dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนแปด


            เมื่อต้นฤดูฝนของปี 1915 กองทัพของเราเริ่มร่นถอยมาจากแนวที่ตั้งรับร้อยๆ ไมล์ ฉันเองก็ต้องย้ายศูนย์บัญชาการครั้งแล้วครั้งเล่านับได้ถึงหกครั้ง ความหวังในการรุกคืบของเราช่างริบหรี่เสียเหลือเกิน สิ่งเดียวที่ดูเหมือนกับเป็นข่าวมงคลนั่นคือ "การปลด" แกรนด์ดุ๊ค นิโคลาชาที่พรรคพวกชาวศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งสตาฟวา
            ค่อยหายใจโล่งขึ้นมาหน่อยหนึ่งหลังจากที่ถูกกดดันมานานถึงสี่เดือน
           

เราถอยออกจากฐานที่ Galicia อย่างเด็ดขาด นั่นหมายถึงเรายอมเสียโปแลนด์ไปอย่างน่าเสียดาย
            รวมทั้งการพ่ายแพ้แต่การรุกรานทางด้านทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเฉียงใต้ไปอย่างไม่มีทางสู้ภายใต้การนำทัพของซาร์ผู้ถืออำนาจเด็ดขาดในฐานะจอมทัพ
            ในกรณีนี้ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่น่ากังขา เพราะซาร์ได้เสด็จมาประทับทรงงานอยู่ที่ศูนย์บัญชาการนานจนเกินไป ทรงทิ้งเมืองหลวงให้อยู่ในอำนาจของรัสปูตินและพรรคพวก
            ถ้าจะนับทางการทหาร ก็ถือว่าถูกต้องที่จอมทัพจะต้องออกมาประทับและเป็นกำลังใจให้กับเหล่าไพร่พล และยิ่งกับผู้บัญชาการคนใหม่ท่านนายพล Alexeieff คนเก่งด้วยแล้ว นับว่าการผนึกกำลังของท่านแม่ทัพคนใหม่และซาร์ผู้เป็นจอมทัพถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันน่ายินดีของศูนย์สตาฟว่า
            เพราะนายพลอเล๊กเซียฟนี้..แม้จะไม่เกรียงไกรดังเช่นนโปเลียนหรือเทียบชั้นได้กับแม่ทัพลูเดนดอฟ (เยอรมัน) ก็ตาม
            แต่ก็เป็นแม่ทัพที่ช่ำชองจากการสู้รบที่ไม่น้อยหน้าใคร การควบคู่เคียงบ่าเคียงไหล่ระหว่างซาร์กับแม่ทัพคนนี้นับว่าเหมาะเจาะลงตัว คือ คนหนึ่งดูแลคอยเฝ้าระวังและดูแลเหตุการณ์ในเมืองหลวงให้สงบเรียบร้อย
            ส่วนอีกคนหนึ่งก็ใช้สติปัญญาและพละกำลังในการสู้รบ..ไม่ต้องยุ่งกับเรื่องของการเมือง
            แต่การณ์กลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่..


            นิคกี้ปล่อยให้การเมืองได้ถูกบดบังด้วยรัศมีของรัสปูตินและข้าราชการที่ฉ้อฉล พระองค์ไม่ได้ประทับที่พระราชวังชาร์โก-เชโลเพื่อว่าราชการเลย
            ในขณะที่แม่ทัพอเล็กเซียฟเองก็เข้าไปร่วมกับขบวนการล้มล้างอย่างมิได้ระแวงระไวหรือไหวตัว เพราะไม่ทันเกมส์การเมือง
            เนื่องจากขบวนการล้มล้างดังกล่าวมานี้ มาในรูปของ คณะเหล่ากาชาด, สหกรณ์เพื่อประชาชน และ กลุ่มผู้นำท้องถิ่นต่างๆ
            กลุ่มพวกนี้คือกลุ่มที่มีโอกาสได้ส่งตัวแทนไปเยี่ยมเยียนช่วยสงเคราะห์ทหารในกองทัพแนวหน้าของเราได้รู้ได้เห็นถึงการสู้รบแบบขอไปทีของกองทัพ และรู้ดีว่ากำลังของเราได้ร่นถอยหนีข้าศึกอย่างครั้งแล้วครั้งเล่า
            จากท่าทีของคนกลุ่มนี้ที่เคยให้การสนับสนุนสงครามอย่างเต็มตัวในครั้งแรกๆ ของสงคราม..มันได้กลายไปเป็นการโกรธแค้น ไม่พอใจ
            และ เกลียดชัง ด้วยทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า
            การพ่ายแพ้ของเรานั้นเป็นเพราะมีหนอนบ่อนไส้ที่เป็นถึงซารินา
            อีกทั้งผสมกับสาเหตุสืบเนื่องมาจากการที่รัฐบาลคุมเข้มเรื่องสื่อที่เป็นการปิดหูปิดตาประชาชนก็เลยยิ่งไปกันใหญ่

            สำหรับฉันเองแล้ว..บอกตรงๆ ว่าสงสารซารินาอย่างที่สุด เข้าใจดีถึงข้อผิดพลาดทั้งหมดที่เธอได้กระทำและยิ่งเกลียดเจ้ารัสปูตินอย่างเข้ากระดูก
            ฉันยืนยันได้ว่า..อลิกซ์มีความรักชาติ (รัสเซีย) ไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆ
            คิดดูซิว่า อลิกซ์ได้เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของบิดา คือท่านดุ๊คแห่งเฮสส์-ดาร์มสตัดท์ ที่มีความจงชังไกเซอร์อย่างมากมาย อลิกซ์เองก็คอยเฝ้าแช่งชักหักกระดูกขอให้ปรัสเซียมันล่มสลายไปเร็วๆ นอกจากรัสเซียแล้ว..เธอมีอีกหนึ่งใจที่ถวายความจงรักภักดีให้..นั่นคือราชบัลลังก์แห่งอังกฤษ
            ดังนั้นเสียงร่ำลือที่ว่าอลิกซ์ฝักใฝ่ในสายเลือดเยอรมันของเธอ มันช่างเป็นเรื่องที่น่าชวนหัวสำหรับพวกเราทั้งหมด ช่างห่างไกลไปจากความจริงเสียเหลือเกิน
            แต่สำหรับประชาชนแล้ว..มันเป็นปัญหาที่ตอบยาก..ดังเช่น สมาชิกสภาคนหนึ่งได้ลุกขั้นโต้แย้งในเรื่องนี้ว่า
            "ถ้าซารินามีความรักชาติอย่างที่ว่าแล้วละก้อ ทำไมปล่อยให้ไอ้บ้า
            รัสปูตินนั่นเที่ยวเดินกร่างไปทั่วเมือง อีกทั้งคบค้าสมาคมกับพวกที่สนับสนุนเยอรมันอยู่เล่า ทำไมพระองค์จึงไม่ลงโทษมัน?"
            นี่คือคำถามเด็ดที่ว่า..เพราะว่าถ้าจริงอย่างปาก ใครเล่าจะกล้าไปกราบบังคมทูลให้ซาร์ไล่มันไปให้พ้นจากวังเพื่อสยบปัญหาทั้งหมด..
            ฉันเองก็โดนบ่อยๆ ที่มีคนมาถามถึงที่แนวหน้า..ว่า..
            "พระองค์เป็นถึงท่านอาและจัดว่าใกล้ชิดที่สุด ทำไมถึงทำเอาหูไปนา ตาไปไร่ ไม่ไปกราบบังคมทูลให้ทรงรู้เรื่อง"

         

            ทำไมจะไม่พูดเล่า..ฉันเองเคยได้โต้แย้งกับซาร์เรื่องรัสปูตินมานานแล้วตั้งแต่ก่อนสงครามเสียอีกด้วยซ้ำ
            ถ้าจะลองไปพูดอีก..ก็พอจะเดาภาพได้ออกว่า นิคกี้ก็คงจะต้อนรับฉันด้วยไมตรีอย่างที่เคย จะฟังฉันอารัมภบทไปจนจบ
            ก่อนที่จะยิ้มน้อยๆ และตอบว่า.."ขอบใจนะซานโดรที่ช่วยเป็นธุระ เป็นหูเป็นตาให้" และก็จะเข้ามาสวมกอด
            แต่ไม่มีการทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ไม่มีใครสามารถทำให้ซาร์ขยับองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ตราบใดที่ซารินาคงเชื่อว่าพระชนมายุของพระโอรสอเล็กเซจะอยู่ยืนยาวไปได้หากมีรัสปูตินอยู่ใกล้ๆ
            ดังนั้น..ฉันช่วยอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ มันช่างสิ้นหวังจนถึงขนาดที่ฉันเองไม่อยากจะพูดอะไรกับใครเลย อยากจะลืมมันเสียให้หมดทั้งผู้คนรอบข้างรวมไปถึงภาระหน้าที่ของการเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศแห่งรัสเซียด้วย

            ปีต่อมา คือ 1916 ที่ฉันต้องย้ายศูนย์บัญชาการไปยังเมืองเคียฟ (Keiff) เพื่อที่จะผนึกกำลังกับกองทัพของแม่ทัพบรูซิลอฟในแผนที่จะร่วมกันโจมตีในช่วงของฤดูร้อนที่จะถึงนี้
            แม่ยายของฉันได้มาเยี่ยมที่ฐานพร้อมกับพระธิดาองค์เล็ก แกรนด์ ดัชเชส ออลกา ผู้ซึ่งได้ร่วมเข้าปฏิบัติงานอย่างแข็งขันในฐานะขององค์อุปนายิกาในโรงพยาบาลที่ก่อตั้งด้วยองค์เองตั้งแต่ปีที่แล้ว
            จากวังสู่แนวหน้า..ดูเหมือนว่าซารินาพระมารดาพอพระทัยที่เห็นการปฏิบัติงานอย่างแข็งขันของฐานที่เคียฟถึงกับตกลงพระทัยที่จะประทับอยู่ที่นี่ตลอดระยะเวลาของการสงคราม

            ทุกวันอาทิตย์ เรามีการพบปะพูดคุยกันที่พระราชวังเมืองเคียฟที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Dnieper หลังจากพระกระยาหารกลางวันเสร็จสิ้นไป แขกอื่นๆ กลับไปหมดแล้ว เราทั้งสามถึงจะมีเวลาเป็นส่วนตัวในการสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในอาทิตย์นั้นๆ
            เราสามคนไม่ใช่ใครอื่นไกล จัดว่าเป็นพวกรักชาติอย่างหมดใจ เพราะคนหนึ่งก็เป็นพระมารดา คนหนึ่งก็เป็นพระขนิษฐา และ ฉันซึ่งเป็นน้องเขยของซาร์ เราไม่ได้รักซาร์เพียงแต่เป็นญาติสนิทเท่านั้น หากแต่รักและภักดียิ่งชีพเฉกเช่นอาณาราษฏรทั่วไปด้วย พร้อมที่จะสนองพระบัญชาได้ในทุกเมื่อ

            ซารินาพระมารดาทรงใส่พระทัยในเหตุการณ์ที่วุ่นวายในเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
            และทรงระแวงระไวสงสัยถึงในเรื่องการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ไม่ชอบมาพากลจากการเป็นเส้นสายของรัสปูติน เรื่องนี้ที่ทำให้พระองค์ทรงไม่สบายพระทัยเป็นอย่างมาก
            ตลอดเวลาห้าสิบปีที่ผ่านมา พระองค์ได้ทรงติดต่อกับพระเชษฐภคินี สมเด็จพระนางเจ้าอเล็กซานดรา พระราชินีแห่งอังกฤษ
            ทางจดหมายอย่างสม่ำเสมอ หากแต่ในช่วงของสงครามการติดต่อค่อนข้างเป็นไปด้วยความลำบากจึงสร้างความหวั่นไหวให้กับพระองค์มากขึ้นพอสมควร
            อย่างไรก็ตามพระองค์ได้ทรงทำองค์ให้เป็นมิ่งขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนชาวเคียฟด้วยรอยยิ้มที่สดใส
            ทุกๆ วันจะเสด็จโดยรถยนตร์พระที่นั่งเปิดประทุนเข้าพบปะและทักทายผู้คน เล่าถึงการทำงานอย่างลำบากของซาร์
            และขอให้ช่วยกันส่งกำลังใจไปให้กับซารินากับพระธิดาและพระโอรส
            หากแต่ส่วนพระประยูรญาติคนอื่นๆ จะไม่ทรงกล่าวถึงเลย ทั้งๆ ที่
            พระธิดาองค์โต แกรนด์ ดัชเชส เซเนีย พระชายาของฉันและลูกอยู่โยงที่เมืองหลวง เพราะภาระกิจที่ต้องทรงที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก
            ลูกชายของฉัน ปรินซ์ แอนดรูว์ กำลังจะเข้าเป็นทหารในหน่วยทหารราบ หรือ
            "มิชา" (Grand Duke Michael Alexandrovich) พระอนุชาของซาร์หรือพระโอรสองค์เล็กของซารินาพระมารดากำลังรบพุ่งอย่างสุดความสามารถในหน่วยทหารราบที่มีผลงานดีเด่นที่สุดในกองทัพ
            หรืออย่าง
            แกรนด์ ดัชเชส ออลกา พระธิดาองค์เล็กนี้ ที่เป็นทั้งญาติและน้องเมียของฉันนั้น เป็นบุคคลที่ช่างขยันขันแข็งอย่างหายากยิ่งในหญิงรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่ว่าครั้งไหนพระองค์ก็มักจะอยู่ในชุดทรงที่เป็นเครื่องแบบของพยาบาลเหล่ากาชาด ประทับอยู่ในหอพักรวมกับพยาบาลคนอื่นๆ อย่างไม่ถือพระองค์
            เจ็ดโมงเช้า คือเวลาที่เริ่มทรงงานจนกระทั่งถึงวันใหม่อันเป็นภาพธรรมดาที่ใครต่อใครพบว่ายังคงทรงงานช่วยตกแต่งบาดแผลให้คนเจ็บอยู่อย่างไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
            หลายครั้งที่เหล่าทหารบาดเจ็บไม่เชื่อว่าผู้หญิงคนที่ทำแผล เช็ดเลือดให้พวกเขานั้นคือ พระราชธิดาของซาร์อเล็กซานเดอร์
            ผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นพระขนิษฐาของซาร์องค์ปัจจุบัน

      

            หากแต่ชีวิตส่วนตัวของเธอนั้นน่าสงสารนัก เคยอภิเษกกับ Prince of Ordenberg
            ทั้งๆ ที่มิได้รักเพราะมีใจปฏิพัทธ์อยู่กับนายทหารคนธรรมดาๆ คนหนึ่งนามว่า Koulikovsky เราทั้งหมดต่างหวังว่า
            ซาร์คงจะมีพระบรมราชานุญาติให้มีการหย่าร้าง และให้มีการสมรสใหม่ระหว่างสองคนนี้เพื่อที่ออลก้าจะได้มีชีวิตใหม่กับคนที่เธอรัก และความหวังและการรอคอยนั้นได้สัมฤทธิ์ผลในฤดูหนาวของปี 1916 ที่ขณะที่หิมะกำลังลงหนา เราสามคนได้พาออลก้าและคูลิคอฟสกี้ไปที่พระวิหารเล็กๆ แห่งหนึ่งชานเมืองเคียฟ เพื่อเป็นพยานในพิธีแต่งงานอย่างเงียบๆ ของเธอและเขา
            นอกจากเราสามคนแล้ว..ผู้ที่เข้าร่วมพิธีมีเพียงเพื่อนนายทหารเหล่าฮัสซาร์นี่นายของเจ้าบ่าว เพื่อนพยาบาลสองคนของเจ้าสาวเท่านั้น ทุกคนมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความปิติเพราะฉันเองไม่เคยคิดว่า ออลก้าเป็นแค่ญาติสนิท หากแต่เธอยังเป็นเพื่อนที่แสนดีมีน้ำใจงามและเป็นนางฟ้าที่คอยให้กำลังใจแก่ทุกคนในยามที่มีความทุกข์ หม่นหมอง
            ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ และ เพื่อนพยาบาลนามว่า Vassilieva ฉันคงจะเป็นคนที่โดดเดี่ยวเอกาน่าทุกข์ระทมที่สุดในช่วงของสงครามที่โหดร้ายนี้..
            นางสาววาสสิไลวา..ต่อมาได้สมรสกับนาย Tchirikoff และได้ลี้ภัยไปอยู่ที่เมืองคานส์ที่ฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง..และทุกครั้งเราต่างก็มักพุดคุยถึงความหลังในช่วงของสงครามและฤดูหนาวของปี 18916-17 ที่สุดแสนโหดร้าย


            ภาพ แกรนด์ ดัชเชส ออลกา   

   

            ในช่วงของฤดูร้อนของปี 1916 เป็นปีที่เราเริ่มได้รับความมีชัยบ้าง..แต่กระแสข่าวลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับซาร์เริ่มหนาหูขึ้น
            จากการที่ฉันต้องเดินทางไปมาระหว่างเคียฟกับเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์กบ่อยๆ นั้นทำให้ต้องได้รับรู้และรับฟังถึงเรื่องเหลวไหลต่างๆ เหล่านี้ไปด้วย เช่น
            "เขาว่ากันว่าซาร์ติดเหล้าอย่างไม่ผู้เป็นคนเลยนะ" และ
            "เขาว่ากันว่า ซาร์กำลังรักษาตัวอยู่กับหมอชาวบูเรียตที่สั่งยาจากมองโกเลียมารักษาจนเข้าไปอุดตันในสมอง" และ
            "เขาว่ากันว่านายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเรา นาย Sturmer กำลังติดต่อและเป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกันกับสายลับเยอรมันในสต๊อคโฮล์ม" และ
            "ได้ยินข่าวว่าเรื่องรัสปูตินมันไปทำตัวซ่าส์ที่มอสควาหรือยัง?"

            ไม่มีข่าวลืออันไหนเลยที่มีข้อความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของกองทัพของเราที่กำลังอยู่ในแนวรบ ความมีชัยเหนือศัตรูของเราไม่ได้อยู่ในความสนใจของประชาชนเลยแม้แต่นิด
            มีแต่ข่าวลือ การโกหกป้ายสีไปเพียงวันๆ ที่แพร่ระบาดไปในสังคมของชนชั้นกลางในเมืองหลวงที่มักอ้างที่มาว่ามาจากปากของบุคคลสำคัญในราชสำนักบ้าง จากวงในรัฐบาลบ้างเพื่อเป็นการเพิ่มน้ำหนักความเชื่อถือของข่าวที่นำมาแพร่
            จนดูเหมือนว่าศึกในแนวหน้านั้นไม่ใหญ่หลวงเท่ากับศึกจากภายในด้วยกันเอง..
            เรื่องนี้ฉันทนรับแทบไม่ได้ บางครั้งถึงกับเกือบบันดาลโทสะที่คิดอยากจะออกเดินทางไปสตาฟวาในบัดนั้นเพื่อที่จะไปจับตัวนิคกี้แล้วเขย่าให้ตื่นจากความฝันซะที..ถ้าจัดการเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงไม่ได้ก็จงแต่งตั้งคนอื่นที่มีความสามารถขึ้นมาแทน
            และมอบสิทธิการทำงานที่เด็ดขาดให้กับเขาไป

            เมื่อคิดแล้ว..ฉันก็หยุดไม่ได้..รีบรุดไปที่สตาฟวาเพื่อที่จะทำตามความต้องการของใจ และไม่ใช่เพียงครั้งเดียว ฉันไปที่นั่นถึงห้าครั้ง
            ทุกครั้งที่พบนิคกี้ดูท่าทางอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย มีท่าทางที่ไม่อยากจะฟังคำแนะนำของใครทั้งนั้น ท่านจอมทัพที่มีไพร่พลถึงหนึ่งล้านห้าแสนนายนั่งหน้าโทรมๆ อยู่แต่ในศูนย์บัญชาการ

            หลังจากที่ฉันได้ถวายรายงานถึงความคืบหน้าของกองทัพอากาศที่หาญกล้าเข้าไปต่อกรกับฝูงบินของเยอรมันแล้ว นิคกี้มีทีท่าเหนื่อยพระทัย พระเนตรฉายแววอยากจะให้ฉันจบการรายงานนั้นอย่างเร็วๆ เพื่อที่จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอย่างที่เคย
            พอฉันได้เปลี่ยนหัวเรื่องของการสนทนามาเป็นเรื่องความเป็นไปของเมืองหลวง..พระเนตรของซาร์เปลี่ยนมาเป็นแววเย็นชา ระแวง ระไวขึ้นมาทันที มันเป็นสายตาที่ฉันไม่เคยพบมาก่อนตลอดเวลาสี่สิบเอ็ดปีของความเพื่อนของเรา
            "นิคกี้..นายไม่ไว้ใจเพื่อนของนายคนนี้อีกแล้วหรือ?" ฉันถามปนการสัพยอก
            "ฉันไม่เชื่อใครทั้งนั้น นอกจากเมียของฉันคนเดียว" เขาตอบด้วยเสียงที่เยียบเย็น
            สายตามองออกไปที่นอกหน้าต่าง พร้อมกล่าวต่อว่า
            "แล้วนายจะอยู่กินกลางวันกับฉันหรือเปล่าซานโดร เพราะเราจะได้คุยกันถึงเรื่องแม่กับออลก้าด้วยไง"
            แน่นอนว่าฉันอยู่ร่วมโต๊ะเสวยในสวนข้างศูนย์บัญชาการด้วย การสนทนาก็เหมือนเดิมๆ คือ ทุกคนต่างถามถึงซาเรวิชอเล็กเซผู้ซึ่งเพิ่งเดินทางกลับไปจากการเสด็จเยี่ยมเยียนพระบิดาเมื่อไม่กี่วันมานี้


            หลังจากอาหารกลางวันมื้อนั้น ฉันได้แวะไปเยี่ยมน้องชาย เซอเก ผู้ซึ่งเป็นนายหทารหน่วยปืนใหญ่ ซึ่งต้องไปทนฟังเขาบ่นถึงอนาคตของรัสเซียอีกพักใหญ่ๆ
            เซอเกเมื่อเทียบกันกับพี่ชายใหญ่ แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาส มิเกลโลวิช ก็ยังถือว่า..พี่ชายใหญ่ยังมีส่วนที่มองโลกในแง่ดีอยู่บ้าง..ไม่หนักหนาและสิ้นหวังเท่ากับเซอเกเพราะจากการที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดกับซาร์ขนาดนั้น
            คงมองเห็นแล้วว่าความหวังนั้นมันริบหรี่เต็มทน เขาบอกว่า
            "จากการที่ซาร์ได้บอกแล้วว่า เขาไม่เชื่อใครนอกจากเมียคนเดียว นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าใครจะว่าอย่างไร นิคกี้ก็จะอยู่ข้างเมียเขาเสมอไม่ว่าจะผิดหรือถูกนะซานโดร พี่อย่าไปเสียเวลาพูดเลย กลับไปทำงานเถอะ แล้วก็ช่วยสวดมนต์ขอพรพระเจ้าอย่าให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมาในอนาคตอันใกล้นี้เลย เจ้าประคุณ..เพราะกองทัพของเราตอนนี้กำลังพร้อมในทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยรบ หน่วยเทคนิคทางอาวุธ เราพร้อมที่จะทำศึกใหญ่ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1917 คราวนี้แหละที่เราจะเข้าบดขยี้มันทั้งเยอรมันและออสเตรียให้ราบเป็นหน้ากลอง ขอเพียงอย่างเดียว..ขอให้ภายในประเทศอย่ามีความวุ่นวายเป็นใช้ได้ และเรื่องนี้เองที่เยอรมันรู้ดีว่าเป็น"จุดอ่อน"ของเรา
            จึงพยายามที่ป่วนให้เกิดการปฏิวัติในทุกวิถีทาง ยิ่งนิคกี้มีท่าทางอย่างนี้ก็"เข้าทาง"พวกฝ่ายโน้นมันเลยทีเดียว ฉันเชื่อว่าอย่างไรเสียการปฏิวัติต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน"

            ฉันก็เชื่อเช่นนั้น..เพราะสำหรับเซอเกแล้วทุกอย่างไม่ใช่การคาดเดาอย่างชุ่ยๆ .. หากแต่มันได้กรองมาจากข้อมูลจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นและเขาคือบุคคลในกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับรู้
            การสนทนาระหว่างเราเกิดขึ้นในสวนผักเล็กๆ ที่เซอเกเพาะปลูกในเนื้อที่เล็กๆ หลังเรือนนอน เขาบอกอย่างเหนียมๆ ว่า
            "เพื่อเป็นการผ่อนคลายเครียดน่ะ.."
            ฉันเข้าใจความรูสึกของเขาดี อีกทั้งแอบอิจฉาเจ้าพวกพืชผักนี่หน่อยๆ ด้วย เพราะในขณะที่พลเรือนโลกกำลังไล่ฆ่าฟันกันอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางไออวลของกลิ่นซากศพ หากแต่ไอ้เจ้ามันฝรั่ง หัวกระหล่ำ กลับขึ้นเกิดขึ้นมาอย่างใสบริสุทธิ์ สะพรั่งและงดงาม


            เช้าวันที่ 17 ธันวาคม 1916 นายทหารคนสนิทได้เข้ามาด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น ยินดี พร้อมกับรายงานว่า
            "มีข่าวมาบังคมทูลฝ่าบาทพะยะค่ะ..รัสปูตินถูกสังหารเมื่อคืนที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก ในตำหนักของ เจ้าชายฟีลิกซ์ พะยะค่ะ"
            "ในบ้านของฟีลิกซ์ ลูกเขยของฉันนี่นะ..แน่ใจหรือเปล่า?"
            "เป็นความจริงพะยะค่ะ ฝ่าบาทน่าจะยินดีเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าเจ้าชายฟีลิกซ์ได้จัดการสังหารรัสปูตินด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ผู้ที่ให้ความร่วมมือในการณ์นี้ก็คือ แกรนด์ ดุ๊ด ดิมิทรี ปาฟโลวิชพะยะค่ะ"
            ความคิดคำนึงของฉันได้กระเจิงเป็นห่วงไปถึงไอรีน (ลูกสาว) ผู้ซึ่งพำนักอยู่ที่ไครเมียกับครอบครัวของสามีทันที

            นายทหารคนสนิทพออ่านอาการของฉันออก..เขารีบถวายรายงานต่อไปว่า ประชาชนในเมืองเคียฟต่างออกมาชื่นชมยินดี
            และต่างพากันสรรเสริญในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของฟีลิกซ์
            ฉันเองก็มีความยินดีไม่น้อยไปกว่าคนอื่นที่รัสปูตินจบชีวิตลงไปเสียได้ ปัญหาต่างๆ ก็จะได้หมดไป..
            แต่..มันไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น เพราะ ปัญหาที่จะตามมามีอีกสองเรื่องใหญ่ๆ นั่นคือ..
            มันเป็นการหักหาญน้ำใจซารินาอย่างไม่เกรงพระอาญา อีกทั้งฆาตกรก็มิใช่ใครอื่น เป็นคนในแวดวงเดียวกัน นั่นถือเป็นการเปิดฉากประกาศตัวเป็นศัตรูกันแบบซึ่งๆ หน้า และอาจหมายถึงมีเจตนาถึงขั้นล้มล้างราชบัลลังก์เลยทีเดียว
            ผู้หญิงแกร่งอย่างซารินาย่อมที่จะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปอย่างเงียบๆ โดยไม่มีการแก้แค้นเอาคืนอย่างแน่นอน
            ฟีลิกซ์และดิมิทรี ใจร้อน บุ่มบ่าม ไม่ได้เข้าใจถึงผลที่จะตามมา..เพราะยังเด็ก และอ่อนประสบการณ์เกินไป
            ทุกอย่างที่สองคนนี้ทำลงไปเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มใหญ่ที่มองเห็นความหายนะกำลังมาเยือนสู่เหย้า
            และคิดว่า การกำจัดรัสปูตินคือทางออกทางเดียว..
            ทั้งๆ ที่เจ้ารัสปูตินในยามที่มีชีวิตอยู่ มันก็เป็นแค่..อลัชชีที่มัวเมาในลาภสักการะ เอาสถาบันมาเป็นเกราะกำบังภัยให้กับตัวเอง แถมใช้คำขู่ทำนายวางยาเอาไว้ให้ทุกคนกลัวเกรงจนไม่กล้าที่จะแตะต้องตัวมัน
            ซึ่งไอ้คำทำนายบ้าๆ บอๆ นี้มันช่างเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดีที่ว่ารัสเซียและพระราชวงค์ทั้งหมดจะต้องล่มสลายไปหากว่ามันเกิดถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของพวกเรา
            แต่คนที่เชื่ออย่างหมดจิตใจ..และ..ถือว่ามันคือพระเจ้า..มีอยู่คนเดียว นั่นคือ ซารินา

            ฉันรีบเดินทางไปเข้าเฝ้าซารินาพระมารดาเพื่อถวายรายงานข่าวใหญ่ข่าวนี้ทันที
            พระองค์กำลังประทับอยู่บนพระแท่นในพระตำหนัก เมื่อจบการถวายรายงาน พระองค์ผลุดลุกขึ้นอย่างตกพระทัยพร้อมทั้งร้องลั่นว่า
            "ไม่จริง..ไม่จริงใช่ไหม?"
            หลังจากที่ทรงสงบลง..พระอาการที่มีก็คล้ายๆ กับความรู้สึกของฉัน นั่นคือ โล่งใจ พร้อมกับสิ่งที่จะตามมาคือ ความหนักใจในฐานะที่ทรงเป็นทั้งยาย (ของไอรีนที่เป็นภริยาของฟีลิกซ์) และ ป้าสะใภ้ (ของดิมิทรี) อีกทั้งในฐานะที่ทรงเป็นผู้นำของกลุ่มศาสนาที่ไม่สนับสนุนการประหัตประหาร ในที่สุดเราก็ตกลงกันว่า ฉันจะขอเข้าเฝ้าซาร์ที่พระราชวังซาร์โก-เชโล เพราะหลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา ซาร์ได้เสด็จออกจากศูนย์บัญชาการสตาฟวาและเข้าเมืองหลวงเพื่อประทับอยู่เคียงข้างซารินา


            ภาพ Grand Duke Dimitri Pavlovich   

   

            เมื่อเดินทางถึงเมืองหลวง ฉันก็ได้ยินแต่เสียงแซ่ซร้องสรรเสริญสองวีรบุรุษจนเต็มสองหู ทั้งคู่ได้สารภาพกับฉันอย่างไม่สะทกสะท้านว่า...ได้ลงมือฆ่ารัสปูตินด้วยเจตนา อีกทั้งพยายามปกปิดว่าลงมือกระทำกันแค่สองคนไม่มีใครอื่นเกี่ยวข้องด้วย
            จนฉันมาทราบทีหลังว่าทั้งคู่ได้พยายามปิดบังไม่ยอมปริปากบอกว่า..ยังมีคนอื่นเข้าร่วมด้วย คนคนนั้นคือ นาย Pourishkevich สมาชิกสภาที่ไม่ค่อยเต็มบาทเป็นคนลั่นไกส่งกระสุนเข้าร่างรัสปูตินเป็นคนสุดท้าย

            กลุ่มพระราชวงค์ต่างพากันมาหาฉันเพื่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ฟีลิกซ์และดิมิทรีกับซาร์
            อันนี้ถึงพวกเขาไม่ร้องขอ ฉันก็ถือเป็นหน้าที่ต้องทำอยู่ดี
            บางคนถึงขนาดถวายฏีกากับซาร์ว่าฟีลิกซ์และดิมิทรีควรจะได้รับเหรียญสดุดีจากการเป็นฆาตกรในครั้งนี้เสียด้วยซ้ำ ด้วยคำพูดที่ว่า
            "ทำไมล่ะ ซานโดร..ท่านมิรู้หรือว่าฟีลิกซ์และดิมิทรีได้ประกอบคุณงามความดีครั้งใหญ่ให้กับรัสเซียเจียวนะ ท่านนี่แปลกจริงๆ "
            ที่พวกเขาว่าฉันแปลก..ก็เพราะฉันไม่เคยลืมว่า นิคกี้คือองค์ประธานของศาลสูงสุดด้วยนั่นซิ..
            หน้าที่ขององค์ประธานศาล ก็หมายถึงว่าจะต้องรักษากฏหมายให้เป็นไปตามกบิลเมือง จะมายกหย่อนให้กับญาติของตัวเองได้อย่างไร

            ฉันคาดเดาเอาไว้ว่าการเข้าพบกับนิคกี้ในครั้งนี้คงเต็มไปด้วยความอึดอัดและอึมครึม..แต่ที่ไหนได้..เขาเข้ามาสวมกอด
            พร้อมกับพูดจาสุภาพอ่อนโยนเช่นเคย นิคกี้รู้จักฉันดีพอที่จะเข้าใจว่าที่ฉันมาหาเขานั้นก็เพราะในฐานะที่เป็นพ่อของไอรีนมากว่าฐานะอื่นใด

            ฉันเริ่มกล่าวคำแก้ต่างที่เตรียมมาและพยายามชี้แนะโทษที่สามารถลดหย่อนกันได้ โดยใช้ข้อที่ว่าทั้งฟีลิกซ์และดิมิทรีไม่น่าจะได้รับโทษทัณฑ์เยี่ยงฆาตกรใจโหดเพราะสิ่งที่พวกเขาทำลงไปนั้นไม่มีเจตนาอื่น นอกจากต้องการปกปักษ์รักษารัสเซียอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
            "ฟังดูดีนะ ซานโดร.." นิคกี้กล่าวขึ้นหลังจากที่ฟังจบ..และต่อด้วยว่า
            "แต่นายก็รู้นี่นา..ว่าอย่างไรก็ตามไม่มีใครมีสิทธิที่จะฆ่าคนได้ตามความชอบใจ ไม่ว่าจะเป็นแกรนด์ ดุ๊ค หรือ ชาวบ้านรรมดา"

            นั่นไง..บอกแล้วว่า นิคกี้ไม่ใช่เด็กอ่อนหัดในเรื่องของกฏหมาย เขารู้ดีถึงกฏบัตรมาตรา ก่อนที่ฉันจะลาจาก เขาได้"สัญญา"
            ว่าจะพิจารณาโทษให้กับฆาตกรทั้งสองด้วยความยุติธรรม
            ซึ่งผลออกมาทีหลังคือ สองคนนั่นแทบไม่ได้รับโทษอะไรเลย
            ดิมิทรีถูกส่งออกไปปฏิบัติการที่แนวหน้าฝั่งเปอร์เซีย
            ฟีลิกซ์ถูกเนรเทศไปยังเขตบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองอย่างสุขสบายที่เมือง Kursk

      
            วันต่อมา..ฉันต้องเดินทางกลับไปยังเคียฟ ที่มีฟีลิกซ์และไอรีนผู้ซึ่งเพิ่งมาจากไครเมียร่วมขบวนไปด้วย ขณะที่เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันในขบวนโบกี้รถไฟ ฟีลิกซ์ได้เล่าให้ฟังถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดละออ ซึ่งในขณะนั้น (หรือแม้ต่อในหลายปีต่อมา) ฉันได้แต่หวังว่าฟีลิกซ์คงจะเข้าใจว่า ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าใคร ด้วยวิธีใดหรือผลจะออกมาเช่นใด
            กลุ่มศาสนาไม่เคยเห็นดีเห็นงามไปด้วย อาจจะกระหน่ำซ้ำเติมเราให้จมดินไปด้วยอีกไม่ว่า..

            เมื่อกลับมาถึงเคียฟ ฉันได้ร่างรายงานฉบับยาวเพื่อที่จะส่งให้นิคกี้ให้ทราบถึงการก่อหวอดของการปฏิวัติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
            เพราะจากการที่ได้เข้าไปในเมืองหลวงนานถึงหกวันนั้น บางสิ่งบางอย่างได้บอกฉันว่า..บัดนี้สถานะการณ์ได้ใกล้ต่อการสุกงอมเข้าไปทุกที เร็วสุดก็ต้นฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้
            ปี 1917 ได้ย่างเข้ามา..และถึงเวลาแห่งการผลัดใบในรัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ Prince Golitzin ผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย..ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่มีใครรู้ว่านายนี่ได้ตำแหน่งมาได้อย่างไร..

            แต่มีคนสองคนที่ทราบคำตอบดีว่า..นายคนนี้ได้ตำแหน่งมาเพราะเหตุใด
            นั่นคือ ซาร์และซารินา..

 
            ดิฉันอ่านเรื่องที่ท่านแกรนด์ ดุ๊คที่เขียนไว้แล้วขัดใจจริง..เพราะเรื่องบางเรื่องออกจะ"สำคัญ" ท่านก็ไม่พูดถึงซะงั้น
            และถ้าเราไม่ไปหา หรือค้นคว้าต่อ..ก็จะต่อไปบทอื่นไม่ได้เลย มันจะ
            อึมครึม และไม่มีเหตุผลที่สมควร..
            อย่างกรณีของนายกใหม่ Prince Golitzin ที่ท่านทิ้งท้ายไว้ว่า..เป็นนายกที่
            ใช้ไม่ได้เลย มาเพราะเส้นใหญ่หนุนหลังจนสร้างความขัดเคืองให้กับประชาชีทั่วไป..รวมทั้งตัวท่านเอง..
            แต่รายละเอียด ที่มาที่ไป..ท่านก็ไม่บอก

            เมื่อพยายามจะหาเอง.. ก็ยากแสนเข็ญ เพราะนายกท่านนี้อยู่ในตำแหน่งแค่สองเดือนเท่านั้น..ไม่มีผลงานอะไรไม่มีใครเขียนถึง
            แต่..นี่คือชนวนระเบิดให้ผู้คนเกลียดซารินาถึงขีดสุด..

            ดิฉัีนก็หาง่วน..ไม่ได้คำตอบ รับรองว่าชีวิตนี้ไม่มีสุขแน่ๆ เขียนต่อก็ไม่ได้
            หาในอากู๋ก็ไม่มี..หนังสือก็ไม่มี
            เขียนเมล์ไปหาเพื่อนซี้ที่ฝรั่งเศส (มีเชื้อสายรัสเซีย) ให้ช่วยหาหน่อย..
            ก็ใช้เวลาหลายวันนะคะ กว่าจะได้คำตอบว่าที่หาไม่ได้เพราะชื่อนั้นได้แผลงไป สะกดกันหลายอย่าง..ในกรณีนี้.Prince Golitzin.คือ Nicholas Galitzine หรือ Nikolai Golitsyn (เล่นเอาตูแทบบ้า)



            Prince Nikolai Dmitriyevitch Galitsyn (1850 - 1925) เป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ ตั้งแต่ครั้งสมัยสมเด็จพระจักรพรรดินี Catherine
            เจ้าชายกัลลิทซีน ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (คนสุดท้าย) ของรัชสมัยแห่งซาร์ เมื่อเดือนมกราคม 1917 และได้ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เมื่อเดือนมีนาคม ในปีเดียวกัน (หลุดจากตำแหน่งพร้อมๆ กับที่ซาร์ได้ประกาศสละราชสมบัติ)
            เบื้องหน้าเบื้องหลังของการก้าวสู่ตำแหน่งนั้น..เพราะว่าเจ้าชายคนนี้ คือ
            หัวหน้ากรมวังชั้นผู้ใหญ่ของฝ่ายใน (ซารินา) ทั้งๆ ที่เจ้าตัวได้ขอปฏิเสธไม่รับตำแหน่งเพราะไม่มีความรู้ในเรื่องการเมือง พื้นฐานของท่านก็คือถนัดทำไวน์อันเป็นธุรกิจของครอบครัว
            แต่แล้วท่านก็ขัดพระราชประสงค์ของเจ้านายไม่ได้ จึงต้องจำใจรับตำแหน่ง
            อย่างเสียไม่ได้..
            ประชาชนและทหารต่างๆ แสดงความไม่พอใจอย่างเอกอุ เพราะนั่นแสดงว่า
            ซารินาเข้ามาวุ่นวายกับการเมืองอย่างไม่เข้าท่า..ยิ่งสงครามที่รัสเซียเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ยิ่งทำให้กระแสความเกลียดชังนั้น..เดือดพล่านไปในทุกกลุ่มชนชั้น

            เวรกรรมได้ส่งต่อไปทั่วถึงกันหมด..หลังจากที่บอลเชวิคได้เข้ามาเป็นรัฐบาล
            เจ้าชายกัลลิซีนถูกถอดยศมาเป็นสามัญชน ทรัพย์สมบัติถูกยึดหมด ต้องยึดอาชีพรับซ่อมรองเท้า และ ทำสวนผักหาเลี้ยงชีพ
            กระนั้น พวกบอลเชวิคก็มิได้วางใจ หาเรื่องจับกุมให้ติดคุกถึงสองครั้ง ในช่วง 1920 ถึง 1924
            ต่อมาถูกจับครั้งที่สาม ในปี 1925 คราวนี้ไม่ได้หลุดรอดออกมาอีก เพราะ
            ถูกสำเร็จโทษในเดือนกรกฏาคม ที่เลนินกราด ในฐานะ"ทำตัวไม่น่าไว้วางใจ"

            ตอนนี้ขอนำภาพของซาร์ ขณะที่ประทับอยู่ที่ศูนย์บัญชาการสตาฟวามาให้ชมก่อน..
            นี่คือ พระวิหาร Mogilev ที่เสด็จมาสวดมนต์ขอพรบ่อยๆ ในช่วงที่เริ่มเกิดการปฏิวัติในเมืองหลวง พระองค์ทรงวูบไปด้วยอาการพระหฤทัยกำเริบในขณะที่ทรงสวดมนต์ต่อหน้าพระรูปของแม่พระ

 

            ซาร์กับแม่ทัพอเล็กเซียฟ เมื่อเดือนสิงหาคม 1915  



           

 

 

ในเรื่องการทำสงครามครั้งนี้..แม่ทัพทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าซาร์ไม่ควรที่จะมาประทับอยู่ที่สตาฟวาเลย เพราะถ้าสงครามเป็นไปในทางลบ..ซาร์ในฐานะจอมทัพก็จะต้องถูกติเตียน
            อีกทั้งความเลื่อมใสจากประชาชนก็จะลดน้อยลงไป

            เรื่องนี้..พวกทหารต่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก..เพราะขัดพระทัยไม่ได้
            แม้แต่พระญาติเอง แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา ที่ออกเสียงแข็งขัน ขัดขืนกว่าใคร..ก็เลยถูกปลด และทรงตั้งนายพลอเล็กเซียฟมาแทน


            ห้องทรงงาน ที่เรียบง่าย แต่มีระเบียบเนี๊ย เพราะ ซาร์ทรงถูกฝึกหัดมาให้วางสิ่งของเป็นที่..ผิดเพี้ยนไปมิได้เลย..

                
 
            ห้องบรรทมแบบสนาม..พระที่จะจัดให้อยู่ใกล้ๆ กับเตาผิง

                
             


          
                
             
 
            เมื่อครั้งที่มกุฏราชกุมารอเล็กเซเสด็จมาเยี่ยม สองพ่อลูกประทับอยู่ในห้องเดียวกัน เพิ่มเตียงขึ้นมาอีกหนึ่ง..

                
 

            ห้องเสวยที่เป็นห้องประชุมด้วย เพราะจะประทับพร้อมๆ กับกลุ่มนายทหารชั้นผู้ใหญ่

            เมนูอาหารจะถูกกำหนดจากหัวหน้าพ่อครัว เนื่องจากซาร์ได้ทรงถูกฝึกหัดมาให้อยู่ง่าย เสวยง่าย ไม่เคยมีบันทึกไว้เลยว่า ทรงเคยขอให้ทำอาหารพิเศษแต่อย่างใด ส่งอะไรมาก็เสวยได้หมด..

                
 

            ซารินาเสด็จมาเยี่ยมพร้อมกับพระธิดา.. เมื่อเดือนตุลาคม
            แต่เหล่าทหารทั้งหลายกลับไม่ปลื้ม เพราะ ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่า
            ซารินา คือต้นตอของปัญหาทั้งหมด

                
 
            ท่าโปรดของซาร์ คือการประทับบนหลังม้า เนื่องจากพระองค์มีพระวรกายเล็ก
            กว่าชาวโรมานอฟอื่นๆ จึงดูไม่ผึ่งผายเท่าที่ควร..
            ดังนั้น..จะทรงดูดีก็เมื่อยามที่ประทับในท่านี้..อันเป็นท่าโปรด

 

            ภาพหมู่ครอบครัวที่สตาฟวา ตุลาคม 1915

 

            สองพ่อลูก..ถ่ายเมื่อเดือน พฤศจิกายน 1915 เมื่ออเล็กเซทรงภาคภูมิพระหทัยหนักหนาที่ได้รับพระราชทานเหรียญกล้าหาญ the Cross of St. George ที่กลัดอยู่ที่อกเสื้อ

                
 

   
    ที่ต้องไปหาประวัติของท่านนายกอายุสองเดือน เจ้าชายกอลิทซิน (Prince Golitzin) ให้เข้าใจจนเป็นแนวทางในการเขียนต่อไป เพราะว่าเรื่องกา่รแต่งตั้งเจ้าชายคนนี้ขึ้นมา....ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมือง
    รวมทั้งแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์ (ซานโดร..ท่านผู้เขียน) เป็นอย่างมาก
    ถึงขนาดยอม"หักดิบ" ขอเข้าเฝ้าซารินา และมีการปะทะคารมกันอย่างไม่เกรงใจกันต่อไปอีก..


    ดังนั้น..ประวัติศาสตร์ของโรมานอฟในช่วงต่อไปจากนี้....น่าสนใจมากค่ะ

 
            ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่า..นิคกี้และซารินาเห็นดีเห็นงามอย่างไรที่เอาเสนาบดีระดับกรมวังที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองและสภาเลยแม้แต่นิด ขึ้นมานั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เท่านั้นยังไม่พอ..รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ นาย Protopopoff ที่มีสติไม่เต็มเต็ง แถมยังเป็นสาวกคนสนิทของไอ้รัสปูตินนั่นด้วย..
            สองคนรวมกัน..บ้านเมืองก็เห็นทีจะล่มจมกันคราวนี้..

            ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ฉันได้รับคำสั่งให้เดินทางจากสตาฟวาเพื่อไปประชุมใหญ่กับกลุ่มสัมพันธมิตรที่เมืองหลวง..ใจความในการประชุมครั้งนี้คือเรื่องสำคัญต่อสงครามอย่างยิ่งยวด ว่า..จากนี้ไปสิบสองเดือนเราจะต้องได้รับการสนับสนุนทางด้านอาวุธอย่างไม่ขาดจากแนวร่วม..
            เรื่องประชุมนั้น..ก็สำคัญอยู่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่า..นั่นคือโอกาสที่ฉันจะได้เข้าพบกับอลิกซ์เป็นการส่วนตัวนั้นเริ่มเป็นความจริงขึ้นมา..
            เพราะทุกวันนี้..ฉันเฝ้าแต่กริ่งเกรงว่า....เสียงปืนของการปฏิวัติจะระเบิดขึ้นมาในทุกเมื่อ เหล่า"ผู้รู้"บางคนได้บอกทำนายว่า..การปฏิวัติอาจจะมาจาก
            ภายในก่อนก็ได้ หมายถึง ซาร์อาจจะถูกขับออกจากบัลลังก์ก่อนเวลา เพื่อที่จะให้มกุฏราชกุมารขึ้นนั่งแทนโดยมีคณะผู้สำเร็จราชการดูแลแผ่นดิน"กลุ่มที่เข้าใจประชาชนชาวรัสเซียดี"ไปจนกว่าจะถึงเวลา
            ทั้งนี้..เพื่อเป็นการลดกระแส"เกลียดชัง"ของประชาชน

            ฉันฟังทฤษฏีนี้ด้วยความมึนงง..เพราะตลอดเวลาที่เป็นผู้เป็นคนมานี่..ฉันไม่เคยเจอใครที่เข้าใจชาวรัสเซียดีพอสักคน..ไอ้นโยบายนี้..ฟังดูแล้วมันช่างคุ้นๆ ยังไงพิกล แต่มันเป็นกลิ่นไอของนอก คิดไปคิดมา..ก็ถึงบางอ้อ
            ต้นตอเจ้าความคิดนี้..มาจากชายผู้ดีคนหนึ่ง..เพราะครั้งหนึ่ง
            เขาเคยมาหาฉัน..และบอกเล่าให้ฟังถึงแผนที่กลุ่มการเมืองของเขาพยายามจะช่วยผดุงเสถียรภาพของรัสเซียถ้าหากว่า..จะมีการเปลี่ยนบัลลังก์ เขาคนนั้นก็เป็น"คนใน"ของสถานทูตนี่เอง..
            แต่ตอนนั้น..ฉันได้ตอบไปว่า..เขามาคุยผิดที่ และ ผิดคน..ฉัน..ในฐานะ
            แกรนด์ดุ๊ค มีหน้าที่ที่ต้องรักษาเจ้าเหนือหัวยิ่งชีวิต..มิสามารถที่จะทนฟังข้อเสนอนั้นได้..

            แต่พอการปฏิวัติเกิดขึ้นจริงๆ และประสบความสำเร็จ..ชายคนนี้ได้มาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนาย Kerensky อีกทั้งได้ครองตำแหน่ง รัฐมนตรีการคลัง และ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ


            หมายเหตุ นาย Kerensky นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลชั่วคราวหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ จากนั้นก็มีการเลือกตั้งที่ได้เลนินเข้ามาแทนที่

     
            แล้วฉันก็ได้เข้ามาเหยียบเมืองหลวง..เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก อีกครั้ง.. (และเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต)

            ในวันที่ตกลงนัดหมายอย่างเป็นทางการเพื่อที่จะเข้าพบอลิกซ์นั้น..จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากพระราชวัง ซาร์สโก-เซโล ว่า เธอป่วยกระทันหัน ไม่สามารถรับรองแขกได้..ซึ่งฉันได้เขียนจดหมายกลับไปอย่างแรงๆ ..ว่า..ฉันมีความจำเป็นที่จะต้องขอเข้าเฝ้า..ขอโอกาสสักครั้งเพราะมีเวลาอยู่ในเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน..
            ระหว่างที่คอยคำตอบจากซารินา..ฉันได้เที่ยวพบปะและคุยกับใครต่อใครไปทั่ว Misha พระอนุชาของซาร์ก็อยู่ในเมืองด้วย
            ในที่สุด..ฉันก็ได้รับเชิญจากอลิกซ์ให้ไปร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ในพระราชวัง....
            โอ..มันช่างเป็นอาหารมื้อที่ฝืดคอที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมาจริงๆ ให้ตายซิ

            อลิกซ์นอนนิ่งอยู่บนพระแท่นไม่ได้ลงมาร่วมโต๊ะ..สัญญาว่าจะคุยกันเมื่อฉัน
            เสร็จสิ้นจากการเสวย ทั้งโต๊ะเรามีแปดคน..นิคกี้ ฉัน และพระโอรสและพระธิดาทั้งหมดรวมเป็นเจ็ด องครักษ์คนสนิทของนิคกี้อีกหนึ่ง..
            เด็กๆ รื่นเริงกันดี หยอกล้อกันไม่มีหยุด พวกพระธิดาโตขึ้นมากจนจะเป็นสาวกันหมดแล้ว..สวยเสียด้วย..
            และนั่นคือครั้งสุดท้าย..ที่ฉันได้พบกับพวกเด็กๆ
            หลังจากเสร็จจากโต๊ะเสวย..เราได้ไปจิบการแฟกับที่ห้องม่วง.. (Mauve Salon) และนิคกี้ได้เข้าไปในห้องบรรทมเพื่อที่จะบอกกับซารินาว่า..
            ฉันพร้อมเข้าเฝ้าแล้ว..

            ฉันเดินเข้าไปด้วยท่าทีที่กระฉับกระเฉง..อลิกซ์นอนเอนๆ อยู่บนเตียง แต่งตัวด้วยชุดบรรทมสีขาวที่ประดับกรุยด้วยลูกไม้ พระพักตร์ออกแววเคร่งเครียด
            ท่าทางพร้อมที่จะโต้แย้งทันที่ที่ได้ยินอะไรไม่ถูกพระกรรณ..
            ฉัีนรู้สึกเสียใจนิดๆ ..เพราะอลิกซ์น่าจะรู้ว่า..ฉันมาดี มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือจริงๆ เท่านั้นไม่พอ..นิคกี้กลับนั่งแปะลงบนโซฟาใกล้ๆ อย่างหน้าตาเฉย ทั้งๆ ที่ในจดหมาย..ฉันได้ทูลแล้วว่าพบเป็นส่วนตัว สองต่อสอง..
            ก็เพื่อตั้งใจที่จะทูลเรื่องความรู้สึกที่ประชาชนมีต่อนิคกี้ในยามนี้..

            แล้วจะพูดได้อย่างไร..ถ้าเจ้าตัวมานั่งขวางอยู่ตรงหน้า...

         
            ในที่สุด..ฉันก็ชี้ไปที่พระรูปของพระเจ้า..และบอกว่า..จะขอเริ่มการสนทนาแบบกลั่นกรองจากใจเหมือนที่พูดกับพระเลยนะ..ทุกอย่างจะมาจากจิตใจที่มีแต่ความหวังดีทั้งนั้น..
            แล้วฉันก็ร่ายยาวมาตั้งแต่เรื่องความวุ่นวายของการเมืองระบบสภา จนกระทั่งถึงพวกที่คิดจะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพิ่มจำนวนจนแทรกซึมเข้าไปใน
            ชนทุกเหล่าชั้น จนบัดนี้...ประชาชนกำลังวาดหวังถึงการเมืองใหม่กันแล้ว..

            อลิกซ์ขัดขึ้นมาด้วยเสียงแหลม..

            "ไม่จริ๊ง..เอาอะไรมาพูด..ประชาชนยังรักและเทิดทูนซาร์เหนือสิ่งใด..ก็มีแต่ไอ้พวกกุ๊ยสภากับไอ้พวกกลุ่มไฮโซในเมืองหลวงเท่านั้นแหละ..ที่คอยเป็นหอกข้างแคร่ของพวกเรา"

            นั่นก็มีส่วนถูกหรอกนะ..แต่ฉันได้กล่าวต่อไปว่า
            "อลิกซ์..ฟังนะ..อะไรมันก็ไม่ร้ายไปกว่าที่เราจะรับฟังความจริงแค่ครึ่งเดียว
            ใช่..ประชาชนในชาติเคยเคารพรักซาร์ และมันได้ถูกทำลายไปด้วยน้ำมือของไอ้เลวรัสปูติน..โทษทีที่ต้องพูดกันตรงๆ..ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าฉันหรอกนะว่าเธอจงรักและภักดีต่อพระสวามีมากเพียงใด..แต่การที่เธอเข้ามาแทรกแซงในรัฐบาลและการเมืองนั้น..มันได้มีส่วนสร้างตำหนิให้กับซาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยี่สิบสี่ปีแล้วนะ..ที่ฉันเป็นเพื่อนที่รักและหวังดีต่อเธอเสมอมา..
            และเพื่อนคนนี้แหละที่จะชี้ให้เห็นว่า..ประชาชนกำลังลุกขึ้นมาต่อต้านเธอ
            ทำไมล่ะ..อลิกซ์..เธอมีครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น ทำไมไม่เอาเวลาทั้งหมดมอบให้กับพวกเขาล่ะ..ได้โปรดเถอะ..อลิกซ์..โปรดปล่อยให้พระสวามีของเธอได้บริหารราชการแผ่นดินด้วยตัวของเขาเองเถอะ..ฉันขอละนะ"

            อลิกซ์หน้าแดงก่ำ..เหลือบตาไปมองนิคกี้ซึ่งยืนสงบเงียบ..จุดบุหรี่สูบแบบมวนต่อมวน มันก็น่าอายอยู่หรอกที่จะมาเล่าถึงอากัปกิริยาของซาร์ในช่วงเวลาที่ปีนเกลียวอย่างนี้....ฉันกล่าวต่อไปเรื่อยๆ ถึงสถานะการณ์ภายในประเทศที่ถึงทางตัน..ไม่มีอะไรดีไปกว่าการที่จะหารัฐบาลที่เข้มแข็งเข้ามาบริหารงาน..เพื่อเป็นการลดภาระให้กับซาร์ไปในตัว..และ
            "กรุณาเถอะนะ อลิกซ์..อย่ามัวแต่เจ้าคิดเจ้าแค้นอยู่เลย..ตอนนี้เราต้องผ่อนปรนและหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติของเราก่อนที่มันจะวิกฤติไปมากกว่านี้"

            อลิกซ์สะบัดเสียงใส่ว่า..
            "พูดจาเหลวไหล ไม่ได้เรื่อง นิคกี้คือพระเจ้าแผ่นดิน..เรื่องอะไรที่จะให้คนอื่นมาเอาพระราชอำนาจไปใช้อย่างง่ายๆ "

            "เธอกำลังเข้าใจผิดนะ..นิคกี้ไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ทรงสิทธิโดยเด็ดขาดมาตั้งแต่วันที่สิบเจ็ด ตุลาคม 1905 แล้วนะ..ตอนนี้น่ะ..ไม่มีแล้ว
            พระราชอำนาจอะไรที่เธอว่ามาน่ะ..บางทีอีกสองเดือน..เราอาจจะไม่เหลืออะไรอีกเลยก็เป็นได้แม้แต่พระราชบัลลังก์"

            เท่านี้เอง..อลิกซ์ก็กรีดเสียงใส่ฉัน..ซึ่งฉันก็ตะโกนตอบใส่หน้าไปอย่างสิ้นความเกรงใจ..พอกันที..
            แต่แล้ว..ฉันเริ่มระงับอารมณ์ได้..ปรับเป็นเสียงธรรมดากล่าวต่อไปว่า..
            "จำได้ไหมอลิกซ์..ฉันสู้อุตส่าห์เงียบ..ทนมานานกว่าสามสิบเดือน สามสิบเดือนที่มีแต่ความเละเทะในสภา ในรัฐบาลของเรา..อ้อ..ฉันพูดผิดไป..ในรัฐบาลของเธอต่างหาก..รวมทั้งการเมืองที่มีการแทรกแซงอย่างไม่หยุดยั้งจากเธอและไอ้บ้ารัสปูตินนั่น..ใช่..เธอและนิคกี้อยากจะกุมอำนาจเอาไว้
            ทุกอย่างจึงยุ่งเหยิงอย่างนี้..แล้วไง..พอยุ่งเหยิงจริงๆ ขึ้นมา..ใครกันที่เดือดร้อน..ก็ไม่ใช่พวกฉันและประชาชนหรอกหรือ พวกเราที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานกับความดื้อรั้นบ้าๆ บอๆ ที่ไม่เข้าท่าของเธอ...อย่าหาว่าฉันว่าเลยนะ
            อลิกซ์..เธอไม่มีสิทธิใดๆ ที่จะลากพวกเราไปร่วมในซะตากรรมด้วย
            เธอนี่ช่างเห็นแก่ตัวเสียจริงๆ .."

            อลิกซ์ตอบด้วยเสียงที่เยียบเย็น..

            "ฉันไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก...เธอพูดเกินเลยไปจนทุกอย่างดูน่ากลัว
            จนไร้สติ เอาไว้วันไหนที่เธอสงบสติอารมณ์ได้ เธอก็จะรู้เองว่า..ทุกอย่างที่ฉันทำนั้นมันไม่ผิด"

            ฉันลุกขึ้นทันทีที่เธอกล่าวจบ..เข้าไปจุมพิตที่พระหัตถ์ อลิกซ์นิ่งขึง เย็นชาไม่มีการจุมพิตตอบ..

            จากนั้นมา..ฉันไม่เคยพบกับอลิกซ์อีกเลย

   
Mauve Salon   


           

 

ขณะที่ผลักประตูพาตัวออกไปจากห้องบรรทม หรือห้องม่วง (Mauve Salon) นั้น..ฉันพบว่า องครักษ์คนสนิท Linevich กำลังคุยเล่นคุยสนุกสนานอยู่กับพระราชธิดา ออลก้าและ ทาเทียนา
            ซึ่งทำให้ฉันประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่เห็น"คนอื่น"สามารถเข้าใกล้ในพระราชฐานชั้นในถึงขนาดนั้น..ยังมีอีกคนหนึ่งคือ มาดาม Virouboff ต้นห้องของอลิกซ์ที่เป็นสาวกคนหนึ่งของรัสปูติน ได้นำฉากหนึ่งของตรงนี้ไปเขียนหนังสือชีวประวัติของเธอว่า
            "ซารินาทรงหวั่นเกรงเหลือเกินว่าแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์จะถึงแก่โทสะจนเข้าขั้นทำร้ายพระองค์" ว่าเข้าไปนั่น..แต่ก็ดี..เพราะชาวบ้านชาวช่องเขาจะได้รู้กันไปทั่ว..ว่า..อลิกซ์เองนั้นเป็นคนดื้อด้านขนาดไหน

            วันต่อมา..ฉันและมิชาได้เข้าเฝ้าและสนทนากับซาร์อีกครั้ง..ซึ่งก็เป็นการเสียเวลาด้วยกันทั้งสองฝ่าย ขนาดว่า..เมื่อจบการสนทนาฉันเหนื่อยใจถึงขนาดพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะจากรายงานที่ทำถวายมาจาก Kieff
            หลายสิบหน้านั้น..นิคกี้พูดได้อย่างเดียวว่า.."ขอบใจนะ ซานโดร สำหรับจดหมายที่นายส่งมาให้เรา"

            ที่เมืองหลวง..ความอดอยากที่เกิดจากการสไตร์คได้กระจายไปทั่ว..แถวรอเพื่อที่จะซื้อขนมปังเริ่มยาวขึ้น..และยาวขึ้นเพราะรถไฟจอดสนิทนิ่ง..ธัญญพืชถูกทิ้งให้เน่าเสีย
            กองทัพที่ดูแลรักษาเมือง..ส่วนใหญ่ก็เป็นการเรียกประจำการของเหล่าทหารกองเกินกองหนุน..ไม่มีกำลังพอที่จะรักษาความสงบอะไรได้เลยถ้าหากว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ
            ฉันได้ถามผู้บัญชาการว่า..ท่านน่าจะเอาหน่วยทหารจากแนวหน้าที่มีความสามารถเข้ามาควบคุมเมืองหลวง..คำตอบก็คือ..
            ท่านได้กระทำการไปแล้ว..และ สิบสามกองพลของหน่วยทหารม้ารักษาพระองค์กำลังจะเดินทางเข้ามาประจำกรมในไม่ช้า
            ซึ่งฉันมาทราบทีหลังว่า..มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากสภาให้ระงับการเดินทางของทหารดังกล่าว..และ..ได้รับการสนองจากไอ้พวกเนรคุณในสตาฟวาเสียด้วยซิ

            ฉันได้แต่หวังว่า..ฉันคงจะลืมและลบภาพร้ายๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 1917 ไปได้อย่างหมดใจ เพราะการพบปะกับกลุ่มญาติๆ และเพื่อนฝูงที่รักในเดือนนั้นมันเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิต
            เช่น..พี่ชายใหญ่ นิโคลาส, พี่ชายรอง จอร์ช, น้องเขย มิชา, ญาติๆ เช่น ปอล อเล็กซานโดรวิช และ ดิมิทรี คอนสแตนติโนวิช และ..อีกหลายๆ คน

            พี่ชายรอง..จอร์ช มิเกลโลวิช ในฐานะที่ทำงานใกล้ชิดกับซาร์ในฐานะข่าวกรอง ได้ย้ายจากเคียฟเข้าไปทำงานรับใช้ในสตาฟวา ซึ่งเขาต้องทำงานประสานไปกับกองทัพต่างๆ
            จากข้อมูลของเขาที่ได้มาทำให้ฉันได้รู้ว่า..บ้านเมืองอยู่ในสภาพที่น่ากลัวอย่างที่สุด.. แต่..กองทัพของเราก็พร้อม..

            ในขณะเดียวกันกลุ่มที่จะปฏิวัติก็พร้อมเช่นกัน

            ฉันโหมทำงานอย่างบ้าคลั่ง พยายามที่จะไม่สนใจในเรื่องอื่นๆ กองบินของเราอยู่ในสภาพพร้อมปฏิบัติงาน เพียงแต่รอสัญญาณสั่งการเท่านั้น ทหารอากาศของเราอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์เต็มร้อย
            แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า..เมื่อสามสิบเดือนที่แล้ว..ที่ฉันมีเพียงออฟฟิซเล็กๆ ที่ดัดแปลงมาจากขบวนรถไฟเก่าๆ เพียงตู้เดียวแถมยังใช้เป็นที่พำนักพักพิงอีกส่วนหนึ่งเสียด้วย
            บัดนี้..มันได้กลายเป็นฐานทัพอากาศและโรงเรียนการบินที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งมีโรงงานประกอบเครื่องบินอีกสามโรง (สำหรับประกอบชิ้นส่วนเครื่องบินที่ได้รับมาจากอังกฤษและฝรั่งเศส)
            แต่แล้ว..เราก็ได้รับข่าวร้าย..นั่นคือโรงงานผลิตอาวุธในเมืองหลวงได้ก่อการสไตร์ค นั่นหมายถึงการขาดแคลนอาวุธและกระสุนปืน คนงานอ้างว่า..ทำงานไม่ได้ เพราะหิว..บ้านเมืองขาดขนมปัง
            ซึ่งมันเป็นเรื่องไม่จริง..เป็นข้ออ้างอย่างหน้าด้านๆ การขาดแคลนนั้นเกิดมาจากการเล่นแผนสกปรกของใครบางคนในการบริหารจัดการ ซึ่ง..คนคนนั้นได้ใช้เกียร์ว่างให้เป็นประโยชน์
            ชั่วโมงหนึ่งต่อมา..ญัตติของการขาดแคลนขนมปังนั้นกำลังจะถูกนำเข้าสู่สภา..อันจะเป็นเหตุให้ฝ่ายค้านได้โจมตีอย่างถนัดใจ
            วันจ่อมา..ฉันส่งโทรเลขไปหานิคกี้และบอกว่า..จะไปสมทบด้วยที่สตาฟวา..จะอยู่เคียงข้างไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จากนั้นก็ได้โทรศัพท์ไปหาเซอเกน้องชาย..ได้รับคำบอกเล่ามาว่า
            "เมืองหลวงกำลังวุ่นวายเลยพี่..ผู้คนกำลังเข้าทำร้ายกันอย่างบ้าคลั่ง..ดูเหมือนว่าพวกทหารกองเกินนั่นกำลังเข้าใช้กำลังกับพวกที่ชุมนุม"
            "แล้วทหารรักษาพระองค์สิบสามกองพลที่ว่าจะมาน่ะ ไปไหนหมด?" ฉันถามด้วยความตระหนก
            "ไม่รู้ใครไปสั่งระงับการเดินทาง..พวกทหารที่ว่านั้นยังอยู่ที่แนวหน้าเลยพี่"
            ขณะเดียวกันนั่น นิคกี้ได้ตอบโทรเลขของฉันมาว่า..
            ขอบคุณมาก ซานโดร..แต่เอาเป็นว่า..ถ้าเมื่อไหร่ที่เราต้องการตัวนายแล้ว..เราจะบอกไปก็แล้วกัน..ลงท้าย..รัก..ลงพระนาม นิคกี้
            สรุปว่า..ซาร์อยู่โดดเดี่ยวคนเดียวที่สตาฟวา มีเซอเกน้องชายของฉันเพียงคนเดียวที่คอยถวายรายงาน..เหล่าพวกนายพลทั้งหลายที่อยู่ล้อมรอบนั้นได้หันหลังให้กับซาร์อย่างสิ้นเชิง
            ฉันบอกกับตัวเองว่า..จะต้องไปที่สตาฟวาโดยด่วนไม่ว่าจะทรงอนุญาตหรือไม่..ภาพของผู้คนต่างๆ ที่ใกล้ชิดกับซาร์ตอนนี้..ล้วนแล้วแต่คือกลุ่มไอ้พวกทรยศ..หักหลังแทบทั้งนั้น
            แม้แต่เสียงโทรศัพท์ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้คุยกับเซอเก..ก็แทบฟังไม่รู้เรื่องเพราะมันหึ่งเสียจนผิดปรกติ
            คืนนั้น..ฉันใช้เวลาอยู่ที่พระตำหนักของซารินาพระมารดาจนถึงเที่ยงคืน พระองค์ทรงวิตกกังวลไม่น้อยไปกว่าฉันเลย เหล่าเพื่อนฝูง ข้าทาสบริวารที่เคยไว้ใจได้ก็เริ่มหายๆ หน้ากันไป
            พอรุ่งสาง หกนาฬิกา..ฉันได้ต่อโทรศัพท์ไปหาเซอเกอีกครั้ง..ได้ข่าวว่า
            "นิคกี้เข้าไปในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืน แต่..หัวหน้ากองรถไฟได้รับคำสั่งจากสภาให้หยุดขบวนรถของพระองค์ไว้ที่สถานี Dno และได้สั่งให้ขบวนรถสับรางไปที่ เมือง Pskoff
            นิคกี้อยู่คนเดียวนะพี่ในขบวนนั่นน่ะ พวกสมาชิกสภาจะไปพบกับเขาที่นั่น..เพื่อที่จะยื่นโนติ๊ส (ให้สละราชบัลลังก์) และกลุ่มทหารที่เมืองหลวงได้เข้าไปรวมตัวกันกับม๊อบแล้ว"


            จากนั้น..เซอเกก็รีบวางสายไป..

    


            ข่าวร้ายนี้ได้สะพัดไปอย่างรวดเร็ว..และเป็นอีกวันหนึ่งที่ฉันและพระขนิษฐาออลก้าได้แต่นั่งมองตากัน..ไม่รู้ว่าจะทำประการใด ใจมีแต่ความเป็นห่วงบ้านเมือง พี่น้อง..
            ไหนจะพระราชวงค์ทั้งครอบครัวอีกเล่า..
            นายทหารคนสนิทของฉันได้เข้ามาปลุกตอนย่ำรุ่ง..หน้าซีดปากเขียวมาเชียว..เขายื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ฉัน..อ่านได้ว่าเป็นแถลงการณ์สละราชบัลลังก์ของนิคกี้อีกทั้งเป็นการยื่นเจตนารมณ์ให้ตกไปเป็นของ มิชา..พระอนุชา
            โดยเลี่ยงลำดับข้ามขั้นไปแทนที่จะเป็นอเล็กเซ พระโอรส
            ฉันลุกขึ้นนั่งเอนๆ อย่างละเหี่ยใจ..นี่มันเสียสติกันไปหรือเปล่า..
            มันคิดกันได้ยังไงว่า..พระเจ้าแผ่นดินต้องทรงสละราชสมบัติ สละราชบัลลังก์ เพราะเพียงแค่ปัญหาขาดแคลนขนมปังจนเกิด
            การก่อการจลาจลในเมืองหลวง..
            นิคกี้ก็พลอยบ้าไปเขาด้วย..ตัวเองมีทหารและไพร่พลอยู่ในมือถึงสิบห้าล้านคน ทำไมถึงได้ยอมง่ายดายเช่นนั้น..
            (ปัญหานี้เป็นเรื่องที่"คาใจ"และหาคำตอบไม่ได้มาจนทุกวันนี้..)

            ฉันรีบลุกขึ้นแต่งตัวเพื่อที่จะเข้าเฝ้าซารินาพระมารดาเพื่อที่จะถวายรายงานให้ทราบถึงข่าวร้าย ข่าวนี้..ทำให้ดวงพระทัยแทบแตกสลายลงสิ้น
            จากนั้น..เราทั้งหมดได้สั่งเตรียมขบวนรถไฟเพื่อที่จะไปยังสตาฟวาในบ่ายวันนั้น..และ..ข่าวใหม่ที่มาคือ ซาร์..ได้รับ"อนุญาต" ให้เสด็จกลับไปที่สตาฟวา เพื่อเป็นการอำลา !!
            ซึ่ง..ขบวนรถของเราได้เทียบท่ารับเสด็จที่สถานี Mogileff อันเป็นสถานีที่จัดถวายเฉพาะสำหรับการเสด็จ รถยนตร์ที่ประทับของซาร์ก็มาถึงในนาทีต่อมา..เขาเดินมาที่ชานชาลา
            กล่าวคำสวัสดีกับนายทหารคอสแซคสองนายที่ตามขบวนเสด็จมาด้วยที่ยืนประจำยามที่หน้าประตู และก้าวเข้ามาข้างในโบกี้ หน้าตาออกซีดเซียวนิดหน่อย จากนั้นก็ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงในการสนทนาเป็นการส่วนพระองค์กับพระมารดา
            ซึ่งไม่มีใครได้ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร พระองค์ไม่เคยตรัสให้ทราบ

            แต่เมื่อฉันได้ถูกเรียกตัวให้เข้าไปร่วมสนทนานั้น ก็พบว่าซารินาพระมารดาได้ประทับเอนอยู่บนพระเก้าอี้ ทรงกรรแสงออกมาเสียงดัง นิคกี้ยืนสงบนิ่ง พระเนตรหลุบลงต่ำ และ..ทรงพระโอสถมวนอย่างไม่หยุดเช่นเคย
            ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีมากกว่าการเข้าไปสวมกอด..ปลอบพระทัย..การนิ่งของซาร์นั่นคือการตัดสินพระทัยเด็ดขาดตามข้อความของแถลงการณ์สละราชสมบัติ
            ไม่ได้ทรงตำหนิพระอนุชามิชาเลยแม้แต่นิด..ที่..ปฏิเสธเด็ดขาด..ไม่ขอรับการเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ต่อไปโดยไม่สนพระทัยเลยว่า แผ่นดินจะว่าง..
            "มิชาไม่น่าจะใช่คนแบบนี้นะ..ก็คงมีคนไปยุยงปลุกปั่นแน่นอน" ซาร์กล่าวขึ้นโดยสงบในที่สุด..

        


            มิชา..Grand Duke Michael Alexandrovich of Russia

 
 


            ห้องที่ทรงโปรด Mauve Salon ที่ซารินาทรงจัดแต่งด้วยองค์เอง ใช้สไตล์แบบวิคตอเรียนล้วนๆ และสีโทนที่ใช้คือสีม่วงอ่อนอมแดงจางๆ เป็นห้องที่ใช้พักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์

             
 
            และมุมเดียวกับข้างบน..ที่ทรงใช้เป็นที่พักนอน เอนพระองค์ ตามที่ซานโดรได้เล่ามา..คุณผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพตามไปได้เลย..

            ในภาพ..คือขณะที่กำลังทรงพักผ่อนอิริยาบถ..

                
             
             



            นั่นซินะ..ที่นิคกี้ได้เปรยออกมาอย่างสิ้นหวัง ที่ว่า
            ""มิชาไม่น่าจะใช่คนแบบนี้นะ..ก็คงมีคนไปยุยงปลุกปั่นแน่นอน"

            ฉันเองได้ฟัง..ก็ยังแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่า มันได้ออกมาจากปากของชายเป็นเจ้าเหนือหัวของประเทศที่ใหญ่ขนาดกินพื้นที่หนึ่งในหกของแผ่นดินในโลกที่กำลังยอมแพ้อย่างหมดรูปให้กับไอ้พวกม๊อบขี้เมาที่มีกำลังเพียงหยิบมือฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก อัดอั้นไปหมด

            อึดใจแห่งเวลาแห่งความเจ็บปวดนั้นได้ผ่านไป นิคกี้ได้เปิดใจขึ้นว่า
            เหตุผลนั้นมันมีอยู่สามอย่าง..
            หนึ่ง..ไม่อยากให้ประชาชนลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันตาย
            สอง..ต้องการให้ทหารแยกตัวออกจากการเมืองโดยเด็ดขาด หันไปปฏิบัติภาระกิจตามหน้าที่ เพื่อที่จะเข้าช่วยในการสงครามได้อย่างเต็มที่
            สามเชื่อว่ารัฐบาลสำรอง"เฉพาะกิจ"ที่สภากำลังจะจัดตั้งขึ้นมาตามความต้องการของประชาชนนั้น คงบริหารประเทศอย่างเต็มกำลังสามารถ ซึ่งอาจจะดีกว่าในอดีตที่พระองค์ได้ทำมา..

            สามข้อที่ว่ามานั่น..ไม่ได้ประทับใจฉันตรงไหนเลย เพราะเพียงสองวันแรกที่ประชาชนได้รับสิทธิและเสรีภาพฉันก็เริ่มมองเห็นแล้วว่า..เรื่องที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาฆ่ากันตายนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน การขัดแย้งมันได้เกิดขึ้นไปทั่วในทุกหมู่ชนชั้น
            อะไรไม่ว่า..ก่อนหน้านี้ นิคกี้ได้ทำส่งโทรเลขไปสอบถามความเห็นจากกลุ่มนายพลคนใกล้ชิด..ว่า ควรจะทรงเลือกทางไหน
            ปรากฏว่า..เหล่านายพลตัวเด่นๆ ที่ว่าภักดีจนยอมถวายชีวิตเป็นราชพลี
            อย่าง..Brussiloff, Alexeieff และ Rouzsky ต่างเห็นดีด้วยต่อการที่จะลงจากบัลลังก์..
            และที่น่าเจ็บปวด..นั่นคือ รายชื่อหนึ่งในลิสต์..คือ แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา (Grand Duke Nicholas Nicholaevich) ญาติสนิทกันแท้ๆ


            หลังจากนั้นก็เป็นการร่วมโต๊ะเสวยกลางวัน.ที่ฉัน"ดูเหมือน"พอจำได้ว่ามี
            ผู้ร่วมโต๊ะคือ ท่านบารอนเฟรดเดอริคคนหนึ่งกับกลุ่มนายทหารคนสนิทของซาร์อีกหลายนาย..ที่ต่างเสแสร้งเล่นละครกันอย่างสุดขีด
            ที่ต้องบอกว่า"ดูเหมือน"นั้น เพราะในตอนนั้น บอกตรงๆ ว่า หูตาพร่าพรายไปหมด จำได้แต่พระพักตร์ที่อาบไปด้วยพระอัสสุชลของซารินาพระมารดา
            กับบุหรี่ที่คีบอยู่ในระหว่างนิ้วมือของนิคกี้ที่เปลี่ยนมวนแล้ว มวนเล่า..
            อาหารกลางวันมื้อนั้น..เปรียบได้ราวกับเป็นมื้อนรก..ที่ฉันเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ..ร้าวรานจนสมองมึนงง หูอื้อ กินไปอย่างไม่รับรู้รสใดๆ

            ช่วงบ่าย..ฉับพบกับเซอเกน้องชายที่กำลังอ่านนโยบายฉบับต้นๆ ของแผนงานในรัฐบาลสำรองเฉพาะกิจที่ว่าด้วยการทำงานของกองทัพ..ที่วางไว้ว่า
            ทหารในทุกเหล่าทัพ..จะได้รับสิทธิให้จัดตั้งคณะกรรมการของตัวเองเพื่อที่จะได้มาใช้สิทธิใช้เสียงตัวแทนร่วมกับคณะรัฐบาลแห่ง"โซเวียต"เพื่อที่จะเฝ้าดูและติดตามผลงานของเหล่านายทหารชั้นผู้นำว่า..ใครที่สมควรจะเลี้ยงไว้ หรือ ปลดไป เท่านั้นไม่พอ..ในข้อเดียวกันนี้..เริ่มด้วยการ
            "ยกเลิก" กฏระเบียบที่เคร่งครัดต่างๆ ออกไปจนหมด รวมไปถึงการทำความเคารพนายทหารที่ยศสูงกว่าด้วย..
            เซอเกถึงกับหน้าเสีย..เขาครางออกมาว่า..
            "หมดกัน..กองทัพที่เกรียงไกรของรัสเซียได้ถึงแก่คราวดับสูญกันคราวนี้ พี่รู้มั๊ยว่า อะไรที่ได้เกิดขึ้นตอนนี้มันลามปามไปถึงว่า..ที่ป้อมกำลังของเราที่
            Vyborg เจ้าพวกทหารมันได้จับผู้บัญชาการมาฆ่าทิ้งไปแล้ว ที่อื่นๆ ก็กำลังเอาตามอย่างกัน คอยดูซิ"

            ฉันและเซอเก ปักหลักอยู่ที่สตาฟวาไปอีกสามวันหลังจากนั้น..มันเป็นเวลาของสามวันที่ทุกนาทีช่างเต็มไปด้วยความรันทดที่แสนทุกข์ทรมาน

       
            เหตุการณ์หลังจากที่ซาร์ได้ทรงประกาศลงจากบัลลังก์

            วันแรก..

            นายพลอเล็กเซียฟได้เชิญพวกเราให้ไปร่วมรับฟังการประชุมที่หอประชุมศูนย์บัญชาการ (สตาฟวา) เพื่อฟังพระแถลงการณ์ของซาร์กับเหล่านายทหารผู้ที่"เคย"อยู่ใต้บังคับบัญชา
            สิบเอ็ดโมง..หอประชุมนั้นแน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ยืน..นิคกี้เสด็จมาถึงด้วยสีพระพักตร์ที่ราบเรียบ..มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่มุมพระโอษฐ์
            พระองค์ได้กล่าวขอบพระทัยต่อนายทหารทั้งหมด อีกทั้งขอร้องให้ทำงานต่อไปอย่างเต็มกำลังสามารถ (ในรัฐบาลใหม่) ทรงขอให้ลืมเรื่องบาดหมางทั้งหมดที่เคยมีมา หันหน้าเข้าสู่การสมานฉันท์เพื่อที่ประเทศจะได้ก้าวเดินต่อไปได้ (ไม่ว่าจะชื่ออะไรก็ตาม) และเพื่อที่จะได้นำชัยชนะมาให้กับมาตุภูมิ (เพราะกำลังอยู่ในระหว่างสงคราม)

            สิ้นพระกระแสรับสั่ง..เสียงเปล่งตะโกน"ทรงพระเจริญ"นั้นดังกึกก้องไปทั่วอย่างที่ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนในช่วงยี่สิบสามปีที่ผ่านมา (หมายถึงในช่วงที่นิคกี้ได้ครองราชย์) นายทหารระดับอาวุโสชั้นสูงสุดต่างน้ำตาไหลซึม
            ตอนนั้น..ถึงแม้ว่าจะมีกลุ่มนายทหารกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง..กล้าก้าวออกไปพร้อมทั้งถวายฏีกา..ขอให้ทรงทบทวนการตัดสินพระทัยใหม่ ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด เพราะกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ
            ซาร์ค้อมพระเศียรลงคำนับ..และ..เสด็จออกไปจากที่ประชุม

            จากนั้น..ไม่ว่าจะเป็นการพบปะระหว่างเรา..ที่โต๊ะเสวยกลางวัน หรือมื้อค่ำ
            การสนทนามันช่างฝืดไปหมด..ไม่รู้จะคุยกันอะไรกันนอกจากเรื่องสมัยเด็กๆ
            ที่เรามีแต่ความสนุกสนานที่พระราชวังลิวาเดีย..

            กลางคืน..ฉันก็ได้แต่นอนฟังเสียงประชาชนโห่ร้องด้วยความยินดีปรีดา
            บ้านเมืองจัดงานรื่นเริงต้อนรับชีวิตใหม่..มองไปที่ขบวนรถของซารินาพระมารดา
            ก็เห็นติดไฟสว่างทั้งคืน..

            รัฐบาลสำรองเฉพาะกิจยังคงไม่ได้ลงมติกันเอกฉันท์ว่า..สมควรจะให้ซาร์เสด็จกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ซาร์สโก-เซโลหรือไม่..
            นิคกี้เองก็ทุรนทุรายด้วยความเป็นห่วงอลิกซ์และลูกๆ ที่อยู่กันตามลำพัง
            อีกทั้งทราบข่าวมาว่าพระธิดาทั้งสี่นั้นกำลังออกหัดพร้อมกันทั้งหมด


            วันที่สอง..

            นายพลอเล็กเซียฟได้เชิญพวกเรา (เหล่านายทหารรักษาพระองค์) ไปทำการให้สัตย์ปฏิญาณต่อรัฐบาลใหม่
            ที่ตัวนายพลเองก็มีทีท่าขัดเขินๆ ต่อพวกเราพอสมควร..
            ต่อการประกาศของรัฐบาลใหม่ที่ได้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพเนื่องจากความดีความชอบที่ได้ช่วยอำนวยความสะดวกให้คณะก่อการปฏิวัติจนสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี

            ด้านหน้าของที่ประชุม..เป็นการยืนเรียงแถวของเหล่าทหารรักษาพระองค์จากทุกหน่วยเหล่าในเครื่องแบบเต็มยศ รวมทั้งเหล่าทหารอากาศของฉัน

            พวกเรายืนเรียงแถวอยู่ข้างหลังของนายพลอเล็กเซียฟ..ที่ฉันไม่เข้าใจว่า
            ในสายตาของคนภายนอกจะคิดกันอย่างไร..แต่..สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องแปลก..ที่..ภาพนั้นมันเป็น
            ไอ้คนที่มันทรยศต่อคำสัตย์ปฏิญาณของมันเองแท้ๆ ..กลายเป็นคนที่มานำพวกเราให้กล่าวคำสาบานต่อหน้ามัน
            มีพระมากล่าวสวดนำ..ตามด้วยเสียงเพลงมาร์ช..ที่ฉันไม่อยากได้ยินเพราะ
            นี่คือคำกล่าวสวดครั้งแรกในรอบสามร้อยสี่ปีของรัสเซียในราชวงค์
            โรมานอฟ ที่คำสวดนั้น..ไม่มีการเอ่ยถึงพระมหากษัตริย์
            ใจฉันหวนไปคิดถึงแต่นิคกี้..ที่ได้แต่ประทับอยู่ในห้องมิได้เสด็จออกมา
            เชื่อว่า..นิคกี้เองก็คงเจ็บปวดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเท่าไหร่..

            ในที่สุด..รัฐบาลใหม่ก็ได้อนุญาตให้ตามพระประสงค์ พร้อมทั้งได้จัดขบวนรถให้ในวันรุ่งขึ้น เวลาบ่ายสี่โมงที่พระองค์และเซอเกจะเสด็จกลับสู่เมืองหลวง ส่วนฉันและซารินาพระมารดาก็จะไปที่เคียฟ

            ส่วนที่ร้าวรานใจที่สุดในครั้งนี้..นั่นก็คือ การหายหน้าหายตาไปของเหล่าพระราชวงค์ใกล้ชิดคนอื่นๆ ที่ไม่มีใครกล้าโผล่หน้ามาที่สตาฟวาสักคน
            ไม่รู้ว่าจะด้วยสาเหตุที่ว่าไม่กล้ามาเพราะกลัวว่าจะโดนรัฐบาลใหม่หมายหัว หรือ จะด้วยถูกสั่งห้ามไม่ให้มา..

            จนบัดนี้..ฉันก็ยังหาความจริงไม่ได้

 




เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ โดย วิวันดา

เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเก้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเจ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหนึ่ง



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker