dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนแปด



            หลังจากที่อาการของพระชายาท่าจะไม่ดีในระยะแรกๆ เจ้าฟ้าชายจึงรีบติดต่อให้เพื่อนสนิทนักจิตวิเคราะห์ (ความจริงคือเพื่อนสูงวัย ที่อดีตคือเกลอของท่านลอร์ด หลุยส์)
            นาย ลอเรนส์ แวน เดอ โพสต์ ให้เข้ามาช่วยรักษา แต่หลังจากที่วินิจฉัยในอาการ นาย ลอเรนส์ได้กราบทูลว่า
            ไดอะน่ามีอาการหนักหนามากกว่าที่คิด และสมควรที่จะต้องรักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง
            เขาได้เสนอชื่อของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้สองสามคน ซึ่งหลังจากที่ได้มีการตกลง แพทย์จึงได้เข้ามาทำการรักษาถึงในพระราชวังทุกวัน ตั้งแต่เวลาสิบเอ็ดโมงเช้า
            โดยใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกับทั้งสองคน คือเจ้าฟ้าชายและไดอะน่า จากนั้นก็อีกครึ่งชั่วโมงกับฝ่ายหญิงคนใข้คนเดียว
            เจ้าฟ้าชายได้ให้รายงานกับแพทย์ว่า พระชายามีอารมณ์ที่พลุ่งพล่านตลอดเวลาโดยไม่มีสาเหตุ
            ทรงไม่แน่ใจอีกด้วยซ้ำว่านี่คือ อาการของคนบ้าหรืออะไรกันแน่
            เพราะไม่มีคนธรรมดาที่ไหนจะเปลี่ยนอารมณ์ได้แบบสุดโต่งขนาดนี้ เช้าดี สายร้าย..กว่าจะถึงเย็นคนรอบข้างก็ใกล้บ้าไปตามๆ กัน
            แพทย์ได้เสนอให้ใช้ยากล่อมประสาท แต่..พระชายาปฏิเสธในเรื่องที่จะนำยามาช่วยในการบำบัด (ซึ่งเธอได้ทรมานเพราะโรคบูลิเมียต่อไปถึงสิบเอ็ดปี)
            เคยให้สัมภาษณ์ว่า
            "การที่จะรักษาอาการแบบนี้ต้องรักษามาจากข้างในจิตใจ มันเกิดขึ้นมายามที่เรารู้สึกด้อยค่า หงอยเหงา รู้สึกขาดความรัก ร่างกายจึงใขว่คว้าหาความสุขจากการกิน กิน และกินจนล้นกระเพาะ เพื่อที่จะมาเติมความรู้สึกที่ขาดหายไป แต่มันก็ได้แค่ชั่วคราวเดี๋ยวด๋าว จากนั้นก็ขย้อนออกมาอีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้าเล่า"

            การฮันนีมูนที่พระราชวังบัลมอรัลนั้น ฝูงนักข่าวได้ไปกลุ้มรุมเฝ้าออกกันเป็นกองทัพย่อยๆ เพื่อที่จะพยายามได้ภาพเด็ดของคู่รักบันลือโลก เพราะ
            คนที่ได้รับลิขสิทธิ์ในการถ่ายภาพพิธีอภิเษกและการฮันนีมูนบนเรือยอชบริแตนเนียอย่างใกล้ชิดนั้นคือ ลอร์ด  ลิชฟิลด์ หลานชายของควีนมัมแต่เพียงผู้เดียว
            แต่ลอร์ด ลิชฟิลด์ ได้นำภาพหลุดๆ บางภาพออกมาตีพิมพ์โดยมิได้รับความเห็นชอบก่อน อย่างเช่นภาพที่ทั้งคู่กำลังนั่งหัวเราะอย่างกว้างขวางบนขั้นบันไดของพระราชวัง
            ซึ่งเจ้าฟ้าชายรู้สึกขัดพระทัยต่อการกระทำในครั้งนี้
            ทำให้ไม่อยากพบกับนักข่าวหรือช่างภาพคนไหนอีก ทรงบอกว่าพอกันที

            หากแต่สี่วันผ่านไปเท่านั้น สมเด็จทรงทนรำคาญต่อไปไม่ได้ ทรงสั่งการไปทางราชเลขาฯให้ทำการตกลงกับนักข่าวให้เป็นกิจจะลักษณะ คือ จะให้คู่บ่าวสาวออกมาให้สัมภาษณ์และให้ถ่ายภาพอย่างเสรี โดยขอแลกเปลี่ยนกับการเป็นส่วนตัวในชีวิตข้างหน้าต่อไป..
            เจ้าฟ้าชายแม้จะไม่ทรงชอบพระทัยนัก แต่ก็ต้องยอม เพราะนี่คือประกาศิต..!!

  
            ทั้งคู่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตรงเวลาที่นัดหมาย เจ้าชายได้ทรงชุดพื้นเมืองชาวสก๊อต (ในภาพของหลาน sofatboy ละค่ะ) ที่มี sporran กระเป๋าหนังห้อยตรงกระโปรงคิลท์ จูงมือพระชายาออกมาพบกับนักข่าว..ทรงถามว่า
            "จะถ่ายรูปตรงไหนดี"
            "ตรงนี้ละพระเจ้าค่า.."
            "หวังว่าทุกท่านคงเดินทางอย่างสนุกสนานในทริป (ที่ติดตามฉันถึง) เมดิเตอเรเนียนนะ"
            "ก็แพงเอาการพระยะค่ะ"
            "งั้นก็..สม (น้ำหน้า) แล้วละ"
            "พระผึ้งพระจันทร์นั้นหอมหวานดีหรือพะยะค่ะ?"
            "โอ..ยอดเยี่ยม" คราวนี้พระชายาทรงตอบแทน
            "แล้วชีวิตในการอภิเษกล่ะ พะยะค่ะ?"
            "ดี..ขอแนะนำเลยละ"
            "ทรงทำพระกระยาหารเช้าให้พระสวามีบ้างไหมพะยะค่ะ?"
            "ฉันไม่รับประทานอาหารเช้า"
            เจ้าฟ้าชายทรงเข้ามาเสริมแบบจิกนิดๆ ว่า
            "เพราะตอนเช้ามีรายการโทรทัศน์ที่สนุกไงล่ะ"
            ก่อนเสด็จกลับ บรรดานักข่าวได้ถวายช่อดอกไม้ให้กับพระชายา..ซึ่งเธอได้กล่าวอย่างติดตลกว่า
            "อย่าลืมเอาบิลไปเบิกบริษัทล่ะ"

            สองเดือนต่อมา ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 1981 ได้มีแถลงการณ์จากสำนักพระราชวังถึงข่าวอันเป็นมงคลว่า พระชายา ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์
            ได้ทรงครรภ์ อันเป็นที่ชื่นชมยินดีของประชาชนชาวบริตันอย่างหนักหนา ไดอะน่าพยายามที่จะปฏิบัติภาระกิจตามที่ได้รับมอบหมายมาล่วงหน้าให้ครบ
            หากแต่อาการแพ้ท้องนั้นค่อนข้างหนักหนา ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้ทรงออกมาตรัสขอความเห็นใจจากนักข่าวและประชาชน ในยามที่อาจต้องงดการเสด็จ

            ในการเสด็จไปยัง Derbyshire อาการแพ้ท้องได้กำเริบ ถึงกับต้องหยุดพักกลางคัน เมื่ออาการดีขึ้น เธอถึงกับบ่นกับชาวบ้านที่มารับเสด็จว่า.."ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามันจะหนักหนาถึงเพียงนี้..แย่จริงๆ "



            ไม่ว่าจะไปที่ไหน ฝูงนักข่าวมักติดตามพระชายาไปในทุกที่ ซึ่ง..ไดอะน่าได้แสดงความเป็นอัจฉริยะในการปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนอย่างไม่มีข้อบกพร่อง
            ทั้งอ่อนหวาน มีเสน่ห์ แต่งกายงามพอเหมาะ
            ที่สำคัญ..เป็นคนที่ "ถ่ายรูปขึ้น" อย่างมหัศจรรย์
            แต่การออกงานแต่ละครั้งนั้น ทำให้เกิดอาการเหนื่อยอ่อน เหนื่อยใจ หงุดหงิด ยามเมื่อกลับมาถึงพระตำหนัก อาการของมันทั้งหมดได้ออกมาทางกราดเกรี้ยวกับทุกอย่างรอบตัว
            มหาดเล็กคนหนึ่งได้เล่าว่า ทั้งร้องไห้ ทั้งขว้างปาข้าวของ..มีครบหมด..
            เจ้าฟ้าชายทรงทำองค์ไม่ถูก เพราะอยู่ก็อาละวาด ไม่อยู่ก็ยิ่งอาละวาด ทรงหาทางออกด้วยการหนีไปเล่นโปโลคราวละนานๆ ทรงบ่นว่า
            "อยู่ไม่ไหว ไม่สามารถต่อสู้กับกระแสไหลเวียนของฮอร์โมนส์ได้เลย..ให้ตายเถอะ"
            เมื่อยิ่งพระสวามีไม่อยู่รองรับอารมณ์ ไดอะน่าก็ยิ่งกราดเกรี้ยว กล่าวหาว่า พระองค์หนีไปหาแฟนเก่า คามิลล่า..
            คราวนี้ใครๆ ก็ต้านอารมณ์ไม่อยู่แล้ว..
           

ความขึ้นไปถึงสมเด็จ..ซึ่งแทนที่พระองค์จะโทษพระโอรส กลับทรงกล่าวหาว่า เป็นเพราะนักข่าวที่พยายามกลุ้มรุมกับพระชายาจนเกินไป
            จึงได้ทรงเรียกประชุมเหล่าบรรดาบรรณาธิการทั้งหมดของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เรียกว่ามาให้หมดทั้งถนน ฟลีต เลยทีเดียว
            ในหัวข้อเรื่องว่า เลิกยุ่งกับพระชายาเสียที..
            ผู้ที่ต้องเริ่มการอภิปรายกับเหล่านักข่าวเป็นด่านแรกคือ ราชเลขาธิการฝ่ายข่าว นายไมเคิล เชีย ว่า
            "เราทราบดีว่า ประชาชนให้ความรักและชื่นชอบในตัวของพระชายาเป็นอย่างมาก แต่ เราได้ตกลงกันแล้วว่า หลังจากฮันนีมูนพระชายาสมควรที่จะได้รับความเป็นส่วนตัว จึงต้องขอย้ำเตือนในความร่วมมือจากพวกท่าน"

            จากนั้น สมเด็จก็ได้เสด็จเข้ามาในห้องประชุม ทรงย้ำเตือนในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เหล่านักข่าวทำตัวไปแอบซ่อนตามสุมทุมพุ่มไม้ พร้อมทั้งกล้องติดเลนซ์ระยะยาว
            ที่มีประสิทธิภาพสูง เพียงเพื่อที่จะได้ภาพเด็ด..ทรงว่า ช่างไม่ยุติธรรมเลย และเป็นการล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด
            นักข่าวทั้งหมดยอมถอยให้ เพราะ เห็นแก่สมเด็จที่ทรงอุตส่าห์ออกโรงเองทั้งที..


            หากแต่เพียงหกอาทิตย์ต่อมา..ข่าวก็เล็ดรอดออกมาว่า พระชายาทรงทำร้ายตัวเองประชดพระสวามี..
            (ทั้งๆ ที่นักข่าวก็ถอยให้แล้ว..แต่ไฉน?)
            เรื่องก็มีว่า..หลังจากเทศกาลคริสต์มาสไปไม่นาน ที่พระราชวังแซนดริงแฮม พระชายาได้เตือนเจ้าฟ้าชายด้วยท่าทางเอาจริงว่า ถ้าหนีออกไปทรงม้าอีกละก้อ
            จะฆ่าตัวตาย..สิ้นเสียง เจ้าฟ้าชายก็เสด็จออกไปทันที
            ไดอะน่าทุ่มตัวลงจากบันไดหกเจ็ดขั้นนั่นทันทีเช่นกัน
            ผู้ที่เสด็จมาถึงก่อน นั่นคือ ควีนมัม การเรียกหาแพทย์หลวงได้กระทำอย่างเร่งด่วน
            หลังจากการตรวจอาการผ่านพ้นไป ก็พบว่า ฟกช้ำดำเขียวนิดหน่อย พระหน่อในพระครรภ์ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด
            ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พนักงานรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์ก็ขายข่าวนี้ให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ในราคางาม

            นายริชาร์ด ดัลตัน ช่างพระเกศาของพระชายา ได้เล่าว่า..
            "เธอเกลียดทุกอย่างในแซนดริงแฮมนั่น เธอได้เล่าว่า หนาวจับใจ แถมอาหารค่ำต้องเสริฟให้เสร็จก่อนสามโมงเย็น เพราะทุกคนจะต้องไปนั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ เพื่อที่จะฟังพระบรมราโชวาทในวันคริสต์มาสอย่างทุกปี นั่นคือข้อบังคับเชียวละ "
            ควีนมัมได้ทรงเป็นห่วงในอาการของไดอะน่า ถึงกับนำไปปรึกษากับนาย จอห์น โบวล์ ลีออง หลานชาย ว่า
            "มันออกประหลาดอยู่นะ เพราะ คนอะไรจะคลั่งจนควบคุมตัวไม่ได้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แต่เดี๋ยวเดียวก็หาย ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น"
            ที่ควีนมัมได้ตรัสเช่นนี้ เพราะทรงรู้จักกับตระกูล เฟอร์มอย (สายมารดาของไดอะน่า) มาเป็นอย่างดี ว่า คนในตระกูลนี้มีอาการของจิตไม่ปรกติ อย่างท่านลอร์ด เฟอร์มอย
            ลุงของไดอะน่า ที่เคยออกมาประกาศความดีของหลานสาวอยู่ปาวๆ ในตอนก่อนหมั้น ไม่นานต่อมาก็ฆ่าตัวตายไปซะเฉยๆ
            เลยทรงเกรงไปว่า อาการของไดอะน่าอาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม

            สามปีต่อมา พระชายาได้พยายามหลายต่อหลายครั้งในการทำร้ายตัวเอง ในคำสารภาพของเธอกับนายแพทย์ มัวรีซ
            ลิปเสดจ์ ว่า
            "เพราะไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร อัดอั้นไปหมด การทำร้ายตัวเองเป็นสิ่งเดียวเพื่อที่จะเรียกร้องขอความเห็นใจ..ขอความช่วยเหลือ"
            เมื่อสมเด็จทรงเห็นว่า เหตุการณ์ระหว่างครอบครัวเวลส์นี้ชักไม่ชอบมาพากล พระองค์จึงเสนอความคิดให้ทั้งคู่ออกเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน พระองค์เชื่อว่า
            นี่คือวิธีที่จะช่วยแก้ใขได้เป็นอย่างดี เพราะ มันเคยได้ผลกับพระองค์มาก่อน ย่อมได้ผลกับพระโอรสและพระสุนิสาเช่นกัน

    

            สองสามวันต่อมา..เจ้าฟ้าชายและพระชายาจึงเตรียมการเสด็จไปพักผ่อนยังหมู่เกาะวินดีเมียร์ บาฮามัส เจ้าฟ้าชายได้ตรัสว่า
            "ไดอะน่าคงรู้สึกดีขึ้นถ้าได้ไปพักผ่อน อาบแดดให้สบายใจก่อนกลับมาคลอด"
            และการเสด็จในครั้งนี้ ก็ได้ถูกติดตามโดยขบวนนักข่าวเช่นเคย มาในทุกรูปแบบ แอบซ่อนนอนใต้ท้องเรือห่างลิบๆ ไปบ้าง ไปแคมป์นอนรออยู่บนยอดเขาบ้าง
            ทั้งหมดมีกล้องแบบซูมได้ใกล้สุดฤทธิ์ ผลคือ ภาพของพระชายาที่ทรงครรภ์ได้ห้าเดือน อยู่ในชุดบิกินี่สีส้ม เริงร่าโต้คลื่นอย่างมีความสุข
            เมื่อภาพชุดนั้นได้ลงตีพิมพ์ สมเด็จถึงกับทรงประชวรพระวาโย ทรงตรัสว่า
            "นี่คือยุคมืดแห่งจรรยาบรรณของหนังสือพิมพ์อังกฤษโดยแท้"
            หนังสือพิมพ์เดอะซัน ได้ลงข้อความขอพระราชทานอภัยในการตีพิมพ์ภาพเหล่านั้น
            และ เพื่อที่จะให้ประชาชนทราบว่า ขอพระราชทานอภัยในเรื่องอะไร ก้อเลยต้อง
            ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นซ้ำอีก เพราะเหตุผลว่า..คนอีกห้าล้านคนยังไม่เข้าใจว่า เรื่องราวเป็นไปมาอย่างไร?
           

ศึกระหว่าง เดอะ ซัน และ สมเด็จพร้อมสำนักพระราชวังนั้น เข้าข่ายตึงเครียด เพราะ เจ้าของสื่อ คือ นาย รูเปอร์ต เมอดอค ที่เป็นเจ้าพ่อวงการหนังสือพิมพ์
            ที่มีสื่ออยู่ในมือหลายฉบับ เช่น เดอะ ซัน, ซันเดย์ ไทม์, ไทม์ ออฟ ลอนดอน และ ทีวี ช่อง สกาย ทีวี
            นายรูเปอร์ต ได้กำลังสอนมวยให้กับสำนักพระราชวังว่า เงินเดือนค่าจ้างค่าออนของคุณพนักงานในวังที่ทรงจ่ายอย่างตระหนี่ถี่เหนียวนัก จะมาเทียบอะไรได้กับ
            เงินรางวัลก้อนงามที่ได้รับเพียงแค่นำข่าวมาขายได้ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ ทุกชิ้นมีราคาให้อย่างเหมาะสม
            อีกทั้ง นายรูเปอร์ต เป็นชาวออสเตรเลียนที่ไม่ได้สนใจรักใคร่ จงรักภักดีในสถาบันวินด์เซอร์นี้สักเท่าใด จะลงข่าวอย่างไรก็ได้ เพราะในฐานะที่เป็นคนต่างชาติ

            เมื่อมาเจอกับคนที่ไม่มีความยำเกรงอย่างนายรูเปอร์ต
            สำนักพระราชวังถึงกับเต้นเป็นเจ้าเข้า..สมเด็จได้ทรงเรียกประชุมเหล่าบรรณาธิการอีกครั้ง คราวนี้ไม่ขอความร่วมมือแล้ว ทรงออกพระคำสั่งเลยว่า
            การเสนอข่าวที่ไม่เข้าท่า เป็นได้ถูกฟ้องแน่ๆ ส่วนพวกมหาดเล็กและคุณพนักงานปากเสียเหล่านั้น ได้ทรงออกกฏออกมาว่า จะต้องถูกต้องโทษทางอาญาเช่นกัน
            (เมื่อก่อนแค่ไล่ออก)
            เพราะไม่ใช่แต่เรื่องของไดอะน่าในบิกินี่เรื่องเดียว ในช่วงนั้น มีภาพตีพิมพ์ที่น่าสยดสยองออกมาคือ ปีเตอร์ พระนัดดาวัยหกขวบ พระโอรสของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์
            กำลังหิ้วคอไก่ป่าที่เพิ่งถูกยิงตายไปหมาดๆ อย่างหน้าตาเฉย ในช่วงฤดูของการล่านก
            พระองค์ได้ทรงมีพระบัญชาให้เขตพระราชฐานทั้งหมดของ พระราชวังแซนดริงแฮม และ วินด์เซอร์ เป็นที่ "ต้องห้าม" ของนักข่าว รวมไปถึงงานในครอบครัวทั้งหมด
            แม้แต่พิธีล้างบาปตามศาสนา... ก็ห้ามเข้ามายุ่ง

   

            พระกุมารเพศชายได้ประสูติในวันที่ 21 มิถุนายน 1982 ถือเป็นอันดับที่สี่สิบสามของรัชทายาทแห่งราชบัลลังค์อังกฤษ (ที่มีมา)
            เจ้าชายพระองค์น้อยนั้นได้รับพระนามชั่วคราวว่า
            "เบบี้ เวลส์" จนกว่าพระมารดาและพระบิดาจะทะเลาะกันเสร็จถึงเรื่องชื่อที่พอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งใช้เวลาไปเจ็ดวัน มาลงตัวที่
            William (มาจาก William the Conqueror) Arthur (มาจาก King Arthur ผู้ยิ่งใหญ่) Philip (มาจาก เจ้าชาย ฟิลิป)
            Louis (มาจาก ท่านลอร์ด หลุยส์ เมาท์แบตเทน)
            แต่เป็นที่รู้จักกันในพระนามของ เจ้าชายวิลเลี่ยม หรือ "วิลส์" ของพระบิดามารดา
            พิธีรับศิลของพระโอรสนั้น ได้จัดให้มีในวันเดียวกันกับวันพระราชสมภพของควีนมัมที่ครบ 82 ชันษา

            ใครต่อใคร ต่างชื่นชมยินดีกันทั่วบ้านทั่วเมือง ยกเว้นเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ ที่มิได้แสดงอาการตื่นเต้นหรือยินดีสักเท่าไหร่ เพราะพระองค์ได้เสด็จประพาสอเมริกาอยู่ในยามนั้น
            เมื่อนักข่าวได้เข้ามาสัมภาษณ์ ถามถึงเรื่องนี้ว่า
            "พระองค์อยากตรัสอะไรถึงพระชายาไดอะน่าบ้างพะยะค่ะ?"
            "เรื่องอะไรล่ะ ไหน..ลองบอกมาซิ"
            "เรื่องการประสูติพระโอรสพะยะค่ะ"
            "อ้าว..คลอดแล้วหรือ?"
            "พะยะค่ะ เมื่อเช้านี้เอง"
            "งั้นเหรอ ก็คงดีมั้ง.."
            "เสด็จรัฐนิว เม๊กซิโก ทรงพระสำราญดีหรือพะยะค่ะ"
            "แล้วไงล่ะ เธอชอบมันมั๊ยล่ะ"
            "ทรงรู้สึกอย่างไรที่ทรงเป็นพระปิตุฉาในคราวนี้"
            "มันก็เรื่องส่วนตัวของฉัน ไม่กี่ยวอะไรกับใครนี่"

            บทสัมภาษณ์ฉบับไร้เสน่หานี่ เล่นเอาเหล่านักข่าวอเมริกันถึงกับสิ้นความเกรงพระทัย..ลงข่าวกันว่า อิจฉาละซิ อย่างเดลิ เมล์ ถึงกับลงว่า
            พระธิดาของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธแห่งสหราชอาณาจักร ช่างไร้มารยาท หงุดหงิด และ ไม่เข้าท่าเอาเสียจริงๆ
            การมองเจ้าฟ้าหญิงในด้านลบนี้ เป็นติดต่อกันมานานถึงสิบปีที่ไม่เคยเปลี่ยน..แต่หลังจากที่ทุกคนได้ประจักษ์ว่าได้ทรงงานอย่างหนักเพื่อเด็กด้อยโอกาสอย่างไม่เคยปริพระโอษฐ์หรือ
            ไม่เคยแสวงความเป็นข่าวเพื่อเครดิตให้องค์เองนั้น ประชาชนเริ่มมองเห็นแววของเพชรที่จรัสเจิดจ้า บางโพลล์ได้ลงว่า เจ้าฟ้าหญิงได้ทรงงานมากกว่าเจ้าฟ้าชายพระเชษฐาเสียอีก
            แต่ในยามนั้น ใครต่อใครก็พากันตัดสินพระองค์ว่า..เป็นหญิงที่ไร้เสน่หาอันดับต้นๆ ของอังกฤษเลยเชียว..

 


 

            สัมพันธภาพระหว่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์และไดอะน่านั้น เข้าข่ายไม้เบื่อไม้เมา
            ทรงว่า ไดอะน่านั้น งี่เง่า ไม่มีสมอง บ้าๆ บอๆ เจ้าน้ำตา..
            ส่วนทางพระชายาได้พูดถึง พระขนิษฐาในพระสวามีกับเพื่อนๆ ว่า ไม่มีความเป็นผู้หญิงสักนิด ยังกับกระเทย
            เพื่อนเธอได้ตอบว่า "อย่าลืมซิ แอนน์เป็นนักกีฬาโอลิมปิค (ในมอนทรีล 1976) คนเดียวนะ ที่ไม่ต้องผ่านการตรวจเพศ"
            "ใช่ซิ..เดี๋ยวผลออกมาจะได้ฮากันกลิ้งน่ะซิ ยัยนี่น่ะ คือ (เจ้าชาย) ฟิลิปแต่งหญิงชัดๆ "
            เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะว่าคนอย่างพระชายาไม่เคยเข้าใจผู้หญิงที่มีความกล้าหาญเด็ดขาด ไม่สนใจในเรื่องการปรุงแต่งโฉมอย่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระองค์ทรงปฏิเสธในเรื่องการใช้เครื่องสำอาง พระเกศาก็แค่ทรงรวบขึ้นอย่างง่ายๆ ฉลองพระองค์แต่ละชุดราวกับเลหลังออกมาจากห้างมือสอง
            ครั้งหนึ่งที่มีข่าวว่าเจ้าฟ้าหญิงได้มี "กิ๊ก" กับยามเฝ้าพระราชวัง
            ไดอะน่าถึงกับงงสุดๆ ว่า..ไอ้บ้านั่นมันคิดได้ยังไงของมันกันนะ !!

            เจ้าฟ้าชายชารลส์ทรงเข้าพระทัยดีในพระขนิษฐาว่าไม่ใช่คนที่เข้ากับใครได้ง่ายๆ
            แต่..ในฐานะที่เป็นพระขนิษฐาองค์เดียวที่มี อีกทั้งการที่พระองค์ได้รับเกียรติให้เป็นพ่อทูนหัวของ
            ปีเตอร์ พระโอรสองค์โต พระองค์จึงคิดที่จะให้เกียรติอันนั้นคืนบ้าง โดยการที่จะให้เจ้าฟ้าหญิงแอนน์เป็นแม่ทูนหัวของเจ้าชายวิลเลี่ยมพระโอรส
            หากแต่..พระชายามิทรงยอม
            เจ้าฟ้าชายถึงลงทุนอ้อนวอน ทรงตรัสว่า.."กรุณาเถิด ที่รัก please...."
            ไดอะน่า..ส่ายหน้าท่าเดียว ไม่มีทาง...
            ในที่สุด ก็ไม่มีพระนามของเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ในรายชื่อของเหล่าพ่อและแม่ทูนหัว..
            ซึ่งนี่คือการเริ่มต้นของความร้าวฉานอย่างแก้ใขได้ยากระหว่างคนสองคนนี้..

            สองปีผ่านไปในยามที่พระชายาได้ให้ประสูติกาลแก่พระโอรสองค์ที่สอง เจ้าชาย แฮร์รี่ ที่เจ้าฟ้าชายได้พยายามขออีกสักครั้ง..ที่จะให้พระขนิษฐาได้เป็นแม่ทูนหัว
            แต่ก็มิสำเร็จผลเช่นเดิม..
            คราวนี้ นับว่าเป็นศึกใหญ่ เพราะเจ้าชายฟิลิปทรงขัดพระทัยอย่างแรงในเรื่องการที่เจ้าฟ้าชายมิได้ให้เกียรติกับน้องสาวของตัวเอง ถึงกับไม่เสด็จเยี่ยมเยียน ย่างกรายไป
            หาถึงหกอาทิตย์
            เท่านั้นไม่พอ ทรงส่งจดหมายไปตำหนิอีกยาวเหยียดว่า
            ทำองค์ไม่สมกับที่เป็นมกุฏราชกุมาร อีกทั้งชมเจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระธิดาองค์โปรดว่า
            ทำงานสมเป็นขัตติยะนารี ตลอดปีนี้ได้ออกงานถึง 201 ครั้ง ในขณะที่ มกุฏราชกุมารแท้ๆ ออกงานเพียง 93 ครั้ง เมียก็ออกงานแค่ 51 ครั้ง (ปี 1984)
            เธอทั้งสองคนรวมกับยังทำงานไม่เท่ากับแอนน์คนเดียว..

            สามปีต่อมา..สมเด็จพระราชินีได้ทรงเลื่อนพระยศให้เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ เป็น Princess Royal อันหมายถึง พระยศสูงสุดในบรรดาเจ้านายฝ่ายหญิง
            ในพระราชวงค์ (คงเทียบได้เท่ากับ บรมราชกุมารี)

            และ เมื่อมิได้รับเกียรติให้เป็นแม่ทูนหัวของพระโอรส Henry Charles Albert David แต่เรียกกันว่าเจ้าชายแฮร์รี่ นั้น
            เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ก็ไม่เสด็จในพิธีรับศิลของพระนัดดา โดยอ้างว่า ติดงานของครอบครัวที่ต้องไปปิคนิค
            นักข่าวถามว่า.."จะมิเป็นการไม่ไว้หน้าพระชายาหรือพะยะค่ะ"
            พระองค์ทรงตอบว่า.."ก็ให้ลูกไปแล้วนี่นา แค่นั้นก็พอถมเถแล้ว จะเอาอะไรกันอีก"
            แน่นอนว่า..นักข่าวและเจ้าพ่อสื่ออย่างนาย เมอดอค ได้เชือดเฉือนเจ้าฟ้าหญิงแบบไม่มีชิ้นดี ต่างหันมายกยอสรรเสริญพระชายากันอย่างล้นหลาม
            ถึงกับยกย่องว่า เป็นที่รักของประชาชนรองลงมาจากควีนมัมทีเดียว..

 

            การที่พระชายาไดอะน่าได้ครองหัวใจของประชาชนอังกฤษแบบข้ามคืน เพราะว่าเหล่ามีเดียต่างๆ นั้นเบื่อกับการคร่ำเคร่ง พิธีรีตอง เอาแต่ใจตัวจัดของเหล่าเดอะ เฟิร์มทั้งหลายแหล่
           

อย่างเจ้าชายฟิลิปที่เสด็จเยือนสหรัฐอเมริกาพร้อมกับสมเด็จในปี 1983 ในฐานะแขกบ้านแขกเมืองของประธานาธิบดีรีแกน
            ที่นคร ซาน ฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ประทับอยู่ในรถลีมูซีนที่ทางรัฐบาลอเมริกันได้จัดถวายการรับรองนั้น ขบวนเกิดติดแหง็ก ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
            เนื่องจากเพราะเหตุฝนตกหนัก การจราจรติดขัด ไม่ขยับเขยื้อน
            (ในฐานะที่คนเล่านี้ อยู่ในซาน ฟรานมานานหลายสิบปี จึงขอขยายให้ฟังว่า ถนนหนทางในเมืองนั้น เป็นสภาพภูเขาที่ขึ้นลงลาดชัน สภาพการจราจรจะติดขัด ถ้าหากว่าเกิดมีฝนตก ไม่ว่าใครจะเสด็จก็ตาม ก็ต้องไปตามกระแสคล่องของถนน ไม่มีประเภทที่ห้ามไฟแดง แล้วนำขบวนผ่านตลอด เพราะบนถนนนั้น ยังมีรางรถรางอยู่ตรงกลาง
            ที่มีตารางวิ่งที่สัมพันธ์กันกับระบบห้ามไฟ....วิวันดา)

            เจ้าชายฟิลิปทรงสิ้นสุดความอดทน ตะคอกใส่พลขับว่า
            "แซงขึ้นไปได้แล้ว รออะไรอยู่ล่ะ"
            "กระหม่อมทำไม่ได้พะยะค่ะ ต้องรอจนกว่าขบวนของท่านประธานาธิบดีจะเคลื่อนออกไปก่อน"
            "บอกให้ออกรถเดี๋ยวนี้..!!"
            "ต้องรอพะยะค่ะ"
            "ไอ้นี่ พูดไม่รู้เรื่อง บอกให้ขับไปเดี๋ยวนี้" สิ้นพระสุรเสียง พระองค์ก้หันไปคว้าหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่ในรถขึ้นมาม้วน และฟาดลงไปบนศีรษะของพลขับซีไอเอคนนั้นแบบไม่เบานัก
            สมเด็จทรงอยู่ในเหตุการณ์ด้วย แต่ทรงวางเฉยแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ตรัสอะไรเลยสักคำ ทั้งๆ ที่พระสวามีกำลังอาละวาดฟาดหัวชาวบ้านต่อหน้าพระพักต์
            แต่เมื่อได้เสด็จกลับไปถึงโรงแรมที่ประทับ
            พระองค์ได้ส่งมหาดเล็กไปที่ห้องพักของพลขับด้วยข้อความว่า ทั้งพระองค์และพระสวามีขอเชิญมาร่วมในการเลี้ยงค๊อกเทล
            พลขับซีไอเอคนนั้นสะบัดหน้าใส่ด้วยความแค้นเคือง บอกว่า ไม่ไป..ขอบคุณ
            "กรุณาเถิดครับ..พระองค์ทรงเชิญมาแล้ว"
            "ก็บอกแล้วไง ว่าไม่ไป..ขอบคุณ และผมจะไม่ตามเสด็จไปไหนอีกแล้ว พอกันที "
            "ได้โปรดเถิดขอรับ เห็นใจผมด้วยเถอะ ผมไม่สามารถมีหน้ากลับไปทูลว่า คำเชิญของพระองค์ได้รับการปฏิเสธ ผมต้องโดนเล่นงานแน่ๆ ผมรับราชการมาตลอดชีวิต
            และเหลืออีกเพียงหกเดือนก็จะหมดวาระ ผมไม่อยากถูกไล่ออกก่อนเวลา ไม่งั้นเรื่องเบี้ยหวัดเป็นอันว่าหมดกันแล้วผมจะเอาอะไรกินล่ะขอรับ ผมเข้าใจดีว่า ท่านดยุค
            นั้นร้ายกาจนักในบางอารมณ์ แต่ครั้งนี้..ขอให้เห็นแก่ผมเถิด"
            พลขับนั่น..นิ่งคิดอยู่สักอึดใจ ก่อนที่จะพูดว่า
            "เอาละ..แต่ขอบอกตรงนี้ก่อนนะว่า ที่จะไปเนี่ย..เพราะผมเห็นใจคุณจริงๆ ไม่ใช่เพราะคำเชิญอะไรนั่น"

       
            การถวายอารักขานั้น ค่อนข้างเข้มงวดนักสำหรับราชอาคันตุกะ ที่มักมีการห้อมล้อมไปด้วยตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบ อีกทั้งสารวัตรทหารนับสิบที่สร้างความรำคาญให้กับเจ้าชายฟิลิป
            สุดประมาณ ในรถที่จัดถวายเป็นรถพระที่นั่งกำลังแล่นผ่านฝูงชนอยู่ พระองค์เอื้อมพระหัตถ์ไปเปิดไฟในรถจนสว่างจ้า
            "ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ กระหม่อมต้องขอให้พระองค์ปิดไฟด้วย เพราะจะกลายเป็นเป้ากระสุนได้พะยะค่ะ"
            "ถ้ามันจะเป็น ก็แล้วไง..นายไม่รู้หรือไงว่า ผู้คนที่เขามายืนคอยข้างทางเนี่ย เขามาเพราะอยากจะพบฉัน และอย่างน้อยฉันก็ควรจะโบกมือให้เขาหน่อย"
            ผู้อำนวยการฝ่ายพิธีการทูต นาง เซลวา รูสเวลต์ (สามีของเธอคือ หลานปู่ของประนาธิบดี Theodore Roosevelt) รีบกราบทูลว่า
            "พวกเจ้าหน้าที่พวกนี้เขาทำตามหน้าที่ที่ได้รับคำสั่งมาน่ะ
            เพคะ..ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ก็จะกลายเป็นความผิดของพวกเขาที่บกพร่องในการถวายอารักขา"
            เจ้าชายฟิลิปหาได้ฟังไม่ พอลงจากรถไปได้ก็กระแทกประตูใส่หน้าดังปังใหญ่
            และไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เหตุการณ์ก็กลับมาเป็นปรกติ การ์ดเชิญร่วมโต๊ะเสวยก็ส่งไปหาคนโน้นคนนี้อันเป็นเชิงขอโทษ..

            การเดินทางจากซาน ดิเอโก ไปยัง ซานฟรานซิสโก จากนั้นก็ต่อไปยัง ซานตา บาร์บาร่า ที่ไร่ส่วนตัวของท่านประธานาธิบดีรีแกน ไม่ว่าตรงไหน เจ้าชายฟิลิป
            ก็เที่ยวเดือดดาลกับใครต่อใครไม่เลือกหน้าในเรื่องการคุ้มภัยจนเกินเหตุ ทรงบ่นกระปอดกระแปดกับสมเด็จตลอดเวลา ซึ่งองค์สมเด็จเองก็ทรงตรัสไม่ออก
            เพราะฝ่ายอารักขาทางด้านของพระองค์เองก็หนักหนาสาหัสเอาการ
            หากแต่..ที่ต้องทรงเสด็จมาอเมริกานั้น..เป็นด้วยเหตุผลทางการเมืองล้วนๆ การเสด็จเยือนครั้งนี้คือครั้งที่ห้าของพระองค์ ที่ต้องถนอมสัมพันธไมตรีระหว่างอังกฤษ-อเมริกาให้แน่นแฟ้นเป็นพิเศษ
            อีกทั้ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษนางมาร์กาเร็ท แธชเชอร์ กับประธานาธิบดีรีแกน แสนที่จะสนิทสนมกลมเกลียว
            ซี้แหง๋ย่ำปึ้ก
            นางเเธชเช่อร์ จึงอยากใช้ความสนิทสนมนี้เป็นสะพานในการเจริญสัมพันธไมตรีในส่วนของเดอะ เฟิร์ม ให้กับกลุ่มของประชาชนชาวอเมริกันที่นิยมเรื่องเจ้าๆ นายๆ
            (ที่ไม่มีเป็นของตัวเองให้กราบกราน)
            อีกทั้งการเสด็จเยือนครั้งนี้ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ของสงครามที่เกาะฟอล์คแลนด์ ในปี 1982 ที่ประธานาธิบดี
            รีแกนได้ช่วยสนับสนุนนางแธชเช่อร์แบบสุดกำลัง
            เนื่องจาก อาเจนติน่าได้เข้ามาบุกหวังที่จะเคลมเกาะฟอล์คแลนด์ที่เป็นของอังกฤษ เพราะเห็นว่า อังกฤษนั้นอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ในด้านเศรษฐกิจ ผู้คนตกงานนับแสนๆ
            ไหนจะมีปัญญาจัดทัพหลวงมาชิงเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีราคาค่างวดให้เสียเงินเสียทอง เปลืองงบประมาณไปเปล่าๆ ปลี้ๆ

            แต่พวกอาเจนติเนียน มันคงไม่เคยอ่านประวัติศาสตร์ของสงครามมาก่อน..ว่าอังกฤษนั้นมีเลือดบ้าอยู่ไม่น้อย อีกทั้งได้รับการหนุนอย่างไม่อั้นงบจากรีแกน
            ไหนเลย..กองทัพอาเจนตินาจะเหลือ ต่างแตกพ่ายวิ่งหนีกระเจิงไปในไม่กี่เดือน (เดือน มิถุนายน 1982)
            ส่วนของอังกฤษที่เสียหายไปคือ ทหาร 237 นาย และเงินอีกร่วมสี่พันล้านเหรียญ
            ผลดีที่ได้คือ ชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ได้กลับคืนมาเป็นขวัญให้กับประเทศชาติ นางแธชเช่อร์ ได้รับสมญานามว่า "นางสิงห์เหล็ก" หรือ the Iron Lady
            เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระโอรสองค์รองและองค์โปรดของสมเด็จ ได้เป็น วีรบุรุษสงคราม จากการเป็นนักบินในหน่วยของฝูงเฮลิคอปเตอร์ปฏิบัติการ


            ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างอังกฤษ-อเมริกานั้น มาหมางจางจืดไปก็เมื่อตอนที่ อเมริกาได้ส่งหน่วยจู่โจมไปบุกที่ Grenada ที่ตั้งอยู่ในคาริบเบียน เป็น
            ที่ที่อยู่ในเขตยึดครองของอังกฤษ และเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพ สมเด็จก็คือ สมเด็จพระราชินีแห่งเกรนาดาด้วย..
            และทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่งต่อการบุกของอเมริกาในครั้งนี้ อีกทั้ง ไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าแม้แต่นิด พระองค์ทรงเรียกนางสิงห์เหล็กให้หาด่วน..
            ในเรื่องที่ว่า..ทำไมพระองค์ต้องมาทรงรับทราบข่าวจากสถานีโทรทัศน์ บีบีซี แทนที่จะได้รับรายงานจากนายกรัฐมนตรี
            นางแธชเช่อร์ รีบกราบบังคมทูลว่า "หม่อมฉันก็เพิ่งทราบก่อนหน้านี้ไม่กี่นาทีเช่นกันเพคะ"
            เมื่อได้ติดต่อกลับไปที่วอชิงตัน..ประธานาธิบดีรีแกนรีบแก้ตัวว่า.."เป็นการบุกแบบไม่มีอะไรรุนแรง เพราะว่า เราต้องอพยพชาวอเมริกันกว่าหนึ่งพันคน
            ให้พ้นไปจากการรุกรานของกลุ่มคอมมิวนิสต์ในพื้นที่

            (The invasion of Grenada ในปี 1983 ที่ถือว่าเป็นการลองของ..ของคิวบาที่มีต่อท่าทีของสหรัฐภายใต้การนำของนายรีแกน ว่าจะแข็งกร้าวหรือเอาไหนหรือไม่ ประการใด จึงเกิดมีการจราจลเล็กๆ ที่มีการทำร้ายชาวอเมริกันแบบเสียเลือดเนื้อ สหรัฐจึงถือเป็นสาเหตุอันนับว่าเป็นสิริมงคลที่จะยกทัพเข้ามาถอนรากถอนโคนพวกเผด็จการ พรรคพวกของนาย ฟีเดล คาสโตร ให้หมดสิ้นไปให้รู้แล้วรู้รอด)

            ทั้งสมเด็จและนางสิงห์เหล็กต่างไม่ชอบใจในเรื่องนี้นัก แต่ก็ต้องจำยอมให้กับมหามิตร โดยออกข่าวว่า..
            ทางรัฐบาลอังกฤษจะไม่ขัดขวาง ในกรณีของเกรนาดา และจะยืนเคียงข้างมหามิตรอเมริกาผู้ซึ่งจะช่วยนำสันติสุขมาให้กับยุโรป
            แต่..กับนางแธชเช่อร์นั้น สมเด็จยังไม่หายเคือง และไม่ทรงเชื้อเชิญให้นั่ง ตลอดเวลาที่ปรึกษาหารือกัน ต่อมา พระอง์ได้ทรงเขียนไว้ในไดอะรี่ว่า
            "วันนี้ ยัยแธชเช่อร์ได้ถวายบังคมให้..แค่ถอนสายบัวเพียงสองครั้งเอง"
            และทรงแอบล้อเลียนนางแธชเช่อร์ที่มักชอบสำคัญตัวเองผิดๆ เสมอ ที่เธอมักชอบใช้คำว่า "เรา" แทนตัวในการถวายคำปรึกษาหารือกับสมเด็จ หรือ กับเดอะ เฟิร์ม
            ยังกับว่าตัวเองคือ "พระสหาย"
            เจ้าชายฟิลิป ทรงเรียกเธอว่า "ลูกคนขายผัก" เพราะว่า นางแธชเช่อร์ได้ถือกำเนิดบนชั้นบนของห้องแถวร้านขายผัก และผลไม้ อันเป็นกิจการของครอบครัว

            สมเด็จมักชอบทำท่าล้อเลียนเธอเสมอๆ ..คนที่อยู่วงในใกล้ชิดจึงจะทราบว่า พระองค์ทรงมีพระอารมณ์ขันในเรื่องการเลียนแบบท่าทางของคนได้เป็นอย่างดี
            อีกทั้งเล่าเรื่องขำๆ ล้อบุคลิก อย่าง ที่ทรงโปรดเล่าบ่อยที่สุด คือ เรื่องที่นางแธชเช่อร์ไปเยี่ยมเยียน ศูนย์สงเคราะห์คนชรา
            และเธอได้ไปจับมือทักทายหญิงชราคนหนึ่ง พร้อมถามด้วยคำถามว่า
            "รู้ไหมจ๊ะ..ว่าฉันเป็นใคร?"
            (ทรงทำท่าเป็น) หญิงชราคนนั้น ที่พยายามนิ่งคิด และ ในที่สุดก็พูดออกมาด้วยอัจฉริยะวาจาว่า
            "ไม่รู้ซิ..แต่ลองไปถามคุณแม่บ้านดูซิ..เขาคงช่วยบอกเธอได้หรอก ว่าเธอเป็นใคร.."

            ภายในเดอะ เฟิร์ม ต่างเป็นที่รู้กันว่า ยามที่สมเด็จทรงเหนื่อยๆ หรือ ไม่สบพระอารมณ์ มักจะทรงทำหน้าตาคล้ายๆ Miss Piggy (การ์ตูน)
            จนเป็นที่มาของ Miss Piggyface อันหมายถึง พระองค์ ซึ่ง ทรงรับทราบและเข้าพระทัยเป็นอันดี
            ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้เปิดเทปวีดีโอของงานพระราชพิธีเก่าๆ พระองค์ทรงเรียกพระสวามีด้วยพระสุรเสียงที่ตื่นเต้น ว่า
            "ฟิลิป มาดูนี่ซิ ฉันนั่งทำหน้าเป็นนังหมูอีกแล้ว.."


            ความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จกับนางแธชเช่อร์นั้น จัดได้ว่า คุ้นเคย แต่ไม่สนิทสนม ไม่เหมือนกับท่านนายกเชอร์ชิลล์ และท่านนายก วิลสันที่ทรงให้ความเป็นกันเองด้วยอย่างมาก
            ด้วยเหตุผลส่วนหนึ่ง อาจเป็นเพราะว่า ทรงไม่เลื่อมใสในความที่นางแธชเช่อร์เป็นผู้หญิงด้วยส่วนหนึ่ง และ อีกส่วนหนึ่งคือ เธอมักชอบทำท่าเคร่งเครียดจนดูเหมือนอาจารย์ใหญ่ฝ่ายปกครอง (ตามปากคำของเจ้าฟ้าชายชารลส์) และจากการที่ค่อนข้างเคร่งครัดในแทบทุกเรื่องของนางสิงห์เหล็ก ทำให้เจ้าฟ้าชายต้องถวายจดหมายไปถึงสมเด็จ เพื่อทูลเตือนให้ทรงทราบว่า
            ขืนปล่อยให้นางออกกฏหมายแบบตามใจตัวเองแล้วละก้อ บ้านเมืองเห็นทีจะล่มจมแน่..
            ไม่เพียงแต่เจ้าฟ้าชายเท่านั้น ที่ทรงเป็นห่วง เหล่าบรรดาผู้นำประเทศในเครือจักรภพอื่นๆ ก็เห็นด้วย..ว่า
            ยัยนี่คือตัวอันตราย..

            เรื่องความหมางระหว่างสมเด็จกับนางสิงห์เหล็กนั้น ส่วนใหญ่คือเรื่องนโยบายของประเทศในเครือจักรภพนั่นเอง ที่ นางมองไม่เห็นความสำคัญที่จะต้องมาปรนเปรอ
            ดินแดนเหล่านั้น ส่วนที่ต้องมาสนใจให้มากคือ ความสำคัญของประเทศอังกฤษที่พึงมีต่อกลุ่มประเทศอื่นๆ ในยุโรป และไม่เห็นด้วยกับที่สมเด็จทรงต่อต้านนโยบายแบ่งแยก
            สีผิว จนถึงขนาดไปบ่นกับคนใกล้ชิดว่า
            สมเด็จไม่ใช่พวกเดียวกันกับเรา

            ส่วนทางสมเด็จ พระองค์ก็ทรงตรัสกับนาย แอนโธนี่ เบนน์ ว่า เหล่าผู้นำของประเทศในยุโรปอื่นๆ นั้น ค่อนข้างกระด้าง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง จึงไม่สนพระทัยในการที่จะคบค้าให้มากความ
            นายแอนโธนี่จึงได้กลับมาบันทึกในไดอะรี่ว่า..ที่พระองค์ทรงมีความคิดในด้านลบในเรื่องกลุ่มประเทศในยุโรปที่รวมตัวกันเป็นสหภาพนั้น
            เป็นเพราะทรงเห็นได้ชัดว่า พระองค์ไม่ได้รับความสำคัญใดๆ
            นายแอนโธนี่ ได้เขียนเพิ่มเติมไว้ว่า สมเด็จทรงตรัสตามสคริปต์ที่สำนักพระราชวังเขียนมาให้เป๊ะๆ แม้กระทั่งคำว่า "อรุณสวัสดิ์" ถ้าไม่เขียนมา ก็จะไม่ตรัส..


            เรื่องที่ทรงที่ไม่พอพระทัยในตัวนายกรัฐมนตรี อีกเรื่องหนึ่งที่ว่า
            นางสิงห์เหล็กทำท่าว่าจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้ ชาร์ แห่ง อิหร่าน เข้ามาลี้ภัยอยู่ในอังกฤษตามที่ได้ตกลงไว้แต่ทีแรก
            สมเด็จจึงต้องประกาศว่า..เมื่อพูดคำไหนแล้ว ควรต้องเป็นคำนั้น เปลี่ยนไม่ได้
            แต่ ถึงแม้จะไม่ค่อยโปรดปรานนางสิงห์เหล็กมานัก พระองค์ก็ยังมอบเครื่องราชย์สูงสุด คือ The Order of the Garter ให้ หลังจากที่เธอได้พ้นจากตำแหน่งไป
            อันเป็นประเพณี ที่ว่า อดีตนายกจะต้องได้รับทุกคน (ทั้งประเทศจะมีแค่ยี่สิบสี่คน ตามโควต้า)


            ยิ่งเรื่องอาณาประเทศในเครือจักรภพของพระองค์นั้น
            ไม่ว่านางสิงห์เหล็กจะคัดง้างอย่างไร ก็ไม่ทรงสนพระทัย ทรงเสด็จเยี่ยมเยียน ดูแลทุกข์สุขเช่นเดิม
            อย่างเช่น แคนาดา และ ออสเตรเลีย ที่กำลังฮึ่มๆ อยากแยกตัวเต็มทีนั้น
            พระองค์ได้ทรงเสด็จไปเยือนแคนาดา ถึง สิบสองครั้ง ออสเตรเลียเก้าครั้ง (สถิติ รวมมาจนถึงปี 1982)
            ต่อจากนั้น พระองค์ได้ส่ง เจ้าฟ้าชายมกุฏราชกุมาร และ ไดอะน่า เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ไปเยือนในปี 1983 นานถึงหกอาทิตย์
            ในตอนนั้น ไดอะน่า ได้ปฏิเสธที่จะเดินทาง แต่เมื่อเป็นพระราชประสงค์ เธอจึงขอเกี่ยงงอนด้วยการนำพระโอรสวัยเก้าเดือนโดยเสด็จด้วยพร้อมพระพี่เลี้ยง
            โดยการอ้างกับพระสวามีว่า
            "จำไม่ได้หรือไง ว่าตัวเองก็เคยว้าเหว่กับการที่ถูกแม่ทิ้งไปนานเป็นเดือนๆ เมื่อตอนเด็กๆ นั่นน่ะ"
            อีกทั้งนำความที่พระสวามีเคยปรับทุกข์ให้ถึงการที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นมาตอกย้ำ
            ตามด้วยการสำทับว่า "หม่อมฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นกับวิลส์ของเราเด็ดขาด ถึงแม้จะยังเล็ก ไม่รู้ประสีประสาอยู่ก็จริง แต่ลูกต้องได้รับความอบอุ่น"

            เมื่อเจ้าฟ้าชายได้นำความกลับไปทูลให้สมเด็จทรงทราบว่า พระชายาจะนำพระโอรสไปด้วย ซึ่งสมเด็จค่อนข้างที่จะไม่เห็นด้วยในทีแรก แต่หลังจากที่ได้ปรึกษากับเดอะ เฟิร์มแล้ว..จึงต้องจำพระทัยยอมอนุญาต
            ที่ต้องทรงไตร่ตรองให้ดีนั้น เป็นเพราะว่าในระยะนั้น พระชายามีทีท่าที่แปลกประหลาด ยากต่อการเอาใจให้ถูกต้องตามอารมณ์
            จากตัวอย่างที่เพิ่งเกิดในการไปเล่นสกีที่ออสเตรีย
            ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ทั้งเจ้าฟ้าชายและไดอะน่าได้ถูกติดตามโดยเหล่าปาปารัสซี่แบบมืดฟ้ามัวดิน ยุ่บยั่บเต็มไปทั่วหมดทั้งบริเวณ ไม่ว่าโรงแรม ห้องอาหาร ร้านค้าที่มีแต่มนุษย์ที่มีกล้องพร้อมเลนซ์ในมือ
            จนเหมือนกับการเกิดโกลาหลย่อยๆ ที่ทุกคนต่างเบียดเสียดกันเพื่อที่จะพยายามถ่ายภาพเด็ด
            (หมายถึงยามที่ไดอะน่าอาจเกิดการหกล้มก้นกระแทก หรือ ลื่นไถลเสียหลัก)
            ยังไม่รวมเหล่านักท่องเที่ยวที่ต่างพากันมาสมทบอีกจำนวนไม่น้อย ที่ตำรวจต้องออกมาทำงานกันอย่างหนัก
            คราวนี้เป็นที่น่าแปลกกว่าครั้งไหนๆ เพราะปรกติแล้ว พระชายาจะใช้เสน่ห์หว่านล้อมนักข่าวอย่างได้ผลทุกครั้ง แต่..ครั้งนี้กลับทำท่าบึ้งตึง ไม่ยอมให้ถ่ายรูป โดยการตลบหมวกขึ้นมาปิดหน้าบ้าง ใส่แว่นสกีปิดหน้าบ้าง
            พระสวามีถึงกับลงทุนอ้อนวอนว่า.."ได้โปรดเถอะ ให้เขาถ่ายรูปให้เสร็จๆ ไปได้ไหม..โพสต์ให้เขาหน่อยนะ จะได้จบๆ กันไป"
            ไม่ว่าจะตรัสอย่างไร พระชายาก็ไม่ยอมท่าเดียว หลบหน้าหลบตา ก้มหน้างุด..
            จนในที่สุด เจ้าฟ้าชายก็ถึงกับเสียพระอารมณ์ไปทั้งวัน

            ในหน้าหนังสือพิมพ์ของวันรุ่งขึ้น นักข่าวได้แก้แค้นด้วยการกล่าวหา และทำสกู๊ปข่าวในเรื่องของการไม่เอาไหนของเจ้านายทั้งสองว่า
            ไดอะน่าได้ทำกลลวง โดยการทำหุ่นหญิงผมบลอนด์นั่งในรถที่ขับออกไปเป็นการล่อนักข่าว ที่ขับตามกันไปอย่างเร็วถึงเหยียบร้อยไมล์ต่อชั่วโมง
            พอขากลับ ก่อนที่จะเข้ามาในบริเวณที่พำนัก ฝ่ายอารักขาได้รับคำสั่งให้เลื่อนที่กั้นเข้ามาปิดเขตอย่างกระทันหัน
            จนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ที่นักข่าวบางถึงกับได้รับบาดเจ็บถึงเลือดตกยางออก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงที่อาจถึงขั้นเสียชีวิต
            สมเด็จได้ทรงอ่านข้อความอย่างละเอียด ถึงกับตกพระทัย ที่เรื่องราวออกจะบานปลายใหญ่โต จึงมีพระบัญชาให้นาย วิคเตอร์ แชปแมน นักการทูตชาวเคเนเดี้ยน
            ผู้ที่จัดว่ามีสาลิกาลิ้นทอง และ นางฟรานซิส คอร์นิช ฝ่ายเลขาธิการของเจ้าฟ้าชายไปพบกับพระโอรสและพระสุณิสาเพื่อที่จะเจรจาความว่า เรื่องราวเป็นไงมาไง..

  
            นาย วิคเตอร์ แชปแมน หรือเป็นที่เรียกขานกันสั้นๆ ว่า "วิค" พร้อมกับ นางฟรานซิส ได้รับพระบัญชาให้รีบบินไปยัง
            รีสอร์ตสกีที่ ลิคเทนไทน์ (Liechtenstein) ในบ่ายวันนั้น
            เพื่อที่จะไปแก้ใขและช่วยสะสางปัญหา
            ตลอดในช่วงของการเจรจากับเจ้าฟ้าชายและพระชายานั้น นางฟรานซิสได้ตอกย้ำให้พระชายาได้ทราบถึงภาระและหน้าที่พึงปฏิบัติ
            ต้องรู้จักการเก็บน้ำขุ่นอยู่ใน นำน้ำใสออกมาไว้ข้างนอก อย่าไปงัดข้อกับนักข่าวโดยไม่มีความจำเป็น
            และที่สำคัญที่สุดเหนือกว่าประการใดๆ ทั้งปวง คือ จะทำอะไรก็ตาม.. ต้องรักษาพระเกียรติและรักษาพระพักต์ของสมเด็จพระราชินีเยี่ยงชีวิต
            แต่ไดอะน่าในตอนนั้น หมดความอดทนกับคำสั่งของเดอะ เฟิร์มอย่างเต็มประดา ไม่ยอมรับฟังอะไรทั้งสิ้น
            แต่..เมื่อ วิคได้นำข้อความอย่างเดียวกันนั้นมาถ่ายทอดใหม่
            อย่างชนิดพูดไปขำไป มีการยักคิ้วหลิ่วตาแถมให้ ไดอะน่ากลับชอบใจ เห็นว่าเขาเป็นคนสนุกและยอมรับฟังมากขึ้น
            วิค..ในสายตาของเพื่อนๆ คือ คนที่มีเสน่ห์ในการพูดคุย รื่นเริง เจ้าชู้พอประมาณ แต่งงานมาแล้วสองครั้ง ลูกสาวห้าคน เขารู้เทคนิคดีว่า คนอย่างปริ้นเซสส์ ออฟ เวลส์ นั้น
            ต้องใช้ลูกล่อลูกชน..จึงจะได้ผล

            พระชายาผู้ซึ่งกำลังมีปัญหามากมายในเรื่องสุขภาพที่พยายามลดน้ำหนักอย่างหักโหมหลังคลอด
            จนในที่สุด ก็สามารถลดได้ถึง ห้าสิบสามปอนด์
            และนั่นหมายถึงสูตรสำเร็จของโรคบูลิเมียอาจกลับคืนมาอีกครั้ง
            แต่คราวนี้ เธอได้พยายามที่จะลดน้ำหนักแบบธรรมชาติ คือ กินให้น้อย
            และเพื่อเป็นการที่ไม่ต้องฝักใฝ่ในเรื่อง
            รับประทานตลอดเวลา เธอจึงใช้วิธีหาทางออกแบบง่ายๆ คือ การช้อปแหลก..
            แต่ไหนแต่ไรมา พระชายาเคยฝันเสมอว่า จะต้องเป็นเจ้าหญิง แห่ง เวลส์ที่งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษตั้งแต่ที่เคยมีมา
            และ โอกาสของความเป็นจริงตามฝันกำลังใกล้เข้ามา
            ไดอะน่าได้เก็บสะสมภาพของตัวเองพร้อมทั้งคำติชมจากหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ เอาไว้เป็นครู
            อีกทั้งเธอได้บอกกับเหล่าบรรดานักแฟชั่นประจำตัวทั้งหลายว่า
            เสื้อผ้า และองค์ประกอบทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรองเท้า หมวก หรือ กระเป๋าถือนั้น ต้องสุดล้ำแฟชั่น ทันสมัยจี๋ จะให้มาถือกระเป๋าทรงตระกร้าใส่กับข้าว หมวกที่มีขนนกรุงรัง รองเท้ายกพื้น ส้นตึก แบบผู้หญิงในเดอะ เฟิร์ม นั้น
            จงลืมไปได้เลย..
            ทุกอย่างที่เป็นเธอ จะต้อง เลิศหรู งดงามจนใครเห็นเป็นต้องตะลึง..
            ผลคือ..ทุกอย่างได้ออกมาตามนั้น แม้แต่ นิตยสารโวค ถึงกับต้องยกย่องว่า..เธองาม งามเหลือเกิน..จนเห็นแล้วหัวใจแทบหยุดเต้น..!!


            พระหฤทัยของพระสวามีก็พลอยหยุดเต้นตามไปด้วย ที่เห็นว่า พระชายาได้ใช้เงินถึง 1.5 ล้านปอนด์เพียงเวลาชั่วปีเดียว เงินทุกเม็ดกลายเป็น เสื้อผ้ากว่าสี่ร้อยชุด รวมรองเท้า กระเป๋า หมวก
            ยามที่ทรง "โวย"
            พระชายาตอบไปว่า จำเป็นต้องมี เพราะต้องออกงานให้
            เดอะ เฟิร์ม ไงล่ะ หรือจะให้ใช้หนังเสือคลุมร่างไป..

            จากนั้นมาความเป็นแม่เสือของไดอะน่า เริ่มออกลายโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้หนังเสือมาคลุมร่าง เพราะ เธอได้จัดการกำจัดข้าราชบริพารของพระสวามีตัวสำคัญๆ ที่เธอได้ตั้งชื่อให้ไว้ว่า "The Pink Mafia"
            สาเหตุคือ พวกตัวเอ้เหล่านี้ คือ พวกชาวสีม่วงทั้งสิ้น
            ไดอะน่าอ้างว่า ไม่ต้องการให้พระโอรสได้คลุกคลีและอยู่ใกล้ชิด
            รวมไปถึงคุณสุนัขแลบาดอร์ชราสุดรักของพระสวามีด้วย
            เพราะมันช่างฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง

            ชีวิตความเป็นอยู่ของสองคนนี้ ไม่ผิดแผกอะไรกับพวกนักการเมือง ที่วันๆ เอาแต่มานั่งสนใจในเรื่องโพลล์ที่จะออกมาเกี่ยวกับตัวเอง หรือไม่ก็นำความไปปรึกษากับ
            บรรดาคนสำคัญในพรรคจารีตนิยม ที่ไม่ว่าเจ้าฟ้าชายจะตรัสอะไร พวกนี้ก็จะกลายเป็นขุนพลอยพยักกันไปหมด
            แต่..เพื่อเป็นการโปรโมทครอบครัวตัวอย่างแห่งประเทศชาติ ไม่มีอะไรดีไปกว่าสื่อโทรทัศน์ ที่ทั้งสองจะออกมาให้
            สัมภาษณ์ตามความเป็นจริง (แบบที่สคริปต์ เขียนมาให้พูด)

            เจ้าฟ้าชายได้รับการโค้ชโดย เซอร์ ริชาร์ด แอทเทนโบโร่
            ว่าพระองค์สมควรที่จะองค์แบบสามีผู้แสนดี สุดโรแมนติค
            พระชายาไดอะน่า ก็เป็นช้างเท้าหลังที่คอยสนับสนุน
            พระสวามีทุกฝีก้าว พระโอรสทั้งสองทรงพระสำราญแบบเด็กๆ เป็นแบคกราวนด์ของฉาก..
            นั่นคือ เดือน ตุลาคม 1985
            ซึ่ง สี่สิบห้านาทีของรายการ..ล้วนมีแต่สิ่งที่สมมุติทั้งสิ้น
            เช่น..
            พระชายาได้ออกมาปฏิเสธว่า..ไม่เคยลดน้ำหนัก (แบบเอาเป็นเอาตาย) ไม่เคยใช้เงินฟุ่ยเฟือย เคารพนับถือเจ้าฟ้าหญิงแอนน์อย่างสุดชีวิตจิตใจ
            พระสวามีได้ตรัสว่า..ไม่เคยเล่นกระดานผีถ้วยแก้ว
            ไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร


            หลายคนในวงในเริ่มสงสัยว่า หรือโรคบูลิเมียจะกลับมาอีกแล้ว หรือ เป็นเพราะความเครียดหลังคลอด ที่ทำให้พระชายาเริ่มงอแง อารมณ์บูดกับนักข่าว
            แต่..กับวิคแล้ว ไดอะน่าได้สารภาพว่า เบื่อเหลือเกินกับการที่มีชีวิตที่ต้องแขวนไว้กับหน้าที่และภาระกิจ
            จนอยากจะท้องอีกครั้ง เพื่อที่จะได้ไม่ต้องออกงาน
            วิครีบเสนอและให้ความเห็นว่า..ก็น่าจะเป็นความคิดที่ดี หากแต่พระองค์จะไปบอกกับฟรานซิสไม่ได้เชียว ไม่งั้นละก้อ ถึงพระกรรณสมเด็จแน่ๆ

            เพราะความทันกันและรู้ใจกันดีนี่เอง วิคจึงได้ร่วมเดินทางไปออสเตรเลียด้วย
            ซึ่งในการเดินทางนี้ วิคได้มีโอกาสที่จะแทรกสอนความเป็น "เจ้าหญิง" ให้แก่พระชายาแบบฟูลไทม์ ไม่เว้นช่องไฟแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ
            เขาได้ให้บทเรียนบทแรกแก่พระชายาว่า..
            "พระองค์ควรที่จะเต้นรำกับพระสวามีบ่อยๆ เพื่อที่จะได้มีภาพออกมาในหน้าสื่อ " เขาได้บอกก่อนที่ทั้งคู่จะไปปรากฏตัวในงานการกุศลที่ Southern Cross Hotel
            ในเมล์เบอร์น
            ซึ่งไดอะน่าทำหน้าย่น..
            เขารีบเสริมว่า
            "ออกไปเต้นเถอะ แสดงให้โลกรู้ว่าพระองค์กำลังมีความสุข และเป็นคนที่เต้นรำได้สวยที่สุด"
            "คุณว่า..สวยที่สุดจริงๆ หรือ?"
            "สวยซิ..ถ้าไม่นับ เดม (=ท่านผู้หญิง) มาโกต์ ฟอนเทน นะ แต่อย่างลืมว่า เดม มาโกต์ น่ะมีคู่เต้น คือ รูดอล์ฟ นูเรเยฟ
            "น่านซิ..แต่ฉันต้องมาเต้นกับชารลส์นี่ซิ..แย่จริง"
            ที่พระชายาต้องพูดเช่นนั้น เพราะใครๆ ก็รู้ว่า เจ้าฟ้าชายไม่ค่อยชอบในเรื่องของการแสดงออกมากกว่าที่จำเป็น

            แต่ในที่สุด เธอก็เชื่อวิค ทั้งคู่ได้ออกไปลีลาศอย่างสนุกสนานในท่วงทำนองของจังหวะดิสโกที่กำลังลือลั่น
            เป็นข่าวและภาพขึ้นหน้าหนึ่ง..ชาวอังกฤษได้เห็นและต่างพากันชอบอกชอบใจ ต่างเรียกขานพระชายาในนามใหม่ว่า Disco Di
            พอจบจากการเดินทางประพาสออสเตรเลียแล้ว..
            ปัญหาใหม่ที่ตามมานั่นคือ พระชายาได้บรรลุถึงการเป็นสุดยอดแห่งความเป็นป๊อปปูล่าร์ที่ใครต่อใครทั่วโลกพากันรักใคร่ ไหลหลง
            เพราะว่า..เธอมีคุณสมบัติครบถ้วนในความเป็นเจ้าหญิง ดังในความฝันของทุกคน สวย น่ารัก สง่า และมีเสน่ห์

            แต่ส่วนที่เป็นปัญหานั่นก็คือ เธอได้ "ดับรัศมี" ของพระสวามีจนหมดสิ้น จากเจ้าฟ้าชายที่เคยเป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั้งโลก เมื่อมาประทับเคียงข้างกับไดอะน่า..พระองค์กลายมาเป็นผู้ชายที่ทึ่มๆ เชยๆ คนหนึ่งเท่านั้น
            จนพระองค์เองก็ยังแทบไม่เชื่อว่า สิ่งนี้ได้กำลังเกิดขึ้นต่อหน้า ต่อตา และเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร..
            เพียงชั่วเวลาไม่นาน จากเด็กสาวกะโปโลคนหนึ่ง กลายมาเป็นผู้ที่แย่งชิงความนิยม และครองดวงใจของคนทั้งโลก
            ไม่ว่าจะเสด็จไปไหน ผู้คนต่างแห่ตามกันไปรอดูทางฝั่งของพระชายาอย่างหนาแน่น
            เท่านั้นไม่พอ บางคนทำท่าผิดหวังที่มาคอยยืนผิดข้าง และต้องมาทนดูหน้าเจ้าฟ้าชาย
            บางคนยื่นช่อดอกไม้ส่งให้ และทูลว่า
            ฝากไปให้พระชายาไดอะน่าด้วย..ซึ่งเจ้าฟ้าชายได้ตรัสแกมเย้าแกมขมขื่นว่า
            "อ้อ..เดี๋ยวนี้ ฉันกลายเป็นคนส่งดอกไม้ไปแล้วหรือไง.."
            ที่แสบสุดคือ บางคนถึงกับบอกพระองค์ว่า..
            กระเถิบไปหน่อย..อย่ายืนบังได้ไหม?

    
            หนังสือ Psychology Today ได้เขียนข้อความโดนใจไว้ว่า..บรรดาชาติต่างในโลกนี้ โดยเฉพาะ อังกฤษ และอเมริกา ที่มีชีวิตประจำวันที่แสนน่าเบื่อหน่ายและจำเจ
            ทางออกของพวกเขาที่มี
            นั่นคือ การให้ความสนใจและลุ่มหลงชื่นชม บูชาในสถาบัน
            เจ้านาย
            อันข้อความนี้นั้นก็นับว่าจริงอยู่ไม่น้อย ดูตัวอย่างจาก อเมริกาที่ครั้งหนึ่งได้พร้อมใจกันยกย่องจ๊าคเกอลีน
            เคนเนดี้ ราวกับเป็นเจ้าหญิง
            หรือ อย่างในโมนาโค ที่ รักใคร่บูชาเจ้าหญิง
            เกรซ อย่างหมดใจ

            ไดอะน่า เจ้าหญิง แห่ง เวลส์ ได้มาเหนือเมฆกว่าใครทั้งสิ้น เธอได้เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวประชาโดยที่ไม่ต้องลงทุนทำอะไรท้งสิ้น แต่ ยิ้ม และ ยิ้ม และ ยิ้ม เท่านั้น..
            ผู้คนที่มาคอยเฝ้ายลโฉมของเธอนั้น สามารถทนรอได้นานนับชั่วโมง ไม่ว่าฝนจะตก หรือ หิมะจะร่วง..

            วิคเริ่มมองเห็นความอึดอัดที่จะพึงบังเกิดแก่เจ้าฟ้าชาย..เขาแนะนำว่า ตอนนี้คงยังทำอะไรไม่ได้มาก นอกจากต้องใช้อารมณ์ขันเข้าช่วย ขอให้นึกถึงประธานาธิบดี เคนเนดี้
            ที่ครั้งหนึ่งในยามที่เยือนปารีส ก็คงมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน เพราะ ท่านได้กล่าวอย่างติดตลกว่า..
            "กระผมคือ คนที่ติดตามท่านผู้หญิง จ๊าคเกอลีน เคนเนดี้มาเที่ยวปารีสขอรับ..."
            และท่านเองก็ยังเห็นเป็นเรื่องขำ
            เจ้าฟ้าชาย..สวนกลับไปว่า
            "เผอิญว่า..ฉันไม่ใช่ เคนเนดี้ ซะด้วยซิ..เลยไม่ขำ"
            และพระองค์ได้หลุดพระโอษฐ์ไปว่า
            "ความจริง..ถ้าจะให้ดีนะ ต้องมีเมียสองคน ซ้ายคน ขวาคน แล้วฉันจะได้เดินตรงกลางสบายๆ ..ดีไหมล่ะ"
            วิครู้ดีว่า..คนอย่างเจ้าฟ้าชายชารลส์ มกุฏราชกุมารแต่อ้อนแต่ออกนี่..ทนไม่ได้จริงๆ กับการที่ถูกลดค่าไปอย่างฮวบฮาบ แถมยังต้องโดนเบียดตกเวทีไปเสียอีก
            พระองค์ย่อมรับไม่ได้อย่างแน่นอน
            ครั้งหนึ่งที่พระองค์ได้นำปัญหามาปรึกษากับวิค ในเรื่องของการที่พระชายาได้กัดเล็บตัวเองจนเลือดออกซิบๆ ว่า ช่างเป็นเรื่องน่าอายเสียจริง รู้ไปถึงไหนอายเขาถึงนั่น
            เจ้าหญิงมัวมานั่งกัดเล็บเล่น..
            ถ้าเป็นคนอื่น..คงต้องผสมโรงและช่วยกันยำเรื่องนี้ให้มีรสชาติขึ้น เพื่อเป็นการเอาพระทัยองค์มกุฏราชกุมาร
            แต่กับวิค..เขารีบแก้ข้อความให้ถูกต้องทันที
            เขาว่า.."ที่พระชายาต้องมากัดเล็บตัวเองนั้น เพราะ เธอกำลังมีปัญหาในเรื่องของสื่อต่างๆ ที่ออกข่าวกันอย่างอึกทึกครึกโครมและเกรงว่า ทางเดอะ เฟิร์มจะไม่พอพระทัย
            อย่างครั้งหนึ่ง ที่เธอได้ไปออกงานเปิดรัฐสภา พร้อมกับทรงผมใหม่ ที่ผู้คนต่างพากันแตกตื่น..ลืมสนใจ สมเด็จ..องค์ประธานในพิธีเสียสิ้น
            เจ้าฟ้าหญิงมาร์กาเร็ตทรงหันไปเล่นงานเจ้าฟ้าชาย ที่ไม่รู้จักสั่งสอนเมีย และพระองค์เองก็ทรงตำหนิพระชายาอย่างรุนแรงในเรื่องนี้ด้วย
            แน่นอนที่ว่า ไดอะน่าจะต้องเกิดความรู้สึกที่หวาดหวั่น จนแทบไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก นอกจาก กัดเล็บตัวเอง
            ขอให้ทรงจำไว้เถอะ ว่า ถ้าทรงเห็นเล็บของพระชายา
            กุดสั้นเมื่อไหร่ แสดงว่า เมื่อนั้นแหละ มีปัญหา.."

            จากสถิติข่าวของหนังสือพิมพ์อังกฤษที่ได้รวบรวมไว้ว่า..สามปีแรกของการอภิเษก พระชายาไดอะน่า ได้แสดงการปราศรัยในที่สาธารณะไม่เกินห้าร้อยคำ
            เพราะว่า เธอเองได้ขาดความมั่นใจในการออกงานโดยปราศจากพระสวามีเคียงข้าง
            แต่..งานแรกที่เธอกล้า "บินเดี่ยว" นั่นก็คือ งานพระศพของเจ้าหญิงเกรซ แห่ง โมนาโค
            ผู้ที่ไดอะน่าได้ ชื่นชมและรักใคร่มาโดยตลอด ทั้งๆ ที่เคยพบกันหนเดียว (1982)
            เธอได้เล่าให้เจ้าหญิงแคโรลีน พระธิดา (ของเจ้าหญิงเกรซ) ฟังว่า..เธอได้รู้สึกสนิทสนมกับเจ้าหญิงราวกับรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว
            เพราะไม่ว่าอะไรก็เหมือนกันไปหมด
            นับจากเกิดมาในราศีเดียวกัน มาจากครอบครัวที่ร้าวฉานเช่นกัน เป็นลูกคนที่สามเหมือนกัน แต่งงานกับเจ้าเหมือนกัน พอแต่งแล้วต่างก็ "ดัง" กว่าพระสวามีเหมือนกัน

            ( วิวันดาขอต่อให้เองว่า..มีโศกนาฏกรรมและพบกับจุดจบแห่งชีวิตเหมือนกัน..เรื่องนี้ขอแถมให้ละกันว่า ในหนังสือชีวประวัติของเจ้าหญิงเกรซ ถ้าใครได้อ่านแล้วจะหนาว
            เพราะ เบื้องหน้าเบื้องหลังของความเป็นเจ้าหญิงเกรซนั้น มีอะไรหลายอย่างที่น่าตกใจและเศร้าใจ เช่นเรื่องการติดสุรา และ เรื่องชู้สาว)

            ความจริงการไปโมนาโคของพระชายานั้น ไม่เป็นที่เห็นชอบของเดอะ เฟิร์มเลย และไม่มีใครสนใจที่จะไป
            ส่วนเจ้าฟ้าชายพระสวามี กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ พระองค์ทรงเป็นเชื้อพระวงค์องค์แรกที่ทำการบริจาคโลหิตให้กับธนาคารเลือดเป็นตัวอย่าง
            แต่กลับไม่เป็นข่าว..
            เพราะตอนนั้น หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างสงวนไว้ให้กับข่าวฉลองพระองค์ของพระชายาไดอะน่าเท่านั้น
            จนเจ้าฟ้าชายถึงกับถอดพระทัย ทรงบ่นว่า..
            "ให้ตายเถอะ ฉันอยากเป็นนาย บ๊อบ เกลดอฟ จริงๆ "
            (ทรงหมายถึง Bob Geldof นักร้องชาวไอริชที่เพิ่งได้รับการประกาศเกียรติคุณที่ได้ช่วยหาเงินให้กับผู้อดอยากในเอธิโอเปียหลายล้านเหรียญ)

            เมื่อฝ่ายราชเลขาธิการฯได้ฟังพระองค์บ่นดังนั้น จึงต้องรีบช่วยส่งข่าวให้ โดยการแจกข่าวพร้อมหลักฐานคือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต และอวัยวะที่มีลายเซ็นแพทย์กำกับไปยังสื่อหลายฉบับ
            ซึ่ง..การเขียนข่าวนั้นได้มีการเขียนจริง หากแต่เป็นช่องเล็กๆ ที่กลบทับไปด้วยข่าวของพระชายาในชุดสีเงิน เปิดไหล่ข้างหนึ่ง ในงานการกุศลของคืนก่อน

            ไม่กี่วันต่อมา..กลุ่มส่งข่าวของเจ้าฟ้าชายได้กระตุ้นให้บีบีซีได้ทราบและให้ช่วยทำสกู๊ปว่า เจ้าฟ้าชายทรงสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของคนจรจัดในลอนดอนอยู่
            ถึงขนาดลงทุนเสด็จเยี่ยมถึงสถานสงเคราะห์ที่พักชั่วคราวในจุดต่างๆ ในเวลาค่ำมืดดึกดื่น

   

            พระสหายในกลุ่มที่เล่นโปโลด้วยกันกับเจ้าฟ้าชาย มักลงความเห็นว่า พระองค์ทรงทำองค์แบบสบายๆ และ ธรรมดาที่สุด
            หากแต่..เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ พระขนิษฐาเองได้สรุปได้ลงตัวที่สุด นั่นคือ ทำตัวเว่อร์ไป..
            ทรงว่าที่พระตำหนักไฮโกรฟ (ที่ประทับใหม่ของเจ้าฟ้าชายและพระชายา) คุณพนักงานและมหาดเล็กจะต้องสวมยูนิฟอร์มที่ออกแบบพิเศษมีตราประจำของเวลส์ ประทับอยู่
            และก่อนที่จะเข้าพบ ต้องถวายบังคมคำนับมาแต่ไกล
            และเมื่อเสร็จธุระ ก็ต้องถวายบังคมอีกครั้ง
            การเดินออกต้องก้าวถอยหลังออกไป
            นายสตีเฟ่น แบร์รี่ รับใช้มากว่าสิบสองปี กล่าวว่า
            "จะว่าไปแล้ว ผมก็นับว่าอยู่มานาน แต่ พระองค์ไม่เคยทรงทำให้ผมลืมได้สักครั้งว่า..ใครเป็นนาย ใครเป็นบ่าว"

            เรื่องการเป็นดับเบิ้ล สแตนดาร์ดนั้น ไม่มีใครเกินพระพักต์ของเจ้าฟ้าชายอย่างแน่นอน (ถ้าจะมีก็คงเป็นนายกทัก..ของเราคนเดียว)
            เช่นทรงปราศรัยบ่อยๆ ในเรื่องของการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง แต่ทรงใช้รถยนตร์ ยี่ห้อ เบนท์ลี่ย์ ที่ซดน้ำมันสิบไมล์ต่อแกลลอน
            เรื่องการสนใจความเป็นอยู่ของคนยากจน ถึงขนาดไปเยี่ยมในสลัมหนึ่งวันเต็ม (ในการประพาสสองวันที่พิตตส์เบอร์ค สหรัฐอเมริกา)
            แต่พอจบรายการเยี่ยมวันนั้น
            วันรุ่งขึ้นก็ทรงไปเล่นโปโล ที่สนามหรูในปาล์ม บีช จากนั้น ก่อนกลับไปยังลอนดอน ทรงแวะเล่นสกีที่สวิตเซอร์แลนด์อีกต่างหาก

            พระชายาไดอะน่าได้กลายมาเป็นตราสัญญลักษณ์อันสำคัญสุดของประเทศไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะเป็นภาพที่ตีพิมพ์ลงบนอะไร ต่างล้วนสร้างเม็ดเงินได้เป็นกอบเป็นกำ
            อีกทั้งเป็นสมาชิกพระราชวงค์คนแรกที่ยินดีสัมผัสมือกับประชาชนโดยไม่สวมถุงมือ ไม่รีรอที่จะจุมพิตทักทายกับราชอาคันตุกะ ไม่รังเกียจที่จะจับต้องตัวผู้ป่วยด้วยโรคร้าย
            เป็นฐานอันมั่นคงให้กับพระราชวงค์วินด์เซอร์โดยเป็นความจริงที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง

            และมีความสามารถในเรื่องการแสดงอย่างหาตัวจับได้ยาก ดังที่ได้เกิดขึ้นในคืนวันที่ 23 ธันวาคม 1985 คือ งานแสดงการกุศลให้กับ ลอนดอน โอเปร่า เฮ้าส์
            ที่จัดขึ้นที่หอประชุม Covent Garden
            ในช่วงของการพักครึ่งเวลา ที่พระชายาได้ขอตัวไป "ทำธุระ" ต่อพระสวามี
            ทันที่ที่ม่านสีแดงได้เปิดออกมา หญิงสาวผมบลอนด์คนหนึ่งได้ออกมาทำการแสดงลีลาเต้นรำด้วยท่าทางที่สวยงาม ในเพลงป๊อปของ บิลลี่ โจเอล "Uptown Girl"
            และผู้ชมร่วมกว่าสองพัน ต่างส่งเสียงฮือฮา ทันทีที่จำได้ว่า หญิงสาวคนที่กำลังแสดงความสามารถคู่กับนักเต้นรำบัลเล่ต์ชายชั้นนำของอังกฤษ นามว่า เวย์น สลีป อยู่นั้น คือ พระชายา ไดอะน่า ในชุดผ้าซาตินสีขาว
            ซึ่งเธอได้เฝ้าฝึกซ้อมมาก่อนล่วงหน้าหลายเดือนในพระราชวังเคนซิงตัน เพื่อมีความประสงค์จะให้เป็นของขวัญวันคริสต์มาสกับพระสวามี
            ลีลาท่าเต้นนั้น ออกแนวเซ๊กซี่ ที่มีการเตะขาข้ามหัวฝ่ายชาย และการโอบกอด
            ซึ่ง เวย์นได้ให้สัมภาษณ์ว่า
            "ผมละตื่นเต้นจนแทบทำอะไรไม่ถูก พระชายาสูง เกือบหกฟุต ผมสูงแค่ ห้าฟุต สอง แต่โชคดีที่ไม่มีใครมาเฝ้าดูผม ต่างจับสายตาไปที่เธอคนเดียวหมด
            แต่ผมก็ยังไม่วายหวั่น เพราะผู้หญิงในวงแขนของผมนั้น คือพระราชินีของเราในอนาคต"
            หลังจากที่การแสดงได้จบลง เสียงเรียกให้ออกมารับการปรบมือดังติดต่อกันยาวนานจนทั้งคู่ต้องออกมาโค้งถึงแปดครั้ง
            ไดอะน่าได้หันไปถอนสายบัวให้กับทิศทางของพระสวามีที่ประทับอยู่ในชั้น รอยัล บ๊อคซ์
            เจ้าฟ้าชายเมื่อหายจากการตื่นตะลึง ก็ทรงลุกขึ้นปรบพระหัตถ์ให้ ..
           

 

 

หากแต่..เมื่อลับหลังแล้ว..พระองค์มิได้ทรงเห็นดีงามด้วยเลยสักนิด ตำหนิพระชายาว่า ไม่เข้าท่า ทำไปเพราะหลงตัวเอง อยากแสดงออกจนไม่คิดถึงว่าอะไรควรไม่ควร
            และ ที่ทำลงไปเพราะอยากเป็นจุดสนใจ..
            ทั้งหมดนี่..คือ ความร้าวฉานที่คนสองคนไม่มีวันเข้าใจในความรู้สึกของกันและกัน ไม่มีทางสมานได้ อีกทั้งกลายมาเป็นพลังแห่งความเบื่อหน่ายจนต้องไปหาที่พักพิงใจจาก "ที่อื่น" และ "คนอื่น"

 

ขอคั่นเวลา...เล่าเรื่องที่แฟนคลับจากเยอรมัน..เขียนมาเล่าให้ฟังนะคะ...

          หนูคนนี้เขาน่ารักมาก เขียนมาด้วยใจความที่คนอ่านรู้สึกซาบซึ้ง น้ำตาปริ่มเชียว จากข้อความนี้ค่ะ.. (ขออนุญาตเจ้าตัวเขาแล้ว)

            "กระทู้ของคุณป้าวิให้ความรู้แก่หนูมากๆ เลยค่ะ หนูสามารถตอบคำถามอาจารย์ได้ โห!
            เพื่อนๆ คนเยอรมันเงี้ย นั่งเงียบเป็นเป่าสากเลย
            (ถ้าแบบเรียนของกระทราวงศึกษาสนุกอย่างกระทู้ของคุณป้าวิก็จะดีไม่น้อยนะคะ)

            เอาละค่ะ เข้าเรื่องซะที หนูไปเที่ยวที่ Dachau มาตอนเดือนกันยายนค่ะ
            ตอนแรกหนูก็ไม่ได้สนใจอะไรมากหรอกนะคะ ก็ไปเที่ยวมิวนิคแล้วก็เลยๆ ไป
            ไม่ได้ว่าหมายมั่นปั้นมืออยากไป Dachau
            แต่พอไปปุ๊บ ก็รู้สึกถึงความโหดร้าย น่ากลัว ทุกๆ อย่าง อย่างเช่น
            ในพิพิธภัณฑ์มีรูปให้ดูมากมายว่าทหาร SS ทำอะไรกับพวกเชลยบ้าง
            หนูคิดว่าป้าวิคงจะทราบแล้ว แต่หนูก็อยากเล่าค่ะ เช่นเอาคนมาทดลองยา
            แล้วถ่ายรูปไว้ตั้งแต่เริ่มกินยา จนบ้าคลั่งและเสียชีวิต
            และอย่างเช่นเอามาเชลยทดลองความทนทาน ลองดูว่าคนปกติจะคนอยู่ในน้ำได้นานแค่ไหน
            เอามาใส่เครื่องทดลองแล้วปล่อยให้แช่น้ำจนเสียชีวิต เพื่อที่จะใช้ผลการทดลอง
            เพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธทางทหาร....อนาถใจค่ะ
            แล้วยังมีตัวอย่างเครื่องมือทรมาน เห็นแล้ว...สยอง เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาค่ะ

            รูปที่ส่งมานี้รบกวนคุณป้าวิพิจารณาเลือกลงกระทู้ตามใจชอบนะคะ
            หนูส่งมาให้เยอะแยะเลย เผื่อจะได้เลือกรูปที่ถูกใจได้ค่ะ

            อ้อ...หนูลืมบอกไป ว่าก่อนไป Dachau หนูยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับ
            Konzentrationslager มากนัก พอกลับมาถึง Dresden ปุ๊บ
            (หนูเรียนหนังสือที่เมือง Dresden ค่ะ; เมืองที่โดนอังกฤษทิ้งระเบิดไงคะ)
            หนูก็เปิดเน็ตหาข้อมูลใหญ่เลย แล้วได้มาเจอกระทู้ฮิตเล่อร์ของคุณป้าวิ โอ้โห
            สวรรค์โปรด...หนูนั่งอ่านสามวันสามคืนจนจบ สนุกมากค่ะ แล้วได้ความรู้มากมาย
            บอกได้คำเดียวค่ะ..ว่า...สุดยอด! ขอกราบคารวะป้าวิงามงามค่ะ
            จากนั้นก็ติดกระทู้ป้าวิ ต้องอัพกระทู้ทุกวัน บางวันบ้าๆ อัพทุกสิบนาที อิอิ

            รูปหลักๆ เลยก็จะเป็นบริเวณของค่าย, ทางเข้าค่ายที่เขียนว่า "Arbeit macht frei", รูปปั้น, โบสถ์ที่สร้างขึ้นมาใหม่
            แล้วมีป้ายสำหรับอธิบายการแบ่งกลุ่มของเชลยด้วยค่ะ
            ค่ายนี้เดี๋ยวนี้ไม่เหลือสภาพเดิมแล้ว โรงนอนก็เหลือแต่ฐาน
            แต่ว่าเค้าก็สร้างแบบจำลองมาให้คนเข้าชม
            หนูถึงได้ถ่ายรูปเตียงกับห้องน้ำมาได้ค่ะ
            แต่ก็ยังให้ความรู้สึกของค่ายกักกันอยู่ค่ะ "

            ......................

            ภาพที่ส่งมานั้น เป็นค่ายกักกันรุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว เพราะสะอาดเอี่ยมยังกับนอนโรงแรม
            แต่ก็ชื่นใจหลายละค่ะ จะได้นำมาลงเปรียบเทียบให้ดู
            เพราะของเก่า ทั้ง เอาซ์วิตซ์ และ ดักเฮา ก็ยังมีเก็บไว้
            ยิ่งหนูเขาบอกว่า อ่านแล้วนำไปใช้เสริมปัญญาได้ ยิ่งดีใจใหญ่เลยค่ะ เพราะนี่คือเป้าหมายในการเขียนแท้ๆ

            และเรื่องภาพยนตร์ Der Untergang ที่แนะนำให้ไปหามาดูนั้น....ดูเพื่อที่หนูจะได้ใช้ปัญญาคิดเอง ว่า ฮิตเล่อร์ ก็เป็นคนธรรมดาที่มีทั้งด้านดีและร้าย มีความเชื่อมั่นในตัวสูง
            แต่เนื้อหานั้น ไม่ใช่เฉพาะที่ตัวฮิตเล่อร์คนเดียวนะคะ ดูบทบาทของคนอื่นๆ และสภาพบ้านเมืองในตอนนั้นด้วย

            นี่คือปัญหาในการศึกษาประวัติศาสตร์อย่างขาดตอน
            อย่างที่เราจะเห็นได้จากกระทู้บางกระทู้ที่คนตั้งถามว่า
            ช่วยเล่าเรื่อง....และ เรื่องนี้ ....อย่างละเอียดๆ เลยได้ไหม
            เพราะจะต้องทำไปทำรายงาน..

            เป็นไปไม่ได้ค่ะ เรื่องอะไรก็ไม่สามารถเล่าได้เข้าใจได้อย่างละเอียดทั้งนั้น ถ้าไม่มีพื้นฐานความเข้าใจมาก่อน
            อาจจะเล่าได้ แต่ คนฟังจะไม่ "เก็ท" เพราะไม่รู้เรื่องราวสืบทอด

           

โทษทีค่ะ...รูปภาพที่ส่งมา..หายไปหมดแล้ว...แต่ก็เอาเถอะ..ดิฉันคงจะได้ไปเยี่ยมชมดัคเฮาด้วยตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้แหละ เพราะตั้งใจไว้แล้ว...

          

            อย่างเรื่องไดอะน่านี้เหมือนกัน เขียนกันยาว และตั้งใจว่าจะเล่าไปเรื่อยๆ เลียนแบบยังเติร์ก และจะย้อนขึ้นไป
            ให้ทราบทีหลังว่า..กว่าอังกฤษจะมาเป็นปึกแผ่นด้วยน้ำพระหัตถ์ของสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียนั้น พระองค์,พระโอรสและพระธิดา ต้องทนการพลัดพรากจากกัน
            ทุกพระองค์ต้องออกไปมีเหย้ามีเรือนในต่างแดน สืบสันตติวงค์กับราชวงค์อื่นๆ ในทั่วยุโรป (เยอรมันทั้งเหนือและใต้ เดนมาร์ค รัสเซีย)
            เพื่อเสถียรภาพของอังกฤษให้ยืนยง

            ไม่ใช่แค่ชั้นลูกนะคะ..ต่อมาจนถึงชั้นหลาน..
            หลานสาวทั้งห้าพระองค์ ยังต้องแยกสายออกไปอภิเษก
            ตามประเทศอื่นๆ อีก เช่น กรีซ นอร์เวย์ รัสเซีย โรเมเนีย
            สเปน
            ทุกพระองค์ต่างมีทั้งทุกข์และสุข เจ็บป่วยด้วยโรคเฮโมฟิเลีย (ตามสายกรรมพันธุ์) ก็หลายพระองค์
            และที่ต้องดับสูญไปน่าเวทนาทั้งครอบครัว คือ ชารินา อเล็กซานดรา แห่ง รัสเซีย

            ฉะนั้น..การที่ไดอะน่าจะทำอะไรที่ออกเกินเลย จนเหมือนกับการไม่มีความยำเกรงในสถาบันของเดอะ เฟิร์ม นั้น
            แน่นอน..ว่าเธอต้องมีปฏิปักษ์จำนวนไม่น้อย และ
            การที่เธอไม่สวมบทบาทของช้างเท้าหลังให้ดี อีกทั้งเผอิญว่า ทั้งเด่น และ ดัง กว่าพระสวามีนั้น
            ก็ต้องถือว่า เป็นกรรมของชาววินด์เซอร์

 




ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ โดย วิวันดา

ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนเก้า (จบ)
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนเจ็ด
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนหก
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนห้า
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนสี่
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนสาม
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนสอง
ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนหนึ่ง



1

ความคิดเห็นที่ 1 (102053)
avatar
Em

 

Two Thumbs Up! K.Wan.

Teach-er, n.: One who sees the promise of the future in the eyes of each every child.

(ลอกมาจากถ้วยกาแฟที่ใช้อยู่เป็นประจำค่ะ) 

เห็นด้วยกับคำพูดของหนูแฟนคลับคุณหวาน ที่ว่าอยากให้ตำราเรียนของกระทรวงมีหนังสือดีๆอย่างนี้อ่านบ้าง

เรามาทำความฝันให้เป็นจริงดีมั้ยค่ะ ขอยกมือเป็นกำลังร่วมอีกคน

 

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Em วันที่ตอบ 2012-05-15 10:46:26 IP : 171.4.221.101



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker