เมื่อต้นฤดูฝนของปี 1915 กองทัพของเราเริ่มร่นถอยมาจากแนวที่ตั้งรับร้อยๆ ไมล์ ฉันเองก็ต้องย้ายศูนย์บัญชาการครั้งแล้วครั้งเล่านับได้ถึงหกครั้ง ความหวังในการรุกคืบของเราช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน สิ่งเดียวที่ดูเหมือนกับเป็นข่าวมงคลนั่นคือ "การปลด" แกรนด์ดุ๊ค นิโคลาชาที่พรรคพวกชาวศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งสตาฟวา
ค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อยหนึ่งหลังจากที่ถูกกดดันมานานถึงสี่เดือน
เราถอยออกจากฐานที่ Galicia อย่างเด็ดขาด นั่นหมายถึงเรายอมเสียโปแลนด์ไปอย่างน่าเสียดาย
รวมทั้งการพ่ายแพ้แต่การรุกรานทางด้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเฉียงใต้ไปอย่างไม่มีทางสู้ภายใต้การนำทัพของซาร์ผู้ถืออำนาจเด็ดขาดในฐานะจอมทัพ
ในกรณีนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่น่ากังขา เพราะซาร์ได้เสด็จมาประทับทรงงานอยู่ที่ศูนย์บัญชาการนานจนเกินไป ทรงทิ้งเมืองหลวงให้อยู่ในอำนาจของรัสปูตินและพรรคพวก
ถ้าจะนับทางการทหาร ก็ถือว่าถูกต้องที่จอมทัพจะต้องออกมาประทับและเป็นกำลังใจให้กับเหล่าไพร่พล และยิ่งกับผู้บัญชาการคนใหม่ท่านนายพล Alexeieff คนเก่งด้วยแล้ว นับว่าการผนึกกำลังของท่านแม่ทัพคนใหม่และซาร์ผู้เป็นจอมทัพถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันน่ายินดีของศูนย์สตาฟว่า
เพราะนายพลอเล๊กเซียฟนี้..แม้จะไม่เกรียงไกรดังเช่นนโปเลียนหรือเทียบชั้นได้กับแม่ทัพลูเดนดอฟ (เยอรมัน) ก็ตาม
แต่ก็เป็นแม่ทัพที่ช่ำชองจากการสู้รบที่ไม่น้อยหน้าใคร การควบคู่เคียงบ่าเคียงไหล่ระหว่างซาร์กับแม่ทัพคนนี้นับว่าเหมาะเจาะลงตัว คือ คนหนึ่งดูแลคอยเฝ้าระวังและดูแลเหตุการณ์ในเมืองหลวงให้สงบเรียบร้อย
ส่วนอีกคนหนึ่งก็ใช้สติปัญญาและพละกำลังในการสู้รบ..ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของการเมือง
แต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่..
นิคกี้ปล่อยให้การเมืองได้ถูกบดบังด้วยรัศมีของรัสปูตินและข้าราชการที่ฉ้อฉล พระองค์ไม่ได้ประทับที่พระราชวังชาร์โก-เชโลเพื่อว่าราชการเลย
ในขณะที่แม่ทัพอเล็กเซียฟเองก็เข้าไปร่วมกับขบวนการล้มล้างอย่างมิได้ระแวงระไวหรือไหวตัว เพราะไม่ทันเกมส์การเมือง
เนื่องจากขบวนการล้มล้างดังกล่าวมานี้ มาในรูปของ คณะเหล่ากาชาด, สหกรณ์เพื่อประชาชน และ กลุ่มผู้นำท้องถิ่นต่างๆ
กลุ่มพวกนี้คือกลุ่มที่มีโอกาสได้ส่งตัวแทนไปเยี่ยมเยียนช่วยสงเคราะห์ทหารในกองทัพแนวหน้าของเราได้รู้ได้เห็นถึงการสู้รบแบบขอไปทีของกองทัพ และรู้ดีว่ากำลังของเราได้ร่นถอยหนีข้าศึกอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า
จากท่าทีของคนกลุ่มนี้ที่เคยให้การสนับสนุนสงครามอย่างเต็มตัวในครั้งแรกๆ ของสงคราม..มันได้กลายไปเป็นการโกรธแค้น ไม่พอใจ
และ เกลียดชัง ด้วยทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า
การพ่ายแพ้ของเรานั้นเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ที่เป็นถึงซารินา
อีกทั้งผสมกับสาเหตุสืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลคุมเข้มเรื่องสื่อที่เป็นการปิดหูปิดตาประชาชนก็เลยยิ่งไปกันใหญ่
สำหรับฉันเองแล้ว..บอกตรงๆ ว่าสงสารซารินาอย่างที่สุด เข้าใจดีถึงข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เธอได้กระทำและยิ่งเกลียดเจ้ารัสปูตินอย่างเข้ากระดูก
ฉันยืนยันได้ว่า..อลิกซ์มีความรักชาติ (รัสเซีย) ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ
คิดดูซิว่า อลิกซ์ได้เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของบิดา คือท่านดุ๊คแห่งเฮสส์-ดาร์มสตัดท์ ที่มีความจงชังไกเซอร์อย่างมากมาย อลิกซ์เองก็คอยเฝ้าแช่งชักหักกระดูกขอให้ปรัสเซียมันล่มสลายไปเร็วๆ นอกจากรัสเซียแล้ว..เธอมีอีกหนึ่งใจที่ถวายความจงรักภักดีให้..นั่นคือราชบัลลังก์แห่งอังกฤษ
ดังนั้นเสียงร่ำลือที่ว่าอลิกซ์ฝักใฝ่ในสายเลือดเยอรมันของเธอ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าชวนหัวสำหรับพวกเราทั้งหมด ช่างห่างไกลไปจากความจริงเสียเหลือเกิน
แต่สำหรับประชาชนแล้ว..มันเป็นปัญหาที่ตอบยาก..ดังเช่น สมาชิกสภาคนหนึ่งได้ลุกขั้นโต้แย้งในเรื่องนี้ว่า
"ถ้าซารินามีความรักชาติอย่างที่ว่าแล้วละก้อ ทำไมปล่อยให้ไอ้บ้า
รัสปูตินนั่นเที่ยวเดินกร่างไปทั่วเมือง อีกทั้งคบค้าสมาคมกับพวกที่สนับสนุนเยอรมันอยู่เล่า ทำไมพระองค์จึงไม่ลงโทษมัน?"
นี่คือคำถามเด็ดที่ว่า..เพราะว่าถ้าจริงอย่างปาก ใครเล่าจะกล้าไปกราบบังคมทูลให้ซาร์ไล่มันไปให้พ้นจากวังเพื่อสยบปัญหาทั้งหมด..
ฉันเองก็โดนบ่อยๆ ที่มีคนมาถามถึงที่แนวหน้า..ว่า..
"พระองค์เป็นถึงท่านอาและจัดว่าใกล้ชิดที่สุด ทำไมถึงทำเอาหูไปนา ตาไปไร่ ไม่ไปกราบบังคมทูลให้ทรงรู้เรื่อง"
ทำไมจะไม่พูดเล่า..ฉันเองเคยได้โต้แย้งกับซาร์เรื่องรัสปูตินมานานแล้วตั้งแต่ก่อนสงครามเสียอีกด้วยซ้ำ
ถ้าจะลองไปพูดอีก..ก็พอจะเดาภาพได้ออกว่า นิคกี้ก็คงจะต้อนรับฉันด้วยไมตรีอย่างที่เคย จะฟังฉันอารัมภบทไปจนจบ
ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ และตอบว่า.."ขอบใจนะซานโดรที่ช่วยเป็นธุระ เป็นหูเป็นตาให้" และก็จะเข้ามาสวมกอด
แต่ไม่มีการทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ไม่มีใครสามารถทำให้ซาร์ขยับองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ตราบใดที่ซารินาคงเชื่อว่าพระชนมายุของพระโอรสอเล็กเซจะอยู่ยืนยาวไปได้หากมีรัสปูตินอยู่ใกล้ๆ
ดังนั้น..ฉันช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ มันช่างสิ้นหวังจนถึงขนาดที่ฉันเองไม่อยากจะพูดอะไรกับใครเลย อยากจะลืมมันเสียให้หมดทั้งผู้คนรอบข้างรวมไปถึงภาระหน้าที่ของการเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศแห่งรัสเซียด้วย
ปีต่อมา คือ 1916 ที่ฉันต้องย้ายศูนย์บัญชาการไปยังเมืองเคียฟ (Keiff) เพื่อที่จะผนึกกำลังกับกองทัพของแม่ทัพบรูซิลอฟในแผนที่จะร่วมกันโจมตีในช่วงของฤดูร้อนที่จะถึงนี้
แม่ยายของฉันได้มาเยี่ยมที่ฐานพร้อมกับพระธิดาองค์เล็ก แกรนด์ ดัชเชส ออลกา ผู้ซึ่งได้ร่วมเข้าปฏิบัติงานอย่างแข็งขันในฐานะขององค์อุปนายิกาในโรงพยาบาลที่ก่อตั้งด้วยองค์เองตั้งแต่ปีที่แล้ว
จากวังสู่แนวหน้า..ดูเหมือนว่าซารินาพระมารดาพอพระทัยที่เห็นการปฏิบัติงานอย่างแข็งขันของฐานที่เคียฟถึงกับตกลงพระทัยที่จะประทับอยู่ที่นี่ตลอดระยะเวลาของการสงคราม
ทุกวันอาทิตย์ เรามีการพบปะพูดคุยกันที่พระราชวังเมืองเคียฟที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Dnieper หลังจากพระกระยาหารกลางวันเสร็จสิ้นไป แขกอื่นๆ กลับไปหมดแล้ว เราทั้งสามถึงจะมีเวลาเป็นส่วนตัวในการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในอาทิตย์นั้นๆ
เราสามคนไม่ใช่ใครอื่นไกล จัดว่าเป็นพวกรักชาติอย่างหมดใจ เพราะคนหนึ่งก็เป็นพระมารดา คนหนึ่งก็เป็นพระขนิษฐา และ ฉันซึ่งเป็นน้องเขยของซาร์ เราไม่ได้รักซาร์เพียงแต่เป็นญาติสนิทเท่านั้น หากแต่รักและภักดียิ่งชีพเฉกเช่นอาณาราษฏรทั่วไปด้วย พร้อมที่จะสนองพระบัญชาได้ในทุกเมื่อ
ซารินาพระมารดาทรงใส่พระทัยในเหตุการณ์ที่วุ่นวายในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
และทรงระแวงระไวสงสัยถึงในเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ไม่ชอบมาพากลจากการเป็นเส้นสายของรัสปูติน เรื่องนี้ที่ทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระทัยเป็นอย่างมาก
ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงติดต่อกับพระเชษฐภคินี สมเด็จพระนางเจ้าอเล็กซานดรา พระราชินีแห่งอังกฤษ
ทางจดหมายอย่างสม่ำเสมอ หากแต่ในช่วงของสงครามการติดต่อค่อนข้างเป็นไปด้วยความลำบากจึงสร้างความหวั่นไหวให้กับพระองค์มากขึ้นพอสมควร
อย่างไรก็ตามพระองค์ได้ทรงทำองค์ให้เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนชาวเคียฟด้วยรอยยิ้มที่สดใส
ทุกๆ วันจะเสด็จโดยรถยนตร์พระที่นั่งเปิดประทุนเข้าพบปะและทักทายผู้คน เล่าถึงการทำงานอย่างลำบากของซาร์
และขอให้ช่วยกันส่งกำลังใจไปให้กับซารินากับพระธิดาและพระโอรส
หากแต่ส่วนพระประยูรญาติคนอื่นๆ จะไม่ทรงกล่าวถึงเลย ทั้งๆ ที่
พระธิดาองค์โต แกรนด์ ดัชเชส เซเนีย พระชายาของฉันและลูกอยู่โยงที่เมืองหลวง เพราะภาระกิจที่ต้องทรงที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก
ลูกชายของฉัน ปรินซ์ แอนดรูว์ กำลังจะเข้าเป็นทหารในหน่วยทหารราบ หรือ
"มิชา" (Grand Duke Michael Alexandrovich) พระอนุชาของซาร์หรือพระโอรสองค์เล็กของซารินาพระมารดากำลังรบพุ่งอย่างสุดความสามารถในหน่วยทหารราบที่มีผลงานดีเด่นที่สุดในกองทัพ
หรืออย่าง
แกรนด์ ดัชเชส ออลกา พระธิดาองค์เล็กนี้ ที่เป็นทั้งญาติและน้องเมียของฉันนั้น เป็นบุคคลที่ช่างขยันขันแข็งอย่างหายากยิ่งในหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าครั้งไหนพระองค์ก็มักจะอยู่ในชุดทรงที่เป็นเครื่องแบบของพยาบาลเหล่ากาชาด ประทับอยู่ในหอพักรวมกับพยาบาลคนอื่นๆ อย่างไม่ถือพระองค์
เจ็ดโมงเช้า คือเวลาที่เริ่มทรงงานจนกระทั่งถึงวันใหม่อันเป็นภาพธรรมดาที่ใครต่อใครพบว่ายังคงทรงงานช่วยตกแต่งบาดแผลให้คนเจ็บอยู่อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
หลายครั้งที่เหล่าทหารบาดเจ็บไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนที่ทำแผล เช็ดเลือดให้พวกเขานั้นคือ พระราชธิดาของซาร์อเล็กซานเดอร์
ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นพระขนิษฐาของซาร์องค์ปัจจุบัน
หากแต่ชีวิตส่วนตัวของเธอนั้นน่าสงสารนัก เคยอภิเษกกับ Prince of Ordenberg
ทั้งๆ ที่มิได้รักเพราะมีใจปฏิพัทธ์อยู่กับนายทหารคนธรรมดาๆ คนหนึ่งนามว่า Koulikovsky เราทั้งหมดต่างหวังว่า
ซาร์คงจะมีพระบรมราชานุญาติให้มีการหย่าร้าง และให้มีการสมรสใหม่ระหว่างสองคนนี้เพื่อที่ออลก้าจะได้มีชีวิตใหม่กับคนที่เธอรัก และความหวังและการรอคอยนั้นได้สัมฤทธิ์ผลในฤดูหนาวของปี 1916 ที่ขณะที่หิมะกำลังลงหนา เราสามคนได้พาออลก้าและคูลิคอฟสกี้ไปที่พระวิหารเล็กๆ แห่งหนึ่งชานเมืองเคียฟ เพื่อเป็นพยานในพิธีแต่งงานอย่างเงียบๆ ของเธอและเขา
นอกจากเราสามคนแล้ว..ผู้ที่เข้าร่วมพิธีมีเพียงเพื่อนนายทหารเหล่าฮัสซาร์นี่นายของเจ้าบ่าว เพื่อนพยาบาลสองคนของเจ้าสาวเท่านั้น ทุกคนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติเพราะฉันเองไม่เคยคิดว่า ออลก้าเป็นแค่ญาติสนิท หากแต่เธอยังเป็นเพื่อนที่แสนดีมีน้ำใจงามและเป็นนางฟ้าที่คอยให้กำลังใจแก่ทุกคนในยามที่มีความทุกข์ หม่นหมอง
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ และ เพื่อนพยาบาลนามว่า Vassilieva ฉันคงจะเป็นคนที่โดดเดี่ยวเอกาน่าทุกข์ระทมที่สุดในช่วงของสงครามที่โหดร้ายนี้..
นางสาววาสสิไลวา..ต่อมาได้สมรสกับนาย Tchirikoff และได้ลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองคานส์ที่ฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง..และทุกครั้งเราต่างก็มักพุดคุยถึงความหลังในช่วงของสงครามและฤดูหนาวของปี 18916-17 ที่สุดแสนโหดร้าย
ภาพ แกรนด์ ดัชเชส ออลกา 
ในช่วงของฤดูร้อนของปี 1916 เป็นปีที่เราเริ่มได้รับความมีชัยบ้าง..แต่กระแสข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับซาร์เริ่มหนาหูขึ้น
จากการที่ฉันต้องเดินทางไปมาระหว่างเคียฟกับเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กบ่อยๆ นั้นทำให้ต้องได้รับรู้และรับฟังถึงเรื่องเหลวไหลต่างๆ เหล่านี้ไปด้วย เช่น
"เขาว่ากันว่าซาร์ติดเหล้าอย่างไม่ผู้เป็นคนเลยนะ" และ
"เขาว่ากันว่า ซาร์กำลังรักษาตัวอยู่กับหมอชาวบูเรียตที่สั่งยาจากมองโกเลียมารักษาจนเข้าไปอุดตันในสมอง" และ
"เขาว่ากันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเรา นาย Sturmer กำลังติดต่อและเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันกับสายลับเยอรมันในสต๊อคโฮล์ม" และ
"ได้ยินข่าวว่าเรื่องรัสปูตินมันไปทำตัวซ่าส์ที่มอสควาหรือยัง?"
ไม่มีข่าวลืออันไหนเลยที่มีข้อความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของกองทัพของเราที่กำลังอยู่ในแนวรบ ความมีชัยเหนือศัตรูของเราไม่ได้อยู่ในความสนใจของประชาชนเลยแม้แต่นิด
มีแต่ข่าวลือ การโกหกป้ายสีไปเพียงวันๆ ที่แพร่ระบาดไปในสังคมของชนชั้นกลางในเมืองหลวงที่มักอ้างที่มาว่ามาจากปากของบุคคลสำคัญในราชสำนักบ้าง จากวงในรัฐบาลบ้างเพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักความเชื่อถือของข่าวที่นำมาแพร่
จนดูเหมือนว่าศึกในแนวหน้านั้นไม่ใหญ่หลวงเท่ากับศึกจากภายในด้วยกันเอง..
เรื่องนี้ฉันทนรับแทบไม่ได้ บางครั้งถึงกับเกือบบันดาลโทสะที่คิดอยากจะออกเดินทางไปสตาฟวาในบัดนั้นเพื่อที่จะไปจับตัวนิคกี้แล้วเขย่าให้ตื่นจากความฝันซะที..ถ้าจัดการเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงไม่ได้ก็จงแต่งตั้งคนอื่นที่มีความสามารถขึ้นมาแทน
และมอบสิทธิการทำงานที่เด็ดขาดให้กับเขาไป
เมื่อคิดแล้ว..ฉันก็หยุดไม่ได้..รีบรุดไปที่สตาฟวาเพื่อที่จะทำตามความต้องการของใจ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ฉันไปที่นั่นถึงห้าครั้ง
ทุกครั้งที่พบนิคกี้ดูท่าทางอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย มีท่าทางที่ไม่อยากจะฟังคำแนะนำของใครทั้งนั้น ท่านจอมทัพที่มีไพร่พลถึงหนึ่งล้านห้าแสนนายนั่งหน้าโทรมๆ อยู่แต่ในศูนย์บัญชาการ
หลังจากที่ฉันได้ถวายรายงานถึงความคืบหน้าของกองทัพอากาศที่หาญกล้าเข้าไปต่อกรกับฝูงบินของเยอรมันแล้ว นิคกี้มีทีท่าเหนื่อยพระทัย พระเนตรฉายแววอยากจะให้ฉันจบการรายงานนั้นอย่างเร็วๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างที่เคย
พอฉันได้เปลี่ยนหัวเรื่องของการสนทนามาเป็นเรื่องความเป็นไปของเมืองหลวง..พระเนตรของซาร์เปลี่ยนมาเป็นแววเย็นชา ระแวง ระไวขึ้นมาทันที มันเป็นสายตาที่ฉันไม่เคยพบมาก่อนตลอดเวลาสี่สิบเอ็ดปีของความเพื่อนของเรา
"นิคกี้..นายไม่ไว้ใจเพื่อนของนายคนนี้อีกแล้วหรือ?" ฉันถามปนการสัพยอก
"ฉันไม่เชื่อใครทั้งนั้น นอกจากเมียของฉันคนเดียว" เขาตอบด้วยเสียงที่เยียบเย็น
สายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง พร้อมกล่าวต่อว่า
"แล้วนายจะอยู่กินกลางวันกับฉันหรือเปล่าซานโดร เพราะเราจะได้คุยกันถึงเรื่องแม่กับออลก้าด้วยไง"
แน่นอนว่าฉันอยู่ร่วมโต๊ะเสวยในสวนข้างศูนย์บัญชาการด้วย การสนทนาก็เหมือนเดิมๆ คือ ทุกคนต่างถามถึงซาเรวิชอเล็กเซผู้ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับไปจากการเสด็จเยี่ยมเยียนพระบิดาเมื่อไม่กี่วันมานี้
หลังจากอาหารกลางวันมื้อนั้น ฉันได้แวะไปเยี่ยมน้องชาย เซอเก ผู้ซึ่งเป็นนายหทารหน่วยปืนใหญ่ ซึ่งต้องไปทนฟังเขาบ่นถึงอนาคตของรัสเซียอีกพักใหญ่ๆ
เซอเกเมื่อเทียบกันกับพี่ชายใหญ่ แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาส มิเกลโลวิช ก็ยังถือว่า..พี่ชายใหญ่ยังมีส่วนที่มองโลกในแง่ดีอยู่บ้าง..ไม่หนักหนาและสิ้นหวังเท่ากับเซอเกเพราะจากการที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับซาร์ขนาดนั้น
คงมองเห็นแล้วว่าความหวังนั้นมันริบหรี่เต็มทน เขาบอกว่า
"จากการที่ซาร์ได้บอกแล้วว่า เขาไม่เชื่อใครนอกจากเมียคนเดียว นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร นิคกี้ก็จะอยู่ข้างเมียเขาเสมอไม่ว่าจะผิดหรือถูกนะซานโดร พี่อย่าไปเสียเวลาพูดเลย กลับไปทำงานเถอะ แล้วก็ช่วยสวดมนต์ขอพรพระเจ้าอย่าให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้เลย เจ้าประคุณ..เพราะกองทัพของเราตอนนี้กำลังพร้อมในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรบ หน่วยเทคนิคทางอาวุธ เราพร้อมที่จะทำศึกใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1917 คราวนี้แหละที่เราจะเข้าบดขยี้มันทั้งเยอรมันและออสเตรียให้ราบเป็นหน้ากลอง ขอเพียงอย่างเดียว..ขอให้ภายในประเทศอย่ามีความวุ่นวายเป็นใช้ได้ และเรื่องนี้เองที่เยอรมันรู้ดีว่าเป็น"จุดอ่อน"ของเรา
จึงพยายามที่ป่วนให้เกิดการปฏิวัติในทุกวิถีทาง ยิ่งนิคกี้มีท่าทางอย่างนี้ก็"เข้าทาง"พวกฝ่ายโน้นมันเลยทีเดียว ฉันเชื่อว่าอย่างไรเสียการปฏิวัติต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน"
ฉันก็เชื่อเช่นนั้น..เพราะสำหรับเซอเกแล้วทุกอย่างไม่ใช่การคาดเดาอย่างชุ่ยๆ .. หากแต่มันได้กรองมาจากข้อมูลจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและเขาคือบุคคลในกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับรู้
การสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้นในสวนผักเล็กๆ ที่เซอเกเพาะปลูกในเนื้อที่เล็กๆ หลังเรือนนอน เขาบอกอย่างเหนียมๆ ว่า
"เพื่อเป็นการผ่อนคลายเครียดน่ะ.."
ฉันเข้าใจความรูสึกของเขาดี อีกทั้งแอบอิจฉาเจ้าพวกพืชผักนี่หน่อยๆ ด้วย เพราะในขณะที่พลเรือนโลกกำลังไล่ฆ่าฟันกันอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางไออวลของกลิ่นซากศพ หากแต่ไอ้เจ้ามันฝรั่ง หัวกระหล่ำ กลับขึ้นเกิดขึ้นมาอย่างใสบริสุทธิ์ สะพรั่งและงดงาม
เช้าวันที่ 17 ธันวาคม 1916 นายทหารคนสนิทได้เข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น ยินดี พร้อมกับรายงานว่า
"มีข่าวมาบังคมทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ..รัสปูตินถูกสังหารเมื่อคืนที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในตำหนักของ เจ้าชายฟีลิกซ์ พะยะค่ะ"
"ในบ้านของฟีลิกซ์ ลูกเขยของฉันนี่นะ..แน่ใจหรือเปล่า?"
"เป็นความจริงพะยะค่ะ ฝ่าบาทน่าจะยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเจ้าชายฟีลิกซ์ได้จัดการสังหารรัสปูตินด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ผู้ที่ให้ความร่วมมือในการณ์นี้ก็คือ แกรนด์ ดุ๊ด ดิมิทรี ปาฟโลวิชพะยะค่ะ"
ความคิดคำนึงของฉันได้กระเจิงเป็นห่วงไปถึงไอรีน (ลูกสาว) ผู้ซึ่งพำนักอยู่ที่ไครเมียกับครอบครัวของสามีทันที
นายทหารคนสนิทพออ่านอาการของฉันออก..เขารีบถวายรายงานต่อไปว่า ประชาชนในเมืองเคียฟต่างออกมาชื่นชมยินดี
และต่างพากันสรรเสริญในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของฟีลิกซ์
ฉันเองก็มีความยินดีไม่น้อยไปกว่าคนอื่นที่รัสปูตินจบชีวิตลงไปเสียได้ ปัญหาต่างๆ ก็จะได้หมดไป..
แต่..มันไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น เพราะ ปัญหาที่จะตามมามีอีกสองเรื่องใหญ่ๆ นั่นคือ..
มันเป็นการหักหาญน้ำใจซารินาอย่างไม่เกรงพระอาญา อีกทั้งฆาตกรก็มิใช่ใครอื่น เป็นคนในแวดวงเดียวกัน นั่นถือเป็นการเปิดฉากประกาศตัวเป็นศัตรูกันแบบซึ่งๆ หน้า และอาจหมายถึงมีเจตนาถึงขั้นล้มล้างราชบัลลังก์เลยทีเดียว
ผู้หญิงแกร่งอย่างซารินาย่อมที่จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการแก้แค้นเอาคืนอย่างแน่นอน
ฟีลิกซ์และดิมิทรี ใจร้อน บุ่มบ่าม ไม่ได้เข้าใจถึงผลที่จะตามมา..เพราะยังเด็ก และอ่อนประสบการณ์เกินไป
ทุกอย่างที่สองคนนี้ทำลงไปเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มใหญ่ที่มองเห็นความหายนะกำลังมาเยือนสู่เหย้า
และคิดว่า การกำจัดรัสปูตินคือทางออกทางเดียว..
ทั้งๆ ที่เจ้ารัสปูตินในยามที่มีชีวิตอยู่ มันก็เป็นแค่..อลัชชีที่มัวเมาในลาภสักการะ เอาสถาบันมาเป็นเกราะกำบังภัยให้กับตัวเอง แถมใช้คำขู่ทำนายวางยาเอาไว้ให้ทุกคนกลัวเกรงจนไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวมัน
ซึ่งไอ้คำทำนายบ้าๆ บอๆ นี้มันช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่ว่ารัสเซียและพระราชวงค์ทั้งหมดจะต้องล่มสลายไปหากว่ามันเกิดถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของพวกเรา
แต่คนที่เชื่ออย่างหมดจิตใจ..และ..ถือว่ามันคือพระเจ้า..มีอยู่คนเดียว นั่นคือ ซารินา
ฉันรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าซารินาพระมารดาเพื่อถวายรายงานข่าวใหญ่ข่าวนี้ทันที
พระองค์กำลังประทับอยู่บนพระแท่นในพระตำหนัก เมื่อจบการถวายรายงาน พระองค์ผลุดลุกขึ้นอย่างตกพระทัยพร้อมทั้งร้องลั่นว่า
"ไม่จริง..ไม่จริงใช่ไหม?"
หลังจากที่ทรงสงบลง..พระอาการที่มีก็คล้ายๆ กับความรู้สึกของฉัน นั่นคือ โล่งใจ พร้อมกับสิ่งที่จะตามมาคือ ความหนักใจในฐานะที่ทรงเป็นทั้งยาย (ของไอรีนที่เป็นภริยาของฟีลิกซ์) และ ป้าสะใภ้ (ของดิมิทรี) อีกทั้งในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำของกลุ่มศาสนาที่ไม่สนับสนุนการประหัตประหาร ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่า ฉันจะขอเข้าเฝ้าซาร์ที่พระราชวังซาร์โก-เชโล เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซาร์ได้เสด็จออกจากศูนย์บัญชาการสตาฟวาและเข้าเมืองหลวงเพื่อประทับอยู่เคียงข้างซารินา
ภาพ Grand Duke Dimitri Pavlovich 
เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวง ฉันก็ได้ยินแต่เสียงแซ่ซร้องสรรเสริญสองวีรบุรุษจนเต็มสองหู ทั้งคู่ได้สารภาพกับฉันอย่างไม่สะทกสะท้านว่า...ได้ลงมือฆ่ารัสปูตินด้วยเจตนา อีกทั้งพยายามปกปิดว่าลงมือกระทำกันแค่สองคนไม่มีใครอื่นเกี่ยวข้องด้วย
จนฉันมาทราบทีหลังว่าทั้งคู่ได้พยายามปิดบังไม่ยอมปริปากบอกว่า..ยังมีคนอื่นเข้าร่วมด้วย คนคนนั้นคือ นาย Pourishkevich สมาชิกสภาที่ไม่ค่อยเต็มบาทเป็นคนลั่นไกส่งกระสุนเข้าร่างรัสปูตินเป็นคนสุดท้าย
กลุ่มพระราชวงค์ต่างพากันมาหาฉันเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ฟีลิกซ์และดิมิทรีกับซาร์
อันนี้ถึงพวกเขาไม่ร้องขอ ฉันก็ถือเป็นหน้าที่ต้องทำอยู่ดี
บางคนถึงขนาดถวายฏีกากับซาร์ว่าฟีลิกซ์และดิมิทรีควรจะได้รับเหรียญสดุดีจากการเป็นฆาตกรในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ ด้วยคำพูดที่ว่า
"ทำไมล่ะ ซานโดร..ท่านมิรู้หรือว่าฟีลิกซ์และดิมิทรีได้ประกอบคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับรัสเซียเจียวนะ ท่านนี่แปลกจริงๆ "
ที่พวกเขาว่าฉันแปลก..ก็เพราะฉันไม่เคยลืมว่า นิคกี้คือองค์ประธานของศาลสูงสุดด้วยนั่นซิ..
หน้าที่ขององค์ประธานศาล ก็หมายถึงว่าจะต้องรักษากฏหมายให้เป็นไปตามกบิลเมือง จะมายกหย่อนให้กับญาติของตัวเองได้อย่างไร
ฉันคาดเดาเอาไว้ว่าการเข้าพบกับนิคกี้ในครั้งนี้คงเต็มไปด้วยความอึดอัดและอึมครึม..แต่ที่ไหนได้..เขาเข้ามาสวมกอด
พร้อมกับพูดจาสุภาพอ่อนโยนเช่นเคย นิคกี้รู้จักฉันดีพอที่จะเข้าใจว่าที่ฉันมาหาเขานั้นก็เพราะในฐานะที่เป็นพ่อของไอรีนมากว่าฐานะอื่นใด
ฉันเริ่มกล่าวคำแก้ต่างที่เตรียมมาและพยายามชี้แนะโทษที่สามารถลดหย่อนกันได้ โดยใช้ข้อที่ว่าทั้งฟีลิกซ์และดิมิทรีไม่น่าจะได้รับโทษทัณฑ์เยี่ยงฆาตกรใจโหดเพราะสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นไม่มีเจตนาอื่น นอกจากต้องการปกปักษ์รักษารัสเซียอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
"ฟังดูดีนะ ซานโดร.." นิคกี้กล่าวขึ้นหลังจากที่ฟังจบ..และต่อด้วยว่า
"แต่นายก็รู้นี่นา..ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีใครมีสิทธิที่จะฆ่าคนได้ตามความชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นแกรนด์ ดุ๊ค หรือ ชาวบ้านรรมดา"
นั่นไง..บอกแล้วว่า นิคกี้ไม่ใช่เด็กอ่อนหัดในเรื่องของกฏหมาย เขารู้ดีถึงกฏบัตรมาตรา ก่อนที่ฉันจะลาจาก เขาได้"สัญญา"
ว่าจะพิจารณาโทษให้กับฆาตกรทั้งสองด้วยความยุติธรรม
ซึ่งผลออกมาทีหลังคือ สองคนนั่นแทบไม่ได้รับโทษอะไรเลย
ดิมิทรีถูกส่งออกไปปฏิบัติการที่แนวหน้าฝั่งเปอร์เซีย
ฟีลิกซ์ถูกเนรเทศไปยังเขตบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างสุขสบายที่เมือง Kursk
วันต่อมา..ฉันต้องเดินทางกลับไปยังเคียฟ ที่มีฟีลิกซ์และไอรีนผู้ซึ่งเพิ่งมาจากไครเมียร่วมขบวนไปด้วย ขณะที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันในขบวนโบกี้รถไฟ ฟีลิกซ์ได้เล่าให้ฟังถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดละออ ซึ่งในขณะนั้น (หรือแม้ต่อในหลายปีต่อมา) ฉันได้แต่หวังว่าฟีลิกซ์คงจะเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าใคร ด้วยวิธีใดหรือผลจะออกมาเช่นใด
กลุ่มศาสนาไม่เคยเห็นดีเห็นงามไปด้วย อาจจะกระหน่ำซ้ำเติมเราให้จมดินไปด้วยอีกไม่ว่า..
เมื่อกลับมาถึงเคียฟ ฉันได้ร่างรายงานฉบับยาวเพื่อที่จะส่งให้นิคกี้ให้ทราบถึงการก่อหวอดของการปฏิวัติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
เพราะจากการที่ได้เข้าไปในเมืองหลวงนานถึงหกวันนั้น บางสิ่งบางอย่างได้บอกฉันว่า..บัดนี้สถานะการณ์ได้ใกล้ต่อการสุกงอมเข้าไปทุกที เร็วสุดก็ต้นฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้
ปี 1917 ได้ย่างเข้ามา..และถึงเวลาแห่งการผลัดใบในรัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ Prince Golitzin ผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย..ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่านายนี่ได้ตำแหน่งมาได้อย่างไร..
แต่มีคนสองคนที่ทราบคำตอบดีว่า..นายคนนี้ได้ตำแหน่งมาเพราะเหตุใด
นั่นคือ ซาร์และซารินา..
ดิฉันอ่านเรื่องที่ท่านแกรนด์ ดุ๊คที่เขียนไว้แล้วขัดใจจริง..เพราะเรื่องบางเรื่องออกจะ"สำคัญ" ท่านก็ไม่พูดถึงซะงั้น
และถ้าเราไม่ไปหา หรือค้นคว้าต่อ..ก็จะต่อไปบทอื่นไม่ได้เลย มันจะ
อึมครึม และไม่มีเหตุผลที่สมควร..
อย่างกรณีของนายกใหม่ Prince Golitzin ที่ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า..เป็นนายกที่
ใช้ไม่ได้เลย มาเพราะเส้นใหญ่หนุนหลังจนสร้างความขัดเคืองให้กับประชาชีทั่วไป..รวมทั้งตัวท่านเอง..
แต่รายละเอียด ที่มาที่ไป..ท่านก็ไม่บอก
เมื่อพยายามจะหาเอง.. ก็ยากแสนเข็ญ เพราะนายกท่านนี้อยู่ในตำแหน่งแค่สองเดือนเท่านั้น..ไม่มีผลงานอะไรไม่มีใครเขียนถึง
แต่..นี่คือชนวนระเบิดให้ผู้คนเกลียดซารินาถึงขีดสุด..
ดิฉัีนก็หาง่วน..ไม่ได้คำตอบ รับรองว่าชีวิตนี้ไม่มีสุขแน่ๆ เขียนต่อก็ไม่ได้
หาในอากู๋ก็ไม่มี..หนังสือก็ไม่มี
เขียนเมล์ไปหาเพื่อนซี้ที่ฝรั่งเศส (มีเชื้อสายรัสเซีย) ให้ช่วยหาหน่อย..
ก็ใช้เวลาหลายวันนะคะ กว่าจะได้คำตอบว่าที่หาไม่ได้เพราะชื่อนั้นได้แผลงไป สะกดกันหลายอย่าง..ในกรณีนี้.Prince Golitzin.คือ Nicholas Galitzine หรือ Nikolai Golitsyn (เล่นเอาตูแทบบ้า)

Prince Nikolai Dmitriyevitch Galitsyn (1850 - 1925) เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระจักรพรรดินี Catherine
เจ้าชายกัลลิทซีน ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (คนสุดท้าย) ของรัชสมัยแห่งซาร์ เมื่อเดือนมกราคม 1917 และได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อเดือนมีนาคม ในปีเดียวกัน (หลุดจากตำแหน่งพร้อมๆ กับที่ซาร์ได้ประกาศสละราชสมบัติ)
เบื้องหน้าเบื้องหลังของการก้าวสู่ตำแหน่งนั้น..เพราะว่าเจ้าชายคนนี้ คือ
หัวหน้ากรมวังชั้นผู้ใหญ่ของฝ่ายใน (ซารินา) ทั้งๆ ที่เจ้าตัวได้ขอปฏิเสธไม่รับตำแหน่งเพราะไม่มีความรู้ในเรื่องการเมือง พื้นฐานของท่านก็คือถนัดทำไวน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัว
แต่แล้วท่านก็ขัดพระราชประสงค์ของเจ้านายไม่ได้ จึงต้องจำใจรับตำแหน่ง
อย่างเสียไม่ได้..
ประชาชนและทหารต่างๆ แสดงความไม่พอใจอย่างเอกอุ เพราะนั่นแสดงว่า
ซารินาเข้ามาวุ่นวายกับการเมืองอย่างไม่เข้าท่า..ยิ่งสงครามที่รัสเซียเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ยิ่งทำให้กระแสความเกลียดชังนั้น..เดือดพล่านไปในทุกกลุ่มชนชั้น
เวรกรรมได้ส่งต่อไปทั่วถึงกันหมด..หลังจากที่บอลเชวิคได้เข้ามาเป็นรัฐบาล
เจ้าชายกัลลิซีนถูกถอดยศมาเป็นสามัญชน ทรัพย์สมบัติถูกยึดหมด ต้องยึดอาชีพรับซ่อมรองเท้า และ ทำสวนผักหาเลี้ยงชีพ
กระนั้น พวกบอลเชวิคก็มิได้วางใจ หาเรื่องจับกุมให้ติดคุกถึงสองครั้ง ในช่วง 1920 ถึง 1924
ต่อมาถูกจับครั้งที่สาม ในปี 1925 คราวนี้ไม่ได้หลุดรอดออกมาอีก เพราะ
ถูกสำเร็จโทษในเดือนกรกฏาคม ที่เลนินกราด ในฐานะ"ทำตัวไม่น่าไว้วางใจ"
ตอนนี้ขอนำภาพของซาร์ ขณะที่ประทับอยู่ที่ศูนย์บัญชาการสตาฟวามาให้ชมก่อน..
นี่คือ พระวิหาร Mogilev ที่เสด็จมาสวดมนต์ขอพรบ่อยๆ ในช่วงที่เริ่มเกิดการปฏิวัติในเมืองหลวง พระองค์ทรงวูบไปด้วยอาการพระหฤทัยกำเริบในขณะที่ทรงสวดมนต์ต่อหน้าพระรูปของแม่พระ
ซาร์กับแม่ทัพอเล็กเซียฟ เมื่อเดือนสิงหาคม 1915



ในเรื่องการทำสงครามครั้งนี้..แม่ทัพทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าซาร์ไม่ควรที่จะมาประทับอยู่ที่สตาฟวาเลย เพราะถ้าสงครามเป็นไปในทางลบ..ซาร์ในฐานะจอมทัพก็จะต้องถูกติเตียน
อีกทั้งความเลื่อมใสจากประชาชนก็จะลดน้อยลงไป
เรื่องนี้..พวกทหารต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก..เพราะขัดพระทัยไม่ได้
แม้แต่พระญาติเอง แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา ที่ออกเสียงแข็งขัน ขัดขืนกว่าใคร..ก็เลยถูกปลด และทรงตั้งนายพลอเล็กเซียฟมาแทน
ห้องทรงงาน ที่เรียบง่าย แต่มีระเบียบเนี๊ย เพราะ ซาร์ทรงถูกฝึกหัดมาให้วางสิ่งของเป็นที่..ผิดเพี้ยนไปมิได้เลย..
ห้องบรรทมแบบสนาม..พระที่จะจัดให้อยู่ใกล้ๆ กับเตาผิง
เมื่อครั้งที่มกุฏราชกุมารอเล็กเซเสด็จมาเยี่ยม สองพ่อลูกประทับอยู่ในห้องเดียวกัน เพิ่มเตียงขึ้นมาอีกหนึ่ง..
ห้องเสวยที่เป็นห้องประชุมด้วย เพราะจะประทับพร้อมๆ กับกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่
เมนูอาหารจะถูกกำหนดจากหัวหน้าพ่อครัว เนื่องจากซาร์ได้ทรงถูกฝึกหัดมาให้อยู่ง่าย เสวยง่าย ไม่เคยมีบันทึกไว้เลยว่า ทรงเคยขอให้ทำอาหารพิเศษแต่อย่างใด ส่งอะไรมาก็เสวยได้หมด..
ซารินาเสด็จมาเยี่ยมพร้อมกับพระธิดา.. เมื่อเดือนตุลาคม
แต่เหล่าทหารทั้งหลายกลับไม่ปลื้ม เพราะ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
ซารินา คือต้นตอของปัญหาทั้งหมด
ท่าโปรดของซาร์ คือการประทับบนหลังม้า เนื่องจากพระองค์มีพระวรกายเล็ก
กว่าชาวโรมานอฟอื่นๆ จึงดูไม่ผึ่งผายเท่าที่ควร..
ดังนั้น..จะทรงดูดีก็เมื่อยามที่ประทับในท่านี้..อันเป็นท่าโปรด
ภาพหมู่ครอบครัวที่สตาฟวา ตุลาคม 1915

สองพ่อลูก..ถ่ายเมื่อเดือน พฤศจิกายน 1915 เมื่ออเล็กเซทรงภาคภูมิพระหทัยหนักหนาที่ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ the Cross of St. George ที่กลัดอยู่ที่อกเสื้อ
ที่ต้องไปหาประวัติของท่านนายกอายุสองเดือน เจ้าชายกอลิทซิน (Prince Golitzin) ให้เข้าใจจนเป็นแนวทางในการเขียนต่อไป เพราะว่าเรื่องกา่รแต่งตั้งเจ้าชายคนนี้ขึ้นมา....ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง
รวมทั้งแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์ (ซานโดร..ท่านผู้เขียน) เป็นอย่างมาก
ถึงขนาดยอม"หักดิบ" ขอเข้าเฝ้าซารินา และมีการปะทะคารมกันอย่างไม่เกรงใจกันต่อไปอีก..
ดังนั้น..ประวัติศาสตร์ของโรมานอฟในช่วงต่อไปจากนี้....น่าสนใจมากค่ะ
ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า..นิคกี้และซารินาเห็นดีเห็นงามอย่างไรที่เอาเสนาบดีระดับกรมวังที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและสภาเลยแม้แต่นิด ขึ้นมานั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เท่านั้นยังไม่พอ..รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ นาย Protopopoff ที่มีสติไม่เต็มเต็ง แถมยังเป็นสาวกคนสนิทของไอ้รัสปูตินนั่นด้วย..
สองคนรวมกัน..บ้านเมืองก็เห็นทีจะล่มจมกันคราวนี้..
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ฉันได้รับคำสั่งให้เดินทางจากสตาฟวาเพื่อไปประชุมใหญ่กับกลุ่มสัมพันธมิตรที่เมืองหลวง..ใจความในการประชุมครั้งนี้คือเรื่องสำคัญต่อสงครามอย่างยิ่งยวด ว่า..จากนี้ไปสิบสองเดือนเราจะต้องได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธอย่างไม่ขาดจากแนวร่วม..
เรื่องประชุมนั้น..ก็สำคัญอยู่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า..นั่นคือโอกาสที่ฉันจะได้เข้าพบกับอลิกซ์เป็นการส่วนตัวนั้นเริ่มเป็นความจริงขึ้นมา..
เพราะทุกวันนี้..ฉันเฝ้าแต่กริ่งเกรงว่า....เสียงปืนของการปฏิวัติจะระเบิดขึ้นมาในทุกเมื่อ เหล่า"ผู้รู้"บางคนได้บอกทำนายว่า..การปฏิวัติอาจจะมาจาก
ภายในก่อนก็ได้ หมายถึง ซาร์อาจจะถูกขับออกจากบัลลังก์ก่อนเวลา เพื่อที่จะให้มกุฏราชกุมารขึ้นนั่งแทนโดยมีคณะผู้สำเร็จราชการดูแลแผ่นดิน"กลุ่มที่เข้าใจประชาชนชาวรัสเซียดี"ไปจนกว่าจะถึงเวลา
ทั้งนี้..เพื่อเป็นการลดกระแส"เกลียดชัง"ของประชาชน
ฉันฟังทฤษฏีนี้ด้วยความมึนงง..เพราะตลอดเวลาที่เป็นผู้เป็นคนมานี่..ฉันไม่เคยเจอใครที่เข้าใจชาวรัสเซียดีพอสักคน..ไอ้นโยบายนี้..ฟังดูแล้วมันช่างคุ้นๆ ยังไงพิกล แต่มันเป็นกลิ่นไอของนอก คิดไปคิดมา..ก็ถึงบางอ้อ
ต้นตอเจ้าความคิดนี้..มาจากชายผู้ดีคนหนึ่ง..เพราะครั้งหนึ่ง
เขาเคยมาหาฉัน..และบอกเล่าให้ฟังถึงแผนที่กลุ่มการเมืองของเขาพยายามจะช่วยผดุงเสถียรภาพของรัสเซียถ้าหากว่า..จะมีการเปลี่ยนบัลลังก์ เขาคนนั้นก็เป็น"คนใน"ของสถานทูตนี่เอง..
แต่ตอนนั้น..ฉันได้ตอบไปว่า..เขามาคุยผิดที่ และ ผิดคน..ฉัน..ในฐานะ
แกรนด์ดุ๊ค มีหน้าที่ที่ต้องรักษาเจ้าเหนือหัวยิ่งชีวิต..มิสามารถที่จะทนฟังข้อเสนอนั้นได้..
แต่พอการปฏิวัติเกิดขึ้นจริงๆ และประสบความสำเร็จ..ชายคนนี้ได้มาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนาย Kerensky อีกทั้งได้ครองตำแหน่ง รัฐมนตรีการคลัง และ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ

หมายเหตุ นาย Kerensky นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชั่วคราวหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ จากนั้นก็มีการเลือกตั้งที่ได้เลนินเข้ามาแทนที่
แล้วฉันก็ได้เข้ามาเหยียบเมืองหลวง..เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก อีกครั้ง.. (และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต)
ในวันที่ตกลงนัดหมายอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะเข้าพบอลิกซ์นั้น..จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากพระราชวัง ซาร์สโก-เซโล ว่า เธอป่วยกระทันหัน ไม่สามารถรับรองแขกได้..ซึ่งฉันได้เขียนจดหมายกลับไปอย่างแรงๆ ..ว่า..ฉันมีความจำเป็นที่จะต้องขอเข้าเฝ้า..ขอโอกาสสักครั้งเพราะมีเวลาอยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน..
ระหว่างที่คอยคำตอบจากซารินา..ฉันได้เที่ยวพบปะและคุยกับใครต่อใครไปทั่ว Misha พระอนุชาของซาร์ก็อยู่ในเมืองด้วย
ในที่สุด..ฉันก็ได้รับเชิญจากอลิกซ์ให้ไปร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ในพระราชวัง....
โอ..มันช่างเป็นอาหารมื้อที่ฝืดคอที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจริงๆ ให้ตายซิ
อลิกซ์นอนนิ่งอยู่บนพระแท่นไม่ได้ลงมาร่วมโต๊ะ..สัญญาว่าจะคุยกันเมื่อฉัน
เสร็จสิ้นจากการเสวย ทั้งโต๊ะเรามีแปดคน..นิคกี้ ฉัน และพระโอรสและพระธิดาทั้งหมดรวมเป็นเจ็ด องครักษ์คนสนิทของนิคกี้อีกหนึ่ง..
เด็กๆ รื่นเริงกันดี หยอกล้อกันไม่มีหยุด พวกพระธิดาโตขึ้นมากจนจะเป็นสาวกันหมดแล้ว..สวยเสียด้วย..
และนั่นคือครั้งสุดท้าย..ที่ฉันได้พบกับพวกเด็กๆ
หลังจากเสร็จจากโต๊ะเสวย..เราได้ไปจิบการแฟกับที่ห้องม่วง.. (Mauve Salon) และนิคกี้ได้เข้าไปในห้องบรรทมเพื่อที่จะบอกกับซารินาว่า..
ฉันพร้อมเข้าเฝ้าแล้ว..
ฉันเดินเข้าไปด้วยท่าทีที่กระฉับกระเฉง..อลิกซ์นอนเอนๆ อยู่บนเตียง แต่งตัวด้วยชุดบรรทมสีขาวที่ประดับกรุยด้วยลูกไม้ พระพักตร์ออกแววเคร่งเครียด
ท่าทางพร้อมที่จะโต้แย้งทันที่ที่ได้ยินอะไรไม่ถูกพระกรรณ..
ฉัีนรู้สึกเสียใจนิดๆ ..เพราะอลิกซ์น่าจะรู้ว่า..ฉันมาดี มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือจริงๆ เท่านั้นไม่พอ..นิคกี้กลับนั่งแปะลงบนโซฟาใกล้ๆ อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ในจดหมาย..ฉันได้ทูลแล้วว่าพบเป็นส่วนตัว สองต่อสอง..
ก็เพื่อตั้งใจที่จะทูลเรื่องความรู้สึกที่ประชาชนมีต่อนิคกี้ในยามนี้..
แล้วจะพูดได้อย่างไร..ถ้าเจ้าตัวมานั่งขวางอยู่ตรงหน้า...
ในที่สุด..ฉันก็ชี้ไปที่พระรูปของพระเจ้า..และบอกว่า..จะขอเริ่มการสนทนาแบบกลั่นกรองจากใจเหมือนที่พูดกับพระเลยนะ..ทุกอย่างจะมาจากจิตใจที่มีแต่ความหวังดีทั้งนั้น..
แล้วฉันก็ร่ายยาวมาตั้งแต่เรื่องความวุ่นวายของการเมืองระบบสภา จนกระทั่งถึงพวกที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพิ่มจำนวนจนแทรกซึมเข้าไปใน
ชนทุกเหล่าชั้น จนบัดนี้...ประชาชนกำลังวาดหวังถึงการเมืองใหม่กันแล้ว..
อลิกซ์ขัดขึ้นมาด้วยเสียงแหลม..
"ไม่จริ๊ง..เอาอะไรมาพูด..ประชาชนยังรักและเทิดทูนซาร์เหนือสิ่งใด..ก็มีแต่ไอ้พวกกุ๊ยสภากับไอ้พวกกลุ่มไฮโซในเมืองหลวงเท่านั้นแหละ..ที่คอยเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเรา"
นั่นก็มีส่วนถูกหรอกนะ..แต่ฉันได้กล่าวต่อไปว่า
"อลิกซ์..ฟังนะ..อะไรมันก็ไม่ร้ายไปกว่าที่เราจะรับฟังความจริงแค่ครึ่งเดียว
ใช่..ประชาชนในชาติเคยเคารพรักซาร์ และมันได้ถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของไอ้เลวรัสปูติน..โทษทีที่ต้องพูดกันตรงๆ..ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าฉันหรอกนะว่าเธอจงรักและภักดีต่อพระสวามีมากเพียงใด..แต่การที่เธอเข้ามาแทรกแซงในรัฐบาลและการเมืองนั้น..มันได้มีส่วนสร้างตำหนิให้กับซาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยี่สิบสี่ปีแล้วนะ..ที่ฉันเป็นเพื่อนที่รักและหวังดีต่อเธอเสมอมา..
และเพื่อนคนนี้แหละที่จะชี้ให้เห็นว่า..ประชาชนกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านเธอ
ทำไมล่ะ..อลิกซ์..เธอมีครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น ทำไมไม่เอาเวลาทั้งหมดมอบให้กับพวกเขาล่ะ..ได้โปรดเถอะ..อลิกซ์..โปรดปล่อยให้พระสวามีของเธอได้บริหารราชการแผ่นดินด้วยตัวของเขาเองเถอะ..ฉันขอละนะ"
อลิกซ์หน้าแดงก่ำ..เหลือบตาไปมองนิคกี้ซึ่งยืนสงบเงียบ..จุดบุหรี่สูบแบบมวนต่อมวน มันก็น่าอายอยู่หรอกที่จะมาเล่าถึงอากัปกิริยาของซาร์ในช่วงเวลาที่ปีนเกลียวอย่างนี้....ฉันกล่าวต่อไปเรื่อยๆ ถึงสถานะการณ์ภายในประเทศที่ถึงทางตัน..ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่จะหารัฐบาลที่เข้มแข็งเข้ามาบริหารงาน..เพื่อเป็นการลดภาระให้กับซาร์ไปในตัว..และ
"กรุณาเถอะนะ อลิกซ์..อย่ามัวแต่เจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่เลย..ตอนนี้เราต้องผ่อนปรนและหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเราก่อนที่มันจะวิกฤติไปมากกว่านี้"
อลิกซ์สะบัดเสียงใส่ว่า..
"พูดจาเหลวไหล ไม่ได้เรื่อง นิคกี้คือพระเจ้าแผ่นดิน..เรื่องอะไรที่จะให้คนอื่นมาเอาพระราชอำนาจไปใช้อย่างง่ายๆ "
"เธอกำลังเข้าใจผิดนะ..นิคกี้ไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสิทธิโดยเด็ดขาดมาตั้งแต่วันที่สิบเจ็ด ตุลาคม 1905 แล้วนะ..ตอนนี้น่ะ..ไม่มีแล้ว
พระราชอำนาจอะไรที่เธอว่ามาน่ะ..บางทีอีกสองเดือน..เราอาจจะไม่เหลืออะไรอีกเลยก็เป็นได้แม้แต่พระราชบัลลังก์"
เท่านี้เอง..อลิกซ์ก็กรีดเสียงใส่ฉัน..ซึ่งฉันก็ตะโกนตอบใส่หน้าไปอย่างสิ้นความเกรงใจ..พอกันที..
แต่แล้ว..ฉันเริ่มระงับอารมณ์ได้..ปรับเป็นเสียงธรรมดากล่าวต่อไปว่า..
"จำได้ไหมอลิกซ์..ฉันสู้อุตส่าห์เงียบ..ทนมานานกว่าสามสิบเดือน สามสิบเดือนที่มีแต่ความเละเทะในสภา ในรัฐบาลของเรา..อ้อ..ฉันพูดผิดไป..ในรัฐบาลของเธอต่างหาก..รวมทั้งการเมืองที่มีการแทรกแซงอย่างไม่หยุดยั้งจากเธอและไอ้บ้ารัสปูตินนั่น..ใช่..เธอและนิคกี้อยากจะกุมอำนาจเอาไว้
ทุกอย่างจึงยุ่งเหยิงอย่างนี้..แล้วไง..พอยุ่งเหยิงจริงๆ ขึ้นมา..ใครกันที่เดือดร้อน..ก็ไม่ใช่พวกฉันและประชาชนหรอกหรือ พวกเราที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานกับความดื้อรั้นบ้าๆ บอๆ ที่ไม่เข้าท่าของเธอ...อย่าหาว่าฉันว่าเลยนะ
อลิกซ์..เธอไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะลากพวกเราไปร่วมในซะตากรรมด้วย
เธอนี่ช่างเห็นแก่ตัวเสียจริงๆ .."
อลิกซ์ตอบด้วยเสียงที่เยียบเย็น..
"ฉันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก...เธอพูดเกินเลยไปจนทุกอย่างดูน่ากลัว
จนไร้สติ เอาไว้วันไหนที่เธอสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็จะรู้เองว่า..ทุกอย่างที่ฉันทำนั้นมันไม่ผิด"
ฉันลุกขึ้นทันทีที่เธอกล่าวจบ..เข้าไปจุมพิตที่พระหัตถ์ อลิกซ์นิ่งขึง เย็นชาไม่มีการจุมพิตตอบ..
จากนั้นมา..ฉันไม่เคยพบกับอลิกซ์อีกเลย
Mauve Salon 

ขณะที่ผลักประตูพาตัวออกไปจากห้องบรรทม หรือห้องม่วง (Mauve Salon) นั้น..ฉันพบว่า องครักษ์คนสนิท Linevich กำลังคุยเล่นคุยสนุกสนานอยู่กับพระราชธิดา ออลก้าและ ทาเทียนา
ซึ่งทำให้ฉันประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็น"คนอื่น"สามารถเข้าใกล้ในพระราชฐานชั้นในถึงขนาดนั้น..ยังมีอีกคนหนึ่งคือ มาดาม Virouboff ต้นห้องของอลิกซ์ที่เป็นสาวกคนหนึ่งของรัสปูติน ได้นำฉากหนึ่งของตรงนี้ไปเขียนหนังสือชีวประวัติของเธอว่า
"ซารินาทรงหวั่นเกรงเหลือเกินว่าแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์จะถึงแก่โทสะจนเข้าขั้นทำร้ายพระองค์" ว่าเข้าไปนั่น..แต่ก็ดี..เพราะชาวบ้านชาวช่องเขาจะได้รู้กันไปทั่ว..ว่า..อลิกซ์เองนั้นเป็นคนดื้อด้านขนาดไหน
วันต่อมา..ฉันและมิชาได้เข้าเฝ้าและสนทนากับซาร์อีกครั้ง..ซึ่งก็เป็นการเสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่าย ขนาดว่า..เมื่อจบการสนทนาฉันเหนื่อยใจถึงขนาดพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะจากรายงานที่ทำถวายมาจาก Kieff
หลายสิบหน้านั้น..นิคกี้พูดได้อย่างเดียวว่า.."ขอบใจนะ ซานโดร สำหรับจดหมายที่นายส่งมาให้เรา"
ที่เมืองหลวง..ความอดอยากที่เกิดจากการสไตร์คได้กระจายไปทั่ว..แถวรอเพื่อที่จะซื้อขนมปังเริ่มยาวขึ้น..และยาวขึ้นเพราะรถไฟจอดสนิทนิ่ง..ธัญญพืชถูกทิ้งให้เน่าเสีย
กองทัพที่ดูแลรักษาเมือง..ส่วนใหญ่ก็เป็นการเรียกประจำการของเหล่าทหารกองเกินกองหนุน..ไม่มีกำลังพอที่จะรักษาความสงบอะไรได้เลยถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ
ฉันได้ถามผู้บัญชาการว่า..ท่านน่าจะเอาหน่วยทหารจากแนวหน้าที่มีความสามารถเข้ามาควบคุมเมืองหลวง..คำตอบก็คือ..
ท่านได้กระทำการไปแล้ว..และ สิบสามกองพลของหน่วยทหารม้ารักษาพระองค์กำลังจะเดินทางเข้ามาประจำกรมในไม่ช้า
ซึ่งฉันมาทราบทีหลังว่า..มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากสภาให้ระงับการเดินทางของทหารดังกล่าว..และ..ได้รับการสนองจากไอ้พวกเนรคุณในสตาฟวาเสียด้วยซิ
ฉันได้แต่หวังว่า..ฉันคงจะลืมและลบภาพร้ายๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1917 ไปได้อย่างหมดใจ เพราะการพบปะกับกลุ่มญาติๆ และเพื่อนฝูงที่รักในเดือนนั้นมันเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิต
เช่น..พี่ชายใหญ่ นิโคลาส, พี่ชายรอง จอร์ช, น้องเขย มิชา, ญาติๆ เช่น ปอล อเล็กซานโดรวิช และ ดิมิทรี คอนสแตนติโนวิช และ..อีกหลายๆ คน
พี่ชายรอง..จอร์ช มิเกลโลวิช ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับซาร์ในฐานะข่าวกรอง ได้ย้ายจากเคียฟเข้าไปทำงานรับใช้ในสตาฟวา ซึ่งเขาต้องทำงานประสานไปกับกองทัพต่างๆ
จากข้อมูลของเขาที่ได้มาทำให้ฉันได้รู้ว่า..บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างที่สุด.. แต่..กองทัพของเราก็พร้อม..
ในขณะเดียวกันกลุ่มที่จะปฏิวัติก็พร้อมเช่นกัน
ฉันโหมทำงานอย่างบ้าคลั่ง พยายามที่จะไม่สนใจในเรื่องอื่นๆ กองบินของเราอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติงาน เพียงแต่รอสัญญาณสั่งการเท่านั้น ทหารอากาศของเราอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อย
แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า..เมื่อสามสิบเดือนที่แล้ว..ที่ฉันมีเพียงออฟฟิซเล็กๆ ที่ดัดแปลงมาจากขบวนรถไฟเก่าๆ เพียงตู้เดียวแถมยังใช้เป็นที่พำนักพักพิงอีกส่วนหนึ่งเสียด้วย
บัดนี้..มันได้กลายเป็นฐานทัพอากาศและโรงเรียนการบินที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีโรงงานประกอบเครื่องบินอีกสามโรง (สำหรับประกอบชิ้นส่วนเครื่องบินที่ได้รับมาจากอังกฤษและฝรั่งเศส)
แต่แล้ว..เราก็ได้รับข่าวร้าย..นั่นคือโรงงานผลิตอาวุธในเมืองหลวงได้ก่อการสไตร์ค นั่นหมายถึงการขาดแคลนอาวุธและกระสุนปืน คนงานอ้างว่า..ทำงานไม่ได้ เพราะหิว..บ้านเมืองขาดขนมปัง
ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่จริง..เป็นข้ออ้างอย่างหน้าด้านๆ การขาดแคลนนั้นเกิดมาจากการเล่นแผนสกปรกของใครบางคนในการบริหารจัดการ ซึ่ง..คนคนนั้นได้ใช้เกียร์ว่างให้เป็นประโยชน์
ชั่วโมงหนึ่งต่อมา..ญัตติของการขาดแคลนขนมปังนั้นกำลังจะถูกนำเข้าสู่สภา..อันจะเป็นเหตุให้ฝ่ายค้านได้โจมตีอย่างถนัดใจ
วันจ่อมา..ฉันส่งโทรเลขไปหานิคกี้และบอกว่า..จะไปสมทบด้วยที่สตาฟวา..จะอยู่เคียงข้างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้โทรศัพท์ไปหาเซอเกน้องชาย..ได้รับคำบอกเล่ามาว่า
"เมืองหลวงกำลังวุ่นวายเลยพี่..ผู้คนกำลังเข้าทำร้ายกันอย่างบ้าคลั่ง..ดูเหมือนว่าพวกทหารกองเกินนั่นกำลังเข้าใช้กำลังกับพวกที่ชุมนุม"
"แล้วทหารรักษาพระองค์สิบสามกองพลที่ว่าจะมาน่ะ ไปไหนหมด?" ฉันถามด้วยความตระหนก
"ไม่รู้ใครไปสั่งระงับการเดินทาง..พวกทหารที่ว่านั้นยังอยู่ที่แนวหน้าเลยพี่"
ขณะเดียวกันนั่น นิคกี้ได้ตอบโทรเลขของฉันมาว่า..
ขอบคุณมาก ซานโดร..แต่เอาเป็นว่า..ถ้าเมื่อไหร่ที่เราต้องการตัวนายแล้ว..เราจะบอกไปก็แล้วกัน..ลงท้าย..รัก..ลงพระนาม นิคกี้
สรุปว่า..ซาร์อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวที่สตาฟวา มีเซอเกน้องชายของฉันเพียงคนเดียวที่คอยถวายรายงาน..เหล่าพวกนายพลทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบนั้นได้หันหลังให้กับซาร์อย่างสิ้นเชิง
ฉันบอกกับตัวเองว่า..จะต้องไปที่สตาฟวาโดยด่วนไม่ว่าจะทรงอนุญาตหรือไม่..ภาพของผู้คนต่างๆ ที่ใกล้ชิดกับซาร์ตอนนี้..ล้วนแล้วแต่คือกลุ่มไอ้พวกทรยศ..หักหลังแทบทั้งนั้น
แม้แต่เสียงโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับเซอเก..ก็แทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันหึ่งเสียจนผิดปรกติ
คืนนั้น..ฉันใช้เวลาอยู่ที่พระตำหนักของซารินาพระมารดาจนถึงเที่ยงคืน พระองค์ทรงวิตกกังวลไม่น้อยไปกว่าฉันเลย เหล่าเพื่อนฝูง ข้าทาสบริวารที่เคยไว้ใจได้ก็เริ่มหายๆ หน้ากันไป
พอรุ่งสาง หกนาฬิกา..ฉันได้ต่อโทรศัพท์ไปหาเซอเกอีกครั้ง..ได้ข่าวว่า
"นิคกี้เข้าไปในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืน แต่..หัวหน้ากองรถไฟได้รับคำสั่งจากสภาให้หยุดขบวนรถของพระองค์ไว้ที่สถานี Dno และได้สั่งให้ขบวนรถสับรางไปที่ เมือง Pskoff
นิคกี้อยู่คนเดียวนะพี่ในขบวนนั่นน่ะ พวกสมาชิกสภาจะไปพบกับเขาที่นั่น..เพื่อที่จะยื่นโนติ๊ส (ให้สละราชบัลลังก์) และกลุ่มทหารที่เมืองหลวงได้เข้าไปรวมตัวกันกับม๊อบแล้ว"
จากนั้น..เซอเกก็รีบวางสายไป..
ข่าวร้ายนี้ได้สะพัดไปอย่างรวดเร็ว..และเป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันและพระขนิษฐาออลก้าได้แต่นั่งมองตากัน..ไม่รู้ว่าจะทำประการใด ใจมีแต่ความเป็นห่วงบ้านเมือง พี่น้อง..
ไหนจะพระราชวงค์ทั้งครอบครัวอีกเล่า..
นายทหารคนสนิทของฉันได้เข้ามาปลุกตอนย่ำรุ่ง..หน้าซีดปากเขียวมาเชียว..เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ฉัน..อ่านได้ว่าเป็นแถลงการณ์สละราชบัลลังก์ของนิคกี้อีกทั้งเป็นการยื่นเจตนารมณ์ให้ตกไปเป็นของ มิชา..พระอนุชา
โดยเลี่ยงลำดับข้ามขั้นไปแทนที่จะเป็นอเล็กเซ พระโอรส
ฉันลุกขึ้นนั่งเอนๆ อย่างละเหี่ยใจ..นี่มันเสียสติกันไปหรือเปล่า..
มันคิดกันได้ยังไงว่า..พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงสละราชสมบัติ สละราชบัลลังก์ เพราะเพียงแค่ปัญหาขาดแคลนขนมปังจนเกิด
การก่อการจลาจลในเมืองหลวง..
นิคกี้ก็พลอยบ้าไปเขาด้วย..ตัวเองมีทหารและไพร่พลอยู่ในมือถึงสิบห้าล้านคน ทำไมถึงได้ยอมง่ายดายเช่นนั้น..
(ปัญหานี้เป็นเรื่องที่"คาใจ"และหาคำตอบไม่ได้มาจนทุกวันนี้..)
ฉันรีบลุกขึ้นแต่งตัวเพื่อที่จะเข้าเฝ้าซารินาพระมารดาเพื่อที่จะถวายรายงานให้ทราบถึงข่าวร้าย ข่าวนี้..ทำให้ดวงพระทัยแทบแตกสลายลงสิ้น
จากนั้น..เราทั้งหมดได้สั่งเตรียมขบวนรถไฟเพื่อที่จะไปยังสตาฟวาในบ่ายวันนั้น..และ..ข่าวใหม่ที่มาคือ ซาร์..ได้รับ"อนุญาต" ให้เสด็จกลับไปที่สตาฟวา เพื่อเป็นการอำลา !!
ซึ่ง..ขบวนรถของเราได้เทียบท่ารับเสด็จที่สถานี Mogileff อันเป็นสถานีที่จัดถวายเฉพาะสำหรับการเสด็จ รถยนตร์ที่ประทับของซาร์ก็มาถึงในนาทีต่อมา..เขาเดินมาที่ชานชาลา
กล่าวคำสวัสดีกับนายทหารคอสแซคสองนายที่ตามขบวนเสด็จมาด้วยที่ยืนประจำยามที่หน้าประตู และก้าวเข้ามาข้างในโบกี้ หน้าตาออกซีดเซียวนิดหน่อย จากนั้นก็ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการสนทนาเป็นการส่วนพระองค์กับพระมารดา
ซึ่งไม่มีใครได้ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร พระองค์ไม่เคยตรัสให้ทราบ
แต่เมื่อฉันได้ถูกเรียกตัวให้เข้าไปร่วมสนทนานั้น ก็พบว่าซารินาพระมารดาได้ประทับเอนอยู่บนพระเก้าอี้ ทรงกรรแสงออกมาเสียงดัง นิคกี้ยืนสงบนิ่ง พระเนตรหลุบลงต่ำ และ..ทรงพระโอสถมวนอย่างไม่หยุดเช่นเคย
ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีมากกว่าการเข้าไปสวมกอด..ปลอบพระทัย..การนิ่งของซาร์นั่นคือการตัดสินพระทัยเด็ดขาดตามข้อความของแถลงการณ์สละราชสมบัติ
ไม่ได้ทรงตำหนิพระอนุชามิชาเลยแม้แต่นิด..ที่..ปฏิเสธเด็ดขาด..ไม่ขอรับการเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไปโดยไม่สนพระทัยเลยว่า แผ่นดินจะว่าง..
"มิชาไม่น่าจะใช่คนแบบนี้นะ..ก็คงมีคนไปยุยงปลุกปั่นแน่นอน" ซาร์กล่าวขึ้นโดยสงบในที่สุด..
มิชา..Grand Duke Michael Alexandrovich of Russia

ห้องที่ทรงโปรด Mauve Salon ที่ซารินาทรงจัดแต่งด้วยองค์เอง ใช้สไตล์แบบวิคตอเรียนล้วนๆ และสีโทนที่ใช้คือสีม่วงอ่อนอมแดงจางๆ เป็นห้องที่ใช้พักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์
และมุมเดียวกับข้างบน..ที่ทรงใช้เป็นที่พักนอน เอนพระองค์ ตามที่ซานโดรได้เล่ามา..คุณผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพตามไปได้เลย..
ในภาพ..คือขณะที่กำลังทรงพักผ่อนอิริยาบถ..
นั่นซินะ..ที่นิคกี้ได้เปรยออกมาอย่างสิ้นหวัง ที่ว่า
""มิชาไม่น่าจะใช่คนแบบนี้นะ..ก็คงมีคนไปยุยงปลุกปั่นแน่นอน"
ฉันเองได้ฟัง..ก็ยังแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า มันได้ออกมาจากปากของชายเป็นเจ้าเหนือหัวของประเทศที่ใหญ่ขนาดกินพื้นที่หนึ่งในหกของแผ่นดินในโลกที่กำลังยอมแพ้อย่างหมดรูปให้กับไอ้พวกม๊อบขี้เมาที่มีกำลังเพียงหยิบมือฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก อัดอั้นไปหมด
อึดใจแห่งเวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นได้ผ่านไป นิคกี้ได้เปิดใจขึ้นว่า
เหตุผลนั้นมันมีอยู่สามอย่าง..
หนึ่ง..ไม่อยากให้ประชาชนลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันตาย
สอง..ต้องการให้ทหารแยกตัวออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด หันไปปฏิบัติภาระกิจตามหน้าที่ เพื่อที่จะเข้าช่วยในการสงครามได้อย่างเต็มที่
สามเชื่อว่ารัฐบาลสำรอง"เฉพาะกิจ"ที่สภากำลังจะจัดตั้งขึ้นมาตามความต้องการของประชาชนนั้น คงบริหารประเทศอย่างเต็มกำลังสามารถ ซึ่งอาจจะดีกว่าในอดีตที่พระองค์ได้ทำมา..
สามข้อที่ว่ามานั่น..ไม่ได้ประทับใจฉันตรงไหนเลย เพราะเพียงสองวันแรกที่ประชาชนได้รับสิทธิและเสรีภาพฉันก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า..เรื่องที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาฆ่ากันตายนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การขัดแย้งมันได้เกิดขึ้นไปทั่วในทุกหมู่ชนชั้น
อะไรไม่ว่า..ก่อนหน้านี้ นิคกี้ได้ทำส่งโทรเลขไปสอบถามความเห็นจากกลุ่มนายพลคนใกล้ชิด..ว่า ควรจะทรงเลือกทางไหน
ปรากฏว่า..เหล่านายพลตัวเด่นๆ ที่ว่าภักดีจนยอมถวายชีวิตเป็นราชพลี
อย่าง..Brussiloff, Alexeieff และ Rouzsky ต่างเห็นดีด้วยต่อการที่จะลงจากบัลลังก์..
และที่น่าเจ็บปวด..นั่นคือ รายชื่อหนึ่งในลิสต์..คือ แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา (Grand Duke Nicholas Nicholaevich) ญาติสนิทกันแท้ๆ
หลังจากนั้นก็เป็นการร่วมโต๊ะเสวยกลางวัน.ที่ฉัน"ดูเหมือน"พอจำได้ว่ามี
ผู้ร่วมโต๊ะคือ ท่านบารอนเฟรดเดอริคคนหนึ่งกับกลุ่มนายทหารคนสนิทของซาร์อีกหลายนาย..ที่ต่างเสแสร้งเล่นละครกันอย่างสุดขีด
ที่ต้องบอกว่า"ดูเหมือน"นั้น เพราะในตอนนั้น บอกตรงๆ ว่า หูตาพร่าพรายไปหมด จำได้แต่พระพักตร์ที่อาบไปด้วยพระอัสสุชลของซารินาพระมารดา
กับบุหรี่ที่คีบอยู่ในระหว่างนิ้วมือของนิคกี้ที่เปลี่ยนมวนแล้ว มวนเล่า..
อาหารกลางวันมื้อนั้น..เปรียบได้ราวกับเป็นมื้อนรก..ที่ฉันเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ..ร้าวรานจนสมองมึนงง หูอื้อ กินไปอย่างไม่รับรู้รสใดๆ
ช่วงบ่าย..ฉับพบกับเซอเกน้องชายที่กำลังอ่านนโยบายฉบับต้นๆ ของแผนงานในรัฐบาลสำรองเฉพาะกิจที่ว่าด้วยการทำงานของกองทัพ..ที่วางไว้ว่า
ทหารในทุกเหล่าทัพ..จะได้รับสิทธิให้จัดตั้งคณะกรรมการของตัวเองเพื่อที่จะได้มาใช้สิทธิใช้เสียงตัวแทนร่วมกับคณะรัฐบาลแห่ง"โซเวียต"เพื่อที่จะเฝ้าดูและติดตามผลงานของเหล่านายทหารชั้นผู้นำว่า..ใครที่สมควรจะเลี้ยงไว้ หรือ ปลดไป เท่านั้นไม่พอ..ในข้อเดียวกันนี้..เริ่มด้วยการ
"ยกเลิก" กฏระเบียบที่เคร่งครัดต่างๆ ออกไปจนหมด รวมไปถึงการทำความเคารพนายทหารที่ยศสูงกว่าด้วย..
เซอเกถึงกับหน้าเสีย..เขาครางออกมาว่า..
"หมดกัน..กองทัพที่เกรียงไกรของรัสเซียได้ถึงแก่คราวดับสูญกันคราวนี้ พี่รู้มั๊ยว่า อะไรที่ได้เกิดขึ้นตอนนี้มันลามปามไปถึงว่า..ที่ป้อมกำลังของเราที่
Vyborg เจ้าพวกทหารมันได้จับผู้บัญชาการมาฆ่าทิ้งไปแล้ว ที่อื่นๆ ก็กำลังเอาตามอย่างกัน คอยดูซิ"
ฉันและเซอเก ปักหลักอยู่ที่สตาฟวาไปอีกสามวันหลังจากนั้น..มันเป็นเวลาของสามวันที่ทุกนาทีช่างเต็มไปด้วยความรันทดที่แสนทุกข์ทรมาน
เหตุการณ์หลังจากที่ซาร์ได้ทรงประกาศลงจากบัลลังก์
วันแรก..
นายพลอเล็กเซียฟได้เชิญพวกเราให้ไปร่วมรับฟังการประชุมที่หอประชุมศูนย์บัญชาการ (สตาฟวา) เพื่อฟังพระแถลงการณ์ของซาร์กับเหล่านายทหารผู้ที่"เคย"อยู่ใต้บังคับบัญชา
สิบเอ็ดโมง..หอประชุมนั้นแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน..นิคกี้เสด็จมาถึงด้วยสีพระพักตร์ที่ราบเรียบ..มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมพระโอษฐ์
พระองค์ได้กล่าวขอบพระทัยต่อนายทหารทั้งหมด อีกทั้งขอร้องให้ทำงานต่อไปอย่างเต็มกำลังสามารถ (ในรัฐบาลใหม่) ทรงขอให้ลืมเรื่องบาดหมางทั้งหมดที่เคยมีมา หันหน้าเข้าสู่การสมานฉันท์เพื่อที่ประเทศจะได้ก้าวเดินต่อไปได้ (ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม) และเพื่อที่จะได้นำชัยชนะมาให้กับมาตุภูมิ (เพราะกำลังอยู่ในระหว่างสงคราม)
สิ้นพระกระแสรับสั่ง..เสียงเปล่งตะโกน"ทรงพระเจริญ"นั้นดังกึกก้องไปทั่วอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในช่วงยี่สิบสามปีที่ผ่านมา (หมายถึงในช่วงที่นิคกี้ได้ครองราชย์) นายทหารระดับอาวุโสชั้นสูงสุดต่างน้ำตาไหลซึม
ตอนนั้น..ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มนายทหารกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง..กล้าก้าวออกไปพร้อมทั้งถวายฏีกา..ขอให้ทรงทบทวนการตัดสินพระทัยใหม่ ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ
ซาร์ค้อมพระเศียรลงคำนับ..และ..เสด็จออกไปจากที่ประชุม
จากนั้น..ไม่ว่าจะเป็นการพบปะระหว่างเรา..ที่โต๊ะเสวยกลางวัน หรือมื้อค่ำ
การสนทนามันช่างฝืดไปหมด..ไม่รู้จะคุยกันอะไรกันนอกจากเรื่องสมัยเด็กๆ
ที่เรามีแต่ความสนุกสนานที่พระราชวังลิวาเดีย..
กลางคืน..ฉันก็ได้แต่นอนฟังเสียงประชาชนโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา
บ้านเมืองจัดงานรื่นเริงต้อนรับชีวิตใหม่..มองไปที่ขบวนรถของซารินาพระมารดา
ก็เห็นติดไฟสว่างทั้งคืน..
รัฐบาลสำรองเฉพาะกิจยังคงไม่ได้ลงมติกันเอกฉันท์ว่า..สมควรจะให้ซาร์เสด็จกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ซาร์สโก-เซโลหรือไม่..
นิคกี้เองก็ทุรนทุรายด้วยความเป็นห่วงอลิกซ์และลูกๆ ที่อยู่กันตามลำพัง
อีกทั้งทราบข่าวมาว่าพระธิดาทั้งสี่นั้นกำลังออกหัดพร้อมกันทั้งหมด
วันที่สอง..
นายพลอเล็กเซียฟได้เชิญพวกเรา (เหล่านายทหารรักษาพระองค์) ไปทำการให้สัตย์ปฏิญาณต่อรัฐบาลใหม่
ที่ตัวนายพลเองก็มีทีท่าขัดเขินๆ ต่อพวกเราพอสมควร..
ต่อการประกาศของรัฐบาลใหม่ที่ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเนื่องจากความดีความชอบที่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้คณะก่อการปฏิวัติจนสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี
ด้านหน้าของที่ประชุม..เป็นการยืนเรียงแถวของเหล่าทหารรักษาพระองค์จากทุกหน่วยเหล่าในเครื่องแบบเต็มยศ รวมทั้งเหล่าทหารอากาศของฉัน
พวกเรายืนเรียงแถวอยู่ข้างหลังของนายพลอเล็กเซียฟ..ที่ฉันไม่เข้าใจว่า
ในสายตาของคนภายนอกจะคิดกันอย่างไร..แต่..สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องแปลก..ที่..ภาพนั้นมันเป็น
ไอ้คนที่มันทรยศต่อคำสัตย์ปฏิญาณของมันเองแท้ๆ ..กลายเป็นคนที่มานำพวกเราให้กล่าวคำสาบานต่อหน้ามัน
มีพระมากล่าวสวดนำ..ตามด้วยเสียงเพลงมาร์ช..ที่ฉันไม่อยากได้ยินเพราะ
นี่คือคำกล่าวสวดครั้งแรกในรอบสามร้อยสี่ปีของรัสเซียในราชวงค์
โรมานอฟ ที่คำสวดนั้น..ไม่มีการเอ่ยถึงพระมหากษัตริย์
ใจฉันหวนไปคิดถึงแต่นิคกี้..ที่ได้แต่ประทับอยู่ในห้องมิได้เสด็จออกมา
เชื่อว่า..นิคกี้เองก็คงเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่..
ในที่สุด..รัฐบาลใหม่ก็ได้อนุญาตให้ตามพระประสงค์ พร้อมทั้งได้จัดขบวนรถให้ในวันรุ่งขึ้น เวลาบ่ายสี่โมงที่พระองค์และเซอเกจะเสด็จกลับสู่เมืองหลวง ส่วนฉันและซารินาพระมารดาก็จะไปที่เคียฟ
ส่วนที่ร้าวรานใจที่สุดในครั้งนี้..นั่นก็คือ การหายหน้าหายตาไปของเหล่าพระราชวงค์ใกล้ชิดคนอื่นๆ ที่ไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาที่สตาฟวาสักคน
ไม่รู้ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่าไม่กล้ามาเพราะกลัวว่าจะโดนรัฐบาลใหม่หมายหัว หรือ จะด้วยถูกสั่งห้ามไม่ให้มา..
จนบัดนี้..ฉันก็ยังหาความจริงไม่ได้