dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์ (ปฐมบท)

ดิฉันได้เล่าในเรื่องของโรมานอฟมานานพอสมควร...และไม่อยากให้ผู้อ่านได้ฟังความข้างเดียว..จึงอยากเสนออีกฝั่งหนึ่งบ้าง..อันเป็นฝั่งของหลังม่านเหล็ก..ที่ในการหาญกล้าเข้าต่อกรกับนาซีในยุคปันเซอร์ครองยุโรปนั้น..นับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย..ดังนั้น..

ดิฉันขอประเดิมบทแรกสำหรับชีวิตของมหาบุรุษที่เข้ากอบกู้รัสเซียให้พ้นจากมือของนาซี ภายใต้การนำของฮิตเล่อร์ แถมยังได้ทำการล้างอายให้กับชาติภูมิได้อย่างสาสม
อีกทั้ง..ชีวิตในการเป็นทหารของเขานั้น..อาภัพนัก..ทำดีเพื่อชาติมาทั้งชีวิต..หาได้ความดีความชอบหรือได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศเกริกไกรไม่..
เพราะ..เขาเด่นเกินไป..เป็นที่นิยมของเหล่าขุนศึกจากทุกชาติที่เข้าร่วมรบด้วย..ดังเกินกว่าที่ท่านคณะผู้นำจะไว้ใจให้มาเป็นหอกข้างแคร่ได้..
จึงต้องส่งเขาไปเป็นนายทหารบ้านนอกที่ไกลแสนไกล..และแทบไม่มีใครได้พูดถึงเขาอีกเลย..
หนังสือที่เกี่ยวกับเขา..ก็ถูกเก็บและถูกระงับการพิมพ์ไปจนหมด...
โชคดีเหลือเกิน..ที่เขามีอายุยืนกว่าพวกเหล่าคอมราดที่ขี้อิจฉาทั้งหลาย..อีกทั้งในช่วงที่เขาไปเป็นทหารบ้านนอกนั้น..เขามีเวลาให้กับการเขียนหนังสือชีวะประวัติของตัวเองอย่างเต็มที่
รวมไปถึงการสู้รบในทุกศึกที่ผ่านมา..ที่เขายอมรับว่า..ทหารของเขาทุกคนต้องสามารถสละชีวิตวิ่งผ่านกับดักระเบิดเพื่อเคลียร์เส้นทางให้กับการสู้รบได้
เพราะ..นั่นคือ..กลยุทธแผนเดียวในการที่จะกู้ชาติคืนมา..
เขาคนนั้น..เป็น ขุนพลที่มาจากเด็กที่ยากจน ที่ต้องเข้ามาหากินเมืองหลวงด้วยเงินตอบแทนเพียงเล็กน้อย
ต้องทนเป็นทาสต่อการตบตีของนายจ้างที่ถนัดแต่การใช้กำลัง..จากนั้นก็ถูกเรียกตัวไปเป็นทหารเกณฑ์..เพราะบ้านเมืองเกิดวิกฤติสงคราม
ชีวิตของเขาเริ่มต้นจากตรงนี้..ซึ่งจะมีข้อมูลปลีกย่อยอีกมากมาย..จนแทบไม่น่าเชื่อว่า..ชีวิตของคนคนหนึ่งจะผ่านอะไรมาได้ถึงขนาดนี้..
ซ้ำเป็นอุทธาหรณ์ให้กับชนรุ่นหลังด้วยว่า..เส้นทางที่เขาผ่านมานั้น..ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญ..ขยัน..รักดี..ใฝ่เรียน..ซื่อสัตย์..และรักชาติยิ่งชีพ..
อันมีพร้อมมูลอยู่ในตัวของเขาคนนี้.....จอมพล Georgi Zhukov ผู้ซึ่งไม่มีคำว่าแพ้อยู่ในสารบบแห่งการรบ

หลายๆคนอาจจะไม่รู้จักเขา..หรือรู้จักเขาน้อยเต็มที..โดยเฉพาะคนที่อยู่นอกรัสเซียทั้งหลาย เพราะดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า..ข้อมูลของเขานั้นถูกปิดกั้นมานานหลายปี
สื่อแทบไม่มีการกล่าวถึง..ทั้งๆที่เขาได้ทำคุณานุคุณให้กับประเทศให้ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้..
นักประวัติศาสตร์ Vasily Morozov ได้กล่าวไว้ว่า เพราะ นั่นคือยุคมืดภายใต้การบริหารประเทศของสตาลิน ต่อด้วย ครุสเชฟ ที่เข้าควบคุมสื่อทั้งหมด
หากแต่..ประชาชนชาวรัสเซียรู้อยู่แก่ใจดี..ว่า..ซูคอฟคือวีรบุรุษแห่งชาติตัวจริง..

ดิฉันอยากนำเรื่องของเขามาเรียบเรียงให้อ่าน..เพราะว่านอกจากเราจะได้ทำความรู้จักกับชีวิตของนักรบผู้กล้าแห่งหลังม่านเหล็กแล้ว..
เรายังได้รู้ถึงการตอบโต้ศึกจากฝั่งรัสเซียด้วย..หนังสือพวกนี้หาอ่านได้ยากเต็มที...แต่ก็โชคดีที่หามาจนได้..

V

V

V

จอร์จิ คอนสแตนติโนวิช  ซูคอฟ  (Georgi Konstantinovich) เกิดเมื่อปี 1896 ในสมัยการปกครองของซาร์ มีภูมิลำเนาอยู่ในแขวง
Strelkova ที่อยู่ห่างจากทางใต้ของกรุงมสอสควา ประมาณ 160 กิโลเมตร  ครอบครัวนั้นยากจนค่นแค้นแบบสุดขีด..พื้นที่ในกระต๊อบที่อยู่อาศัย
แออัดแทบไม่มีที่นอนสำหรับครคอบครัวเล็กๆที่มีกันแค่สี่คน..คือ พ่อ แม่..พี่สาว และ ตัวเขา..
พ่อ..มีอาชีพเป็นช่างทำรองเท้าที่หาได้แค่เศษเงินในแต่ละวัน..
แม่..เป็นหญิงอึด..ทำงานได้หนักเท่ากับชาย..เขาเล่าว่า..แม่สามารถยกกระสอบข้าวขนาดเก้าสิบกิโลได้อย่างสบายๆ
แม้แต่ตัวเขาเอง...ที่จัดว่าเป็นเด็กที่แข็งแรงมาก สามารถทำงานหนักๆในไร่นาได้ตั้งแต่อายุเพียงน้อยนิด

ตอนนั้นเขายังจำความอะไรไม่ได้มาก แต่รู้ว่า..พ่อต้องออกไปหางานทำในเมืองหลวงถึงจะพอมีเงินส่งมาจุนเจือครอบครัว แต่พอมีเหตุการณ์ไม่สงบ
เกิดขึ้นจากการก่อหวอดของพวกที่ใช้แรงงานในปี 1905  พ่อของเขาก็ถูกจับและเนรเทศให้ออกจากมอสควา..กลับมาอยู่บ้าน (เพราะไปร่วมกับเขาด้วย)
ในตอนนั้น..คือช่วงที่บ้านเมืองกำลังเกิดการระส่ำระสาย..มีการเดินขบวน และจราจลกันบ่อยๆ..พวกแกนนำ พวกที่ร่วมขบวนการก็จะถูกส่งไปอยู่ไซบีเรียให้ไปทำงาน
สร้างทางรถไฟบ้าง ไปติดคุกบ้าง..ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงที่มีการตีตรวน บทลงโทษนั้น..สาหัสนัก เพราะมีการโบยกันอย่างเหี้ยมโหด
พวกที่เป็น"ตัวการ" อาจโดนวิธีทรมานโดยการให้ใส่เสื้อที่รัดตัว..เป็นผ้าชนิดที่ทำให้เปียก พอแห้งก็จะหดรัดตัวจนหายใจไม่ออก..(เรียกว่า Straightjacket ปัจจุบันก็ใช้ในสถาน
พยาบาลโรคจิต..สำหรับรายที่มีอาการอาละวาด แต่ไม่ใช่เป็นผ้าหดรัด)   



ซูคอฟเด็กน้อย..เริ่มรู้สึกถึงความเดือดร้อนของครอบครัว..เมื่อเขาอายุได้ย่างหกขวบ..ในปี 1902  อันเนื่องมาจากเกิภาวะข้าวยากหมากแล้ง..
ในช่วงปลายปีนั้น..พ่อแม่ไม่มีเงินแม้แต่พอจะซื้อขนมปังสักก้อนมากิน อย่าว่าแต่จะใช้หนี้เลย..แม้แต่เกลือก็แทบไม่มี..โชคดีที่มีเพื่อนบ้านที่คอยช่วยเหลือ
แบ่งปันอาหารมาให้พอยาใส้กันบ้าง..แม้ว่ามันจะเป็นซุปกระหล่ำต้มเละๆก็ตามที  แต่นั่นก็คือน้ำใจเอื้อเฟื้อของบ้านใกล้เรือนเคียงของชาวบ้านนอก
ที่ต่างก็เห็นอกเห็นใจกัน..เอื้อเฟื้อ..เกื้อกูลกันด้วยความเมตตา..

พอย่างเข้าฤดูใบไม้ผลิ..เขาและครอบครัวค่อยอิ่มท้องขึ้นมา..เพราะในแม่น้ำเริ่มมีปลานานาชนิดให้จับมากิน..ซึ่งเด็กน้อยจอร์จิถือเป็นหน้าที่ที่ต้องออกไป
หาปลาทุกวัน..วันไหนโชคดีก็พอหาได้ไปตอบแทนน้ำใจเพื่อนบ้านผู้อารีไปบ้าง..รวมไปถึงผลพลอยได้..นั่้นคือ ทางไปแม่น้ำ เขาจะผ่านป่าที่เต็มไปด้วย
เห็ด..และพวกผลสตอเบอร์รี่ป่า..อีกทั้งพันธุ์ไม้ (ชนิดหนึ่ง) ที่มีคุณสมบัติในการนำมาใช้ทำรองเท้า จากการลอกเปลือกออกมา แล้วนำมาถักร้อย..เรียกว่า
Bast Shoes ซึ่งเป็นที่นิยมและใช้การได้ดีสำหรับชาวบ้านอย่างพวกเขา
(ซูคอฟมาเล่าเพิ่มเติมในทีหลัง..หลังจากที่สงครามได้ผ่านไปกว่ายี่สิบปีแล้ว..ด้วยความเสียดายว่า..พวกพันธุ์ไม้เหล่านั้นได้สูญหายไปหมดแล้ว
เพราะพวกทหารนาซีเข้ามาฟันทิ้งเพื่อทำทางศึกเสียเรียบ..หลังจากสงครามผ่านไป..ก็กลายเป็นทุ่งนา..พื้นที่ป่าหายไปสิ้น...)

เขาไม่ได้มีโอกาสไปวิ่งเล่นเหมือนเด็กอื่นๆ เพราะต้องช่วยแม่ทำงาน..เริ่มจากเก็บฟาง ตักฟางไปสุมกอง
แต่เขาก็ไปโรงเรียน ที่ต้องเดินทางจากบ้านด้วยเท้าไปไกลถึงหนึ่งไมล์..เขาสังเกตุเห็นเพื่อนๆมีกระเป๋าใส่หนังสือแบบสวยงาม หันมามองของตัวเอง
มันเป็นเศษกระสอบเก่าๆที่แม่นำมาเย็บ..เขาจึงไปอ้อนขอแม่ว่า..
"แม่จ๋า..หนูไม่อยากไปโรงเรียนกับไอ้กระสอบนี่หรอกนะ เพราะดูเหมือนกับพวกขอทานเลย"
แม่ก็สวนมาทันควันว่า..
"เอาไว้พ่อกะแม่มีสตังค์เมื่อไหร่ก็จะซื้อให้..ตอนนี้ทำตัวเป็นขอทานไปก่อน..ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่.."

สำหรับพ่อแล้ว..จอร์จิทั้งรักและกลัว..เพราะพ่อนั้น..โหดนัก ยามตีก็ตีไม่เลี้ยง ตีด้วยเข็มขัดก็บ่อย..ตีเสร็จแล้วยังสั่งให้มาขอโทษอีกด้วย..
ซึ่งเขาได้เขียนเล่าว่า..
"เรื่องรั้นนี่ไม่ต้องพูดถึง..ต่อให้พ่อตียังไง..เราก็กัดปากแน่น..ไม่ร้องสักแอะ..และไม่ยอมขอโทษด้วย.."
วันหนึ่งที่เขาโดนตีอย่างหนักหนาสาหัส..จนทนไม่ได้..เขาหนีออกจากบ้าน..ไปซ่อนตัวในโรงนาของเพื่อนบ้าน  พี่สาวต้องแอบเอาอาหารไปส่ง
เอายาไปทาให้อยู่สามวัน..จนเพื่อนบ้านมาพบเข้าจึงพาตัวกลับไปบ้าน..พ่อฟาดเขาอีกเผียะนึงพอเป็นพิธี..จากนั้นก็ยกโทษให้..

ในช่วงวัยนั้นของเขา..ที่หมู่บ้านมีคนทำงานในร้านค้าคนหนึ่ง ชื่อว่า..โปรกอร์ ผู้ซึ่งเป็นน้องชายของแม่ทูนหัวของเขา ซึ่งโปรกอร์คนนี้ได้ทำตัวเป็นเพื่อนและพี่เลี้ยงที่ดี
ให้กับเด็กน้อยจอร์จิ โดยการพาไปไล่ล่าเป็ดในฤดูร้อน และ ไปจับกระต่ายในฤดูหนาว..จนเขาได้กลายเป็นพรานน้อยที่มีความสามารถเกินตัว..

วันหนึ่ง..พ่อได้เดินทางเข้าไปในเมืองหลวงอีกครั้ง..ก่อนไป..เขาได้บอกกับแม่ว่า..คนงานในมอสควาและที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอรก์ กำลังจะก่อการจราจลกันครั้งใหญ่อีก เนื่องจาก
ปัญหาเรื่องการว่างงาน และปากท้องที่หิวโหย
แม่รีบเตือนว่า..
" แล้วเธอก็อย่าไปร่วมกับเขาล่ะ..เดี๋ยวก็จะโดนตำรวจจับอีกหรอก..."
จากนั้นมา..เขาก็ไม่ได้ข่าวของพ่ออีกเลย..ทุกคนเริ่มเป็นห่วง..จนไปสืบทราบมาได้ว่า ในวันที่ 9 มกราคม นั้น..กองทหารของซาร์ได้ยิงปืนเข้าใส่
ประชาชนที่ชุมนุม และ เดินขบวนกันไปพระราชวังฤดูหนาว  คนนำขบวนคือ ท่านบาดหลวง กาปอง (Father Gapon) พระสงฆ์ในนิกายออโธดอกซ์
ประชาชนเพียงแต่อยากจะเรียกร้องความเห็นใจจากซาร์ในเรื่องของปัญหาการว่างงาน และ ความอดอยาก
จากนั้นมา..ที่หมู่บ้านของจอร์จิก็มักจะมีคนแปลกหน้ามาพูดถึงเรื่องการล้มล้าง..และการยึดอำนาจและทรัพย์สินกลับคืนมาจากซาร์และราชวงค์ รวมไปถึงพวกอำมาตย์ทั้งหลายแหล่

 

 

 

 

ในปี 1906  จอร์จิได้เรียนจบชั้นปอสี่..ด้วยคะแนนยอดเยี่ยมในทุกวิชา พ่อกับแม่ดีใจหนักหนา  แม่ลงทุนเย็บเสื้อตัวใหม่ให้ พ่อทำรองเท้าบู๊ทหนังคู่ใหม่ให้ด้วย
มาถึงตอนนี้..เขาได้กลายเป็นเด็กที่มีร่างกายกำยำ สันทัด ล่ำบึก มีความสามารถสารพัด ตั้งแต่จับปลา พรานล่า..สกีไปไหนมาไหนอย่างคล่องแคล่ว
จนมาถึงอายุได้สิบเอ็ด..ที่เขาต้องเริ่มฝึกวิชาชีพเอาไว้เลี้ยงตัวและครอบครัว..ที่แม่นำไปฝากกับญาติที่เป็นเจ้าของร้านเฟอร์ที่เมืองหลวง ให้หัดเป็นช่าง..

ไปทำงานวันแรก..เขาก็รู้รสของแส้เสียแล้ว..จากการที่เขาตักชิ้นเนื้อจากหม้อซุบมาใส่ในจาน..เพราะไม่รู้ว่าเป็นกฏห้าม..
ทุกคนต้องตักแต่ผักมากิน..เนื้อเอาไว้เป็นเพียงกษัยชูรส..
คัสมา..เพื่อนร่วมงาน..ได้กระซิบบอกว่า..
"หุบปากไว้เลย..ห้ามร้อง ห้ามถาม..เพราะไม่งั้นจะโดนอีก.."

เย็นๆวันเสาร์ คัสมา..มักจะพาเขาไปฟังสวดในโบสถ์ วันอาทิตย์เช้าก็จะพาไปรับศีล และเขาบอกว่า..
"ในวันหยุดเทศกาลนะ..นายมักจะพาพวกเราไปเข้าพิธีรับศีล
ในโบสถ์ใหญ่ที่เครมลิน หรือไม่ก็ที่พระวิหาร พวกเราก็ไม่อยากไปเท่าไหร่หรอก..เลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แต่ถ้าเป็นที่พระวิหารนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะจะมี
การร้องเพลงสวดโดย ท่าน Deacon Rozov ที่มีเสียงเพราะเหลือเกินแกเอ๋ย.."

จอร์จิได้อดทนในการฝีกงานจนผ่านได้ด้วยดี ทั้งๆที่ต้องจมอยู่กับความโหดร้ายของนายจ้าง รวมไปถึงพวกช่างที่ใช้การตบตีสลับการสั่งสอน ไม่ว่าจะผิดเล็กน้อยอย่างไร
ก็ไม่เว้น..ถ้าเขาเลี่ยงการปะหน้าได้ เขาก็จะเลี่ยง  เพราะบางทีโดนบ้องหูเข้า..เล่นเอาหูกริ่งไปได้ทั้งวัน..
นายงานได้ประกาศออกบ่อยๆว่า..เขาจะทำอะไรก็ได้กับพวกคนงาน..ถึงแม้ว่าคนงานนั้นจะเป็นผู้เยาว์ก็ตาม..เพราะไม่มีหน้าไหนมาห้ามหรือเอาผิดกับเขาได้
ซูคอปได้บันทึกไว้ว่า..ที่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่มีใครให้ความสนใจกับสภาพแรงงานหาเช้ากินค่ำ ไม่มีมาสนใจว่าคนงานจะกินจะอยู่อย่างไร
เพราะนายงานคือ "เจ้าเหนือหัว" ที่กดหัวให้เราต้องเป็นทาสงานตลอดไป..

ต่อมา..เขาย่างเข้าสิบสาม..ที่ต้องทำงานอย่างเป็นระวิง..แต่เขาก็มีเวลาที่จะเจียดให้กับสิ่งที่เขาสนใจ นั่นคือ การอ่านหนังสือ เพราะ ลูกชายของนายจ้าง
ได้ให้หนังสือมาอ่านสองสามเล่ม นั่นคือฉบับเต็มๆของ Pinkerton และ Sherlock Holmes ที่เป็นตอนๆ (ที่แปลไปเป็นภาษารัสเซีย)
รวมไปถึงวรรณกรรมผจญภัยอื่นๆ
เขาเขียนไว้ว่า..
"ฉันแอบเรียนต่อไปด้วยตัวเอง..ทั้งภาษา คำนวน และ ภูมิศาสตร์ รวมไปถึงอ่านหนังสือทุกชนิดที่หาได้ โดยใช้เวลาที่ว่างตอนที่นายไม่อยู่..
ต่อมาถูกจับได้..ฉันคิดว่าคงจะโดนลงโทษสถานหนักแน่ๆหรือ เขาอาจจะไล่ฉันออกไป...แต่..เขากลับไม่ว่าอะไรสักคำ..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
เขายังบอกอีกด้วยว่า..ก็ดีที่รู้จักใฝ่เรียน.."
จอร์จิใช้เวลาในการเรียนด้วยตัวเองไปทั้งปี..พอปีต่อมา..เขาได้ไปสมัครเรียนภาคค่ำที่มีวิทยฐานะเท่ากับไฮสกูล
ในปี 1911  สามปีเต็ม..ที่เขาได้เรียนจบในการฝึกหัดงาน และพร้อมี่จะก้าวขึ้นไปในฐานะช่างเฟอร์..ซึ่งทำให้เขาไม่มีเวลาในการเรียนอีก..
แต่ก็ยังอ่านหนังสือทุกชนิดที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ที่ไปเก็บมา..หรือแม้กระทั่งเจียดเงินไปหาซื้อมาครอบครอง

****ในปี 2002 ธิดาสาวสองคนของท่านจอมพลซูคอฟ Era และ  Ella ได้เคยนำผู้สนใจในชีวประวัติของท่านจอมพลไปชมห้องสมุดส่วนตัวของท่าน
ที่มีหนังสือสะสมรวมกันมากกว่าสองหมื่นเล่ม..

จอร์จิหัดเก็บเงินมาจากค่ารถเมล์..ในยามที่นายใช้ให้ไปส่งของ หรือ ซื้อของ ที่มักจะให้ค่ารถไปด้วย..เขาเลือกที่จะวิ่งหรือเดิน..แล้วเก็บค่ารถเอาไว้ซื้อหนังสืออ่าน..
ปีต่อมา..มีงานที่เมือง Nizhny, Novgorod ริมแม่น้ำ Volga ที่นายของเขาได้เช่าบูธเปิดขายเฟอร์  ที่หน้าที่ของจอร์จิ คือ การจัดส่งของ
โดยการใส่ในลังแล้วนำไปส่งที่ท่าเรือ หรือ สถานีรถไฟ  และนั่นคือ ครั้งแรกที่เขาได้เห็นความกว้างใหญ่ สวยงามของแม่น้ำโวลก้า..
จนถึงขนาดละเมอออกมาว่า..
"แม่น้ำช่างสวยงามเสียเหลือเกิน ยามที่ต้องแสงอาทิตย์ก็ส่งประกายวิบวับราวกับเกร็ดเพชร ฉันมองอย่างแทบไม่ถอนสายตา..เคยได้ยินบทเพลงที่รำพันถึงความงามของแม่น้ำมานักต่อนัก..
แต่ไม่เคยแจ้งแก่ใจเลยว่า..มันจะสวยงามถึงขนาดนี้..นี่คือมหานทีแห้งแม่น้ำทั้งมวลเลยทีเดียว.."
จนมาถึงปี 1912  ที่เขามีอายุย่างสิบหก..และโชคดีที่ได้พักงานสิบวันเพื่อไปเยี่ยมบ้าน..มันเป็นเวลาที่ต้องไปช่วยกันเก็บและมัดฟาง ที่เขาว่า..
เป็นงานที่สนุกสนานที่สุด..เพราะใครต่อใครก็พากันกลับบ้านไปช่วยกันเตรียมมัดฟางไว้เป็นเสบียงให้กับพวกสัตว์แรงงานสำหรับฤดูหนาวที่ยาวนานและโหดร้าย..
เขาเล่าว่า..
"ฉันจากบ้านมา..ตอนที่ยังเป็นเด็กน้อย..กลับมาอีกทีก็เป็นหนุ่มรุ่นกระทง ที่กำลังจะมีอาชีพพอทำมาหากินได้..เพื่อนวัยเด็กหลายคนได้หายหน้าไป..บางคนก็ล้มหายตายจาก
บางคนก็ไปหางานทำที่อื่น..บางคนก็ไปฝึกงานหาอาชีพ..หลายคนจำฉันไม่ได้  บางคนก็ทำงานจนดูแก่ไปถนัดใจ หลายคนก็โตจนเกินวัยไปแล้ว..
เมื่อยามที่ไปถึงยังสถานีรถไฟ..แม่มารอรับพร้อมกับน้ำตาด้วยความปิติ..สี่ปีที่จากไป..แม่แก่ลงไปมาก..ฉันเองก็พูดอะไรไม่ออก..กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เช่นกัน..
แม่โผเข้ากอดแน่น..มือสากๆทั้งสองข้างของแม่ลูบไล้ตัวฉันไปมา..เสียงพร่ำสะอื้นของแม่ได้คร่ำครวญว่า..แม่ไม่คิดว่าชีวิตนี้เราจะได้พบกันอีกแล้ว..ลูกเอ๋ย..จนฉันต้องปลอบไปว่า..
แม่จ๋า..ฉันโตเป็นหนุ่มแล้วนะ..ดูซิ..อีกหน่อยแม่ก็จะไม่ต้องทำงานหนักแล้ว..ฉันจะหาเลี้ยงแม่และครอบครัวของเราเอง"
"โถ..พ่อคุณ..ขอให้พระคุ้มครองเจ้าเถิดนะ..ลูกนะ"..

กว่าจะถึงบ้านก็ค่ำพอดี..

พ่อและพี่สาวออกมาคอยอยู่ที่หน้าบ้าน..พี่สาวก็โตเป็นสาวเต็มตัว..สวยเสียด้วย..ส่วนพ่อก็เริ่มชรา เกือบเจ็ดสิบแล้ว....หลังเริ่มโก่งคุ้ม เราทั้งสามเข้ากอดกัน..
พ่อบอกว่า..ดีใจเหลือเกิน..ที่ได้อยู่ทันเห็นเจ้าเติบใหญ่..แข็งแรงขนาดนี้..
ฉันไม่รอให้พ่อดีใจเพียงแค่นั้น..รีบเปิดกระเป๋าออก ส่งเงินให้แม่สามรูเบิ้ล..น้ำตาลทรายสองสามปอนด์  ขนมนมเนยและ ชาดีๆอีกครึ่งปอนด์
แม่ดีใจจนมือสั่น..บอกว่า..ขอบใจเหลือเกินลูกเอ๋ย..แม่ไม่ได้ลิ้มรสชาแท้ๆกับน้ำตาลทรายมานานแสนนานแล้ว..
จากนั้นเขาก็ส่งเงินให้พ่อไปอีกหนึ่งรูเบิ้ล..ให้พ่อไปกินกาแฟที่ร้าน..เสียงแม่เอ็ดอึง..บอกว่า..
"ให้อะไรไปตั้งมากมายขนาดนั้น..ให้แต่เศษสตังค์ก็พอแล้ว.."
พ่อหันมาแว๊ดใส่ว่า.."แกเงียบไปเลย..ชั้นคอยลูกชั้นมาตั้งสี่ปี  แกอย่ามาทำให้บรรยากาศพ่อลูกเขาเสีย เพราะความสุดเขียมของแกหน่อยเลย.."

วันรุ่งขึ้น..เขาและครอบครัวก็ออกไปไร่..เพื่อทำการกวาดเก็บ และมัดฟาง..ที่เขาเล่าว่า..ทำงานทั้งวันจนน้ำลายเหนียวแต่ก็มีความสุขกับการได้พบกับผองเพื่อนในวัยเด็ก
ที่ในที่สุด..ก็ทำกันจนเสร็จ ลุงเข้ามาโอบไหล่..และบอกว่า..
"ไง..ไอ้หนู..งานในไร่ในนานี่มันสาหัสเอาการเชียวนะ.."
"ครับ..ลุง"
มีเสียงแทรกเข้ามาจากหนุ่มที่เขาไม่รู้จักว่า..
"พวกอังกฤษเขาไม่ต้องลงแรงทำกันอย่างเรา..เพราะเขามีเครื่องยนตร์ทำงานแทนให้.."
"จริง..แต่ชาวไร่ชาวนาจนๆอย่างพวกเรา..ก็ต้องใช้คราดกันต่อไป.."  ลุงว่า..
จอร์จิ..ถามลุงว่า..ไอ้หนุ่มคนนั้นเป็นใครกัน..??
"อ๋อ..นั่นก็ นิโคไล..มันเป็นพวกปากเสีย..ถูกไล่ออกมาจากมอสควาเพราะไปเดินขบวนอะไรนี่แหละ..มันกล้ากระทั่งด่าซาร์เชียวนะ..แต่ก็เอาเถอะ..ตรงนี้ไม่มีตำรวจมาคอยฟัง
มันก็รอดตัวไป.."

ทั้งๆที่เหนื่อยแสนเหนื่อยจากการทำงานในไร่..ตอนกลางคืน..ทุกคนได้มารวมตัวกัน ร้องเพลงเต้นรำอย่างสนุกสนาน มันเป็นความสุขของชาวท้องไร่ท้องนาหลังจากการตรากตรำงาน
พวกหนุ่มๆสาวๆ..ทั้งร้องทั้งเต้นกันจนเกือบรุ่งสว่าง ก่อนที่จะแยกย้านกันไปเตรียมตัวทำงานในท้องไร่ต่อ..
ช่างแข็งแรงกันเสียจริง..

สิบวันผ่านไปไวเหมือนโกหก..จอร์จิจะต้องกลับไปเมืองหลวง..คืนก่อนที่เขาจะเดินทางนั้น..ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในหมู่บ้าน..ที่ทุกนต่างฉวยกระป๋องสาดน้ำสยบเพลิงกันอย่างแข็งขัน
แต่ก็ไม่วาย..ที่บ้านหลายๆหลังได้มอดไหม้ไปเป็นเถ้าถ่าน....นับว่าเป็นการสูญเสียรั้งยิ่งใหญ่สำหรับคนที่แสนยากจนอยู่แล้ว..ที่ต้องมาประสบเคราะห์กรรมซ้ำเติม จนเหลือแต่ตัว..

มาถึงมอสควา..จอร์จิเริ่มออกหาที่อยู่เอง..เพราะตอนนี้เขาได้งานทำ มีเงินเดือนเป็นของตัวเอง ก็ได้เวลาในช่วง 1910-1914  ที่บ้านเมืองมีแต่ความวุ่นวาย
จากการประท้วง สไตรค์ จราจล..กันทุกบ่อย ทุกบ่อย รวมไปถึงนักศีกษาที่เข้าร่วมกับประชาชนเดินขบวน..ชาวไร่ชาวนาเกิดข้าวยากหมากแพงในปี 1911 ได้เข้ามาสมทบ..
จอร์จิ..ที่อยู่ในแวดวงของช่างเฟอร์..หรือชาวบ้านจนๆ..ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองอะไรกับเขานัก..แต่ก็ซึมซับได้จากข่าวสาร..ว่า..
พวกชนชั้นล่างอย่างพวกเขา..คือพวกที่ต้องมารับเคราะห์กรรม และ เป็นพวกที่ถูกกระทำ..จากข้าของรัฐ..
เขาได้เขียนเล่าว่า..
"ในช่วงของการเริ่มต้นของสงครามโลก (ครั้งที่หนึ่ง) ที่รัสเซียได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน ออสเตรียน..พวกหัวรุนแรงได้รวมตัวกันเข้าบุกทำลายร้านค้าของพวกต่างชาติ
หมายถึงการแก้แค้นกับพวกเยอรมัน..แต่ว่า..พวกเขาอ่านภาษาไม่ออก..ไม่รู้ว่าอะไรคือ เยอรมัน หรือฝรั่งเศส*  หรือ อังกฤษ*..เลยบุกทำลายมันย่อยยับไปทั้งหมด.."

 

(**ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เป็นพันธมิตรกับรัสเซีย..)






 




ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม โดย "วิวันดา"

ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสาม (สมบูรณ์)
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนยี่สิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเก้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสี่
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสิบเอ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเก้า และตอนสิบ
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนแปด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนเจ็ด
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนหก
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนห้า
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสี่
ฮิต เล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสาม
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม ตอนสอง
ฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักร์ที่ไรค์ซที่สาม



1

ความคิดเห็นที่ 1 (102129)
avatar
หมาป่าดำ

   บุคคลผู้มีชื่อเสียงมักเป็นนักอ่าน

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-01 22:38:19 IP : 223.206.200.35



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker