dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เชลย..............ตอนแปด จบบริบูรณ์



            เพื่อนบ้าน ไฮซ์ ชเลเกล แนะนำเราด้วยความหวังดีว่าควรจะออกไปทานอาหารนอกบ้านเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองบ้าง เพราะไหนๆก็ได้รับบัตรปันส่วนเพิ่มขึ้นมาแล้ว
            อีกทั้งฉันเพิ่งได้รับของขวัญจากคนไข้ในความดูแลที่ได้ส่งไวน์ Moselle มาให้ นับว่าเป็นสิ่งที่วิเศษสุดจริงๆในยามขัดสนเช่นนี้
            คุณๆคงสงสัยว่า..ฉันมาใช้ชีวิตอยู่ในแวดวงพวกนิยมนาซีได้อย่างไร จึงต้องขอตอบว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดในชีวิตจริงๆ และ ไม่พยายามคิดให้มากไปกว่าที่จำเป็น
            การที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเยอรมันยามนั้น หมายถึง ในฐานะของชาวอารยัน หมายถึงว่า การที่ต้องอยู่ในวงสังคมของนาซี คิดอ่านเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
            เพราะคนรอบข้างทั้งหมดคือ นาซีล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ก็ตาม
            สำหรับฉัน..เรื่องที่จะแยกแยะไปว่าเพื่อนอย่างไฮล์ดี้ คือ นาซีชั้นดี หรืออย่างนายทะเบียนนั่น คือ นาซีชั้นเลว ก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเพื่อนชั้นดีที่ว่านั่น
            อาจจะมีพิษมีภัยต่อตัวได้ง่ายๆ ส่วนชนิดที่คิดว่าแย่แสนแย่นั้นอาจจะช่วยชีวิตเราได้อย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้

            สามีหมาดๆใหม่ๆของฉันนั้นเล่า ก็ยังแยกชนิดไม่ค่อยถูกเช่นกัน บางทีเขาก็ดูเหมือนกับเป็นนักลุยแสวงโชค
            บางทีก็ดูเหมือนคนที่คอยคิดแต่เรื่องฝันเฟื่อง เพ้อเจ้อไปได้เรื่อยๆ
            อย่างในคืนวันแต่งงาน ขณะที่ฉันกำลังยืนล้างจานอยู่นั้น เขาเดินเข้ามาโอบจากข้างหลัง ใช้มือสัมผัสเบาๆไปที่บริเวณช่วงท้อง และบอกอย่างมั่นใจว่า
            "ลูกจะต้องเป็นผู้ชายแน่ๆเลย ผมจะตั้งชื่อให้เขาว่  เคล้าส์ (Klaus)"
            เขาเคยพูดเสมอว่า เลือดยิวนั้นมักจะแรงกว่าเลือดของมนุษย์สายพันธ์อื่นๆ และไม่ว่าจะผสมกับอะไรก็จะโดดเด่นนำหน้าเสมอ
            ข้อความทั้งหมดนี้มาจากข้อมูลโปรปะกันดาของนาซีล้วนๆ
            แต่ เวอร์เน่อร์ได้หลงเชื่อตามอย่างหมดใจ และตราบใดที่ ลูกที่ออกมาเป็น"ผู้ชาย"ตามสั่งแล้วละก้อ เลือดยิวหรือไม่ยิว เขารับได้ทั้งนั้น (เขาว่า)

        

            วันที่ไปตรวจสุขภาพครรภ์..หมอถึงกับส่ายหน้าหลังจากที่ตรวจเสร็จ เพราะอาการของโรคลิ้นหัวใจรั่วที่ฉันเคยเป็นมาก่อน และลืมไปด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นมีโรคประจำตัวอยู่
            หมอบอกว่า "เสี่ยงมากเลยนะ คุณ หัวใจคุณไม่ค่อยดี ไม่ควรที่จะมีครรภ์ แต่..ในเมื่อคุณก็ท้องขึ้นมาแล้ว ผมจะจัดยาให้ไปบำรุง และ จะเขียนใบลาให้หยุดทำงานไปเลย
            จนกว่าจะคลอด"
            ใครต่อใครคงคิดว่า นั่นคือข่าวดี..แต่ไม่ใช่เลย เพราะนั่นหมายถึงเรื่องบัตรปันส่วนและเงินค่าขนมที่ได้รับจากสภากาชาดก็ต้องหดหายไปด้วย และฉันจะกินอะไรเข้าไปในระยะหกเดือนที่ต้องคอยนั่น
            บัตรปันส่วนที่ว่านั่น หมายถึงว่าฉันจะต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนไปแสดง และ บัตรนั้น..ต้องไปขอกับสำนักงานที่เกี่ยวข้อง (ตอนนั้นคือ กระทรวงเศรษฐการ)
            ฉันจะไปขอรับได้อย่างไรที่จะรอดหูรอดตาเกสตาโปไปได้
            แต่เพื่อลูก...ฉันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว นอกจากต้องภาวนาขอพรจากพระเจ้า..ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีเถิด

            นี่คือครั้งแรกที่ฉันได้บรรจงแต่งกายให้ดูดี ภูมิฐานให้มากที่สุด ต่อการไปปรากฏร่างที่สำนักงานทะเบียนบัตร ที่ต้องไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่หญิงร่างอ้วนกลม
            หลักฐานที่ฉันได้ส่งให้ นั่นคือ บัตรเจ้าหน้าที่ของสภากาชาด และจดหมายจากแพทย์ ในการยื่นความจำนงขอบัตรปันส่วนอาหาร
            หล่อนคนนั้นได้ไล่หาชื่อฉันไป..ตามทะเบียนราษฏร์ที่ซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ ซ้ำแล้วซ้ำอีกสามสี่ครั้ง ก่อนที่จะเงยหน้าบอกว่า
            "ไม่มีในนี้นี่"
            "คงต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งละค่ะ" ฉันยิ้มๆน้อยๆ ทำท่าทางมั่นใจ และ ใสซื่อ
            เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้น ทำท่าเหมือนนึกขึ้นมาได้ พูดว่า..
            "เออ.จริงซินะ ยังมีบัญชีรายชื่อของคนที่ย้ายมาใหม่อีกเล่มหนึ่ง ยังไม่ได้เอามาเข้าเล่มรวมกัน คงต้องอยู่ในนั้นแน่ๆ"
            ว่าแล้ว เธอรีบกระวีกระวาดไปค้นดูในบัญชีอื่นทันที ค้นแล้ว..ค้นอีก..ก็ยังไม่พบ
            ฉันเริ่มสังเกตเห็นไรเหงื่อเม็ดเล็กๆที่ผุดขึ้นมาประปรายตามใบหน้าของเธอ ด้วยอาการที่หายใจไม่ทั่วท้อง..จิตใจที่ประหวั่นอย่างไม่แพ้กัน หากแต่ยังต้องคงสีหน้าให้ราบเรียบ ไม่ให้เป็นพิรุธ
            "บางทีลองดูบัตรของสามีดิฉันซิคะ อยู่ด้วยกันหรือเปล่า?" ฉันฝืนใจให้ความเห็น
            ซึ่งแน่นอนว่า เธอพบกับบัตรของเวอร์เน่อร์ และ ถ้าเดาไม่ผิด เธอคงต้องมีความคิดว่า เจ้าหน้าที่อาสากาชาด..ภรรยาของนายช่างโรงงานเครื่องบิน สมาชิกพรรคนาซี จะไม่มีบัตรประจำตัวได้อย่างไร
            เธอจึงพูดว่า.."สงสัยอะไรคงต้องผิดพลาดแน่ๆเลย..เอางี้..ในฐานะที่บัตรของคุณอาจสลับที่ไปที่ไหนไม่รู้นั้น ฉันจะออกบัตรอีกใบให้ก็แล้วกัน"
            ว่าแล้ว..บัตรใบใหม่ ในนามว่า Christina Maria Margarethe Vetter ก็ลอยเข้ามาสู่ฉันอย่างไม่คาดฝัน
            ซึ่ง..ฉันได้พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้เกิดอาการลิงโลดออกมา เพราะ บัตรใบนี้ใบเดียว จะทำให้ฉันและลูกอยู่รอดไปจากการอดอยากและ จากเงื้อมมือของเกสตาโปโดยเด็ดขาด

      

            ในเดือนเมษายน เวอร์เน่อร์ต้องออกเดินทางบ่อยๆ เนื่องจากต้องไปหาวัสดุในการประกอบเครื่องบิน เพราะ เส้นทางลำเลียงวัตถุดิบที่เคยส่งมาให้เสมอนั้น ถูกขัดขวางโดยการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตร
            ทุกครั้งที่เขากลับถึงบ้าน ก็มักอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย
            ฉันเริ่มรู้สึกเจ็บท้องจี๊ดๆ ลุกขึ้นเดินไปรอบๆห้อง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ปลุกเขา จนเวลาล่วงเลยไปกว่าห้าทุ่ม เห็นทีจะทนไม่ไหว จึงต้องไปกระซิบบอกเขาเบาๆว่า
            "สงสัยจะคลอดแล้วละ..เจ็บท้อง"
            "เออ..เหรอ..เดี๋ยวนะจะอ่านคู่มือให้ฟัง เออ..เขาว่า อย่างแรกเลย ความเจ็บปวดจะเริ่มแผ่กระจายอย่างช้าๆ และทารกจะเริ่มเปลี่ยนอิริยาบท.."
            "โอย..รู้แล้ว เรื่องนั้นน่ะ ไม่ต้องมาสาธยาย..รีบไปโรงพยาบาลกันเถอะ"
            เราสองคนพากันเดินดุ่มๆไปบนถนนสายเปลี่ยวแห่งบรันเดนเบอร์ค ฉันต้องเกาะแขนเขาไว้ตลอดเวลา และกว่าจะถึงโรงพยาบาลเราใช้เวลาร่วมชั่วโมง เพราะฉันค่อยๆก้าวไปอย่างต้วมเตี้ยม ระมัดระวังอย่างที่สุด
            เมื่อถึง..ฉันได้ถูกต้อนไปรวมกับคนไข้ใกล้คลอดรายอื่นๆในห้องรวมห้องใหญ่..ฉันได้ยินเสียงแพทย์พูดว่า
            "คอยสักพัก ค่อยให้ยากล่อมประสาท"

            ตอนนั้น...ฉันกำลังพะวงอยู่กับอาการปวดจนแทบไม่ได้คิดตาม แต่สมองฉุกคิดถึงเรื่องการ"การเพ้อหลังคลอด"ขึ้นมาได้ ที่เคยได้ยินมาจากการที่ทำงานเป็นอาสากาชาด
            ว่า..ทุกอย่างในจิตใต้สำนึกจะออกมาหมด
            แล้ว..ในสภาพอย่างฉัน..คำว่า ยิว..คริสตัล..หรือ บทสวดฮีบรู อาจจะออกมาเป็นชุดก็ได้ใครจะไปรู้
            และถ้าพลาด..หมายถึงอันตรายจะมาสู่เพื่อน..และบุคคลผู้มีพระคุณอีกหลายต่อหลายคน ฉันจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกอย่างหนึ่งที่ผุดคิดขึ้นมาได้คือ ในโบราณกาลผู้หญิงเราก็ไม่เคยใช้ยาช่วยคลอด ทุกคนคลอดกันเองแบบธรรมชาติทั้งนั้น ทำไม..ฉันจึงจะเผชิญหน้ากับมันไม่ได้เล่า?
            เมื่อนางพยาบาลเดินเข้ามาพร้อมกับเข็มฉีดยาในมือ ฉันรีบปฏิเสธเสียงหลงว่า
            "ไม่ต้องค่ะ..ดิฉันจะคลอดแบบธรรมชาติ"
            นางพยาบาลคนนั้นไม่ได้โต้แย้งอะไร เธอเดินกลับไปพร้อมกับเข็มฉีดยานั่นอย่างไม่แคร์ เพราะตราบใดที่ฉันไม่แหกปากตะโกนโวยวาย พวกเธอก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว
            และ..นั่นคือบทเรียนที่ได้สอนให้ฉันได้รู้ซึ้งว่า ตลอดเวลาของการทนทรมานที่เล่ามาทั้งหมดในชีวิต ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่อยากตายมากที่สุด เท่ากับครั้งนี้..
            ในที่สุด..เช้าของวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันอีสเตอร์ 9 เมษายน 1944 ลูกได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัย เธอเป็นลูกสาวที่มีหน้าตาน่ารัก จิ้มลิ้มไปหมด
            น้ำตาที่ไหลพรากด้วยความปิตินั้น บังเกิดขึ้นทันทีที่ได้เห็นหน้าลูกเป็นครั้งแรก ฉันได้จูบพรมไปที่นิ้วมือนิ้วเท้าน้อยๆอย่างสุดแสนรักใคร่
            แต่ปากก็บ่นกับนางพยาบาลว่า
            "สามีของฉันอยากได้ลูกชายค่ะ คงผิดหวังทีเดียวที่ทราบ"
            "แล้วจะให้ทำอย่างไรล่ะคุณนาย..จะให้ยัดกลับไปใหม่ม๊ะล่ะ..เผื่อว่าจะเปลี่ยนเพศได้ นี่..บอกกับสามีของคุณนะว่า การมีลูกที่แข็งแรง สมประกอบนั้นถือว่า
            เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระเจ้าได้ประทานมาให้แล้ว" และเธอต่อด้วยว่า
            "อ้อ..อย่าลืมบอกเขาด้วยล่ะ ว่าผู้ชายต่างหากที่จะประกาศิตในเรื่องเพศของลูกได้จะให้เป็นชายหรือหญิง ถ้าไม่ได้ดังใจละก้อ มันเป็นความผิดของเขาคนเดียว"
            ฉันมองวงหน้าของทารกในอ้อมกอดด้วยความชื่นใจ..

            แต่แล้ว..เสียงหวอเตือนภัยได้ก้องกังวานขึ้น ฝูงบินทิ้งระเบิดของอเมริกาที่แห่กันมาแบบตาข่ายคลุม ที่ไม่จำกัดว่าจะทิ้งทุ่นแค่ที่เบอร์ลิน หรือ พ๊อตดัมเท่านั้น
            เพราะคราวนี้มันเลยเถิดมาถึงที่ บรันเดนเบอร์คด้วย
            ความโกลาหลวุ่นวายได้บังเกิด คนที่เดินได้ต่างก็วิ่งแข่งกันไปที่หลุมหลบภัย ที่เหลือ ก็จะถูกเข็นทั้งเตียงไปเรียงรวมกันอยู่ในใต้ถุนตึกอับๆ
            โชคดีที่ตอนนั้นลูกได้อยู่ในอ้อมอกของฉันที่ได้กอดเธอไว้อย่างแนบแน่น
            ทุกคนนิ่งเงียบอยู่ในความมืด..ด้วยจิตใจที่ประหวั่นพรั่นพรึง


            ในความเงียบนั้น
            ฉันได้แต่นึกก่นด่าตัวเองว่า.."อีบ้าเอ๋ย..ทำไมถึงสิ้นคิด โง่เง่าอย่างนี้ ทำไมถึงได้ตัดสินใจมีลูกออกมาให้เผชิญหน้ากับความชั่วร้ายอย่างนี้ ดูซิ ถ้าไม่ตายเพราะโดนระเบิด
            เป็นจุลก็อาจตายเพราะนาซีมาลากตัวไปฆ่าก็ได้
            ตัวเราตายนั่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่ใครเล่าจะเลี้ยงดูแม่หนูต่อไป.."
            ฉันคิดโทษตัวเองอย่างไม่เป็นส่ำ กว่าเวอร์เน่อร์จะผ่าการติดขัดของสภาพถนนมาถึงโรงพยาบาลได้ก็อย่างลำบากยากเย็น เขาวิ่งตามหาฉันและลูกอย่างคนขวัญเสีย
            "กรีท..กรีท..คุณอยู่ไหน??"
            ฉันรีบตะโกนขานรับด้วยเสียงอันดัง..แต่มันคงไม่ได้ดังพอ เพราะเขาผ่านกลับไปมาถึงสองสามครั้งกว่าจะพบ
            จนเมื่อมาประจันหน้า..ฉันรู้สึกถึงความห่วงใยที่เขามีให้อย่างที่สุด หน้าตาของเขายุ่งยิ่ง เหนื่อยอ่อนเหมือนกับคนที่อดนอนมาทั้งคืน ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่แววตานั้นสดใสนัก
            แต่เมื่อเขาได้อุ้มลูกขึ้นมา..พบว่าเป็นผู้หญิง..ท่าทีเขาเปลี่ยนไปอย่างทันควัน เสียงแหวแว๊ดดังขึ้นมาทันทีว่า
            "นี่ไง..นี่มันเป็นความคิดของคุณคนเดียวเลยนะนี่ที่อยากจะท้องกะเขานัก..แล้วไงล่ะ..เชอะได้ลูกสาว ลูกสาวอีกแล้ว ตูจะบ้า "
            ท่าทางเขาขัดเคือง แววตากราดเกรี้ยว ความชุ่มชื่นหัวใจที่ฉันมีอย่างหลั่งล้นเมื่อครู่ก่อน..เหือดหายมลายไปสิ้น ที่แท้เขาก็คือ ไอ้ผู้ชายนาซีธรรมดาๆนี่เอง
            จะไปหวังอะไรกันหนักหนากับมนุษย์ในลัทธิบ้าๆนี่..ฉันหมดความอดทน ตะโกนกลับไปลั่นว่า
            "ก็ไม่ต้องมายุ่งซิ..นี่มันลูกของฉัน..ลูกของฉันคนเดียวได้ยินไหม??"
            วันต่อมา..จดหมายแสดงความเสียใจในมารยาททรามของเขาที่มีต่อฉันก็ส่งมาถึงมือ โดยที่เขาอาจลืมไปว่า ในช่วงของความเจ็บปวดเพราะสาเหตุจากการทำร้ายจิตใจกันนั้น
            มันอาจหายไปได้ โดยการไม่นำมาคิดหนึ่ง การให้อภัยหนึ่ง
            หากแต่ มันก็เปรียบได้กับการแตกร้าวทำให้เกิดการเปราะบางอย่างอันตราย เพราะ มันจะอยู่ที่นั่น ตรงนั้น ไม่ไปไหน
            รอเพียงการกระทบซ้ำ ..เพื่อที่จะแตกหักไปเป็นเสี่ยงๆ
            แต่ในสถานะอย่างฉันนั้น..ทำอะไรไปไม่ได้มากกว่าการลืม เพราะเขาคือเกราะกำบังให้พ้นภัย อีกทั้งเขาคือ พ่อของลูกเพิ่มขึ้นมาอีกสถานะหนึ่ง
            และ เมื่อเขามางอนง้อ..ฉันก็ต้องทำใจให้ยอมรับสภาพ แต่ไม่วายที่จะย้ำเตือนว่า
            "รอหน่อยเถอะ อีกหน่อยคุณก็จะหลง เธอออกน่ารักอย่างนั้น"
            เขายิ้มนิดๆ ทำท่าเหมือนกับจะอ้อล้อกับทารก แต่อยู่ในขั้นตอนของการพยายาม แต่..ลึกๆแล้วคือความผิดหวังอย่างมากมายจนปกปิดด้วยสีหน้าไม่มิด

            ฉันรีบฟื้นไข้ให้เร็วกว่าปรกติ เพราะไหนจะต้องกลับมาทำหน้าที่เป็นแม่บ้านหุงหา ดูแลสามีที่ไม่ยอมหยิบจับอะไรอีก และได้ตั้งชื่อให้ลูกสาวว่า
            Angelika ซึ่งนำมาจากศิลปินสาว Angelika Kauffman ในยุคศตวรรษที่สิบแปด เพื่อนหญิงรุ่นเดียวของเกอเธ
            และเป็นศิลปินที่เวอร์เน่อร์ประทับใจในความสามารถ จากรูปภาพที่ขุนศึกเยอรมันมีชัยชนะเหนือกองทัพโรมัน ภาพนั้นได้ติดอยู่ที่ทำเนียบของรัฐบาล
            เพราะงานชิ้นนี้เธอเป็นที่ชื่นชอบของท่านผู้นำอีกด้วย
            (ในต่อๆมา..เอนเจลิกา ได้เปลี่ยนชื่อของตัวเองมาเป็น แอนเจล่า เพราะเธอชอบมากกว่า และในการเขียนต่อไปก็จะเขียนว่า แอนเจล่า)

            คุณๆคงสงสัยว่า ทำไมฉันจึงไม่ตั้งชื่อลูกตามชื่อของแม่ คำตอบคือ ชาวยิวจะตั้งชื่อลูกหลานตามชื่อของคนที่เสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น และตอนนั้น
            คือ ปี 1944 ฉันเชื่อว่า แม่ยังมีชีวิตอยู่ ที่เชื่อเช่นนั้นเพราะว่า ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นของแม่ที่อยู่ใกล้ๆตลอดเวลา ได้กลิ่นแม้กระทั่งน้ำหอมที่แม่ชอบใช้
            บาร์เบิ้ล ลูกสาววัยสี่ขวบของเวอร์เน่อร์มาถึงในตอนเช้าของวันอังคาร (ตามการตกลงของการผลัดเลี้ยง) หลังจากที่มีน้องใหม่อายุเพียงไม่กี่วัน ทันทีที่ได้ย่างก้าวเข้ามาในห้อง เธอรีบเหน็บตุ๊กตาในมือเข้าที่
            จั๊กแร้อีกข้างหนึ่ง เพื่อที่จะได้ชูมือในข้างนั้นขึ้น พร้อมกับส่งเสียงแจ๋วว่า.." Heil Hitler!!"
            แม่ของเธอ อลิซาเบธ อมยิ้มน้อยๆด้วยความภาคภูมิใจ
            สำหรับฉัน..บอกได้เลยว่า ในชีวิตแทบไม่เคยได้พบใครที่ไร้ไมตรีมากไปกว่าผู้หญิงคนนี้ ทั้งๆที่เธอเป็นคนสวย สูงโปร่ง ท่าทางแข็งแรง แต่กับฉันแล้ว..เธอชาเย็นอย่างที่สุด
            เวอร์เน่อร์ยอมไปทำงานสาย เพื่อที่จะได้อยู่ต้อนรับ แต่บางสิ่งบางอย่างได้บอกฉันว่า..คนสองคนนี้ยังตัดกันไม่ขาด
            เขาทักทายด้วยการจุมพิตสวัสดีตามมารยาท และคุยด้วยเดี๋ยวด๋าวก่อนที่จะขอแยกตัวไปทำงาน..
            เมื่อเราต้องมาเผชิญหน้ากัน เธอกับฉัน ..ผู้ซึ่งทำหน้าที่เจ้าของบ้านที่ดี โดยการทำตัวเสงี่ยมหงิม รับรองด้วยการเสนอขนมและกาแฟ อีกทั้งพาเดินชมรอบๆในห้องแฟลตที่อาศัย
            อลิซาเบธมองไปที่แอนเจล่า..และพูดขึ้นมาลอยๆว่า
            "หน้าตาของพี่น้องสองคนนี่..ดูยังไงก็ไม่เหมือนกัน" หลังจากที่เธอมองไปที่การจัดแต่งห้องและภาพวาดฝาผนังฝีมือของเวอร์เน่อร์ เธอก็พูดต่อว่า
            "อ้อ..พ่อเขาลงทุนทำอะไรให้คนอื่นได้สารพัด ทีกับเรา..เขาไม่ทำอะไรเลย ใช่ไหมล่ะ บาร์เบิ้ล?" จากนั้นเธอก็มองไปที่กล่องเครื่องมือที่วางเรียง และพูดว่า
            "อยากจะเป็นนักเชียว จิตรกรเนี่ย..แต่ฝีมือไม่เข้าขั้น เชอะ!"
            ตอนที่อลิซาเบธกลับออกไปนั้น ฉันจำไม่ได้ว่า เธอได้ก้มลงจูบลาลูกสาวหรือไม่ แต่..ฉันรอจนเธอได้ลับสายตาไปให้พ้นก่อนที่จะผ่อนลมหายใจออกมายาว..


            บาร์เบิ้ลส่งเสียงจ๋อยๆถามว่า
            "ทำไมที่นี่ไม่มีรูปของฮิตเล่อร์ล่ะคะ ที่บ้านหนูนะ เราติดทุกห้องเลย"
            "เอาไปซ่อมอยู่ค่ะ เสร็จแล้วก็จะเอามาติด หนูหิวหรือยังคะ?"
            ว่าแล้ว ฉันได้ทำขนม Knodle (อ่านว่า นูดเดิล เป็น มันฝรั่งบดทอดชุบน้ำตาล) ที่ฉันได้ทำพิเศษไว้ให้ โดยใช้สตอร์เบอร์รี่สดยัดใส้
            (ซึ่งกาลเวลาที่ผ่านไปนานหลายปีข้างหน้า จนแม่หนูได้แต่งงานไปกับชาวสก๊อต ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ เธอยังจำได้เสมอถึงขนมของชาวเวียนนีสที่ได้ลิ้มรส)

            ทุกวัน เราได้พากันออกไปเดินเล่น ฉัน บาร์เบิ้ล แอนเจล่าในรถเข็น ไม่ว่าฉันจะเลี้ยงดูแอนเจล่าอย่างไร แม่หนูบาร์เบิ้ลนำไปเลียนแบบทำกับตุ๊กตาของเธอหมด
            ยามที่ฉันได้กล่าวอรุณสวัสดิ์กับใคร แม่หนูจะต่อด้วยว่า "ไฮล์ ฮิตเล่อร์!"
            เล่นเอาผู้คนผ่านไปมา ต่างหันมามองฉันอย่าชื่นชม ..ว่า ช่างเป็นแม่นาซีที่เลิศเลอเสียจริง
            ในความจริงแล้ว ฉันเองก็รักและเอ็นดูแม่หนูบาร์เบิ้ลไม่น้อย ตลอดหกอาทิตย์ที่เธอมาพำนักด้วยนั้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่น
            การเรียกขาน "ไฮล์ ฮิตเล่อร์!" จากปากน้อยๆของบาร์เบิ้ลก็ค่อยๆจางหายไป ฉันเองก็ไม่เคร่งครัดเอากับเด็ก ปล่อยให้เธอใช้ชีวิตอยู่อย่างตามสบาย จนอลิซาเบธเริ่มออกอาการไม่พอใจ
            และที่สำคัญคือ เธอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นฝ่ายสูญเสีย ดังนั้นสิ่งเดียวที่เธอทำได้ นั่นคือ การเข้ายื่นคำร้องต่อศาลอีกครั้ง ด้วยข้อหาว่า เราทั้งสองนั้นไม่เหมาะสมกับการที่จะเลี้ยงดู
            ศาลจึงส่งเจ้าหน้าที่สองคนมาตรวจที่บ้าน ที่สร้างความตกอกตกใจให้พอสมควร ตลอดเวลาที่ฉันและเวอร์เน่อร์อยู่ด้วยกันมากว่าปี ทุกอย่างราบรื่น แต่การที่จะมีคนอื่นมาสัมภาษณ์
            ถึงการเป็นอยู่นั้น ทำให้หวดผวาไปหมดว่า เขาอาจสังหรณ์ จับได้ว่า ฉันเป็นยิว เป็นคนที่มีความรู้เรื่องกฏหมาย เป็นปัญญาชนระดับมหาวิทยาลัย
            แต่ก่อนอื่น..ฉันรีบไปขอยืมภาพของท่านผู้นำจากเพื่อนบ้านมาติดฝาบ้านอย่างเร่งด่วน
            เจ้าหน้าที่ได้มาเยือนอย่างไม่มีการบอกก่อนล่วงหน้า ทั้งสองคือหญิงสาวนาซีที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบพร้อมทั้งเสื้อผ้าและหมวก ในมือมีสมุดคอยจดรายงาน
            คำถามคือ กินอาหารกันอย่างไร อยู่อย่างไร และในที่สุดก็มีการเปิดตรวจหมดความสะอาด ในเตา บนเตา ชั้นวางของ ทุกซอกทุกมุม
            จนหลายอาทิตย์ต่อมา เราได้รับจดหมายรายงานมาว่า ทุกอย่างผ่านตลอด บ้านช่องสะอาดสมเป็นครอบครัวอารยันตัวอย่างจริงๆ ข้อความย่อหน้าสุดท้ายในจดหมายนั้นระบุว่า
            "การที่บาร์เบิ้ลจะได้มาอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงในสภาพที่อยู่สะอาด ถูกอนามัยนั้น เหมาะสมที่สุดสำหรับเธอ"
            คำร้องของอลิซาเบธจึงตกลงไป

            (ฉันเคยนึกเสมอว่าอยากจะนำจดหมายนั่นไปที่ที่ทำงานของรัฐบาล นาซี และยื่นใส่หน้าพวกนั้น ให้มันอ่านให้เต็มตา ว่า..นี่งะ บ้านของคนยิว ที่พวกแกประนามว่า สกปรกนักหนาน่ะ)

 
            ปรากฎการณ์ทางน่านฟ้าที่เครื่องบินของสัมพันธมิตรได้มาเยี่ยมกรายบ่อยๆนั้น ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเป็นไปได้ว่าเยอรมันจะต้องเสียทีในศึกครั้งนี้อย่างแน่นอน
            นับตั้งแต่ตอนช่วงสิ้นปีที่ผ่านมา..ฉันโหยหา...คิดถึง แม่ น้องสาว ญาติโยมคนอื่นๆอย่างเหลือเกิน สมองเต็มไปด้วยความคิดว่า พวกเขาไปไหนกันหมดนะ และ ยิ่งในเทศกาลวันฉลอง Rosh Hashanah และ Yom Kippur (ปีใหม่ของยิว) คือวันที่พวกเราเคยอยู่กันพร้อมหน้าครอบครัว... พวกเขาจะคิดถึงฉันบ้างหรือไม่?
            จนวันหนึ่งที่ฉันอยู่บ้าน ทำความสะอาด ซักรีดเสื้อผ้าอยู่นั้น หูก็แอบเงี่ยฟังข่าวจากสถานีวิทยุบีบีซี...ทันใดนั้น ฉันต้องสะดุ้งวาบขึ้นมา เพราะเสียงที่ประกาศแว่วมาจากแดนไกลนั้นคือ
            เสียงของท่านประมุขรับไบ Hertz แห่งอังกฤษที่ได้ส่งข้อความมาในภาษาเยอรมัน ว่า..
           
            "ขอส่งความเสียใจและเห็นใจอย่างสุดซึ้งมายังสายเลือด(ยิว)"ที่เหลือ" ทุกคน ที่ต้องตกระกำลำบาก ซุกซ่อนหลบหนีอยู่ในเส้นทางแห่งความตาย..."
            เพียงประโยคแรกของท่าน ใจของฉันได้ส่งเสียงอื้ออึง....หมายความว่าอย่างไรกันคะ ที่ว่า "ที่เหลือ" นี่น่ะ คนอื่นๆเขาล้มหายตายจากไปหมดแล้วหรือ..
            "พวกคนดี และชาวโลกที่มีจิตใจเป็นธรรมกำลังร่วมมือกันเข้าทำลายล้างไอ้ลิทธิสามานย์ และบ้านเมืองของมันให้สิ้นซากไปในเร็ววัน"
            โอ..จริงซินะ ในที่สุดก็มีคนมาช่วยเราจริงๆ อีกหน่อยพวกเราก็คงไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอีกต่อไป ..เราไม่ได้ถูกลืมไปอย่างที่คิด
            "ชาวยิวที่รักทั้งหลาย จงฟังเรา วันแห่งอิสรภาพกำลังจะมาถึง จงร่วมกันสวดมนต์ต่อพระเจ้า ขอประทานพรจากท่านเถิด"
            นั่นคือสิ่งที่ฉันได้ยินมากับหู และเก็บมาสงสัยจนทุกวันนี้ ว่า ทุกๆคนจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าอย่างน้อย น้องสาวที่อยู่ในปาเลสไตน์ย่อมปลอดภัย
            ส่วนแม่..ฉันพยายามทำใจไม่คิดถึงในด้านร้ายๆ เพราะ ไม่อยากจะเสียสติไปก่อนยิ่งท่านรับไบ เฮิรทซ์ ท่านกล่าวถึง "พวกที่เหลือ" ยิ่งทำให้ใจแป้ว
            ทางเดียวที่เหลือคือ ฉันต้องใช้ชีวิตของคุณนายนาซีให้ราบเรียบที่สุด...โอ..พระเจ้า มันง่ายอย่างที่พูดเสียเมื่อไหร่ เพราะวันๆหนึ่ง ต้องพบกับคนส่งนมนาซีที่มาตั้งแต่เช้า
            ตามมาด้วยเด็กขี่จักรยานส่งหนังสือพิมพ์นาซี Der Volkische beobachter
            ฉันจึงพยายามอย่างที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงการไปซื้อข้าวของในวงจรที่ต้องใช้ Nazi slute
            โชคดีที่เราได้รับการบันส่วนมาจาก คุณนายไนเดอรัลล์ที่กรุณาส่งของแห้งมาให้บ้าง เช่น เมล็ดถั่ว ข้าวสาร คุณนายเกรอล์ได้ส่งคูปองขนมปังมาให้บ้างในบางโอกาส
            ส่วนฉันพยายามเจียดคูปองนมเพื่อที่จะแบ่งปันไปให้กับเยาท์สกี้ เพื่อที่จะได้ใช้เลี้ยงเจ้าหนูออตโตที่น่าสงสาร
            เปปปิก็ยังอุตส่าห์เจียดผงซักฟอก(ที่ขโมยมาจากแม่..นาง แอนนา)มาให้

            ชาวนาที่อยู่ชานเมืองในช่วงนั้น ต่างร่ำรวยกันเป็นแถวๆด้วยการซื้อขายระบบแลกเปลี่ยน พวกชาวกรุงต่างนำของดีมีราคาไปแลกกับใข่ไก่ นมสด เบคอน หรือผลิตผลทางเกษตรอื่นๆ
            ว่ากันว่า พวกชาวนาเหล่านั้น ต่างมีพรมเปอร์เซียราคา
            แพงอยู่ในครอบครองกันคนละหลายๆผืน จนแทบจะเอามาปูได้เต็มพื้นที่ในโรงนา

        
            เพื่อนบ้านคนเดียวที่แวะเวียนมาพูดคุยด้วยเสมอๆนั่นคือ ไฮล์ดี้ ชเลเกล ที่เธอมักเปรยถึงความโชคดีของฉันในเรื่องของการที่ได้รับน้ำใจจากใครต่อใคร
            ส่วนเธอมักจะบ่นถึงความไม่เข้าท่าของแม่สามีให้ฟังอย่างเสมอๆ จนทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ฉันควรจะต้องทำความรู้จักกับแม่สามีของฉันเองบ้าง
            จึงได้บอกกับเวอร์เน่อร์ว่า
            "ไปชวนคุณแม่มาเยี่ยมเราซิ"
            "อะไรนะ....???"
            "ก้อ..แม่คุณยังไม่เคยเห็นหลานเลย"
            "โอย..เขาไม่สนหรอก"
            "เป็นไปไม่ได้หรอก...ย่าที่ไหนกันที่จะไม่รักหลาน ลูกเราออกน่ารัก"
            ในที่สุด มาดามเวทเทอร์ ก็มาเยี่ยมเราตามคำเชิญชวน ที่ตั้งใจจะมาอยู่ถึงหนึ่งอาทิตย์
            เมื่อมาถึง ฉันจึงได้พบกับสตรีสูงวัยที่ท่าทางเย็นชา ผมสีดอกเลานั้นขมวดมุ่นเป็นผมมวยเก็บเรียบร้อยที่ใต้ท้ายทอย
            เธอมักสวมผ้ากันเปื้อนที่ลงแป้งรีดเรียบแข็ง ขาวสะอาด ยามจะโอบจะอุ้มหลานสาวตัวน้อยก็เต็มไปด้วยความอิหลักอิเหลื่อ เพราะเธอเกรงไปว่าจะทำให้สกปรก
            ที่สำคัญ เธอสามารถดื่มเบียร์ได้ทั้งวัน
            ยามหลับ.มีกรนสนั่นหวั่นไหว ที่แน่มาก..คือ ทั้งๆที่หลับขนาดนั้น ผ้ากันเปื้อนยังไม่มีการยับย่น
            เธอทำให้ฉันได้ระลึกถึง....โรงงานที่อัสเชอร์สเลเบนในยามฤดูหนาวที่มีหิมะตก ที่ดู ขาวโพลน สวยงามเป็นระเบียบ แต่ข้างในนั้น คือค่ายแรงงานนรก เหี้ยมเกรียม น่าสะพรึงกลัว
            วันหนึ่งที่ฉันกลับเข้ามาในบ้าน พบว่า เธอได้หอบเสื้อผ้า..กลับไปแล้วอย่างไม่มีการร่ำลา สั่งเสียใดๆ

            ฉันได้แต่กอดแม่หนูแอนเจล่าไว้แนบอก กระซิบบอกเธอว่า..ไม่เป็นไรนะลูกนะ ย่าเขาไม่รักก็ไม่ต้องเสียใจ หนูยังมียาย..มีน้า..รออีกหน่อยเถิด รอให้สงครามเลิก พวกเขาก็จะออกมาจากโปแลนด์ กลับมาหาเรา ยายจะได้จูบได้กอดหนูให้ชื่นใจ"

            เปปปิเคยเล่าเสมอว่า ยิ่งสงครามทวีความเข้มข้นขึ้นมากเท่าไหร่ พวกนาซียิ่งโหดร้ายขึ้นมากเป็นเงาตามตัว
            ฝ่ายโปรปะกันดาของรัฐบาลพยายามบอกประชาชนว่า
            "ทีเด็ด"ของสงครามนั้น เยอรมันยังมีอยู่ นั่นคือ อาวุธลับร้ายแรง จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วว่า ไม่นานก็จะมีการนำมาใช้ แต่..จนแล้ว..จนรอด
            เกสตาโปเริ่มออกทำการจริงจังกับพวกที่เอาใจออกห่างจากท่านผู้นำ เช่นพวกที่หลบหนีทหาร...จะถูกยิงทิ้งทันที ไม่ว่าพบที่ไหน หรือ การเข้ารื้อค้นตามโรงนา หรือ ตึกร้างต่างๆ
            ไหนจะยังตามคดีของพวกแม่ม่ายผัวตายในสงครามที่หันมาคบค้ากับนักโทษแรงงานต่างชาติอีกเล่า
            เท่ากับว่า ในวันหนึ่ง วันหนึ่ง ผู้คนต้องถูกฆ่าตายวันละหลายๆศพ ด้วยข้อหาเล็กๆน้อยๆ เช่นลักขโมย หรือ มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องตามนโยบาย

          

            ในที่สุด..ก็มาถึงคราวของเวอร์เน่อร์ที่ถูกเรียกเข้าประจำการ ในวันที่ หนึ่ง กันยายน 1944 นี่คือหนทางรอดสุดท้ายของนาซีเข้าไปทุกขณะ ที่ต้องเกณฑ์คนไม่สมประกอบทั้งหลายออกศึก
            และอีกไม่นานก็คงถึงคราวของเด็กชาย เด็กหญิง ที่ต้องถูกเกณฑ์ให้ไปตาย
            เวอร์เน่อร์ได้ไปรายงานตัวในวันที่สาม พร้อมทั้งได้ถอนเงินออมของเราจากธนาคารร่วมหมื่นมาร์คไว้ติดตัวไปด้วย เขาว่า หากตกระกำลำบากอย่างไร จะได้ใช้เงินนี้ซื้อช่องทางหลบหนีออกมาได้
            ฉันก็ไม่ได้มีปากเสียงอะไรในเรื่องนี้ เพราะอย่างน้อยๆทางโรงงานอาราโดก็ยังจ่ายเงินเดือนให้ตลอดไปทุกเดือน

            ก่อนไป เขาดึงตัวฉันเข้าไปกอด และ สั่งเสียว่า...
            "ฟังนะ ที่รัก เวลาที่คุณไปที่ร้านขายยา เพื่อที่จะซื้อนมให้ลูกละก้อ อย่าตกใจนะที่พวกเขาจะเข้ามาพูดคุยกับคุณอย่างสนิทสนม หรือ นิยมชมชื่นคุณราวกับเป็นวีรสตรี เพราะ ผมไปเล่าให้พวกเขาฟังว่า
            คุณน่ะ ต้องเสียลูกไปแล้วถึงสามคนในยามแร้นแค้นของสงครามนี่ นี่ก็คือ คนที่สี่ ที่คุณต้องเลี้ยงดูให้ดีที่สุด เพื่อให้มีชีวิตอยู่สืบไป"
            ได้ฟังข้อความดังนั้น ฉันก็อดขำไม่ได้ เพราะ นายเวอร์เน่อร์ สามีตัวดีของฉันนี่ เป็นคนที่จิตใจดีก็จริงอยู่ แต่เรื่องที่จะให้พูดความจริงตามประสาชายชาตินาซีนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เอาซะเลย

            หากแต่ก่อนออกไปยังแนวหน้า..นาซีได้ทำการฝึกให้กับทหารรุ่นใหม่ที่ทุกคนต้องไปค้างคืนประจำการที่ค่ายทหาร เวอร์เน่อร์สามารถหาสาเหตุขี่จักรยานกลับมาทานอาหารเย็นที่บ้านได้เสมอ
            เชื่อว่า..การโกหกชนิดบรรลัยโลกได้มีการสร้างขึ้นทุกวันอย่างแน่นอน จะเป็นอะไรก็ตามที..แต่ที่แน่ๆคือ เขาเกลียดการใส่เครื่องแบบทหารมาก เพราะนั่นมันคือความหมายว่า เขาเป็นผู้ที่ต้องรับฟังคำสั่งเสมอไป
            เขาได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆที่ค่ายทหารมากมาย และมีน้ำใจเอื้อเฟื้อจนเกินเหตุในบางครั้ง อย่างเช่น มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเรียกเข้าประจำการเช่นกัน
            เขาคนนี้..อยากให้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานนั้นตั้งครรภ์ก่อนที่
            เขาจะจากไปในแนวหน้า แต่หาที่ร่วมหลับนอนไม่ได้ เวอร์เน่อร์รีบเสนอห้องรับรองแขกเล็กๆในอพาร์ตเม้นต์ของเราให้ทันที แถมพามาถึงบ้านแบบจู่โจมที่ฉันไม่มีโอกาสได้ตั้งตัวติด
            รู้สึกใจหายครามครัน..กริ่งเกรงไปว่า หากเขาเกิดเป็นสาวกท่านผู้นำแบบถอดใจแล้วละก้อ เราอาจอยู่ในฐานะลำบากเพียงถ้าเขาเกิดสงสัย หรือผิดสังเกตในตัวฉันขึ้นมา

            ฉันออกไปนั่งเล่นข้างนอกกับลูก ปล่อยให้แขกทั้งสองได้มีความเป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ สมองได้แต่นึกเป็นห่วงเรื่องต่างๆนานา เช่น เกิดเขาสังเกตเห็นวิทยุที่หน้าปัทม์หยุดอยู่ที่สถานีต่างประเทศเข้าล่ะ..
            หรือ..เรื่องที่เราไม่ได้ติดรูปของท่านผู้นำแบบเอิกเกริกอย่างชาวบ้านชาวช่อง..ยิ่งคิดฉันยิ่งโทษพ่อเจ้าประคุณสามีตัวดีนั่น ที่ไม่ได้เป็นห่วงในสวัสดิภาพของฉันเอาเสียเลย
            แต่ก็นั่นแหละ..เขาจะมาห่วงอะไร ถ้ามีคนจับได้ เขาก็ต้องแก้ตัวว่า ไม่รู้เรื่อง และ แถมจะพาลพาโลว่าถูกฉันหลอกเข้าด้วยอีกคน
            คนที่ต้องมารับเคราะห์เต็มๆนั่นก็ไม่มีใครที่ไหน นอกจาก ฉันกับลูกเพียงสองคน..
            แต่เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ก่อนลาจาก..เขาสองคนนั่นได้เข้ามาขอบอกขอบใจฉันอย่างใหญ่โต และไม่มีใครเห็นสิ่งปรกติใดๆอย่างที่หวาดไว้
            ทุกวันนี้ฉันยังสงสัยและอยากรู้อยู่เสมอว่า..การผลิตลูกของพวกเขาในครั้งนั้นได้ประสบความสำเร็จหรือไม่..?


            ช่วงใกล้คริสต์มาส หน่วยของเวอร์เน่อร์ส่วนใหญ่จะต้องออกสู่แนวหน้าตะวันออก(คือรัสเซีย)
            แต่..เวอร์เน่อร์ที่ท่าทางฉลาดเฉลียวกว่าคนอื่นๆทั้งที่ดวงตาใช้ได้ข้างเดียวนั่นก็เถอะ ถูกส่งไปยังแฟรงค์เฟิร์ตเพื่อเรียนหลักสูตรเพิ่มเติมพิเศษในฐานะที่ได้รับเลือกให้เป็น"นายทหาร"
            ก่อนที่เขาจะเดินทางออกสู่แนวหน้าเพียงอาทิตย์เดียว เขาขอให้ฉันเดินทางไปพบและอยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุด ซึ่งฉันต้องนำแม่หนูแอนเจล่าไปฝากไว้กับเพื่อนบ้าน มาดาม ไฮล์ดี้ ชเลเกล
            ที่โรงแรมเล็กๆที่ไปพักในแฟรงค์เฟิร์ตนั้น ความจริงคือบ้านส่วนตัวที่เจ้าของนำออกมาแบ่งห้องให้ทหารและครอบครัวเช่าชั่วคราว
            และแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า พวกเขาจะให้เกียรติกับเหล่าบรรดาของเมียทหารอย่างสูงสุดเท่าเทียมกับวีรสตรีเช่นนั้นเชียว
            และเมื่อฉันได้พบกับเวอร์เน่อร์ในเครื่องแบบทหารเต็มยศต่อหน้าต่อตานั้น ความรู้สึกประดังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกว่า อยากจะขำกลิ้ง หรือ อยากจะลมจับกันแน่
            ที่คอเสื้อนั่นน่าขยะแขยงเป็นที่สุด เครื่องหมายทองเหลืองที่มันวับนั่นช่างอุบาทว์ตามอย่างไม่มีอะไรเทียบ
            ไอ้นกอินทรีย์ ไอ้เครื่องหมายสวัสดิกะที่สร้างมาเพื่อที่จะครองโลก.....
            เขาปราดเข้ามาพร้อมที่จะโอบกอดแนบทรวงอก..แต่ฉันได้เบี่ยงตัวขืนอย่างสุดฤทธิ์ เพราะไม่สามารถทำใจให้เข้าใกล้ไอ้เครื่องแบบเพชฆาตนี่ได้
            จนกว่าเขาจะเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่..เราจึงได้นั่งคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่สามารถจะสร้างความรื่นรมย์ให้กับบรรยากาศได้มากที่สุด

            คุณผู้ฟังต้องเข้าใจในสถานะการณ์ของตอนนั้นว่า..ชาวเยอรมันบางคนที่ต้องออกไปแนวหน้านั้น หลายคนเครียดจัดถึงขนาดยอมฆ่าตัวตาย บางคนคิดที่จะผูกคอตาย
            แต่เชือกดันเปื่อยเกินการ ขาดผึงลงมาเสียก่อน เจ้าหมอนี่เลยคิดที่จะกระโดดน้ำตาย..แต่พอกระโดดตูมลงไป กางเกงที่ใช้ผ้าที่มีส่วนผสมของเศษเปลือกไม้ทอนั่นก็บวมขึ้นมา..พาตัวเจ้าของกางเกงลอยฟ่องขึ้นเหนือน้ำ ราวกับเป็นแพชั้นดี
            สรุปว่า..เจ้านี่เลยต้องกลับมากัดฟันอยู่ต่อไป มาตายสมใจก็คือ อดตาย..เพราะรับส่วนแบ่งปันอาหารได้ไม่เพียงพอ...
            แต่จะว่าไป..ส่วนที่ตลกอย่างเศร้าที่สุดของชาวเยอรมัน คือ จดหมายที่ส่งมาจากเวอร์เน่อร์ ว่า..ยามที่ได้เดินทางออกไปสู่แนวหน้านั้น กองทัพของเขาได้สวนกับทหารที่หนีทัพกลับมานับพันๆคน
            พวกเขาต่างตะโกนบอกกันว่า..สงครามใกล้จะถึงที่สุดแล้ว..เราแพ้อย่างย่อยยับ..
            เขาลงท้ายว่า...เอาใจช่วยผมด้วยนะ ที่รัก !!!


            วันหนึ่ง...หลังจากปีใหม่ผ่านไปไม่นาน ฉันได้ยินเสียงประหลาด กุกกักอยู่ที่ชั้นบน ตรงส่วนที่ว่างที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งเพิ่งย้ายออกไป แต่..เนื่องจากเห็นว่าไม่ใช่ธุระของตัวเองจึงไม่ใส่ใจ
            หากแต่..ไม่กี่วันต่อมา..ตำรวจได้กรูกันมาที่หน้าห้องของฉัน...
            "เฟรา เวทเตอร์ ...เปิดประตูเดี๋ยวนี้ นี่คือตำรวจ "
            เพียงแว๊บแรก ฉันได้คิดไปถึงว่า คงเป็นเพราะคู่หนุ่มสาวที่เคยมาขอใช้สถานที่นั้นไปแจ้งความเอาเข้าแล้ว..
            หรืออาจเป็นเพื่อนบ้านคนใดคนหนึ่งที่ได้ยินเสียงจากบีบีซีในวิทยุ หรือ...หรือ...
            โอย...ฉันจะทำอย่างไรดี...???
            แต่..ฉันทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องเปิดประตูรับหน้า
            "อรุณสวัสดิ์ครับ คุณนาย..เรามากันนี่เพราะเชื่อว่า ห้องที่อยู่ชั้นบนของคุณนั้น อาจมีทหารหนีราชการแอบมาหลบซ่อนตัวอยู่เมื่อคืนนี้ คุณได้ยินเสียงอะไรข้างไหม?"
            ฉันแอบถอนหายใจยาว...โล่งอกไปที
            "ไม่ได้ยินอะไรเลยค่ะ หลับสนิท"
            "งั้นฝากเป็นหูเป็นตาด้วยนะครับ หากได้ยินหรือเห็นสิ่งผิดปรกติอะไรละก้อ กรุณาแจ้งด้วย"
            "ค่ะ ด้วยความยินดี"
            พวกเขาโค้งคำนับให้อย่างงาม ก่อนที่จะลาจากออกไป...

          

            สถานีบีบีซีได้กระจายข่าวเป็นระยะ และในเย็นวันหนึ่ง ผู้ออกรายการคือ Thomas Mann นักประพันธ์รางวัลโนเบล (หนังสือชื่อดังอย่าง The Magic Mountain และ Death in Venice)
            ธอมัส มานน์ ได้อยู่ในคาลิฟอร์เนีย เป็นผู้ที่ต่อต้านนาซีขนานแท้ และครั้งนี้คือครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสได้ยินเสียงของเขา...
            "สวัสดี ชาวเยอรมันที่กำลังรับฟังอยู่...
            ถ้าสงครามคราวนี้ได้ถึงจุดสิ้นสุด แต่นั่นไม่ได้หมายถึงว่า ทุกอย่างจะจบสิ้นตามไปด้วย สิ่งแรกที่กำลังจะตามมา..นั่นคือ การเอาผิดต่อพวกอาชญากรสงคราม จากอาชญากรรมที่พวกเขาได้ก่อขึ้นมา
            โดยที่พวกประชาชนอาจไม่เคยได้รับทราบมาก่อน เพราะ พวกเขาได้ปิดหูปิดตาประชาชนให้โง่งมมาอย่างช้านาน หรือ อาจเป็นเพราะว่า พวกท่านเองได้มีส่วนช่วยด้วยการไม่ยอมรับรู้ เพื่อที่จะสนองจิตใจอันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัวโดนสันดานของมนุษย์ก็เป็นได้....สำหรับพวกท่านที่กำลังฟังเราอยู่ ...ฟังให้ดี..ว่า..ที่ เมดาเนค (Maidannek, Lublin ที่ Poland) หรือที่เรียกว่า
            ค่ายกักกันนั้น มันไม่ใช่ค่ายกักกันธรรมดาอย่างที่ควรจะเป็น หากแต่มันคือ ค่ายนรกที่ฆ่าคนทิ้งรายวัน มันมีตึกที่สร้างด้วยหิน..ทำเป็นโรงงานที่มีปล่องไฟ..นั่นคือ สถานฌาปนกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ชาวยุโรปกว่าห้าแสนคนที่มีทั้ง หญิง ชาย เด็ก ต่างถูกฆ่าให้ตายด้วยยาพิษ และถูกส่งเผาให้เป็นผุยผงวันละกว่าพันคน ปล่องไฟของโรงงานนรกนี่จะส่งควันสู่ท้องฟ้าอย่างไม่มีวันหยุดวันหย่อน...
            กองทัพปลดแอกของสวิสได้รายงานมาว่า..ค่ายกักกันที่เอ๊าชวิทซ์ และที่ เบิร์คเนา นั้นมีการทารุณแบบไม่น่าเชื่อต่อสายตาว่าจะมีขึ้นมาในโลก เศษกองกระดูกมนุษย์ท่วมเป็นภูเขาเลากา
            เฉพาะในเยอรมัน..ยิวจำนวนหนึ่งล้านเจ็ดแสนกว่าคนได้ถูกฆ่าตายอย่างทารุณนับตั้งแต่ เดือน เมษายน 1942 จนถึงเดือน เมษายน 1944...."

            โอย...ไม่จริง...ไม่จริงงงงง....ไม่เชื่อ...เอาที่ไหนมาพูด...พอ พอเสียที...หยุดพูด.....(ฉันอื้ออึงกับตัวเอง ราวกับคนบ้าคลั่ง)
            แต่เสียงของ ธอมัส มานน์ ยังดำเนินต่อไป...ว่า
            "กองชิ้นส่วนที่เหลือ หรือ ที่จมดินอยู่จะถูกรื้อเก็บขึ้นมา และจะส่งพวกเขากลับไปฝังในผืนแผ่นดินเยอรมัน..."
            โอย...แม่จ๋า...แม่อยู่ไหน...???
            "เราจะบอกท่านว่า..อะไรได้เกิดขึ้นกับพวกเขาเหล่านั้นบ้าง มันคือ การยิงทิ้ง การทรมานอย่างทารุณ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแนวรัสเซีย ที่ไม่ละเว้นแม้แต่เด็กเล็ก.."
            ฉันนิ่งขึงตะลึงอยู่เป็นนาน จนกระทั่งเสียงร้องจ้าของแอนเจล่าได้ดังขึ้นมา ฉันก็ยังไม่สามารถทรงตัวให้ลุกขึ้นมาได้ ร่างกายอ่อนเปลี้ยไปหมด..
            เสียงของแอนเจล่าเริ่มหวีดดังขึ้น ซึ่งฉันเองก็อยากจะส่งเสียงหวีดตาม...หากแต่..มันเป็นไปไม่ได้ นอกจากกระแสความคิดที่มองเห็นแต่ภาพมารดาผู้เป็นที่รัก ในยามที่ดีใจ หัวเราะสนุกสนาน ให้ความอบอุ่นต่อลูกๆ แล้วจะมากลายเป็นเถ้าถ่านอย่างปัจจุบันทันด่วนได้อย่างไร...ยิ่งคิด ก็ยิ่งใกล้บ้า...
            มาถึงตรงนี้ ..สำนวนที่เรียกพวกยิวที่หลบซ่อนอยู่ว่า "ยู-โบ๊ท" นั้น ช่างตรงใจเสียจริงๆ เพราะฉันรู้สึกตัวได้ถึงความเป็นยู-โบ๊ท ก็ในคราวนี้เอง..
            มันช่างอึดอัดเหมือนลอยล่องอยู่ใต้ทะเล ที่ไม่รู้ว่าจะถึงจุดจบเมื่อไร และ คนที่อยู่รอบกายต่างก็คือศัตรู ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนบ้าน หรือ พ่อค้าแม่ค้า ที่ต่างก็พร้อมจะสนองนโยบายของฮิตเล่อร์ในการช่วยกำจัดยิวด้วยกันทั้งนั้น
            ฉันไม่รู้ตัวเลยว่า นั่งจมอยู่กับตรงนั้นนานแค่ไหน แต่ก็นานพอ...จนแอนเจล่าร้องจนหลับไป...
            วันต่อๆมาที่ผ่านไปจนเป็นอาทิตย์ ความรู้สึกของฉันวนเวียนอยู่แต่กับแม่..จนฝันถึงออกบ่อยๆ บางครั้งเหมือนกับว่าแม่มาอยู่ด้วยใกล้ๆ
            บทโคลงกวีที่เคยอ่านให้กับปู่ในวันเกิดสมัยเมื่อยังเป็นเด็กๆ ได้กลับคืนมาสู่ความจำอีกครั้ง...
            ยามที่แอนเจล่าหัดคลานได้..ฉันได้ยินเหมือนเสียงของแม่ที่ปรบมือให้ และ บอกว่า..
            "เก่งจริง..หลานยาย..เห็นมั๊ย..อีดิธ อีกหน่อยต่อให้สะพานที่บ้านตาทวดที่สต๊อคเคโร(Stockerau)นั่นก็วิ่งปร๋อ.."

        

            วันหนึ่งต่อมา..ฉันได้รับแขกคือนายหทารจากกองทัพนาซีที่บ้าน เขาถอดหมวกออกมาถือไว้ในมือ ซึ่งเพียงแค่นั้น น้ำตาฉันได้ไหลพรากออกมารอรับข่าวไว้เรียบร้อยแล้ว..ว่า..ข่าวร้ายแน่นอน
            "อย่าเพิ่งร้องไห้ครับคุณนาย..เวอร์เน่อร์ยังไม่ตาย แค่ตกไปเป็นนักโทษของรัสเซียเท่านั้น หน่วยของเขาถูกโจมตีที่ คัสตริน "
            "เขาได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าคะ?"
            "ไม่น่าจะนะครับ"
            "ขอบคุณมากที่นำข่าวมาบอกค่ะ"
            "เออ..คือว่า เขาอาจจะถูกกักกันตัวอยู่ที่ไซบีเรีย และคงจะอยู่ที่นั่นนานพอสมควร"
            ว่าแล้ว..นายทหารคนนั้นก็คำนับ ใส่หมวกลาจากไปส่งข่าวให้กับบ้านอื่นๆต่อไป
            ข่าวนั้น สำหรับฉันไม่ถือว่าเป็นข่าวร้าย เพราะอย่างน้อยๆเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่บาดเจ็บ และ เวอร์เน่อร์เองเป็นคนฉลาดคงเอาตัวรอดได้ดี ส่วน ไฮซ์ สามีเพื่อนบ้าน ไฮล์ดี้ นั้น ได้เสียชีวิตในการปะทะครั้งสุดท้ายที่แนวหน้ารัสเซีย เธอเตรียมตัวที่จะย้ายไปอยู่กับมารดาที่นอกเมือง และได้เล่าว่า
            "ใครต่อใครเขาก็บอกกันว่า พวกทหารรัสเซียนั่น ป่าเถื่อนนัก เขาลือกันว่า มันผูกคนเป็นๆติดขวางไว้กับปากกระบอกปืนใหญ่แล้วยิงออกไปนะเธอ "
            "ข่าวลือน่ะซิ" ฉันว่า และแนะนำต่อว่า
            "ความจริง เธอน่าจะทำอย่างที่เวอร์เน่อร์ทำนะ คือ ถอนเอาเงินสดจากธนาคารไว้กับตัว เผื่อยังไงจะได้ใช้สินบนเอาตัวรอดได้"
            "โอย..ไม่เอาหรอก ทิ้งไว้ในธนาคารน่ะปลอดภัยดีแล้ว ไม่มีใครมาเอาไปได้"

            ในวันอีสเตอร์ วันเสาร์ ปี 1945 บรันเดนเบอร์คถูกโจมตีทางอากาศ ไฟฟ้าและแก๊สดับหมดทั้งเมือง ทหารเยอรมันได้นำนักโทษเชลยรัสเซียมาทำงานขุดคูเพลาะกั้นให้ประชาชนชาวเมือง
            เสียงไซเรนดังสนั่นทั้งวัน ทุกคนต่างเริ่มรู้แล้วว่า..ลางร้ายกำลังมาสู่ ชาวเมืองต่างพากันอพยพไปหมกตัวอุดอู้อยุ่ในหลุมหลบภัย เสียงระเบิดจากฟากฟ้าลงมาถล่มบ้านช่องอย่างสนั่นหวั่นไหว
            เสียงทหารเยอรมันได้บอกกันมาต่อๆว่า..กองทัพรัสเซียได้ตีฝ่าแนวหน้าของเราเข้ามาได้แล้ว..ให้รีบอพยพย้ายออกนอกเมืองเป็นการด่วน
            ฉันเองง.ก็ทำตามอย่างที่คนอื่นๆทำ นั่นคือ คว้าลูกใส่รถเข็นได้ก็วิ่งอ้าว..ไปตามทางที่ทหารคอยบอกชี้ทาง..
            ใครต่อใครต่างพากันวิ่งพล่านไปทั้งเมือง เสียงสะพานระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวด้วยฝีมือของทหารนาซีที่ต้องทำลาย สะกดข้าศึกตามยุทธศาสตร์..แสงจ้าของพระเพลิงกำลังใหม้เมือง..
            ฉันได้มาถึงเขตชานเมืองก่อนค่ำ และพาลูกเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในโรงนา จัดหาที่นอนในมุมเหมาะๆ ห่อตัวแม่หนูแอนเจล่าด้วยเสื้อโค้ทก่อนที่จะหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
            ครั้งเมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมา...ท้องฟ้าข้างนอกยังเป็นสีแดงเพลิง แอนเจล่าร้องไห้จ้าด้วยพิษไข้ หน้าตาของเธอเต็มไปด้วยผื่นแดงๆของการออกหัด
            ฉันไม่รู้จะทำอย่างไรให้ดีไปกว่าวิ่งไปตามบ้าน กราบกรานร้องขอความช่วยเหลือซึ่งใครๆก็ปฏิเสธ
            จนมาถึงบ้านสุดท้าย ที่ได้เปิดประตูรับ..เพราะสตรีเจ้าของบ้านและลูกสาวของเธอต่างออกหัดเช่นกัน..

            มาถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครต่อใครในเมืองต่างก็หนีเอาตัวรอดมาสู่นอกเมืองด้วยกันทั้งนั้น ทหารคนหนึ่งได้ขอแวะเข้ามาพัก..เขามีวิทยุถ่านติดตัวมาด้วย พวกเราจึงนั่งล้อมรอบเปิดฟังข่าวสงคราม
            เสียงแม่ทัพ โดนิทซ์ ได้ออกอากาศบอกพวกเราว่า...
            เราแพ้สงครามแล้ว..และขอให้ชาวเยอรมันจงทำตามข้อเรียกร้องและคำสั่งของผู้ชนะ(ทั้งหลาย)
            ทุกคนเงียบกริบ...แทบไม่ได้ยินเสียงหายใจ
            "มีใครหิวมั่ง?" เสียงฉันถามขึ้นมา ทุกคนก็ยังเงียบ
            "งั้นเดี๋ยวฉันจะหาของว่างมาให้ทานกัน"
            เพราะ...มาถึงบัดนี้..ฉันคนเดียวมังที่มีกำลังใจที่จะลุกขึ้นทำอะไรต่อมิอะไร ต่อหน้าเตาไฟ...ขณะที่เตรียมอาหาร ฉันได้ฮัมเพลงที่เก่าแก่มานานนับพันปีของพวกเรา(ชาวยิว) ที่ว่า
            "วันหนึ่งข้างหน้า พระอารามจะถูกสร้างขึ้นมาใหม่
            เรา..ชาวยิวจะกลับไปสู่..เยรูซาเรม
            เพราะ..นั่นคือตามที่พระบัญญัติไว้ใน...พระคัมภีร์
            และ..จะเป็นไปตามดังที่พระบัญชา...ฮาเลลูยาห์"
            ทหารนั่นคงเห็นท่าทางปิติจนออกนอกหน้าของฉันได้ จึงรีบเข้ามากระซิบว่า
            "อย่าลิงโลดไปนักเลย ฮิตเล่อร์อาจจะอยู่แถวๆนี้ก็ได้"
            "ก็ฮิตเล่อร์กับเกิบเบิ้ลส์ตามข่าวว่า..ฆ่าตัวตายไปแล้วนี่คะ"
            "อะไรก็ยังไม่แน่หรอกนะ..ข่าวในตอนนี้น่ะ"
            ก่อนลาจาก ทหารคนนั้นได้ให้ยาเม็ดกลูโคสกับฉันไว้ เราเรียกมันว่า ยาน้ำตาล ซึ่งในยามนั้นนับว่ามีค่ามากมาย..

           

            บ้านทุกบ้านต่างพากันผูกผ้าขาวไว้ให้เห็นชัดแทนธง..เพื่อเป็นการขอยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข
            เจ้าของบ้านสองแม่ลูกไม่ขอยอมอยู่รับหน้ากับกองทัพรัสเซีย จึงสละบ้านไว้ให้
            ซึ่งฉันเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน..ขอกลับไปที่บรันเดนเบอร์ค ในการเดินทางกลับนั้นฉันได้เดินทางพร้อมกับกลุ่มของทหารที่พ่ายทัพมา และพากันเข้าเมือง
            พอมาถึงสะพานข้ามที่ถูกระเบิดทำลายไปตรงกลาง..จนโหว่เป็นช่อง มีคนเอาประตูห้องส้วมมาวางพาดไว้ตรงช่องแยกพอให้เดินข้ามไปได้ ซึ่งขนาดของมันกว้างพอดีกับรถเข็นเด็กที่พอจะเข็นผ่านไปได้
            ฉันมองไปยังสายน้ำเชี่ยวกรากเบื้องล่าง..ใจคิดว่า หากเกิดเดินพลาด เข็นรถลูกตกลงไปในน้ำ...นั่นคือ จุดจบของชีวิต
            แต่กัดฟัน กลั้นใจ เดินผ่านมาจนแล้วรอดอีกฝั่งหนึ่งจนปลอดภัย
            แอนเจล่าลุกขึ้นมานั่ง หน้าตาแจ่มใส..หายจากไข้เป็นปลิดทิ้ง...
            บนถนนเส้นทางกลับสู่บรันเดนเบอร์ค สองข้างทางเต็มไปด้วยซากศพของทหารเยอรมัน ที่บางศพโชคดีมีคนเอาหนังสือพิมพ์มาคลุมหน้าให้
            ฉันพยายามเดินเข็นรถลูกเลี่ยงผ่านไปทั้งศพและซากปรักหักพังอย่างลำบากลำบน..
            ฉันได้พบกับเพื่อนบ้าน คุณนายซิคเกลอร์ ที่มีลูกชายกำลังอยู่ในวัยรถเข็นอย่างของฉัน เราจึงร่วมเดินทางกลับไปด้วยกัน เมื่อเดินผ่านมาทางธนาคารที่ถูกระเบิด พบว่า ทหารรัสเซียกำลังเปิดประตูเซฟ
            และเอาเงินมาร์คที่เป็นฟ่อนๆนั้นออกมาโปรยปรายเล่นอย่างสนุก และยิ่งสนุกกันใหญ่ เมื่อเห็นชาวเมืองต่างไล่ตามเก็บกันอย่างชุลมุน
            เมื่อมาถึงบ้าน จึงได้พบว่า ทุกอย่างกำลังถูกไฟใหม้เกือบหมด ข้าวของถูกรื้อมากองอยู่ที่ลานหน้าตึก และไฟกำลังลามเลียไปยังส่วนที่ฉันได้เก็บกระเป๋าข้าวของส่วนตัวจากเวียนนา
            กระเป๋าที่แม่ได้ฝากไว้ให้ฉันกับเปปปินั่นไง...
            ฉันวิ่งผวาเข้าไปในกองเพลิงอย่างฉุดไว้ไม่อยู่
            เฟรา ซิคเกลอร์ รีบมาดึงตัวไว้ บอกว่า อันตราย อย่าเลย ของนอกกายอย่าไปเสียดมเสียดาย..
            แต่ฉันไม่ฟังเสียง..สะบัดจนหลุด..ตั้งหน้าวิ่งเข้าหากองไฟต่อไป..เพราะของนอกกายที่ว่านี่ มันคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของฉัน...ปากก็ร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ
            ทหารรัสเซียคนหนึ่งที่มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาเอาผ้านวมคลุมตัวและวิ่งเข้าไปหยิบออกมาให้ เมื่อกระเป๋านั้นได้ส่งถึงมือ ฉันรู้สึกเต็มตื้นจนแทบจะทรุดตัวไปอยู่ที่แทบเท้าของเขาเป็นการขอบคุณ
            ทุกคนกรูเข้ามามุงดูในยามที่เปิดกระเป๋า ต่างหวังที่จะได้เห็นเพชรนิลจินดา หรือ เงินทองของมีค่า...แต่เมื่อได้ปรากฏต่อสายตาว่า..ในนั้น มันเป็น หนังสือชุดของมหาปราชญ์เกอเธ่
            ต่างก็มองตา...และคงคิดเหมือนๆกันว่า..ฉันคงเป็นบ้าไปแล้ว..

            เมื่อบ้านช่องได้ถูกทำลายไปเป็นจุลแล้ว..เราจึงต้องไปหาที่ซุกหัวนอนกันใหม่ ในที่สุดก้ได้รับความอนุเคราะห์จากโรงเรียน ที่คุณครูได้ให้อาศัยในห้องเล็กๆหลังเวทีในหอประชุม ที่มีเตียงแบบเปลพยาบาลวางไว้ให้
            ฉันและเฟรา ซิคเกลอร์ ต่างเหนื่อยอ่อนจนเคลิ้มหลับไปโดยลืมปิดประตูเสียสนิท
            กลางดึก..เราได้ยินเสียงกึงกังที่หน้าประตู และเมื่อแอบดูจึงเห็นว่า ทหารรัสเซียหลายนายเดินผ่านไปมา และเมื่อเขาได้เปิดประตู พบว่าไม่ได้ล๊อค อีกทั้งมืดสนิท เข้าใจว่าเป็นห้องเสื้อผ้า จึงไม่ใส่ใจ เดินผ่านเลยไป
            เราสองคนต่างกุมมือกันแน่น เงียบกริบแทบไม่หายใจ ต่างหวังว่า ลูกของเราคงไม่แผดเสียงขึ้นมา..

            เมื่อมาถึงตอนเช้า..เรากลับออกไปข้างนอกอีกครั้ง ไปหาบ้านที่ไม่มีเจ้าของ..เข้าไปอาศัยอยู่ หาของกินที่เขาทิ้งเอาไว้เช่นแพนเค้กเย็นๆ น้ำก็ไปดื่มเอาตามหัวดับเพลิง
            ส่วนลูกนั้น..โชคดีเหลือเกินที่มียาน้ำตาลติดตัวมา..ได้เอามาผสมกับน้ำให้ลูกได้ดื่มกิน

            ข่าวเรื่องทหารรัสเซียเที่ยวไปข่มขืนใครต่อใครนั้น ลือกันหนาหูในสองสามวันแรกๆ จากนั้นก็จางหายไป พวกที่ระหกระเหินต่างก็พากันไปอยู่กับญาติสนิทมิตรสหาย
            อย่าง เฟรา ซิคเกอร์ ก็แยกไปอยู่กับพี่น้อง ส่วนฉันไม่มีใคร..ก็เลยอาศัยอยู่ในอพาร์ตเม้นต์ร้างโดยเลือกเอาห้องที่อยู่ใกล้กับหัวดับเพลิงที่สุด
            และวันๆฉันได้พยายามออกไปหาคนรู้จัก เพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านที่มีสภาพสมบูรณ์..ยังไม่ได้ถูกทำลายนั้น เธอนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูความล่มสลายของบ้านเมือง ในสภาพที่ยับเยิน ดวงตาเขียวช้ำ จมูกเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือด เสื้อผ้าขาดวิ่น...เธอเล่าด้วยเสียงปนสะอื้นว่า
            "ฉันพยายามขอร้องมัน..เสนอนาฬิกาเรือนทองของสามีให้ แต่มันเปิดแขนให้ดู แขนที่เต็มไปด้วยนาฬิกานานาชนิด โชคดีที่ลูกฉันไปอยู่กับแม่ที่บ้านนอกแล้ว"
            "ฉันจะพาเธอไปหาหมอนะ..เขาอาจช่วยเธอได้"
            "ไม่เป็นไรหรอก..ฉันอยู่ได้ มีอาหาร มีน้ำพร้อมแล้ว" ว่าแล้ว เธอก็มองไปรอบกาย เพื่อให้แน่ใจว่า เธอกำลังพบกับความจริง และกำลังอยู่บนโลกที่ปราศจากสามี ปราศจากท่านผู้นำฮิตเล่อร์ ผู้ที่เคยสัญญาไว้กับเธอว่าจะพาไปสู่ชัยชนะขั้นครองโลก ซึ่งทั้งหมดนั้น ได้เลือนหายไปจากชีวิตอย่างหมดสิ้น ...


            เจ้าของบ้านที่ฉันได้ไปขอยืมอาศัยอยู่นั้นได้กลับเข้ามา..และดีใจหนักหนาที่ของทุกอย่างอยู่ครบ พวกเขาจึงเสนอให้ฉันได้อาศัยอยู่ต่อไป ซึ่งในยามนั้น สิ่งเดียวที่ฉันและลูกกำลังผจญอย่างหนัก
            นั่นก็คือ ความหิวโหย..และในทุกวันเราต้องไปยืนเข้าคิวรอรับบริจาคอาหารที่เหลวเละแทบไม่มีเนื้อมีหนัง ฉันผ่ายผอมไปมากจนบางครั้งอ่อนแรงจนแทบอุ้มลูกไม่ไหว
            เชื่อไหมล่ะว่า..หมาแมวในเมืองค่อยๆหายไปจนไม่มีเหลือให้เห็น..
            นับเดือนๆที่บ้านเมืองต้องผจญกับความอดอยากแร้นแค้น ทุกคนกลายเป็นขโมย..ทุกคนโหยหิว..ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา เสาไฟฟ้าไม่มีหลอดไฟ เพราะถูกขโมยเกลี้ยง..
            อาหารที่แจกก็ต้องเอามีดส้อมไปเอง..ไปรษณีย์ส่งด้วยรถม้า เปปปิส่ง ส.ค.ส. มาให้เมื่อสิ้นปี 1945
            มาถึงฉันเมื่อกรกฏาคม 1946
            บุหรี่กลายเป็นสินค้าแลกเปลี่ยนที่มีค่า ตอนนั้นเป็นเรื่องขำขันของอเมริกันที่ไม่ขำ ที่ว่า จะนอนกับผู้หญิงเยอรมันคนไหนก็ได้ด้วยบุหรี่ไม่กี่ตัว..
            เนื่องจากกองทัพรัสเซียมีกฏเข้มไม่ให้มีการยุ่งเกี่ยวกับชาวเยอรมัน ดังนั้น การซื้อขายแลกเปลี่ยนจึงต้องทำกับอังกฤษ และ อเมริกัน..

            ตั้งแต่หลังจากที่รัสเซียเข้าเมืองมา..ทุกคนต้องใส่ปลอกแขนขาว(อันว่ายอมแพ้)นั้น บนปลอกแขนขาวนั้น ยังต้องมีสังกัดเชื้อชาติไว้ด้วยว่า เป็นชาติไหน เพื่อที่จะได้รับการช่วยเหลือในเรื่องอาหารการกิน
            อย่าง  
            ออสเตรียน ก็ต้องมี สีแดง น้ำเงิน ขาว อันเป็นสีธงชาติกำหนดไว้ ซึ่ง ฉันได้ใช้อันนั้น ทหารรัสเซียได้ให้อาหาร และเครื่องใช้กับฉันบ่อยๆ
            ประตูคุกได้ถูกเปิดออก นักโทษนานาชนิดได้หลั่งไหลออกมาเดินตามท้องถนน นักโทษคนหนึ่งสังเกตเห็นที่ปลอกแขนของฉัน จึงเข้ามาทักทาย เพราะเขาคือ
            ออสเตรียนเช่นกัน ติดคุกด้วยข้อหา
            พยายามล้มล้างกองทัพนาซี และหลังจากที่คุยกันไม่นาน เขาก็ขอที่อยู่ของฉันไว้ ไม่กี่วันต่อมา มีรถบรรทุกมาจอดที่หน้าบ้าน ที่เต็มไปด้วยผักสด มันฝรั่ง ผลไม้ มากองให้กับฉัน จากเขาคนนั้น
            ทั้งๆที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนาม..ฉันแบ่งปันให้กับเพื่อนบ้านถ้วนหน้า ผู้เฒ่าผู้แก่ต่างว่า..เหมือนฟ้าประทานจริงๆ...

            กว่าพวกเราจะได้รับบัตรปันส่วนอาหารก็ใช้เวลาถึงหกเดือน ซึ่งหมายถึงว่า เด็กจะได้หางน้ำนมวันละหนึ่งถ้วย ส่วนที่อยู่กันมาได้นั้น เพราะเงินที่ฉันเอาออกมาแอบซ่อนไว้ใต้เบาะในรถเข็นของลูก
            ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็แทบหมดเกลี้ยง..ฉันควรต้องออกหางานทำ..แต่..การที่จะหางานทำนั้น ฉันจะต้องมีบัตรประจำตัวที่แท้จริง ที่ฉันยังไม่กล้าเปิดเผยกับใครว่า...เป็นยิว
            เพราะช่วงเวลาสงครามที่ผ่านมา..ไม่มีใครเลยที่กล้าเอ่ยปากถึงเรื่อง"ยิว" ไม่แม้แต่คำเดียว
            แต่คราวนี้ ชาวเยอรมันต่างๆเริ่มพูดถึงเรื่องที่ชาวยิวจะกลับมาแก้แค้นเอาคืน..
            ทุกครั้งที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาในเมือง ผู้คนมักทำหน้าตาตื่นๆ ถามไถ่กันว่า.."ใช่พวกยิวหรือเปล่า?"
            เพราะต่างหวาดเกรงว่า จะได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม แบบเฉือนเลือดเฉือนเนื้อเข้าแลก
            ประเภท ตาต่อตา ฟันต่อฟัน
            มันน่าหัวเราะนัก..เพราะพวกเขาคงยังไม่รู้กระมังว่า..พวกยิวที่ว่านั้นได้ถูกฆ่าตายไปอย่างทรมานจนเกือบหมดแล้ว..ส่วนที่เหลือก็แทบจะเอาตัวไม่รอด..
            จะกลับมาแก้แค้นอะไรกับใครที่ไหนได้..
            เพราะด้วยบรรยากาศแบบนี้ ฉันจึงไม่กล้าประกาศกับใครว่า เป็นยิว..ด้วยเกรงว่าจะไม่เป็นการปลอดภัย

            สองเดือนผ่านไป หลังจากที่รัสเซียได้รับชัยชนะศึก ฉันได้กรีดปกหนังสือที่ซ่อนหลักฐานประจำตัวออกมา และนำไปยังสำนักงานทนายความ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลขอกลับไปใช้ชื่อเดิม
            จาก Grete Vetter nee Denner มาเป็น Edith Vetter nee Hahn
            จากนั้น ฉันได้ไปติดต่อที่สถานีวิทยุ ประกาศหาคนหาย โดยถามหาชื่อแม่...นาง คลอทธิลด์ ฮาห์น ช่างเสื้อจากเวียนนา ที่ถูกส่งไปยังค่ายในโปแลนด์ ตั้งแต่ ปี1942 ถ้าใครพบหรือรู้จัก
            กรุณาส่งข่าว..ที่ลูกสาว
            พวกคอมมิวนิสต์ที่กลับมาจากค่าย..ได้กลับมาเล่าเรื่องที่สอดคล้องกับที่ ธอมัส มานน์ได้เกริ่นไว้..คนหนึ่งได้เล่าว่า เขาได้ถูกส่งตัวไปทำหน้าที่เราะเสื้อผ้าของชาวยิวเพื่อหาของมีค่าที่ซ่อนเอาไว้
            แต่..ฉันยังไม่อยากปักใจเชื่อว่า แม่จะตายจาก..การประกาศหายังดำเนินต่อไป..

     
            ฉันกลับไปที่สำนักงานทะเบียน และพบกับเจ้าหน้าที่คนเดิมที่ทำการเขียนใบสมรสให้..เขาจำฉันได้ และทักว่า
            "อ้อ..คุณนาย..เรายังไม่ได้หลักฐานจากทางมารดาของคุณเลย..ตอนนี้สงครามเลิกแล้ว เพื่อนของคุณคงเดินทางไปมาและเอาเอกสารมาได้นะ .."
            "คงไม่จำเป็นแล้วมังคะ เพราะยังไงมันก็ต้องเป็นหลักฐานปลอมอยู่ดี"
            "อะไรนะ??"
            "นี่ค่ะ หลักฐานที่แท้จริงของฉัน ตามคำสั่งศาล"
            ว่าแล้ว..ฉันได้ยื่นบัตรประจำตัวของจริงให้ดูเป็นขวัญตา ตานั่นมองบัตรยิวด้วยความมึนงง คงช๊อคไปชั่วขณะ ก่อนที่จะพึมพำว่า
            "คุณโกหก.."
            "ใช่ค่ะ"
            "คุณปลอมแปลงหลักฐาน"
            "ก็ใช่อีกน่ะค่ะ"
            "นี่มันโทษอาญาเชียวนะ"
            ฉันยื่นหน้าไปจนแทบชิด..จนแทบจะหายใจรด ก่อนที่รีดเสียงตอบกลับไปว่า
            "งั้นคุณก็ลองไปแจ้งโทษซิคะ..เลือกให้ดีแล้วกันว่าจะขี่ม้าสามศอกไปฟ้องที่ไหน.."
            และนี่คือครั้งแรก ที่ฉันได้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง หลังจากที่หลบซ่อนมาหลายปี คุณๆอาจสงสัยว่า..ฉันรู้สึกอย่างไร จะตอบให้ว่า..ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย..
            เพราะคุณต้องเข้าใจว่า..จากการที่อุดอู้อยู่ในสภาพยู-โบ๊ทมานานหลายปีนั้น มันก็เท่ากับว่ากบดานอยู่ใต้มหาสมุทรที่ลึกล้ำ กว่าจะลอยตัวให้มารู้สึกเดินอยู่บนพื้นดินอย่างเต็มสองฝ่าเท้านั้น
            มันต้องใช้เวลา..เฉกเช่นเดียวกับชาวยิวที่เหลือคนอื่นๆ หรือ อาจจะต้องใช้เวลาตลอดไป...นานจนชั่วชีวิต..

            ฉันได้ไปแสดงตัวกับผู้ว่าการคนใหม่ ผู้ซึ่งเป็นคอมมิวนิสต์และใช้เวลาอยู่ในค่ายกักกันมานานหลายปี เขาถามฉันว่า
            "คุณมาจากค่ายนรกค่ายไหนกัน?"
            "ดิฉันหลบหนี ซ่อนตัว ไม่ได้เข้าค่ายค่ะ"
            ผู้ว่าการนั่น ได้ตรวจสอบวุฒิบัตรการศึกษาของฉันอย่างละเอียด และ ลงความเห็นว่า ฉันมีความรู้พอต่อการทำงานในตำแหน่งทนายความผู้ช่วยผู้พิพากษาศาล
            ดังนั้น เขาจึงส่งฉันไปรับมอบงานที่ศาลแห่งเมืองบรันเดนเบอร์คอย่างทันทีทันใด..
            ชีวิตใหม่ของฉันได้เริ่มต้นขึ้น อย่างมหัศจรรย์เกินความคาดคิด


            มาถึงตอนนี้ เหล่าบรรดานายทหารนาซีสารพัดยศต่างพากันหลบลี้หนีหน้า ถอนเสาเรือนหนีกันไปสิ้น ที่เหลืออยู่ในเมืองคือพวกทหารนาซีตัวเล็กตัวน้อยที่พยายามบืดเบือนประวัติของตัวเองกันอย่างสุดฤทธิ์
            ศาลของเมืองยังอยู่ในสภาพเรียบร้อย ไม่ได้ถูกระเบิดเสียหาย..กองทัพรัสเซียจึงสามารถค้นหาหลักฐานได้ว่าใครเป็นใคร ยิ่งพวกที่ชอบเขียนจดหมายที่มี Heil Hitler ! หรือ
            Gott Strafe England ! {May God destroy England} ทิ้งไว้แล้วละก้อ..รอดยาก

            วันที่ 1 กันยายน 1945 คือวันที่ ฉันได้ย่างก้าวไปทำงานเป็นวันแรก..บนชั้นสองของศาล นาย อูลริค ได้ส่งแฟ้มคดีเก่าๆมาให้ศึกษาเป็นแบบอย่างของระบบขั้นต้น
            พวกอัยการ และผู้พิพากษาเก่าๆที่เคยโดนไล่ออก เพราะต่อต้านระบบนาซีนั้น ต่างกลับเข้ามาทำงานกันใหม่ ดูเหมือนว่า พวกเขาจะมีความสุขต่อการทำงานในครั้งนี้มาก เพราะแค่เริ่มต้นการซักถามจำเลยว่า..
            "ตอบมาหน่อยซิ..ว่า..คุณเป็นสมาชิกพรรคนาซีหรือเปล่า?"
            แล้วก็คอยนั่งดู หน้าตาจำเลยว่า...จะเปลี่ยนไปเป็นสีอะไร...
            ในตำแหน่งทนายความของฉันนั้น เปรียบเหมือนกับเป็นเสมียนที่กรองรับเรื่องให้กับผู้ที่มาติดต่อขอใช้บริการศาล บางทีก็ต้องทำหน้าที่หนึ่งในกลุ่มของสามของคณะลูกขุนในการตัดสินความ
            (ความจริงต้องใช้ถึงสิบสอง แต่ในยามนั้น จะหาคนสิบสองคนที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนาซีนั้น เป็นเรื่องยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร เลยมาลงตัวแค่สาม)
            ระบบศาลได้เป็นไปในความดูแลของรัสเซีย ซึ่งความจริงพวกเขาต้องการให้ฉันไปทำงานทางด้านดำเนินคดีกับนักโทษการเมือง แต่...ฉันขอเลือกที่จะทำงานทางด้านศาลพลเรือนมากกว่า..
            จุดมุ่งมั่นในอุดมการณ์ของฉันนั้น ได้ถูกจุดประกายมาจากคดีดังของนาย Halsmann ที่เลื่องลือมาตั้งแต่สมัยที่ฉันยังคบหาอยู่กับเปปปิครั้งกระโน้น
            (กลับไปอ่านตอนเก่าๆดูนะคะ.... วิวันดา)

            ต่อมา.. ฉันได้เลื่อนขึ้นทำหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ได้สวมเสื้อครุยอย่างสมบูรณ์ ที่เมื่อย่างก้าวขึ้นบัลลังก์ ทุกคนจะต้องยืนขึ้น โค้งคำนับ และกล่าวว่า " Des Gericht"
            พวกเขาจะนั่งลงได้ ก็ต่อเมื่อ ฉันได้ครองบัลลังก์แล้ว..
            นี่คือครั้งแรกในชีวิต ที่ฉันได้สามารถทำงานให้เต็มที่ สมกับความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา มันเป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่า..มันจะเป็นความสุขที่แลกมาด้วยเลือดและน้ำตาของความทนทุกข์ทรมานก็ตามที

            หลังจากที่ชีวิตใหม่ได้ตั้งต้นขึ้นไม่นาน ฉันก็เริ่มเจ็บป่วย ด้วยโรคผิวหนังมาเป็นอันดับแรก ที่เกิดจากการขาดสารอาหารมานานหลายปี ต่อมาก็ตามด้วยกระดูกเท้าบิดเบี้ยว เพราะสวมใส่รองเท้าที่ผิดสภาพ
            จนต้องไปนอนโรงพยาบาล ฝากเจ้าของบ้านเช่าให้ช่วยดูแลลูก พอรักษาจนหาย ฉันได้ขอสวัสดิการที่พักอาศัย ที่ต้องคอยถึงสองเดือน และได้รับแฟลตที่งดงามน่าอยู่ ในย่านดี มีระเบียงรับลม อดีตเป็นของพวกนาซีที่หลบหนีหายออกไป
            คนที่เข้ายึดครองโรงงานทำเฟอร์นิเจอร์ของพวกนาซี ที่ได้ยึดไปจากพวกชาวยิวนั้น ได้จัดส่งเครื่องเรือนมาให้ฉันในอัตราผ่อนส่งแบบสบายๆ โดยเฉพาะ โต๊ะทำงานไม้งามระยับ ที่มีการตกแต่งด้วยทองเหลือง
            เป็นรูปอุ้งเท้าราชสีห์นั้น หรูหราราวกับมาจากพระราชวัง..แน่นอนเลยว่า..นี่คือ โต๊ะทำงานที่เตรียมไว้ให้กับพวก SS ระดับบิ๊กๆ

            และเมื่อฉันได้ทำงานที่ศาลไปได้ไม่นาน จึงได้ทำเรื่องขอปลดปล่อยตัวเวอร์เน่อร์ให้ออกมาจากคุกเชลยไซบีเรีย โดยบอกว่า
            "สามีของฉันเป็นเยอรมัน ตาเสียข้างหนึ่ง ต้องออกไปรบในแนวหน้าด้วยความจำใจ และไปเมื่อสงครามใกล้จบสิ้น เขาแทบไม่ได้ทำการรบพุ่งอะไรเลย อีกทั้งความดีของเขานั้นคือการที่ได้ให้ที่หลบซ่อน ฉันและลูกให้อยู่อย่างปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ กรุณาเถิดค่ะ"
            แต่ไม่ว่าฉันจะเปล่งเสียงร้องขอมากเท่าใด สิ่งที่ได้รับตอบมาคือ ความเงียบ..
            พวกรัสเชี่ยนเนี่ย..ประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง คือ ไม่ยอมตอบรับ หรือ ปฏิเสธ ท่าทีของเขาคือ นิ่ง..
            เมื่อยิ่งนิ่ง..ฉันก็ยิ่งขอ..

            ต่อมาระบบไปรษณีย์และระบบโทรศัพท์ได้กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ..ฉันเริ่มได้รับข่าวคราวจากบรรดาเพื่อนๆและญาติพี่น้อง ฮันซี น้องสาวคนเล็กได้กลับมาถึงเวียนนา และ พบรวมญาติกับเยาท์สกี้เรียบร้อยแล้ว
            มิมิและมิโลต่างปลอดภัยอยู่ในปาเลสไตน์ เอลลิอยู่ในลอนดอน นอกนั้นคนอื่นๆก็อยู่รอดปลอดภัยเช่นกัน
            แต่พวกเพื่อนๆจากโรงงานนรกนับโหลนั่น ต่างล้มหายตายจากไปเกือบหมด


            ในการทำงานของฉันต้องเกี่ยวกับสวัสดิการของเยาวชนโดยตรง..
            ในยามนั้น เด็กชาวเยอรมันต่างพากันเร่ร่อนกระจัดกระจายอยู่ตามท้องถนน ขอทานตามสถานีรถไฟบ้าง นอนตามกองขยะบ้าง
            แน่นอนว่า พวกเขาเหล่านั้นต่างผันตัวมาเป็นมิจฉาชีพแทบทั้งสิ้น บางคนยอมขายตัวเอง ขายพี่ขายน้องเพื่อความอยู่รอด กลายเป็นหัวขโมยที่ขโมยได้ทุกอย่าง..
            พวกนี้เมื่อถูกจับได้ จะต้องถูกส่งตัวมาที่ฉันในฐานะของผู้พิพากษาโทษผิด
            ฉันจำได้ถึงระบบของค่ายแรงงานที่ อัสเตอร์เบอร์ค และ รู้ดีว่า เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะส่งพวกเขาไปปะปนกับพวกอาชญากรในคุก และโทษที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุด นั่นคือ
            การส่งไปทำงานสาธารณประโยชน์เช่น ทำความสะอาดถนน เก็บซากปรักหักพัง..
            นโยบายของรัสเซียในยามนั้น คือการกวาดต้อนเด็กชาวเยอรมัน เรียกได้ว่าพรากจากอกแม่กันเลยทีเดียว ส่งกลับไปเลี้ยงยังรัสเซีย เพื่อเป็นการแก้แค้นเอาคืนที่เยอรมันได้ไปกวาดต้อนเด็กรัสเซียเข้ามาเป็นทาสแรงงานนับพันนับหมื่น..และนี่คือโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นรายครอบครัว..
            อย่างรายของ คาร์ล่า อดีตเพื่อนบ้านชั้นบนของฉัน..ที่มาหาในวันหนึ่ง เธอได้ทักว่า
            "จริงหรือ ที่เขาว่าเธอเป็นยิวน่ะ กรีท..??"
            "ใช่..ชื่อจริงของฉัน คือ อีดิธ "
            "งั้น เธอคงช่วยแก้ปัญหาให้ฉันได้นะ..คือว่า..เธอก็รู้ดีว่า ฉันและสามี เราไม่มีลูกด้วยกัน และเราทั้งสองไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคนาซี จึงไม่มีสิทธิขอรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมในตอนนั้น ทีนี้ เราก็ไปได้เด็กที่เป็นลูกของนักโทษฝรั่งเศสมาเลี้ยง และเรารักแม่หนูเอลซีนี่มาก มากเท่าชีวิตเลยนะ ทีนี้ พวกรัสเซียจะมาเอาเธอไป.. กรีท เอ้อ..อีดิธ ฉันจะต้องทำอย่างไรดี ช่วยหน่อยซิ กรุณาเถิด"
            "ได้ซิจ๊ะ..ฉันยินดี"
            ฉันรับคำไปอย่างมุ่งมั่น เพราะอย่างน้อยๆนี่คือการทำกุศลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในการที่จะช่วยรักษาชีวิตให้ใครต่อใครได้
            คดีที่ล้นศาลในระหว่างนั้นมีมากมาย และข้อความคล้ายๆกันหมด กล่าวคือ พวกบรรดาพ่อของเด็กที่ต่างติดคุกอยู่ในค่ายเชลย มักถูกพวกเมียเก่าๆออกมาเรียกร้องสิทธิโดยอ้างว่า พ่อของเด็กคือนาซี
            อย่างกรณีที่เห็นง่ายๆคือ ถ้าอลิซาเบธจะออกมาเรียกร้องสิทธิของเลี้ยงดูแม่หนูบาร์เบิ้ลคนเดียว เพราะเวอร์เน่อร์อยู่ในค่ายเชลย ก็ย่อมได้ ซึ่งฉันไม่มีวันยอมให้มันเกิดขึ้นแน่นอน


            ในช่วงหลังสงครามนั้น ความโหดร้ายได้แผ่ซ่านไปทั่ว..ผู้คนต่างพากันฆ่าตัวตายไปตามฮิตเล่อร์ และ เกิบเบิ้ลส์ มากมาย
            พอเจ้าหน้าที่ได้พาหญิงคนหนึ่งมาพบฉัน ในข้อหาฆาตกร และ พยายามที่จะฆ่าตัวเอง หญิงคนนั้น ได้เอ่ยว่า เธอต้องการฉันเป็นผู้ดำเนินคดีแต่ผู้เดียว ในข้อกล่าวหานั้น หญิงคนนี้ได้โยนลูกสามคนทิ้งน้ำ และกำลังจะกระโจนตามลงไป แต่ทหารรัสเซียได้ลากตัวขึ้นมาได้
            ด้วยข้อหาที่กล่าวมา..
            ทันทีที่หล่อนได้เงยหน้าขึ้น..ฉันก็จำได้ทันทีว่า..หล่อนคือ หญิงคนที่ไปคลอดลูกที่สภากาชาดในขณะที่ฉันทำงานอยู่ และไม่ยอมกลับบ้านเนื่องจากถูกผัวซ้อมจนยับเยินเป็นประจำ
            ฉันรับว่าความให้เธอทันที..ด้วยข้อโต้แย้งที่ว่า เธอได้เสียสติไปแล้ว จากการที่ถูกกระทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ไม่มีแม่คนไหนที่อยากทำร้ายลูกให้เจ็บปวด แต่ถ้าจะต้องอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน แม่ทุกคนไม่มีใครยอมได้ อย่างกรณีของฉัน ถ้าแม่มีญาณได้รู้ว่า ในอนาคตฉันจะต้องพบกับอะไรบ้าง..แม่คงฆ่าฉันให้ตายไปนานแล้ว..
            สรุปว่า..เธอรอดไปได้

            หัวหน้าศาลคนใหม่ นามว่า ไฮล์ดี้ เบนจามิน ได้เรียกประชุมรายเดือนระหว่างกลุ่มผู้พิพากษาหญิงที่กรุงเบอร์ลิน และในทริปหนึ่ง ฉันได้ติดต่อกับกลุ่มสงเคราะห์ชาวยิวจากอเมริกา ที่พยายามช่วยเหลือ
            ชาวยิว(ที่เหลือ)ในยุโรป กลุ่มสงเคราะห์นี้ได้ทำการจัดส่งข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นให้เช่น ผ้าอนามัย ถุงเท้า รองเท้า บุหรี่ ซึ่งฉันได้ใช้บริการนี้จัดหาเครื่องใช้จำเป็นเช่นเสื้อผ้าและรองเท้าของลูก
            จนมาถึงช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 1946 มีคนมาบอกว่า ที่ชายเขตแดนฝรั่งเศสนั้นมีกลุ่มเชลยชาวยิวที่เหลือรอดอยู่กันหนาแน่น ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดี เพราะ ใกล้เวลาสิ้นปี เทศกาล Rosh Hashanah
            กำลังมาถึง ฉันอยากไปถามข่าวคราวของแม่..จึงขอลาหยุดงานสามสี่วัน
            การเดินทางในช่วงนั้นนับว่าลำบากลำบนอย่างที่สุด รถไฟวิ่งกันตามใจชอบ ไม่มีตารางเวลาที่แน่นอน มีป้ายเตือนปิดอยู่ไปทั่วว่า การเดินทางโดยการขนส่งสาธารณะ อาจมีการติดเชื้อโรคร้ายแรงได้
            ถนนหนทางก็เต็มไปด้วยซากเศษหิน กองขยะ ซึ่งในที่สุด เพื่อความปลอดภัย..ฉันต้องอุ้มลูกไว้ในมือหนึ่ง เข็นรถไปด้วยอีกมือหนึ่ง..

            ที่แค้มป์นั้น ฉันเชื่อว่าอดีตคือโรงเรียน เพราะมีห้องใหญ่ๆหลายห้อง แต่ละห้องเต็มไปด้วยเตียงที่วางเรียงกัน ดูเหมือนที่อพยพหลังภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วม ไฟใหม้ อะไรเช่นนั้น
            ฝั่งหนึ่ง เป็นของพวกคนชรา และเด็กๆ พวกที่ว่าชรานั้น ไม่ใช่เพราะว่าอายุชรา หากแต่ว่า พวกเขาดูเหมือน..ด้วยท่าทีที่ซูบซีด ทรุดโทรม จากการผ่านการทำงานหนัก การอดอาหาร ฟันหลุดไปจนหมดปาก
            พวกเขาพยายามเข้ามาจับต้องแอนเจล่าด้วยท่าทีที่เอ็นดู เพราะไม่ได้พบพบเด็กที่อวบอิ่มสมบูรณ์มานานแสนนาน
            ฉันไม่พบร่องรอยของแม่เลยแม้แต่นิด...

      

            ชายคนหนึ่ง..เข้ามากระซิบหื่นๆว่า..เข้ามาคุยด้วยหน่อยซิ..ไม่เคยเจอะเจอผู้หญิงสวยๆมานานแล้ว..
            ฉันต้องตะเพิดออกไปว่า.."ออกไปนะ..อย่ามายุ่ง ฉันมาตามหาแม่ฉัน"
            "งั้นเธอก็เป็นยิวน่ะซิ..มาจากไหนล่ะ?"
            "ใช่ซิ..ฉันเป็นยิว มาตามหา คลอทธิลด์ ฮาห์น ใครรู้จักเธอบ้าง??"
            ตอนนี้..พวกเขาได้มายืนรายล้อม มุงดูฉัน ท่าทางไม่มีใครช่วยอะไรได้..ในที่สุด ฉันได้ระเบิดออกไปว่า
            "อย่ามายุ่งกับฉันนะ ฉันแต่งงานมีสามีแล้ว สามีของฉันอยู่ในค่ายเชลยที่ไซบีเรีย นี่คือ ลูกสาว ที่ฉันมานี่เพราะอยากอยู่กับพวกยิวด้วยกัน เพราะยังไงก็จะถึง เทศกาล รอช ฮัสชาน่าห์ นี่แล้ว พวกคุณเป็นยิวชนิดไหนกัน ไม่เคยพบเคยเห็น"
            ชายคนหนึ่งเข้ามากระชากผมฉันจนหน้าหงายไปข้างหลัง เขาเป็นคนร่างสูง ที่โกนหัวจนล้านเลี่ยน ดวงตาทั้งคู่สีแดงจัด เขาว่า
            "อ้อ..แกมีผัวเป็นทหารเยอรมันงั้นซิ อีสั..มิน่าเล่า ดูเป็นคุณนายสมบูรณ์พูนสุขดีนี่.." ว่าแล้ว มันได้หันไปประกาศกับพวกพ้องว่า..
            "ดูอีนี่ให้เต็มตานะพวกเรา..มันไปนอนกับไอ้พวกโกยิมได้ แต่มาทำท่าขยะแขยงพวกเรา"
            {Goyim หมายถึง ชาวเยอรมันตามที่ชาวยิวเรียก}

            ฉันรีบสะบัดตัวให้หลุดออกมาจากการเกาะกุม พาตัววิ่งออกมาให้พ้นอย่างเร็วที่สุด แทบไม่เชื่อตัวเองว่า คนพวกนี้คือชาวยิวด้วยกัน เป็นไปไม่ได้..ชายยิวที่ฉันเคยรู้จักและพานพบมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนั้น
            คือ พวกที่สงบเสงี่ยม ปราดเปรื่อง เป็น เยชิวา
            (yeshiva = ชนชั้นมันสมอง) ที่น่าภาคภูมิ คนพวกนี้กลายมาเป็นสัตว์นรกอย่างที่เห็นได้อย่างไรกัน...พวกนาซีมันทำอะไรกับพวกเขา???

            มาถึงตรงนี้ ฉันเริ่มรู้ตัวแล้วว่า ไอ้ชีวิตของการเป็นยู-โบ๊ท ที่ฉันคิดว่ามันหนักหนาสาหัสนักนั้น มันอาจจะไม่ร้ายกาจอย่างที่คิดเมื่อเทียบกับคนอื่นๆอย่างที่เห็น
            ฉันตกใจจนตัวสั่น น้ำตาไหลพรากทุกครั้งที่คิดถึงประสบการณ์ที่พานพบมาหมาดๆนั่น...
            ร่างกายอ่อนเปลี้ยจนไม่สามารถหอบหิ้วอุ้มลุกกลับมาได้ จนต้องฝากแม่หนูแอนเจล่าไว้กับผู้ดูแลค่าย
            โดยที่ตัวเองจะรีบมารับโดยทางรถยนตร์ในวันรุ่งขึ้น

            ขากลับบ้าน ฉันได้พบว่ารถไฟไม่วิ่ง.. และ นักค้าของตลาดมืดได้มาบอกว่า จะมีรถไฟสายผ่านบรันเดนเบอร์ค แต่ว่ามันเป็นขบวนของพวกทหารรัสเซีย ผู้หญิงไม่ควรขึ้นหรอกนะ
            แต่...ฉันไม่มีทางเลือกใดๆทั้งสิ้น เมื่อขบวนได้มาถึง
            ทั้งโบกี้ว่างเปล่า ทหารคนหนึ่งหน้าตาออกแนวเอเชี่ยนได้บอกฉันว่า
            "นี่มันขบวนรถส่วนตัวของผมเลยนะเนี่ย..ถ้าคุณจะไปด้วย ก็ต้องเข้าไปในคอมพาร์ตเม้นต์ของผม"
            ฉันเข้าไปจริงๆ แต่ไม่กล้านั่ง..ได้แต่ยืนพิงที่หน้าต่าง..ทหารคนนั้นเดินเข้ามายืนประชิดข้างๆและเอื้อมแขนมาโอบเอวอย่างถือวิสาสะ
            "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงเยอรมัน เป็นยิว.."
            ได้ผล..มือนั้นหลุดออกไปอย่างอัตโนมัติ..
            "มีนายทหารผู้คุมมาในขบวนนี้ด้วย เขาเป็นยิวเช่นกัน มาซิ จะพาเธอไปรู้จัก" นายนั่นบอก

            นายทหารคนนั้น มีผมสีดำ ดวงตาสีดำเหมือนกับของพ่อ ทักทายฉันด้วยภาษายิดดิชที่เร็วปรื๋อ
            "ฉันไม่รู้ภาษายิดดิชค่ะ"
            "งั้นคุณก็ไม่ใช้ยิว.."
            "ฉันเป็นยิวจากเวียนนา เราไม่เคยเรียน"
            "ยิวจากเวียนนาถูกฆ่าตายไปหมดแล้ว....อย่ามาโกหก"
            "Shema Yisrael...Adonai eloheynu . Adonai echod" ฉันท่องบทสวดส่งวิญญาณนี้ขึ้นมา เป็นครั้งที่สองหลังจากที่สวดให้เมื่อพ่อตาย...สิบปีมาแล้ว น้ำตาไหลพราก..จนต้องเอนตัวไปหาที่พิง
            ในที่สุด..เขาได้แสดงน้ำใจ บอกมาว่า..
            "รถไฟขบวนนี้วิ่งมาว่างๆอย่างนี้ เพื่อที่จะมารับคนของเรากลับรัสเซีย นี่คือตารางการวิ่ง เธอจะมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ฉันขอรับรองความปลอดภัยอย่างแน่นอน"
            เขาจับมือฉันด้วยการแสดงความเห็นใจ และเป็นการให้กำลังใจ
            แต่มันช่างไร้ผลสิ้นดี เพราะจากเหตุการณ์ในค่ายยิวนั่นยังทำให้ขวัญผวาไม่หาย
            และวันรุ่งขึ้น ฉันได้ขอร้องให้สามีเพื่อนช่วยสงเคราะห์ขับรถพาไปรับแอนเจล่ากลับมาจนได้

 

            พอชีวิตเริ่มอยู่อย่างสงบนิ่ง..ฉันจึงได้รับเด็กกำพร้ามาอุปการะหนึ่งคนจากสถานเด็กกำพร้า เธอเป็นเด็กหญิงวัยแก่กว่าแอนเจล่าหน่อยนึง ชื่อว่า เกรเทิล ซึ่งฉันให้เธอเรียกว่า "น้า"
            เด็กทั้งสองเข้ากันได้ดี ฉันเองก็เริ่มมีความสุขกับชีวิตความเป็นอยู่มากขึ้น ชีวิตที่ได้ทำอาหารเย็นเลี้ยงดูพวกแก และ พาอาบน้ำ เข้านอน อ่านนิทานให้ฟัง
            หลายต่อหลายครั้งที่เกรเทิลมักถามฉันว่า เมื่อไหร่แม่หรือพ่อของแกจะกลับมา หรือ พวกเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
            สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ นั่นก็คือ การหาคำตอบออกมาให้ดีที่สุด และ ไม่ลืมที่จะบอกเธอไปว่า
            ไม่ว่าพ่อแม่จะอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ยังรักและคิดถึงเธอเสมอ ซึ่งผลดีของมันคือ เด็กทั้งสองสามารถหลับลงไปได้ด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมบนใบหน้าน้อยๆ

            นี่คือครั้งแรกในรอบสิบปี ที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้สัมผัสกับความจริง ที่มีครอบครัวเป็นของตัวเอง มีเพื่อนที่เข้าใจ มีงานทำ และที่สำคัญคือ ได้เป็นตัวของตัวเอง
            เป็นอีดิธ ฮาห์น ที่สามารถจะสร้างความฝันให้เป็นจริงขึ้นมาได้ในสักวันหนึ่ง
            ฝันนั้นคือ การกลับมาของแม่ ซึ่งแน่นอนว่า แม่คงต้องแก่ไปตามวัย อาจทรุดโทรมไปตามกับชีวิตที่ต้องใช้อยู่ในสลัมที่โปแลนด์
            ต่อมาคือความฝันของการอยู่ดีกินดี อนาคตที่ดีที่ฉันจะสามารถสรรหามาปรนเปรอแอนเจล่าไม่ให้น้อยหน้าใครและเราสองคนแม่ลูกจะไม่มีวันพลัดพรากจากกันไปไหนทั้งสิ้น
            สุดท้ายคือ ความฝันที่จะได้เห็นเวอร์เน่อร์กลับคืนมา
            เขาจะต้องชื่นชอบที่อยู่ใหม่ของเรา อาจจะหางานทำตามที่ใจรัก เราจะอยู่พร้อมหน้ากัน พ่อ แม่ ลูก
            หรือบางที บางที เราอาจจะมีลูกเล็กๆด้วยกันอีกสักคน
            ก็เป็นได้ ใครจะรู้ .....

            คืนหนึ่ง...ในช่วงปลายๆปี 1946 ขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ที่บ้าน เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้าน..เมื่อไปเปิดออกดู ชายคนหนึ่งยัดของชิ้นหนึ่งลงในมือของฉันอย่างรวดเร็ว และ รีบจากไปโดยไม่พูดไม่จา
            ฉันต้องมะงุมมะงาหราสิ่งของชิ้นนั้นที่กระเด็นหลุดจากมือ เพราะไม่ทันระวังตัว มันตกกลิ้งไปไปอยู่พื้น มันคือกล่องใส่แว่นตา..ที่ฉันต้องนำมันมาแกะผ้าบุออกเป็นชิ้นๆ เพื่อหาสิ่งที่ซ่อนเร้นมา
            และสิ่งได้ปรากฏต่อหน้าสายตานั้นคือ จดหมายที่มีลายมือของเวอร์เน่อร์ ที่มีข้อความว่า เขาปลอดภัยดี และไม่ได้รับข่าวจากฉันเลย (ทั้งๆที่ฉันได้พยายามส่งจดหมายไปตลอดเวลา) ข่าวเดียวที่เขาได้รับ
            คือข่าวจากน้องสะใภ้ ที่ว่า โรเบิร์ต กำลังนอนเจ็บอยู่ที่โรงพยาบาล
            เขาเล่าว่า เดือนมีนาคม 1945 เขาได้ถูกจับไปเป็นเชลย และป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลที่โปแลนด์ ซึ่งเขาก็รอดมาได้ทั้งๆที่อดอยากแทบตาย
            ในเดือนพฤษภาคม เขาได้ถูกส่งตัวไปยังค่ายเชลยที่ไซบีเรีย ที่ทรมานอย่างแสนสาหัสจากสภาพภูมิอากาศที่หนาวจนแข็ง หากแต่ในความเป็นอัจฉริยะแห่งความเอาตัวรอดของเขา ที่นำความสามารถพิเศษในศิลปการวาดรูป
            และการประดิษฐ์สิ่งของต่างๆออกมาใช้ในคราวอับจน คือการทำสิ่งของสวยๆงามๆให้กับนายทหารรัสเซียให้นำไปฝากครอบครัว และช่วยซ่อมทาสีอุปกรณ์ ข้าวของเครื่องใช้ให้กับสำนักงานนายทหาร
            จนเป็นที่เอื้อเอ็นดูขึ้นมาบ้าง ในจดหมายเขาได้แสดงความกริ่งเกรงมาอย่างชัดเจน ว่า..จะมีใครยังห่วงหาอยู่หรือไม่ หรือ มีใครสักคนไหมที่คิดจะช่วยเหลือให้พ้นจากขุมนรกนั่นอย่างจริงจัง หรือ
            ฉันได้คิดจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเขาหรือไม่ หรือ ชาวเยอรมันเองได้รู้กันบ้างไหมว่า ทหารที่ออกไปรบเพื่อชาตินั้นต้องตกระกำลำบากขนาดไหน..
            เขาอ้อนวอนมาว่า..ให้ฉันไปช่วยพูดกับกองทัพรัสเซียให้รู้ว่า เขาเองก็เป็นคนที่ต่อต้านอำนาจเผด็จการอยู่อย่างเงียบๆเช่นกัน ดูตัวอย่างได้จากการที่เขายอมแต่งงานกับ"สาวยิว"อย่างฉัน
            สุดท้าย ขอส่งความรักมายังฉันและลูก และขอให้อดทนกัดฟันสู้ต่อไป และขอฝากดูแลแม่หนูบาร์เบิลด้วย


            คิดไปแล้วชีวิตนี้ช่างผกผันนัก เดี๋ยวนี้ ฉันคือ ผู้พิพากษาที่เกริกเกียรติ ที่แทบไม่จำเป็นต้องมีสามีมาช่วยเลี้ยงดู
            ถ้าเขากลับมาจริงๆก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่าการต้องเป็นช้างเท้าหลัง...
            แต่ก็นั่นอีกแหละ อย่างไรเสียก็ต้องช่วยกันเต็มที่
            เพราะเข้าใจในความรู้สึกของเขาดีว่า...มันโหยหาอิสรภาพมากเพียงไร ดังที่ครั้งหนึ่งมันได้เกิดขึ้นกับฉัน
            เมื่อครั้งไปอยู่ในโรงงานและในไร่ที่ต้องทำงานราวกับทาส
            และเคยส่งจดหมายไปหาเปปปิ คนรักที่เวียนนา ข้อความในจดหมายนั่น ฉันยังจำได้ดีว่าเขียนรำพันไป ว่า มีใครที่คิดถึง เป็นห่วงกันบ้างไหม เขายังรักฉันอยู่หรือไม่ และอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด

            ฉันได้พาตัวเข้าพบกับเจ้านาย นายอุลริค และอ้อนวอนว่า
            "ได้โปรดเถอะค่ะ ช่วยเหลือเวอร์เน่อร์สามีฉันด้วย ช่วยกรุณาส่งเขากลับบ้านเถอะค่ะ"
            ฉันจำได้ดีถึงสภาพที่ต้องทนกินขนมปังในคุกที่ผสมขี้เลื่อย มองเห็นภาพของสามีสวมใส่เสื้อผ้าทุกชิ้นให้หนาเข้าไว้ในยามเข้านอน และอาจคุดคู้ด้วยความหนาวเหน็บภายใต้ผ้าห่มบางๆ
            สองมือที่ช่างสร้างสรรของเขาอาจต้องถูกพันให้อุ่นด้วย
            ผ้าขี้ริ้ว..
            เมื่อไม่ได้รับคำตอบ..คราวนี้ฉันวิ่งไปหา ทนายความ นายชูทซ์ เพื่อขอความช่วยเหลือ
            "ได้โปรดเถอะค่ะ คุณสนิทสนมกับพวกรัสเชี่ยนดี ช่วยบอกเขาด้วยว่า เวอร์เน่อร์เป็นคนดี ไม่เชื่อไปถามพวกเชลยฝรั่งเศสและพวกดัทช์ที่เคยมาทำงานในโรงงานอาราโดดูซิคะ พวกเขายืนยันได้"
            ฉันมองเห็นภาพหิมะกองท่วมสูงถึงเข่า ที่เขาต้องย่ำออกไปทำงานอย่างสายตัวแทบขาดพร้อมกับเชลยคนอื่นๆ

            ต่อมา..ฉันได้หาช่องทางเข้าไปพบกับหัวหน้าใหญ่ฝ่ายรัสเซีย อ้อนวอนเขาว่า
            "ช่วยเขาให้กลับมาหาครอบครัวด้วยเถอะ ได้โปรด เขาเป็นคนดีจริงๆค่ะ"
            แต่..สิ่งที่ฉันได้รับตอบกลับมานั่นคือ การนิ่ง..ไม่มีคำตอบใดๆเช่นเคย..
            ซึ่งฉันก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย..ส่งคำร้องขอไปยังสำนักงานใหญ่ในกรุงเบอร์ลินทุกสาขาให้ช่วยพิจารณา
            แต่ความจริงที่ใจยังกริ่งเกรงอยู่..คือ ไม่ว่าฉันจะวิ่งเต้นช่วยเหลือเขาขนาดไหน หากว่า..เมื่อเขากลับมาได้จริงๆแล้ว สถานะภาพทางสังคมของเราจะเป็นอย่างไร
            เพราะอย่างไรเสีย ต้องไม่ลืมว่า ถึงแม้ฉันจะจำกัดตัวเองให้อยู่ในวงแคบๆอย่างที่เป็นอยู่ เราก็ยังอยู่ในวิถีของความรู้สึกของคนที่ต่อต้านยิวอยู่เหมือนเดิม
            ไม่ต้องไปดูใครอื่นไกลที่ไหน
            ดูได้จากตัวเวอร์เน่อร์เองนี่แหละ ที่มักพูดเสมอว่า เลือดยิวนี้แรงนัก มักกลืนกินสายเลือดอื่นๆจนหมดสิ้น
            เขาช่างลอกเลียนมาจากปากคำของฝ่ายโปรปะกันดานาซีอย่างไม่ขาดหกตกหล่น
            ฉันเอง..อยากให้แอนเจล่าเป็นลูกรักของพ่อโดยปราศจากเงื่อนไขเหมือนอย่างเด็กคนอื่นๆ ดังนั้น สิ่งเดียวที่ฉันคิดว่าได้ทำถูกต้อง นั่นคือ การนัดแนะบาดหลวงให้เข้ามาทำพิธี"ล้างบาป"
            อันถือว่า ลูกได้เข้านับถือศาสนาคริสต์ไปอย่างสมบูรณ์

            คุณคนอ่านคงสงสัยว่า ทำไมต้องนัดมาที่บ้าน พาไปที่โบสถ์มิง่ายกว่าหรือ ตอบตรงๆค่ะ ว่า ฉันไม่กล้า ฉันไม่รู้เรื่องของศาสนาคริสต์เลย ไม่อยากให้ใครต่อใครมาเห็น
            มารับรู้ไปด้วย

      

            ในเย็นวันหนึ่งของฤดูร้อน 1946 ถนนข้างนอกเงียบสงัด เสียงเรือที่จอดในคลองลอยกระทบกับขอบท่าดังมาเบาๆเป็นระยะ
            ต้นไม้กำลังเริ่มเติบโตขึ้นมาอีกที กลิ่นดอกไม้เริ่มขจรขจายหอมชื่นไปในอากาศ
            ฉันได้ชื่นชมทัศนียภาพที่สวยงามอยู่คนเดียวใน
            อพาร์ทเม้นต์ เพราะแอนเจล่าได้ไปนอนอยู่ที่โรงพยาบาลในเบอร์ลิน เพราะมีอาการอักเสบของโรคคอตีบที่ต้องการยาเพนนิซิลิน และที่เดียวเท่านั้นที่มียานี้
            คือโรงพยาบาลเด็กเบอร์ลิน
            ส่วนแม่หนูเกรเทิลได้กลับไปค้างคืนกับน้องชายของเธอที่สถานเด็กกำพร้า
            เสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตู ฉันมองลอดช่องโซ่ตรึงออกไปท่ามกลางความโพล้เพล้..ถามว่า ใคร..
            เสียงตอบมาว่า..ผมเอง.. มาจากชายร่างสูงผอม ท่าทางอิดโรย
            สิ้นเสียง..ฉันก็โผเข้าสู่อ้อมอกเขาทันที พาเขาเข้าไปอาบน้ำอุ่นให้สบายตัว และให้นอนพักในเตียงที่อ่อนนุ่ม
            บอกกับตัวเองอย่างเริงรื่นว่า..หมดกันเสียทีเรื่องทุกข์เรื่องโศก เคราะห์ร้ายทั้งหมดได้ผ่านพ้นไปแล้ว ต่อไปเราจะได้ตั้งต้นชีวิตกันใหม่เสียที..
            ฉันเชื่อเช่นนั้นจริงๆ...และมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่สองสามวัน ทันทีที่เวอร์เน่อร์ปรับตัวต่อสภาพสิ่งแวดล้อมได้เท่านั้นแหละ..เขาเริ่มมีอาการ"เกรี้ยว"ออกมาให้เห็นบ่อยๆ ทุกอย่างเริ่มขวางหูขวางตาไปเสียหมด
            จริงอยู่ที่เขาชอบอพาร์ตเมนต์ใหม่ของเราที่สวยหรูเหมือนกับบ้านตัวอย่าง
            แต่..เขาต้องการตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาหารเช้าที่ทำรอไว้ให้ด้วยฝีมือฉัน ไม่ใช่จากคนรับใช้ที่ได้จ้างมาให้ดูแล
            และเขาต้องการให้ฉันอยู่ทำงานบ้าน ทำอาหารเย็น และปรนนิบัติ อย่างที่เคยทำมาครั้งที่เป็น กรีท..
            "ฉันต้องไปทำงานนะคะ ฉันมีงานคดีที่ต้องทำ..." ฉันพยายามอธิบาย...แต่เขาไม่เคยเข้าใจ
            จนแอนเจล่ากลับมาจากโรงพยาบาล ฉันรีบจัดการแต่งตัวให้เธอด้วยกระโปรงงดงาม พร้อมโบว์ผูกผมสีสวย ให้มาทำความรู้จักกับบิดาบังเกิดเกล้า..เธอทำท่าเอียงอาย หลบม้วนต้วนอยู่หลังประตู
            แต่ก็แอบมองเขาอยู่อย่างสนใจ
            "ไปซิคะ ไปหาคุณพ่อ ไปจูบคุณพ่อให้หายคิดถึงซิคะ.." ในที่สุดเธอโผเข้าหาเวอร์เน่อร์ด้วยความรัก และบูชา และตรงนั้นเองที่ฉันต้องพบกับความผิดหวังอย่างเอกอุ
            เพราะถึงแม้ว่าฉันจะยอมลงทุนเปลี่ยนให้ลูกกลายเป็นคริสต์ชน แต่มันไม่ได้หมายความว่า จะชนะใจหรือชนะความเชื่อถือในเรื่องเลือดยิวของเวอร์เน่อร์ ไปได้
            เขารับขวัญลูกสาว ด้วยการลูบหลังเธอแต่เพียงเบาๆ...
            มันช่างน่าละอายเสียเหลือเกิน ที่ฉันยอมทรยศกับบรรพบุรุษและพระบัญญัติเพียงเพื่อหวังผลเล็กน้อยแค่นี้...

            เวอร์เน่อร์ยอมรับความจริงไม่ได้เลยว่า
            ตำแหน่งการงานของฉันนั้น ที่พร้อมมูลไปด้วยสำนักงาน เลขานุการ พนักงานต้อนรับ ซึ่งเขาเองจะต้องผ่านด่านคนพวกนี้ก่อนที่จะเข้ามาพบฉันได้
            และเขาไม่ชอบที่จะต้องรอ..ถ้าหากว่า ฉันยังต้องมีงานคดีที่ต้องสะสาง หรือกำลังพบปะปรึกษาหารือกับใครต่อใครอยู่
            เขาสำคัญผิดในตัวเอง ที่คิดว่า การกลับจากสงครามของเขานั้น คือการกลับมาอย่างวีรบุรุษที่ทุกคนพึงต้องให้ความสำคัญ และเมื่อต้องเผชิญกับความจริงว่า
            การกลับมาสู่ประเทศชาติที่แพ้อย่างยับเยินนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับ การเป็นขยะสงครามที่ไม่มีใครสนใจ
            อีกทั้งประเทศก็ไม่มีอนาคตอะไรเหลือไว้ให้ ไม่ว่า ทางเศรษฐกิจ หรือ โอกาสที่จะหยิบยื่นงานให้
            เหลืออย่างเดียวคือ กรมแรงงาน ที่มีงานแจกจ่ายในระดับจับกังรายวัน..กล่าวคือ การส่งตัวไปทำงานเก็บเศษซากปรัก หักพัง งานซ่อมถนน ล้างท่อ ซึ่งผิดไปจากสิ่งที่เขาได้วาดหวังไว้ว่า
            จะได้กลับไปเป็นหัวหน้าคุมงานในโรงงานสร้างเครื่องบินอย่างที่เคยทำ
            แต่ในสถานะที่รัสเซียคุมเมืองไว้เช่นนั้น โอกาสของเขาคือศูนย์
            ป้าพอลล่าที่เป็นที่นับถือของเขาได้ปลอบประโลมว่า เขานั้น โชคดีเท่าไหร่แล้ว ที่กลับมาแล้วยังมีคนคอยเลี้ยงดู มีที่อยู่ที่กิน แต่..เขาหาได้เข้าใจไม่
            เขามิได้เข้าใจเลยว่า การที่ได้กลับออกมาจากค่ายเชลยเร็วกว่าคนอื่นๆถึงสองถึงแปดปีนั้น ฉันได้เป็นหนี้บุญคุณที่ต้องใช้คืนของพวก Kommadatura (กลาโหมรัสเซีย) เท่าไหร่
            เขากลับคิดว่า..ฉันต้องทำหน้าที่เมีย ที่ต้องหุงหา ทำความสะอาด เลี้ยงลูกอย่างที่เคยทำ เขาโกรธเกรี้ยวเมื่อเห็นว่า ฉันมิได้เป็นคนซักรีดเสื้อผ้าให้
            จนลูกสาวเริ่มทำตามอย่าง ไม่พอใจก็ชักดิ้นชักงอ
            ทั้งๆที่เคยเป็นเด็กอารมณ์ดี
            เขาไม่ชอบ เกรเทิล ต้องการให้ฉันส่งแกกลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาว่า
            "ก็มันไม่ใช่ลูก..อีกอย่างหนึ่ง ลูกสาวก็มีตั้งสองคนแล้ว จะเอามายัดเยียดเลี้ยงดูอะไรกันอีก"
            หรือ..ครั้งหนึ่งที่ฉันได้ร้องขอให้เขา ช่วยแวะที่ร้านขายปลา เพื่อที่จะไปรับปลามาจากชาวประมงใจอารีที่รู้จัก
            ออกปากเอื้อเฟื้อให้ เพื่อนำมาปรุงอาหารมื้อค่ำ เขากลับตวาดแว๊ดกลับมาว่า
            "นั่นมันงานของคุณ...ไม่ใช่หน้าที่ผมที่เที่ยวไปแบมือรับของจากใคร ให้มันรู้ไปซะมั่งว่า หน้าที่ผัวน่ะ คือนั่งโต๊ะ รอการเสริฟ เข้าจั๋ยยย!!!"
            "แต่ฉันไม่มีเวลานี่คะ ไหนจะงาน..."
            "ก็ช่างมันซิ...อย่าเอามาอ้างหน่อยเลย"
            "กรุณาเถอะค่ะ.."
            "นี่ฟังนะหล่อน..ฉันไม่มีวันไปรอขอทานจากไอ้ประมงคอมมิวนิสต์นั่นหรอก ถ้าหล่อนอยากกินนัก...ก็ไปเอามาเอง"
            เวอร์เน่อร์ มีเวลาทั้งวันกับการหงุดหงิด โกรธเกรี้ยวอย่างไม่มีสาเหตุ เพื่อนๆที่เคยทำงานด้วยกันที่โรงงานอาราโดก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ตัวอาคารของโรงงานถูกบอมบ์จนราบเป็นหน้ากลองไม่เหลือซาก

            (แอนเจล่าเคยกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดตอนโตๆมานี่ ไปถามถึงที่ตั้งของอดีตโรงงานอาราโด...ไม่มีใครรู้จัก)


            คืนหนึ่ง ที่ฉันกลับมาจากทำงานค่อนข้างมืด สมองเหนื่อยล้าไปด้วยคดี
            พบว่า..เวอร์เน่อร์กำลัง"ของขึ้น" มาตลอดทั้งวัน ที่พบว่า ถุงเท้ามีรูดโหว่ และเมื่อประจันหน้ากันก็ปึงปังใส่
            "อ้อ...เดี๋ยวนี้ ชุนผ้าไม่เป็นแล้วหรือไง?"
            "เป็นค่ะ เพียงแต่...แต่..."
            "แต่..เพราะตอนนี้หล่อนมันคือ ผู้พิพากษาใหญ่โตน่ะซี้..จะมีอะไรล่ะ เวลาที่จะมาปรนนิบัติผัวเลยไม่มี...ฉันรู้"
            "พอซะทีเถอะ คุณไม่มีวันเข้าใจหรอกว่า การที่ฉันวิ่งไปอ้อนวอนใครต่อใครให้คุณรอดคุกกลับมานี่ ฉันต้องยอมทุ่มเททำงานให้กับเขาแค่ไหน อย่าเอาเรื่องถุงเท้าขาดมาเป็นอารมณ์อย่างไม่เข้าเรื่องหน่อยเลย
            แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว"
            ฉันเกิดความเหลืออด เอ็ดอึงกลับไปอย่างไม่ลดละเป็นครั้งแรก
            "เป็นบุญ...เชอะ..แม่เมียเจ้าปัญญา แม่เมียมหาบัญฑิต ฉันไม่รู้จักเมียคนนี้เลย ให้ตายซิ"
            "ฉันก็ยังเป็นคนเดิมนั่นแหละ เราอย่ามาทะเลาะกันเลยดีกว่า นะคะ นะคะ "
            "ไม่ใช่.." เสียงเขาแหวลั่น.." เมียฉัน กรีท น่ะ เขาเป็นคนดี เชื่อฟังผัว ทำกับข้าว หุงหา ทำความสะอาด เย็บเสื้อผ้า ซักรีด ปรนนิบัติผัวยังกับพระราชา แล้วไหนล่ะ เมียของฉันคนนั้นน่ะหายไปไหน..."
            เท่านั้นเอง..ความอดทนของฉันก็ขาดผึง หมดกันทีกับความพยายาม..
            "เมียของเธอคนนั้นน่ะ เขาตายจากไปแล้วน่ะซิ เพราะเขาเป็นผลิตผลของนโยบายของพวกนาซี หมดนาซี ก็หมดเขาไง...ฉัน..อีดิธ ก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นตัวของตัวเองที่จะไม่ยอมกลับไปเป็นทาสในเรือนเบี้ยของคุณต่อไปอีก และตอนนี้..คุณต้องหัดทำใจยอมรับเมียตัวจริงของคุณคนนี้ได้แล้ว"
            ผลคือ..สิ้นเสียงเขาก็ตบฉันเข้าเปรี้ยงเบ้อเร่อ..ตัวปลิวกระเด็นไปติดข้างฝา ดาวขึ้นพราวพราย สมองสั่นระริก
            เขาเดินออกไปจากบ้านอย่างไม่หันมาใยดีต่อสภาพหัวใจสลายของฉันแม้แต่นิด...


            เวอร์เน่อร์กลับบ้านมาอีกทีเมื่อเวลาล่วงผ่านเลยไปหลายวัน และ ฉันรู้ได้ทันทีว่า เขาต้องไปหาอลิซาเบธ เมียเก่าของเขาอย่างแน่นอน เพราะสองสามวันต่อมา เขาเริ่มเปรยขึ้นมาว่า
            "จะเอาบาร์เบิลมาอยู่ที่นี่สักพัก"
            "อะไรนะ?"
            "เธอก็ส่งเกรเทิลกลับไปที่สถานเลี้ยงเด็กอย่างเดิมซิ ฉันจะเอาลูกฉันมาเลี้ยง...อลิซาเบธจะได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง"
            "ไม่มีทาง..ฉันไม่มียอมให้เกรเทิลต้องกลับไปที่นั่น เพื่อที่จะให้บาร์เบิลเข้ามาอยู่ เธอมียังแม่...แต่ เกรเทิลไม่มีใคร.."
            "นี่...ฉันเป็นผัวเธอนะ..สั่งอะไรก็ทำตามซิ"
            "ฉันไม่โง่เง่าจนไม่รู้เท่าทันเธอหรอกนะ นี่กะว่าจะเอาบาร์เบิลมาให้เลี้ยง เพื่อที่เธอจะได้กลับไปสำเริงสำราญกับเมียเก่านั่นน่ะ ไม่มีวันเสียหรอก"
            เมื่อเห็นว่า..ท่าทางฉันเริ่มเอาจริง เขาจึงทำเสียงอ่อน...ว่า...
            "อย่าทำตัวให้เป็นคนยุ่งยากหน่อยเลย ชั้นไม่ชอบ..เป็นอย่างเมื่อก่อนน่ะน่ารักกว่าเป็นไหนๆ อ้อ..ไหนๆคุยกันแล้วก็ช่วยทำธุระให้หน่อย เธอช่วยส่งจดหมายไปหาญาติรวยๆของเธอที่ลอนดอนให้ช่วยส่งสีวาดรูปดีๆมาให้หน่อย"
            "ญาติรวยๆ...เชอะ คุณเอาที่ไหนมาพูด ทรัพย์สินเงินทองที่ครอบครัวของฉันเคยมี มันก็โดนปล้นไปจนหมด น้องสาวของฉันไม่มีสมบัติอะไรเหลือ แล้วเงินหมื่นมาร์คที่คุณเอาติดตัวไปล่ะ มันไปไหนหมด?"
            "อ๋อ..ไอ้เงินนั่นน่ะเหรอ ชั้นโยนมันทิ้งไประหว่างทางตอนที่โดนจับน่ะ ไม่อยากให้พวกรัสเซียมันค้นเจอ เดี๋ยวจะโดนข้อหาว่าเป็นชนชั้นศักดินาเข้าไปอีกกระทง"
            ฉันได้แต่อึ้ง..ในที่สุด เขาก็โพล่งออกมาว่า..อยากหย่าขาดจากฉัน เร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี....
            ฉันตกใจจนพูดอะไรไม่ถูก..รู้แต่ว่า เสียใจ..จนร้องไห้โฮออกมา กลั้นใจถามออกไปว่า
            "คุณจะกลับไปคืนดีกับเมียเก่างั้นซิ?"
            "อ๋อ..แน่นอน ชั้นจะกลับไปอยู่พร้อมหน้ากับเมียกับลูกอีกครั้ง"
            คำว่า..หัวใจสลายนั้น มันยังน้อยเกินไป ความฝันที่สวยงามต่างๆที่เคยมีล้วนพังทะลายลงมาต่อหน้าต่อตา..ฉันคิดไม่ตกกับปัญหาว่าจะเอายังไงดี จะยื้อหรือจะปล่อย..
            จนกระทั่ง วันหนึ่ง แม่หนูแอนเจล่าเกิดอาการโยเย ดื้อจนห้ามไม่ฟัง ขว้างปาข้าวของกระจาย..
            ฉันทนไม่ไหว..จึงเอ็ดเข้าให้ว่า...
            "อย่านะ..ไม่งั้นแม่ตีจริงด้วยๆ"
            "ลองมาตีหนูซิ..หนูจะฟ้องพ่อให้มาตบแม่ให้ดู..."
            เท่านั้นเอง..ฉันได้บอกกับตัวเองว่า ต้องรีบหย่าขาดได้เร็วที่สุด
            วันต่อมา..ฉันได้จัดการทำเอกสารเตรียมพร้อมให้เขามาเซ็นได้เลย
            และเวอร์เน่อร์ก็ได้จัดการให้อย่างทันใจเช่นกัน...
            จบสิ้นกันที...ชีวิตคู่ระหว่างฉันและเขา..


            เวลาต่อมา..การดำเนินคดีที่ศาลนูเรมเบอร์คกับนาซีระดับบิ๊กๆนั้น ใกล้จบสิ้นเต็มที
            และถึงคราวที่จะกวาดต้อนนาซีระดับหางแถว....
            ผู้พิพากษาต้องทำงานกันอย่างหนัก ต่างมีงานล้นมือ
            ฉันได้ถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในทีม
            แต่..ฉันไม่ปรารถนาในตำแหน่งนั้นเลยจริงๆ จึงได้ให้คำแก้ตัวเลี่ยงไปว่า..
            "ใครจะคิดว่า ฉันจะทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมล่ะค่ะ ในเมื่อ ฉันเป็นยิว..ผลโทษนั้นจะกลายเป็นว่า มันเป็นการแก้แค้นเอาคืน..มันไม่แฟร์"
            แต่..ท่านอธิบดีไม่ยอมฟังคำแก้ตัวใดๆ ยืนยันในเจตนาเดิม..
            ในที่สุดฉันต้องไปยื่นคำร้องต่อรัฐมนตรี ที่ต้องรอนานนับหลายชั่วโมงกว่าจะได้เข้าพบถึงตัว หลังจากที่ท่านรมต.ได้รับฟังเรื่องราวของฉันแล้ว..ท่านว่า
            "เอาละ..จะช่วย"
            ต่อมาฉันได้รับคำสั่งเปรี้ยงลงมาว่า ไม่ต้องทำหน้าที่ผู้พิพากษาต่อไป แต่ให้ไปทำหน้าที่เป็น อัยการทำสำนวนส่งฟ้องอย่างเดียว

            คณะรัสเซียได้เรียกฉันเข้าประชุมลับในไม่กี่วันต่อมา..
            ในการประชุมนั้น พวกเขาได้ทำการซักประวัติฉันอย่างละเอียดยิบ แม้กระทั่งเพื่อนหรือคนรู้จักทุกคน ที่ฉันต้องเขียนชื่อและที่อยู่ของพวกเขาส่งมอบให้
            ในการประชุมครั้งต่อมา...พวกเขาก็จะถามคำถามซ้ำๆอย่างเดิมอีก จนฉันเริ่มหวาดระแวงว่า
            นี่พวกมันจะมาได้ไหนกันอีกเล่า...??
            เจ้าหน้าที่พูดกับฉันได้เสียงเยียบเย็นว่า
            "เราได้เคยช่วยคุณ เรื่องสามี..คราวนี้ ถึงคราวที่คุณต้องตอบแทน"
            "อย่างไรล่ะค่ะ?"
            "เรารู้ดีว่า คุณเป็นคนที่ใครต่อใครให้ความไว้วางใจมาปรับทุกข์ มาคุยเรื่องส่วนตัว เพราะคุณ เป็นนักฟังที่ดี เราเพียงต้องการให้คุณนำข้อความทั้งหมดมาทำรายงาน และแจ้งให้เราทราบทั้งหมด ว่า ใครเป็นอย่างไร มีความคิดอย่างไร.."
            อ้อ...พวกมันอยากให้ฉันเป็นสปายให้นี่เอง..และหมายความว่าต่อไปนี้...ฉันต้องกลายเป็นคนขายเพื่อน ขายความไว้วางใจที่พวกเขามีให้อย่างนั้นละหรือ?
            "เราจะให้เบอร์โทรศัพท์เฉพาะกิจไว้กับคุณ ติดต่อมาได้ทุกเมื่อในเรื่องรายงาน ..หวังว่าการทำงานของคุณคงจะเริ่มได้นับแต่วินาทีนี้เลยนะ"
            ความน่าสะพรึงกลัว..ที่ฉันคิดว่ามันได้หายไปจากชีวิตแล้วนั้น ที่แท้..มันไม่ได้จากไปไหนไกลเลยสักนิด เพราะตอนนี้มันได้กลับเข้ามาครอบงำในหัวจิตหัวใจอีกครั้ง..
            ฉันรับปากพวกเขาไปอย่างขอไปที..สมองเบลอจนคิดอะไรไม่ถูก
            หวังอยู่อย่างเดียวว่า พวกเขาคงไม่คิดจริงจังอะไรมากมายนัก อีกหน่อยคงลืมเรื่องภาระกิจที่มอบหมายมาให้ฉัน..

            แต่ที่ไหนได้..พวกรัสเซียไม่เคยรู้จักคำว่า"ลืม" ข่าวว่า..ความโหดร้ายนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปจากนาซีเลยสักนิด พวกเขาอาจทำให้ใครต่อใครหายตัวได้อย่างลึกลับ และมีปรากฏให้ทราบบ่อยๆ


            "เรายังไม่ได้รับรายงานจากคุณเลยนะ เฟรา เวทเทอร์ " หัวหน้าทีมงานได้จี้ถามฉันในวันหนึ่ง..
            "ค่ะ..ค่ะ..คิดว่าจะโทรหาอยู่เหมือนกัน แต่เบอร์โทรไม่ทราบว่าเอาไว้ที่ไหน" พูดพลาง..ฉันแกล้งทำเป็นค้นหาของในกระเป๋าง่วนอยู่..
            "เบอร์โทรศัพท์ ยังอยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ.." เสียงเขาสวนมา
            "อ้อ..ในสำนักงานของดิฉันละมังคะ.."
            "ไม่ใช่..ไม่ใช่ในห้องทำงานของคุณที่นี่ แต่มันเป็นที่โต๊ะทำงานที่บ้านของคุณ โต๊ะที่เป็นขารูปเท้าสิงห์ที่ทำด้วยทองเหลืองน่ะ.."
            โอย...เจ้าประคุณเอ๋ย..นี่ฉันมันหนีเสือปะจรเข้แท้ๆ.....ความรู้สึกได้บอกกับตัวเองเช่นนั้นจริงๆ เท่านั้นยังไม่พอ..
            ฉันรู้สึกว่า..ในหูได้ยินแต่เสียงหัวเราะเย้ยหยัน ของนายเกิบเบิลส์ดังกรีดก้องแว่วมาอย่างสะใจ..!!!



            ความรู้สีกที่บอกกับตัวเองว่าเห็นทีจะอยู่ไม่ได้แล้วนั้น เกิดจากการที่คืนหนึ่ง ขณะที่เงียบสงัด เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นระรัว..ฉันตกใจกลัวอย่างตัวสั่นงันงก เหงื่อเม็ดเป้งผุดขึ้นตามตัว
            แข็งใจไปเปิดประตูอย่างแข้งขาสั่น...กลายเป็นว่า แขกในยามวิกาลนั้นคือ เพื่อนร่วมงานที่พลาดรถไฟเที่ยวสุดท้าย ขอเข้ามาอาศัยพักพิง
            ฉันดีใจจนถลาเข้ากอดเธอด้วยความปิติจนเจ้าตัวรู้สึกแปลกใจในอาการแปลกประหลาดของฉันอย่างปกปิดสีหน้าไม่มิด
            และจากอาการหวาดผวาครั้งนั้น ทำให้ฉันต้องหาทางขยับขยาย หนีให้รอดไปจากขุมนรกนี่ให้ได้..

            สิ่งแรกที่เริ่มดำเนินการ นั่นคือ การบอกขอลาพักร้อนกับหัวหน้างาน ในเหตุผลว่า ต้องการไปเยี่ยมน้องสาวที่ลอนดอนสองอาทิตย์
            ต่อมาคือ การเดินทางไปกรุงเบอร์ลิน เพื่อที่จะติดต่อขอวีซ่าที่สถานทูตอังกฤษ
            ทางเจ้าหน้าฝ่ายกงศุลได้ให้คำแแนะนำว่า ควรมีที่พักอาศัยที่ถาวรอยู่ในกรุงเบอร์ลิน ฝั่งตะวันตก (อันเป็นส่วนในความดูแลของสัมพันธมิตร) ก่อน โดยการไปเช่าห้องพักและจัดการเปลี่ยนที่อยู่ จากนั้นจึงค่อยขอพาสปอร์ต และวีซ่า
            ฉันได้ติดต่อกับศูนย์สงเคราะห์ยิวเพื่อขอคำแนะนำและช่องทางช่วยเหลือ ที่นั่น ฉันได้พบกับชายคนหนึ่งที่เสนอให้เช่าห้องพัก เพื่อใช้เป็นที่อยู่ขอวีซ่าตามวัตถุประสงค์
            คุณผู้อ่านต้องเข้าใจในสภาพยามนั้นว่า..เบอร์ลินกำลังอยู่ในระหว่างการกั้นเขตแดน และการขอบัตรประจำตัวประชาชนนั้น เป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างยิ่ง และต้องกระทำที่สถานีตำรวจ
            โชคดี ที่ฉันได้พบกับกับเจ้าหน้าที่ที่เข้าใจในความต้องการที่จะเยี่ยมญาติ เขาจึงได้จัดการอำนวยความสะดวกให้ และกล่าวอวยพรขอให้ไปดีมาดีอีกต่างหาก
            กว่าเอกสารจะเรียบร้อย ก็กินเวลานานหลายเดือน ทั้งพาสปอร์ต วีซ่า..การจัดการเตรียมการอื่นๆ ซึ่ง ฉันก็ยังคงทำงานที่ศาลอย่างเป็นปรกติ และทุกๆสิบวัน ต้องเดินทางไปห้องพักที่เบอร์ลิน เพื่อรับไปรษณีย์
            จ่ายค่าเช่า..ให้กับเจ้าของบ้านสายเลือดยิวผู้อารี
            และ..ฉันได้เตรียมตัว เตรียมใจพร้อมต่อการจากพรากกับแม่หนูเกรเทิลด้วยความลำบากยากเย็น..และไม่อยากที่จะกระทำในวินาทีสุดท้าย ฉันจึงนำเธอกลับไปที่สถานสงเคราะห์ ปลอบใจเธอว่า อีกหน่อย เราก็จะอยู่ด้วยกันอีก..
            เด็กมักจะมีสัญชาติญาณที่ดีเสมอ เธอร้องไห้จนดิ้นไปมา...ไม่ยอมท่าเดียว..ปากตะโกนเรียกฉันจนเสียงแหบแห้ง..เราสองคนกอดกันร้องไห้
            เมื่อยามที่ฉันเดินออกจากสถานสงเคราะห์นั่น...เสียงหวีดของเกรเทิลยังก้องอยู่ในหู..ทำให้ต้องเร่งซอยเท้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
            การสูญเสียเกรเทิลไป..สำหรับฉันแล้วมันคือการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่ค่าของมัน ก็ไม่ต่างอะไร กับ คฤหาสน์หลังงาม และโรงงานถลุงเหล็กของท่านบารอน รอธส์ไชลด์ ที่ส่งมอบให้กับพวกนาซีเพื่อแลกกับอิสรภาพในครั้งนั้น

    

            วันหนึ่งในขณะที่ฉันพยายามเข็นรถเข็นที่มีลูกสาวนั่ง ให้ผ่านพ้นกองหินที่ระเกะระกะไปอย่างลำบากยากเย็น
            นายทหารยิวรัสเชี่ยนคนหนึ่งได้เข้ามาช่วยเอื้อเฟื้อให้ เขาบอกว่า
            "ลูกสาวของคุณทำให้ผมคิดถึงหลานสาว อายุไล่เลี่ยกัน"
            "หลานสาวคุณคงน่ารักมากนะคะ"
            "เขาเสียชีวิตแล้วครับ..พวกนาซีเข้าบุกเมือง และตามล่าหายิว พอมาพบกับน้องสาวและน้องเขยผมเข้า มันก็ฆ่าทิ้ง และจับหลานสาวของผมโยนออกไปจากหน้าต่างทั้งเป็นๆ"
            "คุณพูดภาษาเยอรมันได้ดีทีเดียวนะคะ แทบจะดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าคุณเป็นยิว" ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพูด เพราะเรื่องความโหดร้ายของนาซีนั้น สามารถเล่าต่อให้ยาวไปได้ถึงชาติหน้า
            ทหารคนนั้น หัวเราะเบาๆ บอกว่า
            "ทันทีที่ผมเห็นคุณ..ผมก็รู้ได้ทันทีว่าคุณเป็นยิวเหมือนกัน"
            ฉันถึงกับตะลึงจังงัง เพราะคำพูดประโยคนี้..แปลกใจอย่างเหลือขนาดที่สามารถ"หลอก" ใครต่อใครได้มานานนับปี แต่กับคนแปลกหน้าคนนี้ เขากลับ"ดูออก" อย่างง่ายดาย
            อะไรกันนี่..???
            ในที่สุด ฉันได้ยอมหลุดปรับทุกข์ไปว่า..กำลังจะไปยืนรอเข้าคิวขอวีซ่า..ซึ่งต้องใช้เวลานานทั้งวัน ไม่รู้ว่าจะเอาลูกสาวไปฝากไว้ที่ใด เขาเสนอตัวให้ว่า
            "ฝากไว้กับผมก็ได้ ผมจะดูแลให้เป็นอย่างดี ทันที่ที่คุณกลับมาถึงบรันเดนเบอร์ค ผมจะนำเธอมาส่งให้ถึงมือ"
            ฉันยอมตกลงฝากสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไว้กับคนแปลกหน้าอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ..
            น่าแปลกไหมล่ะค่ะ..ที่ฉันไม่ได้ระแวงหรือสงสัยอะไรทั้งสิ้น ว่า ลูกจะถูกขโมย หรือปลอดภัยหรือไม่อย่างไร
            ยอมไว้ใจเขาอย่างสนิท..
            ทำไมน่ะหรือคะ..เพราะ เขาคือ"ยิว" โดยสายเลือดและวิญญาณเช่นเดียวกับฉัน และ เชื่อเสมอว่า ยิวย่อมต้องไม่ฆ่า หรือ ทำลายล้างกันเอง..
            คุณๆก็คงสงสัยตามเคยว่า ฉันน่าจะหาทางออกจากบรันเดนเบอร์คมาตั้งนานแล้ว ทำไมถึงได้ยอมอยู่มานานขนาดนี้ ทำไมถึงเคยคิดที่จะปักหลักฐานอยู่ในเยอรมันนี่..
            จะตอบให้ค่ะว่า..เพราะฉันไม่เคยรู้ว่า ชีวิตที่สงบสุขอย่างชาวบ้านชาวช่องนั้นเป็นอย่างไร และไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ฉันไม่อยากกลับไปเวียนนา เพราะ ความหลังที่ต้องสูญเสียครอบครัวนั้นมันโหดร้ายนัก
            ชีวิตในเยอรมัน ภายใต้การดูแลของรัสเซีย ฉันอาจจะมีบ้าน มีงานทำ มีเพื่อน แต่..ฉันไม่ต้องการให้ลูกเติบโตมาในชีวิตครอบครัวที่ล้มเหลว และอนาคตภายหน้าที่มืดมนสำหรับเธอ

       

            เมื่อวันที่จากออกมาจากเมืองนั้น ฉันปิดประตูห้องพักด้วยน้ำตาที่บอกไม่ถูกว่าดีใจหรืออาลัย
            วันนั้นคือ วันอาทิตย์ในเดือนพฤศจิกายน 1948 ที่ฉันไม่ได้ปริปากบอกใครสักแอะถึงการเดินทางชนิดไปแล้วไปลับในครั้งนี้
            ยังสู้อุตส่าห์ทิ้งร่องรอยในครัว โดยการวางขนมปังไว้บนเขียง ให้รู้ว่าออกไปข้างนอกชั่วคราวเอาไว้เป็นหลักฐาน
            ฉันหอบลูกไปที่สถานทีรถไฟ..แต่..สักพักก็เปลี่ยนใจ กลับมาตั้งต้นที่บ้านใหม่ เพราะไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากการตรวจค้นของพวกรัสเซียที่มักมีบนขบวนตู้รถไฟ
            วันรุ่งขึ้น ฉันได้ขอความช่วยเหลือจากสามีเพื่อนให้ช่วยขับรถไปส่งที่ สถานี Potsdam เพื่อเลี่ยงการตรวจค้น

            จากนั้น เราได้ไปอาศัยพักกับครอบครัวของชาวยิวที่เบอร์ลินถึงสองอาทิตย์ เนื่องจากเกิดการสไตร์คงานของสายการบิน จนเมื่อการสไตร์คได้ผ่านพ้นไป เราจึงได้บินสู่ท่าอากาศยาน Northholt ประเทศอังกฤษ
            ฉันและฮันซี่น้องสาว ร้องไห้กอดกันกลมทันทีที่เจอหน้า...หมดสิ้นกันทีความทุกข์โศก...บัดนี้..อิสรภาพได้กลับมาสู่ฉัน... อีดิธ ฮาห์น อย่างเต็มตัวอีกครั้งหลังจากที่ต้องหลบๆซ่อนๆมานานแสนนาน
            และ..ในอิสรภาพครั้งนี้ ทำให้ฉันได้ทราบถึงข่าวร้ายว่า..แม่ของเรา นางคลอธิลด์ ฮาห์น ได้ถูกฆ่าตายในปี 1942 ทันทีที่ถูกย้ายไปอยู่ในค่ายนรกที่โปแลนด์
            ซึ่งฉันเชื่อว่า..แม่ไม่ได้จากไปไหนไกล..เพราะทุกครั้งที่ฉันมีความทุกข์ โศกเศร้านั้น ตลอดเวลามาเหมือนกับแม่มาคอยปกปักรักษาคุ้มภัยให้อย่างเสมอๆ
            เสียงจากรูปปั้นหินอ่อนที่ได้ยินแว่วๆ... ที่เรียกให้ฉันไปเยอรมันนั้น ก็คงเป็นเสียงของแม่ที่บอกลู่ทางให้ จนเราสองแม่ลูกได้อยู่รอดปลอดภัยมาถึงวันนี้..
            อนิจจา...พระคุณของลูก..จากไปอย่างไม่มีวันกลับเสียแล้ว..

            ชีวิตที่ผ่านมาในบรันเดนเบอร์ค...ฉันคือผู้พิพากษาที่ทรงเกียรติ เป็นผู้ที่คนนับหน้าถือตา..หากแต่ในอังกฤษนี้ ด้วยวีซ่าท่องเที่ยวหกสิบวัน ไม่อนุญาตให้ทำงาน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้
            ฉันได้ยึดอาชีพแม่บ้านบ้าง ช่างเย็บเสื้อบ้าง ไม่ได้มีโอกาสกลับไปสู่วิถีทางขบวนการยุติธรรมอีก
            ส่วนแม่หนูแอนเจล่า ฉันได้ส่งเธอไปเรียนในโรงเรียนยิว เลี้ยงดูเธอให้เติบโตแบบยิว
            จนปี 1957 ฉันได้แต่งงานอีกครั้งกับ นาย เฟรด เบียร์ ชาวเวียนนีสยิว เรามีประวัติที่โหดร้ายเช่นเดียวกัน ซึ่งเราได้เล่าสู่กันฟังเพียงครั้งเดียว จากนั้น ต่างคนต่างไม่พูดถึงมันอีกเลยตลอดสามสิบปีที่ผ่านมา
            เราปล่อยให้มันหายไปในความทรงจำเหมือนกับเศษเรือแตกที่ล่องไปในทะเล คอยจนกว่ามันจะจมดิ่งหายไป
            ซึ่งใครต่อใครต่างว่าเป็นประหลาด ในขณะที่คนอื่นๆชอบที่จะเล่าถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
            แต่..เราไม่..
            เฟรด เสียชีวิตในปี 1984 จากนั้น ฉันได้ย้ายมาอยู่ที่อิสราเอล มาอยู่กับคนที่มีสายเลือดเดียวกัน ประเทศที่เป็นบ้านที่แท้จริง
            ฉันได้พยายามติดต่อกับผู้ที่เคยมีพระคุณอื่นๆ เช่น
            คุณนายไนเดอรัลล์ ที่ถูกไล่ออกจากร้านเมื่อหมดยุคของนาซี เธอได้ล้มป่วยลง ฉันเคยส่งเสื้อนอนสวยๆไปให้จากอังกฤษเพราะทราบดีว่า..เธอชอบของสวยๆงามๆ แต่..เธอได้เสียชีวิตในเวลาไม่นานต่อมา
            ฉันได้อ่านข้อเขียนของ นาย ไซมอน ไวเซนธอล นักเขียนนักล่านาซี ที่ได้เน้นหนักหนาว่า..
            "เราต้องไม่ลืมทดแทนบุญคุณต่อผู้ที่ได้ช่วยเหลือเรา"
            ดังนั้น..ฉันจึงได้เขียนไปเล่าเรื่องของ เพื่อนสาว คริสตัล เดนเน่อร์ ผู้ที่ช่วยชุบชีวิตให้อยู่รอดมาจนทุกวันนี้..ซึ่งทาง ฝ่ายอนุสรณ์สถานของอิสราเอลได้ปลูกต้นมะกอก และจารึกชื่อของเธอไว้ประหนึ่งวีรสตรีของชาติ
            ที่สวนสันติสุข Yad v'Shem {the Holocaust memorial}

            ยามเมื่อ แอนเจล่าได้เติบโตขึ้นมาในอังกฤษ...ฉันมักส่งการ์ดวันเกิดในนามของปู่ ของย่า ของญาติที่จากไปด้วยน้ำมือของนาซีให้เธอเสมอๆ เพื่อให้เธอได้ระลึกถึงครอบครัวที่อบอุ่นของเรา ถึงแม้ว่า
            พวกเขาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้วก็ตาม แต่..ฉันเชื่อความรักที่มีให้ลูกให้หลานนั้นไม่ได้เหือดหายไปไหนเลย..

     
            ฉันยังคงติดต่อกับแม่หนูบาร์เบิลอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเวอร์เน่อร์เพราะอย่างน้อยเขาก็คือพ่อของลูก และ บอกลูกให้รับรู้เสมอว่า พ่อแม่นั้นรักกันอย่างแท้จริง แต่ต้องแยกกันเพราะเขาไม่สามารถเดินทางมาอังกฤษได้
            จนแอนเจล่าย่างเข้าวัยรุ่น จึงได้บอกความจริงให้เธอทราบ ว่า แท้จริงแล้ว..เราหย่าขาดจากกัน..
            ทำไม..ฉันต้องสร้างบรรยากาศครอบครัวให้กับลูกอย่างมากมายเช่นนั้นหรือคะ?
            เพราะว่าฉันไม่อยากให้ลูกเติบโตมาอย่างอ้างว้างอย่างที่ฉันต้องประสบมาน่ะซิคะ.
            รักเธอให้เหมือนอย่างที่แม่เคยทำกับฉัน..เช่น ยามที่ฉันได้รับของกินจากบ้าน นั่นหมายถึงแม่กำลังอด..หรือยามที่ฉันได้รับเสื้อ หรือ ผ้าห่ม นั่นหมายถึงแม่กำลังหนาว..
            เพราะแม่เชื่อว่า..ฉันกำลังอด..กำลังหนาวเช่นกัน ความเป็นแม่นั้น...ยอมสละให้ได้ทุกอย่างเพื่อความสุขของลูก
            และเรื่องความหลังที่โหดร้ายที่ผ่านมา..ฉันไม่คิดปริปากให้เธอต้องมารับรู้แม้แต่นิด...
            แต่เป็นเพราะ เปปปินี่ซิ..ที่ไม่รู้ว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นมา เก็บจดหมายของฉันที่เขียนให้ไว้ทุกฉบับ ซึ่งนับว่าเสี่ยงมาก หากถูกจับได้..เราคงต้องถูกฆ่าตายทั้งหมด
            ฉันมารู้เรื่องและโวยวายเมื่อยามที่ฉันและเฟรดได้ไปเยี่ยมหาที่เวียนนา เราต่างแนะนำคู่ของเราให้รู้จักกันในฐานะเพื่อนเก่า...เขาทำหน้าตาเฉย ตอบมาว่า
            "เก็บไว้ดูเล่น สักวันหนึ่งผมอาจจะบริจาคให้กับพิพิธภัณฑ์เอกสารสงครามออสเตรียนก็ได้นะ" และหัวเราะอย่างชอบอกชอบใจ ที่เห็นฉันทำหน้าประหลาด
            ในปี 1977 ก่อนที่เปปปิได้เสียชีวิตไป..ฉันได้รับพัสดุจากเขากล่องใหญ่ ข้างในคือจดหมายทุกฉบับที่เคยเขียนถึงเขาในยามที่ใช้ชีวิตตั้งแต่ทำงานเยี่ยงทาส จนถึงสมัยที่เป็น ยู-โบ๊ต
            แอนเจล่า..ที่กระหายอยากรู้เรื่องราวของแม่แกนัก..จึงได้อ่านและรับทราบทั้งหมด
            และนี่คือที่มาของ หนังสือชีวประวัติเล่มที่อยู่ต่อหน้าสายตาของคุณนี่...!!



            ***Edith Hahn ได้มีชีวิตในบั้นปลายอยู่ที่เมือง Netanya, Israel เธอได้เก็บเอกสารทุกชิ้นไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ ปัจจุบัน เอกสารและภาพถ่ายเหล่านั้น ได้แสดงอยู่ที่ Holocaust Memorial Museum ใน Washington D.C.

เธอได้ถึงแก่มรณกรรมไปเมื่อวันที่  17 มีนาคม 2009  ขอให้วิญญาณของเธอจงไปสู่สุขคติภพ และมีความสุขต่อการพักผ่อนนั้นไปชั่วนิรันดร์

            จบบริบูรณ์


            วิวันดา......................

 
 







1

ความคิดเห็นที่ 1 (102061)
avatar
Demetorius

 ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-05-27 01:15:59 IP : 124.120.195.251


ความคิดเห็นที่ 2 (102081)
avatar
chiple

 ขอบคุณค่ะ ตามอ่านมาตลอดเลย ขอบคุณมากที่แปลเรื่องราวดีๆให้อ่านนะคะ 

ผู้แสดงความคิดเห็น chiple วันที่ตอบ 2012-06-16 03:49:04 IP : 86.182.237.220


ความคิดเห็นที่ 3 (102110)
avatar
ใบมะรุม

ขอบคุณมากครับ  ยังไม่อยากให้จบเลย

 

ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านเรื่อง  การตามล่านาซีของชาวยิว  ในช่วงหลังสงครามครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ใบมะรุม วันที่ตอบ 2012-07-08 19:33:26 IP : 180.180.119.13



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker