dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



ซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์ ๖
วันที่ 16/02/2020   18:22:07

เรื่องที่ฮิตเล่อร์จะบุกโปแลนด์นั้น เป็นเรื่องที่ฮิตเล่อร์วางแผนมานานแล้ว..ก่อนที่จชวนสตาลินมาลงนามในสัญญาด้วยซ้ำ. จากบันทึกของท่่านเค้านท์ จิอาโน รมต.ต่างประเทศของอิตาลี ได้ระบุไว้หลังจากที่มีโอกาสเข้าพบกับฮิตเล่อร์ และ ริบเบนทรอปในกลางเดือน สิงหาคม "แผนการนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน เพราะเป็นความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวของฟิวเร่อร์"
(และเมื่อมีการพิพากษาคดีที่นูเรมเบอร์ค หลักฐานปรากฏชัดเจนว่า..แผนบุกโปแลนด์ หรือ Operation White นั้นได้อยู่ในแผนศึกของเยอรมันมาตั้งแต่ 1939)
และเมื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา.. ฮิตเล่อร์ได้ขยายอำนาจออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ควบคู่ไปกับความโหดร้าย
และสร้างความหวาดหวั่นให้กับทุกประเทศที่กวาดต้อนเข้ามา..ในขณะเดียวกัน ก็ได้"ถือสิทธิ" ในการที่จะกำจัด
เชื้อชาติที่เขาสร้างภาพว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อมนุษยชาติ ที่นอกจาก "ยิว" แล้วก็ยังเป็นพวกสลาฟ
เขาทำทุกอย่าง..ดังในทฤษฏีที่ได้เคยเขียนไว้ในหนังสือของเขา  Mein Kampf

วันที่ 21 มิถุนายน 1941 เพียงวันเดียวก่อนที่ฮิตเล่อร์จะบุกโซเวียตนั้น เขาได้ส่งข้อความไปหามุสโสลินี
แก้เกี้ยว ทำนองว่า...เขาอยู่ด้วยความประหวั่นใจว่า สักวันหนึ่งในอนาคตอันใกล้ๆนี้ สตาลินดจะต้องตลบหลังเขาแน่ๆ และถ้าเป็นเช่นนั้น อังกฤษก็คงจะเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ด้วย  ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจที่จะเปิดฉากดำเนินการก่อน ในขณะที่สตาลินยังไม่ทันตั้งตัว เชื่อว่า..สงครามครั้งนี้..จะต้องเป็นทีของเยอรมัน
และบอกต่ออีกด้วยว่า...
"คอยฟังนะเพื่อน...ทุกอย่างยังไม่แล้วเสร็จ เอาไว้ให้ผ่านเวลาทุ่มหนึ่งของคืนนี้ไปก่อน...จะได้ฟังข่าวอีกที"

กองทัพนาซีเตรียมการโจมตีแบบ Blitzkrieg ทางตะวันออก ในแผนศึกที่ใช้ชื่อว่า Barbarossa ที่
เป็นแผนปฏิบัติการแบบเหมาหมด กล่าวคือ นั่นคือ บุก,ทำลายล้าง, ปล้นฆ่า ในระดับล้างประเทศอย่างที่ไม่เคยมีในสงครามไหนมาก่อน เป็นความโหดเหี้ยมที่ วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กล่าวไว้ว่า..
"แม้แต่ในเกาะของเรา ที่ล้อมกรอบไปด้วยกำแพงทะเลนั้น..ก็ไม่ปลอดภัยต่อไปอีกแล้ว"

ในวันที่ 22 มิถุนายน 1941 แม่ทัพซูคอฟ ที่กำลังหัวหมุนอยู่กับการประชุมการรับมือศึกกับเหล่าขุนพล
เขาพูดน้อยมาก และเท่าที่จำเป็น (กับสตาลิน) แต่...เมื่อถึงคราวที่จะต้องลงมือทำงาน...
เขาปล่อยให้ผลงานทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทน..
ที่เหล่าขุนพลโซเวียตต้องวิ่งกันวุ่นนั้น เพราะการประเมินเวลาที่นาซีจะเข้าบุกนั้น ผิดพลาดไป..
ไม่มีใครคาดว่า จะรวดเร็วถึงขนาดนี้..
แม่ทัพซูคอฟพอจะประเมินได้ว่า..หากนาซีทุ่มกำลังเข้ามาตามที่หน่วยข่าวกรองได้รายงานถึงจำนวนและขนาดทัพแล้ว..แนวหน้าชายแดนคงจะเอาไว้ไม่อยู่ เพราะโซเวียตได้ติดตามข่าวทางทหารและกำลังพลของเยอรมันอย่างใกล้ชิด แม้กระทั่งในเดือนพฤษภาคม 1941 ก่อนที่เยอรมันจะบุกเข้ามาได้เดือนเดียว
สตาลินได้ประกาศในงานสำเร็จการศึกษาของนักเรียนนายร้อยว่า...
"เยอรมันมีกองทัพที่สมบูรณ์ที่สุด ทั้งในด้านการทหาร  อาวุธ และ ระบบบริหารจัดการ" เขากล่าวต่อไปว่า
"แต่..เยอรมันอาจจะเข้าใจผิดไปในบางอย่าง..ถ้าหากคิดว่ากองทัพของเขานั้น..เหนือกว่าใครๆ เพราะ
ขึ้นชื่อว่าสงคราม..ไม่มีใครชนะเสนอไป..."

ในช่วงของการเข้าบุก...กองทัพเยอรมันอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์จริงๆอย่างว่า..เพราะสภาพของเศรษฐกิจ
วัตถุดิบ และ กำลังพล อีกทั้งการที่ได้เข้าควบคุมยุโรปในหลายๆประเทศ..ทำให้แข็งแกร่งในอุตสาหกรรมทุกๆด้าน เช่น...มีโรงงานสร้างเครื่องจักรกล กระสุนปืน และ อุปกรณ์ต่างๆ ทั้งใน ออสเตรีย เบลเยี่ยม ฝรั่งเศส
และ เชคโกสโลวาเกีย
ส่วนประเทศที่ไม่เกี่ยวข้อง..เช่น สเปน ปอร์ตุเกส ตุรกี และ สวีเดน ก็ทำการส่งแร่เหล็ก และโลหะต่างๆให้
ยิ่งเมือยามที่ฮิตเลอร์เข้าบุกโซเวียตใหม่ๆนั้น..เขาได้กวาดต้อนประเทศอื่นๆที่มีทรัพยากรสำคัญไปจนเกือบหมดแล้ว..
จนทำให้หลายๆคนเชื่อว่า...นาซีคงจะเผด็จศึกโซเวียตได้อย่างง่ายดาย
เหมือนตักเค้กเข้าปาก และน่าจะไม่เกินเดือน
ในตอนนั้น...จะว่าไป..ชาวประชาโลกดูเหมือนจะเอาใจช่วยนาซี เพราะ
การที่ใครจะเข้ามาทำลายล้างคอมมิวนิสต์นั้น..เปรียบได้ประหนึ่งฮีโร่

ตอนที่นาซีบุกเข้ามาในแผ่นดืนของโซเวียตนั้น แม่ทัพซูคอฟได้เข้ามาปฏิบัติงานอยู่ในกรมเสนาธิการที่มอสควาตามคำสั่งที่เรียกตัวมา..
หน้าที่ดูแลฐานที่เคียฟ เป็นของรองแม่ทัพ Maxim Purkayev ที่ได้โทรศัพท์มารายงานว่า นายทหารเยอรมัน(สายลับของโซเวียต)
ได้เข้ามาส่งข่าวมาว่ากองทัพนาซีออกเดินทัพมุ่งมาทางโซเวียตแล้ว..
ซึ่งก็มาพร้อมกับรายงานจากทุกสาย...รวมทั้งวินสตัน เชอร์ชิลล์
ที่ได้ติดต่อเตือนมาถึงสตาลินตั้งแต่วันที่ 3เมษา ที่ผ่านมาว่า เยอรมันกำลังจะบุกโซเวียต
แต่สตาลินได้แต่ระแวงว่าเชอร์ชิลล์จะมาได้ไหน... เพราะใครๆก็รู้ว่าเชอร์ชิลล์นั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมากับระบบคอมมิวนิสต์มาแต่ไหนแต่ไร..
สตาลินได้เช๊คข่าวนี้ไปยัง Dr. Richard Sorge หน่วยข่าวกรองที่ทำงานในสถานทูตโซเวียตที่ญี่ปุ่น..
แต่..ทางโน้นตอบมาว่า..ไม่มีข่าวออกมาเลย..
จนหนึ่งเดือนก่อนการบุก ด๊อกเตอร์ ซอร์จ ได้ทำงานเสี่ยงตายโดยการส่งวิทยุ ในข้อความสั้นๆมาถึงมอสควาว่า..
"การบุกจะมีในวันที่ 22 มิถุนายน"  หลังจากที่ส่งข่าวออกมา
เขาและทีมงานได้ถูกตำรวจญี่ปุ่นเข้าทำการจับกุมและควบคุมตัว..และได้
ถูกพิพากษาประหารชีวิตในปี 1944

 



ทีมงานฝ่ายโปรประกันดาของเยอรมัน..ในความควบคุมของ Dr. Joseph Goebbels ได้พยายามออกข่าวเท็จออกมาเป็นระยะ เพื่อสร้างความสันสนเป็นไปในวงกว้าง จนมั่วเลอะเทอะไปหมด อันเป็นกลลวงอย่างหนึ่ง รวมไปถึงข่าวลวงเมื่อตอนสงครามที่ฟินแลนด์ที่หลายคนเชื่อ (รวมถึงสตาลิน) ว่า...อังกฤษและฝรั่งเศส ไม่พอใจต่อการกระทำของโซเวียต และกำลังผนึกกำลังกันที่จะเข้าบุกที่คอเคซัส
จนกระทั่ง..เยอรมันได้ออกเคลื่อนทัพมาแล้ว..ข่าวที่ออกมายังสับสนอยู่
เพราะก่อนหน้านั้น..หัวหน้าฝ่ายข่าวกอง พลเอก F.I. Golikov ได้รายงานมาว่า..
เยอรมันจะไม่ทำสงครามกับโซเวียตจนกว่าได้รับชัยชนะจาก The Battle of Britain หรือไม่ก็หลังจากที่ได้เซ็นสัญญาสงบศึกกันไปแล้ว...
แถมในรายงานเพิ่มเติมมาด้วยว่า.."ข่าวที่ว่าเยอรมันจะบุกในช่วงฤดูใบไมผลินี้ คือข่าวลือทั้งสิ้น และการกุน่าจะมาจากฝั่งอังกฤษหรือจากสายลับของเยอรมัน"
ข้อความตรงนี้..ในบันทึกของจอมพลซูคอฟ...ท่านได้ขีดเส้นใต้เอาไว้ (เดาได้ว่า...ด้วยความฉุนสุดๆ)

ทันที่ที่ได้รับรายงานถึงการบุก จอร์จิรีบส่งต่อไปยังจอมพลทิมิเชงโก รมต.
กลาโหมเป็นการด่วน และทั้งคู่ถูกสตาลินเรียกเข้าพบ
จอร์จิเขียนไว้ว่า...
"เรารีบเอาแผนรับมือศึกติดไปพบท่านสตาลินที่เครมลินด้วย..และระหว่างขทางเราได้ตกลงกันว่า..ไม่ว่าอะไรจะเกิด เราจะขออำนาจ(จากสตาลิน)ในการอนุมัติเรียกระดมพลทั้งหมดให้เตรียมพร้อม"
เมื่อเข้าไปพบ..สตาลินนั่งคอยอยู่เพียงลำพัง..มีสีหน้าที่หนักใจและเป็นกังวล เขาว่า..
"พวกเยอรมันอาจจะส่งไอ้พวกนี้มาให้ปั่นหัว ยั่วเราให้โมโหก็ได้"
"ไม่มีทาง...เขาพูดความจริงขอรับ.."
จากนั้น...เหล่าสารวัตรจากกรมตำรวจก็ได้รวมกลุ่มกันเข้ามา..
"แล้วจะเอายังไง?" สตาลินถาม
ทุกคนเงียบ..
ทิมิเชงโก ได้เสนอว่า...การประกาศออกคำสั่งจะต้องกระทำเดี๋ยวนี้..
"งั้นก็อ่านมาให้ฟังซิ"
จอร์จิ..จึงกางแผนงานออก..และอ่านไปตามคำสั่ง
สตาลิน..ตอบว่า..
"มันยังไม่ถึงเวลาในสำหรับคำสั่งรบอย่างนั้น..เราอาจจะตกลงกันได้ด้วยสันติ การมาของเยอรมันครั้งนี้ก็เพียงเจตนาเพื่อมายั่วยุ อย่าไปหลงกล
อย่าทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก"
จากนั้น..สตาลินได้เข้าไปในห้องทำงาน..ทำการเขียนคำสั่งออกไปยังหน่วยหน้าทั้งหมดให้ถือปฏิบัติ...และให้ทุกคนอ่านทวนสองสามรอบ
ก่อนที่จะให้จอมพลทิมิเชงโก และ ซูคอฟลงนาม

แต่นั่นก็เป็นขณะเดียวกันกับที่เยอรมันได้เข้ามาถึงชายแดนโซเวียตแล้ว..
ในตอนรุ่งสางของวันที่ 22 มิถุนายน ขณะที่ทุกคนกำลังหลับสบาย..
ไม่มีใครคาดคิดว่า..กำลังจะเกิดสงคราม..
เยอรมันได้กระจายกำลังเข้ามาเป็นสามทาง..การถล่มจากภาคพื้นดินและทางอากาศนั้น..ประสานงานอย่างพร้อมเพรียง..
แม่ทัพ(เยอรมัน) Albert Kesselring ได้เขียนไว้ในรายงานว่า..
เหล่านักบินของโซเวียตตายกันเกลื่อน
ในบ่ายของวันนั้น..ซูคอฟได้รับคำสั่งจากสตาลินทางโทรศัพท์ว่า..
แนวหน้าของเรามันหย่อนกำลังในการรับมือ..ดูเหมือนว่าจะสับสน ดังนั้น
งานใหม่ของซูคอฟคือต้องออกไปที่ฐานที่เคียฟ
เมื่อจอร์จิถามกลับไปว่า.."แล้วใครจะมาแทนในตำแหน่งเสนาธิการกองทัพขอรับ?"
สตาลินตอบกลับมาว่า..."ช่างมันก่อน รีบไปเถอะ.."
สิ่งแรกที่จอร์จิทำ คือ โทรศัพท์ไปหาครอบครัว..บอกว่าไม่ต้องคอยกินข้าว
จากนั้นอีกสี่สิบนาที..เขาก็ได้มาอยู่บนเครื่องบินแล้ว..
และนึกขึ้นได้ว่า...ยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวาน..นักบินเลยยื่นชาแก่ๆและแซนวิชมาให้..
นั่นคือ..การออกทำสงครามฟาดฟันกับเยอรมัน..ที่ยาวนานถึง 1,418 วันและคืน..

ชีวิตของแม่ทัพซูคอฟในช่วงแรกๆของสงครามนั้น..เข้มข้นมาก เขาต้องอยู่ปฏิบัติการทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า 20 ชั่วโมง ที่เขาต้องใช้วิธีดื่มกาแฟที่แก่จัดเพื่อให้สมองตื่น..ในฤดูหนาว..เขาจะออกไปสกีประมาณครึี่งชั่วโมงเพื่อเป็นการออกกำลัง..
ทั้งวัน...เขาจะจมอยู่กับกองแผนที่ จัดผังกองทัพ และประชุมการรับมือศึกกับเหล่าขุนพล รวมไปถึงการปลดและโยกย้ายพวกที่เห็นว่าไม่เหมาะสม
เขาบินไปมาระหว่างฐานทัพเพื่อดูผลงาน..และได้ประกาศเฉียบว่า..
โทษของการหลบหนี หรือ หันหลังไม่สู้ศึก..คือการยิงเป้าสถานเดียว
ไม่มีการรอ..
การไเยี่ยมฐานแนวหน้าบ่อยๆของแม่ทัพซูคอฟ ได้สร้างขวัญและกำลังใจให้กับเหล่าทหารเป็นอย่างดี
เขาได้เข้าพบกับสตาลินเป็นประจำ และทำให้รู้ได้ว่า..สตาลินผู้ซึ่งจัดว่าเป็นยอดคนนั้น..ไม่ใช่ว่าจะมีความคิดอ่านที่ถูกต้องเสมอไป..
นายทหารหน้าห้องของสตาลิน..เล่าว่า..ในหลายๆครั้ง..ที่พวกเขาเคยได้ยินเสียงสองคนนี่ดังลั่นออกมาจากในห้อง..นับว่ามีนายทหารจำนวนไม่มากนักที่กล้าเถียงกับสตาลิน(แล้วมีชีวิตรอด)..ซูคอฟเป็นหนึ่งในนั้น..
ทั้งคู่รู้ทาง รู้อารมณ์กันเป็นอย่างดี..



เมื่อสงครามเริ่ม..กองทัพแดงเป็นฝ่ายเสียเปรียบในแทบทุกด้าน..
อาวุธที่ไม่ทันสมัยเท่า..ประสบการณ์รบของทหารด้อยกว่า..
ฝ่ายเยอรมัน..มี 190 กองทัพ
รถถัง 5000, ปืนต่อสู้อากาศยาน 47,000, ฝูงบิน 4,500 ลำ,
เรือรบ 200
ฝ่ายโซเวียต มี 170 กองทัพ รถถัง 14,000
เครื่องบิน 10,000 ส่วนอาวุธนั้น..เป็นรองเยอรมันทั้งจำนวนและคุณภาพ
เรียกได้ว่า..ผลของการปะทะในการป้องกันประเทศในระยะแรกๆนั้น..
เล่นเอาสตาลินอยู่ในอาการใกล้เสียสติเลยทีเดียว...
อีกทั้ง...โศกนาฏกรรมในการรบของโซเวียตในระยะแรกๆของการบุก ได้ถูกเขียนไว้ในหนังสือนับพันๆเล่ม..นักวิจารณ์สงครามทั้งหลายต่างเชื่อกันเป็นเสียงเดียวว่า..เพราะการขาดผู้นำที่ชำนาญในการรบ เนื่องจากเป็นผลกรรมของสตาลินที่ได้กำจัดนายทหารมือดีๆไปมากมาย..กองทัพจึงแตกสานซ่านเซ็น
แม้แต่ในหนังสือของซูคอฟเอง..ที่ได้กล่าวถึงความขมขื่นที่เห็นเพื่อนร่วมเรียน เพื่อนร่วมรบ หลายคนที่มาต้องชะตากรรม
เขาได้เขียนถึงสตาลินว่า..
"ขนาดสงครามใหญ่มาจ่อถึงหน้าประตูบ้านแล้ว..สตาลินควรที่จะต้องทำในสิ่งที่ควรทำ แต่เขายังทำใจดีสู้เสืออยู่นั่น"

ที่เป็นเช่นนั้น เพราะสงครามกับเยอรมัน..สตาลินยังคิดว่าเป็นสงครามที่หมายช่วงชิงพื้นที่ ขยายอาณาเขตเข้ามา ขอแบ่งโน่นแบ่งนี่..สั่งสอนกันไปให้เจ็บๆแสบๆ
แล้วก็เลิกแล้วต่อกัน ต่างพากันไปเซ็นสัญญาสงบศึก อย่างที่ทำมากับญี่ปุ่น..แล้วก็ต่างคนต่างอยู่..
สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด..และไม่คาดฝัน..นั่นคือ..ฮิตเล่อร์หมายที่จะครองพื้นที่ทั้งหมดของทวีปรัสเซีย..และในนั้นต้องไม่มีพวกคอมมิวนิสต์ พวกสลาฟ และยิว..
ซึ่ง..ไม่มีใครรู้ว่า..ฮิตเล่อร์ได้ทำการตกลงกับเหล่าทหารไว้อย่างเรียบร้อย..ตั้งแต่เดือนมีนาคม ว่า..วัตถุประสงค์ของการบุกครั้งนี้ คือการทำลายล้าง ยิวคอมมิวนิสต์ ( Judaeo-Bolshevik)
ให้หมด (ยิวคอมมิวนิสต์ ที่ฮิตเล่อร์หมายถึง ชนชั้นปกครองในโซเวียต)
ต่อมา วันที่ 13 พฤษภาคม  ฮิตเล่อร์ได้ออกกฏหมายออกมาว่า..ทหารเยอรมันทุกคนสามารถกำจัด หรือ ทารุณ พวกเศษมนุษย์เหล่านี้โดยไม่มีความผิดใดๆ พร้อมทั้งออกเป็นสมุดพกประจำตัวให้ด้วย
ในหัวเรื่องว่า..
"คู่มือการศึกในรัสเซีย"   ที่มีใจความว่า..

1. พวกบอลเชวิค คือศัตรูสำคัญ ที่เป็นพิษเป็นภัยของระบบสังคมนิยมของเยอรมัน

2. เรา (เยอรมัน) ต้องต่อสู้ ยืนหยัด ต่อต้านภัยจากบอลเชวิค..จากยิวในทุกรูปแบบ

3. เราต้องเตรียมพร้อมเสมอ ระวังระไว ไม่ให้ความปราณ๊ให้กับทหารกองทัพแดง หรือแม้แต่เชลยศึก และนี่คือรูปแบบที่เป็นนโยบายของกองทัพที่ต้องถือปฏิบัติ..
รวมไปถึงทหารแดงในกลุ่มเอเชี่ยนก็เช่นกัน...(หมายถึงกลุ่มทหารจากมองโกเลีย)

วันที่ 6 มิถุนายน  รัฐบาลนาซีได้ออกสมุดคู่มือมาอีกเล่มหนึ่ง..คือ การปฏิบัติกับกลุ่มชนชั้นปกครองโซเวียต
ที่มีข้อความสั้นๆว่า.."ถ้าจับได้..หรือประจันหน้าในการสู้รบ.... ฆ่าทิ้งสถานเดียว.."







ในการบุกเข้ามาในโซเวียตครั้งนี้...ฮิตเล่อร์ ไม่ได้คิดว่าจะต้องมารบพุ่งกันอยู่นาน..เพราะได้ประมาณการณ์แล้วว่า..กองทัพโซเวียตนั้นอ่อนเพลี้ยเต็มที จากผลงานที่ฟินแลนด์  เลยพอมองออกว่า..กองทัพขาดผู้นำที่มีความเชี่ยวชาญ..และ ทหารรบแบบสะเปะสะปะ..
ดังนั้น...การโค่นยักษ์ในครั้งนี้..คงไม่ต้องใช้แรงมากอะไร

ดังที่ฮิตเล่อร์ได้บอกกับหน่วย SS ของเขาว่า..
"แค่เราถีบประตูเข้าไป...บ้านมันก็จะล้มครืนลงมาทั้งหลัง.."
และเขาคิดว่า..นอกจากทหารจะไม่จับอาวุธขึ้นมาสู้กับกองทัพที่แสนทันสมัยอย่างกองทัพเยอรมันแล้ว..เผลอๆ..ปากกระบอกปืนของทหารโซเวียตอาจจะหันไปทางสตาลินก็ได้..

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง..เพราะในอาทิตย์แรก..ด่านหน้าของโซเวียตก็รบไปถอยไป..
ลุฟท์วัฟฟ์ ได้เข้าบินโจมตีฐานกองทัพอากาศของโซเวียตหกสิบกว่าแห่ง..บอมบ์ เครื่องบินเสียหายไปกว่า 900 ลำ(ที่จอดอยู่)  และสอยที่บิน..ร่วงไปอีก 300 กว่าลำ...

ในวันที่ 3  กรกฏาคม..ผบ. Franz  Halder แห่งกองทัพนาซ๊ ได้เขียนบันทึกไว้ว่า..
"ในส่วนของเรา...ยังไม่ทันได้ออกแรงเลยสักนิด..กองทัพแดงก็แทบจะแหลกราญไปแล้ว..."

คำว่าแหลกราญนั้น..ไม่ต่างไปจากความจริงเท่าไหร่นัก เพราะ...ทหารโซเวียตล้มตายไปกว่าเจ็ดแสน  เครื่องบินร่วงไปกว่า สี่พันลำ..
สามเดือนในการบุกของกองทัพนาซี...ฐานทัพที่เคียฟก็แตกไปเรียบร้อย..
เลนินกราด..ถูกล้อมกรอบ...
มอสควา..กำลังตกอยู่ในอันตราย..และกำลังจะถูกปิดล้อมด้วยเช่นกัน..

ยุทธวิธีปิดประตูตีแมวแบบนี้..เยอรมันถนัดนัก  ใช้มาตั้งแต่โปแลนด์ ยันฝรั่งเศส... เพราะความคล่องตัวของรถถังปันเซอร์ที่ทรงอานุภาพ
อีกทั้งในแต่ละคัน..มีวิทยุติดต่อถึงกันได้อย่างฉับไวและมีประสิทธิภาพ..

 




สตาลิน..เริ่มตั้งสติและควบคุมตัวเองได้..หลังจากที่สลับแม่ทัพไปที่โน่นที่นี่...วุ่นวายไปหมด..ทหารก็ล้มตายเป็นเบือ...ก็ล่วงมาในเดือนกรกฏาคมเข้าไปแล้ว..

คราวนี้..เขาเริ่มมองเห็นการณ์ไกล..ในวันที่ 30  กรกฏาคม..เขาได้มอบอำนาจให้ซูคอฟไปเป็นแม่ทัพคุมทหารกองหนุนแนวหน้า..อันหมายถึงเป็นกำแพงชั้นที่สอง..ถ้าแนวหน้ายันข้าศึกไว้ไม่ได้  แตกมีรอยโหว่..
กองพลทหารกองหนุนจะเข้าไปเสริมและยันข้าศึก..ไม่ให้ก้าวล่วงมาได้..

กองพลทหารกองหนุนที่ซูคอฟไปเป้นแม่ทัพนี้..อยู่ในแนวร้อยไมล์ทางทิศตะวันออกของเมือง
Smolensk  (สมาเลียงสค์)อันเป็นเมืองหน้าด่านของมอสควา..
หมายถึงว่า..หากฐานที่ สมาเลียงสค์ เอาไม่อยู่...
นั่นคือหน้าที่ของแม่ทัพซูคอฟ..ที่จะต้องสกัดกั้นไม่ให้กองทัพปันเซอร์ของนาซีล่วงล้ำเข้าสู่เมืองหลวงได้...


งานนี้จึงเปรียบเสมือนกันการที่จะเดิมพันกันด้วยชีวิต..ทั้งของทหารและแม่ทัพเลยทีเดียว..


ดูภาพเคลื่อนไหวได้ที่นี่ค่ะ....

http://youtu.be/oQdb6AucBjs



ซูคอฟมีกำลังพลในมือถึงหกกองทัพ..(หนึ่งกองทัพ..มีทหารประมาณสองแสนนาย..)
และเขาไม่รีบเร่งที่จะเข้าประสานงากับนาซี...แต่เลือกที่จะรอไปจนต้นเดือนสิงหาคม..ที่เขาโหมกำลังเข้าสกัดนาซี ที่ Yelnya (หรือ Yelninsky)  ในตามสไตล์ของซูคอฟ...คือ..ไม่แหลก..ไม่เลิก..
การเข้าตียันเยอรมันครั้งนี้..เขาได้ผนวกกำลังกับกองทัพที่สิบหกของ Rokossovsky ใช้เวลานานปะทะนานถึง  ยี่สิบหกวัน..เล่นเอานาซีถอยกรูด...
และซูคอฟสามารถยึดเอา เยลนิงสกี้กลับคืนมาได้..และกำลังจะไปเอาเคียฟคืนมาด้วย..

แม่ทัพเยอรมันที่กำลังลำพองใจอยู่นั้น.....เริ่มไม่ค่อยแน่ใจแล้วว่า..หนทางข้างหน้าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนอย่างที่คาดไว้...เพราะกองหนุนโซเวียตที่ส่งมาออกมา..ช่างแน่นหนานัก...

แต่ทัพของนาซีอีกทัพหนึ่งที่มุ่งไปทางเหนือนั้น..กำลังจะเข้าล้อมเลนินกราดอยู่รอมร่อ..
และนี่คือช่วงของการกดดันอย่างมากที่สุดของสตาลิน...เขาเริ่มไม่แน่ใจในตัวจอมพล Voroshilov  ที่ดูแลป้องกันเลนินกราด.....ว่าจะ"เอาอยู่"
จึงได้เรียกตัวแม่ทัพซูคอฟ...ให้เข้ามาที่เลนินกราดด่วน...ในวันที่ 12 กันยายน...

จอร์จิ..บินด่วนเข้าเลนินกราดด้วยความฉุนสุดขีด..เพราะ...เขากำลังจะได้เคียฟคืนมาอย่างเห็นๆ
แต่ต้องมาตามล้างตามเช็ดให้คนอื่นอีก..
เขาเข้าไปที่ศูนย์บัญชาการ..ไม่ได้พูดได้จากับใคร..แม้กระทั่งกับแม่ทัพโวโรชิลอฟ
เขาตรงเข้าไปต่อสายโทรศัพท์ถึงสตาลิน..และพูดสั้้นๆว่า..
"ปล่อยเลนินกราดให้เป็นหน้าที่ของกระผม..."

ส่วนแม่ทัพโวโรชิลอฟ..ที่กลายมาเป็นอดีตไปแล้วนั้น..หวั่นไหวเหลือประมาณว่า..อาจจะโดนยิงเป้าเสียในคราวนี้....แต่...โชคดีที่รอดตัวมาได้...

ยามที่เยอรมันบุกเข้ามาอย่างหนักเป็นสามสาย..คือ
ทัพเหนือ..มุ่งไปเลนินกราด..
ทัพกลาง..หมายไปมอสควา
ทัพใต้...กะไปคุมไครเมียและทะเลดำ

ในช่วงนั้น..กองบัญชาการสูงสุดของโซเวียต หรือ Stavka ที่สตาลินได้รีบแต่งตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อที่จะรับมือกับเยอรมัน..ตัวคีย์สำคัญ..คือ..
สตาลิน, ซูคอฟ,โมโลตอฟ  รมต. ต่างประเทศ, จอมพล โวโรชิคอฟ, จอมพล บัดยอนนี่,จอมพล ทิมิเชงโก, แม่ทัพเรือ คุสเนตซอฟ
.....และตัวแสบคนสำคัญ คือ  นาย ลาเวนติ เบเรีย...อธิบดีกรมตำรวจ หรือ KGB ตัวพ่อ..(ตอนนั้นเรียกว่า NKVD) เท่ากับว่า..ถ้าฮิตเล่อร์มีฮิมม์เล่อร์   สตาลินก็มีเบเรีย..

และนายเบเรียคนนี้..มีอำนาจล้นฟ้าในทำหน้าที่เที่ยวตรวจสอบว่าใครเป็นอย่างไร
มีภัยกับสตาลินหรือระบอบคอมมิวนิสต์หรือไม่..ถ้าไม่ชอบมาพากล ก็ จัดการกำจัดไปดังที่
ได้เกิดขึ้นมาในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนการปกครอง..
แม้แต่ ซูคอฟ...ก็โดนเบเรียเพ่งเล็ง..แต่เขาโชคดีที่รอดตัว..

 




ก่อนอื่น...มาดูแผนที่ศึก...

 

 




แม่ทัพซูคอฟต้องการที่จะปิดปากทางให้ได้มากที่สุด..ก่อนที่ทัพของเยอรมันจะขยายออกไปทางอื่น..และถ้าเปิดให้เป็นช่องโล่งโจ้ง..จะยากต่อการรับมือถ้าเยอรมันจะระดมกองหนุนเข้ามาอีก..

ซึ่งทางเลนินกราด..ได้มีจอมพลโวโรชิคอฟเป็นแม่ทัพใหญ่ดูแลอยู่...และดูในแผนที่แล้ว..จะเห็นได้ว่า..ไม่มีการสู้รบหรือรับมือเลย..
เท่านั้นไม่พอ..โวโรซิคอฟได้รายงานเท็จไปที่มอสควาด้วยว่า.."เอาอยู่"  บอกไปว่า..กองทัพนาซีจะไม่สามารถข้ามเลยเส้นทางรถไฟมาได้...
ที่ไหนได้....นาซีมาถึงเลนินกราดจนได้...

โชคยังดี..ที่ยังไม่ถูกยิงทิ้งไปในฐานรายงานเท็จ



และที่สำคัญคือ..ทางเส้นทางที่นาซีเข้ามานั้น..เป็นดินแดนเกษตรกรรมที่มีชาวโซเวียต-ยิว
อยู่อย่างแน่นหนา..กองทัพนาซีได้งานแถมมาจากฮิมม์เล่อร์ด้วยว่า..ให้จัดการกับยิวไปด้วย
ดังนั้น..จึงได้มีการฆาตกรรมประชาชนที่ไม่รู้อิโหาอิเหน่ไปกว่า 30,000 ไปในเพียงสองอาทิตย์แรก (The  Babi Yar massacre)
แถมได้เขวนคอศพประจานไว้ให้เห็นอีกด้วย..ไม่ว่า เด็กหรือแก่..ผู้ชายหรือผู้หญิง
และนาซีได้ทำการทารุณแบบเดียวกับที่ กรีซ..ที่ยูโกสวาเวีย..ที่โปแลนด์...นั่นคือ
ถ้าหากมีการต่อต้าน..ทหารตายหนึ่งคน..ประชาชนจะต้องชดใช้ด้วยชีวิตเป็นร้อย

และที่ค่าย  Brest fortress  ที่มีทหารโซเวียตอยู่แค่สามพันคนและชาวบ้านเพียงหยิบมือ..แต่สามารถสกัดกองทัพของนาซีได้นานเป็นดือน..เรียกว่ารบกันจนถึงชีวิตสุดท้าย..
อยากแนะนำให้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ...

http://youtu.be/jiYJQC2Ketk


ถ้าที่เลนินกราด..ที่มีแม่ทัพโวโรชิคอฟสามารถสกัดกั้น..หรือรายงานตามความเป็นจริง..
ก็อาจจะปรับเปลี่ยนแผนได้ทัน..เพราะที่เลนินกราดนั้นเป็นทางออกสู่ทะเลบอลติค..นับว่าสำคัญอย่างยิ่ง..
สตาลินเรียกตัวซูคอฟให้บินไปแก้สถานะการณ์ด่วน..และกำชับด้วยว่า..
"เสียเท่าไหร่เสียไป..ต้องรักษาสมบัติของชาติให้ได้.."

สตาลินหมายถึงบ้านเมืองและ Hermitage Museum ที่มีมูลค่าทางทรัพย์สิน (เพชรนิลจินดาของซาร์)  และ โบราณวัตถุจำนวนมหาศาล..
ไม่ใช่แต่สตาลินที่คิดเช่นนั้น..แม้แต่ประชาชนที่มีอยู่ในนั้นกว่าสามล้าน..ร่วมใจกันสู้ แบบยอมอด (เพราะไม่มีอาหาร) ยอมหนาว (เพราะไม่มีเชื้อเพลิง) นานเป็นปีๆ

แม่ทัพซูคอฟเข้าไปถึงในเลนินกราดนั้น..สถานะการณ์ตึงเครียดแล้ว..แต่..เขาไม่เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว...อย่างแรกคือ จัดการยิงทิ้งกับทหารที่ไม่เอาไหนทั้งหมด...เพื่อให้เป็นตัวอย่าง..
และระดมกองหนุนเข้ามาอีกหลายระลอก..รวมทั้งทหารเรือที่เกณฑ์มาสู้รบ ออกไปรับมือและตีกองทัพนาซีในทุกด้าน..
จนแม่ทัพรถถังนาซี นายพล Franz Halder ที่ได้เคยบันทึกไว้ในหน้าแรกๆของสมุดรายงานว่า..
"ในส่วนของเรา...ยังไม่ทันได้ออกแรงเลยสักนิด..กองทัพแดงก็แทบจะแหลกราญไปแล้ว..."
แต่..ตอนนี้เขาได้เขียนใหม่ว่า..
"ในตอนแรก..เราได้ประเมินว่า..โซเวียตน่าจะมีแค่ 200 กองพลที่จะมารับมือกับเรา..ตอนนี้นับไปแล้ว..มันกว่า 360 แม้ว่าอาวุธจะล้าสมัย..ทหารยังรบไม่เป็น...แต่มันก็มาเป็นคลื่นมนุษย์
ตายไปพัน...ก็มาใหม่อีกสองพัน.."

นั่นทำให้เลนินกราดไม่แตกย่อยยับลงไปเสียที..ล้อมไว้เฉยๆ..มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไร..

แถมทัพนาซีที่ลงไปทางใต้  หวังจะไปเอาบ่อน้ำมันที่คอเคซัส..แต่..ถูกต่อต้านจนต้องถอยกรูด
ดังนั้น..เหลือทางเดียวที่จะต้องเผด็จศึกโซเวียต..คือ..ต้องไปยึดเอามอสควาให้ได้..
จึงได้หันมาจัดทัพใหม่..ขืนมาแยกตีที่โน่นที่นี่..ก็รังแต่จะเยิ่นเย้อ..
เลยทุ่มเทกำลังไปทางแผนของทัพกลาง..คือ  เข้าหาเมืองหลวงอันเป็นประหนึ่งกล่องดวงใจ..

 

 




ในช่วงนี้..ดิฉันจะนำบันทึกของท่านแม่ทัพซูคอฟที่เขียนด้วยตัวเองมาขยาย....อาจมีชื่อคนอื่นๆหลายคนที่ท่านกล่าวถึง เพราะร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน. อีกทั้ง...หลายคนต้องมาเจอกับชะตากรรมที่เลวร้ายตอนหลังสงครามเข้าไปอีก..ซึ่งดิฉันก็จะเล่าถึงตอน post war ด้วยเช่นกัน...
อ่านแล้วจำเอาไว้...ก็ไม่เสียหลายนะคะ...

V
V
V


ต้นเดือนตุลาคม (1941)  เราอยู่ในเลนินกราด ทำหน้าที่ป้องกันแนวหน้าไม่ให้ข้าศึกล้ำเข้ามาได้..ช่วงนั้นนับว่าสถานะการณ์เข้าข่ายวิกฤติมาตั้งแต่เดือนกันยายน แต่ในที่สุด...เราก็ยั้งการรุกของเยอรมันได้ เพราะการร่วมใจของเหล่าผู้กล้าของเรา
ทั้งจากทหารเรือ ทหารอาสา ข้าราชการ ประชาชน ที่พร้อมในการปกป้องเมือง
เมื่อตอนปลายเดือนที่ผ่านมา...บรรยากาศเริ่มสงบลงไปมาก หน่วยหน้าทั้งหมดเริ่มได้พักผ่อนกันบ้าง...แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก เพราะเราทุกคนยังต้องระวังระไวกันสุดชีวิตในการที่ต้องปกปักษ์เลนินกราดให้แล้วรอดปลอดภัย
พวกเรามีชีวิตอยู่กันในยามนั้นด้วยความคิดเพียงอย่างเดียว..นั่นคือ....ไม่ว่าอะไรจะเกิด..เราจะต้องสู้เพื่อประเทศของเราจนถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย..
กองบัญชาการกองทัพแนวหน้าของเรา คือ A.A. Zhdanov, A.A. Kuznestsov, T.F. Shtykov, Ya.M. Kapustin
และ N.V. Soloyev  ซึ่งทีมนี้...ได้ทำงานประสานกันด้วยดี...เพราะแต่ละคนนั้นเป็นทหารที่เก่งกล้าสามารถทั้งรุกและรับ
สู้ศึกทุกรูปแบบในตลอดทั้งเดือน...น่าเสียดาย ที่พวกเขาทั้งหมดได้จากไปแล้ว..*****
ความลำบากของพวกเรานับว่าหนักหนาสาหัสในการจะต้องรักษาเลนินกราดแล้ว..เรายังต้องพยายามหาข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุดในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดที่เรากำลังทำอยู่..
เราได้รู้กันแล้วว่า...เพียงสองเดือนครึ่งที่เยอรมันเข้ามาบุก..เขายึดเอา เบโลรุสเซีย, มอลเดเวีย และ พื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเครน,
ลิธัวเนีย,ลัทเวีย และ เอสโตเนีย ไปได้..ต่อมาที่เลนินกราด และกำลังจะเคลื่อนทัพไปยังทิศทางของมอสควาอย่างแน่นอน
เหล่าข้าศึก..อาจจะทำงานสำเร็จในระยะแรกก็จริง...แต่ไม่ใช่อย่างง่ายดาย..เพราะการสูญเสียของพวกเขาก็มหาศาลเช่นกัน
ทั้งทัพบกและทัพอากาศ..ขอให้เชื่อเถอะว่า...บุกเข้ามาลึกเท่าไหร่...มันก็จะยิ่งยากกว่าเข้าไปเป็นทวีคูณ
กองทัพเยอรมัน..ที่หมายจะบุกลงใต้ เพื่อที่จะไปยึดเอา ไครเมีย และ ลุ่มน้ำโดเนตส์  แต่ต้องมาเจอกับทัพของเราที่คุมอยู่ทางนั้นตีจนแหลกกระเจิง  จนต้องกลับไปรวบรวมพลมาใหม่...คราวนี้..พวกเขาเปลี่ยนทิศทาง..เคลื่อนย้ายไปทางมอสควา..จริงอย่างที่คาดเอาไว้ไม่มีผิด...
เพราะ...ฝ่ายเยอรมันคงจะประมาณการณ์ไว้ว่า...กองทัพของเราคงจะอ่อนแรงลงไปเพราะจำนวนของความสูญเสีย รวมไปถึงขวัญและกำลังใจของประชาชน  และ ความเหิมเกริมของฮิตเล่อร์ที่มีต่อชัยชนะที่ได้มาเมื่อสองเดือนที่แล้ว..ทำให้เหล่านายพล
แม่ทัพของเขาเริ่มที่จะอหังการ์ต่อแสนยานุภาพของตัวเอง..จึงได้เตรียมการบุกโจมตีเมืองหลวงครั้งใหญ่ เพราะมั่นใจว่า.
พวกเราคงรักษามันไว้ไม่ได้อย่างแน่นอน...

เหล่าเสนาบดีในกลาโหมทั้งหมด..เริ่มประชุมกันเครียด พยายามหาทางป้องกันในทุกรูปแบบ

***** Zhdanav  คือ เสนาธิการใหญ่ของกองทัพในส่วนป้องกันแนวหน้า ส่วนคนอื่นๆนั้น คือ รองเสธ.  
Zhdanav  เสียชีวิตเมื่อเดือนสิงหาคม 1948  ทางการประกาศว่า เขาเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว แต่
หลายคนเชื่อว่า เกิดจากการวางยาพิษ   หลังจากที่ ซาเนพ ตายไป..รองเสธ.ทั้งหมด (ยกเว้น Shtykov)
ถูกจับและนำไปสำเร็จโทษ ด้วยข้อหากบฏ*****.

ดิฉันจะนำเรื่องนี้มาเล่าในทีหลังค่ะ...


ช่วงเย็นของวันที่ 6 ตุลาคม...เราได้รับโทรศัพท์จาก ท่านผู้นำของเรา โจเซฟ สตาลิน ที่ถามมาถึงเรื่อ
สถานะการณ์ในเลนินกราด  เราได้ตอบไปว่า..ข้าศึกเพลาการโจมตีไปมากแล้ว..และจากปากคำของเชลยศึกที่จับมาได้
บอกว่า..พวกเขาเสียหายหนัก และตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาพที่ต้องหันมาป้องกันตัวเองแล้ว (เพราะกองทัพโซเวียตเริ่มรุกตอบ)
และทราบมาว่า..พวกเขากำลังจะเคลื่อนพลไปที่มอสควา
สตาลินได้ยินข้อความ..นิ่งเงียบไปแค่อึดใจ..ก่อนที่จะบอกมาว่า
"นายรีบแต่งตั้ง เสธ. Khozin ขึ้นมาบัญชาการแทนก่อน..แล้วรีบบินมามอสควาด่วนเลย.."
เรารีบทำตามคำสั่ง ตั้งผบ. โคซิน ขึ้นมาดูแลหน้าที่แทน..บอกลาเหล่าทหาร..แล้วขึ้นเครื่องไปเมืองหลวงทันที
ไปถึงในช่วงเย็นของวันรุ่งขึ้น  รีบเข้าไปที่เครมลินเพื่อเข้าพบสตาลินในอพาร์ตเม้นต์ส่วนตัว
ท่านผู้นำมีอาการหวัดเล็กน้อย..แต่ท่าทางไม่สบายนัก ผงกศรีษะให้เราเป็นการทักทาย พลางชี้ไปที่แผนที่แล้วบอกว่า
"ดูนี่ซิ..เรากำลังจะเข้าตาจนที่แนวหน้าฝั่งตะวันตก..ฉันไม่ได้รับรายงานมาเลยว่า มันเป็นยังไง..ถึงไหนกันแล้ว นายไปดูให้หน่อยซิ แล้วรีบรายงานมาด้วย ค่ำมืดดึกดื่นแค่ไหนก็ส่งรายงานเข้ามาได้ ฉันจะรอ"
สิบห้านาทีต่อมา..เราไปถึงกองบัญชาการทหารสูงสุด เพื่อรับรายงาน
จอมพล Boris Shaposhnikov ท่าทางเหนื่อยล้าอย่างที่สุด บอกว่า
" สตาลินเพิ่งโทรมา..บอกว่าให้เอาแผนที่ของฝั่งแนวหน้าตะวันตกมาให้ดูอย่างละเอียด..เดี๋ยวแผนที่จะมาถึง
ศูนย์กองบัญชาการฝั่งตะวันตก ตอนนี้อยู่ที่หน่วยกองหนุนแนวหน้าตั้งแต่เดือนสิงหาคม ตอนที่นายกำลังกู้ศึกที่
Yelnya "
กว่าแผนที่จะมา..เรานั่งจิบชาฆ่าเวลา จอมพลโบริสบอกว่า...เขาเหนื่อยมาก..เพราะการสู้รบมีหลายจุดที่ต้อง
ดูแลในการเสริมกำลัง..และต้องทำอย่างเร่งด่วนในทุกกรณี
ทันที่ที่แผนที่มาถึงมือ..เรารีบขึ้นรถออกไปที่ศูนย์บก.ของแนวหน้าทันที..ระหว่างที่เดินทาง..เรารีบศึกษาแผนที่
ด้วยแสงไฟจากไฟฉายในมือ... รู้สึกง่วงจัด มึนหัวนิดหน่อยด้วย เลยสั่งให้รถหยุด...ออกลงไปวิ่งเหยาะประมาณ
สามสี่ร้อยหลา..ไปถึงศูนย์ก็ดึกโข..
ที่ศูนย์ฯ เราพบว่า...เหล่าเสธ. แม่ทัพ นายพล Konev, นายพล Bulganin, นายพล Sokolovsky และ นายพล Malandin กำลังประชุมกันอยู่ ในห้องประชุมที่ไม่มีแสงไฟ นอกจากแสงสลัวที่เกิดจากเทียนสองสามเล่มที่จุดอยู่
แต่เราพอมองเห็นว่า..ทุกคนอยู่ในอาการที่เหนื่อยล้า..อ่อนแรง..
เราได้บอกพวกเขาไปว่า..ได้รับหน้าที่ที่ท่านผู้นำมอบหมายให้มาดูสถานะการณ์ศึกเพื่อไปรายงานตามความเป็นจริง..
นายพลบุลกานิน ได้ตอบมาว่า..
"ผมเพิ่งพูดกับท่านสตาลินไปเมื่อครู่นี้เอง..แต่บอกอะไรท่านเป็นมั่นเป็นเหมาะไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับ
กองทัพของเราที่กำลังถูกปิดล้อมอยู่ที่ Vyazma"
ส่วนนายพล เมลันดิน ได้พอให้ข้อมูลเพิ่มเติมจากที่รู้มาว่า..
"ข้าศึกได้มีการรวมตัวกันหนาแน่น สำหรับการที่จะเข้าบุกมอสควา มันเกินกำลังของทางเรา..ที่มีกองหนุนตะวันตก และ หน่วยแนวหน้าของ Bryansk (เบรียนสค์) กว่า 40%เปอร์เซนต์ในกำลังพล และ กว่า 120% ของรถถัง และ 90% ใน
อาวุธปืนทั้งเล็กทั้งใหญ่ และ 160% ของเครื่องบิน...มันสุดวิสัยสำหรับการที่จะป้องกันทัพขนาดนี้ได้ เราไม่ได้รับข่าวจากพวกเขามาตั้งแต่เมื่อวาน"



อันที่จริง...ที่ได้รับรายงานมาก็ไม่ใช่เรื่องใหม่..แต่การที่จะรับมือกับศึกขนาดนี้.กองทัพโซเวียตของเรา
รับมือได้อย่างแน่นอน เพราะเรามีกำลังพลเหลือเฟือ อาวุธก็ไม่ใช่น้อย แต่การที่จะรับมือได้นั้น มันขึ้นอยู่กับ
การใช้ยุทธวิธีที่ต้องรู้จังหวะเวลาของการล่อ การหลอก การรุกและการรับ
แต่น่าเสียดาย..ที่ไม่ได้ใช้มันอย่างถูกต้องมาตั้งแต่เริ่ม..เลยทำให้ต้องเข้าตาจน..

เราต่อโทรศัพท์ไปถึงท่านผู้นำในตอนตีสองเศษ  สตาลินยังนั่งทำงานอยู่...ในรายงาน เราบอกไปว่า
" ส่วนที่อันตรายที่สุด..นั่นคือ เส้นทางทัพของข้าศึกที่กำลังจะเข้าสู่มอสควา เพราะส่วนนั้นไม่มีกองทัพคอยดักสกัดอยู่เลย
แผนงกั้นการบุกรุกที่แนวด่าน Mozhaisk  ไม่แข็งแรงพอสำหรับทัพของเยอรมัน เราต้องจัดทัพใหญ่เอาไว้รอรับศึกทางด้านนี้
อย่างด่วนที่สุด..จะเริ่มจากจุดไหนก็ได้"
สตาลินถามถึงกองทัพที่ 16,19,20,24 และ  32  ว่าอยู่กันตรงไหน?
เราตอบไปว่า.."ทั้งหมดถูกปิดล้อมอยู่ที่ตะวันตก และ ตะวันออกเฉียงเหนือของ Vyazma
"แล้วนายจะทำอย่างไร?". สตาลินถาม
"กระผมจะเข้าไปพบกับจอมพล บัดยอนนี่ (ผู้บัญชาการทหารกองหนุนแนวหน้า)ขอรับ"
"แล้วรู้เร๊อะ..ว่าเขาอยู่ที่ไหน?"
"ไม่ทราบขอรับ แต่เชื่อว่าคงไม่ไกลไปจากนี้.."
"ดี...แล้วส่งรายงานมาด้วย"

สภาพอากาศในวันนั้น 8 ตุลาคม..ที่หมอกลงหนักจนแทบมองไม่เห็นอะไร เรากำลังจะเข้าสู่สถานีรถไฟ Obninskoye
ที่ห่างไปจากมอสควาประมาณ 70 ไมล์  และเห็นทหารช่างส่งสัญญาณรถไฟสองคนกำลังวางสายเคเบิ้ลบนสะพานที่ข้ามแม่น้ำ
Protva  ให้ทหารเข้าไปถามว่าวางสายเคเบิ้ลไปไหน...
ไอ้หมอนั่น..ตอบมาอย่างเสียไม่ได้ว่า...ไปสุดที่ไหน..ก็ที่นั่นแหละ
อย่างน้อย...เจ้านั่นก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีว่า..อะไรควรบอก อะไรไม่ควรบอก..
เราเลยต้องลงไปถามเอง...พร้อมกับแสดงตัวด้วย..ว่า..จะไปพบกับท่าน ผบ. บัดยอนนี่
ก็เลยได้ใจความมาว่า..เราเลยมาแล้ว..ต้องย้อนกลับไปที่แนวป่าด้านซ้ายของสะพาน
จากนั้นเพียงสิบนาที เราก็มาถึงกองบัญชาการทหารกองหนุนแนวหน้า และได้พบกับ นายพล Meklis และ นายพล
Anisov  
เราได้ยื่นความจำนงว่าต้องการพบกับท่านผบ. บัดยอนนี่ เพื่อรับรายงานไปเรียนให้ท่านผู้นำทราบ..
แต่..หนึ่งในนั้นได้บอกว่ามาว่า...ท่านผบ.ไปออกเยี่ยมหน่วยที่ 43 ตั้งแต่เมื่อวาน..ยังไม่กลับมาเลย..ไม่ได้ส่งข่าวมาด้วย
ว่าอยู่ที่ไหนในตอนนี้...ทางนี้กำลังเป็นห่วงกันถึงในความปลอดภัยของท่าน..ส่งคนไปตามแล้ว..ก็ยังไม่กลับมาเช่นกัน"
นายพลทั้งสองคนนั่น..ตอบเราไม่ได้ว่าสถานะการณ์ศึกเป็นอย่างไร ไม่รู้ทั้งกองทัพแนวหน้าของเรา และ กำลังของข้าศึก
"ท่านต้องเข้าใจในสถานะของพวกเรานะขอรับ..กระผมกำลังรวบรวมพวกที่ถอยกำลังออกมา..ไม่ค่อยจะเป็นระเบียบเท่าไหร่
แล้วยังต้องพยายามรวบรวมพวกเขาให้เข้ากันเป็นกลุ่มก้อนใหม่ หน่วยใหม่"

เราไม่มีทางเลือกอื่น..นอกจากต้องกลับไปตั้งหลักเพื่อแก้สถานะการณ์กันใหม่..ระหว่างทางที่ขับรถกลับนั้น เราได้ข้ามแม่น้ำ
Protva และผ่านสถานีรถไฟ Obninskoye ที่ทำให้คิดไปถึงความหลังวัยเด็ก ที่สถานีนี้แหละ ที่แม่ได้มาส่งเราเข้าเมืองหลวง
ไปฝึกเป็นช่างเฟอร์ตั้งแต่อายุได้สิบสอง..สี่ปีต่อมา..เราก็ได้เป็นช่างเฟอร์อย่างสมภาคภูมิ กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อย..
ละแวกแถวนี้...เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี  บัดนี้..บ้านเกิดของเราได้กลายมาเป็นที่ตั้งของกองทัพแนวหน้าไปแล้ว..
แม่..พี่สาวกับลูกๆของเธอสี่คน ก็ยังอยู่ที่นี่...เราเริ่มเป็นห่วงแล้วว่า...ถ้านาซีบุกมาถึง พวกเขาจะเป็นอย่างไร..?
ในที่สุด..สามวันต่อมา..เราได้จัดการให้แม่ พี่สาว และหลานๆ เข้ามาอยู่รวมกันหมดกับครอบครัวของเรา



แล้วหมู่บ้านของเรา..โดนนาซีบุกเข้ามาจริงๆ  ในเดือนตุลาคมนั่นเอง...แต่ชาวบ้านของเราไม่ได่นั่งดูดายรอรับเคราะห์กรรมโดยทไม่ได้ทำอะไร. พวกเขาตั้งหน่วยกองโจรกันขึ้นมา..ที่กล้าหาญชาญชัยเข้าบุกหน่วยของนาซีในตอนค่ำคืนของวันหนึ่ง
ฆ่าทหารตายไปนับสิบศพ
น่าเสียดายที่หัวหน้ากองโจร Mikhail Alekseyevich ต้องมาพบกับจุดจบในเดือนพฤศจิกายน ที่นาซีจับเขาได้ กระทำการ
ทารุณและแขวนคอในที่สุด. ปัจจุบัน..ชาวบ้านได้สร้างอนุสาวรีย์วีรบุรุษบนหลุมฝังศพของเขา..และถือเป็นสถานที่ที่ศักดิสิทธิ์
แต่ในตอนนั้น..หลังจากที่เยอรมันได้ถอนกำลังออกจากเมืองที่ฉันเกิด...มันได้เผาทุกอย่างจนเหลือแต่เถ้าถ่าน...
พอเราถึง Maloyaroslavets  ทั้งหมู่บ้านเงียบสงัด แต่มีรถจอดอยู่หน้าศาลากลางหนึีงคัน..คนขับนั่งหลับอยู่..
เข้าไปสอบถาม ได้ใจความว่าเป็นรถของท่านผบ.บัดยอนนี่  ท่านมาถึงนี่สามชั่วโมงที่แล้ว
เราเข้าไปพบ..และทักทายกันด้วยความยินดีที่เห็นท่านปลอดภัย และได้บอกถึงเรื่องที่ไปหาที่ศูนย์บัญชาการ แต่ไม่พบ รวมไปถึงสถานะการณ์อันเลวร้ายที่แนวหน้าของเราที่ถูกปิดล้อม
ท่านจอมพลตอบว่า..
"ที่นี่ก็ไม่ดีเช่นกัน..เพราะกองทัพที่ 24 และ 32 ถูกตัดขาด เราไม่เหลือกองทัพไว้ป้องกันแนวหน้าอีกแล้ว..เมื่อวานนี้เอง ฉันเกือบโดนข้าศึกจับตัวได้"
"ตอนนี้ ใครคุมทาง Yukhnov (ยุคนอฟ)อยู่หรือขอรับ.?"
"ไม่รู้เหมือนกัน..เรามีหน่วยเล็กๆอยู่ที่แม่น้ำ Ugra แค่ทหารสองกองพล แค่ไม่มีปืนใหญ่ คิดว่าป่านนี้ พวกเยอรมันคงจะยึดเมืองไว้ได้แล้ว.."
"แล้วใครคุมเส้นทางถนนจากยุคนอฟ ถึงที่นี่ขอรับ?"
"ตอนที่ฉันมา..เห็นมีแค่ตำรวจเพียงสามคน..."

เราเลยเสนอว่า..ท่านจอมพลควรกลับไปที่ศูนย์ของท่านและติดต่อกับท่านผู้นำเพื่อรายงานเองทั้งหมด..
ส่วนเรา..จะไปที่ยุคนอฟ และ ต่อไปที่ คาลุกา (Kaluga)

ที่ด้านตะวันตกของ หมู่บ้าน มาโรยาโรสลาเวต เราได้พบกับหัวหน้ากองเครื่องกีดขวาง พันเอก Smirnov ผู้ซึ่งได้มารายงานถึงการสร้างและจัดวางเครื่องกีดขวาง (รถถัง) ให้มีจำนวนมากขึ้น..เราเลยได้ให้วิธีการจัดวางแบบที่เราต้องการไป
เมื่อขับรถไปถึงเมือง Medyn ไม่พบผู้คนเลย เจอแต่ยายคนหนึ่ง..ที่กำลังเดินวนเวียนอยู่รอบซากบ้านที่เพิ่งถูกบอมบ์ไป
"ยาย..จะทำอะไรน่ะ" เราถาม
แต่ยายไม่ตอบ...ดวงตาเลื่อนลอย  ยืนนิ่ง..
"ยาย..เป็นอะไร?"
ผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวรุ่งริ่ง ในมือถือกระสอบที่บรรจุข้าวของที่ไปขุดหามาได้จากซากปรัก เข้ามาตอบว่า
"แกไม่พูดอะไรหรอก อย่าไปถามเลย..แกเสียใจจนเสียสติไปแล้ว" แล้วเธอได้เล่าให้ฟังว่า
เมื่อสองวันก่อน เครื่องบินเยอรมันได้เข้ามาบอมบ์หมู่บ้าน..คนตายไปมากมาย..ยายคนนี้อยู่กับหลานชาย หลานสาว ตัวน้อยๆ
ตอนที่เกิดเหตุ แกได้ไปตักน้ำที่บ่อ..เห็นเหตุการณ์ในขณะที่บ้านของตัวเองโดนระเบิด หลานทั้งสองตายในซากบ้าน...ต่อหน้าต่อตา...
เมื่อถามถึงทหารของเรา..ว่าผ่านมาทางนี้บ้างไหม?
เธอตอบว่า..เมื่อคืนมีรถผ่านไปหลายคัน รวมทั้งรถเทียมม้าที่บรรทุกคนเจ็บไปด้วย..จากนั้นก็ไม่เห็นอะไรผ่านมาอีก

เราบอกกล่าวลา...และขับรถออกมาทางที่จะไป ยุคนอฟ ส่วนในใจของเรานั้น..ความเสียใจและแค้นใจมันประทังขึ้นมาแน่นอกไปหมด ..เพราะ ไม่รู้ว่าจะบอกอะไรให้เขาเข้าใจได้ว่า..ทำไมพวกเราชาวโซเวียตต้องมารับเคราะห์กรรมที่ยิ่งใหญ่กันอย่างนี้?


วันที่ 29 กรกฏาคม  เราติดต่อโทรศัพท์ไปหาสตาลิน และขอเข้าพบเป็นการด่วนที่สุด
เราได้นำแผนที่การศึกที่ระบุถึงเส้นทางปะทะ กับแผนที่อีกแผ่นที่ระบุจุดที่มั่นของศัตรู พร้อมทั้งรายงาน
การสู้รบและจำนวนอาวุธทั้งหมดที่มีเหลือของแนวหน้าและกองหนุนกลางไปด้วย
เมื่อไปถึงที่ออฟฟิสของสตาลิน ทส.ได้เข้าไปรายงานท่านผู้นำ และกลับออกมาว่า ให้คอยสักครู่เพราะสตาลินได้เรียกให้แม่ทัพ
Mekhlis ให้เข้ามาร่วมประชุมด้วย
ประมาณสิบนาที เราก็ได้เข้าพบ..สตาลินและเมคลิส
"นั่งลงซิ..มีอะไรจะรายงานก็ว่ามา"
เรากางแผนที่ทั้งหมดลงบนโต๊ะ และได้รายงานให้ทราบถึง ศึกทางตะวันตกเฉียงเหนือ จบลงด้วยศึกทาง
ตะวันตกเฉียงใต้ ....ได้ให้รายงานถึงเรื่องความสูญเสียในแต่ละจุด...ได้เสนอการสร้างเสริมกำลังด้วยการส่งเพิ่มเข้าของ
กองหนุน อีกทั้งได้ให้การพยากรณ์ศึกทางฝั่งของเยอรมันว่า..มันจะต้องบุกในส่วนที่เราพร่องไป..
สตาลินตั้งใจฟัง..ก้มตัวลงมาดูแผนที่ และกวาดตาเขม้นมองไปยังตัวอักษรที่เป็นชื่อต่างๆ
"แล้วนายรู้ได้ไง..ว่าข้าศึกมันคิดจะทำอะไร". ผู้ถามคือแม่ทัพเมคลิส
"ผมก็ไม่ทราบใจของข้าศึกว่ามันคิดอะไร...แต่ตามสถานะการณ์แล้ว..คนที่เป็นทหารย่อมอ่านออกว่า..เยอรมันไม่มีทางเลือกอื่นใด ทัพที่มีกำลังพลและอาวุธเพียบพร้อมขนาดนั้น..คงไม่คิดรีรอให้เสียเวลา" (ตอนนี้..เชื่อว่า สองแม่ทัพคงเริ่มจะงัดข้อกันแล้ว....วิวันดา)
"เอาเถอะ...ว่าต่อไป..". สตาลินตัดบท...เราจึงบรรยายต่อ
"รูปการณ์ทางมอสควา...เยอรมันคงยังไม่สามารถทำได้อย่างทันทีในระยะอันใกล้นี้ เพราะเพิ่งสูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้งไม่มีกองหนุนขนาดใหญ่ที่จะเข้ามาเป็นกำลังขนาบซ้ายขวาให้กับแกนกองทัพ ส่วนสถานะการณ์ทางเลนินกราด เยอรมันไม่มีทางที่จะเข้ามาบุกยึดเมือง หรือ ต่อให้ผนวกกำลังเข้ากับกองทัพฟินแลนด์ ถ้าหากไม่มีกำลังพลขนาดมหาศาลเข้ามาเสริม ( เพราะประชาชนในเลนินกราดกว่าสามล้านคน..ใครคิดที่จะบุกเข้าไปยึด...ก็ต้องคิดหนัก..เผลอๆจะไม่เหลือซากกลับออกมา...วิวันดา)...ทางยูเครนที่กำลังรบกับอย่างดุเดือดนั้น...เรากำลังเสียเปรียบเพราะกำลังพลและอาวุธยังมีไม่พอ ข้าศึกอาจจะใช้จุดอ่อนตรงนี้ตีขนาบและตีโอบได้"
"แล้วนายมีความคิกอ่านที่จะแก้ไขยังไง?" สตาลินถาม
"ก่อนอื่นใด..การที่จะเสริมกำลังให้แนวหน้าส่วนกลาง  เราจะต้องส่งกำลังพลไปเสริมให้ไม่น้อยกว่าสามกองทัพ พร้อมปืนใหญ่
หนึ่งกองทัพจะต้องไปรับคำสั่งโดยตรงจากกองบัญชาการทิศตะวันตก. อีกหนึ่งกองทัพรับคำสั่งจากตะวันตกด้านใต้  อีกหนึ่งกองทัพจะไปประจำอยู่ที่กองบัญชากลาง และผู้บัญชาการในส่วนของแนวหน้านี้ต้องเข้มแข็ง และเด็ดขาด กระผมขอเสนอ แม่ทัพ N.F. Varutin"
"นายกำลังจะบอกเราว่า..ให้เราหย่อนกำลังรักษาฝั่งมอสควาไปอย่างนั้นหรือ?" สตาลินขัดขึ้นมา
"มิได้ขอรับ..ในช่วงเวลา12-15 วันนี้..เราสามารถเคลื่อนกำลังทหารที่มีประสบการณ์ประมาณแปดกองพลจากตะวันออกเข้ามาเสริมทางมอสควาได้ทัน  รวมทั้งกองทัพรถถังอีกไม่น้อย"
"แล้วยกดินแดนทางฝั่งตะวันออกให้ญี่ปุ่นไปงั้นซิ?" แม่ทัพเมคลิสสวนขึ้นมาอีก
เราไม่ตอบ..เดินหน้ารายงานต่อไปว่า..
"ทัพทางใต้ของตะวันตกควรจะต้องถอยไปอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ Dnieper ส่วนกองหนุนที่ต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าห้ากองพล
ควรจะเตรียมตัวให้พร้อมทางแนวกลางจรดใต้ของทิศนั้น"
"แล้วเคียฟล่ะ..?" สตาลินถาม
เราเข้าใจดีว่า..คำสองคำ คือ "ทิ้งเคียฟ" นั้น...มันมีความหมายยิ่งใหญ่คณานับ เพราะมันคือการบั่นทอนขวัญและกำลังใจของประชาชน และที่สำคัญที่สุด คือ ของสตาลิน...แต่เราไม่มีทางเลือกเพราะเราเป็นทหารที่ต้องมองและอ่านสถานะการณ์ศึกให้
ขาด...
"เคียฟ..คงต้องปล่อยไปก่อน เพราะทางฝั่งตะวันตกนั้นสำคัญที่สุด ที่จะต้องสกัดกั้นทำลายข้าศึกที่ตั้งมั่นอยู่ที่ Yelnya ให้ได้
เพราะไม่เช่นนั้น...เยอรมันจะเข้าสู่มอสควาได้อย่างราบรื่น"
"ออกไปสกัดกั้นและทำลายข้าศึกเนี่ยนะ? นายพูดอะไรของนาย เหลวไหลสิ้นดี!!!!!!" สตาลินโวยขึ้นมา..
"นายคิดบ้าๆอย่างนี้ได้ไง..เรื่องที่จะไปยกเคียฟให้มันอย่างง่ายๆ...หา"
เราก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน...
"ถ้าในระดับผู้บัญชาการพูดอะไรที่ท่านคิดว่าเป็นการเหลวไหลแล้วละก้อ...กระผมก็ไม่มีธุระอะไรที่จะมายืนอยู่ตรงนี้..
กระผมขอย้ายตัวเองจากผู้บัญชาการกองทัพ ไปประจำอยู่ฐานที่แนวหน้าจะดีกว่า เพราะคิดว่าคงจะเหมาะกับความสามารถของ
กระผมในการที่จะรับใช้ชาติต่อไป"
"เอาน่า...อย่าขี้โมโหนักเลย.." สตาลินเริ่มเย็นลง..
เราบอกต่อไปว่า...เราได้พูดไปตามการวินิจฉัยถึงแผนรับและสู้ศึกด้วยหน้าที่และความรับผิดชอบ...
"กลับไปทำงานต่อเถอะ..เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที.." สตาลินตัดบท
เราเก็บแผนที่และสัมภาระที่หอบมา...เดินออกจากออฟฟิส
สี่สิบนาทีต่อมา...สตาลินเรียกเรากลับไปพบอีก...พร้อมบอกว่า
"เอาละ...เราได้ปรึกษากันแล้ว...นายอยากย้ายตัวเองก็จะตามใจ ผู้บัญชาการคนใหม่ จะเป็นแม่ทัพ Boris Shaposhnikov
แม้ว่า ท่านมีสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ทางเราจะช่วยกันดูแล"
"แล้วท่านจะให้กระผมไปลงที่ไหนขอรับ?"
"อยากไปไหนล่ะ?"
"กระผมทำได้ทั้งนั้น..จะให้ไปคุมกองพล กองพัน กองร้อย หน่วยฝึก หรือแนวหน้า"
"ใจเย็นๆ...ก็เมื่อกี้นี้นายบอกว่ามีแผนจะสกัดกั้นทำลายข้าศึกที่ Yelnya ไม่ใช่หรือ  งั้นก็รับงานนี้ไปเลยแล้วกัน เอาเป็นว่า
นายไปเป็นผู้บัญชาการกองหนุนแนวหน้าแล้วกัน...จะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ล่ะ?"
"ภายในชั่วโมงนี้..ขอรับ"
"แม่ทัพชาโปชนิสคอฟกำลังจะมาเข้ารับงาน แต่อย่าลืมนะว่านายยังเป็นสมาชิกของกองบัญชาการสูงสุดแห่งชาติอยู่.."
"กระผมไปได้หรือยัง?"
"นั่งก่อนซิ..รอกินชาด้วยกัน มีอะไรต้องคุยกันอีกหลายเรื่อง...". สตาลินพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
เรานั่งจิบชาด้วยกันก็จริง...แต่ไม่ได้คุยอะไรกัน จนแม่ทัพชาโปชนิสคอฟเดินทางมาถึง เราก็เลยขอตัวออกมาเตรียมเดินทางไปยัง กองบัญชาการของกองหนุนแนวหน้า ที่ตั้งอยู่ที่ Gzhatsk ( แกทสค์ หรือ Gagarin ในปัจจุบัน อยู่ในจังหวัด Smolensk )



เราไม่ได้อยู่กองบัญชาการแนวหน้านานเท่าไหร่ หลังจากที่ทำความคุ้นเคยกับระบบงานต่างๆ
ของหน่วยทุกหน่วยที่ออกปฏิบัติการ จึงเตรียมตัวออกเดินทางไปที่ Yelnya และที่ฐานกองทัพที่ 24 กับผบ. หน่วยปืน
ใหญ่ นายพล L.A. Govorov  
เราเดินทางไปถึงในช่วงใกล้ค่ำ..ระหว่างทางที่ไป..เห็นแสงเพลิงลุกโพลง แดงฉานไปทั่งท้องฟ้าเหนือเขต Yartsevo ต่อ
ด้วย Yelnya
เราไม่รู้ว่าไฟใหม้อะไร...แต่จากสายตาที่เห็น..มันร้ายแรงและหนักหนาสาหัส เพราะมันหมายถึงพระเพลิงที่เห็นนั้นกำลังเผาผลาญไร่นา โรงงาน และบ้านเมืองของพวกเราที่ต่างหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน...
เราถามตัวเองว่่า...จะทำอย่างไรและด้วยวิธีไหนที่จะแก้แค้นเอาคืนกับไอ้พวกข้าศึกจากนรกให้มันสาสมกับ
สิ่งที่มันทำกับเรา..?  มันต้องด้วยการเชือดเนื้อมันทีละชิ้นด้วยคมมีด..คมดาบเท่านั้น...!!!

ที่ศูนย์บัญชาการกองทัพที่ 24  ได้พบกับผบ. K.I. Rakutin  กับคณะ
เราไม่เคยพบกับ ผบ. ราคุติน มาก่อน..แต่ในรายงานการรบของเขานั้น..ใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขาคือหนึ่งของ
กลุ่มนายทหารที่โชคไม่ดีเพราะการแทรกแซงของกระแสการเมืองในวงจรทหาร...ที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้อยู่ในตำแหน่ง
ที่ได้"โชนแสง"
หลังจากที่ตรวจสอบสภาพกองทัพที่ 24 แล้ว..เราพบว่า...เราไม่มีทางที่จะจัดทัพเข้าโจมตีข้าศึกได้เลย เพราะ
การขาดสภาพคล่อง..ทั้งกำลังและอาวุธ  เมื่อหลังจากที่ประชุมแผนสู้ศึกอย่างละเอียดแล้ว..
เราได้ข้อสรุปว่า...หนึ่งคือเวลา..ที่ควรจะเป็นสิบหรือสิบสองวันในการเตรียมรวบรวมกำลังอย่างน้อยสองหรือสามกองพล
กับอีกหลายหน่วยปืนใหญ่ และปืนต่อสู้อากาศยาน  แล้วไหนจะต้องหาวิธีป้องกันในการลำเลียงเข้ามาอีก
ทั้งหมดทั้งมวล...เท่ากับว่า..เราต้องรอไปจนถึงเลยกลางเดือนสิงหาคมไปแล้วจึงจะพร้อม..
ในระหว่างนี้...ก็รบกัน..ปะทะกันไปตามจุดแบบถนอมเนื้อถนอมตัว..

ในวันที่ 12 สิงหาคม..เราได้ทำการสวบสวนเชลยทหารนาซีคนหนึ่ง...เป็นเด็กหนุ่มวัยประมาณ สิบแปด
เขาได้ตอบว่า...อยู่ในหน่วย SS ฝูงปันเซอร์ที่ 10  เขาได่ข้อมูลมาจากองทัพว่า..ที่เขตยาลินยานี้ คือ ประตูหน้าสู่
โซเวียต แต่เนื่องจากการต่อสู้ที่ยืดเยื้อกว่าสามอาทิตย์ในเขตนี้ ทำให้กองทัพนาซีไม่ได้เคลื่อนตัวรุกไปเร็วอย่างที่คิด
ดังนั้น..ก่อนกำลังพล...สัมภาระและเสบียงจะหมดก่อนเวลาที่ล๊อตใหม่จะมา..แม่ทัพ Guderrian จึงจะต้องรีบบุก
ให้แตกหัก....แต่ทางกองทัพเยอรมันได้มีการเสียหายเป็นจำนวนมากจากการสาดกระสุนของปืนใหญ่โซเวียต
รวมไปถึงคำอธิบายของแม่ทัพของการล่าช้า.ว่า..ในป่ารอบด้านนั้นมีกองทัพกองโจรของโซเวียตซุ่มอยู่หนาแน่น
ที่คอยดักโจมตี..

กองทัพกองโจรนั้น..คือ..กลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันเป็นกองทัพย่อยๆ เรียกว่า Party's Central Committee และ
กลุ่มเยาวชนนักสู้โซเวียต (อายุระหว่าง 14-28 ทั้งชายหญิง) ในชื่อว่า กลุ่ม Komsomol  ที่สองกลุ่มนี้ได้รวมตัวกันทำงานแบบใต้ดิน
ในปี 1941 เรามีกลุ่มใต้ดินกว่าแปดร้อยกลุ่มทั้งในเมือง นอกเมืองและตลอดแนวหน้า
ข้อความสุดท้ายที่ได้จากเชลย...คือ..เพราะการบุกยาลินยาไม่สำเร็จในกรอบเวลาที่กำหนด จึงมีการเปลี่ยนตัว
เหล่านายกองหัวหน้าแบบยกโขยง

จากข้อมูลที่ได้รับมา..ทั้งจากเชลยหนุ่ม SS และเชลยอื่นๆ ทำให้เราทำการวางแผนในการใช้ปืนใหญ่ให้เป็นสำคัญ
ในการควบคุมดูแลของผบ. โกโวรอฟ ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้โดยตรง
เราเข้าโจมตีพร้อมกันทุกด้านในวันที่ 20 สิงหาคม  เป็นการถล่มใส่กันแบบไม่มียั้งของสองฝั่ง...ทั้งปืนใหญ่ ปืนครก
เราส่งของขวัญไปให้แบบเต็มกล่อง...มีทั้งทางอากาศ ปืนใหญ่ และปืนจรวด
การต่อสู้ติดต่อกันไปทั้งนับสิบกว่าวัน ไม่มีหยุด เพื่อไล่ให้ข้าศึกให้ออกไปทางช่องที่แคบ และแคบเข้าเรื่อยๆจนเป็นคอขวดของยาลินยา
แต่เนื่องจาก กองทัพที่ 19, กองทัพที่ 100 และกองทัพที่ 107 พลาดท่าอยู่ในวงล้อมของข้าศึก
จึงต้องแยกกำลังออกไปกู้ให้หลุดวงล้อมออกมา...ก็ได้เวลามืดค่ำพอดี..
ข้าศึกหลุดตัวเองออกไปจากคอขวดนั้นได้อย่างหวุดหวิดในวันที่ 4 กันยายน...แต่ไม่ได้หลุดไปอย่างสวยงามนัก เพราะ
ได้ทิ้งซากศพทหารและอาวุธเอาไว้เกลื่อน
ในวันที่ 6 กันยายน. กองทัพของเราได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ยาลินยา และยึดพื้นที่คืนมาทั้งหมด
จากที่เคยเป็นแดนอันตราย..บัดนี้ได้กลายเป็นเขตปลอดนาซีไปอย่างเรียบร้อย
นับว่า...มันเป็นบทเรียนราคาแพงมากสำหรับการเข้ามายึดครอง Yelnya อย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ
เราได้รายงานผลการปะทะไปยังสตาลินที่กองบัญชาการสูงสุดให้รับทราบ..ว่าผลคือ
ข้าศึกได้เสียกำลังพลไป 45,000-47,000 (ตายและบาดเจ็บ) อาวุธและรถถัง อีกจำนวนมาก
จากปากคำของเชลยศึก..ให้การว่า..บางหน่วยไม่มีปืนใหญ่ หรือปืนครก ใ่นช่วงท้ายๆของการปะทะ
ด้วยซ้ำ หากแต่อาศัยรถถังและการยิงกราดจากทางอากาศ

ที่เราไม่ประสบความสำเร็จในการแผนการปิดประตูตีแมว เพราะสาเหตุจากจำนวนของกำลังทหารและรถถังที่ไม่เพียงพอ
แต่มาพิจารณาดูผลดีอีกด้านหนึ่ง..นั่นคือ งานโชว์ที่สวยงามของเหล่าปืนใหญ่ แม้ว่าจะเป็นหน่วย"มือใหม่" แต่นับว่า
ฝีมือฉกาจ..รวมทั้งเหล่ายิงจรวด ที่แม่นเป้าและมีประสิทธิภาพ เพราะเราได้ไปตรวจพื้นที่ที่เป็นการตกของกระสุนจรวด
ที่ค่าย Ushakovo ที่ข้าศึกยึดไว้เป็นฐานด้วยตัวเอง และเห็นกับตาว่า...มันได้ทำลายแนวป้องกันของข้าศึกอย่างมอดใหม้เป็นจุล แม้กระทั่งที่กำบังใต้ดิน ก็ไม่รอดจากการถูกถล่ม



ภาพทั้งหมดคือ ภาพจากในช่วงของการรบที่ Smolensk และ Yelnya  1941



 

อันนี้..กินใจมาก...เพราะเขาเขียนไว้ว่า...

“I’m dying but not giving in. Goodbye, Motherland.”

ลงวันที่  20 กรกฏาคม 1941

 

 




ชัยชนะที่ Yelnya, Smolensk นับว่าเป็นชัยชนะครั้งแรกของกองทัพโซเวียตในการเข้าหักกองพลรถถังของนาซีจนกระเจิดกระเจิงไป...ซึ่งแม่ทัพซูคอฟคิดว่า..เขาจะออกไล่ล่าพวกข้าศุกให้ออกไปจากพื้นที่ในส่วนแนวหน้านี้ให้หมด เหลือปัญหาเพียงอย่างเดียวคือ...ส่งเรื่องขอกองทัพกองหนุนจากสตาลินให้ส่งมาเพิ่มในส่วนนี้ตั้งแต่ตอนที่
เยอรมันเข้ามาในอาทิตย์แรกๆ...แต่..สตาลินและเหล่าเสนาบดีในหอคอยงาช้างได้ปฏิเสธ เพราะเชื่อว่าตามกำลังแนวหน้าที่มีอยู่..น่าจะพอ ต่างก็ประเมินสมรรถนะของกองทัพนาซีต่ำกว่าเป็นจริง...ว่ากันว่า..หน่วยคอแซคบางหน่วยยังควบม้าถือดาบมารบ แต่ต้อง
มาเจอกับกับปันเซอร์...ซึ่งผลคือ..ตายเรียบทั้งกอง.

กว่าสตาลินจะรู้ตัวว่าพลาดไปในเรื่องเคียฟ  มันก็สายเกินแก้แล้ว...ครั้นจะแก้เพราะมีแม่ทัพซูคอฟที่เพิ่งแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์...ก็ต้องชะลอไปก่อน เนื่องจาก เลนินกราดได้ถูกปิดล้อม  จึงต้องโยกตัวซูคอฟไปที่เลนินกราดจนกว่า
สถานะการณ์ได้คลี่คลายลง...เนื่องจากข้าศึกได้พยายามที่จะเผด็จศึกโซเวียตให้เสร็จก่อนฤดูหนาวที่จะมาถึง จึง
ปรับเปลี่ยนแผนรวมกำลังและอาวุธ มุ่งเข้าสู่มอสควา...อันเป็นเมืองหลวงที่เปรียบประหนึ่งดวงใจ
แม่ทัพซูคอฟ..ก็ได้ถูกเรียกตัวไปใช้งานอีกแล้ว...ดังที่เล่ามาข้างต้น...



เราไปถึงที่ศูนย์ปฏิบัติการแนวหน้า  รู้สึกดีใจที่เห็นว่ามีกองพลรถถังพร้อม ชายร่างสันทัดในชุด
ช่างเครื่องสีน้ำเงิน พร้อมด้วยหมวกปิดแว่นได้เข้ามาทำความเคารพ..เราดูเหมือนจะคุ้นหน้า เหมือนเคยเห็นเขาที่ไหน..
"กระผม..ผบ.กองพลรถถังแนวหน้า  พันเอก ทรอตสกี้  รายงานตัวครับผ๊ม.."
"ฮ้า..ทรอตสกี้...ไม่นึกเลยว่าจะเจอกับนายที่นี่..ดีจริง"

เราทักทายด้วยความยินดี เพราะ I.I. Troitsky คนนี้..คือ อดีตนายพันรถถังที่ห้าวหาญ..รบมาด้วยกันในสงครามคลาคินกอล (1939) จนญี่ปุ่นต้องม้วนเสื่อวิ่งกลับบ้านแบบไม่เหลียวหลังมาแล้ว
"กระผมก็ไม่คิดว่าจะได้พบกับท่านเช่นกันขอรับ ท่านคอมราดนายพล ทราบแต่ว่าท่านได้ไปประจำที่เลนินกราด..ไม่นึกว่าท่านจะมาถึงที่นี่ด้วย"
"ก็เพราะตรงนี้มันมีปัญหาไงล่ะ...ไหนมาเล่าให้ฟังหน่อยซิ..เริ่มต้นเลย..ข้าศึกอยู่ตรงไหนแล้ว?"
"ขอรับ..พวกข้าศึกเข้ามาใกล้ยุคนอฟแล้ว..อาจจะหักเข้าเมืองได้เร็วๆนี้ มันมุ่งหน้ามา..ทางสะพานตรงแม่น้ำ Ugra (Oka) ..กระผมได้ส่งหน่วยลาดตระเวณไปที่เมือง Kaluga ที่นั่นยังไม่มีเหตุการณ์อะไร ข้าศึกยังไปไม่ถึงสะพาน เพราะระหว่างทางมีการปะทะกับหน่วยทหารราบที่ห้าและที่สี่สิบสามอยู่ขอรับ วันนี้เป็นวันที่สองแล้ว..ที่กระผมไม่ได้รับรายงานข่าวมาเลย.."
"งั้น..ส่งนายทหารจากศูนย์ไปประสานงานที่กองบัญชาการกองหนุนแนวหน้าที่ Obninskoye
ไปพบกับจอมพล บัดยอนนี่..ด่วน..ไปรายงานให้ท่านทราบถึงเหตุการณ์ และเตรียมเคลื่อนกำลังต่อสู้..เราจะต้องป้องกันไม่ให้มันเข้ามาในเขต Medyn ได้...นี่เป็นคำสั่ง...รับไปปฏิบัติและกระจายหน้าที่เดี๋ยวนี้..บอกพวกหัวหน้าหน่วยต่างๆว่า..เราจะไปที่ Kaluga จะไปดูที่หน่วยทหารราบที่ห้า.."

ต่อมาเราได้รับรายงานว่า..สะพานข้ามแม่น้ำอูครา ได้ถูกวางระเบิดจนพังไปด้วยฝีมือของพันตรี
I. G. Starchak  หัวหน้าหน่วยจารกรรม (อากาศโยธิน) ทันเวลาก่อนที่ข้าศึกจะข้ามมา..
และเมื่อสะพานได้ถูกทำลายลงไป..การต่อสู้จึงอยู่ตรงทางเลียบแม่น้ำ  ซึ่งทหารของเราร่วมกับหน่วยอากาศโยธินและ เหล่านักเรียนนายร้อยจาก Podolsk ผนึกกำลังกันสู้ตาย...

การรบเป็นไปอย่างดุเดือดถึงห้าวัน..ทหารของเราเหลือรอดมาไม่กี่คนก็จริง..
แต่พวกเขาได้ทำหน้าที่สมเป็นวีรบุรุษชายชาติทหารในการปกป้องประเทศชาติอย่างสมบูรณ์
เพราะมันได้ทำให้ข้าศึกหย่อนกำลังและเสียแผนในเคลื่อนตัวให้เข้าเป้าตามกรอบเวลาที่กำหนด
อีกทั้งได้เป็นการซื้อเวลาให้กับการเตรียมการของกองทัพที่จะรับมือต่อการบุกเข้ามอสควาของพวกนาซี..


เราได้พบกับนายทหารประสานงานที่ส่งไปที่กองบัญชาการระหว่างทางในเขตเมืองคาลูกาพอดี
เขาได้มายื่นหนังสือด่วนเพื่อรายงานให้ทราบว่า..มีโทรศัพท์จากท่านผู้นำให้เราเข้าไปที่กองบัญชาการแนวหน้าตะวันตก และ ปลัดกระทรวงกลาโหมได้มาดูการปฏิบัติงานอยู่ในนั่นแล้ว..

เมื่อเราไปถึงที่นั่น..เมือง Krasnovidovo อันเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการ  สิ่งแรกคือ ไปรับโทรศัพท์จากท่านผู้นำสตาลิน..
"ทางสำนักกลาโหมได้เห็นต้องกันว่า..นายเหมาะที่จะเป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพแนวหน้าตะวันตก..เราจะส่ง นายพล Konev ให้มาเป็นผู้ช่วย..นายมีความเห็นว่ายังไง?"
"ไม่มีขอรับ..เพราะกระผมคงเห็นต่างไปไม่ได้อยู่แล้ว..แต่..กระผมคิดว่า นายพลโคเนฟน่าจะไปคุมกำลังอยู่ที่ แนวหน้าในเขต Kalinin จะเหมาะกว่า เพราะตรงนั้นเรายังพร่องในกำลัง..และเป็นรอยรั่วอยู่..เราจำเป็นต้องมีทัพไว้คุมเชิงอีกชั้นหนึ่งของแนวหน้าตรงนั้น"
"นั่นซิ..เราเห็นด้วย  งั้นเราจะส่งทหารกองหนุนแนวหน้าจาก Mozhaisk ให้มารวมอยู่ในกองทัพตะวันตกของนาย..เตรียมตัวเข้ารับหน้าที่ได้เลยเดี๋ยวนี้..."
"ก่อนที่จะเข้ารับหน้าที่  กระผมมีข้อแม้ข้อหนึ่งขอรับ..ว่า..ถ้าท่านผู้นำต้องการให้มีผลบรรลุเป้าหมาย..กระผมต้องการกองหนุนขนาดใหญ่กว่าที่ท่านจะส่งมา และในโดยเร็วที่สุด  เนื่องจากการที่ได้เข้าไปสัมผัสพื้นที่การต่อสู้และกำลังของข้าศึกแล้ว..พวกมันอาจจะเคลื่อนตัวไปถึงมอสควาได้เร็วกว่าที่เราคิด..หากไม่มีการป้องกันที่แข็งแรงพอ.."

สตาลินยอมให้ตามนั้น..เพราะ ได้รับบทเรียนจากเคียฟมาแล้ว..


เราและ โคเนฟ (สหายร่วมสถาบันเดียวกัน  Frunze Academy...วิวันดา) ได้ร่วมหารือกัน..
สรุปได้ว่า..ควรจะย้ายกองบัญชาการแนวหน้าไปที่ เมือง Alabino  
โคเนฟจะไปคุมทัพที่ Kalinin ส่วนฐานปฏิบัติการของฝ่ายเสนาธิการกองทัพแนวหน้าให้ไปตั้งหน่วยอยู่ที่ฐานทัพ Mozhaisk ที่อยู่ในความดูแลของพันเอก S.I. Bogdanov

การเคลื่อนย้ายตัวไปที่อะลาบิโนได้เริ่มปฏิบัติทันที  ขณะที่เราและ นายพล N.A. Bulganin ฝ่ายเสธ. ได้ออกเดินทางไปยังฐานทัพโมเซสค์ และถึงที่นั่นภายในเวลาสองชั่วโมง..
จากที่ฐาน..เราได้ยินเสียงปืนใหญ่ยิงใส่กัน และเสียงระเบิด...มันเป็นการสู้รบในระดับไม่ธรรมดา
บอคดานอฟได้รายงานว่า..นั่นเป็นเสียงของกองพลทหารราบที่ 32 ที่มีทั้งหน่วยรถถังและหน่วยปืนใหญ่กำลังสกัดกั้นขบวนของข้าศึกที่เคลื่อนตัวเข้ามาในเขต Borodino อันเป็นชายขอบ
และผู้บังคับบัญชากองพลทหาราบที่ 32 คือ พันเอก V.I. Polosukhin  นายทหารฝีมือดี มีความเชี่ยวชาญเกินตัว..จึงพอไว้ใจได้

หลังจากที่เราได้ให้แผนปฏิบัติการสู้รบกับบอคดานอฟเป็นที่เรียบร้อย..จึงเดินทางกลับไปที่กองบัญชาการที่อะลาบิโน

 

 

 

ขอเพิ่มเติม..ในเรื่องคอสแซคนี่...เขียนได้อีกเป็นกระทู้ยาวๆเลยนะคะ..
จะว่าไป...พวกนี้อาภัพมาก เหมือนกับช้างไทย (ขออภัยที่ต้องเปรียบเช่นนี้) ที่ในยามศึกนั้นมียศมีศักดิ์ เป็นที่สักการะบูชา..(สมัยนี้...ตั้งวงเต้นระบำโชว์...แต่ก็สวยจริงๆ)

คอสแซคในสมัยของซาร์..คือสถานะที่มีเกียรติและมีศักดิ์ศรีสูงส่งรองจากพระราชวงค์เลยทีเดียว
เพราะเปรียบเป็นทหารทแก้วกล้า ฝีมือฉกาจ อึดอดทน และสง่างาม
คอสแซคมีทั้งรับราชการในเมืองหลวง และคอสแซคแบบนักรบบ้านป่า..ที่ส่วนใหญ่จะอยู่กันเกาะกลุ่มแบ่งกันไปเป็นเขตเป็นแดนตามถิ่นฐานที่อยู่อาศัยตามแนวชายแดน

แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นมา..ขุนนางถูกล้มล้างไป..เลนินและสตาลินได้ทำการกำจัดเหล่าคอสแซคไปด้วย เพราะถือว่าเป็นพวกฝ่ายขวา..
คอสแซคจึงกระจัดกระจาย..กลายเป็น White Army บ้าง และ กลายไปเป็นโจรป่า หรือที่เรียกว่า Kulaks บ้าง..อยู่หนาแน่นในแถบยูเครน..และ ลุ่มแม่น้ำดอน

เมื่อนาซีบุกเข้ามาใหม่ๆทางยูเครน..คอสแซคบ้านป่าไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวว่าอะไรเกิดขึ้น..แต่รู้ว่ามีศัตรูบุกเข้ามาทำร้ายบ้านช่องและครอบครัว (เพราะนาซีก็ไม่รู้ว่าใครคือคอสแซค รู้แต่ว่าเขาสั่งให้มาฆ่า)  จึงได้ออกไปรบตามกำลังและอาวุธที่มี...

เมื่อล้มตายกันไปมากมาย..จึงรู้ว่าขืนสู้ไปก็รังจะตายเปล่า...เหล่าคอสแซคส่วนใหญ่ที่ต่อต้านสตาลินอยู่แล้ว..จึงตบเท้าเข้าไปร่วมกับนาซี..ซึ่งรออ้าแขนรับ ด้วยความดีใจสะใจด้วยซ้ำที่จะได้เห็นชาวรัสเสียหันมาฆ่ากันเอง..แถมได้เอาใช้เป็นประโยชน์ในการสื่อสารและแผนที่
ถึงกับตั้งหน่วยนาซีคอสแซคให้เป็นพิเศษ..

ทีนี้มาถึงช๊อตเด็ด..เมื่อตอนที่เยอรมันแพ้สงคราม  ก่อนหน้านั้น มีการประชุมที่ยัลต้า ระหว่าง
อเมริกา อังกฤษ รัสเซีย (ฝรั่งเศสแค่ไปนั่งฟัง..) พอมาถึงเรื่องเชลยศึก  
ปธน. รูสเวสต์ได้ถามสตาลินว่า..แล้วพวกนาซีคอสแซคเล่า..จะทำอย่างไร?
(เนื่องจากตามข้อตกลง..เชลยก็ต้องถูกส่งกลับ..บ้านใครบ้านมัน)
สตาลินตอบสั้นๆว่า..ขอให้ทำตามข้อตกลง..
นั่นคือ พวกนาซีคอสแซคจะต้องถูกส่งกลับไปที่โซเวียต...เท่ากับว่า โดนข้อหาหลายเด้ง
ทั้ง อาชญากรสงคราม, ทรยศต่อประเทศชาติ และ ร่วมมือกับศัตรูทำลายล้างแผ่นเดินเกิด

พวกนาซีคอสแซคหลายคนฆ่าตัวตายเมื่อรู้ว่าจะต้องถูกส่งกลับ..ส่วนที่ส่งกลับไปก็ไปตายเพราะถูกทรมานในค่ายนักโทษ (Goulag) ที่ไซบีเรีย...


ภาพ...นี่ขนาดเป็นนาซีคอสแซค  ยังชูดาบหรา...







 

 

ส่วนที่รักชาติ..เข้ามาร่วมกับกองทัพแดงก็มีจำนวนไม่น้อย...

 

 

 

 

ภาพ..กองทหารม้าคอสแซค ในวันสวนสนามฉลองชัยชนะ...

 

 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (102111)
avatar
Demetorius

 ขอบคุณครับ

สนุกมากๆเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Demetorius (maceus-at-hotmail-dot-co-dot-th) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-07-09 20:49:38


ความคิดเห็นที่ 2 (102120)
avatar
keytone

ขอบคุณครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น keytone ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-07-17 23:32:15


ความคิดเห็นที่ 3 (102139)
avatar
หมาป่าดำ

 ได้รายละเอียดมากเลยครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น หมาป่าดำ (mistiest-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-08-08 22:48:56



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker