฉันได้อีกบ้าง..
            ทุกครั้งที่ฉันต้องให้การดูแลพยาบาลเด็กอ่อนในมือที่ต้องป้อน ต้องทำความสะอาด ต้องให้ความทนุถนอมนั้น ฉันเคยคิดเสมอว่า ตัวเองก็อายุใกล้สามสิบเต็มที ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ถ้าจะมีลูกสักคนจะอยู่ไปรอดสักแค่ไหน สงครามจะยืนยาวไปอีกนานเท่าใด อนาคตข้างหน้าก็เหลือที่จะเดา
            แต่..ถ้าจะมีลูกสักคนก็นับว่าชีวิตข้างหน้าคง มีความหมายขึ้นอีกมาก เวอร์เน่อร์ก็ไม่ใช่คนเลวเกวอะไรนัก ขี้ปดไปหน่อย แต่ก็เป็นคนดีพอสมควร อย่างน้อยๆ เขาก็รักฉัน..
            เมื่อกลับไปถึงบ้าน..ฉันพยายามบอกถึงความประสงค์กับเขา..แต่ เขาปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ว่า เขาไม่ต้องการ..
            อาจจะเป็นเพราะที่จะมีแม่ของลูกคือผู้หญิงยิวอย่างฉันก็เป็นได้ เพราะแรงโปรปะกันดาของนาซีนั้นตอกย้ำเข้าหูเสมอว่า เลือดของยิวนั้นมันเลวนัก..
            ไม่ควรต้องให้มาผสมกับสายเลือดบริสุทธิ์ของอารยัน
            ฉันก็ยังไม่สิ้นความพยายาม..ใช้ความสามารถของมารยาหญิงทุกวิถีทางที่จะให้เขาเลิกการคุมกำเนิดได้..จนมาสำเร็จเมื่อเดือนกันยายน 1943 ที่ฉันได้รับข่าวดีว่า..ตัวเองกำลังตั้งครรภ์
            ถึงกระนั้น ก็หาได้แปลว่าฉันต้องการการแต่งงานก็หาไม่ เพราะขั้นตอนการสอบสวนนั้นยุ่งยากนัก สิ่งเดียวที่ฉันหวังไว้ในใจ นั่นคือ การอุ้มท้องตลอดเก้าเดือนนั้น
            น่าจะนานพอจนเยอรมันได้พ่ายสงครามไปก็ได้ ถึงตรงนั้น ฉันก็จะได้รับอิสระ จะเลี้ยงลูกเอง หรือ แต่งงานกับเวอร์เน่อร์ก็ได้

            หากแต่เวอร์เน่อร์ก็ยังเป็นชายเยอรมันเต็มร้อย..ที่ต้องยึดศักดิ์ศรีมาก่อนอื่นใด เขาไม่ยอมที่จะมีลูกนอกกฏหมายอย่างเด็ดขาด
            อีกทั้งป้าพอลล่าก็ย้ำหนักหนาว่า..เขาต้องดีกับฉัน ไม่งั้นจะพูดด้วย
            เขาจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราว..


            วันนั้น..เราไปยังกองทะเบียนในเมือง..
            ฉันได้ไปพบเข้าสัมภาษณ์กับนายทะเบียนที่มีท่าทีเหมือนกับยมทูตเฝ้าประตูนรก..ด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดปราศจากรอยยิ้ม แววตาที่ดุดัน สุ้มเสียงที่เอาจริงเอาจัง..
            ด้านหลังของเขาคือ รูปปั้นครึ่งตัวของท่านผู้นำที่เด่นตระหง่าน..
            จากข้อมูลประวัติของฉัน(ที่เขามี) เขาได้ไล่สอบไปเป็นข้อๆ..ว่า
            "อ้อ..ทางพ่อของเธอคือ อารยัน..ฝ่ายตาของเธอ จากสูติบัตร จากใบรับรองของโบสถ์ มีพร้อม แต่..แม่ของเธอล่ะ เรื่องราวเป็นอย่างไร?"
            "แม่เป็นรัสเซียขาวค่ะ พ่อพาเธอมาหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..ตอนนั้นพ่อทำงานให้กับกองทัพของไกเซอร์ในฝ่ายของทหารช่าง"
            "รู้แล้ว..แต่ทางยายของเธอล่ะ..ไม่เห็นมีข้อมูลบอกมา"
            "ทางเราไม่สามารถไปหาเอกสารได้หรอกค่ะ เพราะตอนนี้เป็นสงครามระหว่างเรากับรัสเซีย ที่ไม่มีการแลกข้อมูลและข่าวสาร"
            "นั่นหมายความว่า..เราก็จะไม่รู้เลยซิว่ายายของเธอเป็นใคร?"
            "ท่านเป็นยายของฉันนะคะ"
            "ก็อาจจะมีเชื้อสายยิวก็ได้นี่นา..เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เธอก็ต้องเป็นยิวไปด้วย"
            เราทั้งคู่เงียบสนิท..ฉันแกล้งมองหน้าเขาเหมือนกับว่า..คุณคิดอย่างนี้ได้ไง?
            ส่วนเขาก็ทำท่าครุ่นคิด เอานิ้วมือเคาะเบาๆไปที่ฟัน..หรี่ตามามองที่ฉันอย่างปริศนา หัวใจแทบหยุดเต้น..ในที่สุดเขาว่า
            "เอาละ..แค่ดูหน้าเธอ ฉันก็รู้แล้วละว่า เธอน่ะมันเป็นอารยันแท้ๆ"
            จากนั้นเขาก็หยิบตราขึ้นมาประทับโป้งไปที่ทะเบียน..ด้วยคำโตๆว่า..Deutschblutig อันหมายถึง เลือดเยอรมัน(ของแท้)
            และจัดการเรื่องทะเบียนสมรสให้เรียบร้อยในวันนั้น 16 ตุลาคม 1943
            ของขวัญที่เราจะต้องได้รับจากรัฐบาล นั่นคือ หนังสือ Mein Kampf ของท่านผู้นำ แต่เผอิญว่า ในอาทิตย์นั้นสต๊อคได้หมดไปเสียก่อน

            หลังจากแต่งงาน เราจะได้รับส่วนแบ่งจากบัตรปันส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพียงแต่ว่า ฉันจะต้องถ่อสังขารไปรับเอง ซึ่งมันยังเป็นการเสี่ยงอยู่ดีที่จะถูกจับได้ว่า ฉันใช้ชื่อปลอม..
            วิธีเดียวที่เป็นทางออกของฉัน คือ การปรับทุกข์กับไฮล์ดี้เพื่อนบ้าน บ่นให้ฟังถึงการไปมาลำบากเพราะกำลังท้องอ่อนๆ
            ซึ่งเธอได้แสดงความมีน้ำใจจัดการไปรับมาให้
 







แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker