dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเก้า

  

            วันที่สาม..เราทั้งหมดร่วมโต๊ะเสวยกลางวัน นิคกี้พยายามทำเป็นอารมณ์ดีเพื่อเป็นการบำรุงขวัญให้กับซารินาพระมารดาและ ให้คำมั่นสัญญาว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกันอีก และมีการวางแผนในอนาคตว่า..นิคกี้อาจจะไปอยู่ที่อังกฤษ
            แต่ในใจจริงๆแล้ว เขาอยากจะอยู่ในรัสเซียมากกว่า..

อีกสิบห้านาทีก่อนสี่โมง ขบวนรถไฟเสด็จที่จะพานิคกี้กลับไปยังเมืองหลวงก็มาเทียบที่รางตรงข้ามของ ขบวนของเรา..ทั้งหมดจึงลุกขึ้นเพื่อส่งนิคกี้
            เขาจุมพิตซารินาพระมารดา หลายครั้งไปทั่วพระพักต์  หันมาโอบกอดฉัน  และเสด็จดำเนินออกไปยังขบวนที่มาเทียบรับ..มีกลุ่มบุคคลจาก"รัฐบาล "ร่วมขบวนไปด้วยทำตัวประหนึ่งผู้ติดตามแต่แท้จริงแล้วมัน
            ก็คือการ"สอดแนม" ดีๆนั่นเอง  
            กลุ่มคนทั้งหมดนั่นแสดงความเคารพนายพลอเล็กเซียฟด้วยการ"คำนับ"อย่างนอบน้อม
            แน่นอนละซิ..พวกมันก็สมควรที่จะคำนับกันอยู่หรอก..เพราะนายพลคนดังนั่นช่วยงานซะขนาดนั้น

            เสียงหวูดรถไฟกังวานขึ้น..ขบวนเริ่มเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ..นิคกี้ประทับยืนแนบที่ หน้าต่าง พระพักต์ยิ้มเศร้าเหลือเกินแต่ก็ยังโบกพระหัตถ์หวอยๆ..พระองค์อยู่ในชุดสี กากีมีเพียงเหรียญตราเซนต์จอร์จกลัดที่พระอุระเพียงอันเดียว..
            ซารินาพระมารดาทรงกรรแสงขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นานจนกระทั่งขบวนของซาร์ได้ลับตาไป..

            เซอเกแวะเข้ามาเพื่อลาเราก่อนที่จะจากไปยังเมืองหลวงในขบวนรถตามเสด็จเที่ยวต่อไปในไม่กี่อึดใจข้างหน้า
            "โชคดีนะน้องรัก"
            "โชคดีเช่นกัน พี่..แล้วเจอกัน"
            ทั้งๆที่เราได้รู้อยู่แล้ว..เราอาจจะไม่ได้พบกันอีกตลอดชั่วชีวิต

            ขบวนของเราเริ่มเคลื่อนตัวออกจากชานชาลา..ฉันกลับเข้าไปยังโบกี้ส่วนตัวเพื่อพัก ผ่อน เมื่อถอดเสื้อโค๊ตออกมาแขวนจึงสังเกตุได้ว่าเครื่องหมายพระปรมาภิไธยที่กลัด ที่บ่าเสื้อที่มีอยู่ตลอดสามสิบปีในชีวิตรับราชการของฉันนั้น  มันหายไป..
            นี่คือคือฝีมือของกลุ่มคณะรัฐบาลใหม่เช่นกัน..ที่มีคำสั่งมาให้"ทหาร"รับทราบและปฏิบัติ



            หมายเหตุ.."ทหาร"ท่านผู้เขียนหมายถึงทหารที่อยู่รับใช้ใกล้ตัว ที่มีหน้าที่ดูแลเครื่องทรงน่ะค่ะ....วิวันดา

           

            ตอนที่ฉันได้เดินทางออกจากสตาฟวานั้น..ฉันได้ครุ่นคิดไว้ล่วงหน้าแล้วถึงความปลอดภัยของครอบครัวของเราที่รวมไปถึงซารินาพระมารดา,
            เซเนียและลูกๆ,แกรนด์ดัชเชสออลก้า พระขนิษฐาของเซเนียและสามีของเธอ นายคูลิคอฟสกี้  
            ส่วน ลูกสาวคนโตและลูกเขย(คือ ไอรีนและเจ้าชายยูซุปพอฟที่ต้องพระอาญาเพราะการฆาตกรรมรัสปูติน)ให้เนรเทศไป อยู่มี่เมืองเคอสค์ ชายแดนรัสเซียนั้น กำลังจะไปรวมตัวกับเราที่ไครเมียในสองอาทิตย์ข้างหน้า

            ตัวฉันเองนั้น อยากจะอยู่ช่วยการรบอยู่ที่เคียฟเหมือนเดิม..แต่ก็ไม่รู้จะรบไปเพื่ออะไร และเพื่อใคร..เพราะตลอดสิบๆปีที่ผ่านมานั้นฉันได้ทุ่มเททั้งชีวิตและเวลาให้ กับการรับราชการแม้กระทั่งกองทัพอากาศที่สร้างขึ้นมากับมือแท้ๆ..แล้วต้องมาตัดใจจากไปเช่นนี้..มันช่างปวดร้าวนัก
            สองอาทิตย์แรก..ทุกอย่างก็คงราบรื่นดี เราเดินไปในท้องถนนรวมหมู่ไปกับพวกประชาชนที่กำลังเริงรื่นกับการเปลี่ยน แปลงทางการเมืองครั้งใหม่ที่ประชาชนล้วน"มีสิทธิเสรี..สำราญ สำเริง บันเทิงเต็มที่"  (เอาตอนหนึ่งมาจากเพลง ๒๔ มิถุนา.. ใครร้องได้ ก็ร้องต่อไปนะคะ)

            ผู้คนดูเหมือนจะมีมิตรภาพดี(ต่อฉัน) เข้ามาทักทาย ขอจับมือบอกว่าชื่นชอบในการทำงานของฉัน ทหารก็ยังคงทำความเคารพทุกครั้งที่พบกัน
            ทั้งๆที่รัฐบาลใหม่ได้ออกกฏข้อหนึ่งมาแล้ว..แต่พวกเขาก็ยังไม่สนใจยังคงปฏิบัติต่อฉันเช่นเดิม..
            มันช่างแทบไม่น่าเชื่อ..การปฏิวัติอย่างขาวสะอาด ไร้รอยเปื้อนเลือดที่ปรากฏบนแผ่นประวัติศาสตร์ครั้งนี้..มันน่าจะมอบเหรียญ ตราให้เป็นเกียรติประวัติผลงานดีเด่นให้กับแม่ทัพเยอรมันนายพล Ludendorff ให้จงหนัก ที่สามารถแทรกแซงปั่นป่วนการเมืองภายในของเราจนโค่นระบบกษัตริย์ได้สำเร็จ ทันท่วงทีก่อนที่จะมีรัสเซียกำลังจะยกทัพใหญ่เข้าบดขยี้กองทัพเยอรมันให้ราบ พนาสูรในไม่กี่เดือนข้างหน้าตามแผนที่วางไว้

            พอมาถึงปลายเดือนมีนาคม สายเสื้อแดง..เอ๊ย..พูดผิดขออภัยค่ะ..สายเยอรมันก็ประสบความสำเร็จในการเข้าครอบครองส่วนบริหารของเมืองหลวงและเมืองสำคัญๆในนามของ"คณะบอลเชวิค"
            ที่เหล่าส่วนบริหารเหล่านั้นต่างรับเงินอุดหนุนจากเยอรมันกันอย่างถ้วนหน้า แถมยังเดินทางเข้าออกในเยอรมันด้วยขบวนรถไฟส่วนตัวกันอย่างเริงรื่น  แม้แต่ตัวของนายเลนินเองที่ประกาศอย่างหน้าไม่อายว่า
            "ก็แล้วมันจะเป็นไรไปล่ะ..ถ้าเงินนั่นมันเอามาทำประโยชน์ในการล้มล้างได้สำเร็จ..ถึงจะรับมาจากไอ้สาระเลวที่ไหนก็ไม่เห็นจะแปลก"
            นั่นซินะ..ทั้งสองคนนั่นทั้ง เลนินและลูเดนดรอฟ ที่ต่างเหมือนน้ำกับน้ำมัน ไม่มีวันที่จะไปกันได้
            แต่ก็ยอมจับมือกันเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองล้วนๆ
            ตัวนายพลลูเดนดรอฟเอง..อาจจะขำในใจที่สามารถหลอกใช้งานพวกพรรคคอมมิวนิสต์ได้จสำเร็จ...
            แต่ คนที่หัวเราะดังกว่าในทีหลัง นั่นก็คือ ฝ่ายเลนินนั่นแหละ เพราะยี่สิบเดือนผ่านไปกลุ่มม๊อบคอมนิวนิสต์ได่ขยายตัวเข้าไปก่อเหตุสร้าง ความปั่นป่วนกลางกรุงเบอร์ลินแบบลุกลามใหญ่โต..


            ความสำเร็จชิ้นงามของฝีมือแทรกแซงของเยอรมันนั้น..ไม่มี ชิ้นไหนจะเด็ดไปกว่า การยุยงชาวยูเครนให้ก่อหวอดขึ้นมาจนสำเร็จในการเรียกร้องขอความเป็นไทจา กรัสเซีย
            ยูเครน..คือรัฐหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัสเซียติดกับชายแดน ออสเตรีย ในส่วนพื้นที่ส่วนนี้ มีเมืองสำคัญๆเช่น Don,Odessa ที่เป็นเมืองท่าค้าขายขนส่งสินค้าขาออกสำคัญเช่น ธัญญพืช,น้ำตาล..  
            ส่วน Kieff (Kiev) ถือว่าเป็นเมืองหลวงของยูเครนเลยทีเดียว

 


           
            เมื่อ สี่ร้อยปีก่อนนั้น..ยูเครนถือว่าเป็นสนามรบระหว่างรัสเซียกับพวกโปล์ หรือพวกที่เป็นคอสแซคอิสสระ ที่เรียกตัวเองว่า กองทัพยูเครเนี่ยน
            ต่อมาซาร์ Alexei Michailovich ได้ทรงเข้าไปรวบรวมเข้ามาในขัณฑสีมาในปี 1649 และทำนุบำรุงให้การพัฒนา
            จนมาถึงรัชสมัยของสมเด็จมหาจักรพรรดินีคัทเธอรีนที่ทรงเป็นพระองค์แรก
            ที่เข้าไปช่วยเหลือในการกสิกรรมที่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงทุกวันนี้  
            ประชากรแทบทั้งหมดพูดและเขียนภาษารัสเซีย แต่ก็ยังมีการพูด
            ภาษายูเครเนี่ยนหลงเหลือให้เห็นอยู่บ้างที่สำเนียงก็เพี้ยนเหน่อไป
            เป็นที่ขบขันล้อเลียนออกบ่อยๆเช่นเดียวกับชาวอเมริกันที่ชอบล้อเลียนสำเนียงของชาวเคนตั๊คกี้ ฉันท์ใด ฉันท์นั้น..

            ไกเซอร์วิลเฮล์มชอบเอาเรื่องนี้มาเลียนเสียงล้อเลียนหมู่พระญาติสาย
            รัสเซียออกบ่อยๆ (เมื่อครั้งยังมีสายสัมพันธ์ต่อกัน) ทั้งๆที่เป็นญาติกันนี่แหละ..ล้อเล่นกันไปมา..จู่ๆก็กรีฑาทัพมาเบียดเบียน กันหน้าตาเฉยในปี 1917 ตามด้วยการแทรกแซงทางการเมืองและราชสำนักอย่างหน้าไม่อาย
            พวกเหล่าหัวหอกของยูเครนไม่ว่าคณะอบต.ไหน ไม่ว่าเสื้อสีอะไร ต่างถูกเรียกตัวให้เข้าพบรับเงินสนับสนุนจากเบอร์ลิน ด้วยความประสงค์เดียวกันนั่นคือ การยื่นคำขาดและก่อหวอดเรียกร้องการเป็นอิสระแยกตัวเป็นเอกเทศจากรัสเซีย

            ผลจากการนี้..คือการปลดตัวออกจากการร่วมรบในกองทัพ..นั่นหมายถึงจำนวนพลที่จะ หายไปนับล้านๆนาย...เท่ากับเป็นการตัดกำลังกองทัพให้ถึงแก่การณ์ง่อยเปลี้ย เสียขาอย่างเห็นๆ

        Kaiser Wilhelm II         
 
            ในที่สุด..การร้องขอของพวกยูเครเนี่ยนได้ประสบความ สำเร็จ และ นั่นคือความล่มสลายของกองทัพแห่งรัสเซียที่เป็นไปตามคาด เยอรมันได้ถือโอกาสนี้ก้าวล่วงเข้ามาในพื้นที่ลึกเข้ามาอีก
            กระแสเสียงของประชาชนได้เปลี่ยนไป ประชาชนบางส่วนเกิดจงรักภักดีฝ่ายศัตรูอย่างแทบไม่น่าเชื่อในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน..
            หนังสือพิมพ์ในเมืองเคียฟหาญกล้าถึงขนาดพาดหัวข่าวด้วยคำพูดของกลุ่มคอมมูนิสต์ที่ว่า
            "น่าจะจับพวกครอบครัว"ทรราชย์"นั่นเอาไปหมกโคลนซะนัก"

            ไม่มีใครเสียเวลามาแยกแยะเลยว่า ในครอบครัวโรมานอฟนั้นยังมีกลุ่มพระราชวงค์ที่มีความสามารถและทำประโยชน์ให้ บ้านเมืองมาอย่างหนักหนา เช่น
            พี่ชายใหญ่ แกรนด์ดุ๊ค นิโคลาส ที่เป็นนักวิชาการ ได้สร้างตำรับตำราไว้มากมาย..หรือพี่ชายรอง..แกรนด์ดุ๊ค มิเกล ที่สุดแสนสมถะ..ช่วยเหลือสาธารณประโยชน์ด้วยทุนตัวเองอยู่เนืองๆ
            พวกเขาได้เหมารวมไปหมด..ว่าขึ้นชื่อว่าอยู่ในตระกูลโรมานอฟแล้ว..ถือว่า..เป็น"ทรราชย์" เสี้ยนหนามของการเมืองใหม่ทั้งสิ้น

            ซารินาพระมารดาทรงตรอมพระทัย..สุดแสนทุกข์ระทมต่อเหตุการณ์ที่เกิด..พระองค์ แทบไม่เชื่อว่าพระองค์จะได้เห็น ได้ยินกระแสจงชังจากประชาชนที่มีต่อพระโอรสได้มากมายขนาดนี้
            ไม่ว่าฉัน ได้พยายามอธิบายให้ทรงทราบเกี่ยวกับลัทธิใหม่นั้อย่างไร ก็ไม่เป็นผล  เพราะซารินาพระมารดาทรงอยู่ในวัยล่วงเจ็ดสิบชันษา ทรงไม่เข้าพระทัยว่า..ทำไมประชาชนจึงได้ลืมพระเจ้าปีเตอร์มหาราชปฐมวงค์แห่งโรมานอฟที่ได้ก่อสร้างประเทศให้มีความปึกแผ่นมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างง่ายดายนัก
            แล้วไหนจะยังพระสวามีที่ล่วงลับ..พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่สามอีกเล่า..ที่ทรงงานอย่างหนักหนาสาหัส เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อการความอยู่รอดของรัสเซียมาไม่รู้ว่าจักกี่ครั้ง
            ทรงรำพันว่า..
            "นิคกี้ของฉันอาจจะทำผิดทำพลาดไปบ้าง..แต่ที่จะมาเรียกกันว่าเป็น."ทรราชย์"ต่อ ประชาชนนั้น..มันเป็นไปไม่ได้เลย..ไม่มีวันที่นิคกี้จะเป็นเช่นอย่างที่เขาว่ากัน"
            สายพระเนตรที่จับจ้องมาที่ฉันนั้น อ่านได้ใจความว่า..
            "เธอเองก็รู้นี่นาว่านิคกี้เป็นคนอย่างไร ดีขนาดไหน ที่เขาว่ามานั้นมันเหลวไหลทั้งเพ..ทำไมล่ะ ทำไมเธอถึงไม่ไปแก้ข่าวให้เขาล่ะ ทำไมเธอไม่ไปบอกเขาให้เข้าใจล่ะ"
            มันช่างเจ็บจี๊ดในหัวใจนัก..สงสาร พระองค์จับจิต..เจ้าหญิงจากเดนมาร์กผู้สวยสดเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว..ผู้ซึ่ง ละทิ้งบ้านเมือง ญาติพี่น้อง มาอภิเษกกับกษัตริย์ต่างบ้านต่างเมืองที่แสนห่างไกล
            พระองค์ต้องผ่าน เหตุการณ์ที่แสนโหดร้ายมานักต่อนักในช่วงของสามแผ่นดินแห่งรัสเซีย ยิ่งเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาอย่างสดๆร้อนๆนี้ ที่ นิคกี้ยอมสละราชบัลลังก์..
            ไฉนจึงไม่ให้อเล็กเซ พระนัดดาขึ้นครองแทนเล่า ทำไมนิคกี้จึงต้องตัดสายใยเผื่อไปยังพระโอรสด้วย..,ไฉน..พระโอรสองค์เล็ก มิเกล..ไม่รักพระองค์เลยหรืออย่างไร ทำไมจึงไม่ขึ้นครองบัลลังก์อันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของตัวเอง อย่างน้อยก็เพื่อพยุงพระอิสสริยยศ
            ให้กับเหล่าพระประยูรญาติให้กลับมาเป็นเช่นเคย

            ทรงไม่เข้าพระทัยอะไรทั้งสิ้น..

     
            เหล่าข้าราชบริพารเก่าๆที่ยังจงรักภักดีก็ยังขอเข้าเฝ้า ทุกวัน ต่างก็เสนอความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า เราน่าจะขอเดินทางไปยังไครเมีย เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ออกกฏคุมเข้มอะไร อีกทั้งมีข่าวลืออกมาหนาหูว่า
            ซาร์และครอบครัวและเหล่าพระราชวงค์อื่นๆกำลังจะถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่ไซบีเรีย..
            แต่ ซาร์ก็ยังมีข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับรัฐบาลในวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ทรงเลือกได้ตามพระทัยว่าจะเสด็จไปประทับที่อังกฤษ หรือ ที่ไครเมีย
            นายก รัฐมนตรี Kerensky ผู้ซึ่งเป็นโซเชียลลิสต์คนเดียวในรัฐบาลที่มีสีแดงเข้มนั้น..ได้แอบเล่าให้ คนสนิทฟังว่า..นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นาย LLoyd George ได้ปฏิเสธมาแล้วถึงการที่จะรับซาร์และครอบครัวให้ไปพำนักลี้ภัย
            และในขณะเดียวกัน..เสียงในสภาต่างเห็นชอบในการที่จะให้ซาร์ไปประทับที่ไซบีเรียอันประหนึ่งเป็นการเนรเทศกลายๆ

            ฉัน ได้นำความคิดที่จะไปยังไครเมียไปปรึกษากับออลก้า เพื่อที่จะได้ช่วยกันชักชวนซารินาพระมารดาให้โอนอ่อนผ่อนตามอีกแรงหนึ่ง..ใน ครั้งแรก..
            ออลก้าปฏิเสธลูกเดียว เพราะรู้ดีว่าอย่างไรเสียพระมารดาจะไม่ยอม
            จาก นิคกี้ไปไกลเช่นนั้นแน่ๆ พระองค์เชื่อว่า อลิกซ์คนเดียวคงไม่พอที่จะเป็นขวัญและกำลังใจให้กับพระโอรสอย่างเต็มที่ ถ้าหากปราศจากพระองค์ผู้เป็นพระมารดา
            แม้แต่ออลก้าเองก็ยังต้องถอยต่อพระ ประสงค์มุ่งมั่น..เธอถึงกับกล่าวว่า ถ้าพระเจ้าประสงค์เช่นนั้น พวกเราก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากรอชะตากรรม อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด

            แต่แล้ว..ในที่สุด รัฐบาลได้ออกคำสั่งให้พวกเราอพยพไปยังไครเมียด่วนเนื่องจากการรุกล้ำของกอง ทัพเยอรมันได้ใกล้เข้ามา และเคียฟนั้นถือว่าไม่ปลอดภัยเพราะเป็นเสมือนเมืองหน้าด่านในขณะนั้น
            ซารินาพระมารดาไม่ทรงยอมท่าเดียว  เพราะทรงฤทธิ์มาก.แถมประกาศว่าขอยอมสิ้นพระชนม์ที่นั่น จะติดคุกติดตะรางก็ยอม
            เล่นเอาพวกเราแทบจะต้องออกแรงใช้กำลังอุ้มพระองค์ไปขึ้นรถไฟเลยทีเดียว

            เมื่อ เราไปถึงที่ Ay-Todor คณะมหาดเล็กรักษาพระองค์ที่ส่วนใหญ่คือกลุ่มกลาสีทีมีหน้าตาไม่เป็นมิตร เราได้รับรายงานคำสั่งสารพัด"ห้าม" จากรัฐบาล ด้วยว่าสภาพสถานะของพวกเรานั้นเป็นกึ่งเจ้า กึ่งนักโทษ
            เราจะสามารถอยู่ ได้แต่ในอาณาเขตพระราชฐานที่มีเนื้อที่ 175 เอเคอร์ที่มียามคุ้มกันหนาแน่น และ ทหารมีสิทธิที่เข้าห้องเราเวลาไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

            การ ติดต่อจากภายนอก..จะต้องผ่านการตรวจและกรองจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น  เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างประเทศก็เข้ามาคุมเข้ม ด้วยเกรงว่าเราจะใช้ภาษาอื่นในการติดต่อสื่อสาร
            ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนจะต้องถูกตรวจค้นอย่างละเอียดทั้งขาเข้าและขาออก
            จำนวนเทียนและน้ำมันก๊าซที่ใช้ จะต้องถูกเช๊คจำนวนในทุกๆสองวัน  
            ฉันถึงกับต้องถามหนึ่งในเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลว่า  เกรงว่าเราจะเอาไปทำระเบิดก่อวินาศภัยหรือไง?
            ทางนั้นตอบมาด้วยท่าทีสงวนวาจาว่า.
            "เพื่อความสงบของประเทศน่ะ เพราะรัฐบาลคงเกรงว่าฝ่าบาทอาจใช้เป็นสัญญาณส่งไปให้กับกองทัพเรือของเตอร์คิชได้"

            แหม..มัน ก็ช่างกล้าตอบ..เราจะต้องใช้เทียนจำนวนเท่าไหร่(วะ) ถึงจะทำสัญญาณควันส่งไปให้กับกองทัพเรือที่อยู่ห่างถึงสี่ร้อยไมล์ในทะเล Bosphotusได้น่ะ!!
            แต่คำตอบนี้ก็พอสรุปได้ว่า..ทางรัฐบาลใหม่เองก็ยังแตกแยกอยู่เป็นสองฝั่ง..ระหว่างข้าราชการที่เป็นโซเชียลลิสต์ และ กลุ่มระดับล่างที่นิยมคอมมิวนิสต์ และต่างก็ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน
            กลุ่มแรก..หวังว่าสักปีสองปีให้หลังไป หลังจากที่อำนาจถูกเปลี่ยนมือ ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ในการเมืองใหม่ในระบอบโซเชี่ยลลิสต์

            ส่วนกลุ่มหลังก็ยังหาว่า เพราะกลุ่มแรกนี่เอง ที่หวังในอำนาจ ถึงได้จัดการให้แกรนด์ ดุ๊ค นิโคลาชา อดีตแม่ทัพใหญ่คนสำคัญหลบออกไปจากเมืองหลวงได้ (นิโคลาชาและครอบครัวมาสมทบกับเราที่ไครเมียหลังจากที่เราถึงในสองวันต่อมา)

           

            ตัวเจ้าหน้าที่จากรัฐบาลเองก็มีท่าทีที่ประหม่า ตื่นกลัวอยู่ตลอดเวลาอย่างไรพิกล..กับฉัน เขาก็มีมารยาทดีอยู่หรอก แต่มีทีท่าไม่ค่อยนอบน้อมเท่าที่ควรเพราะถือว่าเป็นกลุ่มผู้ชนะ
            ตำแหน่ง และยศของฉันก็เปลี่ยนไปเรื่อย ตามความพอใจของรัฐบาล เช่น เขาเรียกฉันว่า "อดีตแกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์"บ้าง ตอนวันที่ 1เมษายนที่ผ่านมา
            พอเดือนพฤษภาคม ก็เป็น "ผู้บัญชาการโรมานอฟ"
            พอมาถึงเดือนมิถุนายน กลายมาเป็น "นายโรมานอฟ"
            นี่ถ้าฉันเกิดโวยวายขึ้นมา ไอ้หมอนี่คงจะสะใจนัก..สายตาของมันที่จับจ้องไปที่ซารินาพระมารดานั้นมันเต็มไปด้วยความจงชัง
            มัน คงรอวันที่จะเห็นภาพที่พระองค์ทรงฟูมฟาย ด่าวดิ้นไปด้วยความเสียพระทัย..แต่การณ์หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะ พระองค์ไม่เคยทอดพระเนตรมองมันเลย..เพราะจากเช้าจนถึงค่ำ พระองค์ได้ทรงประทับที่ชานเฉลียง ก้มพระพักต์อ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ลองค์เดิมที่นำติดตัวมาตั้งแต่เดนมาร์กเมื่อห้าสิบปีก่อน

            พวก เจ้าหน้าที่ได้จัดให้มีการสอนวิชาการนานาแขนงให้กับลูกชายของเรา..คนหนึ่งทำ อวดภูมิมาสอนเรื่องการปฏิวัติในฝรั่งเศสที่อ้างว่าคล้ายๆกับของรัสเซียใน เวลานี้..
            ลูกชายก็เลยสอนกลับไปว่า..ให้ไปเรียนภาษาฝรั่งเศสมาให้ดีก่อนค่อยมาสอนเรื่องอื่น..พวกนักวิชาเกินนั่นก็เลยค่อยหดหายหน้ากันไป
            เซเนียรู้สึกขำขันในเรื่องนี้..แต่ฉันไม่..เพราะรู้สึกถึงมหันตภัยจากบอลเชวิคที่กำลังจะรุกคืบเข้ามาในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าไม่นานนี้

            คืนวันหนึ่ง..ฉันรู้สึกตัวสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรเย็นๆมาแตะ ที่หน้าผาก  โดยสัญชาติญาณจึงยกมือขึ้นหมายจะปัด..แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดขึ้นมา ว่า
            "อย่าขยับเขยื้อน..ไม่งั้นผมยิงแน่ๆ"
            ฉันลืมตาขึ้น..จึงพอมองเห็นร่างตะคุ่มๆของชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างเตียง ช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณตีสี่เศษๆ เซเนียรบถามขึ้นว่า..
            "จะมาเอาอะไร ถ้าอยากได้เครื่องเพชร ก็เดินไปหยิบเอาได้เลย  มันอยู่ในโต๊ะที่มุมห้องนั่นไง"
            "พวกเราไม่ได้มาปล้น..พวกเราต่อต้านกลุ่มศักดินาอย่างพวกท่าน..มันถึงเวลาแล้ว ที่ต้องปิดฉากละครกันเสียที ตอนนี้พวกเรากลุ่มโซเวียตแห่ง Sebastopol ได้เข้ายึดทุกตารางนิ้วในวังนี้หมดแล้ว  พวกท่านจงฟังและทำตามคำสั่งของพวกเราเท่านั้น"
            ฉันฟังอย่างใจเย็น..พยายามควบคุมอารมณ์ให้นิ่งสงบ และขอให้เปิดไฟเพื่อที่จะขอดู"หมาย"สั่งค้น ไอ้หมอนั่นตะโกนสั่งลูกน้องว่า
            "เฮ้ย..เอ็ง ช่วยเปิดไฟให้นายโรมานอฟเขาหน่อย เขาจะดูหมายค้นที่มีลายเซ็นของท่านประธานองค์กร" สิ้นเสียงสั่น ก็มีเสียงหัวเราะร่วนตามขึ้นมาพร้อมกับไฟได้เปิดขึ้น
           

ฉันจึงได้เห็นฝูงกลาสีหลายคนในห้องของเรา หมายค้นนั้นได้เขียนมาว่า..ให้ทำการค้นที่พักอาศัยของผู้ที่ถูกควบคุมตัวนา ยอเล็กซานเดอร์ กับภริยา นางเซเนีย และลูกๆ
            ฉันทำใจดีสู้เสือ..บอกไป ว่า."นายเอาปืนออกไปจากหัวฉันก่อนได้ไหม..จะได้ลุกขึ้นแต่งตัว" เพราะเชื่อว่าพวกมันจะต้องเอาตัวฉันไปเข้าคุกอย่างแน่นอน
            แต่มันตอบมาว่า "ยังไม่ต้องแต่งตัวหรอก เพราะไม่เอาตัวไปไหนตอนนี้ เพียงแค่จะเข้ามาค้นเอกสารและสิ่งของที่ต้องสงสัยเท่านั้น แล้วมันก็ส่งสัญญาณให้กลาสีเอาปืนออกห่างไปจากหัวฉันเพียงไม่กี่นิ้ว
            จนฉันต้องหัวเราะ..ถามไปว่า.."พวกนายกลัวเราสองคนที่มีแต่มือเปล่าเนี่ยนะ?"
            "พวกเราไม่วางใจพวกทรราชย์คนไหนทั้งสิ้น..ใครจะไปรู้เล่าว่า จะมีปุ่มอาวุธลับ หรือ ประตูกลอะไรในนี้"
            "งั้นขอสูบบุหรี่ได้ไหม?"
            "ตามสบาย..แต่อย่าทำยึกยัก ถ่วงเวลาให้น่ารำคาญเล่าพวกเรามีงานต้องทำ..อย่างแรกเลย..เราต้องการให้เปิด โต๊ะเอกสารตัวใหญ่ในห้องทำงานของท่าน ส่งกุญแจมาเสียดีๆเพราะพวกเราไม่อยากจะต้องทุบหรือทำลายให้เสียหาย เพราะนั่นมันคือสมบัติของประชาชน.."

            พอมาถึงประโยคนี้..ฉันมองเห็น หน้าของไอ้เจ้าหน้าที่จากรัฐบาลคนนั้นลอยขึ้นมาทันที..เพราะทุกครั้งที่ฉัน ทำงานในห้องสมุด ไม่ว่าจะจัดเก็นเอกสารให้เข้าที่เข้าทาง มันต้องมาป้วนเปี้ยนแถวนั้นทุกที
            แต่ฉันก็หยิบกุญแจออกมาจากใต้หมอนส่งให้มันแต่โดยดี..พร้อมกับถามถึงไอ้เจ้าหน้าที่คนนั้น..ว่าไปไหนเสีย
            "ไม่จำเป็นที่ท่านต้องมา..พวกเราทำงานนี้เองได้..เชิญท่านนำพวกเราไปได้แล้ว"

    

            พวกกลาสีเข้ามารายล้อมรอบตัวฉันอย่างมะรุมมะตุ้ม ปืนก็ยังจ่อสมองฉันอยู่..ฉันพาพวกมันไปยังที่หมายที่ต้องการ พอประมาณคร่าวๆได้ว่า กลาสีที่เข้ามาในบ้านฉันนั้นมีไม่ต่ำกว่าห้าสิบนาย
            โดยจัดรวมตัวกันเป็นกลุ่มคุมอยู่ในทุกประตูของบ้าน ทำให้ฉันต้องแอบเหน็บไม่ได้ว่า
            "แหม..เข้ม แข็งกันดีจริง ขนาดซารินาพระมารดาที่ทรงเจริญพระัชันษามากแล้วและไหนจะยังพวกเด็กๆอีก ยังต้องใช้ชายฉกรรจ์มาคุมตัวแบบหกต่อหนึ่งเจียวหรือ?"
            มันแกล้งทำเป็นไม่ ได้ยินเสียงประชดของฉัน..แต่ชี้ให้ดูไปที่นอกหน้าต่าง..ที่สนามหญ้า ยังมีรถบรรทุกที่ติดปืนกลอีกหลายคันพร้อมไปด้วยทหารประจำการในท่าเตรียม พร้อมอีกนับสิบๆนาย

            ฉันเปิดลิ้นชักต่างๆให้ค้นดูตามความชอบใจ..มัน หยิบจดหมายปึกใหญ่ขึ้นมาดู เป็นจดหมายที่มีตราแสตมป์จากต่างประเทศ พร้อมกับแสดงภูมิออกมาว่า
            "อ้อ..จดหมายติดต่อกับศัตรูนอกประเทศ..ไม่เลวเลยนี่"
            "ฉันก็ไม่อยากจะทำให้ท่านผิดหวังหรอกนะ..แต่นั่นมันเป็นจดหมายถึงญาติฉันในอังกฤษ"
            "แล้วอันนี้ล่ะ?"
            "ฉบับนั้นมาจากฝรั่งเศส"
            "เฮ่ย..ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน ก็เหมือนกันหมดแหละ มันก็ไอ้พวกทุนนิยมที่ถนัดกดขี่พวกกรรมกร"
            สิบนาทีผ่านไป..มันก็ได้แต่มองหาจดหมายในภาษาที่พออ่านออก..จนมาพบจดหมายที่มันอ่านขึ้นมาอย่างช้าๆและชัดเจนว่า
            "นี่คือจดหมายที่ท่านติดต่อกับอดีตซาร์ ทรราชย์คนสำคัญ..นี่กำลังสมคบกันต่อต้านล้มล้างพวกเรางั้นซิ?"
            "นายทำไมไม่ดูวันที่ที่ลงล่ะ..พระองค์ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ก่อนสงครามซะอีก"
            "งั้นหรือ..ถ้างั้นผมจะส่งให้คณะกรรมการที่เซบัสโตโปลไปพิจารณาเอง"
            "หมายความว่า นายจะเอาสมบัติส่วนตัวของฉันไปแบบดื้อๆอย่างงั้นหรือ?"
            "ถูก ต้อง..เรามีคณะกรรมการพิเศษที่เชี่ยวชาญในการตรวจตราของแบบนี้..แต่ว่าที่ จริงสิ่งที่พวกเรากำลังต้องการค้นคือ อาวุธ..บอกมาตรงๆดีกว่า ว่าท่านซ่อนปืนกลไว้ที่ไหน?"
            "นี่กำลังพูดเรื่องตลกอะไร?"
            "หามิ ได้..ผมพูดจริง..เอางี้ดีกว่า..ผมสัญญาว่าทหารทั้งหมดในที่นี้จะไม่ทำร้าย ท่านและครอบครัวเลย..เพียงแต่ท่านสารภาพมาดีๆแล้วกันว่า..ที่ซ่อนปืนกลและ อาวุธอื่นๆนั้นอยู่ที่ไหน..เพราะ
            อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องหาจนเจอ เมื่อนั้นแหละชีวิตท่านจะยุ่งยากมากกว่านี้หลายเท่า..ผมขอเตือน"
            ฉันเห็นท่าจะพูดกับไอ้หมอนี่ไม่รู้เรื่องเสียแล้ว..เลยพาตัวลงนั่งพร้อมจุดบุหรี่ขึ้นสูบ..
            มันเริ่มกระสับกระส่าย ฉันก็เลยท้าให้มันค้น..อยากจะค้นตรงไหนก็ค้นไป

            กว่า พวกมันจะกลับออกไปได้ก็ตกหกโมงเย็น..ที่บ้านอยู่ในสภาพที่เละเทะจากการค้น กระจาย พวกมันได้นำเอกสารของฉันไปหลายกล่อง และ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลประจำพระองค์ของซารินาพระมารดา
            ทั้งๆที่พระองค์ทรงลงทุนอ้อนวอนขอคืน และพร้อมที่จะเอาเครื่องเพชรเข้าแลก..ไอ้คนที่เป็นหัวหน้ามันตอบว่า
            "พวก เราไม่ใช่โจร..ไอัสมุดเล่มนี้มันเป็นสิ่งต่อต้านคณะทำงานของพวกเรา  แม่เฒ่าเองน่าจะรู้ดีว่าสมองของแกนั้นถูกวางยาพิษเพราะไอ้ขยะนี่มานาน แสนนาน...เลิกได้แล้ว"

            (สิบปีต่อมา..ขณะที่ซารินาพระมารดาประทับอยู่ ในโคเปนเฮเกน..พระองค์ได้รับพัสดุที่มีพระคัมภัร์เล่มนี้บรรจุมา จากนักการเมืองชาวเดนิชคนหนึ่ง ที่เผอิญไปเที่ยวมอสควา และพบวางขายอยู่ในร้านหนังสือเก่าจึงได้ซื้อมาส่งมาถวายคืน..พระองค์ได้ทรง เกาะกุมพระคัมภีร์เล่มนี้ในพระหัตถ์ขณะที่เสด็จสู่สวรรคต)

 
ในช่วงของสภาวะระส่ำระสายภายในประเทศ..ใครเป็นใครก็ได้เห็นกันในยามนี้ เช่น.
แม่ทัพเรือ Kolchak แห่งน่านน้ำ Sebastopol ที่เร้นตัวไปจากเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ก
เพื่อ ที่จะหนีออกนอกประเทศไปร่วมกับกองทัพเรืออเมริกันนั้น..ได้รับข้อเสนอที่งด งามจากรัฐบาลโซเวียตทั้งตำแหน่งและสินทรัพย์ที่รัฐบาลไปยึดมาจากธนาคารไค รเมียนมาประเคนให้
ท่านแม่ทัพก็เลยยอมหักกระบี่ทองคำที่ได้รับพระราชทานมาทิ้งเสีย..และยอมที่จะตระบัดสัตย์กับคำปฏิญาณที่เคยให้ไว้อย่างหน้าตาเฉย..

ฉัน พบปะกันแกรนด์ ดุ๊ก นิโคลัส (นิโคลาชา อดีตผบ.กองทัพบก) บ่อยๆในยามที่ไปเดินเล่นในสวน..ดังที่รู้ๆกันว่า ฉันกับเขา (และทั้งตระกูลนี้)
ไม่ค่อยลงรอยกันมาแต่ไหนแต่ไร..ดังนั้น..การพบปะของ เราแบบบังเอิญๆนั้น..ก็เหมือนกับความว่างเปล่าในอากาศ แต่ก็ดูเหมือนว่า เขาเริ่มจะสำนึกในคำพูดของฉันเคยได้ทำนายไว้ในสิ่งเลวร้ายที่พวกเรากำลัง ประสบอยู่นี่..
ทุกๆวัน..พวกเราเหล่าเชลยศักดิ์..ก็เฝ้าแต่คอยสดับข่าว ว่าเมื่อไหร่ไอ้รัฐบาลบ้าๆนี่จะล่มสลายไปซะที..และ..ใจจดจ่ออยู่กับครอบครัว ของนิกกี้
(ซาร์นิโคลาส)ที่ถูกกักตัวอยู่ที่ไซบีเรีย.
แต่พระราชวงค์คนอื่นๆส่วนใหญ่ยังคงประทับอยู่ที่เซนต์ ปีเตอร์เบอร์ก

พี่ และน้องชายของฉัน..นิโคลาส, เซอร์เก, จอร์จ  ก็อาจจะยังมีชีวิตอยู่..ถ้าเขาตัดสินใจมาอยู่ที่ Ay-Todor กับเราเสียตั้งแต่ทีแรก
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 1917 ฉันไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากพวกเขาเลย..(มารู้ทีหลังถึงโศกนาฎกรรมของซาร์..ก็ที่ปารีส..เมื่อปี 1919)



วันรุ่งขึ้นต่อมา..ผู้ตรวจการไม่ได้เข้ามาแวะเยี่ยม เยียนพวกเราเหมือนอย่างเคย นั่นก็หมายถึงว่า..คณะรัฐบาลเริ่มเข้าจะมาควบคุมพวกเราอย่าง
หมดจด..จนกระทั่งบ่าย..มีรถบรรทุกฝุ่นจับเขรอะวิ่งเข้ามาพร้อมกับบรรทุกทหารมาเต็มคันรถ
หลังจากที่เสียเวลากับยามที่ประตูเพียงชั่วครู่..พวกเขาก็เดินตบเท้าเข้ามา..พร้อมทั้งประกาศว่า
"เราได้รับการมอบหมายจากรัฐบาลโซเวียต..ให้เข้ามาดูแลควบคุมพวกท่านและสถานที่นี้ทั้งหมด" ไอ้หมอนั่นดูมีสีหน้าภาคภูมิใจอย่างสุดๆ
ฉันเชิญให้มันนั่ง..แต่ไอ้หมอนั่นกล่าวต่อไปว่า
"ผม รู้จักท่าน..ท่านคือ"อดีต"แกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์  จำผมได้หรือเปล่า..ผมเข้ารับการฝึกอบรมในโรงเรียนการบินของท่านเมื่อ ปี 1916
ที่เซบัสโตโปล"
ฉันจำไม่ได้หรอก..เพราะนักเรียนที่มาฝึกนั้น มีเป็นพันๆคน..แต่อย่างไรก็ตาม.."สายสัมพันธ์" ของครูกับลูกศิษย์ก็ยังมีเยื่อใยหลงเหลืออยู่
ดังนั้นการสนทนาของเราจึงค่อนข้างเรียบง่ายและสุภาพ
ทหาร คนนี้ได้มาส่งข่าวให้เราทราบว่า..พวกเราจะต้องย้ายไปถูกกักกันบริเวณเพื่อ ความปลอดภัยที่  ค่าย Dulber ซึ่งเคยเป็นพระราชฐานที่สร้างเลียนแบบค่ายพักของ
แกรนด์ ดุ๊ก ปีเตอร์ มาก่อน

คำ ว่า "กักกันบริเวณเพื่อความปลอดภัย" นั้น..เป็นศัพท์ใหม่ที่บัญยัติขึ้นมาให้ฟังดูหรูดี..แต่นั่นก็ไม่ต่างอะไร กับการจำนองจองจำพวกเราทั้งหมด
ฉันเลยถามไปแบบหยันๆว่า..
"ทำไมล่ะ..นายคิดว่าพวกเติร์กจะบุกรัสเซียหรือไง?"
มันตอบด้วยสีหน้าเครียดว่า..
"แย่กว่านั้นอีกขอรับ..คณะคอมราดที่ยัลต้าเสนอให้สำเร็จโทษท่านให้เร็วที่สุดด้วยซ้ำ แต่..คอมราดที่เซบัสโตโปล..บอกว่าให้รอไว้ก่อน
จนกว่าจะได้รับคำสั่งจากท่านเลนิน ดังนั้น..การที่ท่านจะไปอยู่ในค่ายที่ดัลเบอร์จึงจำเป็น เพราะเราไม่แน่ใจว่า พวกยัลต้าอาจบ้าเลือด
ยก กำลังมาเพื่อแย่งชิงตัวก็เป็นได้ เพราะที่ เอย์-โตดอร์ ไม่มีความปลอดภัย ไม่มีรั้วรอบขอบชิด..แต่ดัลเบอร์มีกำแพงสูงสี่ด้านที่แข็งแรง ยากต่อการเข้าโจมตีขอรับ"
เท่านั้นไม่พอ..ทหารคนนี้ยังเอาแผนที่ค่ายออกมาวาง พร้อมทั้งใช้ดินสอสีแดงออกมากากะบาดให้เห็นภูมิประเทศแบบคร่าวๆ

ฉัน รู้สึกขำในใจ..เพราะฉันรู้จักค่าย Dulber นี้ดี..เพราะเมื่อครั้งที่ญาติฉัน แกรนด์ ดุ๊ก ปีเตอร์ได้ทำการสร้างกำแพงสูงแน่นหนาแข็งแรงล้อมรอบนั้น
พวกเราเคยล้อเลียนกันว่า..จะสร้างเอาไว้ขังเจ้า Blue Beard หรืออย่างไรกัน..แต่ท่าก็ยังเดินหน้าสร้างต่อไปจนเสร็จ เพราะท่านว่า
ใครจะไปรู้อนาคตได้เล่า..บางทีเราอาจต้องใช้งานมัน..
ก็จริงอย่างท่านทำนายไว้เป๊ะ..เพราะตอนนี้..มันได้กลายมาเป็น"คุก"สำหรับขังพวกเราซะงั้น..



***Dulber is a palace in Koreiz, near Yalta  in the Crimea. The palace of Grand Duke Peter Nicolaievich of Russia, known as Dulber (dülber  is Crimean Tatar for "beautiful"), is an asymmetrical architectural extravanganza with crenellated walls, silver domes, and more than 100 rooms, inspired by the Mameluk architecture of 15th-century Cairo. This palace was built between 1895 and 1897.



เราได้ย้ายกันไปอยู่ในค่าย..ผู้ดูแลควบคุมเราถูกส่งมาจากเซบัสโตโปล  มีนามว่า
ซาโด หรือ ซาโดรอชนี่ (Zadorojny)
และทุกๆสองอาทิตย์คณะจากยัลต้าจะส่งคนมาสวบสวนพวกเราเพื่อหาข้อมูลต่างๆเท่าที่จะสรรมาหาเรื่องเราได้
แน่นอนว่า..ทุกครั้งที่ส่งมา..จะต้องมีการประทพคารมกับซาโดอย่างถึงพริกถึงขิง..(เพราะคอมมิวนิสต์ทั้งสองฟากนี้..ไม่ถูกกันอย่างแรง)
ซึ่งพวกเราก็ได้แต่นั่งฟัง..เสียงเอะอะที่ลอดเข้ามา เช่น

ไอ้ ซาโด..เราน่ะไม่อยากจะฟังแกพูดเท่าไหร่หรอกนะ..พวกเราคณะยัลต้าขอยืนยันว่า พวกเรามีสิทธิในการที่จะจัดการกับพวกโรมานอฟอย่างเต็มเปี่ยม..พวกแกต่างหาก ที่ล้ำเส้นเอาเชลยไปควบคุมซึ่งมันไม่ใช่กงการอะไรของแก.."

"งั้นเอ็งก็ไปบอกพวกยัลต้าไปให้ไปลงนรกซะไป๊..ขืนพูดมาอีกคำเดียว..เป็นได้เกิดเรื่องแน่..อยากจะได้แผลกันนักหรือไง?"

"อยากรู้จริงๆว้อย..ว่าแกรับเงินมาจากไอ้พวกเจ้าพวกนี้มาเท่าไหร่..ถึงได้ปกป้องมันนัก"

"ก็รับมามากพอที่จะจัดงานศพให้แกไง.."

"ดี..งั้นข้าจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานให้คอมราดที่ยัลต้า เพื่อที่จะจัดการกับแกให้เข็ดในฐานที่มาบังอาจขัดขืนต่อพรรค"

"ไม่ ต้องมาพูดมาก..แน่จริงก็ไปเอาคำสั่งจากท่านเลนินมาซิ..แล้วข้าส่งนักโทษให้ เจ้าอย่างโดยดี..ไม่ต้องเอายัลต้ามาอ้าง..แล้วแกก็ไม่ต้องเอาพรรคมา อ้าง..ข้านี่ละว้อย..บอลเชวิคของแท้และดั้งเดิม..ข้าเป็นสมาชิกพรรคตั้งแต่ แกยังเป็นนักโทษตอกต๋อยเพราะคดีวิ่งราวอยู่ในคุกอยู่เลย.."

"แล้วแกจะเสียใจ..ซาโด"

"ไป..ไป๊..ไปให้พ้นต่อหน้าข้าซะที..

ใน การบอกเล่าของซาโด..เขาบอกว่าทหารทุกคนในหน่วยของเขาเอง..กระสันอยากที่จะ ยิงพวกเราทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอดไป เพียงว่าขอให้ได้รับคำสั่งมาเท่านั้น
ก็ จริงอยู่ที่ซาโดว่า..เขาคือบอลเชวิคมาแต่ดั้งเดิม..การเป็น"สหายคอมมิวนิสต์" ของเขานั้นมาจากอุดมการณ์ที่ฝังตัวมานานอีกทั้งได้ร่วมต่อสู้มาจนถึงบัดนี้..
และเขาเชื่อว่า..พวกคอมราดที่ยัลต้านั้น หาใช่คอมมิวนิสต์ที่มีอุดมการณ์ไม่..เป็นเพียงพวกกิ้งก่าที่พร้อมจะเปลี่ยน สีไปตามกระแสบ้านเมืองเท่านั้น

แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลาชา..ไม่เข้าใจว่า..ทำไมฉันถึงได้"ลดตัว"ไปสนทนากับคนอย่าง
ซาโดครั้งละนานๆ..ซ้ำเตือนว่า
"อย่านึกนะ..ว่าการที่ไปทำตัวสนิทสนมกับมันแล้วจะไปน้อมโน้มจิตใจมันให้มาคล้อย ตามเราได้ นายมันสั่งมาเมื่อไหร่..มันก็ฆ่าเราได้เมื่อนั้น"
ทำไมฉันจะไม่รู้เล่า..ฉันรู้ดีเท่าๆกับที่เขารู้นั่นแหละ เพียงแต่ว่า..มันมีอะไรบางอย่างในควาถ่อยเถื่อนของซาโดนั้น มันมีความจริงใจแฝงอยู่
ฉันหมายถึง..เขาคิดอย่างไร..เขาก็พูดออกมาเช่นนั้น..แม้ว่าจะเป็นการตำหนิคณะผู้ก่อการในรัฐบาลของเขาเอง

ทุกคืน..ก่อนเข้านอน..ฉันมักจะกระเซ้าซาโดว่า..
"เราจะถูกสั่งประหารในแปดชั่วโมงข้างหน้านี่หรือเปล่านะ?"
"คงไม่หรอก..เพราะกว่าโทรเลขจากทางเหนือจะมาถึงก็กินเวลาเป็นวันแหละ.."



จากการสนทนากันบ่อยๆ..ซาโดรู้สึกประทับใจในความสามารถที่หลากหลายของฉันเป็นพิเศษ เช่นการช่วยจัดการปรับแถวที่ตั้งปืนกลให้ใหม่
และช่วยเรียบเรียงการเขียนรายงานที่จะส่งไปให้แก่รัฐบาลอย่างเรียบร้อย..จนเขาเกิดความวางใจที่จะปรับทุกข์ในบางเรื่อง..เช่น

"ท่าน..พวกที่เซบัสโตโปลมันเป็นกังวลว่า..กลุ่มนายพลกู้บัลลังค์นั่น..อาจจะส่งเรือดำน้ำมาแย่งชิงตัวท่าน.."

"เสียสติไปหรือเปล่า..ซาโด..นายก็เป็นทหารเรือมานานไม่รู้หรือว่า..น่านน้ำที่ เอย์-ตาดอร์ นี่..ทั้งตื้นและเขิน อีกทั้งมีแต่หินโสโครก
เรือดำน้ำที่ไหนจะเข้ามาได้ ไม่เหมือนอย่างยัลต้า หรือเซบัสโตโปลนี่..เรือเจาะเข้าได้ถึงฝั่งเลย.."

"ผม ก็บอกเขาไปอย่างที่ท่านว่ามานั่นแหละ..แต่พวกเขาไม่ฟัง..ตอนนี้กำลังส่งไฟ สปอตไล้ท์อย่างใหญ่ยักษ์มาติดตั้งริมหาดถึงสองดวง ทีนี้ก็มีปัญหาอีก..พวกทหารของผมมันทำกันไม่เป็น..ท่านมาช่วยติดหน่อยนะ"

เออ..มัน ก็แปลกแฮะ..ถ้าจะมีเรือมาช่วยเราจริงๆ..แต่เราต้องมาช่วยกันติดตั้งเครื่อง ป้องกันให้เนี่ยนะ..เราเสียสติด้วยกันทั้งคู่หรือเปล่านี่?
แต่ฉันก็ตกปากรับคำเป็นอย่างดี..ช่วยสอนทหารช่วยติดจนเสร็จ
จนกระทั่งทุกคนในครอบครัวรู้สึกประหลาดใจไปตามๆกัน
เซเนีย***..ถึงกับประชดให้ว่า..
"ตอนที่มันจะยิงเราน่ะ..ถ้ามันขอให้เธอไปช่วยโหลดกระสุนให้..เธอคงจะไม่ปฏิเสธซินะ?"




***เพิ่ม เติมให้เผื่อลืมค่ะ..เซเนีย (Xenia) คือพระชายาของแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ (ท่านผู้เขียน) และเป็นพระขนิษฐาพระองค์เล็กของซาร์นิโคลาส
เท่ากับว่า..ท่านผู้เขียนนั้นมีศักดิ์เป็นทั้งอา (ตามพระยศ) และ..น้องเขย ของซาร์


ความเป็นอยู่ในของเราค่ายในช่วงที่กำลังฟอร์มรัฐบาลอยู่ นั้น ..นับว่าอิหลักอิเหลื่อเพราะด้วยสถานภาพที่ครึ่งเจ้าครึ่งนักโทษนั้น..มักมี เรื่องให้ขำกันบ่อยๆ เช่น เมนูอาหารที่มีชื่อสวยหรู
เช่น "Wiener schnitzel" ที่มันควรจะเป็นเนื้อลูกวัวทุบชุบแป้งทอด..แต่ของเรามันทำมาด้วยผักที่มีแต่แครอทกับกระหล่ำปลีล้วนๆ
จะว่าขำเรื่องอาหาร..แต่ก็ขำไม่ออกเพราะข่าวจากหนังสือพิมพ์โซเวียตที่มาแต่ละ ฉบับ..ล้วนแต่น่าตระหนก..ข้อความส่วนใหญ่ก็จะเป็นคำแถลงการณ์ของ Trotzky
บ้าง ของ Lenin และที่เลนินไม่เอ่ยถึงคือสิ่งเลวร้ายที่กำลังจะตามมาหลังจากการทำสนธิสนธิสัญญาฉบับ Brest-Litovsk
ซ้ำที่สำคัญคือมีการล้างสมองประชาชนด้วยการใช้ นักเขียนคอลัมน์ที่เป็นพรรคพวกมาเขียนข่าว"สร้างศัตรู" ในการโหมว่ามีศัตรู(ลึกลับ..ไม่ปรากฏสัญชาติ)กำลังเข้ามาแฝงตัวใน Kieff และ Odessa
ซาโด..ผู้ไร้เดียงสาเสียเหลือเกินในด้านการวิเคราะห์ข่าวก็พลอย ตื่นเต้นไปด้วย..ทุกครั้งที่อ่าน..เขาก็คว้าโทรศัพท์กับคุยศูนย์ที่เซบัสโต โปลคราวละนานๆ

คอมราดที่ยัลต้า..ได้ข้อมูลเฉิ่มๆมาอีกแล้ว..คราวนี้ ถึงกับนำข้อมูลนี้ไปแย้งกับคณะรัฐบาลกลางอย่างเอาจริงเอาจัง..ว่าด้วยเรื่อง ของนายพลห้าดาว Orloff แห่งกองทัพซาร์
ที่ครั้งหนึ่งเคยนำทัพไปสลายม๊อบ ที่ Esthonia เมื่อปี  1907  และตรงกับชื่อของคนในกลุ่มของเรา นั่นคือ Prince Orloff ผุ้ซึ่งเป็นทหารหนุ่ม อดีตคือ
นายทหารราชองครักษ์ ของนิคกี้ (ซาร์)...ยัลต้าไม่ฟังอีร้าค่าอีรม..หันมายัดเยียดข้อหาให้พวกเรา(และคอมราด คณะเซบัสโตโปล)ทันทีว่า..ให้ที่หลบซ่อนตัวคนสำคัญ
และส่งคณะมา"ดำเนินการ" ทันที..ทหารที่มาก็ไม่ใช่ใครอื่น..คู่ปรับตัวฉกาจของซาโดนั่นเอง..

มิ ใยที่เราจะบอกว่า..ข้อมูลที่ได้มานั้นผิดพลาดอย่างแรง..เพราะเจ้าชายโอร์ลอฟ ของเรานั้น ทั้งรูปลักษณ์ อายุ ตำแหน่ง..เชื้อสาย ผิดไปจากนายพลโอร์ลอฟทั้งหมด
ไม่ใช่บุคคลคนเดียวกัน เมื่อปี 1907 ที่ว่ามานั้น..เจ้าชายโอร์ลอฟยังเป็นหนุ่มรุ่นกระทงอยู่เลย..
แต่เจ้าทหารจากยัลต้านั้นก็ยังยืนกรานที่จะนำตัวเจ้าชายโอร์ลอฟไปให้กับเอสโธเนีย คอมราดให้ได้..
ซาโด...เข้ามาขวางสุดฤทธิ์..

"ไม่มีทางว้อย..ทางหน่วยเหนือมอสความีคำสั่งมาว่าให้นำตัวอดีตนายพลโอร์ลอฟไป.. ไม่ใช่อดีตเจ้าชายโอร์ลอฟ..เอ็งอย่ามาทำลูกเล่น..เพราะข้ารู้ทันเอ็งกับไอ้ ลูกไม้ตื้นๆว่าเอ็งจะเอาตัวอดีตเจ้าชายโอร์ลอฟออกไป..แล้วก็ฆ่าเขาทิ้งกลาง ทาง..แล้วก็แจ้งว่าเป็นตัวจริงแล้วหันมายัดเยียดข้อหาให้พวกข้าว่าสับเพร่า ในการทำงาน..ออกไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้เลย"

เจ้าทหารนั่นหน้าซีดเผือด..อ้อนวอนเสียงสั่นว่า

"ช่วย ข้าหน่อยเถอะ ซาโด..ถ้าไม่ได้ตัวไปข้าเดือดร้อนแน่ๆ..ลูกน้องข้ากว่าจะมาถึงดัลเบอร์นี่ ได้ก็เหนื่อยกันจะแย่..ขืนกลับไปมือเปล่ามันเล่นงานข้าถึงตาย"

"นั่นมันเป็นปัญหาของเจ้า..ข้าไม่เกี่ยว..ไป..ไป๊.."  ซาโดต้อนคณะจากยัลต้าทั้งหมดออกไปจากประตูจนได้



ประมาณเที่ยงคืนเห็นจะได้..เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ..เปิดออกไปก็เห็นเป็นซาโดที่มายืนอยู่  เขากระซิบเบาๆว่า..

"เกิดเรื่องแล้ว..ผมต้องรีบทำอะไรสักอย่าง..ท่านช่วยคิดหน่อย..พวกยัลต้าเอาตัวมันไปยิงทิ้งแล้ว"

"ยิงใครทิ้ง..โอร์ลอฟหรือ?"

"ไม่ใช่..เจ้าชายโอร์ลอฟยังนอนหลับปุ๋ยในห้อง..ผมหมายถึงไอ้หมอนั่นน่ะ..ไอ้คน ที่มาเจรจาน่ะ ก็อย่างที่มันว่ามาแหละ พวกคณะที่มาด้วยมันโกรธที่หลอกให้มามือเปล่า ก็เลยยิงทิ้งไปซะ และนี่ทางเซบัสโตโปลก็เพิ่งโทรศัพท์มาหาผม..ให้เตรียมตัวไว้..เราอาจมีปะทะ ทางโน้นกำลังส่งกำลังพลมาสมทบให้ที่นี่ห้าคันรถ แต่..เกรงว่าพวกยัลต้าจะมาถึงก่อนเพราะมันอยู่ใกล้กว่า.. ไอ้ผมน่ะไม่ห่วงหรอกถ้าเพียงพวกมันใช้ปืนกล..แต่ถ้าเป็นปืนใหญ่..เราเห็นจะ เอาไว้ไม่อยู่..ท่านอย่าเพิ่งเข้านอนนนะ อยู่ช่วยกันก่อน..ถ้ามันเลวร้ายอย่างที่ว่าจริงๆ  ท่านอาจมาช่วย"โหลดกระสุน" ให้ทหารได้"

ฉันละ..ขำไม่ออก..สิ่งที่เซเนียเคยประชดไว้เล่นๆ..มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ..



ซาโดรีบกล่าวต่อว่า..
"ผมรู้ว่ามันฟังดูพิกลนะท่าน..แต่ว่าผมมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาชีวิตของท่านให้ถึงพรุ่งนี้เช้า..ถ้าทำได้..ท่านก็จะเป็นอิสระ.."

"นายหมายความว่าไง..คณะรัฐบาลได้มีคำสั่งปล่อยตัวพวกเราแล้วหรือ?"

"อย่าเพิ่งถามอะไรในตอนนี้เลย..มาช่วยกันก่อนดีกว่า"  ว่าแล้ว..ซาโดก็รีบผลุนผลันเดินออกไป..ปล่อยให้ฉันยืนงงไปอีกพักใหญ่

ฉันทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียง..กลื่นดอกไลแลคในยามเดือนเมษานั้นหอมหวล โชนโชยไปในอากาศรอบๆ  
หากฉันยังวิตกว่า..ชีวิตพวกเราในยามนี้มีอัตราเสี่ยงสูงมาก
กำแพง สี่ทิศของดัลเบอร์นั้น..สูงใหญ่แน่นหนาก็จริง..แต่ไม่แข็งแรงพอที่จะรับกับ การถล่มของปืนใหญ่ได้..อย่างเร็วสุด..กำลังสมทบจากเซบัสโตโปลจะมาถึงก็ต้อง คงล่วงตีสื่ไปแล้ว
แต่จากยัลต้า..มาถึงนี้ใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียว
เซเนีย..เดินมาตาม..และถามว่าเกิดอะไรขึ้น?

"ไม่ มีอะไรหรอกจ้ะ..ซาโดมาขอให้ข่วยไปดูไฟสปอตไลท์ที่เพิ่งติดเสร็จน่ะ..รู้สึก ว่ามันจะมีปัญหานิดหน่อย" คำพูดของฉันสะดุด เพราะหูแว่วเสียงเครื่องยนต์ที่ใกล้เข้ามา

"บอกความจริงมาดีกว่า..เพราะสีหน้าเธอน่ะมีแววกังวลจนผิดปรกติ..เกี่ยวกับนิคกี้ใช่ไหม..มีข่าวทางทางเหนือหรือ?"

สรุปว่า..ฉันก็เลยบอกความจริงในสิ่งที่ได้ยินมาจากซาโดทุกคำแก่เซเนีย..สีหน้าของ
เซเนียบ่งบอกถึงความสบายใจหลังจากที่ได้ฟัง..
เธอ ไม่มีความเกรงกลัวต่อภัยที่กำลังจะมาถึงเราเลยแม้แต่นิด..ถึงแม้ว่านี่มันอาจจะเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตเราก็ตาม..เซเนียเข้มแข็งเสมอ..สมกับเป็นขัตติยะนารี


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า..นาฬิกาในห้องอาหารบ่งบอกว่า เป็นตีหนึ่ง..ซาโดเดินแวะมาหาตรงระเบียงที่ฉันนั่งง.และบอกว่า..น่าจะเป็น อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แหละ
เซเนีย..เปรยขึ้นว่า..
"น่าเสียดาย นะ..ที่เขายึดพระคัมภีร์ของพวกเราไป..ฉันอยากจะเปิดพลิกหน้าเพื่อเป็นการ เสี่ยงทายอนาคตของพวกเราจริงๆ..เหมือนที่เราชอบทำกันในสมัยเด็กๆไงล่ะ
อยากรู้อะไรก็หลับตาจิ้มเอา"
ฉัน จึงรีบไปหยิบพระคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับจิ๋วที่หลงรอดจากการค้นในห้องสมุดมา ให้..เซเนียกุมพระคัมภีร์เล่มนั้นไว้กับอก..หลับตาอธิษฐาน..และใช้นิ้วพลิก เปิดขึ้น
ฉันรีบจุดไม้ขีดไฟเพื่อเป็นแสงสว่างให้..นิ้วของเซเนียวางอยู่ตรง..องค์ที่ 28  บทที่ 2  ของตอน..Revelation
ที่เขียนไว้ว่า..
" And I will give him the morning star."

"เห็น มั๊ย..เราจะแล้วรอดปลอดภัยอย่างแน่นอน" เสียงของเซเนียมีแววของความดีใจ ซึ่งก็ทำให้ฉันได้พลอยสบายใจไปด้วย..จนเผลอหลับไปบนเก้าอี้นั่นไม่รู้ว่านาน เท่าไร
พอลืมตาตื่นขึ้นมา..ก็พบว่าซาโดกำลังเขย่าไหล่ฉันเบาๆ..ใบหน้าเขามีรอยยิ้มกว้างขวาง..
"เวลาเท่าไหร่เนี่ย..ซาโด..โทษทีนะที่ฉันเผลอหลับไปหน่อยนึง.."

"ไม่หน่อยแล้วละท่าน..สามชั่วโมงแน่ะ..นี่มันตีสื่แล้ว..กองกำลังจากเซบัสโตโปลมาถึงแล้ว..อาวุธพร้อม"

"อ้าว..แล้วทัพจากยัลต้าล่ะ?"

"ไม่รู้ซิ..มันน่าจะเข้าโจมตีเราตั้งนานแล้ว..ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?"

หกโมงเช้า..เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น..ฉันได้ยินเสียงซาโดที่พูดคุยนั้น..มีแววตื่นตระหนก..บอกว่า
"ขอรับท่าน..กระผมจะรีบจัดการตามคำสั่งโดยเร็ว"

ซา โดเดินกลับมาที่ระเบียงอีกครั้ง..นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาห้าเดือนที่ถูก กักกันตัว..ที่ฉันเห็นเขามีอาการสะทกสะท้านจนปิดไม่มิด ท่าทีนอบน้อมอย่างไม่น่าเชื่อ
"บังคมทูลฝ่าพระบาท..ท่านนายพลเยอรมันกำลังจะมาที่นี่ในชั่วโมงข้างหน้า"

"นายพลเยอรมันอะไรที่ไหนกัน..เพ้อเจ้อน่า..ซาโด..เรื่องอะไรกัน..อะไรเกิดขึ้นกับนาย..ไหนเล่ามาซิ"

"ยังไม่เกิดหรอกฝ่าบาท..แต่มันจะเกิดขึ้นแน่ๆ..ถ้าฝ่าพระบาทไม่ทรงมีพระกรุณาให้กับหม่อมฉัน"

"จะไปช่วยได้ไงกันเล่า..ฉันก็เป็นนักโทษอยู่ก็เห็นๆ"

"ไม่ ใช่แล้วฝ่าพระบาท..เยอรมันเพิ่งนำทัพเข้าควบคุมยัลต้าเมื่อสองชั่วโมงที่ แล้ว..และมีโทรศัพท์มาถึงกระหม่อมว่า..ถ้าคณะนายพลมาถึงที่นี่แล้วพบว่า
ฝ่าพระบาทมีภัยอันตรายหรือมีความเดิอดร้อน..พวกเขาจะประหารชีวิตกระหม่อมทันที"  
เซเนียกลั้นหัวเราะ..ได้แต่ยิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วยขันที่เห็นซาโดตื่นกลัวจนตัวสะท้าน

"ไม่เอาน่า..ซาโด..หยุดพูดจาเหลวไหลซะที..เยอรมันน่ะอยู่ไกลนับพันไมล์จาก
ไครเมีย..จะมาถึงกันได้อย่างไร?"

"กระหม่อม ไม่ได้ทูลให้ฝ่าพระบาททรงทราบมาก่อน..เพราะเป็นความลับ..ว่า..กองทัพเยอรมัน ได้เคลื่อนตัวเข้ามายึดเคียฟได้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว จากนั้น..พวกเขาก็เคลื่อนตัวเข้ามาวันละยี่สิบ สามสิบไมล์ทุกวัน จนถึงยัลต้าพระเจ้าค่ะ..กระหม่อมก็ได้แต่หวังในความกรุณาของฝ่าพระบาทในการ ยืนยันว่า..ฝ่าพระบาทไม่เคยได้รับภยันตรายใดๆในขณะที่ประทับอยู่ที่นี่"



ขอเล่าเสริมนิดนึงนะคะ...เพราะเดี๋ยวจะสงสัยกันว่า..ทำไมเยอรมันถึงได้บุกไปที่ไครเมีย
(ยูเครน..รัสเซีย)
เอาเป็นคร่าวๆว่า..เวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซียนั้น คือเวลาเดียวกันกับที่รัสเซียอยู่ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยเข้า กลุ่มกับฝรั่งเศสและอังกฤษทำการรบพุ่งกับเยอรมัน..ออสเตรีย
พอเลนินเข้ายึดอำนาจ ประเทศหันทิศทางเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์..
แน่ นอนว่าเลนินและทรอตสกี้..ขอเจรจาสงบศึกกับเยอรมัน โดยอ้างว่า..การเข้าร่วมในสงครามนั้นเป็นการตัดสินใจของซาร์..ไม่ใช่มาจาก ประชาชน..
เยอรมันได้ทีก็ขี่แพะไล่..เรียกร้องเอาดินแดนในแถบยูเครน เกือบทั้งหมด..รวมทั้งเมื่อสำคัญๆชายฝั่งทะเลบอลติค เพราะดินแดนในแถบนี้มีทั้งแร่และน้ำมัน โรงงาน ท่าเรือ
เลนินก็ต้องตัดใจ ให้...อันเป็นที่มาของสนธิสัญญา Brest-Litovsk..เซ็นสัญญากันในวันที่ 3 มีนาคม 1918...แต่..ประชาชนในเขตต่างๆที่ว่ามานั้น..ต่างไม่พอใจ..ลุกฮือขึ้นต่อ ต้านเพราะขนาดปลดแอกตัวเองออกจากระบบซาร์แล้ว..
หนอย..กลายต้องมาเป็นข้าทาสเยอรมันซะนี่..ที่เต็มไปด้วย เจ้าชาย และ ดุ๊ก ที่ต่างจ้องหมายตาที่ดินตรงนั้นตรงนี้..อย่างตาเป็นมัน..

ทีนี้เมื่อประชาชนต่อต้าน..ทั้งที่ยัลต้าและที่ยูเครน..เยอรมันก็ถือสิทธิตามสนธิสัญญา
เคลื่อนทัพเข้ามาแสดงแสนยานุภาพ..ด้วยกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมพรัก

ขอย้อนกลับที่ว่าเยอรมันขู่ฟ่อๆ..ว่า ห้ามทำร้ายพระราชวงค์...หรือ..ถ้าต้องมีอาการเสียเลือดเนื้อ..เป็นมี เรื่อง!!!!
มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของเยอรมันเท่านั้น..เป็นฉากที่พยายาม หาเรื่องที่จะเรียกร้องทรัพย์สิน..ดินแดนจากรัสเซียให้มากเท่ามาก..เพราะ เยอรมันไม่ได้แคร์กับชีวิตของ
แกรนดฺ์ ดุ๊ก หรือ แกรนด์ ดัีชเชส คนไหนทั้งสิ้น..หรือ แม้กระทั่งครอบครัวของซาร์ด้วยซ้ำ

ซึ่ง..ท่านผู้อ่านจะเห็นสัจจธรรมเหล่านี้ได้ในช่วงต่อๆมา...



ความรู้สึกของฉันในตอนนั้นมันสุดที่จะบรรยาย..ภาพร่าง ใหญ่ยักษ์ของซาโดสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว..และนี่เป็นครั้งแรกที่เขา เรียกฉันอย่างเต็มยศทั้งๆที่ปากคอสั่น..มันช่างน่าสงสารเสียจริง..
"เอาเถอะ..ซาโด..นายก็ทำดีกับพวกเรามาตลอด..ไม่ห่วงนะ..ฉันจะดูแลนาย" ว่าพลางฉันก็เอื้อมมือไปตบไหล่เขาเบาๆเป็นการปลอบใจ

"แต่..ท่านแกรนด์ ดุ๊ก นิโคลาชา และ ท่านแกรนด์ ดุ๊ก ปีเตอร์เล่าพะยะค่ะ..ฝ่าพระบาทคิดว่าอย่างไร?"
ฉันก็เลยหันไปทางเซเนีย..เป็นเชิงปรึกษา..ซึ่งเซเนียรับปากว่าจะไปเจรจากับสองอาวุโสให้เป็นที่เรียบร้อย

ภาพของวันที่นายพลเยอรมันได้ปรากฏตัวมานั้น..ฉันคงไม่มีวันลืมได้ลง..เขามาถึงเมื่อเวลาเจ็ดโมงตรง
และเมื่อฉันได้ตอบรายงานไปว่า..ทุกอย่างเรียบร้อยดี..ผู้คุมซาโด..ก็เป็นคนดีและดูแลให้ความสะดวก..เรียบร้อยดี

นายพลนั่นถึงกับอ้าปากค้าง..ไม่เชื่อว่าฉันจะพูดอย่างนั้น เขาคิดว่าการที่ฉันถูกกักกัน หรือจะว่าอีกที..ก็เหมือนติดคุก
น่าจะทำให้ฉันสติฟั่นเฟือน..จนเห็นผิดเป็นชอบไปแล้ว  เขาอุทานขึ้นอย่างตกใจ
"Aber dass ist ganz unmöglich," (มันเป็นไปไม่ได้...)
และพยายามชี้แนะว่า..
"อย่าลืมซิพะยะค่ะ..ไกเซอร์วิลเฮล์ม และมกุฎราชกุมาร..ทั้งสายเชื้อพระวงค์เป็นญาติสนิทกันกับพระองค์ เพียงแต่ฝ่าพระบาทตรัสออกมาเพียงคำเดียวว่าพวกมันร้ายกาจกับฝ่าพระบาทอย่าง ไร..ทางเราจะจัดการกับมันให้สาสม"

ฉันจึงจำเป็นต้องร่างจดหมายขึ้นมาหนึ่งฉบับเพื่อยืนยันในคำพูดทั้งหมด..ว่าเป็นความจริง..ส่งให้นายพลคนนั้นเพื่อเอาไว้เป็นหลักฐาน
เขา เอง..ก็มีทีท่าหัวเสียพอสมควร..ที่การณ์กลับกลายตาละปัตรไปซะงั้น..เขาประชด เบาๆว่า "diese fantastische Russen" (พวกรัสเชี่ยนที่แสนดี)

ในการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกของเลนินกับเยอรมันนั้น..ทำให้เยอรมันได้เข้ามายึดครองพื้นที่ในไครเมียตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ 1918..

อังกฤษ..ก็ ส่งทัพเรือมาที่เซบัสโตโปล ภายใต้การนำของแม่ทัพเรือ Calthorpe และได้ติดต่อมาเพื่อที่จะนำขบวนเรือมารับเอมเปรส (ซารินาพระมารดา)
ออกไปจากรัสเซีย
แม่ยายของฉันก็ตอบขอบคุณกลับไปยังพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษที่เป็นพระนัดดา (หลานชาย)..แต่ไม่ทรงพร้อมที่จะเสด็จออกไปจากไครเมียโดยลำพังเพียงพระองค์ ..ถ้าจะเสด็จ..นั่นก็หมายถึงว่า พวกเราทุกคนต้องไปกันหมด
(เนื่องจากเจ้าทุกพระองค์นั้น..อยู่ในบัญชีดำของกลุ่มคอมมิวนิสต์)

ในที่สุด..พระเจ้าจอร์จก็ยอมตกลงตามนั้น..     King  George V




ขณะที่คนอื่นๆกำลังเตรียมตัวรอที่จะไปพร้อมกับเรือที่จะมารับเสด็จอยู่นั้น..
แต่..ฉัน ใจร้อนเป็นไฟมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปพบกับกลุ่มคณะระดับหัวหน้าของ ฝ่ายพันธมิตร..หรือที่เรียกกันว่า Big Four ( อังกฤษ, ฝรั่งเศส, อิตาลี, ญี่ปุ่น..อเมริกาไม่ได้รวมอยู่ด้วย  เพราะมาแจมที่หลัง..แต่..กลับมีบทบาทสำคัญสุด..เพราะตัวประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา Wilson Woodrow  ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาบริหารจัดการและควบคุมความเรียบร้อยของสนธิ สัญญาสงบศึกแวร์ซายส์)...........

และตอนนั้น..ระดับบิ๊กๆทั้งหมดที่ว่ามานี้..รวมตัวกันอยู่ที่ปารีส..เพื่อเตรียมตัวกันในการที่จะเข้าประชุมการทำสนธิสัญญา

ฉันต้องการที่จะขอพบและรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายในรัสเซียในทุกๆด้านให้ โลกได้รับรู้..จึงได้เขียนจดหมายไปถึงท่านแม่ทัพเรือ Calthorpe เพื่อที่จะขอเดินทางโดยสารไปกับเรือ H.M.S. Forsythe ของท่านล่วงหน้าไปก่อน
และถ้าท่านตกลง..ฉันสามารถหิ้วกระเป๋าเดินทางไปกับท่านได้ทันที
ซึ่งท่านก็ได้ตอบตกลงมาตามนั้น...

ภาพของเมืองท่าเซบัสโตโปล..ที่มีธงนานาชาติปักปลิวไสว ทั้งอเมริกา..อังกฤษ..ฝรั่งเศส..อิตาลี..ฉันพยายามเพ่งตามอง..ไม่มีเลยแม้ แต่เงา..คือธงชาติรัสเซียของเรา
ไม่มีเงาของเรือรบของเราแม้แต่ลำเดียว..มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก..
ฉันพยายามเก็บตัวอยู่แต่ในเคบิน เพราะไม่อยากให้คนอื่นๆเสียความรู้สึกร่วมไปกับฉันด้วย..
ขณะ ที่เรือกำลังเร่งสปีดของการเดินทาง..ภาพท่าเรือเซบัสโตโปลเริ่มห่างออกไปจน เห็นแต่แสงไฟนั้น..สายตาฉันได้ประสบกับแสงไฟจากประภาคาร (ตำบล) Ay-Todor  ซึ่งมันเคยเป็นบ้านพักของครอบครัวเรามาตั้งแต่ครั้ง
ต้น ตระกูล..เรามีทั้งคฤหาสน์..เรือกสวนไร่นา..ไร่องุ่นทำไวน์..แม่ฉันเอาใจใส่ ดูและต้นไม้ทุกต้น..ฉันจำได้ว่า ลูกแพร์ในสวนของเรานั้นอร่อยนัก..ทั้งหอมทั้งหวานตราบชั่วชีวิตนี้คงไม่มี วันลืม

มันก็น่าแปลกนะ..ในช่วงชีวิตห้าสิบปีที่ผ่านมานี้..ภายใต้ สถานะการณ์ที่กดดันหลายๆครั้ง..ฉันเคยขอสละฐานันดรของความเป็นแกรนด์ ดุ๊กจนนับครั้งไม่ถ้วน..แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ..

ในที่สุด..ก็มาสัมฤทธิ์ ผลก็คราวนี้แหละ..นับตั้งแต่ย่างเท้าก้าวขึ้นเรือ H.M.S. Forsythe เพียงแต่ครั้งนี้.."ความเป็นเจ้า"ของฉันได้หมดไปพร้อมกับการสิ้นสลายของ มาตุภูมิอันเป็นที่รัก..



ฤดูหนาวที่กรุงปารีส...

ไม่ว่าบาร์ ไหน.ผับไหนก็ล้วนแล้วแต่แน่นขนัดไปด้วยสีฟ้า (เครื่องแบบของทหารฝรั่งเศส ) และ สีกากี (เครื่องแบบของทหารอเมริกัน กับอังกฤษ) ที่ผู้อยู่ในเครื่องแบบสีเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีความรื่นเริงบันเทิงใจ
เป็นการให้รางวัลกับตัวเองอย่างสุดเหวี่ยงที่สามารถเอาชีวิตรอดมาจากการกรำศึกครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้

ฉันเดินทางไปที่แวร์ซายส์พร้อมกับเอกสารทั้งหมดที่ได้ร่างและเตรียมการมา ตั้งแต่ย่างเท้าก้าวขึ้นเรือออกจากรัสเซียมา..คนที่ต้องการพบมากที่สุดนั้น คือ นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส นาย จอร์ช เคลมองโซ (George Clemenceau)
ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การลงนามในสนธิสัญญา..

และ ก่อนหน้านั้น..ฉันได้วิ่งเต้นพยายามไปพบกันคนอื่นๆในระดับแถวหน้ามาแล้ว.. ทั้งที่ คอนสแตนตินโนโปล หรือ ที่ กรุมโรม เพื่อที่จะตีแผ่ความร้ายกาจของเลนิน..ทร๊อตสกี้ และระบบทั้งหมด
หากแต่..แทบไม่มีใครสนใจ..นายหทารใหญ่ฝรั่งเศสคนหนึ่ง..ที่กำลังกร่างเพราะชนะศึกแถวๆชายแดนตะวันตก..บอกฉันอย่างขอไปทีผสม"โว"ว่า

"ฝ่าบาทไม่ต้องเป็นกังวลหรอก..อีกหน่อยเราก็ส่งทัพไปลุยมันที่ Odessa แล้วก็ลุยต่อเข้ามอสควา  แป๊บเดียวเอง.งเดี๋ยวท่านก็จะได้กลับไปเสวยสุขที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์คเหมือนเดิมแล้ว"

ฉันก็ได้ฟังด้วยความความเศร้า ใจ..เพราะเจ้าหมอนี่..ไม่รู้เลยว่า..พวกระดับสูงของกองทัพของเขานั้นไม่มี ความปรารถนาที่จะออกแรง..หรือ มีความ"ใยดี"ให้กับรัสเซียเลย..

ดัง นั้น..ความหวังทั้งหมดของฉันจึงมุ่งตรงไปที่นายกรัฐมนตรี นาย เคลมองโซ (ผู้ซึ่งฉันได้มาพบทีหลังว่า..เขาไม่มีความรู้เรื่องอะไรมากนักกับพิษภัยของ พวกบอลเชวิค)

การลงนามสนธิสัญญากำลังจะมีขึ้นในสองวันข้างหน้านี้..ลานระเบียงของอดีตพระราชวังอันงดงาม..คราคร่ำไปด้วยฝูงชนที่เกี่ยวข้อง

ที่อื้ออึงและอลหม่านมากกว่าใครคือพวกที่ถูกหวยพลอยชนะศึกไปด้วย เช่น
โร เมเนีย..เชคโก..โปรตุเกส และอีกมากมาย..ที่กำลังจะเข้ามาขอส่วนแบ่ง..อยากได้โน่นได้นี่จากการล่มสลาย ของสามยักษ์ใหญ่ (Austria-Hungary, Ottoman, และ Germany)

ภาพนั้น..มันทำให้ฉันได้นึกถึงคำพูดของบิสมาร์คที่เคยพูดไว้ครั้งหนึ่งว่า..
"คำว่าโรเมนียน่ะเหรอ..มันไม่ใช่ชาติ..ไม่ใช่ประเทศ..แต่มันเป็นแต่ชื่อของอาชีพชนิดหนึ่ง..ก็เท่านั้น" ***


***อธิบาย ค่ะ..เพื่อจะงง..เนื่องจากยิบซีส่วนใหญ่ที่ออกเร่ร่อนไปทั่วยุโรปนั้น..คือ ชาวโรเมเนียน..ดังนั้น บิสมาร์คจึงประชดให้เพราะไม่มีการทำมาหากินเป็นเรื่องเป็นราว..นอกจาการเป็น ขโมย เป็นวนิพก..และ..เป็นหมอไสยศาสตร์


ที่แวร์ซายส์..ฉันกลายเป็นคนแปลกหน้าไปอย่างช่วยไม่ได้  ทั้งๆที่รัสเซียของเรานั้นได้เคยร่วมรบ ร่วมตายกับฝรั่งเศสมานักต่อนัก รวมไปถึงโปแลนด์ ฟินแลนด์ เอสโธเนีย และ ลัตเวีย
ตัวแทนของยี่สิบเจ็ดประเทศที่จะเข้าร่วมลงนามในครั้งนี้ต่างลุก ขึ้นยืนสาบานตนต่อนายวิลสัน วู๊ดโรว์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ที่นั่งเป็นประธาน แต่..ผู้ที่มีบทบาทนั้นก็คือสี่พี่เบิ้ม..
ฉันในฐานะ ผู้สังเกตการณ์..ได้กราดสายตาไปยังตัวแทนของแต่ละประเทศในการที่ละลงนามใน สนธิสัญญาสงบศึกในครั้งนี้..เห็นแล้วก็ให้มีความรู้สึกเศร้าใจ..เพราะ..มัน ก็เป็น"ไอ้คนหน้าเดิม" ที่ก่อปัญหาจนเกิดศีกสงครามมานี่แหละ
อย่างนาย  Arthur Balfour รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ (ครั้งหนึ่งอดีตเคยเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ) นายตัวแสบนี้ คือคนที่สร้างปัญหาให้อังกฤษกับเยอรมันทะเลาะกันตลอดเวลา
และเป็นคนลงนามใน Balfour Declaration ปี 1917
ที่ยกพื้นที่ในปาเลสไตน์ให้กับยิวภายใต้การนำของลอร์ด รอธส์ไชด์ ตามข้อความดังนี้..

Foreign Office,

November 2nd, 1917.

Dear Lord Rothschild,

I have much pleasure in conveying to you, on behalf of His Majesty's Government, the following declaration of sympathy with Jewish Zionist aspirations which has been submitted to, and approved by, the Cabinet:
"His Majesty's Government view with favour the establishment in Palestine of a national home for the Jewish people, and will use their best endeavours to facilitate the achievement of this object, it being clearly understood that nothing shall be done which may prejudice the civil and religious rights of existing non-Jewish communities in Palestine, or the rights and political status enjoyed by Jews in any other country".

I should be grateful if you would bring this declaration to the knowledge of the Zionist Federation.

Yours sincerely

Arthur James Balfour      




และจากบัดนั้นจนบัดนี้..ศึกระหว่างมุสลิมกับยิว..ไม่มีวันเลิกรา..แล้วคนอย่างนี้..มันยังจะมีหน้ามาเป็นตัวแทนทำสนธิสัญญาสงบศึก..




คนที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกับฉัน..ก็คือ  Lieutenant Colonel Thomas Edward Lawrence**** ผู้โด่งดังในจากการไล่ต้อนอาณานิคมในดินแดนอาหรับ
ที่ไปแอบสัญญืง สัญญาอะไรไว้กับพวกเติร์ก อีกทั้งผู้พันลอเร้นซ์ลอเร้นซ์มีข้อตกลงลับๆระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสที่ทำ ไว้ในปี 1916 เรียกว่า..Sykes-Picot Agreement อันเป็นการร่วม"ฮั้ว" กันระหว่างสองมหาอำนาจ
ในการที่จะแบ่งเค้กในดินแดนของออตโตมาน..

แต่เนื่องจาก..รัสเซียได้ล่มสลายไปในปี 1917 ฉะนั้น..ดินแดนบางส่วนที่วาดกันเอาไว้นั้นอยู่ในมือของคอมมิวนิสต์..การตกลง จึงต้องมาว่ากันใหม่..
ทีนี้พวกเติร์กที่หวังเอาไว้ว่าจะได้โน่นได้ นี่..เพราะได้ช่วยเหลือในการทำศึกกับผู้พันลอเร้นซ์มาหลายปี..ต่างก็หวังใน ลาภยศที่ควรจะได้ตามมา..

ภาระจึงตกหนักกับ"หนังหน้าไฟ" อย่างท่านผู้พันลอเร้นซ์..ที่ตอนนั้นได้มาทำหน้าที่อยู่ในกระทรวงการต่าง ประเทศภายใต้การบังคับบัญชาของนาย Arthur Balfour ผู้ซึ่ง"ทำหน้ามึน"ไม่สนใจในสัจจะวาจาที่ว่าไว้..

ผู้พันลอเร้นซ์ ได้พบปะสนทนากับฉันถึงปัญหาที่น่าหนักใจ..และเห็นพ้องต้องกันว่า..อย่าไป หวังอะไรกับคำพูดของนักการเมือง..ที่คำว่า"เกียรติยศ"นั้น..เป็นเพียงคำคำ หนึ่งในพจนานุกรม..แต่หาได้ซึมซับในจิตใจไม่



**** เพิ่มเติมค่ะ.. Lieutenant Colonel Thomas Edward Lawrence นั้นไม่ใช่ใครอื่น..เขาเป็นที่รู้จักในนามของ Lawrence of Arabia (ที่มีในภาพยนตร์ไงคะ)
ผู้พันลอเร้นซ์ได้ประสบผลสำเร็จตามนโยบายการล่า อาณานิคมของอังกฤษในอาหรับ..เมื่อก่อนพวกสุลต่านทั้งหลายก็ทะเลาะกันเอง..รบ พุ่งแย่งดินแดนกันไปมา..แต่เมื่อมีมือที่สาม (อังกฤษ) และมือที่สี่ (ฝรั่งเศส)
เข้ามาแทรกแซงเพราะหวังที่จะเป็น "ตาอยู่" ผู้พันลอเร้นซ์ผู้ซึ่งชำนาญในภูมิประเทศ อีกทั้งมีเพื่อนเป็นสุลต่านหลายพระองค์..ก็ช่วยรวบรวมกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย เข้าด้วยกัน..เพื่อเป็นการขยายพื้นที่
ส่วนฝรั่งเศสก็ยอมไม่ได้เพราะถือหางฝ่ายตรงข้าม..จึงมีการรบพุ่งแย่งพื้นที่กันไปมา..
ใน ที่สุด..สองประเทศก็หันมาจับมือกันดีกว่า..เป็นการตกลงกันระหว่างสอง รัฐบาล..ตัวแทนฝรั่งเศสคือ นาย François Georges-Picot ตัวแทนฝรั่งเศสคือ  Sir Mark Sykes
ในการทำสัญญาฉบับ Sykes-Picot Agreement ในวันที่ 16 มิถุนายน  1916 ในการที่จะแบ่งเขตกันปกครองและหาผลประโยชน์ในดินแดนของอาหรับ..(รีบตกลง กัน..ทั้งๆที่สงครามยังไม่จบ เนื่องจากกลัวว่าอเมริกาจะเข้ามาแบ่งด้วย)


ตามภาพค่ะ..




ภาพ..Lieutenant Colonel Thomas Edward Lawrence หรือ Lawrence of Arabia
ผู้ยิ่งใหญ่ในดินแดนทะเลทราย..



ในที่สุด.วันแห่งการรอคอยก็มาถึง..ในเดือนมกราคม 1919

"มอง ซิเออร์ เคลมองโซ..ก็มีความปรารถนาที่จะสนทนากับฝ่าพระบาทหรอกพะยะค่ะ..แต่..ท่าน ยุ่งเหลือเกินในตอนนี้..จึงให้กระหม่อมทาทำหน้าที่รับเรื่องแทน..ถ้า ฝ่าพระบาทจะทรงกรุณา"
ผู้ที่พูดมานี้..คือเลขานุการหนุ่มของนายเคลมองโซที่ได้รับหน้าที่มอบหมายมา..ฉันจึงกลั้นอารมณ์โทสะและถามไปว่า

"งั้นคุณลองบอกผมมาซิว่า..มองซิเออร์เคลมองโซคิดจะอย่างไรกับรัสเซีย..ในฐานะที่"เคย" ช่วยเหลือทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา"

เจ้าเลขาฯหนุ่มนั่น..วางมาดใหญ่โตสมกับที่หัวโขนที่ใส่มา..และเริ่มพล่ามบรรยายไปเรื่อย
ฉัน นั่งฟังนิ่งๆ..ไม่ขัดจังหวะเลยแม้แต่นิด..เพราะในสมองฉันได้แล่นย้อนกลับไป ในอดีตเมื่อปี 1902 เมื่อครั้งที่นาย Loubet  นา่ยกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสที่เข้าไปเฝ้าซาร์นิโคลาสที่รัสเซีย..
ซาร์ ได้ให้คำมั่นสัญญาแบบลูกผู้ชายกับนายลูเบต์ว่า.."ไม่มีวันที่มิตรภาพระหว่าง รัสเซีย กับฝรั่งเศสจะจืดจางลงไป..ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม"
และนาย ลูเบต์เองได้เข้าคำนับที่ฝังพระศพของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม..พร้อมทั้งวาง ดาบทองทำด้ามงาช้าง ที่สลักไว้ว่า.."อันเป็นที่ระลึกถึงตราบนานเท่านาน" ไว้ให้เป็นอนุสรณ์

แต่ครั้งนี้..กลายเป็นว่า..นายเลขาหนุ่มคนนี้ มาบอกฉันว่า..นายเคลมองโซไม่คิดที่จะแทรกแซงการเมืองภายในของรัสเซียกับ ฉัน"ผู้เป็นญาติ" กับคนที่พวกเขาเคยยกย่องและเป็นที่ระลึกถึงงตราบนานเท่านาน..

นายเลขานั่นพูดต่อไไปว่า

"ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเหตุการณ์ที่ไม่สงบที่เกิดขึ้นมาในรัสเซียแล้วละ ก้อ..ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา ฝรั่งเศสก็ยังยึดมั่นในมิตรภาพที่มีมาช้านานเสมอ แต่ในตอนนี้ไม่ไม่เหมือนเดิมแล้วฝ่าพระบาท..เราจะทำอะไรก็ต้องคิดถึงคนรุ่น หลัง
ที่เยอรมันอาจจะเปิดศึกขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ก็ได้..ดังนั้นเราจึงต้อง สนับสนุนในการเฉือนชายแดนทางด้านฝั่งตะวันออกออกเป็นหลายๆส่วน เพื่อเอาไว้เป็นกันชนและสนับสนุนทางด้านกำลังถ้าหากเกิดภาวะสงครามกับ เยอรมันขึ้นมาจริงๆ"

"เอาเถอะ..เรื่องนั้นฉันไม่ได้ติดใจอะไร..ที่มานี่ก็อยากจะถามว่า..
มองซิเออร์เคลมองโซ..คิดจะจัดการอย่างไรกับพวก(นิยม)บอลเชวิคที่มีอยู่มากมายทั่วไปในตอนนี้?"

"อ๋อ..ถ้า เป็นเรื่องนั้นก็ไม่ยากอะไรฝ่าพระบาท..เพราะพวกนิยมลัทธิบอลเชวิคเกิดขึ้นมา เพราะประเทศหรือรัฐนั้นๆมีการล่มสลายในการปกครองและพัฒนา ทางเราก็ไม่อยากให้ลามมาถึงนี่เช่นกัน มองซิเออร์เคลมองโซ ท่านคิดจะ
สกัดการติดต่อค้าขายกับรัสเซียไปเลย..ไม่มีการส่งสินค้าเข้าออกอีกต่อไป..และเป็นการตีวงล้อมกรอบเพื่อกันการแพร่ระบาด.."

"อะไรนะ..!!!!"

"ตี วงล้อมกรอบฝ่าพระบาท..ไม่มีสินค้าเข้าออก..ถ้าเป็นอย่างนี้เพียงแค่เดือนสอง เดือน..พวกบอลเชวิคมันก็ย่ำแย่..ถ้าไม่ยอมแพ้ก็อดตายกันไปเอง.."

"แล้ว เจ้านายของคุณเขาคิดบ้างหรือเปล่า..ว่าผู้ที่จะมารับเคราะห์กรรมในครั้งนี้ ไม่ใช่ใครอื่น..แต่เป็นเด็กๆที่ไร้เดียงสาจำนวนนับล้านๆคน..แล้วยังประชาชน ผู้บริสุทธิ์อีกเล่า.."  ฉันเสียงสั่นด้วยโทสะ

"ประชาชนรัสเซีย ต่างหาก..ฝ่าพระบาท..ที่จะต้องมารับเคราะห์และบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ในครั้ง นี้..เพราะการลุกขึ้นมาปฏิวัติแบบไม่มีทิศทางนี่"

"งั้นคุณและเจ้า นายคุณก็เข้าใจผิดแล้ว..นโยบายการล้อมกรอบที่คุณว่ามามันจะมีผลต่อประชาชนใน เมืองหลวงและเมืองใหญ่ก็จริง ผุ้คนอาจเข้าในในสาเหตุ..หากแต่ประชาชนส่วนใหญ่คือพวกชาวไร่ชาวนาที่ไม่รู้ เรื่องรู้ราวทางการเมืองก็จะตกเป็น
เป็นเครื่องมือและเครื่องช่วยโฆษณา ให้กับบอลเชวิคเป็นอย่างดีในการที่จะสร้างความเกลียดชังให้กับชาวยุโรปตะวัน ตก..แล้วคุณคิดดูซิ..ว่ามันจะเป็นอันตรายไหมล่ะ?"

"แล้วฝ่าพระบาททรงมีความเห็นว่าอย่างไร?"

"ไม่ มีการล้อมกรอบ..ไม่มีการฆ่าฟัน..ทำอย่างกับที่เยอรมันได้ทำเมื่อฤดูร้อนที่ แล้ว..คือการส่งกองทัพเข้าไปควบคุมสถานะการณ์..ไปสร้างประชาธิปไตย..เข้าไป ดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปอย่างถูกต้อง"

"โอ..เห็นจะไม่ได้หรอกฝ่าพระบาท..เราไม่อยากต้องมารบพุ่งอีกแล้ว..อีกทั้งได้มีการเซ็นสัญญาวางอาวุธกันไปแล้วด้วย"


ฉันมองหน้านายนี่ด้วยความอัดอั้น..อยากให้เป็นนายเคลมองโซมานั่งตรงหน้านัก... อยากจะถามกันตรงๆว่า..ลืมไปแล้วหรือที่กองทัพรัสเซียได้สละชีวิตของทหารกว่า แสนห้าหมื่นนาย ในการสงครามที่ Tannenberg
เมื่อรุ่งอรุณของสงครามใน เดือนสิงหาคม..ปี 1914 กับกองทัพเยอรมันนำโดยนายพล  Ludendorff เพื่อเป็นการปะทะและเป็นกันชนให้กับฝรั่งเศส..จนอยู่รอดพ้นเงื้อมมือของ เยอรมันมาจนถึงบัดนี้..

 



เราคงไม่มีอะไรที่จะพูดกันอีกแล้ว..สำหรับรัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้การนำของ
นายเคลมองโซ..
ฉันยังมีความหวังและจะพยายามที่จะเข้าพูดคุย..กับ..อังกฤษ ..อเมริกัน..อิตาเลี่ยน..ญี่ปุ่น..ให้ได้ในเร็ววัน..


ภาพ..George Clemenceau     

    

ดิฉันเล่าไปเรื่อยๆนะคะ จะย้อนไปเล่าตอนที่ท่านมาถึงปารีสใหม่ๆในทีหลัง..เพราะอยากจะเล่าถึง"ภารกิจ เพื่อประเทศชาติ" ของท่านก่อน..เพราะไม่งั้นจะไม่ต่อเนื่องกัน

..........................................................................



คนต่อมาที่ฉันได้พบ..คือ นายกรัฐมนตรีของอิตาลี..พณ.ท่าน ออร์ลันโด
(Signor Orlando) ที่เป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี
เปิดเผยอย่างตรงๆว่า..ไม่รู้เรื่องการเมืองของรัสเซียเลย
แต่ ก็อยากช่วยเหลือในด้านการส่งกองทัพเข้าไป..หากแต่อิตาลีในช่วงหลังสงครามก็ บอบช้ำมามากพอสมควร อีกทั้งสภาพการก่อหวอดในประเทศกำลังคุกรุ่นไม่น้อย

คน ต่อมา..ก็คือ ญี่ปุ่น..ที่อยากช่วยในมาตรการแลกเปลี่ยนด้วยดินแดนทางแมนจูเรีย และ ดินแดนของรัสเซียในฝั่งเอเซีย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องขอความเห็นชอบจากอเมริกา..ในการที่จะยื่นมือไปช่วย รัสเซีย..
อเมริกา..ภายในการนำของปธน.วิลสัน ที่มีสายตายาวไกล..พอมองออกว่า..ถ้าญี่ปุ่นมีการขยายดินแดนไปจนล่วงลึกเข้า ไปในรัสเซีย..อนาคตของอเมริกาก็คงต้องนอนสะดุ้งสะเทือนอย่างไม่มีวันสิ้นสุด
ดังนั้น..การเจรจาในครั้งนี้จึงไม่เกิดผลใดๆ

คนเดียวที่เข้าใจในปัญหา และ..รู้ซึ้งถึงภยันตรายที่โลกจะได้รับจากระบบคอมมิวนิสต์บอลเชวิค นั่นก็คือ..นักการเมืองจากอังกฤษ..นายวินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่เขาได้เปิดอภิปรายในการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ ที่ห้องประชุม แวร์ซายส์
เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1919 อย่างถึงพริกถึงขิงพร้อมทั้งอ้อนวอนให้ทุกคนเข้าร่วมมือ ร่วมกำลังเข้าขจัดบอลเชวิคให้สิ้นซาก  

นายเคลมองโซ..นั่งทำตาจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่ ฟังอย่างไม่สนใจ เพราะนั่นคือลักษณะของนายคนนี้
ถ้าฝรั่งเศสไม่มีผลประโยชน์..เขาก็ไม่หือไม่อือ..

นายออร์ลันโด..หันไปมองคนโน้นทีคนนี้ที..เพราะภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง แต่เขาพลอยตื่นเต้นไปกับท่าทางที่"ดุดัน" ของผู้อภิปราย..นายวินสตัน เชอร์ชิลล์

ตัวแทนญี่ปุ่น..นั่งฟังด้วยใบหน้าที่เฉยเมย..แต่คอยสบตานายวิลสัน วู๊ดโรว์ เป็นเนืองๆ

จนจบการอภิปราย..นายวิลสันได้ลุกขึ้นยืน ท้าวแขนไปยังพนักที่นั่งของนาย
เคลมองโซ และกล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบๆว่า..

"ผมเสียใจนะ..เพราะว่าผมจะต้องเดินทางกลับอเมริกาในวันพรุ่งนี้..ปัญหาของรัส เซียนั้นผมจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลตามที่ท่านเชอร์ชิลล์เสนอแนะมา ให้มากกว่านี้ เพราะผมรู้เรื่องนี้น้อยเหลือเกิน"

จึงอาจกล่าวได้ ว่า..ในการประชุมเพื่อสันติภาพ ณ. กรุงแวร์ซายส์ นั้น..คนเดียวที่รู้เรื่องการเป็นไปของโลกในอนาคตและอันตรายที่จะมาจากกลุ่ม บอลเชวิคมากกว่าใครๆนั้น คือ นายวินสตัน เชอร์ชิลล์ ผู้ซึ่งทำอะไรไม่ได้มาก เพราะรัฐบาลของอังกฤษภายใต้การนำของนาย David Lloyd George และ ในนโยบายการต่างประเทศของนาย Arthur Balfour  นั้นมีทัศนวิสัยคับแคบ
ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนนั่น รู้ดีว่า..กลุ่มผู้จงรักภักดีต่อราชลัลลังก์นั้นมีมากจนแทบไม่ต้องใช้กองทัพ จากภายนอกเลย..กลุ่มคนเหล่านี้..คือนายทหารที่รักชาติ เป็นเหล่าบรรดาคอสแซคที่ได้รวบรวมตัวกันขึ้นมา เป็นที่กล่าวขานในนามของ
"The White Army" และทั้งหมดนั้นได้กระจายกำลังกันคุมอยู่เป็นวงล้อมอยู่แล้ว..ซึ่งแน่นอน ว่า..มีประสิทธิภาพเหนือกว่ากองทัพแดง หรือ The Red Army อย่างเทียบกันไม่ติด..

เพียงแต่พวกเขาขาดกำลังหลักๆ คือ การสนับสนุนในด้านกองทุนและอาวุธ..


ดิฉันได้เล่าข้ามตอนในรายละเอียดถึง..อารมณ์และความ รู้สึกที่แสนเศร้าของท่านผู้เขียนก่อน....ไปเพื่อให้หายข้องใจกันไปเลยว่า ..กันว่า ท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ แห่ง โรมานอฟได้ประสบกับความผิดหวังในการขอความช่วยเหลืออย่างไร..จาก
อดีตมหา มิตรคู่ศึกที่เคยช่วยกันยกทัพจับศึกเคียงบ่าเคียงไหล่ทั้งปวง..ในการประชุม ลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซายส์ที่ท่านได้คาดหวังไว้มากว่าจะได้รับความเห็นใจจาก หมู่ที่ท่านคิดไว้ว่าเป็นมหามิตร..
แต่แล้ว..ท่านก็ได้ทราบถึงสัจจธรรมอย่างหนึ่งว่า..เพื่อนกินหาง่าย..


ทรงเขียนหนังสือขึ้นมาด้วยองค์เองเล่มนี้เมื่อ 1931 บัดนี้เจ็ดสิบกว่าปีผ่านไป..อ่านทีไรก็ใจหายตามไปด้วยทุกครั้ง สงสารอย่างที่สุด

ท่าน แกรนด์ ดุ๊กเอง..ตามศักดิ์แล้ว..ท่านเป็นญาติสนิทกับฝั่งเยอรมันด้วยสายเลือด เนื่องจากพระมารดาเป็นเจ้าหญิงเยอรมัน แห่งแคว้น Baden
และเป็นพระขนิษฐาของเจ้าชาย Max of Baden ผู้โด่งดัง..แม้กระทั่งไกเซอร์วิลเฮล์มเองก็เป็นลูกพี่ลูกน้อง
หาก แต่..สายสัมพันธ์ทางการต่างประเทศของรัสเซียนั้น จะเอนไปทางทางด้านอังกฤษ..เนื่องจากซารินาพระมารดา (ของซาร์นิโคลาส)เป็นพระขนิษฐาของพระราชินีอเล็กซานดราในพระเจ้าเอ็ดเวิร์ด ที่เจ็ดแห่งบริเตน

อีกทั้ง..นโยบายในการบริหารประเทศที่มากไปด้วยเล่ห์กลในการเมืองของบิสมาร์ค ที่เป็น master mind ที่สามารถสั่ง
ไก เซอร์ให้ซ้ายหันขวาหันได้นั้น..ทำให้รัสเซียและเยอรมันต้องตัดขาดกัน หันหน้าเข้ารบกันในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..หรือ ในสมัยนั้นเรียกว่า
The Great War

ท่าน แกรนด์ ดุ๊ก..ถึงแม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นพระสวามีของแกรนด์ ดัชเชส เซเนีย พระขนิษฐาของซาร์นิโคลาส และ เป็นพระนัดดาของพระราชินีแห่งบริเตนก็จริง..แต่ก็ไม่ใช่ญาติสายตรงกับฝั่ง อังกฤษ
แต่ในยามที่สิ้นไร้ไอสูรย์ราชานี้..เรามาดูกันว่า..ท่านสามารถจะพึ่งใครได้บ้าง..???

ในตอนต่อไป..จะขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่ท่านเดินทางออกมาจากท่าเรือที่เซบัสโตโปลมาถึงจุดหมายแรกเลยนะคะ




เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ โดย วิวันดา

เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนแปด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนเจ็ด
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหก
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนห้า
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสี่
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสาม
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสอง
เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนหนึ่ง



แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker