กองทัพญี่ปุ่นได้ประเมินแสนยานุภาพของโซเวียตต่ำกว่าความเป็นจริง..เพราะจากสาเหคุที่เล่ามาในกระทู้ก่อน
นั่นคือเรื่องของสภาพภูมิประเทศ และ สภาพกองทัพที่ระส่ำระสายเพราะนโยบายเก็บกวาดล้างของสตาลิน นั่นคือเหตุผลที่ญี่ปุ่นได้ใช้หมู่บ้าน Nomonhon เพราะอยู่สุดท้ายไกลโต่งเกินกว่าที่กองทัพโซเวียตจะระดมกำลังมาได้อย่างทัน ท่วงทีในระยะที่ต้องเคลื่อนทัพมาไกลถึงเจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตร
ญี่ปุ่นจึงมั่นใจในชัยชนะครั้งนี้มาก..ถึงขนาดได้เชิญผู้สื่อข่าวต่างชาติมาร่วมสังเกตุการณ์และเพื่อเป็นสักขีพยานในการไล่บี้โซเวียตโดยกองทัพแห่งค่ายกวางตุ้ง
ญี่ปุ่นเชื่อหมดใจว่า..ในสภาพของโซเวียตที่เพิ่งเปลี่ยนการปกครองนั้น..ทหารที่มีนั้นมาจากชาวนาที่ไมjมีความรู้ ไม่มีวินัย ไม่มีเลือดของความรักชาติ..ไม่มีความรู้ในเรื่องของการสู้รบ ดังนั้น..จึงเชื่อว่าจะเอาชนะได้ไม่ยาก และในไม่นาน
ดังเช่นในวันที่ 3 กรกฏาคม ที่กองทัพญี่ปุ่นได้เคลื่อนตัวข้ามแม่น้ำคาลคินกอลเข้ามาในยามดึกนั้น..
ที่ทำให้กองทัพของแม่ทัพน้อย. ซูคอฟ ที่ต้องเอากองพลรถถังเข้าไปรับหน้าแบบสู้ตายถวายหัว
ปะทะหมัดต่อหมัดหยั่งกำลังข้าศึกไว้จนกระทั่งเช้าของวันรุ่งขึ้น ที่ญี่ปุ่นได้พยายามยึดอาณาเขตที่ราบสูงของ Bain-Tsagan
หากแต่..กองหนุนของโซเวียตได้เข้ามาเสริมกำลังด้วยกองพลรถถังกว่า 150 คันที่เข้ามาคุมสถานะการณ์ไว้ได้อย่างทันท่วงทีในช่วงเวลา 10:45
การสู้รบอย่างถึงพริกถึงขิงได้ดำเนินไปข้ามวัน..จนในวันที่ 5 กรกฏาคม ที่กองทัพญี่ปุ่นเริ่ม
ถอยไม่เป็นขบวน..กลับข้ามแม่น่้่าไป...
โซเวียตภายใต้การนำของซูคอฟ..ได้ตามไปอย่างติดๆ...หมายจะไปขยี้ให้ถึงรัง..
แต่..ญี่ปุ่นได้ต้ดสินใจสละชีพของทหารที่เหลือ..ที่ยังสู้รบอยู่หางขบวน..
โดยการระเบิดสะพานทิ้่งไปอย่างหน้าตาเฉย..ทหารหลายคนที่พยายามกระโดดลงน้ำหนี..
แต่ก็ประหนึ่งหนีเสือปะจรเข้..เพราะส่วนใหญ่จะจมน้ำตายไปต่อ หน้าต่อตาของทหารโซเวียต
ส่วนที่เหลือทิ้่งไว้..คือ เครื่องบินสี่สิบห้าลำที่ถูกยิงตก
รวมทั้งศพทหารและม้านับพันที่นอนตายกันเกลื่อนให้เหลือเป็นอาหารของแร้งกา
สงครามครั้งนี้...เป็นสงครามที่ญี่ปุ่นยอมรับว่า..อยู่ในสภาพที่ยับเยิน ที่เหลือรอดมาได้ก็หวุดหวิดจวนเจียนแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
ที่สำคัญ...มันเป็นการประกาศศักดาในการรบของผู้นำทัพที่มีนามว่า จอร์จิ ซูคอฟ..ที่กล้าหาญ
ชาญชัย..รบแบบกล้าหาญและมีการใช้พิชัยยุทธในการประสานงานระหว่างทหาราบ กองพลรถถังผนวกกับหน่วยฝูงบินที่ประสานงานคล้องจอง แม้ว่าจะมีการสูญเสียเป็นจำนวนไม่น้อย..
แต่เพราะ..กองทัพโซเวียตไม่มีทางเลือกอื่นไปจากนี้..นอกจากต้องเอาชัยมาสู่ประเทศเท่านั้น..
ไม่กี่วัน..หลังจากการขับไล่ญุี่ปุ่นออกไปได้แล้วนั้น..กองพลที่ 57 รักษาดินแดนในความดูแลของซูคอฟนั้นได้มีการเสริมกำลังขึ้นมาอย่างแน่นหนา
จนในวันที่ 12 สิงหาคม การเสริมกำลังได้มีครบในทุกจุด
ด้วยกำลังของกองทัพมองโกเลียน แม้บนเนินเขา Bolshie Peski ทางด้านใต้ก็มีการวางกำลังเอาไว้อย่างหนาแน่น..ถึงแม้โซเวียตจะรู้ดีว่า..กองทัพอากาศของญี่ปุ่นนั้นเสียหายไปมากกว่าครึ่งในช่วงการสู้รบ
แต่ก้ยังไม่วางใจไปเสียทีเดียว..
ตัวจอรฺ์จิเอง..แม้ว่าจะมีภาระกิจที่หนักอึ้ง..แต่เขาเป็นคนสบายๆ ที่ชอบใช้ชีวิตแบบง่ายๆ
ในยามเช้าตรู่..เขาชอบอาบน้ำแบบแช่ตัวให้สดชื่น ในตอนเย็น เขามักจะเชิญใครต่อใครมาร่วมรับประทานอาหารค่ำ
นายพล A.I. Gertman เล่าว่า..
"เขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบสังสรร คุยสนุก หลังอาหาร ถ้าไม่มีภาระกิจเร่งด่วนอะไร
ก็จะมีการร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน โดยท่านนายพลจะเป็นนักดนตรี เล่นแอคคอเดียน
และชอบให้ทุกคนร่วมกันร้องเพลง..แม้แต่ร้องเพลงคู่กันแบบประสานเสียงระหว่างเรา
ผมเป็นเสียงต่ำ..เขาเป็นเสียงสูง..ก็ครึกครื้นกันไปตามๆกัน"
แน่นอนว่า..แค้นนี้ย่อมมีการชำระ... จอร์จิ ไม่ได้หยุดนิ่งต่อการที่จะเอาคืนแบบถอนรากถอนโคนเสี้ยนหนามญี่ปุ่นเลยแม้แต่ นาทีเดียว.
เขาส่งแผนงานไปยังมอสควา และส่งรายการของที่ต้องการไปแบบไม่เกรงใจกลาโหมและกระทรวงสรรพาวุธเลยแม้แต่ นิด โดยกำกับเวลสไปด้วยว่า เขาจะ"เข้าหัก" กองทัพญี่ปุ่นในไม่เกินวันที่ 20 สิงหาคม ในรายการของที่สั่ง...นั้น ได้รับการอนุมัติมาหมด ครบถ้วนในทุกสิ่ง...
นั่นคือ สองกองพลปืนเล็ก หนึ่งกองพลน้อยรถถัง สองกองพลน้อยปืนใหญ่ ฝูงบินประจันบาญ และ ฝูงบินทิ้งระเบิด อีกทั้งสัมภาระและเสบียงต่างๆนั้นจะต้องส่งมาทางรถไฟที่ปลายสายอยู่ห่างไป กว่าสี่ร้อยไมล์ นั่นหมายถึงว่า กระสุนปืนใหญ่กว่า 18,000 ตัน, ทุ่นระเบิดติดเครื่องบิน
กว่า 6,500 ตัน, กระสุนปืน น้ำมันหล่อลื่น น้ำมัน กว่า 22,500 ตัน รวมไปถึงอาหารและอื่นๆกว่า 4,000 ตัน จะต้องเดินทางต่อมาด้วยความลำบากยากเย็นในถนนสายลูกรังที่เป็นโคลนในหลายๆ ช่วง
ซึ่ง...ความสำเร็จส่วนใหญ่นั้นมาจากนักบินที่สุดแสนทรหดของกองทัพอากาศโซเวียต ที่ยอมบินส่งสัมภาระแบบมาราธอ...ฝ่าแปลวแดดเปลี้ยงของฤดูร้อน...ห้าวันติดต่อกัน จากช่วงของปลายทางรถไฟจนถึงกองกำลังที่เป็นศูนย์บัญชาการ...นับว่าเป็นการปฏิบัติการที่อยู่ในสเกลที่ละเอียดยิบที่อยู่ในความควบคุมของซูคอฟอย่างใกล้ชิดและเคร่งครัด
เขาได้วางกลลวงให้ข้าศึกชะล่าใจ..โดยการสร้างกระแสข่าว ผิดๆให้สับสนในหน่วยหน้า (โซเวียต - มองโกล) รวมไปถึงข่าวทางโค๊ดแบบแกะง่ายๆ ว่า..กำลัง"ทำเรื่อง"ขอเครื่องยนตร์กลไกในการซ่อมสร้างเครื่องยนตร์ที่เสีย หายไปอันเป็นจำนวนมาก..มีการวางเครื่องทำเสียงเลียนแบบเสียงของการตอกเสาเข็ม เพื่อให้ข้าศึกเข้าใจว่า กองทัพโซเวียตกำลังอยู่ในระหว่างซ่อมสร้าง
V
V
ฝูงบิน โซเวียต-มองโกเลียน
ในระหว่างนั้น ซูคอฟได้สั่งการเคลื่อนกำลังพลในเวลากลางคืน โดยใช้เสียงไซเรนเตือนภัยทางอากาศและเสียงยิงปืนกลบเสียงการเคลื่อนตัวของขบวนรถถัง
สิบถึงสิบสองวันก่อนการบุกโจมตี...รถถังหลายคนในสภาพที่ถูกถอดท่อไอเสียนั้น วิ่งไปมาในแนวหน้ากันอย่างอึกทึกโครมคราม เพื่อให้ญี่ปุ่นได้ยินเสียงเครื่องยนตร์ที่ไม่ค่อยสมบูรณ์จนชินหู
และวางใจว่า...โซเวียตนั้น ยังไม่มีความพร้อมใดๆ
แม่ทัพน้อยจอร์จิ...ไม่ได้หยุดแค่นั้น..เขามีความพร้อมจนถึงขนาดได้ออกสมุดพกประจำตัวให้ทหารทุกคน ในหัวเรื่องที่ว่า..."สิ่งที่ทหารทุกคนควรรู้และถือปฏิบัติในการโจมตีข้าศึก"
เขาเคร่งครัดมากต่อการเตรียมพร้อมของทหารในครั้งนี้..นักบินออกทำการสำรวจเส้นทางและจุดที่ จะโจมตีอย่างให้ขึ้นใจ หน่วยลาดตระเวณแฝงตัวออกหาที่ซ่อนของข้าศึกในยามค่ำคืนจนเชี่ยวชาญในเส้นทาง
ใน หน่วยบัญชาการ..เขาได้เพิ่มนายทหารมือดีระดับเสธ. อีกสิบสองนาย ดังที่ ศาสตรจารย์ John Erickson ได้เขียนไว้ว่า..." ซูคอฟปิดประตูพลาดไว้ทั้งหมดทุกประตู ชนะนั้นแน่ๆ ขึ้นอยู่ว่าจะชนะอย่างไหนเท่านั้น"
จอร์จิ ได้ประกันความเสี่ยงเอาไว้อย่างรอบคอบ โดยใช้อัตราส่วนเป็นสำคัญ นั่นคือ กำลังทหาราบ เป็น 1.5 ต่อ 1 , กำลังของหน่วยปืนกล 1.7 ต่อ 1, ปืนใหญ่ 2 ต่อ 1, เครื่องบิน 2 ต่อ 1และ หน่วยรถถังนั้นจำนวนมากกว่าถึงสี่เท่า..
วันที่เตรียมจะถล่มใกล้เข้ามา...เขาได้สั่งห้ามเด็ดขาด ห้ามไม่ให้ทุกคนไปทำอะไรกระโตกกระตากในแนวชายแดน ทุกอย่างต้องสงบนิ่ง...ไม่มีการไหวติง
วันนั้นคือ..วันที่ 20 สิงหาคม เวลาเช้าตรู่....เหล่าบรรดาอาวุธน้อยใหญ่ได้มีการนำสุมทุมพุ่มไม้มาพรางเอาไว้
เหล่า นายทหารแต่งกายในชุดทหารชั้นผู้น้อยและนั่งรถแออัดไปกับรถบรรทุก ไม่มีการใช้ยานพาหนะที่มีตราประจำหน่วย และในหนึ่งหน่วยจะมีทหารหนึ่งนายสำหรับทำหน้าที่พิมพ์งานที่ได้รับคำสั่งตรง ลงมา เพราะมีทหารไม่กี่นายเท่านั้น..ที่จะมีโอกาสล่วงรู้ในแผนการโจมตีในครั้งนี้
นอกนั้น..ทุกคนจะได้รับคำสั่งสามชั่วโมงก่อนการบุก..
ถึงแม้ว่า..แผนนี้จะรัดกุมเพียงใด..แต่นักบินญี่ปุ่นได้สังเกตุเห็นการรวมตัว ของเหล่าพาหนะที่ค่อนข้างหนาตาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำในวันที่ 10 สิงหาคม..และได้ทำรายงานไปยังศูนย์บัญชาการ
ไปตามลำดับชั้น..แต่คงเนื่อง จากในแต่ละชั้นนั้น มันคงใช้เวลาแบบเต่าคลาน หรืออาจเป็นการประเมินสถานะการณ์ผิดพลาดก็เป็นได้ จึงเกิดการล่าช้า..
ที่ซูคอฟเลือกวันที่ 20 ในการโจมตี..
เพราะวันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ที่ชาวญี่ปุ่นรวมไปถึงเหล่าทหารถือเป็นวันพักผ่อน ดังนั้น..ในเวลาหกโมงสิบห้านาที ทีปืนใหญ่ของโซเวียตได้ส่งไปทักทายกองปืนต่อสู้อากาศยานของฝั่งญี่ปุ่นแบบ ไม่ให้ทันตั้งตัว...จากนั้นเสียงปืนกลตามมาเป็นระนาว
กระสุนปืนใหญ่ที่ ส่งไป..มีการแตกสะเก็ดเป็นเปลวเพลิง อันเป็นเครื่องหมายชี้ทิศทางให้กับเหล่าฝูงบินโซเวียตในการบินขึ้นไปปฏิบัติ การ ที่มีด้วยกัน คือ เครื่องบินทิ้งระเบิด 150 ลำ และ เครื่องบินโจมตี 100 ลำ เพื่อกรุยเป็นทางสะดวกให้กับสิ่งที่กำลังจะตามมา..เพราะเพียงไม่กี่ชั่วโมง การสื่อสารของฐานญี่ปุ่นถูกตัดขาดโดยหมดสิ้น ติดต่อไปทางศูนย์ไม่ได้ ติดต่อกันเองก็ไม่ได้
เมื่อเป็นดังนั้น..เวลา 8:45. ซูอฟสั่งหน่วยปืนใหญ่โจมตีไปยังหน่วยหน้าของญี่ปุ่นอย่างไม่เลี้ยง และไม่ต้องยั้ง..
ส่วนหน่วยฝูงบิน..เข้าไล่ถล่มทางด้านหลัง..แบบล้อมกรอบ
จากนั้น...สิบห้านาทีต่อมา..หน่วนทหารราบเริ่มเคลื่อนตัวเข้าขยี้พร้อมกัน..
ในวันแรกของการเปิดศึกขนาดใหญ่นี้..หน่วยใต้ได้ทำการสำเร็จในการก้าวล่วงไปใน เขตของข้าศึก แต่..หน่วยเหนือ..โดนไล่บี้กลับมา ทางหัวหน้าหน่วยจึงโทรศัพท์มารายงานและขอแผนการในการรับมือใหม่...คำสั่ง คือ...เตรียมตัวออกไปโจมตีอีก..จากนั้นสิบนาที เขาโทรไปถามว่า.
"พร้อมที่จะไปหรือยัง?"
ทางโน้นตอบมาว่า..."กระผมไม่แน่ใจขอรับ"
"งั้นก็ออกไปนั่งดู...ทิ้งตำแหน่งคอมมานเดอร์ไว้ตรงนั้น..เพราะเดี๋ยวจะมีคนไแทนที่"
จากนั้นเขาก็ส่งนายทหารในหน่วยของเขาบินไปสวมตำแหน่งโดยด่วน พร้อมทั้งการสั่งโจมตีพร้อมกันทุกหน่วย...ซึ่งก็ได้ชัยชนะมาในที่สุด หลังจากที่ได้รับความเสียหายมาพอควรในเขตนี้
เรื่องราวการรบแบบเด็ดขาดของแม่ทัพ จอร์จิ ซูคอฟ ในสงครามโลกครั้งที่สองนี้. จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะความที่เป็นคนไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ว่าชั้นไหน...ไม่ชอบการพูด อ้อมค้อมและ ปฏิเสธความพ่ายแพ้ในทุกรูปแบบ ทำให้เขากลายเป็น"ที่พึ่ง" ของสตาลินที่ต้องเรียกใช้ เรียกหาเขาทุกครั้งในยามที่สงครามเข้าสู่สภาพคับขัน
เพราะเขาเป็นคนอย่างนี้นี่เอง..ทำให้มีการ"งัดข้อ" และ "สวนทาง" กับเสนาบดีระดับคนใกล้ตัวของ
สตาลินบ่อยๆ...และ ในหลายกรณีด้วยกัน
ในการโจมตีของวันแรก ที่หน่วยโซเวียต-มองโกเลียน ยืนหยัดทะลวงลึกไปในแดนที่ญี่ปุ่นยึดครองแบบไม่ยอมหยุด....ทางด้านใต้ ..หน่วยกองพลรถถังที่หก และ ที่แปด ได้ตีล้อมกรอบในทุกด้าน
จนในวันที่ 21 สิงหาคม การปฏิบัติการยึดฐานทัพของญี่ปุ่น รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
และในวันนั้นเอง คือการปฏิบัติการร่วมระหว่างทางบกและอากาศอย่างพร้อมเพรียง ที่มีรายงานให้ประจักษ์ว่า เฉพาะทางอากาศ ที่เครื่องบินทิ้งระเบิดได้ออกทำการถง 256 ครั้ง..และหย่อนระเบิดหมดไปถึง 90 ตัน
ในวันที่ 23 สิงหาคม หน่วยเหนือ ผนวกกับกองบินที่ 212 ได้ยึดฐานทัพของญี่ปุ่นที่เทือกเขา Palet ได้ ...การต่อสู้ภาคสนามก็ทำการดุเดือดไม่แพ้กัน เพราะ ทหารญี่ปุ่นกว่าหกร้อยนายเสียชีวิตทั้งหมด
ก่อนที่ควันของการสู้รบจะจาง แม่ทัพน้อยซูคอฟ ได้รับการเยือนจากผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไป พลเอก G.M. Shtern ได้มาเตือนว่า...ควรจะพักการบุกไปอีกสองสามวัน เพราะจะได้เป็นการออมแรงเอาไว้บุกในครั้งต่อไป..ไม่งั้นการเราอาจจะมีการสูญเสียถ้าจะดึงดันไป
แม่ทัพ...ได้ตอบไปว่า..
"สงครามก็คือสงคราม..การสูญเสียเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ จะมากหรือจะน้อยก็ตามแต่..มันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องทำอะไรให้เด็ดขาดเพราะนี่คือความเป็นอยู่ของประเทศ ถ้ามัวแต่ลังเล รอนั่น รอนี่...
เราจะเสยหายมากกว่านี้อีกนับร้อยเท่า พันเท่า..."
และ..เท่านั้นไม่พอ...เขาได้ย้อนถามผบ. Shtern ว่า
"สรุป ว่า...ท่านกำลังแนะนำ หรือ สั่งกระผมกันแน่..เพราะถ้าเเป็นคำสั่ง..ก็ขอความกรุณาท่านเขียนมาเป็นลายลักษณ์อักษร และถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ท่านก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ..และไปรับการสอบสวนที่มอสควาแต่ผู้เดียว.."
ผบ. เจ้าปัญญา นั่นรีบแก้ตัวเป็นพันวลันว่า...ไม่ได้สั่ง..แค่แนะนำเฉยๆ..
แม่ทัพซูคอฟ..ก็เลยบอกว่า.
"งั้นก็ดีแล้ว..เพราะกระผมไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เพราะหน้าที่ของกระผมคือการทำสงครามครั้งนี้ให้เด็ดขาด รู้แพ้รู้ชนะ หน้าที่ของท่าน...คือการเข้ามาดูแลและควบคุมการคลังและเสบียงอาวุธให้กับกองทัพของกระผม ดังนั้น กระผมว่า..ท่านเข้าไปบริหารจัดการตรงนั้นให้เรียบร้อยจะดีกว่า ปล่อยให้เรื่องรบเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของกระผมแต่ผู้เดียว"
ท่านผบ. Shtern หายออกไปด้วยความขัดใจ แต่เพียงสองสามชั่วโมงต่อมา เขาก็ได้เขามาขอโทษ
และกล่าวว่า
" ผมขอโทษที่ไม่ควรแนะนำไปอย่างนั้น..เอาเป็นว่า ผมไม่เคยพูดอะไรก็แล้วกัน"
(แม่ทัพซูคอฟ ได้มาเล่าเรื่องนี้ในทีหลังว่า...ผมก็ไม่ชอบเหมือนกันที่จะต้องหักกันด้วยวาจาอย่างนั้น...แต่มันจำเป็น...)
จากนั้น..คือการปิดล้อมกองทัพญี่ปุ่นอยู่สามวันแบบหลวมๆ เป็นการหลอกให้ข้าศึกตายใจว่า ยังมีช่องทางเหลือที่จะรอด นั่นคือ ถอยไปแม่น้ำ Khaylastyn-Gol ที่ไม่มีใครสังหรณ์ใจว่า..ในช่วงหนึ่งของแม่น้ำที่ตื้นเขินและเป็นโคลนเหลวๆ นั้น..ซูคอฟได้ส่งหน่วยโยธาไปทำทางให้รถถังแล่นผ่านได้แล้ว..
ดังนั้น..ในค่ำคืนวัหนึ่ง...กองพลรถถังได้แล่นข้ามแม่น้ำไปบุกขยี้ฐานของข้าศึกถึงรังใน
เช้าวันที่ 31 สิงหาคม...คือวันประกาศชัยชนะของสาธารณรัฐมองโกเลียนภายใต้ความอุปการะของโซเวียต ที่ได้ขจัดญี่ปุ่นออกไปจากพื้นดินได้อย่างหมดจด
ในยุทธการครั้งนี้..ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติการ คือ ต้นมิถุนายน จนถึง กันยายน นั้น..ได้แสดงถึงความเป็นอัจฉริยะในการทำสงครามของซูคอฟ ที่ได้ใช้ทั้งแผนบู๊และแผนบุ๋น ทั้งตีหนักและผ่อนผัน
ทั้งบีบกระชับและล้อมกรอบ..เพื่อที่จะได้มาถึงชัยชนะ
ผลการเสียหายในครั้งนี้..ฝั่งรัสเซีย ตายและบาดเจ็บ 18,500 นาย ฝั่งญี่ปุ่น ตายและจับเป็นเชลยศึก 61,000 นาย
ที่ กรุงมอสควา..ในวันที่ 15 กันยายน 1939 สาธารณรัฐโซเวียต, สาธารณรัฐแห่งประชาชนมองโกเลียน และ ประเทศญี่ปุ่น ได้ลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกในลุ่มแม่น้ำ Khalkin Gol อีกทั้งได้มีการแลกเปลี่ยนนักโทษกัน และได้ทำการยืนยันในเขตขัณฑสีมาให้กับมองโกเลีย และแมนจูเรีย อย่างชัดเจน...
นับว่า..ญี่ปุ่นได้รับบทเรียนครั้งนี้ในราคาที่แพงและเจ็บปวดอย่างที่สุด !!!
หมายเหตุ....ดิฉันเกรงว่าผู้อ่านบางท่านอาจจะไม่เข้าใจในที่มาที่ไปของพื้นฐานความขัดแย้งระหว่าง ญี่ปุ่น โซเวียต และ จีน..จึงขอเล่าคร่าวๆ..ว่า..
เนื่องจากทั้งสองประเทศเพิ่งจะมีการเปลี่ยนการปกครองได้ไม่นาน นั่นคือ รัสเซีย และ จีน...ช่วงของการเปลี่ยนแปลงนี่ละค่ะ ที่ทำให้ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงและขยายกำลังออกไปอย่างไม่มีการเว้น วรรค...ญี่ปุ่นต้องการครอบครองดินแดนทางด้านเหนือ และ เกาหลี เพื่อเป็นการประกันเขตน่านน้ำ และต้องการขยายไปในจีนเพื่อทรัพยากร ส่วนรัสเซีย ไม่ว่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นโซเวียต หรือเปลี่ยนระบบการปกครองไปเป็นคอมมิวนิสต์แล้วก็ตาม..ยอมไม่ได้ที่จะเสียดินแดนและน่านน้ำส่วนที่ติดต่อกับฝั่ง เอเซียไป....ซ้ำญี่ปุ่นก็เหิมเกริมขึ้นทุกวัน
สตาลิน..ไม่ได้สนใจหรือรักใคร่ในจีนมากนัก แต่เมื่อญี่ปุ่นกำลังจะประสบความสำเร็จในการแทรกแซงจีน นั่นหมายถึงรัสเซียกำลงจะตกอยู่ในอันตราย..จึงจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนจีนทั้งสองฝ่าย ที่กำลังสู้รบแย่งชิงประเทศอย่างถึงพริกถึงขิง นั่นคือ ฝ่ายก๊กมินตั๋ง ของ เจียง ไค เช๊ค และ กองทัพประชาชน ของ เมา เซ ตุง โดยข้อแม้ว่า..ให้สองฝ่ายเลิกรบกันเอง(ชั่วคราว)..
และให้หันมาจับมือกันต่อต้านญี่ปุ่นให้สำเร็จก่อน..(แล้วค่อยไปฟาดฟันกันทีหลัง)
ซึ่ง..ทัง สองฝ่ายได้ทำตามอย่างว่าง่าย...
หลังจากที่เผด็จศึกญี่ปุ่นได้สำเร็จ (โดยที่ญี่ปุ่นหันไปโจมตีเพิร์ล ฮาร์เบอร์)
ทั้งสองฝั่ง คือ ก๊กมินตั๋ง และ กองทัพประชาชน ก็หันมาสู้รบกันเองจริงๆ
เจียง ไค เช๊ค พลาดเพราะนโยบายที่สนับสนุนทุนนิยม อีกทั้ง..การคอร์รัปชั่น ยังปรากฏอยู่หนาตา
ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจน และต้องการที่ดินทำกิน.
ผู้คนจึงหันไปเข้าร่วมกับเมา เซ ตุง..ที่เริ่มมีกำลังมากขึ้นเพราะจากการสนับสนุนเงินและอาวุธจากโซเวียต (เหลือมาจากในการปราบปรามญี่ปุ่น) จึงทำให้ฝ่ายก๊กมินตั๋ง ต้องพ่ายแพ้และหลบหนีไปอยู่ที่ไต้หวันในที่สุด..
สำหรับ The Battle of Khalkin Gol นี้..ดูภาพเคลื่อนไหวได้ที่นี่ค่ะ เพราะ โซเวียตเพิ่ง released ออกมาไม่นานนี้เอง...
http://www.rt.com/news/khalkhin-gol-battle-anniversary/