dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์ ตอนเก้า (จบ)
วันที่ 16/02/2020   18:25:00

            มาถึงปี 1985 ที่ชีวิตคู่เริ่มอับเฉา และ กำลังจะอับปางนั้น ทั้งคู่เริ่มต่างแยกกันออกงาน ต่างคนต่างไป..
            เจ้าฟ้าชายชารลส์แทบจะแน่พระทัยเลยว่า..พระชายาได้แอบมีสัมพันธ์สวาทกับองค์รักษ์ สิบโท แบร์รี่ แมนเนคี อย่างแน่นอน เพราะในยามนั้น ไม่ว่าไดอะน่าจะไปที่ไหน แบร์รี่ได้ติดตามราวกับเงาตามตัว
            แบร์รี่ คือ หนุ่มใหญ่วัยสามสิบเก้า แต่งงาน มีบุตรแล้วสองคน เขาเป็นคนที่ท่าทางสมาร์ทแบบชายชาตรี และ เป็นคนอารมณ์ดี เข้ากับใครต่อใครได้ง่าย
            มีบุคคลิคเหมาะสมกับงานที่ต้องดูแลไดอะน่าอย่างที่สุด เพราะเขาเป็นคนที่ยินดีรับฟังความทุกข์ของเธอได้ทุกเรื่อง อีกทั้งรู้จักการปลอบโยนให้กำลังใจ
            จนเขาได้รับความไว้วางใจ
            ให้ติดตามไปได้ทุกที่ แม้กระทั่งพาพระโอรสไปตัดพระเกศา หรือ เป็นคนคอยหิ้วถุงให้ในยามออกไปช้อปปิ้ง

           

ในช่วงมรสุมร้ายๆ ที่กระหน่ำเข้ามาอย่างไม่ขาดระยะนั้น หลายครั้งที่พระชายาไปปรับทุกข์กับแบร์รี่ บอกเขาว่า
            "ฉันกำลังจะทนไม่ไหวแล้วนะ อยากจะหลุดพ้นไปจากไอ้วงจรบ้าๆ นี่เสียที"
            แบร์รี่ได้อุทิศแผงอกให้เธอได้ซบ และ ช่วยซับน้ำตา ..เขาว่า
            "อย่าว่าแต่ผมเลย..เป็นใครๆ ก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องโรแมนติคบ้าบออะไรนั่นซะหน่อย"
            เขาได้กลายมาเป็นผู้ที่รับรู้เรื่องความในใจของเธอเกือบทั้งหมด ไดอะน่าได้เล่าให้แบร์รี่ฟังว่า เธอเชื่อมั่นว่า พระสวามีและนางคามิลล่า ไม่เคยเลิกราจากกันตามที่พระองค์ได้เคยสัญญาไว้กับเธอก่อนการอภิเษก
            เขากลับไปหากันอีก
            เพราะว่า ในช่วงวันหยุดช่วงหนึ่ง ที่เธอได้มาถึงพระตำหนักไฮโกรฟ พระสวามีไม่อยู่..
            มหาดเล็กแจ้งว่า พระองค์ได้เสด็จไปก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาที ขับรถสปอร์ตออกไปและไม่ได้บอกไว้ว่าเสด็จไปไหน..
            เธอจึงเข้าไปค้นหาหลักฐานในห้องทรงพระอักษร กดย้อนดูเบอร์โทรต่างๆ ในเครื่องโทรศัพท์ และกดเบอร์สุดท้าย..ปรากฏว่า เป็นเบอร์ของบ้านคามิลล่า
            ที่มีคนมารับสาย เธอจึงได้วางหูลง ไม่ได้พูดอะไร
            เพราะแน่ใจแล้วว่า พระสวามีไปที่นั่น..
            จากนั้น ก็ค้นต่อไปที่สมุดบันทึกนัดส่วนพระองค์ และพบว่า ในวันนั้น เวลานั้น ได้มีเขียนตัวอักษร C เอาไว้..
            และ ในลิ้นชัก เธอได้พบกับจดหมายของคามิลล่าปึกใหญ่
            ที่เขียนด้วยเนื้อความที่สนิทสนม และ ลึกซึ้ง
            และจ่าหัวไว้ด้วยคำขึ้นต้นว่า My Beloved !!


            หลังจากที่เล่าจบ ไดอะน่าได้ฟูมฟาย รบเร้าถามแบร์รี่ว่า "ทำไม..ทำไม เขาถึงเห็นนังนั่นมันดีไปกว่าฉันล่ะ"
            "ทรงไม่ค่อยฉลาดกระมังพะยะค่ะ..ไม่ฉลาดค่อยข้างมากด้วย" แบร์รี่ตอบแบบกำปั้นทุบดิน
            แค่นั้น ไดอะน่าก็ยิ้มออก เพราะเธอมักรู้สึกขันในสำเนียงอังกฤษชั้นกลางปนล่างๆ ของเขาบ่อยๆ
            หรือไม่ว่าก่อนออกงานไปไหนทุกครั้ง เธอมักจะถามเขาถึงความเห็นในเรื่องเครื่องแต่งกายก่อนเสมอ ว่า ดีไหม สวยไหม
            ซึ่งทุกครั้งนั้น เธอมักได้คำตอบที่น่าพอใจ
            ความสนิมสนมของคนทั้งสองในฉันท์มิตรนั้น สร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าฟ้าชายอย่างมากมาย
            เพราะดังที่บอกแล้วว่า เรื่องดับเบิ้ล สแตนดาร์ด เนี่ย..ไม่มีใครเกิน
            พระองค์ได้กล่าวหาพระชายาว่า ไม่รู้จักวางตัว ชอบเกลือกกลั้วคบหากับคนใช้
            สาเหตุอื่นๆ ก็เป็นเพราะว่า พระองค์ทรงอายเหลือกำลัง ที่พวกคุณพนักงาน มหาดเล็กทั้งหลายนั้น ต่างได้รับรู้ รับเห็นการทะเลาะเบาะแว้งของพระองค์และพระชายา
            ที่เมื่อก่อนก็มีการปึงปังกันในห้องหับมิดชิด
            แต่ในระยะหลังๆ นั้น ไม่ว่าตรงไหนก็เกิดเหตุได้ทั้งนั้น พระองค์ได้กล่าวหาว่า อีกฝ่ายหนึ่งนั้น ช่างเถียงอย่างไม่ลดละ ไม่เคยให้เกียรติกัน
            ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เมื่อแรกของการแต่งงานใหม่ๆ พระชายาเป็นคนติ๋มๆ ติดขี้อายซะด้วยซ้ำ
            หากแต่..เริ่มจากที่เธอได้รับแรงใจ และ แรงเชียร์จากประชาชนทั่วประเทศในการเป็นดาวดวงเด่นแห่งวินด์เซอร์ ความเกรงพระทัยในพระสวามีก็ลดน้อยถอยหายไปอย่างหมดสิ้น
            เคยมีการทะเลาะกันที่ถึงขนาดว่า เธอได้ขว้างกาน้ำชาไล่หลังพระสวามีแบบลอยละลิ่ว..เฉียดหน้าคุณพนักงานไปฉิวๆ

            ไดอะน่าไม่เคยชอบทุกอย่างที่เป็นสิ่งที่อยู่รอบพระสวามี เช่นกีฬาโปโลที่น่าเบื่อหน่าย เพื่อนแก่ๆ ที่พล่ามทั้งวัน ตัวเหม็นไปด้วยกลิ่นซิการ์หึ่ง..การตกปลา ไปเล่นสกี
            ทั้งหมดนั้น เธอได้กล่าวหาว่า มันคือข้อแก้ตัวที่ยกมาใช้ในการที่จะหนีไปจากเธอให้พ้นๆ
            เจ้าฟ้าชายได้สวนตอบไปว่า..
            "ที่ต้องออกไปให้พ้นๆ หน้าเธอ เพราะ อยากจะให้สมองได้พักผ่อนมั่งน่ะซิ ใครจะไปทนอยู่กับคนที่สติไม่ดีได้ล่ะ ไปไหนก็เป็นลม ป่วยได้ทั้งปี ทำไมไม่รู้จักทำตัวให้
            เหมือนเฟอร์กี้บ้างล่ะ"
            (ตอนนั้นคือตอนที่บูลิเมียได้คุกคาม กินอะไรไปก็ออกมาหมด ท้องว่าง..พอไปงานก็เป็นลมพับถึงขนาดต้องหาม)

            แต่ยามที่ทั้งคู่ต้องออกงานสู่สายตาของประชาชน การเล่นละครยังคงฝืนกระทำได้ดี

        

            และวิธีเดียวในการแก้แค้นของพระชายาคือ
            เธอรู้ดีว่า พระสวามีนั้นเป็นคนที่ตระหนี่ (ค่อนข้างมาก) การจับจ่ายใช้สอยแบบไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังได้เกิดขึ้นทันที
            เรื่องการเหนียวของเจ้าฟ้าชายนั้น ช่างเสมอเหมือนและเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับคามิลล่าอย่างที่สุด
            นี่คือสิ่งหนึ่งในหลายๆ สิ่งที่พระองค์ได้ชื่นชอบผู้หญิงคนนี้นักหนา
            ตัวอย่างเช่น ทั้งสองคนได้คุยกันในงานหนึ่ง คามิลล่าบ่นว่า ค่าซักแห้งเสื้อผ้าสมัยนี้ช่างแพงจนจับไม่ลง เจ้าฟ้าชายรีบพยักเพยิดเห็นด้วย รีบตรัสว่า
            บิลค่าใช้จ่ายส่วนนี้ของพระองค์ก็มากมาย เห็นแล้วยังไม่วายพระทัยหาย..
            ว่าแล้วทั้งคู่ก็ผสมโรงคุยเรื่องของแพงกันเป็นวรรคเป็นเวร (ทั้งๆ ที่เจ้าฟ้าชายชารลส์จัดอยู่ในอันดับของบุคคลที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่ง)

            ครั้งเมื่อพระชายาเอ่ยขอให้สร้างคอร์ทเทนนิสในพระตำหนักไฮโกรฟ ในตอนที่ย้ายเข้าไปใหม่ๆ พระองค์ทรงว่า สิ้นเปลืองอย่างไม่จำเป็น และ ไม่สร้าง
            "ทรงตรัสเล่นหรือเปล่าเพคะ เงินแค่สองหมื่นเนี่ยนะ..กับความสุขของครอบครัว ว่า สิ้นเปลือง แล้วทีกับไอ้สวนผักบ้าๆ ที่สร้างแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น หมดเงินไปไม่รู้เท่าไหร่
            ทำไมไม่ตรัสบ้าง..พระองค์ไม่เคยสนใจเลยว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร สนใจแต่เรื่องขององค์เองเท่านั้น เห็นแก่ตัวที่สุด " พระชายาโวยอย่างสุดกลั้น
            เจ้าฟ้าชาย..ทรงยกพระอังสะแบบไม่สน และเสด็จออกไปนอกห้องทันที
            ไดอะน่าอาละวาดสุดฤทธิ์อยู่ในห้อง ยามถึงเวลาดินเนอร์ เธอไม่ลงมาร่วมโต๊ะเสวย แต่ให้จัดถาดไปให้ในห้องพระโอรส..บอกว่า
            "ที่นี่คือที่เดียว..ที่ฉันได้รับความรักอย่างเต็มที่ ไม่ต้องแบ่งปันกับใคร"

            ศึกพายุอารมณ์นั้น เพิ่มดีกรีความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน มีการขว้างปาทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ หรือ ผรุสวาทด้วยถ้อยคำหยาบคาย
            ที่ครั้งหนึ่ง พอเริ่มการทะเลาะกัน
            เจ้าฟ้าชายก็กระแทกพระบาท..เสด็จออกไปข้างนอกตามเคย..
            พระชายาวิ่งปราดไปที่หน้าต่าง ตะโกนจากชั้นบนลงมาว่า..
            "You're shit, Charles, an absolute shit!"
            ในครั้งที่ขว้างกาน้ำชาคราวนั้น ไม่ใช่แต่กาเฉยๆ แต่เสียงด่าตามหลังไปด้วยว่า
            "You're fu...ing animal, Charles, and I hate you!"
            ข่าวนี้ได้รู้ถึงหูของนักข่าว แน่นอนว่า ไม่กี่วันต่อมา หนังสือพิมพ์ เดลี่ เมล์ ที่เป็นฐานเสียงของเดอะ เฟิร์ม ได้โจมตีพระชายาอย่างไม่มีชิ้นดี ว่า
            เป็นหญิงที่มีนิสัยเลวร้าย ขยันสร้างปัญหาให้กับพระสวามีจนไร้ซึ่งความสุขและสันติ

            แบร์รี่ได้ถูกสั่งย้ายไปประจำยังหน่วยงานอื่น ไม่ต้องเป็นองค์รักษ์อีกต่อไป และไม่กี่เดือนต่อมา เขาได้ประสบอุบัติเหตุรถชนกับรถบรรทุก เสียชีวิต..
            ซึ่งพระชายาได้เชื่อว่า มันมิใช่อุบัติเหตุธรรมดา อาจเป็นฝีมือของพวกสายลับอังกฤษที่จอมบงการน่าจะเป็นคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนี่เอง

        

            กระแสเคลื่อนไหวในข่าวของการแตกร้าวได้เริ่มประโคม เพราะจากการออกงานมาตลอดปีนั้น พอสรุปได้ว่า คนทั้งคู่แทบไม่เคยออกงานด้วยกัน ต่างคนต่างไป
            ไดอะน่าพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดในเรื่องนี้ เธอมักแสดงความฉุนเฉียวกับนักข่าวบ่อยๆ
            ในการเยือนสถานเลี้ยงเด็กต่อมา มีผู้ได้ขอให้เธอยืนให้ช่างภาพได้ถ่ายรูป เธอตอบอย่างสะบัดๆ ว่า
            "ก็เรื่องอะไรล่ะ หนังสือพิมพ์ไม่เคยมาทำอะไรให้ฉัน"
            วันรุ่งขึ้นเท่านั้น..ประโยคนี้ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ เดอะ ซัน ได้ตอบสวนทันทีว่า
            "ก็ทำมาให้ทุกอย่างนั่นแหละ.."
            ต่อด้วยว่า..หากถ้าไม่มีหนังสือพิมพ์คอยหนุนหลัง คอยยกยอส่งเสริม อย่าว่าแต่ไดอะน่าเลย
            ทั้งเดอะ เฟิร์ม (ด้วย..เอ้า)
            รับรองว่า จืดชืดสนิท ไม่มีใครรู้จัก สนใจ เผลอๆ อาจเซ็งยิ่งกว่าราชวงค์ของเดนมาร์ค และ สวีเดนอีกซะด้วยมัง..

            ไดอะน่าเริ่มรู้สึกตัว อ้อมแอ้มตอบว่า ก็ทำงานอยู่คนเดียว ไม่มีใครมาช่วยแบ่งเบาไปมั่งนี่
            (แม้แต่ทางสำนักพระราชวังก็ไม่มีการให้ความร่วมมือ ทุกคนหวังให้เธอ ออกงานให้ครบ และ ปิดปากให้นิ่งๆ เท่านั้นพอ)
            หรือแม้แต่กับพระสวามีที่เธอก็ไม่สามารถขอความคิดเห็นอะไรได้ แค่เพียงเริ่มจะอ้าปาก พระองค์ก็ทรงทำท่าเบื่อ บ่นว่า
            "อะไรอีกล่ะ ทีนี้น่ะ..."

            จะหันไปพึ่งพี่สาว เลดี้เจน..ก็แทบหมดหนทาง เพราะ พี่เขย คือ เซอร์ โรเบิร์ต เฟลโลว์ ราชเลขาส่วนพระองค์คนสำคัญของสมเด็จ.. (ย่อมไม่ฟังเธออยู่แล้ว)
            จะหันไปพึ่งคู่สะใภ้ ซาร่าห์ ก็ไม่ได้ เพราะเจ้าหล่อนคนนั้น พยายามประจบประแจงเจ้าฟ้าชายชารลส์อย่างออกหน้าออกตา
            จะหันไปพึ่งเพื่อนสนิท อดีตรูมเมท คาโรลีน บาร์โธโลมิว ก็ อายที่จะบอกไปว่า ชีวิตอภิเษกที่เหล่าเพื่อนๆ เคยอิจฉาในโชคชะตานักนั้น กำลังล่มสลาย..
            สิ่งเดียวที่พระชายาได้บอกกับเพื่อนคือ เจ้าชายนั้น ไม่ได้ชาร์มมิ่งอย่างที่คิด

           

 

ฉะนั้น คนที่ก้าวเข้ามาถูกจังหวะ นั่นก็คือ นาย เจมส์
            ฮิววิทท์ ที่ได้คบกันอย่างเกินเลยจนเข้าขั้นมีสัมพันธ์สวาท
            ตอนนั้น ข่าวก็เริ่มรั่วถึงความไม่ชอบมาพากล
            ชารลส์ สเปนเซอร์ น้องชายของเธอได้ออกมาประกาศแก้ตัวให้กันว่า
            "ไดอะน่ามีผู้ชายคนเดียวในชีวิต นั่นคือ เจ้าฟ้าชายพระสวามีเท่านั้น"
            ซึ่งต่อมา ผู้พันเจมส์ได้หาทาง"แก้จน" ด้วยการนำความลับมาไขในที่แจ้งด้วยราคาแสนกว่าปอนด์
            แต่..นั่นหมายถึงเขาได้ขายศักดิ์ศรีของชายชาติทหารไปด้วย
            เพราะ ชื่อนี้ ไม่มีใครคบหาอีกต่อไป..
            เมื่อไว้ใจผู้ชายคนไหนไม่ได้ พระชายาจึงต้องหันมาคบเพื่อนเก่า นาย เจมส์ กิลบี้ส์ อันเป็นที่มาของ เทปลับ "สควิดจี้" ที่มีข้อความค่อนข้างส่วนตัวมากมาย
            แต่อย่างน้อย นาย กิลบี้ส์ ก็ไม่เคยนำเรื่อง"ลับๆ " มาขายให้เสื่อมเสีย
            (เพราะ นายกิลบี้ส์ ไม่มีความจำเป็นในเรื่องเงินๆ ทองๆ ตัวเขาเองคือทายาทโรงกลั่นเหล้ายิน Gilbeys ที่มีชื่อเสียงขายไปทั่วโลก)

            จากนั้นมา..คือศึกที่ทั้งสองได้ประกาศต่อสื่อจนเป็นที่อึกทึกครึกโครม นับตั้งแต่ หนังสือชีวประวัติ Diana, true story จนถึงการผลัดกันถ่ายทอด
            ให้สัมภาษณ์ และแถลงชี้แจง แบบเปิดอกแบบหมดใส้หมดพุงแล้ว..ความลับอะไรก็ไม่มีเหลือทั้งสิ้นจนมาถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตการอยู่ร่วมกัน
            ที่สมเด็จพระราชินีต้องรีบประทานพระบรมราชานุญาตแบบไม่รีรอ เพราะยิ่งอยู่นานยิ่งอับอายขายหน้า..


            ตรงนี้ไม่อยากเล่าซ้ำนะคะ เพราะ ข่าวตอนนี้ใครต่อใครก็ทราบ..
            แต่จะเล่าเบื้องหลังของที่มาที่ไป ว่า..
            ทั้งหมดนี้คือการแก้แค้นซึ่งกันและกันโดยใช้สื่อเป็นเครื่องมือประหัตประหาร
            เข้าทำนองว่า..อยากแฉนักใช่ไหม..งั้นก็ซื้อ "ปี๊บ" เตรียมไว้ได้เลย..สองใบ

 



            คือหลังจากที่ผู้พัน เจมส์ ฮิววิทท์ ได้ออกมาทำหนังสือขาย..
            ไดอะน่าก็ได้ (แอบ) ใช้มือคนอื่นเขียนหนังสือออกมาฟ้องประชาชนถึงเรื่องการที่พระสวามีลอบเป็นชู้กับชาวบ้าน
            เป็นอันว่าไม่มีศักดิ์ศรีอะไรเหลืออยู่แล้ว เจ้าฟ้าชายชารลส์จึงได้ทำหนังสือชีวประวัติออกมาเล่มหนึ่งกะเขาเหมือนกัน คนเขียนคือ นายโจนาธาน ดิมเบิลบี้
            ที่ได้เขียนยอมรับว่า พระองค์มีสัมพันธ์สวาทกับคามิลล่า จริง..รวมทั้งเรื่องความอัดอั้นตันพระทัยอื่นๆ

            ไดอะน่าหมดความอดทน..เธอเริ่มดำเนินการสาดโคลนแบบใหม่ทันที..คราวนี้ มาเหนือเมฆ คือ เธอใช้สื่อโทรทัศน์ออกอากาศทั่วโลก..ในรายการ
            "Panorama" ที่ใครต่อใครชมรมคนใกล้ชิดที่ทราบแผน ได้ห้ามกันตัวโก่งแล้วว่า อย่าทำ..ไม่มีผลดีอะไรทั้งสิ้น
            เธอไม่เชื่อ และไม่มีอะไรที่จะสามารถหยุดยั้งได้อีกต่อไป..
            เธอได้ขอให้ทุกคนเก็บการดำเนินรายการครั้งนี้ให้เป็นความลับ
            โดยเฉพาะ ท่านประธานกรรมการของสถานี บีบีซี ก็ให้ทราบไม่ได้ เพราะท่านคือ เซอร์ มาร์มาดุค ฮัสซี่ สามีของ
            ท่านผู้หญิง ซูซาน ฮัสซี่ นางสนองพระโอษฐ์คนสนิทของสมเด็จ
            ซึ่งการบันทึกเทปได้ตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน
            แต่วันออกอากาศนั้นคือ วันที่ 20 เดือนเดียวกัน
            ต่อหน้าประชาชนคนดูกว่ายี่สิบสามล้านคน (นับเฉพาะในเกาะอังกฤษ) ซึ่งข้อความทั้งหมดได้เผยแพร่จากปากของเธอเอง ในเรื่องบุลิเมีย เรื่องการทำร้ายตัวเอง
            เรื่องคามิลล่า..มือที่สาม
            ทุกคนได้ซาบซึ้งกับประโยคสุดท้ายของไดอะน่าอย่างจับใจ ที่ว่า
            "อย่างเดียวที่ฉันอยากเป็น นั่นคือ ราชินีในดวงใจของทุกคน..."

            แต่เธอก็ไม่ลืมที่จะ "เชือด" เจ้าฟ้าชายให้ลึกเป็นแผลฉกรรจ์ว่า องค์มกุฏราชกุมารไม่เหมาะต่อการที่จะก้าวขึ้นมาเป็นกษัตริย์ น่าที่จะส่งทอดมาให้เจ้าชายวิลเลี่ยม
            และอย่าหวังว่าเธอจะจากไปอย่างเงียบๆ เพราะ.. I will fight to the end."

            รายการนี้เล่นเอาเหล่าข้าราชบริพารในเดอะ เฟิร์ม สติแตกกันเป็นแถวๆ ไม่มีใครคิดว่า ไดอะน่าจะกล้าหาญชาญชัยถึงขนาดนี้
            ขนาดยอมรับว่า ตัวเองเล่นชู้กับเจมส์ ฮิววิทท์ แถมมีหน้ามาบอกด้วยอีกว่า เคยหลงรักนายนั่น..นั่นก็นับว่าหนักหนาสาหัส
            แต่..นั่นหมายถึงว่า คนทั้งโลกได้รับรู้แล้วว่า ชีวิตคู่ของเจ้าฟ้าชายนั้น ล่มสลาย..

            ส่วนเจมส์ พ่อชู้ชื่น นั่งดูรายการด้วยอาการงุนงง..สับสนไปหมด เขาให้การว่า
            "ผมละช๊อคริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะยอมรับสารภาพออกมา ส่วนหนึ่งผมด็ใจที่เธอได้พูดความจริง ขอบคุณมาก คนอื่นๆ จะได้ไม่หาว่าผมเป็นไอ้เลว อย่างที่ด่าๆ กัน
            แต่ที่เธอบอกมาว่า ผมทำให้ผิดหวังนั้น ทำไมไม่พูดออกมาให้หมดล่ะ ว่าเป็นเพราะอะไร..แต่จะว่าไปแล้ว ไดอะน่าที่น่ารักผมเคยรู้จักกับคนที่อยู่ในทีวีนั่น เหมือนไม่ใช่คนคนเดียวกัน เพราะคนที่เห็นนั่น ช่างกร้าวแกร่งเกินจริง"

            สำหรับประชาชน ต่างพากันสงสารและเห็นใจไดอะน่าอย่างที่สุดและพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
            แต่สำหรับ เดอะ เฟิร์มแล้ว..คำว่าจะไม่จากไปเงียบๆ นั้น ถือว่า..นี่คือ คำขู่..!!


            ในปี 1995 ไดอะน่าได้พบกับชายหนุ่ม ที่เธอได้ขนานนามให้เขาว่า..Mr. Wonderful เขาคนนั้นคือ
            นายแพทย์ ฮัสนัท ข่าน {Dr. Hasnat Khan}
            ในขณะที่เธอได้ไปเยี่ยมเพื่อน นาย โอนาจ โทโฟโล ที่ได้เป็นคนใข้ในการทำบายพาสหัวใจ ที่โรงพยาบาล รอยัล บรอมป์ตัน คุณหมอข่านเป็นหนึ่งในทีมแพทย์ที่ทำการผ่าตัด
            ทันทีที่ได้พบเขา..เธอได้ตกหลุมรักทันที ถึงกับไปเยี่ยมคนใข้ทุกคืน..เพื่อหวังว่าจะพบกับแพทย์
            เล่นเอาคนใข้โรคหัวใจทั้งตึกต่างพากันตกอกตกใจ

           

 

 

ทั้งไดอะน่าและคุณหมอข่านออกเดทไปตามที่ต่างๆ คลับและร้านอาหาร โดยที่เธอได้พรางตัวใส่วิก โพกผ้า แว่นตา ปกปิดจนคนจำไม่ได้
            ทั้งคู่ได้ไปอยู่ด้วยกันในช่วงวันหยุดที่บ้านนอกเมืองของญาติคุณหมอ
            บางคืน ไดอะน่าได้ไปพำนักอยู่ด้วยที่ห้องพักแพทย์ (on-call) ที่โรงพยาบาล
            ในยามนั้น ไดอะน่าได้ให้ความสนใจในด้านการสงเคราะห์คนใข้มากขึ้น (อย่างเรื่องการเจ็บป่วยของเด็กที่ยากไร้, เรื่องเอดส์)
            ครอบครัวทางฝ่ายชายก็นับว่าเป็นครอบครัวใหญ่
            ที่ไดอะน่าพยายามเข้าไปชิดใกล้ ถึงขนาดยอมไปหัดทำกับข้าว ต้มพาสต้า และต้องการใช้ชีวิตคู่ที่เปิดเผยกับคุณหมอที่รัก
            แต่..ฝ่ายชายได้บ่ายเบี่ยง บอกว่า ไม่พร้อม
            เธอได้พยายามติดต่องานให้เขาที่อาฟริกาใต้ เพื่อที่จะได้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน คุณหมอไม่ยอมไปไหนทั้งสิ้น เพราะยังมีงานวิจัยและรักษาคนใข้ในลอนดอนอีกมากมาย
            ไดอะน่าได้ยอมทุกอย่างเพื่อมีส่วนร่วมในงานของคุณหมอ
            แม้กระทั่งไปเฝ้าดูการผ่าตัดหัวใจครั้งสำคัญ (จากห้องที่เรียกว่า theatre ที่อยู่เหนือห้องผ่าตัด)
            ที่คุณหมอข่านได้ทำงานคู่กับแพทย์ใหญ่ เซอร์ เอ็ม. ยาคุป

            ตอนนั้น สื่อต่างๆ พากันประหลาดใจและฮือฮา
            เพราะไม่รู้ว่ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร ที่ไดอะน่าจะไปเฝ้าดูการผ่าตัดที่น่าหวาดเสียวนั่นได้อย่างไม่มีทีท่าหวาดหวั่น


               

 

      
   
         
         

         
     
            
   

            ความรักของคนทั้งสองดำเนินไปอย่างเรียบและเงียบง่าย ไดอะน่าใฝ่ฝันที่จะได้มีโอกาสร่วมชีวิตครอบครัวกับคุณหมอ ถึงกับยอมทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
            ในปี 1996 เธอได้เดินทางไปประเทศปากีสถานบ้านเกิดเมืองนอนของฝ่ายชายถึงสองครั้ง
            หน้าฉาก..คือการไปพบปะกับเจ้าหน้าที่ในการช่วยจัดหาทุนให้ผู้ป่วยโรคมะเร็ง และให้กับ Shaukat Khanum Memorial Hospital
            หลังฉาก..คือการไปเยี่ยมเยียนครอบครัวของคุณหมอ เพื่อพิสูจน์ให้นาง นาฮีด ข่าน มารดาของคุณหมอ ได้เห็นว่าเธอนั้นมีคุณค่าพอในการที่จะมาเป็นศรีสะใภ้
            แต่รายการนี้ ผิดคาด..นาง นาฮีด ไม่ต้องการสะใภ้ต่างชาติ ไม่ว่าจะสูงส่งแค่ไหน เพราะเธอต้องการหญิงชาวมุสลิมปาทานเท่านั้น

            ตอนนั้น ไดอะน่าได้พยายามย้อมตัวเองไปหมดแทบทุกอย่าง ไม่ว่าการจุดธูปหอมในที่พำนักในพระราชวังเคน
            ซิงตัน ใส่เสื้อคลุมยาว แม้กระทั่งการดูภาพยนตร์ของปากีสถานจากวีดีโอบันทึกภาพ
            ซึ่งเหล่าบรรดาคุณพนักงานต่างเห็นเป็นเรื่องขำ
            ในที่สุด..ข่าวก็แว่วออกไปถึงหูนักหนังสือพิมพ์จนได้ ว่า เธอกำลังมีอะไรๆ กับคุณหมอต่างชาติขี้อายมุสลิมคนนั้น..
            ซึ่งเธอได้ออกมาปฏิเสธให้วุ่นไป..
            แต่ก็ได้สารภาพความในใจกับนาย โจเซฟ แซนเดอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า
            "ฉันอยากจะอยู่กินกับคุณหมอจะตายไป แต่..ปัญหาที่มีนั่นคือ ครอบครัวของเขาเป็นมุสลิมที่ค่อนข้างเคร่ง อยากได้แต่สะใภ้ที่นับถือศาสนาเดียวกัน.."

            หากแต่ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองนั้น ขึ้นๆ ลงๆ มีทั้งทุกข์และสุข บางครั้งเธอได้คร่ำครวญบอกเพื่อนๆ ว่า
            "เขาไม่อยากเจอฉันอีกแล้วละ..เราคงไปด้วยกันไม่ได้"
            หากแต่อีกวันหนึ่ง..เธอได้กลายเป็นหญิงที่มีความสุข หัวเราะหัวใคร่ บอกกับใครต่อใครว่า
            "ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เธอรู้ม๊ะ..ฉันกำลังมีความสุขจริงจริ๊งงงง..."


            ในเดือนพฤษภาคม ไดอะน่าได้ไปปากีสถานสองวัน เพื่อการร่วมโต๊ะอาหารการกุศล กับเหล่ารัฐมนตรีทั้งหลายกว่า หกสิบคน บัตรใบละ หนึ่งพันเหรียญ..
            เพื่อที่จะหาทุนให้กับโรงพยาบาล
            และ..เธอได้แอบไปเยี่ยมครอบครัวของคุณหมออีกครั้ง..โดยที่มิได้บอกให้ฝ่ายชายทราบเลยแม้แต่นิด
            หนังสือพิมพ์ได้นำเรื่องนี้มาลงข่าวกันเอิกเกริก
            ซึ่งคุณหมอโกรธเธอมาก ไม่ยอมพูดด้วย ไม่ยอมพบหน้า
            ซ้ำร้ายหนักคือ ภาพของไดอะน่าที่ลงตีหราในหนังสือพิมพ์ในขณะที่เธอและ นาย กูลู ลาวานิ (สหายเที่ยว) กำลังเดินออกจากไนท์คลับแอนนาเบลยามตีสองนั้น
            สร้างความขัดเคืองให้คุณหมอมากขึ้นไปอีก ถึงขนาดไม่รับโทรศัพท์เลยคราวนี้..

            ข่าวของคุณหมอฮัสนัท ข่าน กับไดอะน่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์ นั้น แน่นอนว่าต้องถึงหูของชาวมุสลิมอังกฤษไฮโซทั่วๆ ไป คนที่ผึ่งหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจนั้น
            คือ นายโมฮะหมัด อัล ฟาเอด อภิมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการนานาชนิด รวมทั้งห้างแฮรอดส์ ที่ไดอะน่าไปช้อปประจำนั้นด้วย
            นาย ฟาเอด นั้นเป็นคนที่ทะเยอทะยาน ฝันใฝ่อยากมีส่วนเกี่ยวพันกับเจ้านายอังกฤษอย่างที่สุด เขายอมทุ่มทุนมหาศาลในการเป็นสปอนเซอร์ในพระราชพิธีทุกชนิด
            เพื่อที่จะได้มีชื่ออยู่ในรายการเชิญร่วมโต๊ะเสวย
            ยอมแจกของขวัญราคาแพงๆ ให้กับฝ่ายข้าราชบริพารในช่วงเทศกาลต่างๆ มิได้ขาด
            และ ทุ่มซื้อทุกอย่างที่เคยเป็นสมบัติของพระราชวงค์
            หากว่ามีการออกมาประกาศขาย
            (อย่างพระตำหนักวินเซอร์ วิลล่า ที่ฝรั่งเศส อดีตคือพระตำหนักของ ดยุค แห่ง วินด์เซอร์ และ หม่อม วอลลิส)

            นายฟาเอด ได้มีการคบค้าสมาคมอยู่กับ เรน สเปนเซอร์ โดยให้มานั่งกินตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร (แบบในนาม..ไม่ต้องมาทำงาน) ให้ดูหรูๆ
            เขาเริ่มดีดลูกคิดในรางแก้ว..และ ..ยอมลงทุนแบบไม่อั้น โดยการเลียบเคียงชวนไดอะน่าและพระโอรสทั้งสองไปล่องเรือยอชถึง ซังต์ โทรเปซ์
            พร้อมกับครอบครัวของเขาที่มีลูกชุดเล็กๆ ของเขาสี่คน..
            เดินทางไปด้วย (กะว่าจะให้ลูกๆ ได้สนิทสนมกับพระโอรสเข้าไว้แต่เนิ่นๆ)
            ดังที่เล่ามาให้ฟังแล้ว..ว่าเขาคือพ่อบุญทุ่มพันธุ์แท้
            เพราะตอนเชิญนั้น ยังไม่มีเรือยอชที่ว่านั่น
            ทันทีที่ไดอะน่าตอบตกลง..เขาเซ็นเช๊คสั่งซื้อเรือยอชนั่นทันที ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ยี่สิบล้านปอนด์เอง..

            ส่วนไดอะน่าที่ตอบตกลงนั้น เพราะว่า เธอเห็นว่า ไม่มีอะไรเสียหาย อีกทั้งพระโอรสทั้งสองจะได้อยู่พร้อมหน้ากันแม่ๆ ลูกๆ ก่อนที่การหย่าร่างจะถึงจุดสิ้นสุดสมบูรณ์

            ทันที่ที่เธอและเจ้าชายน้อยๆ ทั้งสองได้ถึงที่หมาย คือ
            ซังต์ โทรเปซ์ นั้น ปรากฏว่า เหล่านักข่าวที่แว่วเรื่องนี้อยู่แล้ว ต่างมารอกันแน่น พร้อมที่จะบันทึกภาพ (ไปขาย)
            ซึ่งสร้างความหงุดหงิดให้กับเธออย่างที่สุด


            ต่อมา..ไดอะน่ายอมออกมาพบกับนักข่าวใน
            วันที่ 14 กรกฏาคม สิ่งแรกที่เธอถามนั่นคือ
            "พวกคุณจะอยู่เฝ้าดูอีกนานแค่ไหนเนี่ย?" หลังจากที่นักข่าวตอบ...เธอก็ต่อด้วยประโยคว่า
            "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่าทำไมตัวเองถึงไม่ยอมไปอยู่ต่างประเทศซะให้ไกลๆ อย่างที่ลูกๆ ได้แนะนำให้ทำ"
            นักข่าวรู้สึกเห็นใจขึ้นมาตะหงิดๆ พวกเขาจึงบอกว่า..
            "งั้นเดี๋ยวพวกผมจะโทรไปรายงานให้แผนก บ.ก. ทราบก่อน แล้วก็จะแยกย้ายกลับ"
            ปรากฏว่า ไดอะน่ารีบโบกมือ และบอกว่า
            "ไม่ใช่อย่างนั้น แค่ถามว่าจะเฝ้าดูตามติดอย่างนี้ไปอีกกี่วัน..ไม่ได้ไล่ มาครั้งนี้ก็เป็นแขกเชิญของคุณนาย อัล ฟาเอด ไม่ใช่ของ คุณฟาเอด เข้าใจไหม?"
            เธอได้พูดทิ้งท้ายต่อไปว่า
            "พวกคุณจะต้องตกตะลึงเชียวนะ ถ้ารู้ว่า อีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ฉันจะทำอะไรสนุกๆ ให้ดู"
            (ตอนนั้นไม่เกี่ยวกับ โดดี้...เพราะยังไม่ได้รู้จักกันเลย)

            จากนั้น นักข่าวเล่าว่า ไดอะน่าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ก่อนที่จะลงเรือกลับไปยังที่พัก แต่ไม่กี่อึดใจต่อมา เธอก็ยิ้มร่ากระโดดขึ้นบนเจ๊ทสกี ขับวนไปรอบๆ เรือยอชนั่น
            หลายรอบ ก่อนที่พุ่งตัวลงในน้ำด้วยท่ากระโดดที่สวยงาม ให้นักข่าวได้จับภาพอย่างเต็มใจ
            เล่นเอาเหล่าเหยี่ยวข่าวทั้งหลาย ต่างงงกันเป็นไก่ตาแตก..แต่ก็ยอมอยู่เฝ้าหน้าวิลล่าที่พำนักกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง..เพื่อที่จะรอถ่ายภาพกลับส่งมาที่อังกฤษจะได้มาประชันกับข่าวของ การจัดงานวันเกิดครบรอบห้าสิบปีของคามิลล่า (18 กรกฏาคม) ที่เจ้าภาพคือเจ้าฟ้าชายชารลส์ ที่จัดให้ที่พระตำหนักไฮโกรฟ ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นเรือนรักของ
            ไดอะน่าและพระองค์มาก่อน
            อย่างนี้ไม่เรียกว่า หยามหน้ากันแล้ว..จะเรียกว่าอะไร..

            แน่นอนว่า..ตลอดการที่พำนักอยู่กับครอบครัวของนายฟาเอด ไดอะน่าได้เล่าถึงความคับแค้นใจให้กับฝ่ายเจ้าภาพฟัง..
            สองวันต่อมา..คือการปรากฏตัวของนายโดดี้ บุตรชายเจ้าสำราญคนโตของนาย ฟาเอด..ที่ถูกบิดาเรียกตัวให้มาด่วน
            นายนี่..ก็กำลังจะแต่งงานอยู่รอมร่อ กับดารานางแบบ
            ชื่อว่า..เคลลี่ ฟิชเช่อร์
            ตัวเองในทีแรก...ต้องมาทั้งๆ จำใจ ขัดไม่ได้ เนื่องจากได้ผลาญเงินพ่อไปหลายร้อยล้าน ที่นำไปลงทุนสร้างหนังใหญ่ฮอลลีวู๊ด เรื่อง The Chariot of fire
            (ได้รับรางวัลด้วยนะ แต่เจ๊งไม่เป็นท่า..)
            ดังนั้น พ่อจะสั่งให้ทำอะไรก็ต้องทำ..แต่นำคู่หมั้นมาด้วย โดยแยกให้ไปพักที่อื่น..ที่อยู๋ใกล้ๆ กัน กลางวันก็มาสร้างความบันเทิงให้กับครอบครัว พอตกกลางคืนก็กลับไปหาแฟน
            โดยที่ไม่ได้บอกให้ใครทราบว่า มีหญิงมาด้วย..


            โดดี้เป็นคนคุยสนุก คล่องแคล่วเจ้าเสน่ห์ตามแบบฉบับลูกเศรษฐี ช่างเอาอกเอาใจสารพัด จึงเข้ากันกับไดอะน่าได้ไม่ยาก
            และ สำคัญที่สุด เขารู้ดีว่า นี่คือความต้องการของพ่อ..
            ที่ต้องการการเกาะเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ให้ได้มากที่สุด ถึงกับยอมลงทุนมากมายขนาดนี้
            อีกทั้ง ไดอะน่า ไม่ใช่คนขี้ริ้วขี้เหร่ แถมยังดังก้องโลก ถ้าได้มาจริงๆ ก็เหมือนกับถูกล๊อตเตอรี่หมดทุกใบยกแผง
            ไม่นับรวมว่า สมบัติของพ่อทั้งหมดจะไปไหนเสีย..
            ดังนั้น แฟนคนเก่าจึงค่อยๆ เลือนหายไปจากสมองและจิตใจของเขา ทั้งๆ ที่เจ้าหล่อนกำลังเตรียมจัดงานแต่งงาน
            อย่างขมักเขม้นอยู่แท้ๆ

            ส่วนไดอะน่านั้น..กำลังต้องการประชดคุณหมอฮัสนัท อยากให้เขาเกิดอาการหึงหวงจนต้องยอมศิโรราบให้กับเธอ เพราะ ถ้ามีคู่แข่งอย่างโดดี้ที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมนั้น
            ใครก็ต้องทำใจไม่ได้อย่างแน่นอน
            ดังนั้น ข่าวเรื่องของเธอและโดดี้จึงออกมาอย่างติดต่อ โฉ่งฉ่าง เพราะไดอะน่าต้องการให้นักข่าวทราบในทุกฝีก้าว..ไม่ว่าเรื่องเรือยอช ไม่ว่าเรื่องการตากอากาศใน
            วิลล่าหรูๆ ของนาย ฟาเอด
            เพื่อที่จะให้ข่าวไปถึงพระกรรณของเจ้าฟ้าชายชารลส์ด้วย เป็นการประกาศให้ทราบว่า
            "ไม่มีเธอ ฉันก็หาได้ดีที่สุด เพียบพร้อมที่สุดได้..อย่างเธอน่ะเหรอ ได้ดีที่สุดก็แค่นางหมาร้อตไวล์เล่อร์หน้าย่นคนนั้นคนเดียวแหละ"
            เธอหมายถึง คามิลล่า..

            ส่วนทางนายฟาเอด และลูกชาย..ต่างก็ช่วยกันจัดรายการรวบรัดไดอะน่าให้เร็วที่สุด เพียงช่วงเดือนเดียวที่คนทั้งสองได้รู้จักกัน กำหนดการเชิญให้ไปพักที่โน่นที่นี่
            มีอย่างละเอียดยิบ..ซึ่งฝ่ายลูกชายจะต้องติดต่อให้พ่อทราบถึงการเคลื่อนไหวทุกระยะ
            ทางด้านแฟนสาว เคลลี่ ได้ทราบข่าวถึงการสลับจัดรางรถไฟของโดดี้จากหน้าหนังสือพิมพ์ และจับโกหกได้ว่า เขาได้ปกปิดเธอในเรื่องนี้อย่างสนิท
            จึงมีการโทรติดต่อตามหา ต่อว่ากันข้ามทวีป
            นายฟาเอดเป็นคนรับสายเอง เขาได้บอกให้เธอ ตัดขาดไปจากลูกชายของเขา และขอให้ล้มเลิกการแต่งงาน..
            ซึ่ง เคลลี่ได้ตั้งทนายฟ้องเป็นเรื่องราวใหญ่โต..
            ไดอะน่าได้ทราบข่าวนี้ด้วย

            นายฟาเอดได้อนุญาตให้โดดี้พาไดอะน่าไปเที่ยวชม
            วินด์เซอร์ วิลล่า ได้อย่างตามใจชอบ และบอกด้วยว่า จะยกให้ถ้าคนทั้งสองได้แต่งงานกัน (รู้จักกันแค่เดือนเดียว)
            ส่วนทางด้านตัวเขาก็จัดแจงส่งข่าวเรื่องการลงเอยของลูกชายอย่างโจ๋งครึ่ม
            แม้กระทั่งเรื่องแหวน..รีบร้อนเสียจนกระทั่งเดินเข้าไปไปสั่งซื้อในห้างที่ ซังต์ โทรเปซ์ เอาดื้อๆ
            แล้วให้เขาส่งไปคอยที่ห้างใหญ่ในปารีส..
            (ความจริงระดับนี้แล้ว เขาต้องสั่งทำ ออกแบบเองไม่ให้ซ้ำกับใคร)
            เขาได้บอกพ่อว่า มันจะเป็นแหวนหมั้น
            แต่ส่วนไดอะน่าได้บอกกับคนสนิทที่สุด นาย พอล เบอเรลล์ว่า จะเป็นแหวนใส่เล่นๆ แบบที่ระลึก
            คนที่ใกล้ชิดกับเธอทุกคน ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการลงเอยกันในระยะสั้นแบบนั้น
            อีกทั้ง..ในหนังสือ My Duty ของพอล เบอเรลล์ที่เขียนนั้น
            เขาได้ย้ำหนักหนาว่า..ไม่ใช่โดดี้แน่นอน เพราะหัวใจของไดอะน่านั้นอยู่ในอังกฤษนี่เอง..
            (ตอนที่มีข่าวหวือหวาออกมา ไดอะน่าได้โทรไปที่บ้านของคุณหมอ และได้บอกให้ทุกคนทราบว่า ไม่มีอะไรเกินเลยอย่างที่เป็นข่าว)


            ในตอนเช้าของวันที่ 30 สิงหาคม
            นาย เคซ วิงค์ฟิลด์ และ นาย เทรเวอร์ รีส์-โจนส์ ผู้ติดตามของโดดี้ (ที่ส่งมาโดยนายฟาเอด) ได้รับทราบถึงแผนที่เปลี่ยนกระทันหันของเจ้านายว่า จะพาไดอะน่าไปที่ปารีสต่อ.. (แทนที่จะกลับไปอังกฤษตามแผนเดิม)

            เขาทั้งสองเตรียมตัวอะไรกันแทบไม่ทัน เพราะทันที่ที่ถึงสนามบินเหล่านักข่าวไปคอยอยู่แล้ว..
            จุดหมายแรกที่ทั้งสองไป..นั่นคือ วินด์เซอร์ วิลล่า (ที่โดดี้อยากอวดนักหนา) พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ที่นั่นประมาณ สี่สิบนาที
            จากจุดนั้น โดดี้ได้สั่งให้ไปแวะที่ร้านเพชร เพื่อที่จะไปรับแหวนที่สั่งด่วนมาล่วงหน้านั่น..
            ไดอะน่าได้ใช้เวลาโทรศัพท์คุยกันคนโน้นคนนี้ เธอตื่นเต้นในการที่ได้เล่าว่า
            ในงานการกุศลบางงานจะมีสปอนเซอร์ใหม่ เข้ามาช่วยเหลือ นั่นคือ นายฟาเอด..ที่ได้รับปากรับคำเอาไว้
            ทั้งคู่ได้ไปยังอพาร์ตเม้นท์ของโดดี้ในย่านกลางใจเมือง เหล่านักข่าวนกรู้ได้ไปคอยอยู่แล้วฝูงใหญ่
            โดดี้ได้เข้าไปเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นสูทเตรียมออกไปดินเน่อร์
            เขาได้บอกกับบัทเล่อร์ส่วนตัวว่า กลับจากดินเน่อร์จะมาที่นี่ และจะขอไดอะน่าแต่งงาน..
            เขาทั้งหมดได้ไปยังร้านอาหารหรูเลิศ Chez Benoit ที่มีนักข่าวเตรียมเข้ามาต้อนหน้าต้อนหลัง..
            โดดี้หงุดหงิดเป็นที่สุด เขาสั่งให้คนรถกระชากรถออกไป
            เปลี่ยนร้าน..ไม่กงไม่กินมันแล้ว..
            เขาได้พาไดอะน่าไปยังห้องอาหารในโรงแรม Ritz (ก็ของนายฟาเอดนั่นแหละ)
            มาถึงตอนนั้น ไดอะน่าก็เสียอารมณ์ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะจากภาพในกล้องวงจรปิดของโรงแรม บ่งบอกชัดว่า เธอกำลังร้องไห้
            ส่วนเหล่าอารักขาของโดดี้ต่างก็เหนื่อยอ่อน เหนื่อยใจกับการเปลี่ยนแผนไปมา ระหว่างอยู่ในห้องอาหาร โดดี้พาลพาโลเอากับเหล่าเบ๊ทั้งหลาย ว่าไม่ได้ดังใจ
            อีกทั้งเขาต้องโทรรายงานการเคลื่อนไหวให้นายฟาเอด ผู้พ่อทราบในทุกฝีก้าว

            (ถามว่า ทำไมจึงทราบว่ามีการชักโยงใยอยู่เบื้องหลัง เพราะ นายฟาเอดเองได้ให้การละเอียดยิบว่า ได้คุยอะไรกับลูกชายบ้างก่อนเสียชีวิต
            เพราะเขาพยายามจะผูกเรื่องว่าทั้งหมดนั้น..คือ ฆาตกรรมอำพราง โดยฝีมือของสายลับอังกฤษ)

 
            เบ๊ทั้งสองก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า..ใครจะไปเตรียมอะไรให้ได้ เปลี่ยนแผนไปเปลี่ยนแผนมาจนปวดหัวไปหมด
            เมื่อทั้งคู่อารมณ์เริ่มสงบลง..อาหารได้ถูกสั่งขึ้นไปที่
            สวีทส่วนตัวชั้นบน
            นายสองคนนี่ก็ไปนั่งจิบเหล้าแก้เซ็งที่บาร์..มีคนมาร่วมวงด้วย..นั่นคือ หัวหน้าการรักษาความปลอดภัยโรงแรม
            นามว่า นาย อองรี ปอล
            เขาทั้งหมดดื่มเหล้าที่มีชื่อว่า ริการด์ {Ricard} ที่แรงพอสมควร
            ที่ดื่มเหล้ากันนั้น เพราะพวกเขาเข้าใจว่า เจ้านายทั้งคู่คงจะไม่ไปไหนแล้ว เพราะเข้าห้องพักกันเงียบเชียบ..
            หน้าที่จึง (เข้าใจว่าว่า) จบลงแค่นั้น..หรือ ..อีกเหตุผลหนึ่งคือ คนขับรถตัวจริง คือ นาย ฟิลลีป เดอร์โน นั้น ยังนั่งรอรับใช้อยู่ข้างนอก
            นายเคซ วิงค์ฟิลด์ ได้ขึ้นไปที่สวีทของโดดี้ ขณะที่ยืนรออยู่หน้าห้อง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮามาจากข้างใน แสดงว่าทุกอย่างกลับคืนเป็นปรกติ..
            โดดี้ ได้โทรไปคุยกับบิดา ผู้ซึ่งได้ให้คำแนะนำว่า ควรจะพักอยู่ที่โรงแรมนั่นเสียเลย..ไม่ต้องออกไปไหนอีก
            แต่โดดี้ ต้องการกลับไปยังที่อพาร์ตเมนท์ เพราะว่า กระเป๋าเสื้อผ้าทิ้งไว้อยู่ที่นั่น
            อีกทั้งของสำคัญ คือ แหวนที่เตรียมจะให้กับไดอะน่า..
            และการออกไปจากที่นั่น เขามีแผนไว้เรียบร้อยแล้ว คือ รถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมจะให้แกล้งขับออกไปพร้อมกับฝ่ายติดตามนั่งไปด้วย ล่อนักข่าว..
            เขาและไดอะน่าจะออกไปทางหลังโรงแรม จะให้นาย
            อองรี ปอล เป็นคนขับรถ จะเอานาย รีส์-โจนส์ นั่งไปด้วย
            และไม่ต้องมีรถติดตาม
            (หมายถึงการให้การอารักขาไดอะน่า ซึ่งสมควรที่จะมี)
            พวกนายเบ๊ต่างๆ นี้ เริ่มสับสน เพราะแผนเปลี่ยนไปมาจนหมุนตัวตามแทบไม่ทัน อีกทั้งมันไม่ถูกต้องกับวิธีที่พวกเขาได้ฝึกฝนมาให้ยึดถือปฏิบัติ
            จึงมีการโต้แย้งระหว่างนายกับเหล่าผู้ติดตาม
            โดดี้ได้บอกว่า..ทุกอย่างเป็นประกาศิตของพ่อของเขา (นั่นหมายถึงนายโดยตรงของพวกเขาเหล่านั้น) ท่านได้รับทราบหมดแล้ว

            (นาย ฟาเอดได้มาปฏิเสธทีหลัง..ว่าไม่เคยอนุญาต ไม่เคยรับรู้ แถมยังกล่าวโทษพวกอารักขาอีกว่า ไม่รอฟังคำสั่งของเขา)

         

            มาถึงตรงนี้แล้ว ต้องเล่ารายละเอียดปลีกย่อยสักนิดว่า..เพียงแค่ผลการตรวจเลือดจากศพของนายอองรี ปอลล์โดยฝ่ายนิติเวชฝรั่งเศสได้เป็นคำตอบแห่งประวัติศาสตร์
            ที่ทำให้หลายต่อหลายคนต่างหมดมลทิน..
            เพราะ ในเลือดของนายอองรี ปอลล์ นั้น มีแอลกอฮอลล์สูงกว่ากฏหมายห้ามขับขี่ยวดยานถึงสามเท่า การตรวจนั้นได้กระทำถึงสองครั้ง
            ครั้งแรกคือ หลังจากที่เสียชีวิตใหม่ๆ
            และอีกครั้งหนึ่งคือ วันพฤหัสหลังเกิดเหตุ ซึ่งได้กระทำการตรวจพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆ ฝ่าย
            ผลออกมาคือ เหมือนกัน...เมาแท้ๆ
            แถมตรวจในครั้งหลัง ได้พบสารเคมี (ตัวยา) ประเภทที่ไม่สมควรใช้ควบคู่กับแอลกอฮอลล์ด้วย

            ไม่มีใครรู้ว่า นายอองรี ปอลล์ไปแอบดื่มที่ตรงไหน เพราะจากที่บาร์พร้อมกับอารักขาสองคนนั่น ต่างให้การว่า เห็นเขาดื่มเพียงแก้วเดียว และดูเหมือนกับเป็นน้ำสับประรด
            (เหล้า ricard ยามที่ผสมน้ำแล้วจะเป็นสีขาวขุ่น ดูเหมือนน้ำผลไม้จริงๆ)
            แต่มาทราบภายหลังจากการสืบสวนว่า นายคนนี้คือนักดื่มตัวฉกาจนอกเวลางาน เพียงแต่ในวันนั้น เขาดื่ม เพราะเข้าใจว่าภาระหน้าที่ได้จบสิ้นลงแล้ว
            สรุปว่า คืนนั้น ตอนนั้น เขาได้เมามายเรียบร้อยไปแล้ว ภายใต้ท่าทางที่เป็นปรกติ

            ก่อนที่จะออกไป..นาย อองรีได้ออกไปที่หน้าโรงแรม พยายามหลอกล่อนักข่าวทำทีว่าออกมาเคลียร์พื้นที่ ก่อนที่เจ้านายจะออกมา
            แต่..นักข่าวเหล่านั้นล้วนแต่มีประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม พวกเขาทำงานกันเป็นทีม ที่เฝ้าทั้งประตูหน้าและประตูหลัง
            แถมยังมีอีกกลุ่มใหญ่ไปคอยอยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ของฝ่ายชายแล้วด้วย
            เวลา 00.30 a.m. ทั้งโดดี้และไดอะน่าได้ออกทางประตูหลังจริงๆ นายอองรี ปอลล์ได้ตระโกนใส่นักข่าวอย่างคึกคะนองว่า
            "ไม่มีวันตามได้ทันหรอกว้อย.."
            เขาได้ขับรถหลบเส้นทางที่มีสัญญาณไฟ เพราะเลี่ยงการถูกจับภาพโดยการขับไปทางถนนเลียบแม่น้ำที่ต้องมีการลอดใต้ถึงสองอุโมงค์
            อุโมงค์ที่สองคือเส้นทางที่ตัดลอด ปลาซ ดาลมา
            ในนั้น.. มีช่วงจุดบอดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งมาก สิบห้าปีที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงถึงสามสิบสี่ครั้ง
            มีผู้เสียชีวิต แปดคน
            ปัญหาของจุดบอดนั้นคือ การมีหล่มลาดเททางซ้ายนิดๆ ในทางโค้ง และไม่มีที่กั้นระหว่างถนนกับเสาคอนกรีตนั่นด้วย
            นายอองรี ปอลล์ ได้ทำตามที่สัญญาไว้กับนักข่าว คือ
            ไม่มีวันให้จับได้ไล่ทัน เขาเหยียบคันเร่งมิด ด้วยสปีดถึง 65 ในอัตราพิกัดให้ใช้เพียง 30 ไมล์ต่อชั่วโมง
            นักข่าวต่างขี้เกียจที่จะขับตาม ทุกคนไปตั้งกล้องรออยู่ที่หน้าอพาร์ทเม้นต์ของโดดี้เรียบร้อยแล้ว..
            ซึ่ง..เมื่อนาย อองรี ปอลล์ ขับเข้าไปในอุโมงค์ที่ว่างสนิทนั้น ไม่มีใครตามมา เขาเหยียบเบ๊นซ์ เอส 500 นั้นแบบสุดๆ
            หลังจากที่โศกนาฏกรรมได้เกิดขึ้นแล้ว ตำรวจฝรั่งเศสบอกว่า ความเร็วน่าจะถึง 97 ไมล์ และการประทะเข้ากับเสาคอนกรีตนั้น เข้าไปแบบเต็มๆ เพราะไม่มีรอยยางของการห้ามล้อแม้แต่นิด
            ไม่มีใครสักคนในรถที่ใช้เข็มขัดนิรภัย..
            เสาต้นที่..สิบสาม..คือเสามัจจุราช..ที่ได้พรากชีวิตของคนถึงสามคน โดดี้ อองรี ปอลล์ และ ไดอะน่า


            สองคนแรกนั้น เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
            ส่วนไดอะน่า..นายโรมัล รัท และกลุ่มนักข่าวที่ตามมา พยายามเข้าไปช่วย เพราะ ยังหายใจรวยริน
            โดยสังเกตจากหน้าอกที่ยังกระเพื่อมขึ้นลง
            แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะมีปัญญานำเธออกมาจากสภาพรถที่บุบบี้เป็นก้อนโลหะนั้นได้
            ส่วนนาย รีส์-โจนส์ นั้น สภาพยับเยินจนไม่มีใครคิดว่าเขาจะรอดชีวิต
            กว่าที่จะงัด และตัดชิ้นส่วนของเหล็กออกไป นำคนเจ็บออกมาขึ้นรถพยาบาลได้ ก็ลุเข้าเวลา ตีหนึ่ง ยี่สิบห้า ซึ่งโดยปรกติ เวลาการเดินทางจากจุดนั้นไปถึงโรงพยาบาล
            จะใช้เพียง สิบนาที หากแต่ในกรณีนี้ ต้องใช้ถึงสามสิบนาที เพราะต้องช่วยกันรักษายื้อชีวิตกันตรงนั้น

            มีเสียงกล่าวว่า..เป็นเพราะใช้เวลานานเกินไปในรถพยาบาล จึงไม่สามารถช่วยเธอได้ทัน
            เหล่าทีมแพทย์ฝรั่งเศสได้ออกมาเถียงคอเป็นเอ็นว่า ในรถพยาบาลของ La Pitie Salpetriere Hospital นั้น ทันสมัยมีเครื่องช่วยชีวิตครบครัน
            อยู่ในรถก็เหมือนขาข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในห้องผ่าตัดแล้ว
            เมื่อรถได้มาถึงโรงพยาบาล นายซามี แนร์ ผู้ช่วยร.ม.ต. กลาโหม (ฝรั่งเศส) ได้มาคอยอยู่แล้วพร้อมกับเจ้านาย
            เขาเล่าว่า
            เขามาถึงก่อนเพียงสิบนาที ทันที่ที่ได้รับทราบข่าวร้าย เพราะเมื่อรถมาถึง เปลพยาบาลสองเปลก็ถูกนำลงมา
            ไดอะน่าได้ถูกสวมด้วยสวมเครื่องช่วยหายใจจากจมูกลงมา
            นัยตาสองข้างบวมเป่ง ใบหน้ามีบาดแผล
            แต่..ทุกคนยังจำได้ว่า เธอคือ ไดอะน่า ปริ้นเซส ออฟ เวลส์
            การผ่าตัดได้เริ่มดำเนินการอย่างทันที เพราะ ทุกคนหวังว่า..เธอมีสิทธิที่จะรอด

            จากนั้นเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำฝรั่งเศสได้รุดมาถึงที่โรงพยาบาลในเวลาใกล้ตีสอง เพราะ ข่าวได้ไปถึงอังกฤษตั้งแต่หลังจากเหตุได้เกิดใหม่ๆ
            ในตอนแรกๆ ทุกคนยังสับสน เพราะมีข่าวออกมาหลายกระแส บ้างว่า ไดอะน่าอยู่รอดปลอดภัย เดินออกมาจากรถไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน..
            แต่ข่าวและภาพของเหตุที่เกิดขึ้นสดร้อนๆ ในนาทีแรกนั้น ได้ทำการประมูลขายกันอย่างเอิกเกริก
            National Enquirer ให้ราคา 250,000 เหรียญ
            อังกฤษให้ หนึ่งล้านปอนด์
            จากข่าวที่ว่า คนขับตาย โดดี้ตาย อารักขาสาหัส ดังนั้น ความหวังว่า ไดอะน่าจะแล้วรอดปลอดภัยนั้น ริบหรี่เต็มที

           

            ยากระตุ้นได้ถูกฉีดให้ที่หัวใจของเธอ รวมทั้งการนวดด้วยมือ แต่ทุกอย่างได้สงบนิ่ง
            เธอได้สิ้นลมหายใจไปในเวลา ตีสี่..
            นั่นคือ เวลาที่แพทย์ทุกคนได้สรุปลงความเห็นว่า..เธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว..
            ทันทีที่ข่าวออกไปทั่วนั้น สิ่งแรกเลยคือ ทุกคนมุ่งมาดอาฆาตร้ายกับกลุ่มปาปารัสซี่ ที่ต่างเชื่อว่า คือตัวต้นเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้
            แม้แต่ ชารลส์ สเปนเซ่อร์ น้องชายคนเดียวของเธอที่ด่ากราดใส่หน้านักข่าวว่า.
            สมใจพวกแกแล้วใช่ไหม ไอ้มือฆาตกร !!

            เมื่อหลังจากทราบว่า คนขับนั้น เมาสุรา ก็เหมือนกับว่า ทุกคนต่างพ้นโทษ
            แต่..คนที่มีบาปในดวงใจอีกทั้งได้รับกรรมสนองนั้น
            คือ นายฟาเอด ที่เป็นตัวชักนำเพียงเพื่อหวังจะรวบรัดให้ทุกอย่างได้ออกมาสนองในสิ่งที่เขาต้องการ
            เพราะ...เขาไม่เคยได้รับเกียรติให้เป็นคนวงในของสมเด็จ พระราชวงค์ หรือ เดอะ เฟิร์ม ไม่ว่าจะทุ่มเงินมากมายมหาศาลแค่ไหน
            และที่สำคัญ..คือ เงินของเขาที่มีมากมายก่ายกองนั้น ไม่สามารถซื้อสัญชาติให้เป็นอังกฤษได้ แม้แต่ในทุกวันนี้
            การที่จะมีลูกสะใภ้เป็นถึงพระมารดาของกษัตริย์อังกฤษในอนาคตนั้น คือ ความฝันอันสวยสด..ที่เขายอมทำทุกอย่างที่จะให้ได้มา..
            ดังนั้น เขาจึงพยายามทุกทางที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า
            นี่คือการ ฆาตกรรม โดยฝีมือของสายลับอังกฤษ
            เพราะประการสำคัญสุดๆ นั้นคือ การที่จะต้องไม่มาทนทรมานไปจนตลอดชีวิต ต่อการกระทำของตัวเองที่รู้ดีแก่ใจว่า เรื่องการจัดฉากของคนทั้งสองให้ดำเนินไปอย่างที่เห็น คือ ฝีมือของเขาล้วนๆ
            ประการที่สองคือ..เขารู้ดีอีกว่า เรื่องที่ไดอะน่าจะร่วมหอลงโรงกับโดดี้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ (ถ้าเป็นมุสลิมดีๆ คนอื่นละก้อไม่แน่..)
            เพราะประวัติของโดดี้นั้น ไม่สวยหรู และไม่น่าเชื่อถือ มีแค่คำจำกัดความว่า..หนุ่มเพลย์บอย เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อเท่านั้น
            ส่วนไดอะน่าเอง..กำลังนึกสนุก และ ต้องการที่เย้ยใครต่อใครหลายคนในการที่ควงกับโดดี้ เพราะ เท่าที่ทราบจากหนังสือของนาย พอล เบอร์เรลล์
            ที่ได้เขียนละเอียดว่า..คนที่โกรธมาก ถึงกับด่าว่า "ทำตัวไม่ต่างอะไรกับโสเภณีชั้นต่ำ" คือ นาง ฟรานเซส มารดาของเธอเอง
            นายฟาเอด จึงพร้อมใจที่จะเชื่อว่า ต้องมีคนขัดขวางอย่างสุดชีวิตในความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสอง และใครเล่าจะมีอำนาจถึงขนาดนั้น
            ถ้าไม่ใช่ เดอะ เฟิร์ม..

         

            เจ้าฟ้าชายชารลส์ได้เสด็จมารับศพด้วยพระองค์เอง ฝ่ายนักข่าวทั้งหลายต่างพากันประหลาดใจ ที่พระองค์ทรงตรัสด้วยภาษาฝรั่งเศสทั้งหมด และ ต่างแปลกใจที่เห็นว่า พระองค์นั้นทรงเอาใจใส่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างละเอียดละออ
            เช่น ตุ้มหูของไดอะน่านั้น หายไปหนึ่งข้าง
            พระองค์สั่งให้หา เพราะทรงบอกว่า
            "จะเอาไดอะน่าออกไปด้วยตุ้มหูเหลือข้างเดียวไม่ได้นะ"

            และฝ่ายกองทัพอากาศได้เตรียมเฮลิคอปเตอร์มารับ พร้อมที่จะนำเครื่องลงที่หลังคาโรงพยาบาล พระองค์ทรงปฏิเสธ ตรัสว่า
            "ไดอะน่าเข้ามาทางรถ ก็จะต้องกลับทางรถ คนที่เขามาคอยอยู่ข้างนอกจะได้มีโอกาสส่งเธอเป็นครั้งสุดท้าย"

            ส่วนเรื่องงานพิธีศพจะผ่านไปนะคะ เพราะเล่ามาแล้วในรักร้าว..

            เฮ้อ...ถึงบทสรุปได้ซะทีมังคะ..ว่า...

            ได้พยายามเล่ารายละเอียดต่างๆ มามาก ก็ได้แต่หวังว่า ทุกคนคงจะพอเข้าใจในเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น
            คงไม่ใช้ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวเพียงชั่วครั้งชั่วคราว เอามาตัดสินว่า ใครผิด ใครถูก..
            ใครเป็นตัวดี หรือ ตัวร้าย
            เพราะเมื่อมองเห็นภาพโดยรวมอย่างชัดแจ่มแจ้งแล้ว..
            เราก็จะรู้ว่า ทุกอย่างนั้น คือ "กรรม" ที่ต่างคนต่างมีติดตัวกันมา ที่ต้องมาชดใช้กันนี่เอง
            เห็นด้วยไหมคะ..??

    
      

    
            V

            V

            V

 

            จากผู้อ่านที่เขียนมาให้กำลังใจค่ะ...ที่ว่าเป็นกำลังใจนั้น เพราะเขาได้"สาระ" ครบทุกรสไปจากเรื่องนี้

            จบซะแล้ว (Y_Y) ต่อไปจะอ่านอะไรดีหนอ

            อ่านเรื่องนี้ได้ข้อคิดหลายอย่างเลยค่ะ
            สิ่งที่เกิดมา มันมีเหตุถึงมีผล
            ไม่มีใครดีเป็นนางฟ้า ไม่มีใครร้ายเป็นพญามาร ทุกคนต่างก็ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดในเวลานั้นๆ
            ทั้งการเสพสื่อโดยมีสติ และหยุดคิดพิจารณา
            การครองคู่โดยมีความเข้าใจ แล้วไม่เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง

            ฯ ลฯ

            ได้อะไรมากมายจริงๆ

            ขอบคุณป้าวิมากค่ะ ที่กรุณาสละเวลามานั่งเรียบเรียงให้อ่าน
            ใช้เวลาไม่น้อยเลย

            ขอบคุณค่ะ

 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (176410)
avatar
ผู้สนใจในตำนานราชวงศ์

 สวัสดีค่ะ ชอบเรื่องที่เล่ามากๆๆๆเลยค่ะ อยากทราบว่าที่เล่าตอนรักร้าว จะหาอ่านได้จากทางไหนอะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น ผู้สนใจในตำนานราชวงศ์ วันที่ตอบ 2020-01-29 01:49:03


ความคิดเห็นที่ 2 (176463)
avatar
อุ้ม

 ได้ความรู้มากๆ ภาษาไม่ทางการไป อ่านสนุกและเห็นภาพค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อุ้ม วันที่ตอบ 2020-03-29 07:43:18


ความคิดเห็นที่ 3 (176467)
avatar
อุ้ม

 ได้ความรู้มากๆ ภาษาไม่ทางการไป อ่านสนุกและเห็นภาพค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น อุ้ม วันที่ตอบ 2020-03-30 09:27:50



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker