dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์ ๓
วันที่ 16/02/2020   18:23:40





ก่อนที่จะถึงการไปทำสงครามที่ ยุทธภูมิ คาลคินกอล ของแม่ทัพน้อยคนใหม่ จอร์จิ ซูคอฟ นั้น ขอเล่าเสริมอีกหน่อยถึงการเมืองในรัสเซียในยามนั้นที่วุ่นวายอย่างหาที่ลงไม่ได้
แดงทั้งหลายลุกขึ้นมาฆ่าฟันกันเอง เพราะความแตกต่างกันทางความคิด อีกทั้งมีเรื่อง"อำนาจ" เข้ามาเกี่ยวข้อง..จนถึงขนาดที่สตาลินได้สั่งกำจัดนายทหารชั้นสูงไปเป้นโขยง
เพราะความหวั่นไหวในการที่จะถูกแย่งชิงอำนาจ..ซึ่ง..จอร์จิได้แสดงความคิดเห็นออกมา (ในหนังสือของเขา) ว่า
"พวกเขาเหล่านั้น..คือ เหยื่อบริสุทธิ์ ที่ไม่ได้รูัได้เห็นอะไรด้วยเลย.."

ในช่วงของปี 1937 ก่อนที่จะมีสงครามโลกระเบิดขึ้นนั้น..สถานะการณ์ของโลกน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เพราะฮิตเล่อร์กำลังก้าวขึ้นมามีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ และเป็น เผด็จการอย่างกลายๆ
ส่วนรัสเซีย ก็มีสตาลินที่ได้เปลี่ยนการปกครองในประเทศเป็นคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด..แม้กระทั่งเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก่อตั้งระบบแดงมาด้วยกันอย่าง Leon Trotsky
ที่อุตส่าห์หนีตายไปอยู่เม๊กซิโก..ก็ยังไม่วายถูกตามไปฆ่าอย่างทารุณถึงในบ้าน..
แผนการยั่วยุ ปลุกปั่นว่าจะมีการลอบสังหารสตาลินนั้น..ไม่ได้มาจากข่าวกรองในรัสเซียหรือมีบ่างช่างยุที่ไหน..หากแต่เป็นแผนของหน่วยเกสตาโปของฮิตเล่อร์
โดยการทำเอกสารปลอมๆขึ้นมาฉบับหนึ่ง ผ่านทางนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเชคโกสโลวาเกีย มีเนื้อความประจักษ์ให้เป็นหลักฐานว่า
 

 

"นายพล Mikhail Tukhachevsky อันเป็นนายทหารคนสนิทคนหนึ่งของสตาลิน..ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมันในการที่จะทำการล้มล้างสตาลิน.."
และรัฐบาลเชคได้นำหลักฐานนี้ไปเสนอต่อท่านผู้นำอันเป็นเอกสารที่ว่าลับอย่างยิ่งยวด..จากนั้นมา..การสอบหา ใส่ความ ใสใคล้ จึงได้เกิดขึ้นในวงกว้าง
นายพลคนอื่นๆที่อยู่ในแวดวงของผู้ภูกกล่าวหาก็โดนกันไปด้วยจนครบหมด ในข้อหากบฏ และ ฝักใฝ่เยอรมัน..ซึ่งสตาลินกล่าวโทษกลุ่มคนเหล่านี้ว่า..ได้รับเงินและทองคำอันเป็นสินบนจากเยอรมันและญี่ปุ่น
ซึ่งมันก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ส่งมาให้สอดคล้องกับคดีนี้..นั่นคือ ก่อนหน้านั้น สตาลินได้รอดตายจากการมุ่ีงร้ายมาถึงสองหน คือ ในปี 1933 และ 1935
จากข้อความของนักข่าวอังกฤษ ที่ประจำอยู่ที่จอร์เจีย (รัสเซีย) ว่า..

ในฤดูร้อนของปี 1933 ขณะที่สตาลินกำลังท่องทะเล Black Sea ด้วยเรือขนาดเครื่องยนตร์เดียว
อยู่นั้น..เขาได้ถูกรัวยิงใส่ใล่หลังจากปืนของทหารหน่วยรักษาฝั่งสองนาย  แต่โชคช่วยที่ เรือนั้นได้เร่งเครื่องออกไปอย่างเต็มสูบแล้ว..
อีกครั้ง ในปี 1935 คือการลอบยิง โดยที่ผู้กระทำการนั้นได้ใช้ปืนไรเฟิลออโตเมติกของเยอรมัน..ในขณะที่สตาลินได้อยู่ในบ้านพักในระหว่างการพักผ่อนช่วงฮอลลิเดย์
ที่ผลการจับกุมได้..ไปถูกหวยที่ Yuri Pyatakov (Georgy Pyatakov) ว่าได้รับคำสั่งมาจาก  Leon Trotsky ผู้ที่หลบหนีลี้ภัยไปอยู่ที่เม๊กซิโก..Yuri  ได้ถูกตัดสินประหารชีวิตในที่สุด..
 

Yuri Pyatakov

 

  Leon Trotsky

 

การเก็บกวาดนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้น..ได้สร้างความง่อนแง่นให้กับกองทัพโซเวียตเป็นอย่างมาก เพราะหลายคนคืออดีตฮีโร่ที่ช่วยกันกู้ชาติ อีกทั้งได้เป็นกำลังสำคัญ
อันจะเป็นแขนขาที่แข็งแรงยิ่งในภายภาคหน้า.. เหตุการณ์ที่น่ารันทดยิ่งนั้นคือ..การสำเร็จโทษตัวเองของชายชาติทหารที่ไม่สามารถฆ่าเพื่อนได้ลงคอ..นั้นคือ
นายทหารชั้นผู้ใหญ่หลายคน..ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็นตุลาการในการตัดสินเหล่ากบฏนี้..

เช่น Jan Gamarnik ที่ทำการอัศวินิบาต เพราะ
เขาทนไม่ได้ที่จะต้องไปนั่งบัลลังก์และต้องส่งเพื่อนรักไปตาย..ถ้าไม่ทำ..ก็ต้องโดนข้อหากบฏไปด้วย..ดังนั้น..ทางเลือกจึงไม่มีอื่นใดเหลืออีกต่อไป..
อีกคนหนึ่ง..คือ พลโท A.Y. Lapin (Albert Yanovich Lapin) ที่ฆ่าตัวตายในคุกที่คุมขัง..จากข่าวของ หนังสือพิมพ์ เดอะ ไทม์ (ลอนดอน) ได้รายงานว่า..
พลโท ลาปิน ได้เขียนจดหมายด้วยเลือดของตัวเอง (ที่สามารถหลุดรอดส่งมาได้) ว่า..
"ผมเป็นผู่้บริสุทธิ..ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในแผนการล้มล้างอะไรนั่น..อีกทั้งไม่รู้จักกับกลุ่มคนเหล่านั้นด้วย.."

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานั้น ได้สร้างความสะเทือนใจให้กับจอร์จิอย่างที่สุด เพราะหลายๆคนในนั้น ก็คือเพื่อนร่วมงานที่มีความเก่งกล้าสามารถ  อีกทั้งยังเป็นผู้ประสิทธิประสาทวิทยายุทธ
ให้กับเขาด้วย เช่น..นายพล  Mikhail Tukhachevsky ที่เขาได้ถือว่า..เป็นครูคนสำคัญที่เขาได้นำวิชาที่ได้เรียนมากับสงครามคาลคินกอลได้อย่างเต็มกำลังสามารถ
กล่าวคือ  ใช้กองกำลังอาวุธกวาดต้อนกลุ่มข้าศึกที่กระจัดกระจาย..การบุกเข้าโจมตีต้องทะลวงให้ถึงวงใน..แผนการเผด็จศึกทุกรูปแบบจะต้องถูกสั่้งตรงมาจากศูนย์บัญชาการ
นั่นคือหัวใจในการทำสงครามทุกครั้งของแม่ทัพ จอร์จิ ซูคอฟ..
แต่กระนั้น..ในช่วงของการระส่ำระสายในเรื่องความจงรักภักดีนั้น จอร์จิก็เหทือนกับคนอื่นๆอีกนับพัน ที่ถูกสอบสวนและตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปในความสัมพันธ์กับผู้ที่ถูกกล่าวหาคนอื่นๆ
ที่หลายคนรวมทั้งเขา..รอดตัวมาด้วยดี..
หากแต่ผู้ที่โชคร้ายนั้น..อันหมายถึง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ 850 นาย เท่ากับว่า หายไปประมาณ 85%  หลายคนถูกสำเร็จโทษ หลายคนถูกคุมขัง(ลืม)  หลายคนก็ถูกปล่อยตัวมาทีหลัง หนึ่งในนั้นคือ
K.K. Rokossovsky (Konstantin Rokossovsky) ที่ถูกซ้อมอย่างมารุณจนฟันร่วงหมดปาก ก่อนที่จะขังอยู่สองปีก่อนที่จะถูกปล่อยตัวออกมา (ให้ไปช่วยทำศึกกับเยอรมัน)



สรุปได้ว่า..สตาลินได้เก็บกวาดคนที่เขาสงสัยว่าจะเป็นเสี้ยนหนามไปทั้งหมด 41,200 คน ในช่วง 1936-1938


**** ในช่วงของการสนทนาตอนหนึ่ง ในปี 1956  นายกรัฐมนตรี Nikita Khrushchev ที่ได้กล่าวถึงการกระทำที่ทารุณต่อผู้ที่ถูกกล่าวหานั้น  
เขาได้กล่าถึงนายพล Rokossovsky ว่า..
"เขาได้อยู่รอดมาจากการกระทำในครั้งนั้นได้อย่างทรหด แม้ว่าจะถูกทารุณอย่างแสนสาหัส..แต่เมื่อต้องกลับมารับหน้าที่ให้ป้องกันชาติ..เขายังได้แสดงฝีมือสู้รบอย่างถวายหัว
เพราะด้วยความ"รักชาติ" นั้น..อยู่เหนือสิ่งอื่นใด"


ทีนี้มาถึงสงคราม คาลคิน กอล 1939 ที่โซเวียต ได้รับการลองของจากกองทัพแห่งอาทิตย์อุทัย
เป็นการประเดิมกำลังของรัฐบาลแดงว่าจะมีน้ำยาแค่ไหน เพราะในอดีต ญี่ปุ่นเคยได้ตอกหน้ากองทัพของซาร์ให้หงายเงิบไปเมื่อครั้งพันตูกันในปี 1904

 

ก็เพราะเรื่องการขยายดินแดนที่เนื่องมาจากการอ่อนเปลี้ยของจีนที่ทำให้ใครต่อใครอยากจะรีบยื่นแขนยื่นขาไปครอบครองพื้นที่ที่เคยเป็นของจีนที่อยู่ใกล้กับตัวให้มากที่สุด รัสเซียนั้นมีความจำเป็นต้องเฝ้าระวังดินแดนส่วนที่อยู่รอบนอกของไซบีเรียให้มากที่สุด เพราะมันอยู่ติดกันกับแมนจูเรีย และ มองโกเลีย ที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามายึดครองตั้งแต่ปี 1918 ในช่วงที่สถานะการณ์การเปลี่ยนการปกครองของรัสเซียยังไม่ลงตัว
หน่วยทหารของโซเวียตจึงเฝ้าระวังอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ
ในปี 1931 ที่ญี่ปุ่นเริ่มยาตราทัพเข้ามาในแมนจูเรีย โดยตั้งขึ้นเป็นรัฐอิสระ หรือรัฐกันชน โดยตั้งชื่อว่า แมนจูกัว (Manchukuo) ในปี 1937 (ดูได้จากภาพยนตร์ เรื่อง The Last Emperor)
ซึ่งในตอนนั้น ญี่ปุ่นได้เข้าไปยึดเซี่ยงไฮ้ และ นานกิงแล้ว
ซึ่งญี่ปุ่นได้ลงนามในสัญญาต่อต้านก๊กมินตั๋ง กับเยอรมันไปเป็นที่เรียบร้อยในปีที่ผ่่านมา คือ 1936
ซึ่งสนธิสัญญานี้ ทำให้สตาลินตัดสินใจเข้าช่วยฝ่ายก๊กมินตั๋งในการส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ไปช่วยในการทำสงครามแย่งชิงประเทศจีน

การประกาศสงครามในคาลคินกอลที่ญี่ปุ่นได้ประมาณการณ์ว่า....ยากยิ่งต่อการที่กองทัพโซเวียตจะป้องกันไว้ได้ นั่นก็คือ ระยะทาง..แมนจูกัวอยู่ห่างจากชายแดนโซเวียตไปถึง 3000 ไมล์
และจุดสำคัญที่จะต้องเข้ามาป้องกันนั้นเป็นในแนวยาว ที่มีนับร้อยๆจุด
อีกทั้ง โซเวียตกำลังบอบช้ำในเรื่อง-kfกำลังพลรบชั้นมันสมอง เนื่องจากสตาลินได้กำจัดไปแล้วเป็นจำนวนมาก....คงไม่มีน้ำยาอะไรที่จะมาสู้รบตบมือกับญี่ปุ่นที่กำลังเป็นมังกรผงาดได้ในยามนั้น
ดังนั้น ญี่ปุ้นได้ยาตราทัพเข้ามาในช่วงของฤดูร้อนของปี 1938  ที่พื้นที่อันเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ
นั่นคือที่ ทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปประมาณ 70 ไมล์ ของ Vladivostok อันเปรียบเป็นสามเหลี่ยมทองคำของ แมนจูกัว, เกาหลี, โซเวียต...
ซึ่งมันเป็นพื้นที่จุดอ่อนของโซเวียตอย่างเต็มๆ เพราะ เส้นทางการคมนาคมสายสำคัญสายเดียวที่เปรียบประหนึ่งเส้นเลือดหล่อเลี้ยง...เชื่อมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียวนั่นก็คือ เส้นทางรถไฟสายทรานไซบีเรีย
ถ้าดูจากแผนที่ วลาดิวอสต๊อค  คือ เมืองท่าสำคัญของโซเวียตที่ติดต่อทางฝั่งเอเซีย
แต่มันก็คือ..พื้นที่หนามยอกใจของญี่ปุ่น (ที่ปกครองเกาหลีอยู่ในเวลานั้น) เพราะ มันใกล้กันขนาดที่ว่าโซเวียตสามารถส่งเรือดำน้ำมาถล่มทั้งเกาหลีและญี่ปุ่นได้อย่างสบายๆ
อีกซ้ำ มันเป็นการอ่อนด้อยทางจุดยุทธศาตร์ เพราะทางฝั่งแนวเขาสูงนั้น โซเวียตสามารถเฝ้าดูความเป็นไปของทัพเรือเกาหลีได้..
(พูดถึงเรื่องนี้แล้ว..ขอออกนอกเรื่องนิดหนึ่ง คือ เรื่องระหว่างไทยกับกัมพูชา...มันก็ครือกัน เพราะทั้งหมดนั้นคือจุดยุทธศาสตร์ล้วนๆ หาใช่เรื่องความสำคัญของตัวปราสาทเขาพระวิหารทั้งหมดไม่...กัมพูชาจะไม่มีวันนอนตาหลับได้ ถ้าหากว่า ไม่ได้ครอบครองพื้นที่บนเขาพระวิหาร เพราะ ถ้าหากเกิดสงครามระหว่างสองประเทศขึ้นมา...กัมพูชาจะหายไปในเพียงไม่กี่วินาที คงเดาได้นะคะ ว่าจุดอ่อนนั้นคืออะไร)

ทีนี้ญี่ปุ่นก็รู้เขารู้เรา ว่า...ถ้าหากทางรถไฟสายทราน-ไซบีเรียได้ถูกทำให้หายไป...โซเวียตก็เหมือนถูกตัดสายอ๊อกซิเจน ญี่ปุ่นก็จะได้ครอบครองในพื้นที่ที่ถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมาไว้ให้สบายใจ รวมไปถึงทรัพยากรต่างๆ เช่นสารพัดโรงงานอุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นไปลงทุนไว้ในแมนจูกัวด้วย อีกทั้ง...ถ้าทำให้โซเวียตง่อยเปลี้ยเสียขาไป จีนก็หมดพี่เลี้ยงและที่พึ่ง...
ดังนั้น..ญี่ปุ่นจึงได้จัดตั้งกองทัพขึ้นมา...ในนโยบายของการบุกขึ้นเหนือ

 

โดยการหาเรื่องว่า แม่น้ำ Halha  คือเขตชายแดนของแมนจูกัว..แต่โซเวียตได้แย้งว่า...ชายแดนของแมนจูกัว คือ สิบห้าไมล์
ห่างไปจากแม่น้ำทางทิศตะวันออก และอยู่ติดกับหมู่บ้านโนมันฮัน (Nomonhan) ต่างหาก

ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นได้ทำทางรถไฟเข้ามาใกล้กับหมู่บ้านโนมันฮันเพียงห่างไปแค่ 100 ไมล์ และได้ทำถนนลูกรังต่อไจนสำเร็จ ในขณะที่เส้นทางรถไฟของโซเวียตยังอยู่ที่หมู่บ้าน Borzya ที่ห่างไปจากชายแดนถึง 434 ไมล์
ซึ่งญี่ปุ้นเชื่ออย่างแน่นอนว่า...โซเวียตไม่มีทางที่จะส่งกำลังพลมารบได้มากกว่าสองกองพล
อีกทั้ง สภาพของแม่น้ำฮัลฮานั้น มีสภาพเป็นเกาะแก่งมากมาย ในช่วงฤดูร้อนที่น้ำขอดแห้ง
มันจะกลายเป็นแอ่งน้ำเสียที่ใช้กินไม่ได้ รวมไปถึงเป็นที่เพาะพันธ์ยุงระดับมหากาฬ (ซึ่งทรมานด้วยกันทั้งสองฝั่ง...โซเวียตและญี่ปุ่น)

สงครามครั้งนี้..มีเรียกด้วยกันหลายชื่อมาก..คือ
The Battle of Kalkin Gol
The Battle of Lake Khasan
Nomonhan Incident

แล้วแต่ว่า...ประเทศไหนหรือผู้เขียนถนัดที่จะเลือกใช้ชื่ออะไร
 

 

 

เสียงโทรศัพท์ได้ดังลั่นขึ้น เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 1939  จากมอสควา 

ซูคอฟตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชากองพลแห่ง เบโลรุสเซี่ยน ให้ไปรีบเดินทางด่วนเข้าเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น...
เขาถามไปว่า
"พอจะทราบไหมว่า..เป็นเรื่องอะไร?"
"ผมไม่ทราบเช่นกัน แต่พรุ่งนี้ท่านจะต้องเข้าไปรายงานตัวด่วนที่ท่านแม่ทัพ Voroshilov ขอรับ"
ซึ่งเขาได้ไปตามนั้น..และเข้าพบกับแม่ทัพโวโรชิคอฟ ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม
ที่ได้มีคำสั่งว่า...เขาจะต้องเดินทางไปยังฐานทัพที่มองโกเลีย  ที่กองทัพโซเวียตได้เริ่มเปิดการพันตูกับกองทัพญี่ปุ่นไปแล้ว เพราะการรุกล้ำเข้ามาทางในมองโกเลียทางฝั่งตะวันออก
ซึ่งเขาเพิ่งได้ศึกษาในเรื่องพื้นที่และตรวจดูแผนที่ในเช้าของวันนั้นเอง
ท่านเสนาบดีได้ชี้ให้ดุในตำแหน่งที่กาในแผนที่ว่า...
"ตรงนี้ไง..ที่ญี่ปุ่นได้พยายามบุกรุกเข้ามาโดยตลอดในหลายปีที่ผ่านมา ปะทะกับกองกำลังของเราออกบ่อยๆ แต่คราวนี้บุกเข้ามาเป็นกองทัพจริงๆทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำคาลคินกอล กะจะถล่มให้รู้แพ้รู้ชนะไปเลย...เอาไงก็เอากัน...นี่มันเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เออ...ผมคิดว่าการกำกับและการขยายการรบน่าจะต้องลงมือเดี๋ยวนี้..คุณพร้อมที่จะเดินทางได้เมื่อไหร่?"
"ในนาทีนี้ิเลย..ขอรับกระผม"
" ดี..เครื่องบินของคุณจะพร้อมบินเมื่อเวลา สี่โมงเย็น  ตอนนี้คุณเข้าไปพบและรับนโยบายจากท่านจอมพล Smoridonov และหน่วยเสนาธิการก่อน กลุ่มเสนาธิการกลุ่มนี้จะเดินทางไปกับคุณด้วย
ขอให้โชคดีและได้รับชัยชนะ"
ก่อนออกเดินทาง จอร์จิได้เข้าไปรับนโยบายตามคำสั่ง..ท่านจอมพลได้สั่งกำชับไว้ว่า
"ไปถึงแล้ว ให้รีบรายงานมาตามความเป็นจริง..ตามสภาพการณ์ทั้งหมด ห้ามเก็บ ห้ามกั๊กอะไรทั้งสิ้น เข้าใจไหม?"
 

 

 

จอร์จิได้บินลงที่สนามบินเมือง Chita ในไซบีเรีย ที่อยู่ทางด้านเหนือของมองโกเลีย ที่ได้รับการต้อนรับจากหน่วยทหารจากศูนย์บัญชาการที่ได้รายงานถึฃข่าวการรบล่าสุดว่า..
นอกจากการรบภาคพื้นดินแล้ว..ญี่ปุ่นได้ส่งเครื่องบินมาโจมตีถึงในฐานทัพของมองโกเลี่ยน เล่นเอากองทัพแดงและกองทัพมองโกเลี่ยนกระเจิดกระเจิง
จอร์จิ จึงรีบเดินทางไปยังฐานทัพที่ Tamtsak - Bulak อันเป็นศูนย์บัญชาการกองพันที่ 57 และได้พบกับผบ. Feklenko และ เหล่าทหารในสังกัด
ซึ่งทันที่ที่จอร์จิได้เดินทางไปรับตำแหน่งบัญชาการรบครั้งนี้..ทางกองทัพญี่ปุ่นได้รู้ข่าวนี้เช่นกัน
จากพลโทนายทหารที่ชื่อว่า..Kyoji Tominaga (ผู้ซึ่งต่อมาคือ  ผู้บังคับฝูงบินคาซิกาเซ่ ที่ฐานฟิลิปปินส์) เคียวจินี้เป็นทหารญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญในภาษารัสเซียเป็นเอก เพราะเคยเป็นผู้ช่วยทูตทหารที่ประจำการในรัสเซียและเคยพบปะกับจอร์จิมาด้วย และเขาได้รู้จักสไตล์การรบของจอร์จิเป็นอย่างดี


และเขาคาดเดาได้เลยว่า...การถล่มด้วยกำลังรบมหาศาลกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะ
จอร์จิ ซุคอฟคนนี้ ไม่มีการแบบเจ๊า นอกจากอีกฝ่ายต้องเจ๊งไปเท่านั้น...!!!
แต่สิ่งที่เคียวจิไม่รู้..นั่นคือ...นี่คือสงครามที่จอร์จิรอที่จะแสดงฝีมือในการรบระดับสงครามมานานเต็มที นับตั้งแต่ความวุ่นวายของสงครามกลางเมืองเป็นต้นมา (เบื่อปราบม๊อบแล้ว..)
ตอนนี้ก็ได้สมหวัง...ในการที่จะเป็นแม่ทัพคุมกำลังพลเข้าชิงพื้นที่คืนให้กับประเทศ ซึ่งเขาไม่ได้รอช้าแม้แต่นาทีเดียว..เพราะเขาได้จัดการจัดกองรบ และเชื่อว่า ทางญี่ปุ่นยังไม่มีนโยบายในการที่จะเข้าโจมตีโซเวียตในขนาดสเกลใหญ่

แต่ข่าวแวววิตกที่จะเกิดสงครามในครั้งนี้..ได้แพร่ไปทางประเทศฝั่งตะวันตกแล้ว...หนังสือพิมพ์ เดอะ ไทม์ ได้ตีพิมพ์ว่า..." ญี่ปุ่นมีความกระตือรือล้นในการที่จะแสดงแสนยานุภาพในแมนจูเรีย
ให้ประเทศอื่นๆทางตะวันตกได้รับรู้ รับทราบว่า...ถ้าอยากจะเดือดร้อนก็ลองเข้ามาเป็นแนวร่วมกับโซเวียตดู"

****ท่านจอมพลซูคอฟ ได้มาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ทีหลังว่า...
ถ้าปล่อยให้ญี่ปุ่นบุกล้ำแม่น้ำคาลคินกอลเข้ามาได้  เขาจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะเขาต้องการที่จะล้ำเข้ามาจนถึง Lake Baikal อันเป็นที่ตั้งของรถไฟ สาย ทราน-ไซบีเรีย อันเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโซเวียต ที่เราไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องชนะเท่านั้น...และเพราะการพ่ายแพ้ที่ญี่ปุ่น(อย่างสาหัส) ได้รับไปนั้น..มันมีผลที่ทำให้ญี่ปุ่นต้องหลบไปเลียแผลอยู่นานพอสมควร เลยทำให้เขาต้องชะลอการเข้าร่วมรบกับเยอรมันในตอนที่เข้ามาห้ำหั่นเราในระยะแรกๆ


ในการจัดการปรับแผนรบที่มองโกเลียนั้น จอร์จิได้จัดการย้่ายศูนย์บัญชาการที่เดิม..ตั้งอยู่ห่างจากแนวรบถึง 120 กิโลเมตร แถมถามผบ. Feklenko ด้วยว่า
" ศุูนย์บัญชาการตั้งอยู่ห่างขนาดนี้ จะสั่งงานกันยังไงกัน?"
" จริงครับ ที่เราอยู่ห่างไปมาก แต่การปะทะนั้นมันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เราต้องตั้งมั่นที่นี่ เพราะอยู่ใกล้กับสายโทรศัพท์ที่จะได้ติดต่อกับมอสควาได้ง่าย หากเกิดอะไรขึ้น เพราะในแนวรบนั้น ไม่มีทางที่จะติดต่อได้เลย.. "
" แล้วคุณไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ?"
" ก้อ กำลังจะส่งกองกำลังไปตัดไม้มาทำเสา ทำเป็นเสาโทรศัพท์เพิ่มขึ้นครับ"
ซึ่งจอร์จิ..มาทราบในต่อมาว่า...ตั้งแต่ตั้งศูนย์บก. ขึ้นมา...มีนายทหารชั้นผู้ใหญ่มาเยี่ยมดูค่ายคนเดียวและหนเดียว  และเมื่อเขาได้บอกให้ผบ. เฟคเลงโก ให้ออกไปดูแนวรบด้วยกัน
นายคนนี้กลับบอกว่า...ต้องรอโทรศัพท์จากเมืองหลวง..ขอตัวไม่ไป...

ผลคือ...จอร์จิ ซูคอฟ ส่งตัวนายคนนี้ไปหน่วยอื่น ส่วนเขา...ได้เข้าดำเนินการรับผิดชอบในการควบคุมกองทัพหน่วยที่ 57 แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
จากการตรวจหน่วยรบ และกำลังพล อีกทั้งจากการประชุมร่วมกับนายทหารทั้งของโซเวียต และ มองโกเลี่ยน นั้น เขาได้รับทราบว่า ข้อบกพร่องของสองหน่วยกองทัพนั้น คือ การลาดตระเวณที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการปะทะนั้น เป็นเพราะญี่ปุ่นได้พยายามทุกวิถีทางให้เกิดการปะทะเพื่อที่จะขยายให้เป็นการรบขนาดใหญ่จนเป็นสงครามอย่างแน่นอน
เมื่อเทียบขนาดกำลังรบแล้ว...ทั้งโซเวียต และ มองโกเลีย ไม่มีทางที่จะเปรียบได้กับกองทัพของญี่ปุ่นที่ได้เตรียมกำลังไว้สนับสนุนพร้อมอยู่แล้ว..
เขารีบติดต่อด่วนไปที่มอสควา...ส่งรายการสั่งของทันที นั่นคือ
กองบินหลายกอง, หน่วยปืนยาวอีกสามหน่วย, หน่วยรถถังพร้อมหน่วยปืนใหญ่
และกำชับไปว่า...ถ้าไม่ได้..ก็อย่าหวังว่าจะชนะศึกในครั้งนี้...

วันต่อมา..เขาได้รับคำตอบว่า..ของที่สั่ง..กำลงจะส่งมาให้ครบหมด แถมอาจมีเกิน...
เคร่ีองบินนับร้อยๆลำ พร้อมนักบินมือดีต่างพากันบินว่อนมายังฐานทัพในมองโกเลีย..นำโดย
เสืออากาศ Y. V. Smushkevich ผู้ซึ่งผ่านสงครามมาอย่างโชกโชน เป็นคนที่จอร์จิได้
สรรเสริญไว้ว่า...
" เป็นคนเก่งที่มีอัธยาศัยยอดเยี่ยม เป็นที่รักของลูกน้องทุกคน.."
( แต่ความเก่งของเขาก็ไม่ได้ช่วยให้รอดพ้นจากเงื้อมมือของสตาลิน เพราะปลายปี 1939 นั้นเอง ที่เขาถูกจับกุมตัวในข้อหาเป็นกบฏ และถูกสำเร็จโทษในที่สุด)



เมื่อกำลังที่ขอมาถึง และพร้อมเปิดฉากรบ...ในวันที่ 22 มิถุนายน 1939  หมู่นักบินโซเวียต 95 ลำ ได้บินขึ้นไปทักทายกับฝั่งตรงข้าม 120 ลำ ที่เหนือน่านฟ้ามองโกเลีย
ซึ่งนักบินโซเวียตได้ฝากบทเรียนไว้ให้กับนักบินอาทิตย์อุทัย จนต้องกลับไปตั้งหลักใหม่
ในวันที่ 26 มิถุนายน ...ก็กลับมาอีกพร้อมกับนำนักบินจากกองบินที่ประจำในจีนมาร่วมด้วย...คราวนี้กลับไปอย่างยับเยินยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนับซากแล้ว...ญี่ปุ่นโดนสอยร่วงไป 64 ลำ
ในช่วงของเดือนกรกฏาคม ที่มีการไล่สอยกันแทบทุกวันนั้น...จอร์จิได้เขียนบันทึกไว้ว่า.
"ขอสดุดีในความสามารถของนักบินของเรา ที่ทุกคนได้พิสูจน์ในฝีมือและความสามารถกันอย่างเต็มที่ นอกเหนือไปจากนั้นคือกำลังใจในการสู้รบที่มุ่งแต่จะเอาชัยชนะเพียงอย่างเดียว"

นักข่าว นาย Konstantin Simonov ได้ไปเยี่ยมเยียนฐานทัพจำเป็นของจอร์จิ และได้มาเขียนเล่าว่า ฐานที่พักที่เป็นศูนย์บัญชาการนั้น สร้างมาจากไม้ซุง หน้าต่างประตูจะมีมุ้งลวดปิดเอาไว้กันยุง
รอบนอก คือ คูเพลาะขนาดลึก ที่มีปืนใหญ่ และกล้องส่องทางไกลติดตั้งอยู่เป็นระยะ
ขณะที่กำลังสนทนาอยู่นั้น..มีนายทหารเข้ามาขออนุญาติขอพบเพื่อเสนอรายงาน
เขารับมาอ่าน พร้อมกับทำสีหน้าไม่สู้ดี
" นายว่า..หกกองพล นั่นมันเยอะไปละมัง..เพราะเราประมาณการณ์ไว้แค่สองกองพลนะ ที่เหลือคือ
เพ้อเจ้อ..นี่..เราจะบอกให้นะว่า..การประมาณการณ์ศึกเกินไปกว่าความเป็นจริงนั้น มันเป็นอันตรายพอๆกับการประเมินต่ำนั่นแหละ"
ก่อนที่นายทหารคนนั้นจะหมุนตัวออกไปนั้น..จอร์จิได้สั่งสอนว่า
" ไปบอกพวกคอมราดนะ ว่า..อย่ามั่วข้อมูลกันนัก ถ้าเราจะมีช่องว่างที่ไม่มีทหารคุม มันก็คือช่องว่างตามความเป็นจริง อย่าไปสร้างภาพใส่สีว่า มีทหารญี่ปุ่นหลายกองพลอยู่ตรงนั้น.."

จอร์จิ ซูคอฟ เป็นแม่ทัพที่ถูกกล่าวถึงในด้านการใช้ทหารเปลืองคนหนึ่ง...เพราะทหารของเขาทุกคนจะต้องเป็นหน่วยกล้าตายๆด้ทุกเมื่อ ถ้ายามคับขันกระชับเข้ามา ที่เขาบอกว่า..การที่จะได้ชัยชนะนั้น ย่อมต้องมีการสูญเสีย..อันเป็นเรื่องธรรมดา...เขายกตัวอย่างมาว่า..
ในช่วงเดือนมิถุนายน ที่ญี่ปุ่นได้ยกกองทัพขนาดใหญ่ พร้อมรถถังและปืนใหญ่ บุกข้ามแม่น้ำมาทางฝั่งตะวันออกในยามดึก โดยหมายจะถล่มหน่วยของโซเวียต - มองโกเลีย ให้ราบคาบ
ซึ่งแม่ทัพ ซูคอฟ ไม่มีหน่วยกำลังสำรองทางฝั่งนี้...นอกจากหน่วยกองพลรถถังแบบเคลื่อนที่เร็วที่มาเสริมได้ทันเวลา หากแต่การที่จะบุกโดยรถถังแต่ขาดกำลังพลรบราบนั้น เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง (ในยุทธวิถีของตอนนั้น)  
แม้ว่า..จะต้องเผชิญหน้ากับ"อันตราย" ที่ว่า...จอร์จิ ก็สั่งลุย..ด้วยรถถังติดปืน รวมไปถึง หน่วยปืนใหญ่เคลื่อนที่ไปด้วยกัน

โดยเขาประกาศว่า..ข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่ผู้เดียว
(เขาเล่าว่า..เราตัดสินใจเข้าประจันบาญ ด้วยทหารราบและประกบด้วยรถถัง ทั้งๆที่รู้ว่าอัตราเสี่ยงนั้นสูงมากก็ตาม เราไม่มีกำลังเสริมหลังเลย..แต่..เมื่อรบกัน..มันก็ต้องรบกันถึงที่สุด )
ผลคือ ความสำเร็จในการยันข้าศึกออกไปได้ แต่สภาพนั้น คือการสูญเสียอย่างมหาศาล
รถถังพังไปหนึ่งในสาม ทหารล้มตายไปกว่าครึ่ง

 

 

 

เพราะการบุกแบบหักโหมของญี่ปุ่นที่ส่งมานั้น ทำให้นายหทารชั้นผู้ใหญ่ในกลาโหม จอมพล G.I.Kulik ได้เข้ามาตรวจตราฐานทัพ และมีความเห็นว่า..ควรจะย้ายฐานปืนใหญ่ออกจากแนวแม่น้ำ เพราะเกรงว่าถ้าพลาดท่าเสียทีไป อาจจะโดนญี่ปุ่นยึดเอาไว้ตอบสนองกองทัพโซเวียตได้
จอร์จิ..ปฏิเสธในความคิดนี้อย่างเด็ดขาด. เขาบอกว่าถ้าจะย้ายฐานปืนใหญ่ ก็ตองย้ายยุทโธปกรณ์อย่างอื่นไปด้วยกันเสียซิ...ถ้ากลัวมันนักก้อ...จะมาปล่อยให้ทหารราบหน่วยเดียวมาสู้ยิงพวกมันทีละนัดหรือไง?
เขาได้ส่งข้อความนี้ไปยังศูนย์บัญชาการที่มอสควา


ผลคือ..จอมพล คูลิค ถูกเรียกตัวกลับมอสวาเป็นการด่วนในวันเดียวกันนั้น...!!!

จอร์จิ จับทางกลเม็ดการเคลื่อนกองทัพของญี่ปุ่นได้ ว่า ชอบมาเป็นกองทัพใหญ่ และ ในทิศทางเดียวกัน เวลาเดียวกันเป็นขบวน ดังนั้น เขาจึงเตรียมตัวพร้อม รอรับงานทันที  เมื่อเวลาที่รถถังญี่ปุ่นได้เคลื่อนตัวมาสู่แนวหน้า...เขาได้ส่งกระสุนปืนใหญ่ไปรอรับขวัญ แบบมาเป็นสายพิรุณ

โดยที่เขายืนส่องกล้องดู  รถถังจำนวนหนึ่งร้อยคัน...มีเหลือและสามารถวิ่งกลับไปเพียงคันเดียว
ในขณะเดียวกัน..จอร์จิก็ได้ยอมรับว่า..เครื่องบินทิ้งระเบิด และ ปืนต่อสู้อากาศยานของญี่ปุ่นนั้น
มีประสิทธิภาพดีทีเดียว แม้ว่าเครื่องบินทิ้งทุ่นนั้น มักบินสูงไปสักหน่อยก็ตาม...

 

 

 












 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (102073)
avatar
Pannapich

สนุกมากค่ะ มารออ่านตอนต่อไปค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Pannapich (wadtawan-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-06 19:16:13


ความคิดเห็นที่ 2 (102075)
avatar
Demetorius

ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้อ่าน

 ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-08 20:32:15


ความคิดเห็นที่ 3 (102136)
avatar
หมาป่าดำ

 ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ทำไมนายพลซูคอฟถึงรบชนะเยอรมัน

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-08 16:40:46



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker