dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบเอ็ด
วันที่ 16/02/2020   18:22:51


      
    

นึกอย่างไรก็ไม่รู้..เห็นแว๊บๆในรายการของการเช่าดูละครไทยออนไลน์ที่เป็นสมาชิกอยู่ ว่ามี "The King's Speech" ในรายการ..
ก็เลยเปิดดูอีกครั้งหลังจากที่ได้ชมในโรงไปเมื่อเดือนก่อน..

คราวนี้..เป็นเสียงภาษาอังกฤษก็จริง..แต่มีซับไตเติ้ลภาษาไทย...
โอย..เหนื่อยใจจริงๆ..หนังเหนิงไม่ได้สนใจแล้ว..หันมาจับตาดูที่ซับอย่างเดียวเลย
สงสาร คนที่เสียเงินไปดูจริงๆ..เพราะการแปลเห็นได้ชัดว่าคงแปลหลายคน และในหลายช่วงที่อาจมีการใช้อากู๋มาช่วย..เพราะหนังเรื่องนี้..ถ้าใครที่ไม่ เคยรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของอังกฤษมาก่อน..จะยิ่งงงกันไปใหญ่..เพราะการแปล นั้นมีผิดไปอย่างมากมายในหลายกรณี เช่น..
ในการสนทนาซึ่งพระราชา คณะมาทูลถึงขั้นตอนว่า จะต้องเสด็จไปที่พระวิหาร (Abbey) เธอก็แปลว่า..จะต้องไปหาแอ๊บบี้ย์ (อ้าว..)

หรือแทนที่ จะใช้เรียก Archbishop ว่าพระสังฆราชเจ้า กลับใช้ทับศัพท์เรียกว่าพระสังฆราชว่า ว่า อาร์คบิชอป อย่างงั้น อย่างงี้...(ซะงั้น..)

หรือ..คำว่า King's Box ที่ดุ๊กส์ ออฟ ยอร์ค ต้องการให้ไลโอเนล ผู้ที่ช่วยในการบำบัดการติดอ่างของพระองค์นั้นไปนั่งในตอนที่จะมีการทำพิธี ราชาภิเษก เพราะจะให้อยู่ใกล้ชิด เรียกหารับใช้ได้โดยสะดวก..คำว่า คิงส์ บ๊อกซ์ นี้..หมายถึงส่วนที่นั่งด้านหน้าอันเป็นของชั้นพระบรมวงศานุวงค์..
แต่เขาแปลในการรับสังว่า...."ผมต้องการให้ไลโอเนลไปนั่งในที่ของกษัตริย์..."

และในพระแถลงการณ์ของคิง เอดเวิร์ดที่แปด..ตอนที่สละราชบัลลังก์ให้กับพระอนุชา..ที่ค่อนข้างเป็นใจความที่สำคัญ..ตรงที่ว่า..
"I have been succeeded by my brother, the Duke of York.."
อันหมายถึง ผู้ที่จะมารับภาระครองบัลลังก์เพื่อเป็นกษัตริย์ดูแลประเทศต่อไปนั้นคือพระอนุชา..ดุ๊ก ออฟ ยอร์ค..

เธอก็แปลแบบตร๊ง ตรงว่า..ผมได้ประสบความสำเร็จโดยน้องชายของผม,
ดุ๊ก ออฟ ยอร์ค...


ขอบอกว่าถ้าใครที่เป็นแฟนดิฉัน และเคยอ่านเรื่อง "ลอดลายรั้ว..วินด์เซอร์"
ที่เคยเสนอมาแล้ว..จะเปรี๊ยะและลื่นไหลไปกับตัวละครอื่นๆแทบทุกตัว..
ไม่ว่าจะเป็น "วอลลิส" (แม่ม่ายซิมป์สัน) หรือ "เดวิด" (คิงเอ็ดเวิร์ดที่แปด ที่มาสละบัลลังก็ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน) หรือ "จอห์น" (พระอนุชาจอห์นที่ถูกแยกให้ไปอยู่โดยลำพังที่พระตำหนักในชนบทเพราะเป็นโรคลมชัก)

รวมไปถึงสถานะการณ์ที่กดดันคิง จอร์จที่หก เนื่องจากต้องประกาศสงครามกับ
เยอรมันภายใต้การนำของฮิตเล่อร์ (อันนี้แฟนฮิตเล่อร์ของดิฉันก็จะเปรี๊ยะอีก)
ความไม่พร้อมในหลายๆด้านของพระองค์นั้นมาจากการที่ไม่เคยคิด และไม่อยากที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน รวมไปถึงความไม่สมบูรณ์ทางด้านการใช้คำพูด

หากแต่..ในความจริงแล้ว..เพราะพระองค์มีหญิงแกร่งอย่างพระชายาอลิซาเบ็ธ
ที่คอยช่วยประคับประคอง อดทน เข้มแข็ง..รวมไปถึงยอดขุนพลขั้นอัจฉริยะ
อย่างเชอร์ชิลล์ อยู่เคียงข้าง..รวมไปถึงความสามมัคคีรักชาติของประชาชนคนอังกฤษ จึงได้ช่วยกันฝ่าอุปสรรคไปได้...


ต่อค่ะ...

V
V
V
V

จากคำกล่าวลากับลอร์ดเดอร์บี้ด้วยรอยยิ้มพร้อมโบกไม้โบกมือ พร้อมกับที่กล่าวไปว่า..
"ไม่ละ..ฉันจะอยู่ที่ปารีสนี่แหละ..เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็สวยงามดี.." นั้น..
มันก็แค่ละครฉากหนึ่ง..ที่ลึกๆแล้วมันช่างยอกแสยงลึกลงไปในใจเป็นอย่างยิ่ง..
มัน หมายถึงว่า..ฉันไม่เป็นที่ปรารถนาในผืนแผ่นดินที่ปกครองด้วยเหล่าของคนที่ ถือเสมือนเป็นพระประยูรญาติที่สนิทชิดเชื้อมานานหลายชั่วคน

ประเทศ อังกฤษ..ที่เมื่อก่อนก็เปรียบเสมือนเป็นบ้านที่สอง..ที่ฉันและครองบครัวได้ มาใช้มันเป็นที่พักผ่อนในทุกฤดูร้อนมานานกว่ายี่สิบปี..
ความหลังเก่าๆ สมัยที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระนางวิคตอเรียทั้งเคยได้สนทนากับพระองค์อย่าง เป็นที่สนุกสนานถึงอนาคตระหว่างสองพระราชวงค์ วินด์เซอร์ และ โรมานอฟ..ที่ขวั้นกันเป็นเกลียวแนบแน่นมาแต่ไหนแต่ไรจะต้องแน่นแฟ้นขึ้นไป ตามกาลเวลา
หรือ.. ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ..ครอบครัวเราไปโคเปนเฮเกน..เพื่อร่วมขบวนทัศนาจร ทางชลมารคกับคณะของพระราชินีอเล็กซานดรา (ซึ่งตอนนั้นดำรงเป็น
ปรินเซส ออฟ เวลส์) ด้วยเรือยอร์ชของใครของมัน..

เด็กๆ ทั้งรุ่นเล็กรุ่นโตสนุกสนานกันใหญ่..พระราชินีทรงชื่นชมที่เห็นพระโอรส จอร์จ*มีพระวรกายสูงใหญ่กว่านิคกี้ (ซาร์)ที่อยู่ในวัยเดียวกัน

(* คือ จอร์จที่ห้าในต่อมา..)

ในช่วงที่ฉันนอนเหยียดยาวบนเตียงในห้องแคบๆที่โรงแรมที่พักนั้น..
ความคิดก็แล่นลึกไปถึงไกเซอร์ (วิลเฮล์มที่สอง) อันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลย..
เพราะมันเหมือนกับว่าฉันได้ยินเสียงหัวเราะเยาะที่ก้องกังวานมาจากพระโอษฐ์ที่ดังข้ามประเทศมา
พระสุรเสียงนั้น..เต็มไปด้วยความสะพระทัยและสมน้ำหน้าอย่างสุดฤทธิ์..
ถึงแม้ว่าในขณะนั้นไกเซอร์เองก็ถูกขับออกจากตำแหน่งและต้องลี้ภัยไปอยู่ที่พระราชวังเล็กๆ เมือง Doorn (Netherlands)
แต่อย่างไรเสียสภาพของไกเซอร์ในเวลานี้ก็ยังดีกว่าพวกเรามากในทุกๆด้าน..

ข่าวการปฏิเสธการเดินทางเข้าอังกฤษของฉันล่วงรู้ถึงพระกรรณไกเซอร์เมื่อไหร่..
ก็พอเดาได้เลยว่า..คงไม่พ้นจากที่กล่าวมา
เพราะ ตอลดเวลาที่ผ่านมา..โรมานอฟช่างแสนแนบแน่นกับวินด์เซอร์แบบชนิดไม่เคยเหลียว แล หรือใส่ใจกับ พระญาติทางสายเยอรมัน (พระราชวงค์ Hohenzollerns) เลย..
กึ่งๆไม่ชอบหน้ากันด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะฉัน..ที่เป็นญาติสายตรงกับ เยอรมันแท้ๆ..ก็ยังหันไปชื่นชมกับทางอังกฤษแบบหมดใจ..ทั้งๆที่ใครต่อใครก็ บอกเสมอว่า..อังกฤษนั้นมัน (ภูมิปัญญา)ก็แค่คนขายของชำ**..หรือ คนส่งนม เท่านั้น

(** นโปเลียน..เป็นคนเรียกชาวอังกฤษว่า..London grocers )

ยิ่งคิดก็ยิ่งขมขื่นใจ..พยายามข่มใจได้ในที่สุด..และได้ตัดสินใจว่า..ฉันควรจะเก็บเรื่องการสนทนากับลอร์ดเดอร์บี้ไว้เป็นความลับ ไม่ควรที่จะให้ล่วงรู้ไปถึงพระกรรณของควีนอเล็กซานดรา เพราะพระองค์ไม่ได้มีส่วนในการบริหารของบ้านเมือง
และไม่ทรงแทรกแซงการทำงานของรัฐบาล..
การ ปฏิเสธการเดินทางของฉันนั้นมาจากความเห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่าง ประเทศ..และถ้าทรงทราบเข้าก็จะไม่สบายพระทัยไปเปล่าๆ หรืออย่างดีก็อาจจะทรงนำไปปรึกษากับพระโอรสจอร์จ (คิงจอร์จที่หก) และมันอาจจะกลายเป็นเรื่องระดับชาติไป..

ฉันไม่ต้องการให้ต้องมีการ วุ่นวายไปมากมายกับเพียงแค่อยากจะไปถวายคำนับ และถวายรายงานถึงเรื่องของซารินาพระมารดาผู้เป็นพระขนิษฐาของพระองค์เท่า นั้น
ว่าแล้วฉันก็ลุกขึ้นนั่ง..ร่างจดหมายขึ้นสองฉบับ..ฉบับหนึ่งถึงซารินาพระมารดาที่ไครเมีย..ทูลถึงความจริงว่าอะไรได้เกิดขึ้น..
ส่วน อีกฉบับก็เขียนถึงพระราชินีอเล็กซานดรา..กราบบังคมทูลและขอพระราชทานอภัย ว่า..ไปอังกฤษไม่ได้เพราะกำลังติดงานเรื่องการติดตามผลของการประชุมลงนามใน สนธิสัญญาแวร์ซายส์..และยังต้องติดต่อรอเข้าพบกับเหล่าผู้นำอีกหลายประเทศ
ฟังดูแล้วมันก็ใหญ่โตระดับข้ามชาติเลยทีเดียว..จดหมายถึงพระราชินีผู้ยิ่งใหญ่ของสองจักรวรรดิ์ในฐานะลูกหลาน..

ใคร เล่าจะมารู้ว่า..ฉันมันเป็นลูกหลานเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินชนิดไหนกัน..ที่ไม่มี เงินไปจ่ายค่าเช่าแฟลตที่ค้างเอาไว้ จนเขาต้องยึดสมบัติจนกว่าจะมีเงินไปชำระ..!!!!!


สองเดือน..ที่ฉันคงจะต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน..ที่ว่า"สอง เดือน" นั้น เพราะนับจากจำนวนเงินที่มีติดกระเป๋านั่นแหละ..ว่า..ฉันควรจะอยู่ได้แค่นั้น จริงๆ..

ในห้องพักเล็กๆข้างบนโรงแรม..ฉันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการ เขียนจดหมายไปถึงเหล่าเพื่อนในระดับผู้นำในประเทศอื่นๆถึงสถานะการณ์ที่เกิด ขึ้นในรัสเซีย..
จดหมายไปถึงพระญาติ..เพื่อเล่าให้ฟังว่า "ค่าใช้จ่าย"ในปารีสนั้นแพงระยับ..
จดหมายไปถึงเพื่อนๆที่ใกล้ชิดว่า..ตอนนี้รู้แล้วว่า"ความจน"นั้นเป็นอย่างไร..

แต่ ในยามที่ต้องลงมาสมาคมในห้องล๊อบบี้ของโรงแรม..ฉันคงเดินตรง อกผาย ไหล่ผึ่ง..สนทนากับมครต่อใครเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับประเทศของเรา.. ต่างกันก็ตรงที่ว่าฉันไม่สามารถให้ทิปพนักงานเสริฟอย่างหนักมือเหมือนแต่ ก่อน
แทบทุกนาที..ที่ฉันต้องพบปะกับคนที่รู้จัก..การเชิญชวนให้ไปร่วมในงานดินเนอร์ หรือค๊อกเทลปาร์ตี้ มีมาเสนอให้อย่างไม่ขาด..
เพียงแต่ในช่วงระยะเวลาที่ฉันใช้เวลาอยู่ในปารีสมานานพอสมควร พอจะรู้นิสัยของชนกลุ่มนี้ดีว่า
ถ้าฉันไปร่วมงานเข้าจริงๆแบบตามคำเชิญที่คะยั้นคะยอมา..แน่นอนว่า..ในวันรุ่งขึ้น..ต่างก็จะสุมหัวนินทากันให้แซ่ดว่า..
"โถ..แกรนด์ ดุ๊กตกยากคนนี้น่าสงสารจริงๆเลยนะเธอ.." หรือไม่ก็
"น่าเวทนา..คนที่เคยร่ำรวยล้นฟ้า..ต้องมาตกอับ อนาถา..สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตของพี่ของน้อง"

ซึ่ง ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ..ว่าชะตากรรมของพี่น้องนั้นจะเป็นอย่างไร..เพราะเรา ไม่ได้รับการติดต่อจากพวกเขาเลย..เพราะพี่ชาย จอร์จ กับ นิโคลัส ติดคุกอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ส่วนเซอร์เก น้องชาย อาจอยู่ที่ไซบีเรีย
ส่วนคนอื่นๆอีกหลายคน..ก็หายไปไม่มีใครรู้ข่าว..

(หมายเหตุ..ท่านมาทราบทีหลังเมื่อเดือนมกราคม ปี 1919...วิวันดา)

เช้า วันหนึ่ง..ในสามอาทิตย์แรกของการที่อยู่ที่ปารีส..ฉันได้มองเห็นนายทหาร อังกฤษคนหนึ่ง..มองไปมองมาหน้าตาก็คุ้นๆ..จนหลายนาทีต่อมาจึงได้จำได้ ว่า..เขาคือ (อดีต) แกรนด์ ดุ๊ก ดิมิทรี ***หลายชายของฉันเอง (เป็นพระโอรสของแกรนด์ ดุ๊ก ปอล)
และเป็นเรื่องที่ประหลาดใจอย่างยิ่งที่เห็นแกรนด์ ดุ๊กรุ่นเล็กของรัสเซียมาแต่งเครื่องแบบของนายทหารอังกฤษอย่างนี้..

(***ถ้าใครยังจำได้นะคะ..ว่าแกรนด์ ดุ๊ก ดิมิทรีคนนี้..ได้หนึ่งในคณะที่สังหารรัสปูติน ปี 1916..ท่านผู้เขียนได้ไปขอซาร์ให้ลดจากโทษประหารเป็นการต้องโทษโดยการเนรเทศ ให้ออกจากรัสเซียไปอยู่ที่เปอร์เซียโดยซาร์นิโคลาส ซึ่งต่อมาแกรนด์ ดุ๊ก ก็ขอสมัครเข้าสังกัดกับกองทัพอังกฤษในสงครามที่เมโสโปเตเมีย
มือสังหารรัสปูตินอีกคนหนึ่งก็คือเจ้าชายยูซุปปอพ ลูกเขยของท่านผู้เขียนเอง..)

ฉัน ไม่ได้พบกับดิมิทรีเลย..นับตั้งแต่วันที่ไปส่งที่สถานีรถไฟให้ออกนอกประเทศ ในเดือนธันวาคม 1916 เป็นต้นมา มาพบตอนนี้..ดิมิทรีเป็นหนุ่มเต็มตัว..หล่อเหลา สง่างาม..ซาร์คงไม่มีโอกาสที่จะได้รู้ว่า..เจ้าแกรนด์ ดุ๊กที่เหลือขอและเกเรจนต้องขับไล่ออกไปนั้น
บัดนี้..มีอนาคตที่สดใสและรุ่งโรจน์รออยู่ข้างหน้า..

ภาพ Grand Duke Dmitri Pavlovich of Russia


หมายเหตุ...ท่านผู้เขียนได้เสียเวลาในการเขียนจดหมายขึ้นหลายฉบับถึงบุคคลสำคัญต่างๆที่พำนักอยู่ในกรุงปารีสเวลานั้น
เพื่อถกถึงปัญหาของรัสเซีย...แต่การตอบรับนั้นล้วนแต่ปฏิเสธในการที่จะพบปะ..
รวมทั้งท่านประธานาธิบดี วิลสันแห่งสหรัฐอเมริกาด้วย..
ซึ่งท่านก็"ทำใจ" แล้ว..ว่า..คงเป็นเช่นนั้น เพียงแต่อย่างน้อยก็ได้พยายามในทำหน้าที่ในฐานะพลเมืองชาวรัสเซียที่รักชาติคนหนึ่ง
มิใช่ในฐานะเจ้า..
ช่วงนี้ดิฉันจะข้ามไป..

ส่วนที่เหลืออยู่อีกคนที่ท่านตั้งความหวังว่าจะต้องพบให้ได้นั้น..คือ..นาย Arthur Balfour แห่งกระทรวงต่างประเทศของบริเตน
ซึ่งยังเป็นกลุ่มท้ายๆที่ยังพำนักอยู่ในกรุงปารีส...วิวันดา

ต่อ..

ที่ฉันต้องการพบกับนายบัลโฟร์นั้น..มิใช่เพราะเรื่องการเมืองรัสเซีย..แต่ที่อยากพบเพราะ"ข้องใจ" จริงๆว่า
ฉันได้ไปสร้างความเสื่อมเสียอะไรมากมายจนถึงขนาดต้องห้ามไปเหยียบประเทศอังกฤษ..ทั้งๆที่จดหมายจาก
สมเด็จพระนางเจ้าอเล็กซานดราก็ได้ตอบกลับมาที่มีแววเสียดายไปกับการที่ฉันต้อง"ติดธุระ" ยุ่งมากมาย (ตามที่อ้างไป)
จนไม่สามารถไปเข้าเฝ้าได้..ท่านยังตรัสถามมาว่า..เสาร์ อาทิตย์ก็ไม่ว่างเจียวหรือ..?
ทำให้เชื่อได้ว่า..นายบัลโฟร์ย่อมมีการเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน
หลังจากที่ฉันกระหน่ำทั้งด้วยจดหมายและโทรศัพย์ไปยังสำนักงาน..จนเลขานุการของเขาต้องตอบมาด้วยความรำคาญหน่อยๆว่า
"พณ.ท่านบัลโฟร์ คิดว่าจะรับรองฝ่าพระบาทที่โรงแรมที่พำนักเป็นการไปรเวทดีกว่าพะยะค่ะ"
ฉันก็อยากจะสวนกลับไปว่า..จะพบที่ไหนก็ไม่สำคัญ..เอาว่ามาพบแน่ๆก็แล้วกัน

วันนัดหมาย..ฉันได้ไปก่อนเวลาห้านาที..โดยแจ้งให้พนักงานรับรองข้างล่างทราบ..และขึ้นลิฟท์ไป
พออกมาจากลิฟท์ ก็พบว่านายบัลโฟร์กำลังพาร่างโย่งเย่งของตัวเอง เดินกึ่งวิ่งเหมือนกับจะหนีอะไรสักอย่างหนึ่งลงไปทางบันไดหนีไฟ
ฉันขยับปากจะเรียก..แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ..
วินาทีต่อมา..นายเลขาฯนั่น..ออกมารับรองด้วยสีหน้าตื่นๆทะ:-)ๆ พร้อมทั้งกล่าวว่า

"พณ.ท่าน บัลโฟร์ไม่ว่างที่จะพบกับฝ่าพระบาทแล้วพะยะค่ะ..ท่านเสียใจและเสียดาย จริงๆ..แต่ถ้าฝ่าพระบาทมีธุระอะไรก็ฝากกับหม่อมฉันได้..หม่อมฉันจะนำเสนอ เรียนให้ท่านทราบอย่างไม่มีตกหล่นเลยพะยะค่ะ"
นายนั่นพูดออกมาอย่างอึกๆอักๆ เพราะเขาคงรู้ดีว่า..ละครบทนี้มันไม่เนียน..
ฉันก็เลยตอบไปว่า..

"มีซิ"

"กระหม่อมยินดีรับใช้พะยะค่ะ..ตรัสมาได้เลย"

"งั้น...ช่วย ไปบอกพณ.ท่านของคุณด้วยนะว่า..คราวหน้าคราวหลังจะขึ้นจะลงก็ใช้ลิฟท์เถิด ..อายุปูนนี้แล้วจะมาวิ่งหน้าตาตื่นลงบันได ก็ดูไม่สู้ดีนะ..!!"


ภาพ..นาย Arthur Balfour ตำแหน่งในตอนนั้นคือ Foreign Secretary of Great Britain

    

 

 

เดี๋ยวก่อนที่จะงง..ว่าที่คุณเค้าพูดถึง Duke of Windsor คือใคร?

ท่าน ก็คือ อดีต คิง เอ็ดเวิร์ด ที่แปด (เดวิด)ที่สละบัลลังก์เพราะแม่ม่ายวอลลิส ซิมป์สัน นั่นแหละค่ะ..หลังจากที่ท่านสละราชสมบัติ..แต่ไม่ได้สละความเป็นเลือดเนื้อ ของวินด์เซอร์ เพราะนั่นเป็นมาตั้งแต่เกิด..ดังนั้น..จึงต้องมีการสถาปนาท่านใหม่ในตำแหน่ง และพระยศที่เหมาะสม..
ทางบั๊คกิ้งแฮม..ก็สรรหาชื่อนั้นชื่อนี้..จนมาลงตัวที่ Duke of Windsor ส่วนพระชายา วอลลิส
ก็ถือไตเติ้ลเป็น ดัชเชส ออฟ วินด์เซอร์ ไปตามระเบียบ..

"ขอเล่าถึง...แกรนด์ ดุ๊ก ดิมิทรี น่าสงสารมาค่ะในช่วงชีวิตบั้นปลาย..ท่านทรงอภิเษกกับ Audrey Emery หญิงอเมริกันชั้นแนวหน้าในสังคม ลูกเศรษฐีว่างั้นเถอะ...
จากนั้นก็เลิกกัน..ฝ่ายหญิงก็หอบลูกชายคนเดียวกลับไปอเมริกา
ซึ่งท่านมิได้พบอีกเลย..และทรงสิ้นพระชนม์อย่างอ้างว้างที่สวิส..ไม่มีใครดูแล..
เนื่องจากท่านทรงประชวรเป็นวัณโรค (เป็นโรคติดต่อที่ว่าน่ากลัวมากในสมัยนั้น)

 

ต่อ มาลูกชายคนเดียวของท่าน..มีชื่อว่า..Paul R. Ilyinsky เป็นอเมริกันเต็มตัว (แต่ได้รับการสถาปนาในหมู่พระญาติในตำแหน่ง Prince) ได้มาเป็นนายกเทศมนตรี
ของ Palm Beach, Florida ติดต่อกันถึงสามสมัย..


ภาพ..Paul R. Ilyinsky   



ต่อค่ะ..

เอาเถอะ..จะพบใคร หรือใครไม่ให้พบมันก็ไม่สำคัญสำหรับฉันแล้วในตอนนี้..เพราะปัญหาใหญ่ที่ กำลังประสบอยู่ตอนนี้คือ..การที่จะต้องหาเงินมาจ่ายบิลที่กำลังกองท่วม
อยู่ในขณะนี้..ค่าเสื้อผ้า ค่าตัดรองเท้า..ค่าโรงแรม..ค่าอาหาร..ซึ่งเจ้าหนี้เหล่านั้นทุกคนต่างก็ต้องการที่จะได้รับการจ่าย..

ในกรุงปารีส..ฉันไม่มีทางไหนที่จะเอาเงินมาได้ แต่ถ้าเป็นที่ลอนดอน..ก็พอมีหนทาง
แต่..ฉันไม่สามารถเข้าไปในประเทศได้..ก็เลยยิ่งมืดมน..
ถ้า ใครมีตาทิพย์ มองทะลุเข้ามาถึงในห้องที่พำนักอยู่ได้..จะเห็นว่าฉันมันคงบ้าไปแล้ว..เพราะ บนโต๊ะเขียนหนังสือนั้นเต็มไปด้วยตารางผังที่เขียนโยงยางตามสมัยและปีเมื่อ ครั้งโบราณกาล..เริ่มจาก

650 B.C. Dorians จาก Heraclea ที่ Chersonesus และ Ionians จาก Miletus ที่ Theodosia...ไล่ลงมาอีกสารพัดนับสิบๆรายการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เก่าแก่ทั้งนั้น..
บางรายการ..ตั้งแต่สมัยฮั่น

เปล่า หรอก..ฉันไม่ได้บ้า..แต่รายการทั้งหมดนั้น..คือรายการเหรียญวัตถุโบราณที่ ฉันสะสมเอาไว้ ในสมัยหนึี่งที่เคยเป็นนักเล่นของเก่าตัวยง..อีกทั้งบางส่วนก็เป็นมรดกตกทอด ลงมาจากบรรพบุรุษ..
ครั้งหนึ่งที่ฉันเคยทุ่มเทไปกับการสะสมของเหล่านี้..พ่อเคยบ่นบ่อยๆว่า
"ซานโดร..มันจะมากไปแล้วนะ..แกใช้เงินไปกับการขุด การซื้อพวกเหรียญกรีกอะไรพวกนี้อย่างบ้าคลั่งไปหน่อยแล้ว..แกน่าจะเอาเงินไป ลงทุนทำเหมืองทอง เหมืองเพชรหรือซื้อสต๊อคน้ำมัน ซื้อที่ดินเก็บเอาไว้จะดีกว่า..เหลวไหลจริงๆ"

ฉันก็ยังทำตัวเป็น"นักเล่นของเก่า" เหมือนเดิม..ทำหูทวนลมไปบ้าง..

แล้ว ไงล่ะ..ถ้าขืนฉันทำตามดังที่พ่อแนะนำในตอนนั้นแล้วละก้อ..ก็ต้องนับว่าฉัน ต้องถึงขนาดกัดก้อนเกลือกินเชียว..เพราะ เหมืองสารพัดที่ว่านั่น..ก็จะหายวับไปอยู่ในอุ้งมือของบอลเชวิคในชั่วไม่ทัน ข้ามคืน..สต๊อค..ก็มีค่าแค่เพียงเศษกระดาษ..
โฉนดที่ดิน..อาจจะมีอยู่ในมือเป็นปึกก็จริง..แต่จะเอาไปแลกกับกางเกงดีๆสักตัวในปารีสก็คงยาก..


ในที่สุด..ฉันตัดสินใจเขียนจดหมายไปยังนักค้าของเก่า ชื่อดังในเจนีวา..โดยการเสนอ"ปล่อย"เหรียญทองเก่าแก่ในสมัยมหาจักรพรรดิอ เล็กซานเดอร์
เดอะ เกรท..ที่มีคุณค่าหายากยิ่ง
นักค้าของเก่าคน นั้น..เขารู้จักฉันดีในฐานะนักสะสมเหรียญโบราณตัวยง ดังนั้นเราตัดปัญหาในเรื่องการ"ย้อมแมว" ไปได้..เขาไม่ติดใจในเรื่องนั้น..
แต่เนื่องจาก..บ้านเมืองอยู่ในยุควิกฤติของสงคราม..เขาจึงไม่สามารถ"ให้" ราคาตามที่ควรจะเป็นได้...
ราคาเขาเสนอมาให้อย่างเกรงอกเกรงใจนั้น..มันต่ำอย่างน่าใจหาย
ซึ่ง..ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด...

เพราะเจ้าหนี้ช่างตัดเสื้อมานั่งคอยเก็บเงินอยู่ที่ล๊อบบี้ข้างล่าง..

สองปีให้หลัง..ฉันได้อ่านเจอในหนังสือลอนดอนไทมส์ ที่มีเนื้อข่าวของเหรียญ
อเล็กซานเดอร์ เดอะ เกรท (ของฉัีนอันนั้น) ที่ได้บรรยายรายละเอียดไว้ว่า
เป็น ของเก่าแก่ที่ได้มาจากเจ้านายของรัสเซีย...และเหรียญนี้ได้รับการรับรอง นาย(นักค้าของเก่าคนนั้น) จากเจนีวา...และราคาที่นายคนนั้นได้ประเมินไว้เป็นจำนวนมหาศาล
ที่ต่างกับที่เขาจ่ายให้ฉันอย่างเทียบกันไม่ได้..

จาก นั้น..ฉันก็ทะยอยปล่อย"ของเก่า" ออกชิ้นแล้วชิ้นเล่า..โดยผ่านตัวกลางในประเทศต่างๆ เช่น ในการประมูลที่สวิต หรือที่อังกฤษ..เพราะนั่นคือวิธีเดียวของการทำตัวให้อยู่รอด

แต่อย่างน้อย..ฉันก็ไม่ต้องคอยหลบหน้าหลบตาในยามที่เดินผ่านล๊อบบี้อย่างแต่ก่อน
เจ้า หนี้ต่างๆก็พากันแฮปปี้ถ้วนหน้า..ตัวฉันเองก็พอมีสตังส์ติดกระเป๋าบ้าง.. พลอยหายใจสะดวกขึ้นหน่อย..พอมีเวลาที่จะเดินเกร่ไปยังห้องสมุด และ สโมสร เพื่อพบปะทักทายผู้คนบ้าง..

พูดถึงเรื่องสโมสร (สำหรับชนชั้นปกครอง) นั้น..ฉันว่ามันน่าขบขันพอสมควร
เพราะฉันยังไม่เคยเห็นใครหน้าไหนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นนักปาฐกถาตัวยงในเรื่องการเมืองการสงครามได้เลย..
เพราะทันทีที่เขาทราบว่า..หนึี่งในนั้น..คือ แกรนด์ ดุ๊ก จากรัสเซีย มานั่งฟังอยู่ด้วย
คนพูด..ก็เลย"อึกอัก" ***กันเป็นแถวๆ...



*** ขยายเพิ่มเติมในความหมายของอาการอึกอักค่ะ..

คือว่า ในช่วงนั้น..เป็นปลายปี 1918 ที่สงครามใกล้สิ้นสุด..มีผู้แพ้ผู้ชนะแล้ว
การบ้านการเมืองจึงเต็มไปด้วย"เรื่องราว" ที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังมากมาย..
ฉะนั้น..การ ที่รัสเซียต้องถอนตัวออกไปจากสงครามกลางคัน (เพราะการปฏิวัติภายในประเทศ) จึงเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับคนที่ต้องการจะโจมตีหรือ
โยนกลองให้..ในเมื่อท่านผู้เขียนที่เป็นพระราชวงค์ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และ "รู้จริง"
ถึงฐานข้อมูลดังกล่าว..จึงได้เกิดการ "อึกอัก" ดังที่ท่านว่าเอาไว้น่ะค่ะ


เรื่องห้ามปากคนนี่เห็นทีจะเป็นเรื่องยาก..

ดูอย่างรัฐสภาของรัสเซียที่มีนักการเมืองหัวนอกหลายคน..ปากกล้าลุกขึ้นมาอภิปราย
ถึง โครงสร้างและถึงในด้านลบของตัวปูชนียบุคคลอย่าง พระเจ้าปีเตอร์มหาราช และเรื่อง "ชู้รัก" ของจักรพรรดินี เอมเปรส แคธรีน อย่างหน้าเฉย
ทั้งๆที่มันพวกนั้น..ยังกินเงินเดือนของหลวง อันเป็นเงินจากท้องพระคลังของพระราชวงค์
ที่ตกทอดมาจากคนที่มันด่าปาวๆอยู่นั่นแหละ..

ฉัน ได้พบปะกับพ่อค้าขายอาวุธสงครามชางฝรั่งเศสที่เคยอุดหนุนกันเมื่อฉันได้ดำรง ตำแหน่งแม่ทัพอากาศ..เพราะเหตุนี้..เขาจึงรับฉันเข้าไปเป็นสมาชิก กิตติมศักดิ์ของสมาคม (แห่งนักการเมือง) Palais du Bourbon..
ซึ่งในการปรากฏตัวครั้งแรกของฉันนั้น..ก็ได้รับเชิญให้ไปร่วมในโต๊ะอาหารกลางวันที่
ร้านอาหารหรูในถนนใกล้ๆ ซึ่งเป็นที่รวมและพบปะสังสรรสำหรับกลุ่มวงใน
และที่ฉันออกแปลกใจ..คือ ภาษาที่เขาใช้กันมันไม่สุภาพเท่าที่ควร และ ดูไม่เหมือนเป็น "กลุ่มมีการศึกษา" เท่าที่ควร..
มันทำให้ฉันนึกเปรียบได้กับสภาพของโรงทหารเกณฑ์ หรือ พวกหลังโรงละคร

เช่น

****
" Passe-moi du sel." (ช่วยส่งขวดเกลือให้ผมหน่อย)

" Eh bien,qu'es'que tu penses de cette affaire en Angleterre?" (นายคิดยังไงกับเรื่องของอังกฤษนั้นน่ะ?"

" As tu vu Loucheur?" (นายพบกับท่าน รมต.( Louis) Loucheur หรือยังล่ะ"

****หมายเหตุ...ท่านคงตกพระทัยพอสมควร เพราะคงไม่เคยมีใครมาใช้สรรพนาม "tu"
กับท่าน เพราะมันเหมือนกับเรียกว่า..เธอ หรือ นาย ซึ่งควรจะใช้กับเพื่อน หรือคนที่คุ้นเคยมากกว่า.. (วิวันดา)

จากนั้นก็มีเสียงใครคนหนึ่งประกาศออกมาว่า

"เรามีความยินดีที่จะแนะนำนักอภิปรายฝีปากดีที่สุดคนหนึ่งแห่งพรรคสังคมนิยม..
และเขาได้ผายมือไปยังชายผมขาวคนหนึ่ง..ที่กำลังจ้วงกินบูญาเบส (bouillabaise)
ในชามใหญ่ยักษ์ตรงหน้า..

"เตรียมตัวไว้หน่อยนะท่าน..เพราะว่าเขาอาจจะไม่นิยมชมชอบนักการที่แนะนำตัวกับท่าน มันก็เป็นธรรมดาสำหรับพวกที่ไม่นิยมเจ้า.."

"คุณกำลังพูดเล่นใช่ไหม..?"

"ไม่เลย...เป็นเรื่องจริงขอรับ"

"แล้วไง..มันมาเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย..ก็ฉันนั่งโต๊ะเดียวกับคุณไม่ใช่หรือ"

"แต่ฝ่าพระบาทเป็นเจ้า..มียศ มีศักดิ์..มีฐานันดร"

"เหลวไหล.."

แต่กลายเป็นว่า..เมื่อเราได้รู้จักกันจริงๆ..นายนักอภิปรายกับฉันก็คุยกันได้อย่างออกรส
เพราะไล่เลียงไปมา..เขารู้จักกับญาติและเพื่อนๆของฉัีนอีกหลายคน..


แล้วเราก็คุยกันต่อไปถึงเรื่องผลที่จะตามมาอย่างไรจาก สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งฉันได้ยืนยันไปว่า..ยังคงต้องการพบกับนายเคลมองโซ นายกรัฐมนตรี
นายนักพูดคนนั้นได้ตอบมาอย่างไม่ต้องคิดว่า

"ท่านกำลังยุ่งมาก..เพราะกำลังงัดข้อกับอังกฤษอยู่ในเรื่องของน้ำมันในอาฟริกาอะไรเนี่ย"

"อาฟริกา..น้ำมัน..อะไรกันน่ะ?" ฉันออกงงๆ..เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน

"เอ่อ..ตรง ไหนล่ะ..เออ..ตรงนั้นเขาเรียกว่าอะไรน้า..ที่อังกฤษกำลังไปเอาเปรียบพวกผิว ดำน่ะ..ตรงที่มีน้ำมันที่มากที่สุดในโลกไง..ในหนังสือพิมพ์อังกฤษก็ลงข่าว ทุกวัน"

"คุณหมายถึงที่ โมซุล (Mosul) ใช่หรือเปล่า?"

"น่านหละ..ตรงนั้นหละ..เนี่ยผมกำลังจะเอาไปอภิปรายในสภาช่วงบ่ายวันนี้แหละ..
พรรคของผมไม่มีวันยอมที่จะให้อังกฤษเที่ยวไปรุกรานชาวบ้านจนๆตาดำๆอย่างหน้าไม่อายหรอก..คอยดูซิ"

เออ..ฉันละเป็นกลุ้มกับนายนักพูดปากกล้าแต่ความรู้อ่อนด้อยอย่างนายคนนี้ซะจริงๆ..
โม ซุล..ในอดีต เป็นดินแดนของเมโสโปเตเมีย..ถึงในปัจจุบันก็ไม่มีชาวผิวดำ..มีแต่ชาว อาหรับ...แต่อย่างไรก็ตาม..เนื้อหาในข้อมูลที่ได้รับฟังมา..มันก็น่ากลัว อยู่น้อยเสียเมื่อไหร่..

ดังนั้นหลังจากเสร็จสิ้นอาหารกลางวัน..ฉันก็ตามติดไปนั่งฟังการประชุมด้วย
ทันที่ที่ถึงประตูสภา..ทหารที่เฝ้าหน้าประตูใด้ทำความเคารพนายนักพูดนี่อย่างแข็งขันและพร้อมเพรียง...ฉันเอ่ยขึ้นลอยๆว่า

"ก็ดูเข้มแข็งดี..นะ"

"นี่แหละ..ทหารฝรั่งเศส..ดีที่สุดในโลก..ไม่มีประเทศไหนที่จะสร้างทหารได้ดีเท่ากับเรา
พร้อมที่จะทำสงครามเพื่อความสงบสุขของมนุษยชาติ..."

ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของนายนี่สักเท่าไหร่..เพราะเรื่องสำคัญๆที่อยากรู้ อยากเห็นนั้นมันรอฉันอยู่ในสภา..แต่แล้ว..ก็ต้องพบกับความผิดหวังอีก..เพราะ อภิปรายกันไม่ทันไร ก็เริ่มการวิวาทะ
ประธานสภารีบสั่งให้ทุกคนอยู่ใน ความสงบ..แต่ดูเหมือนจะช้าไป..เพราะ ชายร่างสูงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ทางฝั่งขวาไกลๆ..ถลาข้ามฝั่งมายังฝั่งซ้าย อย่างรวดเร็วและชกเข้าไปที่เบ้าตาของสมาชิกพรรคสังคมนิยมอย่างเต็มแรง..

จากนั้นก็ชกกันชุลมุน..อาวุธที่ใช้มีทั้ง ..ไม้เท้า..กำปั้น..ขวดหมึก..

หลังจากที่แยกออกจากกันสำเร็จ..ประธานสภาถามว่า..มันเรื่องอะไรกัน?
เจ้าคนที่ชกก่อน..บอกว่า..
"ไอ้หมอนั่น..มันนินทาผมกับเพื่อนผม"

"เอาละ..ทั้งสองคน..จับมือขอโทษกันเดี๋ยวนี้"

"ไม่มีทาง..ผมไม่มีวันขอโทษไอ้คนสาระเลวอย่างนี้ได้" สิ้นเสียงเขาก็เบี่ยงหัวหลบได้ทันพอดีกับหนังสือเล่มยักษ์ที่ปลิวมา

"หยุดเดี๋ยวนี้..ไม่งั้นผมจะเรียกรปภ...ให้เข้ามาจัดการ.."

แต่ไม่มีใครฟังเสียงท่านประธาน..เพราะขวดหมึกสารพัดสีต่างปลิวว่อน เสื้อขาวที่ใส่กันกลายเป็นเสื้อสารพัดสีจนน่าขัน

ท่านประธาน..อ่อนใจ..คว้าหมวกขึ้นสวมและเตรียมตัวก้าวออกจากห้องประชุม..
และได้เอ่ยขึ้นอย่างละเหี่ยใจว่า..

"พวกคุณคิดว่า..ประชาชนชาวฝรั่งเศสที่เขาเลือกคุณเข้ามา..เขาจะคิดอย่างไรถ้าพวกเขารู้ว่า..พวกคุณได้ทำตัวเหลวไหลอย่างนี้?"

หมายเหตุ..ไม่อยากพูดถึงหรือเกี่ยวข้องกับการเมืองเลยนะคะ..แต่..ขอเล่าเพิ่มเติมขยาย ความอีกหน่อยนึง จะยิ่งอึ้ง..เพราะมันช่าง"เหมือน" สิ่งที่อยู่รอบตัวเราเข้าไปอีก..

นั่นคือเรื่องการแบ่งเค้กระหว่าง อังกฤษ และฝรั่งเศส ในตะวันออกกลาง โดยฉวยโอกาสที่
อาณา จักรออตโตมันกำลังอยู่ในภาวะล่มสลาย ด้วยการตกลงกันในระหว่างสองจอมทัพ ในนามว่า..Sykes-Picot Agreement เมื่อปี 1916-1917
ดูภาพของการแบ่งนะคะ..

เรื่องนี้ควรจะเป็นเรื่องลับ..แต่ดันประกาศกันเอิกเกริกให้ประชาชนทั้งสองประเทศได้ไชโยโห่ฮิ้ว..

แต่ไม่กี่เดือนต่อมา..นายกรัฐมนตรีอังกฤษ Lloyd George ได้ประกาศในกลางที่ประชุมสภากลาโหม ปี 1918 ว่าสัญญานั้นเป็นการโมฆะ เพราะ ในการแบ่งเค้กที่ว่านั้น Mosul อยู่ในเขตการดูแลของฝรั่งเศส และเป็นดินแดนที่มีน้ำมันมากมาย...อังกฤษต้องการเข้าครอบครองตรงนี้จึง เคลื่อนทัพขยายกำลังไปโมสุล..และอ้างว่า..มาช่วยเสริมกำลังดูแลในเขต นี้..แล้วก็ทำดื้อ ตั้งกองกำลังมีทหารดูแลพื้นที่หน้าตาเฉย...แล้วก็เอาไปอ้างว่าได้เสียงบ ประมาณไปมากกับการณ์นี้..
ดังนั้น ก็ถือครองซะเลย..

(นี่คือ..ข้อ วิพากษ์ในสภาฝรั่งเศส จนถึงขนาดลงมือลงไม้กันที่ได้เล่ามาข้า่งบน..เพราะข้อมูลลึกๆนั้นไม่มีใคร ทราบว่าทำไมรัฐบาลฝรั่งเศสจึงยอมเสียดินแดนส่วนนั้น .ใครตั้งกระทู้ถามก็ทำเฉย..เหล่าสมาชิกสภาจึงร้อนระอุเป็นไฟ)

ข้อมูล ลึกๆที่ว่านี่คือ..ฝรั่งเศสไม่มีทรัพย์และสมรรถนะเพียงพอที่จะไปขุดค้นหา น้ำมันซึ่งเป็นโครงการระยะยาวได้...อีกทั้งหมายมุ่งอยากให้อังกฤษมาช่วยสนับ สนุนทางด้านปรับปรุงดินแดนที่อยู่ติดกับออสเตรียมากกว่า..เพราะว่าช่วงนี้ สำคัญสำหรับฝรั่งเศสมาก เนื่องจาก
มันเป็นกันชนอย่างดีให้กับบ้านเมือง..
หากว่าจะเกิดสงครามกับเยอรมันขึ้นมาอีกในภายภาคหน้า..
(เพียงแต่..รัฐบาลฝรั่งเศสไม่ยอมตอบคำถามให้กับประชาชน..กลับทำนิ่ง ใบ้เบื้อซะงั้น..)

ทำให้ประชาชนไม่เข้าใจในนโยบาย..เดือดดาลรัฐบาล..เพราะเห็นว่า..ยอมอ่้อนข้อให้กับอังกฤษจนเกินไปในทุกๆเรื่อง..




ภาพ การแบ่งเขตในตะวันออกกลาง ในข้อตกลง Sykes-Picot Agreement
จะเห็นชัดว่า โมสุล อยู่ในเขตของฝรั่งเศส

 

เช้าวันหนึ่ง ในเดือนมกราคม 1919 ที่ฉันยังทนพำนักอยู่ในโรงแรม Ritz อันโก้หรูนั่น ขณะที่ฉัน
กำลังย่างก้าวเข้าไปในห้องอาหาร...รู้สึกว่าฉันได้ตกเป็นแป้าของกระแสสายตาทุกคู่ของคนในนั้น
สายตาเหล่านั้นมีแววตื่นเต้นระคนอยากรู้..
จนฉันต้องแอบมองตัวเองในกระจกว่า..มีอะไรตกหล่น หรือขาดหายในเรื่องเครื่องแต่งกายหรออย่างไร..และก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปรกติ

จากนั้นก็เดินเข้านั่งที่โต๊ะตามปรกติ สั่งอาหาร..และ..เริ่มเปิดจดหมายอ่านตามปรกติเช่นเคย
หวัง ว่าในจดหมายที่ส่งมาน่าจะมีข่าว หรือ อะไรที่เกี่ยวข้องกับเหตุที่ใครต่อใครหันมาสนใจในตัวฉันของเช้าวันนี้..แต่ ก็ไม่พบอะไรร นอกจาก บิลกองโต..กับบัตรเชิญให้ไปร่วมดินเนอร์จากเพื่อนเก่า

แต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังตกเป็นกระแสสายตาของคนเหล่านั้นเหมือนเดิม..

ฉันยักไหล่อย่างไม่แคร์...สะบัดกางหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน..
ภาพกลุ่มคนในหน้าหนึ่งนั้น.. แม้จะไม่ชัด แต่มันทำให้ฉันนิ่งขึง...ทุกคนในนั้นอยู่ในเครื่องแบบทหารรัสเซีย...
ฉันรีบอ่านคำบรรยายสองสามบรรทัดใต่ภาพทันที...มันเขียนว่า..

***"สี่แกรนด์ ดุ๊ก แห่งรัสเซีย.. ถูกยิงดับ!!
แกรนดฺ ดุ๊ก นิโคลาส, จอร์จ, ปอล และ ดิมิทรี..สองพี่น้อง และ สองญาติสนิท ของแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ ที่ประทับอยู่ทีี่นี่ ได้ถูกสำเร็จโทษโดยกลุ่มบอลเชวิคที่เซ็น ปีเตอร์สเบอรค์ เมื่อวานนี้.."

(***สองพี่น้องของท่านผู้เขียนคือ...Nicholas Mikhailovich และ George Mikhailovich
ส่วนญาติ..คือ Dimitri Constantinovich และ Paul Alexandrovich....วิวันดา)

นอกนั้นก็ไม่มีข่าวอะไรอีกนอกจากบอกว่า.. คณะโซเวียตยังไม่มีข่าวคืบหน้าในเรื่องที่สำหรับจะฝังพระศพนั้น..ว่าจะเป็นที่ใด...

ฉันจำได้ว่า..พยายามพับหนังสือพิมพ์ฉบับยักษ์นั้นให้เล็กมากที่สุดเพื่อที่จะยัดมันใส่ในกระเป๋า
สมอง มึนงง...หาใช่ด้วยความตื่นตระหนกไม่..เพราะเรื่องจุดจบแบบนี้เป็นเรื่องที่ ได้เตรียมใจไว้มานานมากแล้ว..หากแต่..พอมันมาถึงเข้าจริงๆ..การที่จะทำใจรับ ให้ได้นั้นลำบากนัก..

สี่คนที่ต้องมาเคราะห์ร้ายนั้น..ไม่มีส่สนเกี่ยวข้องอะไรกับการเมืองเลยแม้แต่นิด
พี่ ชายใหญ่ (แกรนด์ ดุ๊ก นิโคลาส )..นั้น..เป็นประหนึ่งอัญมณีที่มีค่าของโรมานอฟ เพราะพี่ชายเป็นนั้งนักประวัติศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ เป็นกวี..เป็นนักเขียน..และเป็นนักวิชาการที่มีคิดสร้างสรร

จอร์จ..(เป็นพี่ชายรอง) เป็นจิตกรที่มีความสามารถหลากหลาย..

ดิมิทรี..(เป็นญาติผู้พี่ เพราะลูกของลุง) มีความชำนาญในเรื่องม้า..และ..ชอบเข้าวัดเข้าวา..ชอบอ่านไบเบิ้ล

ปอล..(พระอนุชาของซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่สาม เท่ากับว่าเป็น อาของท่านผู้เขียน) คนนี้เป็นพ่อรูปหล่อ สำอาง ใจเย็น..อ่อนโยน...


สาเหตุ ที่ทั้งหมดต้องมาถูกสำเร็จโทษนั้น...ไม่มีเหตุผลอะไรอื่น..นอกจากพวก คอมมิวนิสต์เห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บเอาไว้..ก็เท่านั้น..



หมายเหตุ...ชิ้นส่วนของพระศพของแกรนด์ ดุ๊กทั้งสี่..เพิ่งจะถูกค้นพบได้เมื่อปีที่แล้วโดยบังเอิญ ในช่วงของการซ่อมสร้างป้อม ปีเตอร์ แอนด์ ปอล ที่เซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ค

ดูข่าวได้ที่นี่ค่ะ....... http://www.angelfire.com/pa/ImperialRussian/news/92news.html

ช่วงระหว่างที่ฉันกำลังระลึกและอาดูรถึงพี่น้องและญาติ ผู้ที่เพิ่งจากไปนั้น...ฉันก็ยังได้รับรู้ด้วยว่าทุกสายตาที่จับต้องมานั้น เต็มไปด้วยความ"อยากรู้" ว่าฉันจะเล่นบท "ดราม่าแบบเจ้าๆ" ยังไง..

โอลิวิเยร์ พนักงานเสริฟเก่าแก่ที่รู้ใจ..รีบเข้ามากระซิบถามว่า
"ฝ่าพระบาทจะให้กระหม่อมนำอาหารขึ้นไปถวายบนห้องดีกว่าไหมพะยะค่ะ?"

"ขอบใจนะ โอลิวิเยร์..เธอนี่รู้งานดีจริงๆ..แต่ไม่ต้องหรอก..ฉันจะรับอาหารเช้าที่นี่แหละ"

ว่าแล้ว...ฉันก็นั่งจิบกาแฟเอื่อยเฉื่อย..เอามีดปาดเนยทาลงบนขนมปังอย่างละเมียด ก่อนที่จะ
ยกขึ้นกัดกินในท่าที่สบายๆ..
โดยไม่คำนึงถึงสายตาที่ตื่นตะลึงปนพิสวงว่า..ทำได้ไง..ในเมื่อเหล่าพี่น้องญาติโยมเพิ่งถูกฆาตกรรมสำเร็จโทษไปเมื่อยี่สิบสี่ชั่วโมงที่แล้วเอง..

ค่ำคืนวันนั้น..ฉันก็ยังไปร่วมในงานดินเนอร์ตามที่ได้รับบัตรเชิญมาด้วยซ้ำ..เจ้าของงาน
Duchess de Broglie ยังอุทานออกมาว่า
"ฝ่าพระบาทเสด็จมาจริงๆด้วย.."
ส่วนผู้คนในงานอื่นๆต่างหยุดนิ่งและหันมาซุบซิบกัน...ฉันก็เลยตอบไปแบบหน้าตาเฉยว่า..
"ก็ทำไมจะไม่มาล่ะ..?"

แล้ว ก็หยุดการสนทนาของเรื่องนี้ไว้เพียงแค่นั้น...เพราะ...มันไม่มีประโยชน์อัน ใดที่จะไปอธิบายถึงที่มาที่ไปของคำว่า "ขัตติยะมานะ" ที่พวกเราได้ผ่านการฝึกฝนในการ"ทำใจ" ให้ได้ในทุกๆเรื่อง..ความโศกเศร้านั้น..ฉันมีแน่...แต่มันได้ถูกสะกดลงไปลึก เกินกว่าที่ใครจะสัมผัสได้
ปล่อยให้พวกคนเหล่านั้นเอาไปนินทากันให้สบายใจว่า..
"ดูซิ..ญาติพี่น้องตายไปอย่างน่าเศร้าใจ ศพถูกโยนไปในกองขยะไหนก็ไม่มีใครรู้..ยังมีกะใจมา
ดื่มแชมเปญ เต้นรำอยู่ได้...ร้ายกาจจริงๆ"


ยิ่งคิดไปถึงอดีต..ที่เคยรับใช้ชาติและอยู่ใต้บื้อ งยุคลบาทของซาร์มาตั้งแต่เกิด..คิดถึงชีวิตของการเป็นข้าราชการที่ทำงานมา หลากหลาย..คิดถึงโชคชะตากรรมที่พลิกผัน..
คิดถึงเคราะห์กรรม
มันทำให้ ฉันรู้สึกเบื่อๆไปหมดทุกอย่าง...อยากลืมอดีต อยากจะเดินทางออกไปให้ไกลๆ ไปอยู่ในที่ที่มีแต่ความเงียบสงบ..ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาทั่วๆไป..ถ้าไม่ใช่ เป็นเพราะครอบครัว..เซเนีย และ ลูกๆอีกเจ็ดคน
ฉันคงจะแล่นไปอยู่อเมริกาในเที่ยวเรือลำแรกที่ออกจากท่าแล้ว..

แต่กระนั้น..ฉันก็ยังฝันว่า..ครอบครัวของเราน่าจะอยู่ได้อย่างมีความสุขที่เกาะ ฟิจิ..ที่นั่นมีดอกไม้งาม..อบอุ่น..อากาศดี..หาดทรายขาว..ยามพระอาทิตย์ขึ้น นั้นราวกับสวรรค์..
ว่าแล้ว..ฉันไม่ยอมเสียเวลาไปอีกแม้แต่นาทีเดียว.. รีบเขียนจดหมายไปหาเซเนีย ถึงเรื่องแผนที่จะย้ายไปอยู่ที่เกาะฟิจิอย่างเป็นเรื่องเป็นราว..
จากนั้นฉันก็เริ่มตระเตรียมการ มองหาลู่ทางที่จะย้าย...
แต่ไม่ทันไร..ก็ได้จดหมายตอบมาจากเซเนีย..
ถามว่า.."เสียสติไปแล้วหรือไง?" ตามด้วยว่า...
"ก็ แล้วมันเรื่องอะไรที่จะไปมุดตัวอยู่ที่เกาะบ้าๆ ห่างไกลผู้ห่างไกลคนกระนั้นเล่า..ในเมื่ออีกหกเดือนเราก็จะได้กลับไปอยู่ เหมือนเดิมที่รัสเซียแล้ว.."
เท่านั้นไม่พอ..ในข้อความของจดหมายนั้นมันได้บ่งบอกให้ฉันได้รู้ว่า..อย่างไรเสีย..เธอก็คงจะมาเป็นชาวบ้านธรรมดาๆไม่ได้ในชาตินี้..

อะไร ไม่ร้ายเท่า....เซเนียนั้นช่างมีสายตาที่สั้นนัก..ช่างไม่รู้อะไรเลย...ยัง เชื่อมั่นและฝันว่าจะได้"กลับบ้าน" และกลับไปเป็น "เหมือนเดิม" ในหกเดือนข้างหน้านี้..

อนิจจา....



และนี่คือครั้งที่สอง..ที่ฉันได้ประจักษ์แล้วว่า...ชีวิตแต่งงานของฉันมันแตกร้าวเกินกว่าที่จะประสาน..

ครั้งแรก..เมื่อสิบสองปีที่แล้ว..ที่ฉันได้พบกับ"ความสดชื่น" จากหญิงอังกฤษคนหนึ่ง ในฤดูร้อน
ที่ Biarritz หญิงคนนั้น..สามารถทำให้ฉันคิดที่จะสละฐานันดร..หย่าร้าง..และย้ายไป ตั้งครอบครัวใหม่กับเธอที่ออสเตรเลีย..ในฐานะชาวไร่ธรรมดา..

ฉันกับเธอ..เราไปไหนด้วยกันทุกที่..ไม่ว่าพบกันที่ปารีส..ไปเที่ยวที่สวิสเซอร์แลนด์..หรือที่
เว นีซ ราวกับคู่ผัวตัวเมีย..แต่เมื่อฉันได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จะ"เลือก" เธอ..และ ยอมที่จะผันตัวมาเป็นชาวไร่..จะขอเมียหย่า...
เธอกลับตอบปฏิเสธฉันดื้อๆซะงั้น...ด้วยเหตุผลง่ายๆว่า..
บาทหลวงของเธอ..คงไม่เห็นดีเห็นงามกับ การที่เธอจะเป็นต้นเหตุของเรื่องพรรค์นี้แน่นอน...

ฉัน ก็ไม่เข้าใจพวกบาทหลวงในนิกายของเธอเช่นกัน...ทีไปเที่ยวหัวหกก้นขวิด กินนอนกับชาย"ที่มีครอบครัว" แล้ว..กลับไม่ว่าอะไร..มันไม่ผิดหรือไง?
แต่ครั้นจะทำให้ถูกต้อง...กลับว่า..มันผิด"ศีล"ซะงั้น...

แต่เรื่องจริงๆแล้ว..เพื่อนฉันบอกว่า..เธอต้องการการแต่งงานที่ถุกต้อง เป็นพิธีใหญ่ในโบสถ์
เธอ เองรู้ดีว่า..ฉันคงไม่มีวัน"หย่าขาด" ได้จากเซเนีย..ผู้เป็นดัชเชสพระขนิษฐาของซาร์ได้อย่างแน่นอน..เพราะการหย่า ร้างนั้น..ต้องขออนุญาตจากซาร์..หนึ่งละ
และต้องเป็นความยินยอมของเซ เนีย...ซึ่งนี่คือด่านใหญ่...เพราะมันไม่ใช่มาจากการตัดสินใจของเซเนีย เอง..แต่มันต้องผ่านการกรองอีกชั้น..จากบาทหลวงในนิกายออโธดอกซ์ของเรา..

ฉันมันก็ช่างกล้่า..เพราะได้นำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเซเนียด้วยตัวเอง..เราคุยกันแบบเปิดอก
ถึงเรื่องการแยกตัว..และเรื่องของ"หญิงคนนั้น" ที่กุมหัวใจของฉันเอาไว้..

เซ เนียฟังอย่างเงียบสงบ..ยิ้มน้อยๆที่ริมฝีปาก (ที่ช่างเหมือนรอยยิ้มของนิกกี้ พี่ชายเธอซะนี่กระไร) ตอบด้วยถ้อยคำอ่อนหวานตามเคยว่า..เธอเห็นใจในความรักของฉัน..และอยากเห็นฉัน มีความสุขตามที่หวังไว้อย่างเต็มที่..และพร้อมที่ให้ความร่วมมือในทุก ด้าน...
แต่...แต่..
เธอต้องของไปปรึกษาของความเห็นจากบาทหลวงก่อน..ท่านว่าอย่างไร..ก็..เป็นไปตามนั้น..


อพิโถ..ถามพระของเรา..บาทหลวงในนิกายออโธด็อกซ์ที่แสนเข้ม สุดเฮี๊ยบ ตึงเปรี๊ยะ จนแทบจะขาดผึงเนี่ยะนะ..?

ชาตินี้ฉันไม่มีวันได้หย่าขาดจากเซเนียอย่างแน่นอน...

และ..มันก็เป็นตามนั้น..มาจนถึงทุกวันนี้...



หมายเหตุ...ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะคิดว่า ท่านผู้เขียนนั้นเป็นผู้ชายที่นอกใจภรรยา...ก็ไม่เชิงค่ะ
เพราะ ในช่วงเดียวกัน..ชีวิตการแต่งงานของสองท่านนี้ได้เดินมาสุดทางของมัน..เพราะ ดัชเชสเซเนียได้มี "คนรัก" ขององค์เองเช่นกัน..ในการสนทนาที่ท่านผู้เขียนได้เล่ามานั้น..ท่านเล่าแต่ ส่วนเสียของท่าน..มิได้"เอ่ย" ส่วนของพระชายา..
ซึ่ง..ความจริงแล้ว..ท่านทั้งสองต่างเปิดอก
พูดถึงปัญหาของคนสองคู่..ที่ต่างมีคนของตัวเอง..ไม่ใช่รักสามเส้า............วิวันดา

ภาพของท่านผู้เขียนและพระชายา เซเนีย



ในช่วงของปีต่อๆมา...1920's ตั้งแต่เริ่มมา..มันก็ช่างเป็นกลุ่มปีที่เปรียบได้เป็นโลกาวินาศเสียจริงๆ...

เยอรมัน ขู่ฟ่อ..ว่า..จะเอาตัวไกเซอร์วิลเฮล์มที่กำลัง"ลี้ภัย" ในเนเธอร์แลนด์อยู่นั้น..มาสำเร็จโทษโดยการแขวนพระศอให้ได้ก่อนคริสมาสต์

กรีซ...พระเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์เพราะถูก"ลิง" กัดตาย...***

ฝรั่งเศส..เต็ม ไปด้วยทหารผ่านศึกที่ปลดระวาง..ทหารทุพพลภาพ...ที่รัฐบาลต้องรับภาระทั้ง หมด, นาย George Carpentier นักมวยแชมเปี้ยนขวัญใจของคนทั้งประเทศ..ถูกน๊อคเอ๊าท์ร่วงผลอยในการป้องกัน แชมป์ที่ นิว เจอร์ซี่..สหรัฐอเมริกา, ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเมาเละทั้งๆอยู่ในชุดนอน..ตำรวจไปพบที่รางรถไฟ
ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์กระหน่ำแต่ข่าวเรื่องการเรียกร้องค่าปฎิกรสงครามกับเยอรมัน
ด้วยจำนวนเงินถึงหกสิบสี่พันล้านเหรียญยูเอสอย่างกระเหี้ยนกระหือ ดีอก ดีใจกันอย่างเหลือเกิน

ส่วนข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เยอรมัน..ลงว่า..จากการสำรวจประชากรกรุงเบอร์ลิน ผลว่า เด็กๆส่วนใหญ่ไม่เคยลิ้มรส "เนย" เลย..รู้จักแต่ชื่อ..

ทุกอย่างมันแย่ถึงขนาดนั้นเลย..
พวกเรา "โรมานอฟ" ที่ลี้ภัยก็ประสบพบกันถ้วนหน้า..

หลานสาวของฉันคนหนึ่ง..ที่ได้รับเชิญจาก"สมเด็จพระราชินีแถบบอลข่าน" พระองค์หนึ่ง ให้ร่วมขบวนในรถไฟไปเที่ยวปารีสด้วยกัน..กำลังจะก้าวขึ้นรถไฟอยู่แล้ว เชียว..
ก็ได้รับข่าวมาว่า..ขอเปลี่ยนแปลงแผนการเดินทาง..หมายถึงว่า "งด"
เพราะหนังสือพิมพ์โยงข่าวหาว่า"โปร" รัสเซีย..

ส่วนญาติอีกฝ่ายหนึ่ง...ที่ตั้งใจว่าจะไปลงหลักปักฐานที่อิตาลี..แต่ก็ชะงัก เพราะการไปของเขาอาจสร้างความขัดแย้งให้กับสถาบันกษัตริย์และสภาได้..เพราะ เนื่องจากพระชายาเป็นพระขนิษฐาของพระราชินี..สภาจึงเกรงว่าเพราะเป็นญาติ สนิทอาจนำมาสู่การแทรกแซงทางการเมืองได้..

เพราะปรากฏการณ์ที่เกิด ขึ้นต่างๆเหล่านี้..ทำให้เราได้รู้ว่า..ถ้าจะทำตัวให้อยู่ได้ในกลุ่มประเทศ สัมพันธมิตรนั้น..นั่นหมายถึงต้องทำตัวให้เงียบที่สุด..และต้องไม่ขยัน ติดต่ออย่างเปิดเผยกับพระญาติสายเยอรมัน..ทั้งๆที่ฉันอยากไปเยี่ยมหลานสาว (เจ้าหญิงมกุฏราชกุมารี Cecilie of Mecklenburg-Schwerin )
และ เจ้าชาย Max of Baden ญาติสนิท...ก็ไม่ได้ เพราะเป็นห่วงว่ามันจะไปกระทบ
กับความเป็นอยู่ของลูกชายสองคนที่อยู่ใน โรม และ ลอนดอน

แม้กระทั่ง..ตอนที่เจ้าชาย แมกซ์ แห่ง บาเดน สิ้นพระชนม์ไป..ฉันยังไม่กล้าที่จะสาส์นไปแสดงความเสียใจเลย..


*** หมายถึง พระเจ้า Alexander of Greece ที่เพิ่งครองราชย์ได้สามปี 1917-1920
เหตุ เพราะเสด็จพระราชดำเนินพาคุณสุนัขไปเดินเล่นในสวน ปรากฏว่า ลิง (ที่ทรงเลี้ยงไว้ในสวนแหละ) เข้าไปจะกัดคุณสุนัข..พระองค์ก็เอาธารพระกรไล่ลิง..
ลิงสู้ค่ะ..แถมมีคู่ของมันมาช่วยด้วย..กัดที่พระกรไปหลายแผลพอสมควร
จากนั้นก็ทรงประชวรเพราะการที่ได้รับเชื้อพิษ..และสิ้นพระชนม์ไปในที่สุด..


ภาพ พระเจ้า Alexander of Greece  

    
 
 




ขออธิบายเพิ่มนิดหนึ่งในเรื่องของไกเซอร์..ที่ถูกหมายพระเศียรไว้ว่า..จะโดน จับมาแขวนคอนั้น..เรื่องมันมาจากการที่ไกเซอร์วิลเฮล์มกระตือรือล้นออกหน้า ออกตาในเรื่องของการเปิดฉากทำสงครามครั้งที่หนึ่งนี้...ทรงเข้าไปแทรกแซงใน การศึก การทหารไปเสียหมด
ทำองค์เป็นนักเลงหัวไม้..ระรานเขาไปทั่ว..

พอเยอรมันแพ้สงครามเข้า..จะไปโทษใครได้..นอกจากองค์เอง..

ประชาชน เกลียดชัง...เกิดการปฏิวัติล้มล้างพระราชวงค์...ที่ทำให้ต้องหนีออกไปนอก ประเทศได้อย่างเฉียดฉิวในวันที่ 19 พฤศจิกายน 1918 อันหมายถึงเป็นการล่มสลายแบบยก-ยวงของเหล่าเจ้านายเยอรมันทั้งหมดทุก แคว้น..เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับซาร์
ไกเซอร์ได้ไปประทับอยู่ในพระตำหนักเล็กๆที่ชานเมืองเมือง Doorn
ประเทศเนเธอร์แลนด์และประทับอยู่ที่นั่นจนถึงวาระสุดท้าย

เพราะกระแสความเกลียดชังไกเซอร์ในครั้งนั้น..ทำให้นาย David Lloyd George
ใช้มาเป็นการหาเสียง ด้วยสโลแกนที่ว่า "Hang the Kaiser"จนได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษในปลายปี 1918

เพราะ กระแสที่ประชาชนชาวอังกฤษต่างพากันเกลียดชังไกเซอร์นั้น..มีมากจนถึงขนาดที่ พระเจ้าจอร์จที่ห้าต้องเปลี่ยนชื่อพระราชวงค์ จาก...Saxe-Coburg and Gotha (ที่ตอกย้ำว่ามีเชื้อสายเยอรมันอย่างเข้มข้นเช่นกัน) มาเป็น Windsor (1917)

เรื่องนี้...ดิฉันได้เล่าไว้แล้วในเรื่อง "ลอดลายรั้ว...วินด์เซอร์


ภาพ..ไกเซอร์ทรงร่วมเข้าบัญชาการรบกับเหล่าขุนพล

    



ในช่วงของสถานะการณ์บ้านแตกสาแหรกขาดนี้..พวกเราเหล่าแกรนด์ดุ๊ก,
แกรนด์ดัชเชสทั้งหลายต่างก็อพยพกันไปแบบบ้านใครบ้านมัน..(ตามแหล่งถิ่นฐานของเขยและสะใภ้)

ส่วนครอบครัวของฉัน..ทั้งหมดอพยพไปอังกฤษเป็นที่แรก ..จากนั้นก็แบ่งกันเป็นสองสาย..สองกลุ่ม..
กลุ่มหนึ่ง..คือ ซารินาพระมารดา แม่ยายของฉัน, เซเนีย และ ลูกเล็กๆ อยู่ในความอนุเคราะห์ของสมเด็จพระราชชนนีอเล็กซานดรา (ควีนอเล็กซานดรา) ในอังกฤษ


กลุ่มที่สอง..(ลูกสาวคนโต) ไอรีน และ (ลูกเขย) เจ้่าชาย ยูซุปอฟ รวมถึง
ลูกชายโตๆอีกสองคนของฉัน พากันไปปักหลักฐานที่โรม..

คงแทบไม่ต้องบอก..ก็น่าจะทราบกันได้ว่า..พวกเขาเหล่านั้นอยู่ในสภาพที่ "ถังแตก" กันถ้วนหน้า..ยกเว้นพ่อลูกเขยเจ้าชายยูซุปอฟ..ที่สามารถหอบภาพวาดของศิลปิน Rembrandts ออกมาได้สองแผ่น และได้ขายออกไปได้เงินถึงสี่แสนห้าหมื่นเหรียญ..แต่เนื่องจากเป็นคนมือเติบ หน้าใหญ่..
เงินจากการขายภาพวาดนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน..


จริงอยู่..พวกเรามีเครื่องเพชรกันคนละมากๆพอสมควร..แต่เพราะความเป็น
"เจ้า" ที่ไม่เคยต้องมาค้าขาย"ของเก่า" กิน..จึงจำเป็นต้องพึ่ง "ตัวกลาง"
มาทำหน้าที่แทนให้..แต่พวกเราก็ต้องทนจำกลืนกับสารพัดร้อยเล่ห์ เพทุบาย
จากเหล่าตัวกลางเหล่านี้..โดยการอ้างสารพัดว่า
"จะหาคนมาซื้อของใหญ่ๆเหล่านี้จากที่ไหนกัน..ตอนนี้ราชวงค์ไหนๆก็มีแต่จะขนมาขาย..ถ้าจะปล่อยก็ต้องขายในราคาที่ต่ำหน่อย"

แต่..ในยามที่"ตัวกลาง" เหล่านี้ เอาเครื่องเพชรของเราออกขาย..มันประกาศกันเอิกเกริกไปทั่วท้องตลาดในยุโรปว่า..

"สร้อยมุกงามๆสายนี้..เราได้เคยขายให้กับแกรนด์ ดัชเชส เซเนีย พระขนิษฐาของซาร์นิโคลาสเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว.."

แล้วมันก็ขายได้ในราคาเทียบเท่ากับวัตถุมีค่าในพิพิทธภัณฑ์ ..ทั้งๆที่เราได้เงินมาแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของราคาที่ซื้อมา..





ภาพ..พระธิดาไอรีน และ พระสวามี เจ้าชายยูซุปอฟ (มือสังหารรัสปูติน)

จากการขายสร้อยมุกชุดนั้นไปแล้ว..เซเนียเริ่ม "อุ่นใจ" ถึงขนาดวางแผนการชีวิตไว้อย่างมั่นใจว่า พวกเราคงจะพออยู่ได้ไปอีกห้าปีอย่างสบายๆ พร้อมทั้งขยับขยายความคิดตั้งใจว่า
จะย้ายไปปักหลักที่โคเปนเฮเกน ซึ่งฉันก็ได้ให้ความคิดไปว่า..เงินจำนวนนี้ถ้าเอาไปลงทุนดีๆอาจจะมีงอกเงยขึ้นมาอีกมาก..
แต่นั่นก็เถอะ....สถานะการณ์การลงทุนในสมัย 1930s นั้นเป็นเรื่องที่คาดหวังได้ยาก..

สรุปว่า...ตามที่เซเนียคาดว่าจะอยู่กันได้ถึงห้าปีนั้น..พลาดไปนิด..เพราะเราอยู่กันมาได้แค่สามปี..เงินก็หมดพอดี๊ พอดี..
แต่ เซเนียก็ได้โดยเสด็จไปกับซารินาพระมารดาไปยังโคเป็นเฮเกนตามที่แพลนเอาไว้ โดยหวังว่าทางพระราชวงค์ฝั่งนี้คงจะให้เกียรติยศกับเหล่าลูกๆของเราให้เป็น ที่เชิดหน้าชูตาพอสมควร เพราะอย่างไรก็ยังเป็นญาติกัน
นั่นก็เพราะ ซารินาพระมารดาท่านได้ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า อย่างไรเสียท่านก็จะต้องเสด็จกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอนและจะไปใช้ชีวิตบั้น ปลายจนสิ้นลมที่พระตำหนักริมทะเลที่ Hvidore ของท่านที่ได้จากมาเมื่อห้าสิบห้าปีที่แล้ว..

***พระตำหนักที่ Hvidore เดนมาร์ก ของซารินาพระมารดานั้นคือพระตำหนักส่วนพระองค์ที่สร้างไว้ตั้งแต่ 1890's เพื่อเอาไว้ในยามที่เสด็จจากรัสเซียไปแปรพระราชฐานในช่วงฤดูใบไม้ผลิ..จาก ห้องทรงพระอักษรที่สามารถทรงทอดพระเนตรไปสู่ทะเล เพื่อเห็นเหล่ากองเรือพาณิชย์บ่ายหน้าขึ้นไปค้าขายกับรัสเซีย..
ทุกอย่างในพระตำหนักนั้น..มีร่องรอยของพระสวามี ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สามเต็มไปหมด
ไม่ ว่าจะเป็นพระเก้าอี้ที่ประทับในห้องสมุดที่ทรงงาน สำรับไพ่ที่ทรงโปรดก็ยังวางอยู่บนโต๊ะ... พระมาลาที่ทรงสวมในยามที่ออกไปล่าสัตว์...พวกหัวกวางที่ทรงล่ามาได้ก็ ยังประดับอยู่บนข้างฝา
ทุกครั้งที่ซาร์และซารินาพระมารดาเสด็จไปที่ นั่น..ตามธรรมเนียมปฏิบัติก็จะมีทหารคอสแซคร่างใหญ่ยักษ์สองนายยืนประจำยาม ที่ประตูตลอดเวลา..อีกทั้งยังต้องตามเสด็จไม่ว่าจะไหนต่อไหนด้วย..

ภาพ... สองศรีพี่น้อง ควีนอเล็กซานดรา และ ซารินาพระมารดาที่พระตำหนัก Hvidore, Denmark (ภาพนี้ถ่ายเมื่อครั้งที่เสด็จแปรพระราชฐานเมื่อครั้งยังดำรงพระยศเป็นเอมเปรสอยู่)
 

จนวันที่ฉันได้ไปส่งเสด็จซารินาพระมารดาในวันที่จะขึ้นรถไฟจากลอนดอนไปยังเดนมาร์ก
นั้น..สาย ตาก็เหลือบไปเห็น สองคอนแซคร่างยักษ์ ที่หน้าตาและรูปลักษณ์คล้ายกับคอสแซครุ่นเก่าครั้งกับที่ซาร์ยังทรงมีพระ ชนม์อยู่..ท่าจะเป็นรุ่นลูกหลานกระมัง..ยืนอารักขาและดูเหมือนว่ากำลังจะ เดินทางโดยเสด็จด้วย..
ฉันจึงเปรยเบาๆแบบขันๆขึ้นว่า..
"แหม..เหมือนกับเมื่อก่อนเลยพะยะค่ะ"
ทรงตอบกลับว่า..
"เธอหมายถึง สองคอสแซคนั่นหรือ..จะให้ทำไงได้ล่ะ..ข้าเก่าเต่าเลี้ยงกันมา..จะทิ้งให้เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน"

นั่นซิ..ฉันก็เลยต้องหุบปากสนิท..เพราะอะไรที่เป็น"ธรรมเนียมปฏิบัติดั้งเดิม" ที่เป็นของพระสวามีของพระองค์นั้น..ก็คงต้องเป็นต่อไปอย่างเหนียวแน่น และมันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเป็นหัวข้อสนทนา..ณ...ที่..กลางสถานีรถไฟใน กรุงลอนดอน..


(ท่านแกรนด์ ดุ๊ก ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอังกฤษได้ในเวลาต่อมาค่ะ..หลังจากที่ครอบครัวของ ท่านได้เดินทางมาถึงและพำนักอยู่ในอังกฤษเพียงช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะย้ายไปโคเปนเฮเกน)

 

มีผู้อ่าน..สงสัยและถามมาว่า..

อิฉันได้ย้อนกลับไปอ่าน เลิศเลอวงศาฯ แล้วสงสัยบางเรื่องตามประสาคนรู้น้อย
1.คุณพี่บอกว่าเยอรมันให้บอลเชวิคไว้ชีวิตแกรนด์ดยุคซานโดรและครอบครัวเพราะหวังทรัพย์สินและดินแดนตอนที่ยึดยัลต้าได้ อิฉันยังมองไม่เห็นว่า ท่านจะอวยประโยชน์อะไรให้ได้
2. เหตุใดอังกฤษจึงส่งเรือมาช่วยซาริน่าพระมารดา ทั้งๆ ที่เมินเฉยซาร์มาตั้งแต่ต้น
ถ้าคุณพี่มีเวลามาให้ความกระจ่าง จะกราบขอบคุณงามๆ 3 ทีค่ะ




ตอบค่ะ...ขอย้อนเล่าไปถึงเบื้องหลังของล่มสลายของรัสเซียหน่อยนะคะ
จริงอยู่...ที่ว่าบ้านเมืองใดที่มีความช่องว่างเหลื่อมล้ำทางฐานะการเป็นอยู่ของประชาชนมากมายขนาดนั้น..มันก็ย่อมเกิด..แต่เรื่องนี้..เผอิญว่ามี"ตัวช่วย" อื่นๆด้วย..
จะเล่ารวมๆไปเลยนะคะ

เรียนให้ทราบตรงนี้เลยว่า..เยอรมันนั้นคืองูเห่าของแท้..และไม่ใช่ชนิดธรรมดาด้วย
เป็นชนิดมหาพิษ..แม้กับญาติที่เป็นสายโลหิตเดียวกันก็ไม่ละเว้น..
ในช่วงที่รัสเซียกำลังเจริญรุ่งเรืองและเข้มแข็งภายใต้การปกครองของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สาม ที่ทรงให้ต่างชาติ (สัมปทาน) เข้ามาลงทุนสร้างโรงงานที่ยูเครน อันเป็นดินแดนที่สมบูรณ์ไปด้วยแร่ และ น้ำมันนั้น..ต่างชาติที่ว่านั่นก็คือเยอรมัน..(ที่ถือเป็นญาติสนิท) เข้ามาลงทุนเป็นส่วนใหญ่..ตามด้วยฝรั่งเศส
จึงสรุปได้ว่า..พื้นที่ในส่วนนี้..คือขุมทรัพย์ที่ส่งรายได้จำนวนมหาศาลให้กับเยอรมัน

แต่ต่อมา..เยอรมันได้สำแดงเดชในการเป็นงูพิษ..นั่นคือการที่อยู่เบื้องหลังของการก่อหวอด..การสไตร์คแรงงานเพื่อสร้างความแตกแยก..การปลุกปั่นยุแยง และที่สำคัญ..
คือการให้การสนับสนุนเลนิน และ ทรอตสกี้ อย่างลับๆ..

ต่อมา..เมื่อเลนินถูกเนรเทศออกนอกประเทศนั้น..เขาได้ไปอยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
..แต่ผู้ที่สนับสนุนและให้ทุนก็คือรัฐบาลเยอรมัน..จนเมื่อการที่ได้สร้างความแยกแตกในรัสเซียสำเร็จ..เยอรมันก็ได้ส่งเลนินและกลุ่มบอลเชวิครวมทั้งหมดกว่าสามสิบชีวิตกลับเข้าไปในรัสเซียในเดือนเมษายน ปี1917

ทั้งหมดได้เดินทางออกจากสวิส ผ่านเยอรมัน สวีเดน เข้าสู่เปโตรกราด รัสเซีย เพื่อเข้าไปรวมกลุ่มกับ Leon Trotsky อันเป็นสูตรสำเร็จของการทำปฏิวัติ ทั้งหมดของแผนการนี้อยู่ในการดูแลช่วยเหลือสนับสนุนโดยรัฐบาลเยอรมัน และ รู้เห็น รู้ชอบโดยไกเซอร์

แผนการนี้..เป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการตัดตอนทำลายกองทัพรัสเซียให้หลุดไปจากการทำสงครามโลกที่ ซาร์ประกาศทำสงครามกับเยอรมันนั่นแหละ..
แต่เยอรมัน..ก็ตระหนักด้วยเช่นกันว่า...บอลเชวิคอาจจะหันหลังมาแว้งกัดเยอรมันในทีหลังด้วยเช่นกัน ถ้าทำการปฏิวัติสำเร็จ..
เป็นใครใครก็กลัวค่ะ เพราะรัสเซียมีกำลังพลมหาศาลขนาดนั้น..

เบื้องหลังจากหลังผ้าม่านเยอรมันที่เป็นให้ความสนับสนุนเลนินและบอลเชวิคนั้น คือ รัฐมนตรีนักการเมืองที่มีปูมหลังเป็นเศรษฐีระดับนายแบงค์ นาย Theobald von Bethmann-Hollweg และ รัฐมนตรีกลาโหมนาย Arthur Zimmermann
ผ่านทางหน้าเวที คือ รัฐมนตรีกระทรงต่างประเทศ Richard von Kuhlmann
ไกเซอร์เอง..ก็ทรงทราบเรื่องทั้งหมดเช่นกัน...

พอรัสเซียล่มสลายจริงๆ..การแตกแยกของกลุ่มปฏิวัติด้วยกันก็เกิดขึ้น..เพราะมันเป็นการประกอบกันระหว่างม๊อบจัดตั้ง..ม๊อบกลุ่มประชาชนรักประชาธิปไตย..ม๊อบ ชาวนา.. ม๊อบกรรมกร...ซึ่งนโยบายใหม่ที่เรียกว่า "คอมมิวนิสต์" พยายามจัดแถวให้ทุกคนเข้ามาร่วมให้เป็นน้ำหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อเยอรมัน..ที่(ตอนนั้น) ยังอยู่ภายใต้การนำของไกเซอร์ ที่ถือว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
จะมาโห่ฮิ้วกับระบอบคอมมิวนิสต์ได้อย่างไร..ถึงแม้ว่าแอบสนับสนุนอยู่ก็ตาม

มาถึงตรงนี้ก็วกเข้าตอบคำถามเลยนะคะ...ที่เยอรมันก็ยกทัพเข้าไปในยูเครนเพื่อทำทีว่าเป็นการเข้าไปทำสงครามเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ให้พ้นจากมือคอมมิวนิสต์
(ความจริงก็เป็นการรับรางวัลและทวงสัญญากับเลนินและทร๊อตสกี้นั่นแหละ..)
ซึ่งพรรคคอมฯ ก็รีบจัดให้ชุดใหญ่ทันที...
นั่นคือ การทำสนธิสัญญาสงบศึก Treaty of Brest-Litovsk เมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1918 ที่ยกดินแดนบริเวณบอลข่าน ปัจจุบันคือ Estonia, Latvia and Lithuania
รวมไปถึง..Poland, Belarus, and Ukraine ตามที่เยอรมันต้องการเพราะนี่คืออู่ข้าวอู่น้ำให้กับเยอรมันอย่างแท้จริง..และมันจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการที่จะทำสงครามต่อไป..
ทีนี้..ทางบอลเชวิค..ต้องการที่จะ"สร้างภาพ" ให้เป็นการ "ถนอมน้ำใจ" กับเยอรมัน ในเขตที่ตัวเองดูแลและมีอำนาจอยู่เต็ม..นั่นคือ..การ"ปลดปล่อยพระราชวงค์ที่เป็นประหนึ่งพระญาติ" ของไกเซอร์ให้เป็นอิสสระ..
และนี่คือเหตุผลว่าทำไม..ทางท่านแกรนด์ ดุ๊กต้องทรงยืนยันกับกลุ่มนายพลของเยอรมันว่า..ท่านได้รับการดูแลเป็นอย่างดี..เพื่อช่วยผู้คุมให้แล้วรอดปลอดภัย

ทั้งๆที่ในความจริงแล้ว..เยอรมันอาจจะไม่ได้แคร์ด้วยซ้ำว่า..กลุ่มคนพวกนี้จะเป็นหรือตายอย่างไร...แต่มันเป็นการ"สร้างภาพ" ให้กับชาวโลกได้เห็นว่า..ตัวเองเป็นพระเอก และ "มีชัย" เหนือบอลเชวิค
และถ้าจะถามว่า..ทำไมเยอรมันถึงไม่ช่วย ซาร์นิโคลาสและครอบครัวให้เป็นอิสระด้วย...
ตอบเผื่อไว้เลยว่า..เพราะซาร์และครอบครัวนั้นได้ถูกส่งไปยังไซบีเรีย เพราะเลนินได้เอามาอ้างว่า..ที่นั่นตัวเองไม่ได้ดูแลและควบคุมอยู่..สั่งงานไม่ได้..ถ้าเยอรมันและอังกฤษอยากจะช่วยก็ต้องยกทัพไปเอง..
ซึ่งไม่มีใครทำ..เพราะมันเป็นการสุ่มเสี่ยงและต่างก็"ระอา"กับการสู้รบอย่างเต็มทีแล้ว
พวกที่คิดจะช่วยซาร์นั้น..มีอยู่กลุ่มเดียวคือกลุ่มนิยมขวา หรือที่เรียกว่า "White Army" อันกอร์ปไปด้วยเหล่าผู้ที่จงรักภักดีและเหล่าอดีตคอสแซคที่รวมตัวกันต่อต้านระบบคอมมิวนิสต์

ในขณะเดียวกัน ในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองของรัสเซียนั้น..ทุกประเทศต่างก็พร้อมเข้ามาแบ่งเค้ก..รวมทั้งอังกฤษ..ที่มีความจำเป็นต้องเข้ามาดูแลน่านน้ำที่ยัลตา..และมาตามพระบัญชาของควีนอเล็กซานดราที่
ให้รับพระขนิษฐามารี หรือ ซารินาพระมารดาออกนอกรัสเซีย..เพื่อนำเสด็จไปประทับที่ลอนดอน
แต่..ซารินาพระมารดาได้ยื่นคำขาดว่า..จะไม่เสด็จโดยลำพังพระองค์ดียว..ถ้าจะรับไปก็ต้องไปกันทั้งหมด..ก็กลายเป็นคณะที่มีรวมกันถึง 17 ที่อังกฤษได้ส่งเรือ HMS Marborough มารับในเดือนเมษายน 1919
และที่ทรงประวิงเวลาได้นานหลายเดือนกว่าจะเสด็จออกจากรัสเซียได้นั้น เพราะทรงเป็นห่วงและต้องการฟังข่าวคราวของครอบครัวพระโอรส ซาร์นิโคลาส จนถึงวินาทีสุดท้าย..
จวบจนถึงวาระที่สิ้นพระชนม์ที่เดนมาร์กนั้น..พระองค์ได้ทรงมีพระชนม์อยู่ด้วยการรอคอย..เพราะไม่ทรงเชื่อว่า..พระโอรสนั้นจะพบกับชะตากรรมที่เป็นไปตามข่าว..



ภาพ การพบปะของ Leon Trotsky กับฝ่ายเยอรมัน ในวันเซ็นสนธิสัญญา Brest-Litovsk


วันที่ออกจากรัสเซียของซารินาพระมารดา
 

 

 

ภาพล่างสุดคือ ภาพของท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ (ท่านผู้เขียน) และครอบครัว

    

มีผู้อ่านถามมาอีกว่า...

ขออนุญาตถามคุณ wiwanda คะในเมื่อแกนรด์ดุ๊ก ท่านนี้ไม่เพียงเป็นคนชั้นสูงในรัสเซียในสมัยก่อน 1917 และยังเป็นญาติสนิทของพระเจ้าซาร์นิโคลัส แล้ว
ทำไมไม่รู้ข่าวล่วงหน้าเกี่ยวการปฏิวัติล้มพระเจ้าซาร์ จะได้หนีออกนอกประเทศไปก่อนเกิดเรื่องคะ ขอบคุณคะ


ตอบคุณ Greenfly ค่ะ..

กระแสการล้มล้างพระราชวงค์นั้นมีมานานแล้ว..ทุกคนผ่านร้อนผ่านหนาวมาหมด..ถ้าอ่านมาตั้งแต่ต้นก็จะทราบว่า...Czar Alexander II (ที่เป็นพระอัยกา) สิ้นประชนม์เพราะถูกผู้ก่อการโยนระเบิดใส่..
ต่อมา แม้แต่ Czar Alexander III (พระบิดา) ก็โดนระเบิดในขบวนรถไฟพระที่นั่ง..งานนี้ผู้ก่อการหมายที่จะฆ่ายกครัว เพราะในขบวนนั้่นมีทั้งพระชายาและลูกๆ
แต่เป็นการกะเวลาพลาดไปนิด..จึงรอดจุดระเบิดมาได้แบบเฉี่ยวฉิว..แต่ก็ทำให้โบกี้ที่ประทับล้มคว่ำ
ซึ่งพระองค์ได้ทรงใช้พละกำลังและพระวรกายที่สูงใหญ่ดันหลังคาให้เปิดออก
เพื่อที่จะให้เป็นช่องออกให้กับพระชายาและลูกๆ..
เพราะการใช้ออกแรงมากขนาดนั้น..จึงเป็นผลพวงให้ทรงเจ็บในพระวรกายข้างใน (ไต)..เป็นสาเหตุให้สิ้นพระชนม์ก่อนวัยอันควร..คือในหกปีต่อมา...
ตัวการในการวางระเบิดครั้งนี้..ถูกแขวนคอ..คือ Aleksandr Ulyanov ซึ่งไม่ใช่ใครอื่น..เขาคือพี่ชายของเลนิน...นั่นเอง ส่วนน้องสาวก็ถูกจับกุมไปด้วย..

ทีนี้เข้าเรื่องนะคะว่า..ทำไมไม่หนี...

หนีได้อย่างไรคะ..ในเมื่อตอนนั้นคือช่วงของการทำสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (The Great War) ที่รัสเซียมีส่วนร่วมภาคีในสัมพันธมิตรด้วย..พระญาติแทบทุกพระองค์เป็นทหารรับราชการในหน่วยต่างๆ..ไม่มีใครคิดเลยว่า..จะโดนเยอรมันตลบหลังด้วยการเปิดศึกในประเทศด้วยการส่งเลนินกลับไปก่อม๊อบ..ก่อตั้งการจลาจล ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนลุกฮือ เพราะทุกคน...ทุกครอบครัวต่างก็สูญเสียผู้ที่เป็นที่รักไปในการทำศึกสงคราม
อีกทั้งภาวะของการขาดแคลนที่ทำให้ทุกคนอดอยาก หิวโหย..
ดังนั้น..การยุยงจึงไม่ต้องออกแรงมากนัก...คำว่าจงรักภักดีนั้นมันได้สูญหายไปจากจิตใจของประชาชนมานานมากแล้ว..ตั้งแต่ครั้งที่ประชาชนที่เดินขบวนถูกทหารฆ่าตาย..
ตั้งแต่รัสปูติน..ตั้งแต่ข่าวของซารินาที่เป็นเยอรมันเข้ามากุมอำนาจสามารถสั่งซาร์หันซ้ายหันขวาได้..

และการล้มพระราชวงค์นั้นก็เป็นไปแบบมีระบบ...นั่นคือ ขั้นแรก..ทหารหยุดให้การสนับสนุน โดยขอให้ซาร์ทรงลงจากบัลลังก์..ทำทีว่าจะให้พระอนุชาขึ้นมาแทน
พระอนุชา..ไม่ทรงรับ..
ก็เลยผ่องถ่ายไปให้รัฐบาลดูแลประเทศไปก่อน..เผอิญว่า..ฝ่ายซ้ายได้เข้ามากุมอำนาจในสภา..การควบคุมตัวซาร์และครอบครัวจึงเกิดขึ้น..

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่า..สิ่งที่เลวร้ายขนาดนั้นจะเกิดขึ้นกับพระองค์...ต่างพากันเชื่อว่า..อย่างร้ายที่สุด..อย่างไรเสียก็อาจจะถูกออกนอกประเทศ..ตามที่ซาร์ได้แปลนไว้แล้วว่าจะเสด็จไปอยู่ที่อังกฤษ..แต่ต่อมามีข่าวจากนาย Lloyd George นายกรัฐมนตรีอังกฤษออกมาว่า อังกฤษไม่มีนโยบายที่จะรับซาร์ให้เข้ามาอยู่ในประเทศ..

และนั่นเปรียบเสมือนกับสัญญาณที่ส่งให้กับบอลเชวิคว่า..อังกฤษจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องภายในประเทศรัสเซียอย่างแน่อน..
ดังนั้น..การแก้แค้นเอาคืนให้กับครอบครัวของ Ulyanov จึงเกิดขึ้น...

กรรมใด...ใครก่อ..



ภาพ Aleksandr Ulyanov

    
    

ถ้าจะเล่าเสริมให้คุณ Greenfly มองเห็นภาพชัดอีกนิด..ก็คือ..เหล่าพระราชวงค์ชั้นผู้ใหญ่
อย่าง..ซารินาพระมารดา, เซเนีย หรือ เหล่าแกรนด์ ดุ๊ก ที่เป็นพี่เป็นน้องของท่านผู้เขียน
นั้น..ยังไม่เชื่อด้วยซ้ำว่า..การปฏิวัตินี้จะถึงขนาดเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองอย่างเด็ดขาด

ซารินาพระมารดา และ แกรนด์ ดัชเชส เซเนีย...ยังคิดเสมอว่า มันจะเป็นเพียงชั่วคราว..
อีกหน่อยคลื่นลมสงบก็จะเสด็จกลับไปครองพระอิสสริยศเหมือนเดิม..
เนื่องจากช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนนั้น..มันห่างไกลกันมากจนมองไม่เห็นฝั่ง..
คนที่อยู่บนกองเงินกองทอง..ก็มองไม่เห็นว่า..ความอดอยาก ทุกข์ร้อนอย่างแสนสาหัสมันเป็นอย่างไร..
ยังทรงเชื่อเสมอว่า..พวกทหารที่จงรักภักดีก็จะต้องทำบ้านเมืองให้เรียบร้อย และ มาอัญเชิญเสด็จกลับ..




ฉันเองก็ได้เดินทางเข้าๆออกๆ ระหว่าง ลอนดอน ปารีส บ่อยครั้งพอสมควร..ทุกครั้งที่กลับมาถึง..ก็มักจะมีพวกเซเลบต่างๆมาแอบถามถึงเรื่อง"วงใน" ของพระราชวงค์ฟากขะโน้นเสมอๆ..ซึ่งอย่างไรเสีย..ฉันก็คงต้องปิดปากสนิท..

สิ่งเดียวที่ฉันต้องการอย่างที่สุดในยามนี้..นั่นคือ การทำงาน..จะได้เงินเดือนหรือไม่ได้นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลหลัก แต่เป็นเพราะอาการเบื่อ..ที่ตื่นเช้าขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรทำ..กินของเช้าเสร็จ ก็รออาหารมือกลางวัน..บ่าย..น้ำชากาแฟ..ตามด้วยอาหารค่ำ..
ช่างน่ารำคาญตัวเองอย่างเหลือเกิน..ถ้าเป็นคนอื่นมันก็เป็นเหมือนขึ้นสวรรค์
แต่กับฉันแล้ว..มันไม่ใช่..เพราะตั้งแต่อายุสิบหกเป็นต้นมา..ไม่เคยว่าง..ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้าจนถึงค่ำมืดแทบทุกวัน..เป็นกลาสี เป็นทหารเรือ เป็นกัปตันเรือพาณิชย์ เป็นทหารอากาศ เป็นวิศวกรคุมการประกอบเครื่องบิน..สารพัดที่จะเป็น..

ในยามนี้..ฉันต้องการทำงานอย่างที่สุด..จนต้องพาตัวไปคุบทาบทามกับเพื่อนๆที่เป็นนายธนาคาร..เป็นเจ้าของอู่ต่อเรือ..พอเล่าให้พวกเขาฟัง..เสียงหัวเราะก็ดังสนั่น..
เพราะ..มันช่างน่าขำหยอกเสียเมื่อไหร่..ที่ใครสักคนจะมี"ลูกจ้าง" ที่มีเป็นถึงแกรนด์ ดุ๊ก
เท่านั้นไม่พอ..พวกนั้นยังทำ"รู้ดี" มาปลอบใจฉันอีกว่า..

"ฝ่าพระบาทไม่น่าที่จะเป็นกังวลอะไรเลย..เพราะตามกฏหมายอังกฤษบัญญัติไว้ว่า ในกรณีคนหายไปถึงสิบปีนั้น..ถือว่า สาปสูญ หรือ ตาย..พะยะค่ะ"

"อ้าว..แล้วไงล่ะ..มันเกี่ยวอะไรด้วย?"

"อ้าว..ก็เหลืออีกเพียงห้าปีเท่านั้น..พระชายาของพระองค์ แกรนด์ ดัชเชส เซเนีย ผู้ซึ่งเป็นพระขนิษฐาแท้ๆชองซาร์..ก็จะได้รับเงินก้อนโต ยี่สิบล้านปอนด์ที่ซาร์ทรงทิ้งไว้ในธนาคารอังกฤษอย่างไรเล่า.."

ให้ตายซิ...ไม่ว่าฉันจะอธิบายอย่างไร หรือ ไม่ว่าจักกี่ครั้ง..ว่า..ซาร์ไม่มีเงินในนอกประเทศไม่ว่าที่ไหนทั้งนั้น..ก็ไม่มีใครเชื่อ..*****

(*****หมายเหตุ ซาร์เคยมีเงินจำนวนนั้นอยู่จริง..ในธนาคารอังกฤษตอนก่อนสงครามโลก..แต่เมื่อครั้งที่ประกาศสงครามกับเยอรมัน..ในฐานะที่รัสเซียอยู่ในฝ่ายสัมพันธมิตร
อังกฤษในฐานะภาคีสงคราม..ได้ขอทุนอุดหนุนจากรัสเซีย..ซึ่งซาร์นิโคลาสได้มอบเงินจำนวนนี้ให้กับรัฐบาลอังกฤษไปตามที่ขอ.....วิวันดา)

ในที่สุด..ฉันก็ได้พบปะและสนทนากับเจ้าของกิจการคนหนึ่ง..ที่มีทีท่าว่าสนใจในตัวฉัน
เขาเริ่มด้วยประโยคว่า

"เป็นอันว่า..ท่านอยากจะทำงานกระนั้นหรือ...งั้นลองบอกกระผมมาหน่อยว่า..ทรงผ่านงานอะไรมาบ้าง?"

ฉันรู้สึกโล่งใจ..และได้เล่าประวัติตัวเองเป็นฉากๆ..ตั้งแต่เป็นทหารเรือจนถึงวิศวกร และมาจบลงด้วยเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ..อ้อ..ไม่ลืมที่จะบอกไปด้วยว่า พูดและเขียนได้อีกหลายภาษา
พอพูดจบ...นายนั้นทำสีหน้าเหนื่อยใจ..ส่ายหน้าและบอกว่า..

"กระผมคิดว่า ท่านคงจะหางานทำยากเลยทีเดียวแหละ เพราะจากคุณสมบัติที่เล่ามา..มันเหมาะสำหรับการที่จะปกครองบริหารประเทศ..ไม่ใช่จะมาเป็นพนักงานหรือลูกจ้างใครได้
แต่ก็นั่นแหละ..บริษัทสร้างเรือ สร้างเครื่องบิน ตอนนี้ก็ใกล้เจ๊งกันเป็นแถวๆ ส่วนเรื่องสารพัดภาษาที่ท่านพูดและเขียนได้นั่น..ถ้าจะให้กระผมพูดตรงๆกระผมก็อยากจะเรียนว่า
ท่านมีพระชนม์มากไปหน่อยกับงานเลขาสถานทูต หรือ ฝ่ายต่างประเทศของธนาคาร
กระผมมองไม่เห็นทางที่คนอย่างท่านจะต้องไปทำงานเป็นเลขานุการของใครได้.."

นั่นซินะ..หมอนั่นมันพูดถูก...เพราะตัวอย่างที่เห็นๆก็มาจากหลานๆของฉันเอง..
หลานสาว..แกรนด์ ดัชเชส รุ่นเด็กๆคนหนึ่ง..ที่มีฝีมือในการตัดเย็บ..เธอใฝ่ฝันอยากที่จะเป็นช่างเสื้อที่มีชื่อเสียง..มีแบรนด์เป็นของตัวเอง..เธอจึงไปเช่าร้านและเปิดห้องเสื้อตามฝัน..ใครผ่านไปมาก็ได้แต่ชมเชยเสื้อที่แขวนอยู่บนหุ่นโชว์หน้าร้าน..ว่า..สวย ว่า..เก๋..
แต่ไม่มีใครซื้อ..เวลาผ่านไป..ค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้น ทวีคูณ..ไหนจะค่าเช่า ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
ทำให้เธอต้องเขียนจดหมายไป"กราบบังคมทูล" พระญาติที่สูงศักดิ์
สองสามวันต่อมา..ไปรษณีย์ได้มาส่งพัสดุให้ถึงหน้าร้าน..มันเป็นซองที่หนาเตอะ..
โอ้..พระเจ้า..มันจะเป็นอื่นอะไรได้..ถ้าไม่ใช่เงินสนับสนุน..
แกรนด์ ดัชเชส...ถึงกับอุทานขอบคุณพระเจ้า..ที่ทรงยื่นพระหัตถ์มาช่วยเหลือในที่สุด..

แต่...เมื่อเปิดซองออกมา..มันเป็นกระดาษแผ่นโตๆสามแผ่นที่พับซ้อนกันมา..บนกระดาษนั้น คือ..รายชื่อของเหล่าหญิงผู้ลากมากดี..ที่ "สมเด็จ" ท่านได้ประทานมาให้..เงินไม่มี..มีแต่ข้อความว่า..ลองไปติดต่อคนพวกนี้ดู..อาจจะได้ลูกค้าบ้าง...!!!


ส่วนแกรนด์ ดุ๊ก หลานชายอีกคน..คิดว่า..อยากจะเป็นตัวแทนการขายแชมเปญ เพราะดื่มแต่ของดีๆมาเยอะแล้ว..เป็นลูกค้าชั้นดีมาตลอด..คราวนี้น่าจะหันมาทำให้เป็นบิซิเนสซะเลย
คือ กะว่าจะเอาแชมเปญมาขายให้กับกลุ่มชนชั้นสูง เพราะมียศเป็นตัวทำคะแนนอยู่แล้ว..
เขาถึงขนาดเดินทางไปยังเมือง Reims ที่แคว้นแชมเปญ เลยทีเดียว..
เพราะเชื่อมั่นในตัวเองเต็มร้อย..ว่า..วิชาการและรสนิยมในการชิมแชมเปญนั้นจัดว่า"เหนือ"ว่าคนอื่นๆทั่วไป..

เขาได้ไปยังบริษัทที่ขายแชมเปญให้กับรัสเซีย..ซึ่งว่าง่ายๆก็เป็นลูกค้ากันมานาน คราวนี้
จะมาขอเป็นตัวแทนการขาย หวังจะกินกำไรก้อนโตบ้าง..
หลังจากที่พบปะ..การต้อนรับขับสู้เป็นไปอย่างใหญ่โต..สมศักดิ์ศรี..ต่างก็คุยกันถึงความหลังเมื่อครั้งที่รัสเซียซื้อแชมเปญจากฝรั่งเศสไปดื่มกินแทนน้ำ..

หลานชายจึงปะโอกาสที่จะพูดถึง"งาน" ที่อยากจะทำ...เล่นเอาอีกฝ่ายแทบสำลักแชมเปญพุ่งออกมา..เขาว่า..

"โอ้ย..ตายแล้วละท่าน..แล้วแชมเปญฝรั่งเศสของเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน..ถ้าคนระดับอย่างแกรนด์ ดุ๊ก (ที่เคยแต่ซื้อ) จะต้องมาตระเวณขาย..คนเขาจะว่าได้ว่า..แชมเปญของเราตกต่ำน่ะซิ...ใครเล่าจะมาซื้อ...โอย..ไม่ได้หรอกท่าน.."

ความฝันของแกรนด์ ดุ๊กที่อยากจะเป็นเซลส์แมนก็จบลงแค่นั้น...




ป.ล. วันหลังจะเล่าเรื่องสงครามและแชมเปญให้ฟัง...เพราะเผอิญดิฉันมีนิวาสถานอยู่ที่เมือง Reims, Champagne ด้วยค่ะ..ตอนนี้อยู่ในระหว่างเตรียมตัวที่จะย้ายไปอยู่ถาวร




บทความจากสมาชิก




แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker