dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์ ๕
วันที่ 16/02/2020   18:22:29





เล่าเรื่องสงครามไปอย่างเร็วทันใจ เพราะเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงกำลังช่วยลุ้น

แต่..เรื่องสนุกๆนั้น คือเรื่องที่ปลีกๆย่อยๆที่แม่ทัพน้อยซูคอพเก็บมาเขียนเล่าต่่างหาก....ท่านเล่าว่า..
"กว่าจะเอาชนะญี่ปุ่นได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย..เพราะทหารของเขานั้นเด็ดเดี่ยวมาก..อึดเอาการ..เมื่อเราจับทหารญี่ปุ่นได้..ที่ถูกสั่งมาให้มาตั้งกองกำลังสอดแนม..ผู้บังคับบัญชาได้สั่งมาว่า..ให้มาซุ่มดูอยู่เงียบๆ ห้ามส่งเสียงหรือกระดิกตัว..ทหารญี่ปุ่นคนนั้นมาซุ่มอยู่ทั้งคืนในสภาพที่ถูกยุง(ขนาดยักษ์) รุมเกาะกัดไปทั้งตัว เพราะไม่มีเครื่องสนามที่เป็นมุ้งกันยุงมาด้วย เขาทำตามคำสั่ง..ไม่ขยับเขยื้อนจริงๆ ยอมทนยุงกัดอยู่อย่างนั้นทั้งคืน..
พอถูกจับได้..ในฐานะเชลย..ทางเราส่งวอดก้าให้ดื่ม..เขาไม่ยอม พูดผ่านล่ามมาว่า..ให้ทหารเราดื่มให้ดูก่อน..เพราะกลัวว่าจะเป็นยาพิษ"
จอร์จิ..ถามไปผ่่านล่ามว่า.."มาเป็นทหาร..จะกลัวตายได้อย่างไร?"

คำตอบคือ...ไม่ได้กลัวตาย..แต่นายสั่งมาว่า..ถ้าจะตายให้สมศักดิ์ศรีของชายชาติทหาร...ก่อนตาย..จะต้องเอ่ยคำว่า"บันไซ"** ให้หลุดออกไปจากปาก..
แล้วทหารเชลยคนนั้น..แค่นยิ้ม...พร้อมบอกว่่า..
"ไม่ใช่แค่นั้น..เป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน พ่อสั่งมาด้วยว่า..ห้ามตาย...!!!"

ซึ่งเรื่องของการรบอย่างแข็งขันและสู้ตายนั้น..จอร์จิได้ยอมรับในความเป็นหนึ่งของทหารญี่ปุ่นเช่นกัน


หลังจากที่ได้เสร็จสิ้นภารกิจในการเอาชัยมาสู่กองทัพได้แล้ว..ก็คือการมอบรางวัลและเหรียญตราที่..เหล่านักบินทุกคนเข้ารับจากมือของแม่ทัพ..
เนื่องจากวีรกรรมที่ห้าวหาญ เพราะทุกคนถือคติที่ว่า
"Save your comrade even if you die"
เมื่อเครื่องตกในเขตของข้าศึก...เพื่อนนักบินจะรีบนำเครื่องลงไปรับตัว..รีบอุ้มหรืออัดเข้ามาในห้องที่นั่งนักบินด้วยกันและพาตัวออกมาได้อย่างปลอดภัย ทั้งๆที่เป็นเครื่องบินขนาดเครื่องยนตร์เดียว

หรือ..ขึ้นไปปะทะกับข้าศึกแบบไล่ยิงกันให้ระยะกระชั้นชิด..แบบให้ระเบิดกันไปข้าง..สิ่งที่เป็นพยานหลักฐานคือ..เครื่องบินหลายลำที่กลับฐานมา..มีชิ้นส่วนของฝ่ายตรงข้ามติดตัวเครื่องมาด้วย..

แม่ทัพซูคอฟ..ได้รับเหรียญทอง และได้รับการสถาปนาให้เป็น "วีรบุรุษแห่งโซเวียตยูเนี่ยน" และในภายหลังต่อมา..ได้รับการสถาปนาให้เป็น "วีรบุรุษแห่งสาธารณรัฐมองโกเลีย" อีกตำแหน่งหนึ่ง..



        ผลของ"การปะทะเล็กๆที่มองโกเลีย" (หนังสือพิมพ์ที่กรุงโตเกียวนำเสนอและเรียกออกมาเช่นนั้น)..ข่าวในรายละเอียดมีว่า...
        "การปะทะที่ลุ่มแม่น้ำคาลคินกอล...กองทัพอากาศของโซเวียตเสียหายยับเยินไปกว่าห้าร้อยลำ ส่วนของญี่ปุ่น..ไม่มีแม้แต่รอยข่วน.."
        แต่ไม่นานต่อมา...หลังจากที่หลักฐานปรากฏ..ฝ่ายอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ได้ออกมายอมรับผิด..ที่มิได้นำเสนอความจริง เพราะต้องการผลทางโปรประกันดาเพียงอย่างเดียว..

        ในขณะเดียวกัน...จากการที่มีความมั่นใจในกองทัพของพระจักรพรรดิ์ว่าเกรียงไกร และไม่เคยแพ้ใครนั้น..กองทัพญี่ปุ่นได้ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่า..ประเมินพลังและความสามารถของโซเวียต รวมไปถึงความเฉียบแหลมของสตาลินนั้นต่ำไปอย่างมากมาย
        จนเข็ดขยาดถึงขนาดเอากลับไปทบทวนทิศทางศึกใหม่เลยทีเดียว...

        หลังจากเสร็จศึก..จอร์จิได้ย้ายมาประจำอยู่ที่ฐานทัพในเมือง Ulan Bator (มองโกเลีย) ที่ครอบครัว ภริยา และบุตรสาวได้ย้ายตามมาอยู่ด้วย ที่เขาได้มีความสุขในการทำงานในหน้าที่ของการดูแลปักหลักเขตพื้นที่ที่ได้มีการทำสัญญาปรากฏอยู่ในข้อตกลงระหว่าง โซเวียต-ญี่ปุ่น นั้น
        มีข้อปลีกย่อยมากมาย จนถึงเดือนมิถุนายน 1949 กว่าจะแล้วเสร็จ..ใช้เวลานานถึงเก้าเดือน
        ที่ต้องเรียกว่า..เขาอยู่อย่างมีความสุขในฐานทัพมองโกเลียนั้นก็ไม่ผิดไปจากความจริงนัก เพราะอีกซีกหนึ่งของทวีปยุโรป...กำลังวุ่นวายะและยุ่งเหยิง
        เนื่องจาก...ฮิตเล่อร์บุกโปแลนด์...
        (เล่าย้อนไปหน่อยนะคะ...)

        วันที่...31 สิงหาคม 1939 เป็นวันที่สดใสของช่วงฤดูร้อน...ช่วงบ่ายจัดๆของวันนั้น ที่เมือง Gleiwitz, Poland สิ่งที่ไม่มีใครเคยคิดคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น..นั่นคือคนกลุ่มใหญ่ในเครื่องแบบชุดทหารโปล์ ได้ออกทำการเข้ายึดสถานีวิทยุและประกาศออกอากาศว่า..
        "ชาวโปล์จะไม่ยอมต่อไป..เราจะเปิดการทำสงครามกับเยอรมันให้เด็ดขาด "

        จากนั้นก็มีเสียงปืนและเสียงด่าทอสาบแช่งเยอรมัน มาจากคนที่(ปลอมตัวมา) ว่าเป็นทหาร
        (คนกลุ่มนี้..คือกลุ่มพวกอันธพาลโปล์ที่ทำงานให้กับนาซี)
        การออกอากาศใช้เวลาสั้นๆเพียงเจ็ดนาที...แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้
        ฮิตเล่อร์ (ที่เตรียมตัวรอ) นำรถถังเคลื่อนตัวเข้ากรุงวอร์ซอว์อย่างทันที..
        ด้วยเหตุผลที่ว่า...เพื่อป้องกันและระงับสงครามอันจะเป็นภัยต่อเยอรมัน..
        (ซึ่งฮิตเล่อร์ได้ใช้ข้ออ้างแบบง่ายๆเช่นนี้...ในยามที่บุกโซเวียตด้วยเช่นกัน เขาอ้างว่า..ถ้าไม่บุกก่อนก็จะต้องเป็นฝ่ายรับ เพราะสตาลินกำลังจ้องจะเล่นงาน...)

        1 กันยายน เวลา ตีสี่นิดๆ หรือแค่เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากออกอากาศไปเมื่อเย็นวาน
        เรือรบของนาซีก็ได้เข้ามาถึงชายฝั่งโปแลนด์ ที่ Danzig แล้วเรียบร้อย จากนั้นทางภาคพื้นดิน...ก็ตามมาเป็นขบวนด้วยรถถัง..
        ทางอากาศ..เครื่องบินมากันเต็มท้องฟ้า..
        เรือรบ Schleswig-Holstein ได้ส่งกระสุนปืนใหญ่ไปที่ป้อมของค่าย
        Westerplate ก่อนอื่นใด...
        ทางอากาศ..ที่มีเครื่องบินไม่ต่ำกว่าสองพันลำนั้น..ได้สาดกระสุนลงมาอย่างสนุกมือ มีพยานในเหตุการณ์เล่าว่า...เด็กที่กำลังเดินออกมาจาก
        โบสถ์ถูกกระสุนปืนล้มตายกันกองกันอยู่หน้าบันได
        อนิจจา...สงครามโลกได้อุบัติขึ้นแล้วจริงๆ..



        ซูคอฟ..ได้เขียนความเห็นของเขาไว้ว่า..
        "จากที่เราได้รวบรวมเหตุการณ์ทั้งหมดมา..ฮิตเล่อร์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น..แต่อีกส่วนนั้นก็คือ...ฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่เป็นภาคีกับโปแลนด์  แต่..ไม่กระดิกนิ้วทำอะไรเลย..นอกจากประกาศสงครามกับเยอรมันแบบไร้นัยยะและความหมายใดๆ เหมือนพูดจากับเด็กอมมือ"

        วันที่อังกฤษ และฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมัน  คือ
        วันที่ 3 กันยายน
        สตาลินเคยได้รับการติดต่อมาจากทั้งสองประเทศนี้มาก่อนล่วงหน้าหลายเดือนแล้ว..
        คือขอให้มาร่วมสังฆกกรมในการต่อต้านเยอรมันด้วยกัน
        แต่สตาลินพออ่านเกมส์ออกว่า..ตัวเองกำลังจะถูกหลอกใช้
        เลยหันไปจับมือกับนาซี..ทำสัญญาต่างคนต่างอยู่ต่อกัน..
        เพราะอย่างไรเสีย....มันก็จะช่วยให้โซเวียตได้ทันมีเวลาหายใจ..และมีเวลาคิดอ่านรอดูสถานการณ์โลก..

 
        และการที่ฮิตเล่อร์จะบุกเข้าโปแลนด์นั้น..มันได้ผ่านการเห็นชอบจากสตาลิน
        เพราะ..สตาลินต้องการที่จะได้ดินแดนในทิศจะวันตกของเบโลรุสเซีย และ ทางตะวันตกของยูเครน ที่เคยเสียไปให้กับโปแลนด์เมื่อสงครามในปี  1919-1920 กลับคืนมา..

 




        ในที่สุด...โซเวียตที่ออกแรงเพียงนิดหน่อยก็ได้ดินแดนแถบบอลติค (Estonia, Latvia, Lithuania) แถมมา..เพราะสตาลินอยากจะเอามาไว้เป็นฐานทัพ
        อีกทั้งเวลาเก้าเดือนที่จอร์จิต้องทำงานในมองโกเลียนั้น..
        ทำให้เขาไม่ได้ถูกเรียกใช้ในสงครามที่ฟินแลนด์ในช่วงฤดูหนาวนั่นด้วย..

        สงครามนั้น....ระหว่างโซเวียตกับฟินแลนด์ที่เป็นประเทศเล็กๆเท่าปลายนิ้วก้อย
        แต่...ทำให้โซเวียตต้องมีทหารที่ทุพพลภาพไปในการสู้รบกว่าเกือบสองแสน
        และเสียชีวิตไปกว่าห้าหมื่น..เพราะการรบที่ไม่รู้จักเขาจักเรา..

        รถถังของโซเวียต วิ่งได้ดีในโคลนในเลน..แต่มาเจอกับหิมะเข้าก็ตายสนิท
        ทหารของโซเวียต..เก่งกล้าสามารถ...แต่มาเจอกับอุณหภูมิขนาดลบสี่สิบองศาที่ไม่ได้มีการเตรียมเครื่องนุ่งห่มให้พร้อมสำหรับรบในหิมะ ซ้ำยังอยู่ในเครื่องแบบที่เป็นสีพราง...
        พออยู่ในพื้นที่ที่ขาวโพลนด้วยหิมะ ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้กับหน่วยสกีแม่นปืนของฟินแลนด์ที่เลือกเด็ดเอาได้ตามชอบใจ..
        ซ้ำโรงพยาบาลสนาม..ไม่สามารถกั้นหรือรักษาอุณหภูมิได้..
        ทหารส่วนใหญ่ตายเพราะความเย็น..ก่อนถึงมือหมอ

        สงครามครั้งนี้...แม้ว่าโซเวียตจะหาญหักเอาชนะก็คงได้..
        แต่..สตาลินกลับไปคิดทบทวนใหม่ว่า..ขนาดแค่ฟินแลนด์ประเทศเดียวยังรบแล้วเสียหายขนาดนี้...เผลอๆอังกฤษกับฝรั่งเศสเข้ามาร่วมด้วย..จะมิยับเยินไปกว่านี้หรือ..?
        เผลอๆ...เยอรมัน..จะกลายเป็นตาอยู่..นั่งรอส้มหล่นใส่อย่างสบายๆ

        สตาลินเลยยอมรับสัญญาสงบศึกจากฟินแลนด์แบบง่ายๆในวันที่ 12 มีนาคม 1940
        ที่กรุงมอสควา โดยมีข้อแม้ของแบ่งปันพื้นที่นิดหน่อยๆพอเป็นพิธี..เพื่อไม่ให้เสียหน้า..

 




        และยังไม่ทันที่สตาลินจะได้หยุดพักหายใจหายคอจากการนับศพทหารในสงครามฤดูหนาวนั่นเลย...
        ซูคอฟถูกเรียกตัวกลับจากมองโกเลีย...ให้มาประจำทางฝั่งตะวันตก
        ราวกับว่าสตาลินได้กลิ่นสงครามโชยมาล่วงหน้า...และเป็นการคาดเดาที่แม่นยำนัก..
        (เพราะเพียงไม่นานต่อมา.ฮิตเล่อร์ที่เพิ่งได้ชัยชนะมาจากฝรั่งเศสมาหมาดๆ
        ก็ได้ส่งกองทัพเข้ามาบุกโซเวียต เมื่อเดือนมิถุนายน 1941)

        หนึ่งในสาเหตุที่ซูคอฟถูกเรียกตัวกลับมา เพราะความอัปยศที่กองทัพโซเวียตได้รับมาจากสงครามที่ฟินแลนด์
        เนื่องจาก ในช่วงเดือนธันวาคม 1939 ที่สตาลินและเหล่าผู้ใหญ่ในพรรคเชื่อว่า..
        จะเป็นการรบที่สั้นและกระชับ..รวมทั้งเชื่อว่า
        กองทัพแทบไม่ต้องออกแรงด้วยซ้ำ เพราะพวกหัวเอียงซ้ายทั้งหลายในฟินแลนด์จะออกมาช่วยสร้างความปั่นป่วน ทำให้บ้านเมืองแตกแยกไปเอง

        แต่ที่ไหนได้...ชาวฟินส์กลับสู้ขาดใจ..ทั้งประชาชนและทหารที่คอยเกื้อกูลกัน..
        จนได้ใจของประชาชนชาวโลก...โซเวียตได้กลายเป็นผู้ร้ายและเลวอย่างไม่มีติ
        จน League of Nations*** ประกาศถอนชื่อโซเวียต ยูเนี่ยน
        ออกจากสมาชิกองค์กร...ประเทศอื่นๆที่สร้างปัญหา เช่น ญี่ปุ่น, เยอรมัน และ อิตาลี..พวกนั้นขอถอนตัวออกไปกันเอง...

        แต่..โซเวียต..ถูกขับไล่ออก...นับว่าเป็นการเสียหน้าและเสียเกียรติยศ ศักดิ์ศรีไปหลายขุมอยู่..

        *** League of Nations  หรือ LON ตัวย่อในภาษาอังกฤษ หรือ Société des Nations (SDN ในภาษาฝรั่งเศส)  คือ องค์กรเพื่อสันติภาพ ที่ถูกตั้งขึ้นที่กรุงเจนีวา..เพราะผลจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง..ที่หลายๆประเทศเกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นจุดประทุ
        ดังนั้น..จึงมีการตั้งองค์กรนี้ขึ้นมาโดยมีกรรมาธิการจากประเทศต่างๆร่วมมือกัน..เพื่อมาช่วยในการคลี่คลายปัญหาต่างๆระหว่างประเทศ รวมไปถึงการพิทักษ์สิทธิต่างๆของประชาชนในประเทศที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมด้วย..
        หลังจากสงครามสงบลง..ประเทศเล็กๆและประเทศที่เกิดใหม่หลายๆประเทศจึงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาองค์กรในการช่วยเหลือในหลายๆด้าน..

        โซเวียตได้รับเกียรติให้มาร่วมด้วย...ในปี 1934  เพราะแม้จะปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์
        แต่ก็ทำตัวเรียบร้อย..ไม่ได้ไประรานใคร..อีกทั้งเรื่องสงครามที่คอลคินกอล..ก็ไม่ใช่ความผิดของโซเวียต เนื่องจากถูกรุกรานโดยญี่ปุ่นก่อน..
        แต่การไปบุกฟินแลนด์โดยไม่มีสาเหตุนั้น...มันผิดหลักการ..กลายเป็นผู้ใหญ่ที่รังแกเด็กอย่างเหี้ยมเกรียม ไร้มนุษยธรรม

        ดังนั้น..โซเวียตจึงถูกกาชื่อออกจากการสมาชิกภาพ..ในวันที่ 14 ธันวาคม 1939

        แต่การทำงานขององค์กร LON นั้นไม่ได้บรรจุถึงเป้าหมาย เพราะ..การขัดแย้งต่างๆนั้น..ไม่ได้ลดน้อยลงไป..ซ้ำยิ่งทวีคูณขึ้นมาอีก..จึงได้เกิดการประกาศสงครามกันขึ้นมา..
        LON จึงต้องแผ่วลง..และมายุบตัวลงไปในปี 1946  

        แต่ก็ได้อวตารมาในรูปแบบใหม่ที่มีเสถียรภาพมากกว่า..ในวันที่...24 ตุลาคม 1945 ในนามของ
        United Nations ที่ได้รวมกลุ่มมหาอำนาจทั้งหมดเข้ามาเป็นพี่เอื้อย..



        หลังจากที่หน้าหงายมาจากสงครามที่ฟินแลนด์แล้ว...แน่นอนว่าสภาของโซเวียตร้อนฉ่า...เพราะสตาลินอาละวาดเรียงตัวไปเลย
        เขาสรุปได้ว่่า..กองทัพไม่มีประสิทธิภาพ ทหารไม่รู้จักการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า. แม่ทัพไม่มีฝีมือ..เก่งแค่ระดับปราบม๊อบและอาวุธที่มีล้าสมัยเกินไป  สิ่งแรก...คือการปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออก (K. Voroshilov) ตั้ง S.K. Timoshenko (แม่ทัพจากเคียฟ) ขึ้นมาแทนที่..
        การแก้ไขต่อไปคือ...สตาลินสั่งให้นิรโทษกรรมเหล่าแม่ทัพนายกองจำนวนนับพันที่อยู่ในคุก (รอการลงอาญา) ให้ออกมากลบเข้ารับราชการ หนึ่งในนั้นคือ เพื่อนร่วมชั้นเรียนเสธ. ของจอร์จิ เขาคือ K.K. Rokossovsky และให้มีการเลื่อนตำแหน่ง
        ให้กับหน่วยแนวหน้ากล้าตายทั้งหลายในทุกเหล่าทัพ.
        จากนั้นก็คือการปรับปรุงอาวุธอย่างเอาจริงเอาจัง..เพราะสตาลินเห็นมาจากความสำเร็จในกองพลปันเซอร์ของฮิตเล่อร์ที่ย่างไปที่ไหน ชนะที่นั่น...ดังนั้นการเริ่มสร้างกองสรรพาวุธจึงเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วน..สตาลินได้อนุมัติการสร้างรถถังขึ้นมาเก้าหน่วย
        (หน่วยละหนึ่งพันคัน) และได้มีการสร้างรถถังติดอาวุธขนาดเล็กอีกจำนวนมากมายเอาไว้เป็นเขี้ยวเล็บ
        ที่สำคัญคือ รถถังรุ่น T-34 อีกนับพัน และเครื่องบินอีกนับพันฝูง
        ที่พิเศษสุด. คือ...สตาลินกล้าออกกฏใหม่..ว่าด้วย กระทรวงกลาโหมของโซเวียตต่อไปนี้...ไม่ต้องผ่านความเห็นชอบกับเหล่ารัฐมนตรีในสภา..สามารถกำหนดนโยบายการสู้รบโดยการผ่านความเห็นชอบจากสตาลินเพียงผู้เดียว...
        ผู้ที่มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้...คือ รมต. กลาโหมคนใหม่นั่นเอง...แม่ทัพ ทิมิเชงโก ผู้ซึ่งมีอดีตที่ผ่านมาเหมือนกับ
        จอร์จิทุกประการ กล่าวคือ มาจากคอบครวที่ยากจน เคยเป็นทหารเกณฑ์ในกองทัพซาร์ ในหน่วยทหารม้า..จนก้าวขึ้นมาเป็นถึงระดับแม่ทัพชั้นแนวหน้าที่สตาลินไว้วางใจมากที่สุดคนหนึ่ง
        เขาคนนี้...เคยเป็นนายของ โรโกซอฟสกี้ (ผู้ซึ่งกำลังจะพ้นโทษออกมา) และ จอร์จิ ซูคอฟ และเขาเป็นคนที่สั่งเลื่อนยศให้จอร์จิ
        เมื่อครั้งปี 1930 และอีกครั้งเมื่อปี 1935
        งานเด่นของแม่ทัพทิมิเชงโก คือ การบุกโปแลนด์เมื่อเดือนกันยายน 1939 รวมไปถึงการเข้าปรับสภาพ เก็บกวาด
        เศษสงครามที่โซเวียตทิ้งเอาไว้ในฟินแลนด์  
        ที่สำคัญสุด..คือ ลูกสาวของเขา เป็นภริยาของวาสิลี ลูกชายของสตาลิน...!!!

 

Kliment Voroshilov  

 

 

Semyon Timoshenko

    

        เมื่อแม่ทัพทิมิเชงโก ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรมต. กลาโหม...ดังนั้น แม่ทัพที่ฐานที่แคว้นเคียฟ..จึงว่างลง
        และคนที่จะมาแทนที่ในตำแหน่งนี้...ต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพราะเคียฟเป็นส่วนแนวหน้าที่สำคัญของโซเวียตที่จะต้องรับมือกับข้าศึกทางฝั่งตะวันตก...หากว่ามีการบุกเข้ามา..
        ชื่อของ จอร์จิ ซูคอฟ...ได้ถูกนำเสนอไปถึงสตาลิน..จากผลงานในคาลคิน กอล ที่เข้าตากรรมการ
        ดังนั้น..จึงมีคำสั่งเรียกตัวจอร์จิ จากฐานที่มองโกเลีย ให้เกินทางเข้ามอสควาเป็นการด่วน...
        และนั่นคือ ครั้งแรกที่ จอร์จิ ได้มีโอกาสพบกับสตาลินเป็นครั้งแรก...ในวันที่ 2 มิถุนายน 1940
        เนื่องจากสตาลินเป็นคนนอนดึกมาก..ตื่นสายๆ. ดังนั้น กำหนดการเข้าพบจึงถูกจัดให้เป็นในเวลา ห้าทุ่ม..
        การเข้าพบ..ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง..ที่จอร์จิได้เขียนบันทึกไว้ว่า..
        "สตาลินเป็นคนเรียบๆ เสียงทุ้มนุ่ม...แต่มีความรู้ในเรื่องการสงครามเป็นอย่างยอดเยี่ยม และมีข้อแนะนำที่ดี
        เรื่องสงครามที่คาลคิน กอล เขาทราบเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียด สมกับเป็นผู้นำ"

        ในวันที่ 5 มิถุนายน...หนังสชือพิมพ์ปราพดา ได้ลงข่าวถึงเรื่องการเลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลของจอร์จิ  นับว่าเป็นตำแหน่งที่สูง
        รองลงมาจากจอมพลทีเดียว...ว่าด้วยจากผลงานจากสงครามที่มองโกเลีย นับว่าเป็นการเลื่อนขั้นแบบปรูดปราด เพราะ
        แม่ทัพ G.M. Shtern ที่อยู่ในสงครามเดียวกัน ได้เป็นแค่พันเอก..

 

        การมาเป็นแม่ทัพที่เคียฟนี้...เป็นงานท้าทายความสามารถอย่างที่สุด เพราะถ้าไม่แน่จริง...อยู่ไม่ได้แน่ๆ
        เนื่องจากฐานทัพที่เคียฟนี้..เป็นฐานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศที่มีภาระต้องดูและและรับผิดชอบเส้นทางแนวชายแดนที่ยาวกว่า
        500 ไมล์ เป็นหนึ่งในสามกองพลพิเศษสำหรับป้องกันดูแลฝั่งตะวันตกทั้งหมด
        ศูนย์กองบัญชาการตั้งที่อยู่ที่ Minsk... ส่วนที่ดูแลฝั่งทะเลบอลติก มีฐานอยู่ที่ Riga
        สำหรับคำว่า กองพลพิเศษ นั้น เพราะว่า...ในการป้องกันการรุกรานในเขตส่วนนี้นั้น..เป็นความสำคัญสูงสุด
        ดังนั้น กองพลส่วนนี้จึงมีคลังยุทธปัจจัยสำรองในการสู้รบอย่างเต็มที่..
        ถ้าหากมีเหตุการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้าเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน..จะได้ออกปฏิบัติการได้ทันที

        ในช่วงที่จอร์จิเข้าไปรับตำแหน่งนั้น คือ กลางปี 1940  ที่กองพลพิเศษแห่งเคียฟได้มีการเสริมกำลงอย่างเต็มที่
        กอร์ปด้วย ทหารหลายแสนนาย รถถัง เครื่องบิน และปืนทั้งใหญ่ทั้งเล็กจำนวนมหาศาล
        ที่จอร์จิ ถือเป็นเกียรติยศอันใหญ่หลวงต่อการรับผิดชอบในครั้งนี้...เพราะเนื่องจากฐานทัพที่เคียฟ (ยูเครน) นั้น...
        ถือว่าเป็นหัวใจของกองทัพแห่งโซเวียต...
        หากแต่...เส้นทางนั้นมิได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครๆภายนอกคิด...เพราะในความจริงแล้ว..
        ฐานเคียฟ คือ..แหล่งรวมปัญหาสารพัดชนิด. เนื่องจาก...ทหารส่วนใหญ่เป็นพวกทหารบ้านป่า..ไม่มีวินัย ไม่มีใจรักการเป็นทหาร  มีการหลบหนีเป็นเปอร์เซ็นสูง  อาวุธที่ว่ามีมากมายนั้น..ใช้งานได้บ้างไม่ได้บ้าง...
        บ้านพักสวัสดิการมีไม่เพียงพอ..และที่สำคัญคือ..ทหารดีๆนั้น..มีน้อยเต็มที...

        ซ้ำการบ้านที่ได้รับมาหลังจากที่เข้ารับตำแหน่งหมาดๆ นั่นก็คือ..คำสั่งให้เตรียมทัพเข้าบุกโรเมเนีย...เนื่องจาก โซเวียต
        ได้ยื่นโนติสให้โรเมเนีย คืนพื้นที่ Bessarabia (ปัจจุบัน คือ ส่วนหนึีงของ Moldova)  
        ดินแดนส่วนนี้ คือส่วนที่โรเมเนียได้ถือสิทธิเข้ามาครอบครองไปเมื่อครั้ง 1918 และสตาลินต้องการดินแดนทางด้านเหนือของ
        Bukovina ที่ติดกับยูเครนด้วย เนื่องจากผู้คนที่อยู่อาศัยในนั้นก็คือ ชาวยูเครเนี่ยน
        สตาลินไม่ได้หวังว่าจะทำสงครามกับโรเมเนียเพราะเรื่องที่ดินชายแดนเล็กๆน้อยๆแค่นี้...หากแต่เขาได้ข่าวว่า..
        รัฐบาลโรเมเนียได้วิ่งโร่ไปปรึกษากับเยอรมัน..ทันทีที่ได้รับโนติส...
        และทางเยอรมันก็ขัดใจเช่นกัน...หากแต่..สัญญาสงบศึกที่ทำไว้กับโซเวียตนั้นค้ำคออยู่..เลยจำใจต้องยอม..
        เมื่อเยอรมัน..ยอม...โรเมเนียจึงต้องตอบโอเคกับความต้องการของสตาลินอย่างเสียไม่ได้...

        นั่นหมายถึง แม่ทัพซูคอฟ ต้องจัดกองทัพเคลื่อนขบวนไปแสดงแสนยานุภาพข้ามพรมแดนโรเมเนีย เพื่อรับรองความเป็นการขยายขัณฑสีมาที่เชื่อมต่อใหม่ๆหมาดๆ

 




        จากเตรียมจัดทัพครั้งนี้..ทำให้ซูคอฟรู้ว่า..ทหารที่มีอยู่นั้น..ส่วนใหญ่มีวินัยที่ต่ำกว่ามาตรฐานจริงๆ
        เขาได้ออกกฏเข้มออกมาให้ถือปฏิบัติในวันที่ 17 กรกฏาคม...ที่มีด้วยกันรวมหมด ตั้งแต่
        ทดสอบสมรรถนะ, ทดสอบการเขียนอ่าน, ความพร้อมเพรียง, การฝึกหัดแถวและวินัย และ
        มารยาทต่อประชาชน..ซึ่งแม่ทัพซูคอฟได้ถือเป็นมาตรการเด็ดขาด และมีการกำหนดโทษ
        สำหรับผู้บังคับบัญชาชั้นล่างๆลงไป..
        ซึ่งความเด็ดขาดนั้น...ได้มีการพิจารณาโทษกันจากผลของการไปทัพสู่เบสซาเรเบีย
        ที่หน่วยไหนมีวินัยก็ได้รับการพิจารณาความดีความชอบ
        หน่วยที่แตกแถว..ไร้วินัย..ถูกส่งขึ้นศาลทหารทั้งหมด...

        ผู้ใต้บังคับบัญชา(ชั่วคราว) คนหนึี่งของเขา คือ เพื่อนรักที่เพิ่งพ้นโทษมา..โรโคซอฟสกี้
        ที่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นผบ. ในกองพลทหารม้าที่ 5  หากแต่กองพลที่ห้านัั้นกำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมตัวมาประจำยูเครน
        ดังนั้น..โรโคซอฟสกี้ จึงต้องมาประจำอยู่ในการบังคับบัญชาของจอร์จิก่อน
        อีกคนหนึ่ง..คือ..นายทหารหนุ่มแแห่งกองพลรถถัง นามว่า..Mikhail Kalashnikov
        ที่ได้เขียนบันทึกไว้ว่า.."ท่านแม่ทัพซูคอฟช่างเป็นทหารที่มุ่งมั่น และ มีพลังอย่างเหลือเฟือจริงๆ"
        คาลาชนิคอฟ เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มที่ดี และเป็นช่างประดิษฐ์  เขาได้คิดสร้างเครื่องมือ
        ที่สามารถทำการบันทึกการทำงานของเครื่องยนตร์ของรถถังในยามปฏิบัติการได้ รวมไปถึงการปรับเปลี่ยน
        ระบบการทำงานต่างๆให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น..
        เขาได้นำสิ่งที่คิดค้นขึ้นได้นัน..เสนอต่อจอร์จิ...
        แม่ทัพซูคอฟ ประทับใจในความสามารถของทหารคนนี้เป็นอย่างมาก เขารู้ดีถึงการมี"พรสวรรค์"
        ของผู้ใต้บังคับบัญชา..เขาได้ส่งตัวคาลาชนิคอฟ ไปยังวิทยาลัยทหาาแผนกเครื่องยนตร์ที่เคียฟ
        ต่อด้วย..วิทยาลัยเทคนิคแผนกช่างรถถัง
        ซึ่งต่อมา..Mikhail Kalashnikov ได้กลายมาเป็นนักออกแบบอาวุธที่มีชื่อเสียงระดับโลก..

        http://en.wikipedia.org/wiki/Mikhail_Kalashnikov

 

Mikhail Kalashnikov 

 
        อีกคนหนึง..ที่ได้มารู้จักและคุ้นเคยกันที่เคียฟ..ก็คือ..Nikita Khrushchev ซึ่งตอนนั้น
        ทำหน้าที่เป็นเลขานุการพรรคประจำแค้วนยูเครน ที่เส้นทางชีวิตของคนทั้งสองนี้จะต้องมาเจอกันอีก
        ในหลายวาระต่อมา..ในบทบาทที่แตกต่างกัน...แต่อย่างไรก็ตาม ครุสเชฟ ได้จำได้ดีเสมอว่า
        แม่ทัพจอร์จิ ซูคอฟ นั้นเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการมาแทนที่แม่ทัพทิมิเชงโก

  Nikita Khrushchev        

 

 

บทบาทที่สำคัญต่อมาของจอร์จิ..คือ ฤดูร้อน ในปี 1940  คือการจัดผังแผนงานให้กับกองทัพโซเวียตในการสงคราม
        ทั้งการรุกและรับ..โดยการรวบรวมและประเมินจากอดีตเมื่อครั้ง 1928 มาจนถึงการส่งผลต่อไปในอนาคตของปีต่อไป
        (1941) ในการรับมือและการประเมินกำลังข้าศึกที่จะเข้ามาในทุกสเกล และทุกทาง
        แผนงานดังกล่าวมานี้..เคยทำครั้งสุดท้ายถึงเมื่อปี 1938 โดยจอมพล Boris Shaposhnikov ผู้เป็นอัจฉริยะ
        และเป็นผู้เขียนตำรา The Brain of the Army  ที่มีรายละเอียดในสงคราม ออสโตร-ฮังเกเรียน อันเกิดก่อนสงครามโลกครังที่หนึ่ง และเป็นการประเมินสถานะการณ์ได้อย่างแม่นยำถึงสงครามโลกที่จะเกิดขึ้นต่อมา...
        ตำราของชาโปชนิคอฟ 1938 นั้น ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า..ศัตรูตัวเอ้ของโซเวียตคือ เยอรมันและพวก
        ที่จะเป็นภัยในทางตะวันตก. ส่วนญี่ปุ่นคือหนามยอกใจทางฝั่วตะวันออก โซเวีียตควรที่จะเตรียมรับมือกับศึก
        สองด้านเสมอ แต่..เวทีการสู้รบที่สำคัญ..จะมาจากเยอรมันอย่างแน่นอน...
        และเยอรมันจะใช้เส้นทาง..สองเส้น..ถ้าไม่เหนือของ Pripyat Marshes อันหมายถึง เส้นทางสู่ Minsk, Leningrad
        หรือ Moscow  ก็อาจจะเป็นทางใต้..เช่น Kiev และเข้ายึดพื้นที่ในยูเครน ซึ่งแต่ละเส้นทางนั้น ขึนอยู่กับสถานการณ์
        ของประเทศทางผ่านว่ามีความเข้มแข็งและมีการต่อต้านมากเท่าใด (รวมไปถึงโปแลนด์)
        ตำราพิชัยยุทธนี้..ได้เขียนถึงการรับมือของโซเวียตไว้ด้วยว่า.. ถ้ามาเหนืิอ..ก็ต้อนรับเต็มที่พร้อมแบ่งกำลังลงมาคอยรับทางใต้
        ถ้ามาทางใต้...ก็เช่นกัน..และจะมีการมาเตรียมรับพรอมปองกันทางเหนืิอ
        ไม่ว่าจะมาทางไหน...หมายถึงว่า..จะมีการต้อนแบบจัดเต็ม..ไม่ให้มีโอกาสได้กลับไปอย่างแน่นอน..

        นี่คือ..ใจความวิเคราะห์ของตำราที่โซเวียตได้ถือเอามาเป็นแบบแผนพิชัยสงคราม

        มันควรจะรวมอยู่ในกระทู้เดียวให้ง่ายในการติดตาม

   
        เมื่อตำราเก่าของปี 1938 ได้มีข้อละทิ้งไว้ว่า...ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ของประเทศทางผ่าน
        ที่มีความเข้มข้นและแข็งขันในการต่อต้านอย่างไรนั้น..
        ในปี 1940 ที่แม่ทัพซูคอฟต้องมาจัดเรียบเรียงการประเมินสถานะการณ์ใหม่ให้กระชับ
        เพราะว่า..สถานะการณ์นั้นมันชัดเจนขึ้นมาแล้วว่า..ข้าศึกน่าจะมาจากทางเหนือ โดยทางตะวันออกของปรัสเซีย
        เพราะสถานะการณ์ของการเข้ายึดครองโปแลนด์ ทำให้ดินแดนนั้นได้เชื่อมต่อเป็นผืนแผ่นดินเดียวกัน
        โดยการผ่าน ลิธัวเนีย, ลัทเวีย และตะวันตกของเบโลรุสเซีย
        อย่างไรก็ตามแผนได้ระบุว่า...กองทัพแดงควรจะตั้งมั่นรอรับมือ เตรียมพร้อมในทางเหนืิอ
        และ ผู้ที่สมควรเข้าทำหน้าที่แม่ทัพ คือ จอมพล A.M. Vasilevsky (ซึ่งต่อมาคือสหายสนิท
        ของซูคอฟ)
        ซึ่งผู้ชำนาญในการประมาณศึกและผู้เขียนตำรารับมือผู้นี้...ได้เกษียณราชการในปี 1940 เพราะปัญหาทางสุขภาพ...แล้วใครเล่าที่จะมาทำหน้าที่แทน

        ดังนั้น..การอ่านเกมส์สงครามต่อไป..คือปัญหาที่เหล่าขุนพลโซเวียตต้องมาวิเคราะห์
        กันใหม่..เพราะวิวัฒนาการทางด้ารอาวุธและพาหนะขับเคลื่อนที่ล้ำหน้าของเยอรมัน
        ที่อาจสามารถเข้ามาได้พร้อมกันทุกทาง...
        ซึ่งสตาลินและเหล่าขุนพลเชื่อว่า...เยอรมันจะเข้ามาทางที่มีแหล่งน้ำมันและทรัพยากรที่พร้อมมูลอย่างแน่นอน
        นั่นคือ ทางใต้  เพราะยูเครนมีแหล่งน้ำมันอยู่ที่คอเคซัส

        และนั่นคือการบ้านที่เหล่าแม่ทัพทุกคนต้องไปทำวิทยานิพนธ์กันมา..เพื่อที่จะเข้าประชุม
        ระดับใหญ่โดยมีสตาลิน เป็นประธาน โดยการจะมีการจำลองภาพสงครามที่มาจากทิศทางต่างๆ
        และแผนการตั้งรับและโต้ตอบ..และมันเป็นเสมือนการแสดงกึ๋นของแม่ทัพในการนำเสนอแผนงานต่อประธาน..ว่าของใครจะแยบยลกว่ากัน...
        สตาลินจะเป็นผู้เลือกว่า..ใครคือผู้ที่สมควรจะขึ้นมาเป็นเสนาธิการคุมการทำสงคราม
        กับเยอรมัน

        ในวันที่ 14 มกราคม 1940  ซูคอฟได้ถูกเรียกตัวเข้าพบกับสตาลิน
        และได้รับการประกาศว่า..เขาได้รับเลือกให้เข้ารับตำแหน่งนี้..ถือว่าเป็นรองที่ลงไปจาก
        จอมพลทิโมเชงโก และ ถัดขึ้นไปคือสตาลิน..!!!!
 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (102092)
avatar
arintaBO

ขอบคุณมากๆนะคะ คุณ wiwanda ตามอ่านมาตั้งแต่เรื่องโรมานอฟ (อ่านในพันทิปค่ะ แต่ไม่มีลอคอิน เลยไม่ได้comment อะไร)

อยากจะบอกว่า ดีใจมากๆที่คุณ wiwanda กลับมาเขียนอีก จะตามอ่านไปตลอดเลยค่ะ ชอบมากๆ ขอบคุณมากๆนะคะ

ผู้แสดงความคิดเห็น arintaBO ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-23 10:46:24


ความคิดเห็นที่ 2 (102096)
avatar
Demetorius

ขอบคุณครับ ยังน่าสนุกตื่นเต้นเหมือนเดิมเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-06-30 14:12:42


ความคิดเห็นที่ 3 (102103)
avatar
Pannapich

สนุกมากค่ะ รอติดตามตอนต่อไปค่ะ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Pannapich (wadtawan-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-07-05 17:19:52


ความคิดเห็นที่ 4 (102138)
avatar
หมาป่าดำ

 การศึกด้านตะวันตกดูจะไม่ราบรื่นเหมือนตะวันออก ไม่ได้กองทัพหิมะมาหนุนรัสเซียแย่เลย 

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-08 21:55:19



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker