dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบ
วันที่ 16/02/2020   18:24:07


ดังที่เรียนไว้ว่าจะหันมาเล่าตอนที่ท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ ถึงในความรู้สึกที่ท่านได้บรรยายไว้..ในยามที่สิ้นแผ่นดิน..

ต่อจากตอนที่ท่านต้องขออาศัยเรือรบหลวงอังกฤษ ออกเดินทางล่วงหน้ามาโดยลำพังก่อนคณะของซารินาพระมารดาและพระชายาเซเนีย..
เพราะเพียงหวังว่าจะเข้ามาขอความช่วยเหลือจากเหล่ามหามิตรที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาในยามศึกสงคราม..
เพราะรัสเซียนั้น..เคยช่วยใครต่อใครมามากเนื่องจากขนาดของกองทัพและกำลังพลที่มากมายมหาศาล.. โดยเฉพาะฝรั่งเศส****


****และ.. นั่นก็คือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนเกิดการต่อต้านและลุกขึ้นมาปฏิวัติล้มราช บัลลังก์..เพราะเหลืออดกับการที่ต้องไปรับใช้นานาประเทศทุกครั้งที่เกิดการบ พุ่ง..ประเทศนั้นก็พระญาติ..ประเทศนี้ก็พระโยม.....
ไหนจะยังเรื่องศึก ของตัวเองกับเยอรมันในระยะแรกของการเริ่มต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่มีสูญ เสียมหาศาล ทหารตายนับแสนคน ถูกจับไปเป็นเชลย
เกือบทั้งหมด
เพราะแพ้เยอรมัน...ที่ Battle of Tannenberg 1914...วิวันดา

ภาพเชลยศึกรัสเชี่ยน..ใน Battle of Tannenberg ( สิงหาคม 1914)
 

 

ความรู้สึกอ้างว้าง..และ..อาดูรชนิดจับเข้าถึงหัวใจนั้นมันมีมากพอสำหรับฉันที่อยากจะเอา
หัวพุ่งเข้าชนกำแพงซะให้มันจบๆไป..
มัน สะสมมาทีละเล็กละน้อยจนแทบกระอักออกมาในช่วงบ่ายวันหนึ่งของเดือนมกราคม 1919 ที่ฉันยืนอยู่ที่หน้าต่างกระจกของขบวนรถไฟสาย Paris Express ที่สถานี Taranto (ประเทศอิตาลี) และกำลังโบกมือร่ำลากับเหล่านายทหารเรือแห่งเรือรบหลวง
H. M. S. Forsythe ที่ได้พาตัวฉันออกมาจากรัสเซียจนถึงที่นี่..
ท่านผู้การเรือได้แสดงความเสียใจ..ท่านว่า
"กระหม่อมเสียใจจริงๆที่ไม่สามารถไปส่งฝ่าพระบาทได้จนถึงโรงแรม Ritz ในกรุงปารีส.."

"นั่น น่ะซิ..แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ.." ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ เพราะตลอดเวลาสี่วันที่ล่องมาในเรือ..ฉันเองก็ทำตัวไม่ถูกในฐานะจากพระนัดดา แห่ง
พระจักรพรรดิ์นิโคลาส (หนึ่ง)ที่ยิ่งใหญ่แห่งรัสเซีย..ที่ต้องกลายมาเป็น"ผู้ที่ได้รับการ อนุเคราะห์" จากกองทัพเรืออังกฤษ...มันช่างขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก..

อนิจจา...


แม้ ว่าในช่วงนั้น..ฉันพยายามทำตัวให้รื่นเริง..และสนทนาปราศัยในเรื่องที่กำลัง อยู่ในความสนใจคณะ เช่น The Battle of Jutland หรือเรื่องที่อังกฤษปิดน่านน้ำกับเยอรมันนานถึงสี่ปี แต่...ความรู้สึกข้างในนั้น..มันเป็นความอัปยศอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ว่ามองไปทางไหน..ก็เห็นแต่ทหารอังกฤษในเครื่องแบบที่สง่างามสะอาดสะอ้าน
เรือใหม่เอี่ยม โอ่อ่า..เงาวับ..
คิด แล้วก็ไม่วายสมน้ำหน้าตัวเอง...ครั้งหนึ่ง..ที่ฉันใช้เวลารับใช้ชาติในการ เป็นทหารเรือมานานถึงยี่สิบสี่ปี เคย"ดูแคลน" พวกทหารเรืออังกฤษเสมอว่าไม่มีทางที่จะมาเทียบรัศมีกับเราได้เลย...

แล้วบัดนี้ซิ..ที่ฉันต้องซมซานมาขออาศัยเรือเขาออกมาจากประเทศ...

ในขณะที่..ทหารอังกฤษ..ไชโยดื่มถวายพระพรให้กับกษัตริย์ของเขาทุกมื้อในเวลา
อาหาร

ประมุขของฉัน..พี่น้องของฉันจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้...??****



**** ตอนนั้น..ยังไม่ทรงทราบว่า..ซาร์และครอบครัว..รวมไปถึงพี่น้องทั้งหมดของ
ท่านแกรนด์ ดุ๊ก..ได้ถูกสำเร็จโทษโดยบอลเชวิคหมดแล้ว.....วิวันดา


ภาพ..ท่านผู้เขียน   



ในเวลาอาหารทุกมื้อ..ฉันได้รับเกียรติให้ร่วมโต๊ะกับท่าน ผู้การเรือ โดยที่ตำแหน่งที่นั่งของฉันนั้น..สายตาจะตรงไปที่พระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า ยอร์จ (ที่ห้า) แบบเลี่ยงไม่ได้
ซึ่ง..พระกษัตริย์อังกฤษพระองค์นี้..ทรง มีส่วนละม้ายกับซาร์นิโคลาสแบบแทบแยกกันไม่ออกว่าใครเป็นใคร..ครั้งหนึ่งที่ นิกกี้เคยหยอกล้อกับคิงยอร์จว่า..ในงาน Epsom ว่า

"ลองม๊ะ..เราลองแต่งตัว ส่ท๊อปแฮ๊ทให้เหมือนกัน แล้วเดินควงข้างเข้าไปในงานพร้อมกัน..ให้คนทายเล่นสนุกๆว่า..ใครเป็นใคร?"

ตกกลางคืน..ฉันนอนลืมตาโพลงบนเตียงในเคบิน..มองไปที่ช่องหน้าต่างกลมบ่อยๆ..
เห็นแต่น้ำกับฟ้า..แต่สมองของฉันคิดเสมอว่า..ถ้าจะจบชีวิตโดยการพุ่งตัวลงไปในทะเลก็น่าจะเป็นการดี..จะได้พ้นทุกข์ทรมานนี่เสียที..

แต่..ฉันก็ได้แต่คิด..เพราะแม้ว่าฉันจะหมดสิ้นไปกับชีวิตราชการ..หมดสิ้นไปจากสถานะฐานันดร
สิ่ง ที่เหลืออยู่..ที่คงไม่มีวันหมดสิ้น..นั่นคือการเป็น "พ่อ" ของลูกอีกเจ็ดคนที่ฉันต้องดูแล..ทั้งๆที่ความจริงแล้ว..พวกเขาคงจะเติบโตไป ได้อย่างสมบูรณ์พูนสุข และไม่ขาดอะไรเลยในฐานะหลานของเอมเปรส และ มีแม่ที่แข็งแกร่งอย่างเซเนีย..ซึ่งทั้งสองคนนั้นยังคงต้องอยู่อย่างยึดติด ไปกับความยิ่งใหญ่แห่ง "โรมานอฟ" อย่างไม่มีวันจืดจาง..

ส่วนพ่ออย่างฉัน..อนาถาเสียจน..ไม่มีอะไรเหลือให้เขาเลย..ทั้งความภาคภูมิใจ..และทรัพย์สมบัติ..


ภาพ George V and Czar Nicholas  



หนึ่งวันที่ท่าเรือ เมือง Constantinople ของการพักการเดินเรือ..
ฉัน ตั้งใจไว้ว่าจะเข้าเยี่ยมสักการะอนุสรณ์สถาน Aya - Sophia แบบสบายๆแต่แล้วก็ได้รับจดหมายนำมาโดยนายทหาร..จาก Countess Brassova** ว่าต้องการพบฉันเป็นการส่วนตัว

** เคาน์เตสส์ บราสโซวา นี้คือ Natalie Brassova เป็นหญิงรัสเซีย ลูกสาวทนายความเคยแต่งงานมาแล้วสองครั้ง..ในช่วงที่อยู่กับสามีที่สองนี้เอง ที่ได้พบกับกับ แกรนด์ ดุ๊ก มิเกล
พระอนุชาองค์เล็กของซาร์นิโคลาส..และ ได้ผูกใจสมัครรักใคร่กัน จนถึงขนาดยอมซื้อตัวนางมาจากสามีด้วยเงินก้อนโต..และหนีไปแต่งงานกันที่ ออสเตรีย โดยขัดต่อกฏมณเทียรบาลทั้งหมด..ในฐานะเจ้ากับหญิงหม้ายสามัญชน
ใน ช่วงสุดท้ายของซาร์ที่ใกล้สิ้นอำนาจ พระองค์ได้ทรงลาออกจากประมุขโดยการแต่งตั้งแกรนด์ ดุ๊ก มิเกล ขึ้นมารับช่วงบัลลังก์แทน..แต่ในยามนั้น อำนาจของการบริหารประเทศได้ตกไปอยู่ในมือของบอลเชวิคแล้ว...ซาร์และครอบครัว รวมทั้ง แกรนด์ ดุ๊ก มิเกล ได้ถูกจองจำ (และสำเร็จโทษในกาลต่อมา)
ส่วน เคาน์เตสส์ บราสโซวา นั้นถูกกักขังตัวเช่นกัน..แต่..ในฐานะที่ไม่ใช่เจ้า..และไม่มีการยอมรับว่า เธอเป็นเจ้า..บอลเชวิคจึงเหมือนจะให้โอกาสเธอได้หลบหนีรอดออกมาพร้อมกับ สมบัติติดตัวมาส่วนหนึ่ง..


แปดเดือนตั้งแต่หนีออกมาได้..เคาน์เตสส์บราสโซวาไม่ได้ข่าวคราวของพระสวามีอีกเลย
เสียงลือมีว่า..ทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้วด้วยกระสุนของบอลเชวิคตั้งแต่เดือนมิถุนายน 1918 แต่นางก็หาเชื่อไม่..
จึงหวังอย่างเต็มที่ว่า..ฉันคงจะต้องมีข่าวมาให้เธอ "Misha" ผู้เป็นพระสวามีสุดที่รัก อย่างแน่นอน..

เมื่อได้รับจดหมาย..ฉันได้แต่ทำหน้างงๆ..แต่นายทหารผู้นำสาสน์บอกว่า
"ฝ่าพระบาทจะได้พบกับเคาน์เตสส์ ที่โรงแรม Tokatlian แน่นอนกระหม่อม เมื่อเสด็จถึงโปรดอย่าบอกว่าพระองค์เป็นใคร ขอให้ทรงประทับอยู่แถวๆระเบียงโรงแรมด้านฝั่งทะเล เคาน์เตสส์จะสามารถมองเห็นฝ่าพระบาทจากห้องพักพะยะค่ะ"

"แล้วนี่มันเรื่องบ้าๆอะไรกันถึงได้ต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้?"

"บอลเชวิค..พะยะค่ะ"

"บอลเชวิค..ที่นี่เนี่ยนะ..ในคอนสแตนติโนเปิลเนี่ยนะ?"

"พะยะค่ะ..ฝ่าพระบาท เคาน์เตสส์เกรงว่าอาจจะมีพวกบอลเชวิคตามมาจับตัวเธอและ
ลักพาตัวลูกชาย***ของเธอไปพะยะค่ะ..ยิ่งพระองค์เสด็จมา..ก็อาจมีการตามสะกดรอยมาก็เป็นได้"

นี่ ไง..สิ่งที่ฉันเกลียดนักกับการที่ต้องขึ้นฝั่งมาพบปะกับผู้คน..ที่ตอนนี้ กำลังกลัวพวกบอลเชวิคอย่างขึ้นสมอง..ทั้งๆที่รู้ๆกันดีอยู่ว่า..บอลเชวิคมัน ยังคลุมรัสเซียไม่ได้หมดด้วยซ้ำ..มันจะเอาปัญญาที่ไหนข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึง นี่

***ลูกชายที่พูดถึง..คือลูกปริศนา..ที่เกิดขึ้นระหว่าง เคาน์เตสส์กำลังอยู่ในระหว่างมีสามีเป็นตัวตนกับเป็นชู้กับแกรนด์ ดุ๊ก มิเกล แต่หล่อนเชื่อว่าเป็นลูกของ
ฝ่ายหลัง..จึงตั้งชื่อให้ว่า George ตามพระเชษฐาของแกนด์ ดุ๊ก มิเกล ที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่วัยหนุ่มฉกรรจ์ด้วยโรคปอด

Countess Natalie Brassova

 

Grand Duke Michael "Misha" Alexandrovich   



แต่..ฉันจะไปมีปัญญาอธิบายอะไรให้เธอเข้าใจได้ ถึง..สถานะที่อยู่หรือตายอาจเท่ากันของพวกญาติพี่น้องของเราที่อยู่ในเงื้อม มือของพวกบอลเชวิค..
เพราะหกเดือนที่ผ่านมา..ที่ฉันพยายามบอกกับแม่ยาย.. และ..เมียของฉันเอง..ให้เตรียมตัวเผื่อใจเอาไว้บ้าง..สำหรับความเศร้าโศก เสียใจและความสูญเสียที่อาจมี..ยังไม่เป็นผลอะไรเลย
เพราะ..ทั้งหมดพร้อมใจกันเชื่อว่า..พระเจ้าจะต้องปกปักษ์คุ้มครองทั้งหมดให้พ้นภัยและกลับคืนมาสู่อ้อมอกด้วยสวัสดิภาพ

จนฉันเลิกพูดถึงเรื่องนี้ไปนานแล้ว

มา ครั้งนี้ที่จะต้องมาประจันหน้ากับเคาน์เตสส์ ..ที่ฉันไม่มีความปรารถนาที่จะต้องมาสร้างความผิดหวังให้เธอด้วยความจริงที่ ว่า..ฉันไม่มีข่าว..และไม่เคยได้พบกับมิชา..
และที่สำคัญ...ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะ"สมาคม" กับแม่หม้ายสองสามหนอย่างเธอที่เผอิญมาเกี่ยวดองกับญาติของฉันเท่าไหร่นัก

ความคิดได้มาสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงของทหารนำสาสน์ ที่ถามขึ้นมาว่า

"ฝ่าพระบาทจะเสด็จไปตามที่นัดหมายหรือไม่พะยะค่ะ?"

แล้วฉันจะไปปฏิเสธอย่างไรได้..

ใน ที่สุด..ฉันก็พาตัวมานั่วเอ้อระเหยอยู่ที่ระเบียงของโรงแรม..ด้านวิวทะเล แห่ง Marmora ที่ฉันปล่อยใจให้ล่องตามไปกับเรือสินค้าของกรีก ที่บ่ายหน้าไปทางรัสเซีย
หูแว่วได้ยินเสียงเคาะกระจกขึ้นมาเป็นจังหวะเบาๆ..
ฉันหันไปตามเสียง..แต่ก็ไม่เห็นอะไร..ต่อมาจึงจับได้ว่าเป็นเสียงมาจากด้านบน จึงเงยหน้ามองไปตามนั้น..
พบว่า..หน้าต่างของห้องหนึ่งบนชั้นสอง..มีมือไหวๆอยู่..จากนั้นก็มีการเคาะขึ้นมาเป็นจังหวะให้รู้ว่า..เธออยู่ในห้องหมายเลขสิบหก

ฉันเดินก้มหน้างุดๆขึ้นไปตามนั้น..



ที่หน้าประตูของห้องพักหมายเลขสิบหก..มีหญิงวัยกลางคนได้มายืนรอพบและเชื้อเชิญให้เข้าไปในห้องรับแขก..

และยายนี่ก็ยืนเซ่อจ้องหน้าฉันอยู่อยู่อย่างนั้น..ไม่ไปตามนายมาพบต้องตามธรรมเนียมของการสมาคม..ฉันทนให้ยายนี่มาจ้องหน้าต่อไปไม่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว..
โทสะบังเกิด..พร้อมทั้งระเบิดคำพูดออกไปว่า
"นี่เธอ..เธอเป็นใครฉันไม่รู้นะ...แต่..อย่ามาเล่นตลก..ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่น และกำลังจะกลับในบัดเดี๋ยวนี้..หรือเธอสงสัยว่าเครานี่เป็นของปลอม..จะลองดึงดูไหมล่ะ?"

"อ้า..คราวนี้หม่อมฉันก็ทราบแล้วว่า..นี่คือ แกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์พระองค์จริง.."

เสียงนั้นลอยออกมาจากห้องข้างๆพร้อมกับตัวของเคาน์เตสส์..ที่แอบซุ่มดูอยู่
ท่าทางเธอตื่นเต้นที่ได้พบฉันจนปิดไม่มิด..พรอมทั้งกล่าวคำขออภัยในการต้อนรับแบบแปลกๆ เพราะความที่หล่อนกลัว..บอลเชวิค

ฉันมองผู้หญิงคนนี้ด้วยความรู้สึกแปลกๆ..หญิงร่างแบบบาง..ใบหน้ามีรอยแผลเป็นเล็กสองสามรอย..ที่หน้าผากมีย่นของความเครียด..ดวงตามีแต่ความเศร้า..ผมสีน้ำตาลเข้มมีเส้นผมขาวแซมจนเห็นชัด..นี่ละหรือ ผุ้หญิงที่สามารถทำให้"มิชา"
หลงไหลถึงขนาดยอมสละฐานันดร..สละทรัพย์สินเพื่อที่จะร่วมหอลงโรงกับเธอ

ตาของเธอหลุบต่ำมามองที่มือของฉัน โดยหวังที่จะเห็นว่ามีจดหมาย..และกล่าวขึ้นว่า
"หม่อมฉันมีคำถามมากมายที่จะถามฝ่าพระบาท"

"ฉันก็อยากจะตอบตามเท่าที่ฉันรู้"

"ฝ่าพระบาททรงได้ข่าวจากมิชาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่เพคะ?"

"ปีกว่ามาแล้วมัง.."

"จากนั้นมา..มิชาติดต่อฝ่าพระบาทไม่ได้เลยหรือเพคะ?"

"ก็ จะได้อย่างไรกัน..เธอก็รู้ดีนี่..ว่าเขาถูกกักตัวอยู่ทาง เหนือ(ไซบีเรีย)....ส่วนกลุ่มเรา หมายถึงครอบครัวฉันที่มีซารินาพระมารดา เซเนียและลูกๆ แกรนด์ ดัชเชส ออลก้า ปีเตอร์ และ นิโคลาชา รวมกันอยู่ทางใต้ (ยูเครน)"

"แต่..ทางพระองค์ไม่ได้ส่งทหารที่จงรักภักดีไปหาข่าวจากพวกเขาเลยหรือเพคะ?"

นึก แล้วก็สังเวชกับคำว่า..ส่งทหารที่จงรักภักดี...ไปหาข่าวเนี่ยนะ..มันก็เข้า ทางบอลเชวิคพอดี..ที่กำลังจะหาเรื่องฆ่าหมู่พวกเราอยู่แล้ว..ใครจะกล้า..
และเธอกล่าวต่อขึ้นว่า..
"ฝ่าพระบาทกำลังจะบอกหม่อมฉันว่า..ไม่มีจดหมายจากมิชามากับองค์หรือเพคะ?"

"ไม่มี..ฉันเองก็ไม่รู้อะไรมากไปกว่าการอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์โซเวียตนั่นแหละ"

"ทรงตรัสแปลกๆ..น่าประหลาดใจนะเพคะ.." สุ้มเสียงของหล่อนมีแววโทสะ
"ที่ ทรงเชื่อข่าวจากไอ้พวกสาะเลวนั่น..เพราะหม่อมฉันไม่เชื่อว่า..ใครมันจะกล้า แตะต้องมิชา..ผู้แสนดีที่ไม่เคยโลภโมโทสัน..ไม่ต้องการแม้กระทั่งบัลลังก์ ของซาร์
เพราะถ้าเขาหวังในลาภยศ..เขาก็คงไม่มาอภิเษกกับหม่อมฉัน.."

แล้ว หล่อนก็พล่ามต่อไปถึงเมื่อตอน วันที่ สิบเจ็ด มีนาคม 1917 ที่ซาร์ได้ประกาศสละราชสมบัติและยกบัลลังก์ให้กับพระอนุชา แกรนด์ ดุ๊ก มิเกล..หรือ มิชา..
หากแต่..พระอนุชา..ปฏิเสธในสิทธิอันนี้..เพราะเนื่องจากทรงเชื่อว่าประชาชนที่กำลังลุกฮือเพราะกระแสบอลเชวิคนั้น..ไม่ยอมมีซารินาที่เป็นแม่หม้ายสองหนซ้อนมาก่อนอย่างแน่ๆ..
หรือ..อีกที..มิชาก็คงจะรู้ดีว่า..ประชาชนไม่ได้ต้องการมี"ซาร์" อีกต่อไป...ก็เป็นได้




ทั้งสองพระองค์ทรงเหมือนกันมาก ยิ่งกว่านี้ตอนสมัยหนุ่มๆนะคะ ในภาพข้างบนเริ่มไมค่อยเหมือนแล้วเพราะคิงยอร์จเจริญพระวรกายไป หน่อย..
เรื่องหนวด..คงเป็นสมัยนิยมในยามนั้น...แต่..ของซาร์..มีเหตุผล ค่ะ..เพราะว่าพระทนต์เสียแทบทั้งปาก เพราะบุหรี่ อีกทั้งการทันต์แพทย์ในรัสเซียยังล้าหลัง..จึงต้องใช้หนวดกลบปากเอาไว้
ส่วนซารินานั้นได้มาทำการครอบฟันด้วย(เทคนิคใหม่สุดในยามนั้น) ที่ออสเตรีย
หลักฐาน..คือ การค้่นพบชิ้นส่วนของโลหะที่ครอบฟันที่กรามในซากพระศพตอนที่มีการเก็บรวบรวมโครงกระดูกและทำการแยกว่าใครเป็นใคร......วิวันดา


ภาพ ซาร์  

    
 

ภาพ King George V       

    
 
 

ต่อไป..คงจะต้องมีการเอ่ยถึงบุคคลคนนี้บ่อยพอสมควร..ท่านคือ
Grand Duchess Xenia (พระชายาของท่านผู้เขียน)...ผู้ซึ่งเป็นเลือดขัตติยาโดยแท้ เพราะ
เป็นพระธิดาของซาร์เอล็กซานเดอร์กับซารินามาเรีย (หรือ เจ้าหญิงพระธิดาแห่งกษัตริย์เดนมาร์ก)

และเป็นพระขนิษฐาของซาร์นิโคลาส.. 



ยัยเคาน์เตสส์เธอพูดพล่ามจนไม่จังหวะเว้นช่องให้ฉันได้มีโอกาสพูดบ้างเลย..ทั้งๆที่..
ฉันอยากจะระเบิดออกไปบ้างเหมือนกันว่า..

"ก็ แล้วทำไม..มิชาของเธอถึงได้ปฏิเสธความรับผิดชอบนั้นเล่า..ทำไมมิชาของเธอถึง ได้ปล่อยให้ประเทศลอยเท้งเต้งขาดประมุขไปชั่วขณะ..มิชาของเธอมีโอกาสแล้วที่ จะแสดงความเป็นผู้นำ..นำประชาชนที่ยังลังเลที่ยังมีอยู่เป็นส่วนใหญ่ในรัส เซีย นำทหารที่ยังมีความจงรักภักดีลุกขึ้นมาสู้เพื่อราชบัลลังก์...ทั้งๆที่นั่น คือหน้าที่ของการสืบสันตติวงค์โดยกำเนิด..แต่..มิชาของเธอก็ปฏิเสธ..หมายจะ หยุดพ้นตัวเองจากภาระทั้งปวง..เพราะเห็นแก่ความสุขส่วนตัว..งั้นซิ?"

แต่ฉันก็ไม่ได้เอ่ยเอื้อนวาจานั้นออกไป เพราะอย่างไรเสีย..ฉันก็คือ "โรมานอฟ" คนหนึ่ง..

แต่สีหน้ากระอักกระอ่วนของฉันนั้น..มันคงปิดไม่มิด..
หล่อนจึงพอได้สติ..กล่าวขึ้นมาว่า

"ฝ่าพระบาทคงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง..หม่อมฉันจะไม่รบกวนเวลาของพระองค์มากไปกว่านี้แล้วเพคะ"

ฉันรีบดีดตัวผึง..ลุกขึ้น..คว้าหมวกขึ้นสวม..กล่าวคำร่ำลาไปตามมารยาทแทบไม่ทัน..
จะว่าเห็นใจ..ก็..พอประมาณอยู่กับผู้หญิงที่มีจิตใจว้าวุ่นอย่างนี้..แต่..
ฉันอยากอยู่คนเดียวเหลือเกินในตอนนี้..

กลับไปถึงเคบินที่พักได้..ฉันก็คว้าบรั่นดีมารินดื่มเข้าไปอึกใหญ่ๆ ก่อนที่จะเอนตัวลงบนเตียงแคบๆ...
ฉัน พยายามสงบสติอารมณ์.. พยายามสกดความฟุ้งซ่าน..ท่องคำสวดไปมาแบบผิดๆถูกๆ..ทั้งๆที่ท่องมาตั้งแต่ เริ่มจำความได้ ภาพแต่หนหลังครั้งสมัยเด็กๆที่เคยตามเสด็จพระบิดาออกไปส่งทัพไป รบ...ภาพทหารเดินเรียงแถวมารับพรก่อนออกศึก..นั้น..
มันวนเวียนอยู่ในสมอง..

บรั่นดีอึกนั้น..มันไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ฉันเคลิ้มขึ้นมาบ้างเลย..ให้ตายซิ


สามสิบหกชั่วโมงจากนั้น..ฉันก็ได้มายืนที่นี่..บนรถไฟ สาย Paris Express ที่ชานชาลาเมือง Taranto, Italy เพื่อรอการเคลื่อนขบวนในไม่กี่นาทีข้างหน้า..

ชายวณิพกกลางคนคนหนึ่ง..มาหยุดยืนและแหงนคอมองมาที่ฉัน..ก่อนที่เขาจะเปล่งเสียง
โหยหวนร้องเพลง.."Oh Sole Mio"*** แบบผิดคีย์ให้ฉันฟังแบบตั้งอกตั้งใจ..
และเหมือนกับเป็นการเตือนว่า..ถ้าไม่รีบโยนเงินให้แล้วละก้อ..รับรองว่าจะ"หูชา"ไปอีกหลายเพลง..

ฉันรีบโยนเหรียญให้..แต่ไม่วายที่จะโต้ไปเป็นภาษาอิตาเลี่ยนว่า..
"ถ้าคนที่นี่ยังมีแก่ใจร้องเพลง Oh Sole Mio ได้..ก็นับว่าที่นี่ยังไม่โชคร้ายจนเกินไปนัก"

วณิพกคนนั้น..ยิ้มตอบกลับมาแบบกว้างขวาง รีบถอยออกไปสองสามก้าวเพื่อคว้าเงินไว้อย่างว่องไว ชำนาญ..ก่อนที่จะบอกว่า..
"เจ้า นายพูดถูกขอรับ..ร้อยถูกพันถูก..ชีวิตในอิตาลีนี้..ช่างสวยงามนัก ขอแค่มีไวน์ติดก้นขวดไว้กลั้วคอ..มีหญิงสวยๆให้มอง..มีเงินนิดๆ หน่อยติดกระเป๋า...โอย..สุขเหลือหลายแหละขอรับ..ส่วนพวกที่ตายไป..เราก็สวด ให้พระเจ้าคอยดูแลพวกเขาบนสวรรค์"

จากนั้น...เสียงหวูดก็ดังขึ้น..รถไฟเริ่มเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ...


***เพลง Oh Sole Mio ค่ะ...เชื่อว่าทุกคนคงรู้จักทำนองดีอยู่แล้ว..
ความหมายของมันเป็นภาษาอังกฤษ..คือ..Oh My Sun      ( <iframe width="420" height="315" src="http://www.youtube.com/embed/d_mLFHLSULw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe> )


                   What a beautiful thing is a sunny day,
                   The air is serene after a storm
                   The air's so fresh that it already feels like a celebration
                   What a beautiful thing is a sunny day

                   But another sun,
                   that's brighter still
                   It's my own sun
                   that's upon your face!
                   The sun, my own sun
                   It's upon your face!
                   It's upon your face!

                   When night comes and the sun has gone down,
                   I almost start feeling melancholy;
                   I'd stay below your window
                   When night comes and the sun has gone down.

                   But another sun,
                   that's brighter still
                   It's my own sun
                   that's upon your face!
                   The sun, my own sun
                   It's upon your face!
                   It's upon your face!



ตลอดสองข้างทางฝั่งรถไฟ..มันช่างสวยงามนัก..สถานีย่อยๆ เป็นสีแดง..สีเหลืองส้มของไร่องุ่นแซมไปกับ..สีเขียวของท้องทุ่งและ ลำธาร...ภายใต้แสงแดดอ่อนๆของอาทิตย์ที่ใกล้อัสดง...ฉันรู้สึกชื่มชมกับความ งามนี้เพียงแค่เสี้ยววินาที..
จากนั้น..ความหม่นหมองในอารมณ์ก็กลับเข้ามาแทนที่อย่างห้ามไม่อยู่..

ความรู้สึกของความที่เป็นคนที่สิ้นแผ่นดินนี้..มันเป็นอะไรที่คงอธิบายให้ใครฟังได้ยาก.
เพราะจะมีสักกี่คนเล่า..ที่อยู่ในสภาพเดียวกับฉัน..กับเรา..
แต่ในความเป็นมนุษย์..จิตใจย่อมมองหาช่องทางออก.. ช่องทางสมานกำลังใจของมันเองในที่สุด..

อย่างฉัน..พอนึกปลอบใจตัวเองขึ้นมาได้..ว่า..นับจากนี้ไป..ชีวิตฉันได้เป็นอิสระอย่างที่เคยโหยหามานาน..ก็ดีเหมือนกัน..
พอคิดได้..ฉันรู้สึกอยากจะวิ่งไปในโบกี้อื่นๆ..หาเพื่อนสนทนา..หาคนมาฟังฉันคุยว่า
ห้าสิบกว่าปีมานี้..ฉันได้ผ่านพบอะไรมาบ้่าง...
และจะบอกพวกเขาว่า..มันจบสิ้นไปแล้ว..จากนี้ไปฉันเป็นอิสระแล้ว..ฉันจะใช้ชีวิต
ไปวันๆเหมืิอนอย่างพวกเขา..โดยที่ได้ต้องแบกภาระของความเป็นแกรนด์ ดุ๊กไว้บนบ่าอย่างแต่ก่อน..

ฉันรีบเปิดประตูผลัวะ..ออกไป...หมายจะทำตามที่ตั้งใจ..แต่สายตาก็ประสบกับ
ใบส่งโทรเลขว่างๆที่วางไว้ให้ใช้บริการเรียงเป็นตั้งอยู่บนช่องตรงหน้าประตู..
เลยได้คิดขึ้นมาได้..ว่า..ก่อนที่จะหลุดพ้นจาก"แอก" ได้อย่างสนิทนั้น..
ฉันควรที่จะส่งข่าวคราวไปถึงเหล่าประยูรญาติในนานาประเทศก่อน..



ก่อนอื่น..ต้องโทรเลขไปแก้ตัวกับพระญาติและเพื่อนฝูงในโรม..ว่า..ไม่สามารถหยุดแวะเยี่ยมได้ เพราะต้องรีบมุ่งหน้าไปปารีสด้วยธุระสำคัญ

ทั้ง นี้ก็เพราะฉันเกรงเหลือเกินว่า..เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงนั้น..คงจะไม่พออธิบาย เรื่องราวทั้งหมดให้กับคิง Victor Emmanuel III ได้เกี่ยวกับนิกกี้และครอบครัว..
ไหนจะพระราชินี Elena (of Montenegro) ผู้ซึ่งเป็นพี่น้องคลานตามกันมากับสองศรี Stansa** (พระชายาของนิโคลาชา) และ Melitza** (พระชายาของปีเตอร์ ) ซึ่งจะต้องซักถามถึงอย่างแน่นอน..

**สองคู่นั้น..คือ สองคู่พี่น้องทั้ง บ่าว-สาว
แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลาชา เป็นพระเชษฐาของ แกรนด์ ดุ๊ก ปีเตอร์..
และทั้งสี่คนนั้น..เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่อยู่ในคณะของซารินาพระมารดา และ เซเีนีย..
ที่ไครเมีย..
เพื่อรอรับการไปรับตัวจากเรือรบหลวงจากอังกฤษ

ฉันบอกกับตัวเองอย่างแน่วแน่ว่า..
"เข้มแข็งเข้าไว้..ซานโดร..ตอนนี้เจ้าจงลืมอดีตให้หมด..จงอยู่แบบสามัญชน..
จากนี้ไป..การนั่งร่วมโต๊ะเสวย..ไม่มีอีกแล้ว...ถ้าจะกินก็ต้องหัดนั่งตามร้านอาหาร
หมายถึงว่า..ถ้ามีปัญญาจะกิน.."

โทรเลขทั้งหมด..ฉันเขียนมันที่โต๊ะอาหารในขบวนรถไฟ เขียนไปก็ผิวปากไปเป็นเพลง
ฝรั่งเศสเก่าๆ..ทำเอาสายตาทุกคู่ในขบวนนั้น..หันมาจ้องที่ฉันเป็นจุดเดียวกัน
เขาคงคิดกันละนะว่า..
"ไอ้เจ้าแกรนด์ ดุ๊กคนนี้มันคงสูญเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว..รวมทั้งสติสตังก็พลอยไปด้วย.."



ฉันเคยพบกับพวกพนักงานระดับท๊อปตามโรงแรมต่างๆ..และไม่มีคนไหนเลยที่ในชีวิต
"ไม่เคย"ผ่านการทำงานระดับล่างๆจากโรงแรม Ritz ในกรุงปารีส***..
ดังนั้น..ฉันจึงไม่ประหลาดใจที่เห็นผู้จัดการขบวนรีบเดินเข้ามาทำหน้าตาตื่น..
พร้อมขอโทษขอโพย...ว่า..
"กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าพระบาทจะเสด็จที่นี่..นึกว่าจะเสวยในห้อง..จึงได้เตรียมพระกระยาหารฝรั่งเศสจานโปรดไว้ให้ ที่มี..."

"มี..มีอะไร..ก็ไม่เอาทั้งนั้น..ฉันอยากกินสปาเก๊ตตี้..และจะนั่งกินตรงนี้..ไปจัดมาตามนั้น"

เสียงหนึ่งลอยมาจากโต๊ะข้างๆ..ว่า..

"น่าน..ต้องอย่างง้่าน..พวกเราทหารเรือเก่า ต้องไม่เพริิดไปกับไอ้เมนูยากๆของฝรั่งเศส.."

ฉันรีบหันขวับไปตามเสียง...และพบกับชายอเมริกันคนหนึ่งที่หน้าคุ้นๆ..พอนึกขึ้นได้
ก็กระโจนเข้าหากัน ทักทายกันเอะอะ..ด้วยความดีใจ
เขาเป็นผู้การเรือที่เคยพบกันและทำงานร่วมกันมานานหลายปี เมื่อครั้งที่ไปฝึกภาค
ที่ตะวันออกไกล
เราคุยกันลั่นเป็นภาษาอังกฤษอย่างไม่อายใครๆ (ถ้ามีคนเข้าใจว่าเรากำลังคุยกันเรื่องอะไร)..
ความ หลังเก่าๆ..สมัยไปเมาหัวราน้ำในฐานทัพที่เซี่ยงไฮ้ หรือ ตอนที่ไป"คั่ว" ผู้หญิงคนเดียวกันที่ฮ่องกง หรือ..ไปเละเทะที่ ซาน ฟรานซิสโก..หรือ วอชิงตัน..นิวพอร์ต..
แวนคูเว่อร์..จนถึงซิดนีย์..
ถูก ขุดขึ้นมา..สร้างความหรรษาให้แก่กัน..รวมไปถึงไวน์กิอานติที่หมดไปสี่ ขวด..ที่มาส่วนมาช่วยในความครื้นเครงในการรื้อฟื้นความหลังครั้งกระนั้น..


***อธิบายเพิ่มถึงข้อความค่ะ..
ว่า..พนักงานในระดับโรงแรมห้าหกดาวอย่าง The Ritz นั้น..ต้องจำจริยวัตรของ"แขกสำคัญ"ได้หมดทุกคน..และในทุกเรื่อง..
อย่าง ผู้จัดการขบวนคนนั้น..ที่รีบมาเสนอเมนูที่เคยเป็นของโปรดของท่านแกรนด์ ดุ๊ก เพราะเขาจำได้แม่น (ทั้งๆที่ไม่ได้ทำงานที่เดอะริทซ์ แล้วก็ตาม..นี่คือคุณสมบัติที่ต้องมีเป็นพิเศษของคนโรงแรม)
เพียงแ่ต่..เขาไม่ทราบว่า..ท่านไม่ได้คิดที่จะอยู่ในสภาพของแกรนด์ ดุ๊ก..อีกแล้ว..
ถึงได้สั่งแค่สปาเก๊ตตี้..ซึ่งถือว่าเป็นอาหารจานธรรมดาระดับบ้านๆมาก..ประมาณว่า
ข้าวกระเพราไก่ของเรากระมัง.....วิวันดา



เสียดายจริง..ที่เขาต้องลงที่สถานีที่โรม..ไม่ได้นั่งยาวไปถึงปารีสด้วยกัน..
แต่ก็สัญญากันไว้ว่าจะไปเจอกันที่ปารีสในอาทิตย์หน้า ก่อนที่จะลาจาก..เขายัดสิ่งหนึ่งหนักๆมาในกระเป๋าเสื้อโค๊ตของฉัน..
"อะไรเนี่ย?" ฉันรีบถาม..

"ไม่มีอะไรหรอก..แค่ให้ท่านเก็บเอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เพราะผมทราบมาว่าในท้องถนนกรุงปารีสเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยปลอดภัย เพราะมันเกลื่อนไปด้วยพวกขยะสงคราม.."
แล้วเขาก็หันหลังเดินออกไปอย่างไม่ฟังเสียง..

ฉันรีบเอา "ของใช้ในยามจำเป็น" นั่นขึ้นมาดู...มันคือ ปืนพก A. 45 Colt
อา..มันช่างเป็นของขวัญที่เหมาะสมระหว่างผู้ให้และผู้รับจากที่เป็นชายชาตรีชาติทหาร
เสียจริง..


และนี่คือครั้งแรกในชีวิต..ที่ฉันมาถึงปารีส....สถานี Gare de Lyon
โดย"ปราศจาก"คณะ ทูต จากสถานทูตรัสเซีย และ เจ้าหน้าที่จากการต่างประเทศของฝรั่งเศสมาคอยต้อนรับเข้าห้องรับรองพิเศษ และการอำนวยความสะดวกอื่นๆอย่างที่เคยเป็นมา

"จะขึ้นแท๊กซี่..หรือ รถซับเวย์" เสียงถามขึ้นจากพนักงานขนกระเป๋าในเสื้อยูนิฟอร์มสีฟ้า

ก็แท๊กซี่...ที่ฉันตกลงใจเพราะสภาพของปารีสที่แออัดไปด้วยยวดยาน ผู้คนที่มีหน้าตา
เคร่งเครียดนั้น..มันน่าไว้ใจเสียเมื่อไหร่..
ฉันคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย.. ตอบอะไรโชเฟ่อร์ไปก็ไม่รู้ เพราะสายตามองไปยังสองข้างถนนอย่างลอยเลื่อน..
จนรถมาเบรคเอี๊ยดจนหัวแทบขมำ..ที่สถานที่แห่งหนึ่ง..
"อะไรกัน..ที่ไหนเนี่ย..?"
"อ้าว..ก็เมื่อกี้บอกให้มาส่งที่นี่ไง..โรงแรม เดอะ ริทซ์ ไง"

ฉันก็เงยหน้าไปมอง..เออ..จริงนะ โรงแรม เดอะ ริทซ์..
คิดแล้วก็ประหลาดใจอยู่ครามครันในโชคชะตา..เมื่อห้าวันก่อน..ฉันยังนั่งอยู่ในคฤหาสน์ของฉันที่ไครเมีย..ในสภาพที่เรียกว่าถูกควบคุมตัว..ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า..ชั่วโมงข้างหน้าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่..ไม่รู้ว่าจะมีโทรเลขสั่งประหารมาถึงเมื่อไหร่..

แต่..ตอนนี้..ฉันมาถึงที่หน้าโรงแรมหรู..เดอะ ริทซ์
ฉันมุดตัวออกจากรถจนแทบจะชนกับสุภาพสตรีนางหนึ่งที่บนฟุตบาท..
เสียงหล่อนเอ็ดอึงด้วยความฉุนเฉียว...
"ตาบอดหรือไง..คนยืนอยู่นี่.."

พอฉันเห็นหน้าเธอ...ฉันก็เอ่ยขึ้นอย่างอัตโนมัติทันทีว่า..
"ก็เพราะความงามของเธอมันทำให้ฉันตาบอดไปน่ะซิ..ว่าไงล่ะ..มาร์ธา..?"
เพราะหล่อนคือ..Martha Letellier สาวคนดังที่เกาะกลุ่มอยู่ในสังคมอันเป็นที่รู้จักกันดี
หล่อนหันมามองฉันอย่างเต็มตา..ทันใดนั้น..สีหน้าออกซีดขาวขึ้นมาทันควัน
ท่าทางอ่อนระทวยรวมกับจะเป็นลมล้มลงไปตรงนั้น..
ฉันรีบคว้าตัวหล่อน...ตะโกนเอะอะเรียกพนักงานให้หาน้ำมาด่วน..

"มาร์ธา..เป็นอะไรไป..เธอไม่สบายอยู่หรือเปล่าเนี่ย?"

มาร์ธา..รีบผลักไม้้ผลักมือฉันออกเป็นพัลวัน..ปากก็ว่า
"ไม่จริง..ไม่จริง..นี่มันเป็นเรื่องไม่จริง..นายมีหน้าตาที่เหมือนกับแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ เสียงก็เหมือน แต่..นายไม่ใช่ท่าน...มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ"

"อ้าว..ทำไมล่ะ.." ทีนี้ฉันละ..ที่เป็นฝ่ายงง..

"นาย เป็นพวกต้มตุ๋น..ฉันขอบอกนายซะก่อนเลยนะ..ว่าเกมส์ที่นายกำลังเล่นนี้มัน เสี่ยงมาก เพราะทุกคนในปารีสต่างก็รู้ว่าท่านแกรนด์ ดุ๊ก ได้ถูกพวกบอลเชวิคฆ่าตายไปหลายเดือนแล้ว..ฉันยังไปร่วมสวดทำพิธีให้ท่านใน โบสถ์เลย"

เสียงของหล่อนสั่นและดังลั่น..ใครที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มเข้ามามุงดูเรา..และร่วมรับฟัง..
สถานะ การณ์นั้นช่างน่าอับอายเสียจริง..เพราะขนาดหล่อนที่เป็นเพื่อนกับฉันมาแท้ๆ ยังไม่เชื่อว่าเป็นฉันจริง..แล้วจะไปอธิบายให้คนแปลกหน้าฟังได้อย่างไร..

"แล้วพาสปอร์ตจากศูนย์บัญชาการกองทัพสัมพันธมิตรจากไครเมีย..จะยืนยันความเป็นตัวฉันได้ไหม..มาร์ธา?"

"ได้ซิ..แต่ฉันเชื่อว่านายไม่มีมันแน่ๆ.."

"เอางี้..ถ้าจะคุยเรื่องนี้ต่อ..ขอไปนั่งในที่เหมาะๆกว่านี้ได้ไหม?"

"ด๊าย..แต่ฉันบอกนายก่อนนะ..ว่า..ยังไงฉันก็เชื่อว่านายเป็นพวกต้มตุ๋น"

แล้วเราก็มานั่งกันที่ห้องรับแขกบริเวณต้อนรับ..หล่อนคลี่เอกสารและอ่านอย่างละเอียด
ในทุกๆแผ่น..ตั้งแต่พาสฟอร์ต..วีซ่าเข้าฝรั่งเศส...สมุดจดที่อยู่ของเหล่าพระประยูรญาติ
หลังจาก..การตรวจสอบสิ้นสุดลง..มาร์ธาก็ปล่อยโฮ..ฟูมฟายออกมาเหมือนเด็กๆ...



น้ำ..ถูกเรียกมาเสริฟอีกครั้ง..


พอคลายสะอื้น..หล่อนควักผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยขึ้นมาเช็ดน้ำตาป้อยๆ..กล่าวว่า

"หม่อมฉันไม่รู้ว่าจะขอโทษฝ่าพระบาทอย่างไร..ในความโง่เขลาหยาบช้า..แต่ทรงโปรด
เข้าพระทัยด้วยนะเพคะว่า..ใครๆก็ต้องรู้สึกเหมือนหม่อมฉันเพราะข่าวที่ว่าทรงสิ้นพระชนม์ไปหลายเดือนแล้ว"

"แล้วที่พิธีสวดส่งวิญญาณให้ฉันน่ะ..เป็นไง..สวดครบบทไหม..?"

"เต็มบทเลยเพคะ..มีการสวดบทภาษารัสเชี่ยนด้วย เพื่อนๆของฝ่าพระบาทมากันทุกคนเลย พวกเราต่างรำลึกถึง..พูดถึงแต่ฝ่าพระบาทกันทั้งวัน..แหม..คงทรงเห็นเป็น เรื่องขันละซิ.."

"ไม่เลยนะ..มาร์ธา..ฉันขอขอบใจและดีใจด้วยซ้ำที่พวกเธอที่ยังคิดถึงและมีความปรารถนาดีให้กับฉัน..ว่าแต่เขาสวดอะไรกันมั่งล่ะ?"

ว่าแล้ว..เราสองคนก็ระเบิดหัวเราะด้วยความขำขันพร้อมกันทั้งคู่..และจากที่ซักไปมา
ข่าวลือนั้น..มาจากชื่อของพวกเราที่คล้ายกันจนเหล่านักข่าวจำเป็นทั้งหลายจำมาแบบสับสน
เช่น..มิชา..คือ.. Michael Alexandrovich...
ส่วนฉัน..ซานโดร...Alexander Michailovich

ดังนั้น..ข่าวจึงออกมาผิดๆ..

ผู้จัดการโรงแรม..เข้ามาเสริมว่า..
"ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่..บทสวดนั้นก็สัมฤทธิ์ผลพะยะค่ะ เพราะ..อย่างน้อยฝ่าพระบาทก็ทรงปลอดภัย..และแข็งแรงดี"

ฉันเดินขึ้นไปยังบนห้องพัก...ในความรู้สึกที่เบาโหวงจนเหมือนกับว่าเป็นคนที่เกิดใหม่ทีเดียว..



ระหว่างที่พักอยู่ที่นี่..ฉัีนต้องมานั่งดูสภาพของโรงแรมหรูที่คลาคร่ำไปด้วยเจ้าหน้าที่จากนานาชาติ (เหล่าสัมพันธมิตร)
ห้องโถงโรงแรมชั้นล่างมีดนตรีเล่นทั้งวัน ทั้งคืน หลายวงสลับกัน ทั้งจากอเมริกัน ฝรั่งเศส
และชาติอื่นๆ..เพลงที่เล่นก็มักจะเอ่ยถึง "แม่" ในเชิงรำลึกถึงบ่อยๆ..แม่ที่รอคอยการกลับของทหารที่จากบ้านจากเมืองมา..

พูดถึง"แม่"...ฉันเองก็มีธุระที่ได้รับปากไว้กับ แม่ยาย (ซารินาพระมารดา) มาว่า
ต้องไปถวายรายงานข่าวกับพระภคนีของเธอ..Queen Alexandra แห่งบริเตน
ให้ทรงทราบ..และจะไปเยี่ยมเยียนพี่ชายของฉันด้วย..นั่นคือ Michael Michailovich
ที่ต้องพลัดบ้านพลัดเมืองไปอยู่ในอังกฤษตั้งแต่ ปี 1893 เพราะไปแต่งงานกับสามัญชน
ไหนจะต้องแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนฝูงเก่าๆอีก..
แต่ อุปสรรคที่สำคัญ..คือ เสื้อผ้าที่จะต้องใช้สำหรับ"เข้าเฝ้า"...เพราะฉันไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา สำหรับการณ์สำคัญเช่นนี้..ที่เอามาก็มีแค่ยูนิฟอร์มสีกากีที่ใส่อยู่ประจำใน ยามที่อยู่รัสเซีย..
เสื้อผ้าหรูๆนั้น..ฉันเก็บมันไว้ที่อพาร์ตเม้นท์ในปารีส..ที่เคยเช่าทิ้งไว้หลายปี
แต่ เมื่อก่อนที่สงครามจะเกิด..ฉันได้สั่งให้เลขาฯส่วนตัวจดหมายมายกเลิกการ เช่า..แต่ขอให้เจ้าของตึกได้เก็บรักษาข้าวของที่อยู่ในกล่อง และเฟอร์นิเจอร์อื่นๆเอาไว้ให้...
จนกว่าจะส่งคนมารับกลับไปรัสเซีย..(เวลานั้นไม่มาถึง..เพราะเกิดการปฏิวัติขึ้น..)

ซึ่ง ฉันคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร..เพราะ..ฉันเช่าอพาร์ตเม้นต์นี้มานานถึงสิบสี่ปี จ่ายค่าเช่าตรงเวลาและจ่ายเป็นปีล่วงหน้า..แต่..มาใช้พักผ่อนแค่ปีละ สองอาทิตย์..

แต่...ฉันไม่ได้สังหรณ์ใจเลยว่า..นี่คือครั้งแรก..ที่ฉันกำลังจะพบกับความผิดหวังอย่างไม่น่าเชื่อในปารีส..


ทันทีที่เจ้าของตึกเห็นหน้าฉัน..เขาอุทานด้วยความแปลกใจ..พร้อมกับเรียกเมียมาร่วมต้อนรับเสียงหลง..

หลัง จากที่ฉันได้ประเดิมด้วยการเป็นผู้เช่าที่แสนดีมาสิบสี่ปี..ต่อท้ายด้วยการ ถามถึงสมบัติที่ขอให้เก็บไว้ให้..พร้อมกับบอกถึงธุระที่ฉันจำเป็นต้องใช้ เพราะต้องเดินทางไปลอนดอน

เจ้าของตึก..เงียบไปครู่หนึ่ง..พร้อมกล่าวว่า..
"ฝ่าพระบาทต้องเข้าพระทัยว่า หม่อมฉันไม่ได้รับค่าเช่าจากพระองค์มาตั้งแต่เดือนมกราคม ปี 1914"

"ใช่..แต่ฉันได้จ่ายค่าเช่าไปจนถึง ธันวาคม 1915"

"จริงอยู่กระหม่อม..แต่ตอนนี้มันเป็นปี 1918 นะกระหม่อม"

"อ้าว..ก็ ฉันได้ให้เลขาส่งจดหมายมาบอกว่าขอพักการเช่า..และให้ช่วยเก็บของไว้ให้ เนื่องจากสถานะการณ์บ้านเมืองของฉันกำลังอยู่ในภาวะไม่สงบ"

"ไม่เคยได้รับเลยพะยะค่ะ..ฝ่าพระบาทมีสำเนาของการส่งเมล์ไหมพะยะค่ะ.."

"พูดเป็นเล่นไปน่ะ...แม้กระทั่งเอกสารที่สำคัญๆฉันไม่สามารถเอาอะไรติดตัวออกมาได้
เลย.."

"แหม..น่าเสียดาย..ถ้าฝ่าพระบาทมีเอกสารยืนยัน..กระหม่อมก็ยังพอช่วยเหลือได้
แต่ถ้าไม่มี..กระหม่อมก็ต้องขอเก็บค่าเช่าเต็มสามปีที่ค้างชำระ"

พอได้ยินดังนั้น..มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะสนทนากันต่อไป..ฉันลุกขึ้นยืนและบอกว่า
"ไม่เป็นไร..งั้นฉันจะกลับมาเคลียร์กับคุณหลังจากกลับมาจากลอนดอน..แต่ตอนนี้
ช่วยส่งแต่กระเป๋าเสื้อผ้าของฉันไปที่โรงแรม เดอะ ริทซ์ ในบ่ายวันนี้ก่อนได้ไหม?"

"เห็นจะไม่ได้หรอกพะยะค่ะ..จนกว่าฝ่าพระบาทจะจ่ายค่าเช่าทั้งหมดก่อน"


ฉัน กลับออกมาด้วยโทสะ..พร้อมกับความมึนงงในหนทางข้างหน้า..ว่าจะทำอย่างไรต่อ ไป..เพราะเงินที่ติดตัวมาเป็นสกุลของเงินมาร์ค และเงินคราวน์ ของออสเตรีย..ไม่รู้ว่าพอไปแลกแล้วจะมีค่าถึงค่าเช่าค้างชำระที่..เป็นจำนวน 124,580 ฟรังก์ (บวกดอกเบี้ยอีกหกเปอร์เซนต์) หรือเปล่า..
ฉันไม่กล้าแม้กระทั่งจะแวะไปถามที่ธนาคาร..เพราะกลัวที่จะได้ยินข่าวร้าย...
สู้เอาให้ผู้จัดการโรงแรมเก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า..

ฉัน เดินเล่นเรื่อยเปื่อยมาจาถึงถนน Champs-Elysées สมองคิดไปถึงเมื่อครั้งมีเงินอยู่มากมายมหาศาลอยู่ในมือ..หลายต่อหลาย ครั้งที่เพื่อนชาวอเมริกันได้มาชักชวน
ให้เอาเงินไปออมไว้ในต่างประเทศบ้าง..เช่น ลอนดอน นิวยอร์ค
เช่นนายทุนชาวอเมริกันคนหนึ่ง..ที่เราได้คุยกันครั้งสุดท้ายในปี 1915 ที่ฉันได้ให้ความแนะนำกับเขาไปถึงการลงทุนในรัสเซีย..
เขาถามฉันว่า.."ฝ่าบาทเอาเงินไปลงทุนที่ประเทศไหนบ้าง พะยะค่ะ?"
ฉันตอบว่า..ไม่มี..
เขามองฉันอย่างประหลาดใจแบบสุดๆ...
จนฉันอธิบายว่า.."ทำไม่ได้หรอก..ขืนข่าวรั่วออกไปว่าฉันเอาเงินออกไปละลายนอกประเทศ เดี๋ยวก็ยุ่งกันใหญ่"
เขา คนนั้น..ได้ใช้เวลาหลายชั่วโมง..อ้อนวอนให้ฉันเข้าร่วมลงทุนกับเขาที่บริษัท ในอเมริกาด้วยเงินแค่ไม่กี่แสนเหรียญ เพราะเขาบอกว่าสถานะการณ์ทางรัสเซียอาจไม่แน่นอน และ เงินลงทุนนั้นงอกเงยเป็นของเหล่าลูกๆของฉันเองในวันข้างหน้า..

แต่ฉันก็ตอบไปอย่างเด็ดเดี่ยวว่า..

"ไม่เป็นไรหรอก..ฉันพร้อมที่จะล่มไปกับรัสเซีย..ถ้ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ.."


และ นี่ไง..ยาม"ล่ม"ของมันมาถึงแล้ว....ที่ทำให้ฉันต้องมายืนกลางถนนชองส์ เอลิเช่ส์...พร้อมกับเย้ยหยันในโชคชะตาของตัวเองช่างอนาถาเสียจนไม่รู้จะไป หาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่ามหาโหดนั่นได้...



"เงินหลายสกุลๆแบบนี้..มันมักจะด้อยในค่าเสมอนะพะยะค่ะ "
เสียงผู้จัดการโรงแรมพูดไปพร้อมกับนำธนบัตรสกุลต่างๆของฉันมาเรียงไล่ไปตามจำนวน
ใหญ่เล็ก..พร้อมกับดินสอในมือที่ขยับเขียนไปตามอัตราแลกเปลี่ยนในแต่ละใบ..
ฉันยืนหายใจไม่ทั่วท้อง..รอคอยดูผลอันเป็นค่าของมันในที่สุด

หลังจากใช้เวลาร่วมชั่วโมงผ่านไป..ผลออกมา..ฉันมีเงินทั้งหมดเท่ากับ หนึ่งแสนห้าหมื่นฟรังก์..ซึ่งมันพอที่จะเอาไปจ่ายค่าเช่าที่ค้างอยู่และเงิน ติดตัวเหลือพอไปลอนดอน
ผู้จัดการโรงแรมพูดขึ้นมาด้วยความเสียดายอย่างจับใจว่า..
"แหม..ถ้า เป็นเมื่อห้าปีที่แล้ว..มันเป็นเงินหลายล้านฟรังก์เลยนะกระหม่อม..ถ้า ฝ่าพระบาทจะคอยสักหน่อย ยังไม่แลกตอนนี้..ก็จะไม่ขาดทุนขนาดนี้"

"คอยไม่ได้หรอก..เพราะอาจจะเป็นหลายๆเดือน มาถึงตอนนั้น..ฉันก็อาจจะมีการขยับขยายมีรายได้อย่างอื่นเข้ามาอีก.. อ้อ...ว่าแต่ว่ามีรถด่วนเข้าท่าเรือเพื่อไปลอนดอนตอนค่ำนี้หรือเปล่า?"

"มีพะยะค่ะ..แต่ฝ่าพระบาทมีเอกสารเรียบร้อยหรือยัง?"

"เอกสารอะไร?"

"พาสปอร์ต..กับ..วีซ่าเข้าอังกฤษ"

"ฉันต้องมีด้วยหรือ?"

ผจก...ยิ้ม..บอกว่า
"เดี๋ยว นี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนตอนปี 1914 แล้วพะยะค่ะ...อังกฤษเข้มงวดมากขึ้น..ถ้าจะเสด็จคืนนี้..กระหม่อมให้พนักงาน ไปจัดการให้ได้..ขอแค่พาสปอร์ตมาให้กระหม่อมเท่านั้น"

"ไม่เป็นไรหรอก..ฉันจะไปแวะที่นั่นเอง..จะได้ไปพบกับ Lord Derby (ท่านทูต) สหายของเราด้วย"

ระหว่าง ทางที่เดินไปที่สถานทูตอังกฤษ..ฉันคิดถึงแต่เรื่องที่จะสนทนาทางการเมืองกับ ท่านลอร์ด เดอร์บี้..เพราะเชื่ออย่างหมดใจว่า..ท่านต้องตื่นเต้นและยินดีที่จะช่วยรัสเซียในการเจรจาโน้มน้้าวกับกลุ่มในรัฐบาลคนอื่นๆ..

และเมื่อไปถึง..ฉันก็ไม่ผิดหวังจริงๆ..เพราะท่านลอร์ดเต็มไปด้วยวามกระตือรือล้น
ในการคิดหาช่องทางที่จะช่วยในการคลี่คลายปัญหาการเมืองของรัสเซีย เพียงแต่..
ท่านไม่มีอำนาจอะไรมากพอที่จะไปโต้แย้งกับกลุ่มในสภา..
ซึ่งฉันก็ไม่ได้หวังไกลไปถึงขนาดนั้น..เพียงแต่อยากจะเป็นตัวกลางในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

ท่านลอร์ดแย้งว่า..
"ข้อมูลที่ถูกต้อง..มันจะมีประโยชน์อะไร..ในเมื่อฝ่าพระบาทอยู่ในปารีส..ไม่ใช่อยู่ในลอนดอน"

"ก็เนี่ย..ฉันกำลังจะเดินทางไปอังกฤษคืนนี้ไง.."

"งั้นหรือ พะยะค่ะ?"

"งั้นซิ..เพราะฉันได้สัญญาไว้กับกับซารินาพระมารดา ว่าจะเข้าไปเข้าเฝ้าและถวาย
รายงานให้กับพระภคินีเธอ พระราชินี.."
สิ้นเสียงของฉัน..หน้าตาของท่านลอร์ดเริ่มมีริ้วรอยไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด
จนฉันต้องล้อเลียนไปว่า..
"ทำไมหรือ...แค่ฉันจะไปอังกฤษเพื่อเข้าเฝ้าเนี่ย..ท่านถึงกับอึ้งไปเลยหรือ?"

"มันไม่ใช่แค่นั้นซิพะยะค่ะ....มันแย่กว่านั้นอีก..เพราะมันทำให้กระหม่อมอึดอัดเลยทีเดียว"

"พูดเล่นน่า..มีอะไรหรือ"

"กระหม่อม ไม่รู้ว่าทูลฝ่าพระบาทอย่างไรดี..เพราะเมื่อเช้านี้เอง..กระหม่อมได้รับโทรเลขจากกระทรวงต่างประเทศ..ว่า..ไม่อนุญาตให้วีซ่าแก่พระองค์.."

ฉันมีความรู้สึกเหมือนค้อนขนาดใหญ่ทุบเข้าที่กลางกระหม่อม เหมือนกับมีคนมาบอกว่า ชื่อของฉันไม่ใช่ อเล็กซานเดอร์..
"มันจะเป็นไปได้อย่างไร..มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่างเป็นแน่.."
เพราะ..ฉันยังหวังว่า..นี่คือการเล่นตลกของท่านทูต..

"ไม่ ผิดหรอกกระหม่อม..มีคำสั่งลงมา..ไม่มีเหตุผลกำกับมาด้วย ไม่มีทางโต้แย้ง..กระหม่อมก็หนักใจเหลือเกินที่จะทูลให้ทรงทราบ..ขอโปรด ประทานความเห็นใจกระหม่อมด้วย"

"แต่..ฉันไม่เข้าใจ..ทำไมเขาถึงได้ ปฏิเสธให้ฉันเข้าไปในอังกฤษล่ะ..ในเมื่อฉัน..ก็ถือว่าเป็นพระญาติฝ่ายใน และไม่เท่านั้น..เรายังร่วมกรำศึกมาด้วยกันในตลอดหลายๆปีที่ผ่านมานี้..ฟัง นะ..ฉันไม่ได้มาอ้อนวอนขอความเห็นใจ..แต่จากในฐานะที่เอ่ยมา..อย่างน้อยเขา ก็ควรจะให้เหตุผลว่าเขา"รังเกียจ" หรือเป็นเพราะ ฉันมี"ความผิด"อะไร
และถ้าฉันมันชั่วช้านัก..แล้วพวกท่านจะส่งเรือไปช่วยเราทำไม..ไหนลองบอกหน่อยซิ"

"คืองี้ฝ่าพระบาท..กระหม่อมว่าทางกระทรวงต่างประเทศก็มีเหตุผลของเขา..ในฐานะ
ที่เราคุยกันแบบสุภาพบุรุษ..กระหม่อมไม่ทราบว่าฝ่าพระบาทได้ทอดพระเนตรข่าวในหนังสือพิมพ์วันนี้หรือยัง..?"

"ทำไม..หนังสือพิมพ์อังกฤษมีข่าวอะไรเกี่ยวกับการเดินทางของฉันงั้นหรือ?"

"ไม่ ได้เกี่ยวกับฝ่าพระบาทโดยตรงหรอกพะยะค่ะ..แต่เป็นเรื่องของการก่อหวอดที่ กำลังจะเริ่มสร้างความไม่สงบในอังกฤษ..และมันจะดูไม่ดีหากว่า..อังกฤษยังจะ อ้าแขนรับ
แกรนด์ ดุ๊กจากโรมานอฟเข้าไป..ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม..."

"ถ้าอย่างนั้น..ฉันก็คงต้องขอลาเกาะอังกฤษไปจากชีวิตตรงนี้เลย"

"ไม่แน่หรอกพะยะค่ะ..ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น อีกหน่อยก็เสด็จได้.."

"ไม่ละ..ฉันจะอยู่ที่ปารีสนี่แหละ..เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็สวยงามดี..

แล้ว..เราก็จากกันตรงนั้น...แค่นั้น..



เบรคหน่อยะคะ...มาถึงตรงนี้..อยากถามท่านผู้อ่านว่า "อึ้ง" กันบ้างไหม?

สำหรับดิฉัน..เล่นเอางงไปนานเลย..ว่าจะหาคำตอบได้ก็พักใหญ่ๆ..
และเห็นว่า..นี่คือการเมืองระดับมหาอำนาจ..ที่เขาเห็นเสถียรภาพและความสงบสุขในประเทศมาเหนือสิ่งใด..ญาติก็ส่วนญาติ...แต่เขาจะไม่เอาชาติมาเสี่ยงด้วย

และเพราะเหตุนี้เอง..ที่..คิงยอร์จ..ไม่ได้อินังขังขอบการการที่จะกรีฑาทัพไปไซบีเรีย..เพื่อไปช่วยซาร์และครอบครัว..ทั้งๆที่เป็นสายญาติใกล้ชิดโดยตรง..
และพอเมื่อบอลเชวิคจับไต๋ได้..ว่า..อังกฤษไม่ยื่นหมูยื่นแมวด้วยแล้ว..
การ"กำจัด" ซาร์และครอบครัวอย่างโหดเหี้ยมจึงได้เกิดขึ้น...


อ่าน เรื่องของท่าน..เราจะได้อะไรเตือนใจในความจริงแท้ของคติพจน์ของไทยหลายอย่าง ค่ะ..เช่น..มีเงินนับว่าน้อง..มีทองนับว่าพี่, สูงสุดคืนสู่สามัญ, กรรมใดใครก่อ..โอย..สารพัด..นึกอะไรได้ก็ใช่หมด..
เสียดายจริง..ที่ท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ ได้สิ้นพระชนม์ไปเมื่อปี 1933 (หลังจากเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จไปไม่กี่เดือน)
ท่าน เลยไม่ทันเห็นว่า..ถึงอังกฤษจะระวังเรื่อง"การนับญาติ"กับฝ่ายซาร์ เพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวาย..กลัวการก่อหวอด จนอาจทำให้พระราชวงค์ต้อง"หมองศรี"..
ถึงขนาดต้อง"ตัดขาด"ห้ามท่านเข้าประเทศ..
ถ้า ท่านยังมีพระชนม์อยู่ทันเห็นเหตุกาณ์..ก็คงทรงพระสรวล..เพราะหาใช่ว่าอังกฤษ จะพ้นจากการทำสงครามไปได้..เนื่องจากไม่กี่ปีจากนั้น คือ 1939 สงครามโลกครั้งที่สองก็เปิดฉากขึ้น..
อังกฤษโดนเยอรมันภายใต้การนำของฮิตเล่อร์ถล่มหนัก..ยับเยินทั้งทางเรือและทางอากาศ..จนแทบเอาตัวไม่รอด..

ถ้าไม่ได้อเมริกาและรัสเซียเข้ามาช่วย..ป่านนี้..คงต้อง "ไฮล์..ฮิตเล่อร์" กันทั้งประเทศไปแล้ว....วิวันดา




บทความจากสมาชิก




แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker