dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสาม
วันที่ 16/02/2020   18:20:19


ที่ดิฉันนำมาเรียบเรียงต่อนี้...เพราะอยากให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึงวิถีของเจ้านายบางท่าน..ที่ถือกำเนิดมาในสายเลือดของกษัตริย์
ที่แม้จะตกยาก หรือ อด...ก็ทรงอดอย่างเสือ...
มิได้ยอมแลกพระเกียรติยศและไม่ทรงยอมให้ใครมาตราหน้าว่า..จนถึงขนาดต้องขายชื่อเสียงกิน...

น่าติดตามมากค่ะ...

V
V
V

ข้างนอกและเส้นทางที่เรากำลังเดินทางไปสู่ที่พักนั้น น่าประทับใจมาก เพราะสองข้่างทางเต็มไปด้วยฝูงชนที่มายืนโห่ร้องสรรเสริญ(เชื่อว่าถูกเกณฑ์ให้มา) แต่คงไม่ใช่ให้เราหรอกนะ เพราะคงมีไม่กี่คนในนั้นที่รู้จักชื่อของฉันด้วยซ้ำไป

แต่ที่เขามาดูกัน เพราะฝูงเหล่าทหารม้าที่แต่งการเต็มยศทั้งคนทั้งม้ายกขบวนเหยาะย่างตามหลังรถต่างหากเล่า
อย่างไรก็ตาม...ฉันก็คงสวมบทบาท"เจ้า" ได้อย่างแม่นเป๊ะเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน
การปฏิวัติโค่นล้ม ในการเข้าจับพระหัตถ์กับ Ras Taffari ที่เสด็จมารอรับ เพื่อขอบพระทัยในการที่จัดการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ ทั้งได้กล่าวตอบด้วยสุนทรพจน์ด้วยโทนเสียงที่มั่นคง ว่า
"ข้าพเข้าจะไม่มีวันลืมการต้อนรับที่แสนประทับใจและงดงามใน Addis Ababa นี้ได้เลย"
แต่ในใจนั้น อดขำตัวเองไม่ได้...ว่า..ความสามารถในการโกหกหน้าตายๆแบบนี้..ฉันละถนัดนัก...

พระเจ้าราส ทาฟฟารี ชายร่างล่ำ ได้กล่าวอวยพร และขอบคุณพระเจ้าที่นำแขกบ้านแขกเมืองมาสู่ดินแดน และค้อมพระเศียรให้นิดๆ
ระหว่างที่พิจารณาดูท่าน... ชายที่ยืนตรงหน้าที่ยืนยิ้มยิงฟันขาว ใส่ตุ้มหูแพรวพราววิบวับ
ทำให้ฉันคิดไปถึงเรื่องราวที่ถูกเล่าให้ฟังที่ Djibouti ว่า...
ก่อนที่พระองค์จะมาครองบัลลังก์ได้นั้น..ท่านคนนี้ได้ช่วงชิงเอามาจาก พระเจ้า Lidy Lasso ด้วยกลเม็ดแบบแยบยล โดยการ"ตัดต่อ" ภาพของพระเศียรขอลิดี ลาสโซ กับร่างของชายมุสลิมที่กำลังอ่าน
พระคัมภัร์กุร์อาน และส่งกระจายไปทั่วเมือง
จนในที่สุดประชาชนและทหารลุกฮือเอาโทษท่านลิดี ลาสโซ  และ
ท่านราสคนนี้นี่แหละที่คุกเข่าต่อหน้า บอกว่า..ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ทำ อีกทั้งเป็นคนที่จงรักภักดียากที่จะมีใครเสมอเหมือน
แล้วก็หันไปหลิ่วตาให้ทหารจับพระเจ้าลิดี ลาสโซใส่ตรวนไปขังคุก...
ตั้งตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป...

การพบปะเจรจากันในอาหารค่ำมื้อแรก(รวมๆไปถึงตลอดสามเดือน)
ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะมีการพูดกันให้ตรงๆว่า เชิญฉันมาทำไม
เพราะมันเหมือนกับเป็นเพียงการพบปะระหว่างชาวคริสเตียนสองคนเท่านั้น..
ฉันได้ไปเยี่ยมชมและคารวะ Church of Stephanos และ มัมมี่ของอดีตจักรพรรดิของอาบิสซีเนีย..ไปชมทะเลสาบ Tsana ที่ดูเหมือนกับทะเลในแผ่นดินที่มีขนาดยาวถึงหกสิบไมล์และกว้าง ยี่สิบห้าไมล์
และได้ขับรถอเมริกันได้ประทานให้ยืมมาไปบนท้องถนนที่ในฤดูฝนแล้ว..ไม่มีการบอกทิศทางอะไรตรงไหนเลย จะถามชาวบ้านก็ไม่มี มีแต่ฝูงวัวเต็มไปหมด

ในคืนแรก..ที่เข้าพัก...ฉันพบว่ามี"ของขวัญ" ที่หมอบกระแตอยู่ข้างเตียงสองคน
เป็นเด็กหญิงวัยสิบสอง..ที่ถูกส่งมาให้รับใช้...
ซึ่งฉันขอปฏิเสธแบบไม่ต้องคิด..โดยอ้างว่าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แต่..
ถ้าจะต้องพูดกันตรงๆ นั่นคือ รับไม่ได้..และ..อาจเป็นเพราะได้รับการอบรมมาแบบหัวโบราณไปมัง..

เพราะเป็นฤดูฝนนี่เอง..ที่ทำให้นายเลขาฯของฉันต้องใช้ยาเปลืองกว่าปรกติ  จนที่เอาติดมาชักร่อยหรอ
อีกทั้งก็ยังไม่มีใครพูดถึงหรืออยากดูพระราชตราสาส์นที่หอบมา
กองพะเนินนั่นด้วย
ขนาดร่วมโต๊ะเสวยทุกวัน การสนทนาของเราจำกัดอยู่แค่เรื่องความเป็นไปในยุโรปแค่นั้น...
แต่ครั้งหนึ่ง ท่านราสได้ถามเราว่า
"ทำไมรัสเซียถึงได้ประกาศสงครามกับเยอรมันล่ะ..ในเมื่อคู่กรณีจริงๆแล้ว มันเป็นระหว่างอังกฤษกับเยอรมันนี่ ทำไมรัสเซียไม่ทำตัวเป็นกลางแล้วปล่อยให้สองฝั่งไปฟัดกันเองจนหมดแรงเล่า?"

เออ..นั่นซินะ ฉันก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน และท่านราสได้กล่าวต่อไปถึงความผิดพลาดหลายๆอย่างของญาติฉัน (ซาร์นิโคลัส) ที่ได้ทำลงไป
จนฉันชักเห็นด้วยว่า....... ตอนนั้นเราน่าจะเอาชาวอาบิสซิเนียนมาเป็นผู้นำประเทศซะให้รู้แล้วรู้รอดไป..!!!

 


    
คืนหนึ่ง..ฉันเริ่มอดรนทนไม่ได้ จึงเปิดการสนทนาในเชิงแนะว่า..เราน่าจะคุยกันถึงเรื่อง "ดินแดนอันศักดิสิทธิ์"ได้แล้ว...

ท่านราสนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง...และกล่าวว่า
"ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีนายพลอังกฤษคนหนึ่งมาพูดถึงเรื่องข้อตกลงอะไรนี่แหละ เขามีนิสัยดีนะ เราก็ชอบเขาด้วย เราก็เกือบจะตกลงทำสัญญากับเขาไปแล้ว
หากเพียงถ้าเขารู้จักประเพณีของเราสักนิด ว่า เราชอบอะไรที่ช้าๆจะได้พร้าเล่มงาม เขาต้องรู้จักคอยสักเดือนก่อนที่จะเร่งเสนออะไรต่ออะไร แต่ก็อย่างว่าแหละ เขาเป็นพวกชาวอังกฤษ..จะไปรู้อะไร..ท่านว่าไหม?"
ว่าแล้ว..ท่านราสก็เอามือลูบเคราไปมา..แบบมีเลศนัยอย่างไรพิกล
เราจึงถามต่อว่า
"แล้วไงต่อไปล่ะ..กับนายพลอังกฤษคนนั้น..?"
"ก็แย่หน่อยนะ..เราต้องให้บทเรียนจากประเพณีเก่าแก่กับเขาไป...
อย่างแรกเลยว่า...ญาติห่างๆของฉันเพิ่งตายไป เราต้องอยู่ระหว่างไว้ทุกข์ ไม่มีการทำธุรกิจใดๆอย่างน้อยหกอาทิตย์ จากหกอาทิตย์ไป..ก็เป็นเทศกาลถือศิลบาป (Lent Festival) เราจะไม่ทำธุรกิจไปอีกเจ็ดอาทิตย์
จากนั้นไป ก็จะเป็นการพักผ่อนสูบ Kassa (คล้ายๆกับกัญชา) ที่เราจะไม่รับแขกทั้งสองอาทิตย์ก่อน และสองอาทิตย์หลัง"

สรุปว่า...ฉันหุบปากสนิท....เรานั่งรับประทานอาหารกันต่อด้วยความเงียบสงัด...
ทั้งๆที่ฉันอยากจะถามนักว่า ไอ้พิธีสูบ Kassa นี่มันกินเวลานานเท่าๆไหร่
แต่จากบทเรียนของนายพลอังกฤษคนนั้น ทำให้ฉันต้องสงบปากสงบคำไปโดยปริยาย

เดือนหนึ่งผ่านไป..เจ้าภาพของเราเริ่มถามถึงเรื่องลัทธิการปกครองแบบเผด็จการในอิตาลี การสนทนาของเราเลยกินพื้นที่ข้ามฝั่งเมดิเรเนียนไปได้บ้าง
จนเช้าวันหนึ่ง...ถ้าจะนับจริงๆคือเช้าของวันที่ร้อยยี่สิบห้า เราได้มีแขกคนสำคัญมาพบ
เขาคือท่านนายกรัฐมนตรี ด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม และเสียงที่ตื่นเต้นว่า..
จักพรรดินี (ป้า) ของท่่านราส ได้ส่งคำเชิญมาให้ฉันไปร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ทำเนียบในคืนวันรุ่งขึ้น...และนี่คือโอกาสอันดีที่จะได้พูดถึงเรื่องพระราชตราสาส์น
ที่นายเลขาฯของฉันเริ่มทำการกระแนะกระแหนขึ้นมาตามนิสัย
จนฉันต้องหันไปกระชิบด้วยภาษารัสเชี่ยนว่า
"อย่าปากเปราะไป..เดี๋ยวจะโดนเทศกาลสูบกัญชาเข้า..จะแย่หนักไปอีก"

ยี่สิบสี่ชั่วโมงจากนั้นไป..คือต้องไปเรียนรู้ประเพณีของเจ้าภาพ ที่พบว่า
ไม่มีแบบแผนที่เจาะจงลงตัว ทุกอย่างขึ้นกับกรมวังสี่คนที่จะทำหน้าที่กำกับแขก(ที่นั่งขวามือของจักรพรรดินี) ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร
ซึ่งในที่สุดกรมวังทั้งสี่คนนั้น...ต้องมากลายเป็นผู้ที่ต้องมาเรียนกับฉัน โดยการมาปรึกษาว่่า
"ฝ่าพระบาทจะทรงทำหน้าที่เป็นพิธีกรและเป็นแขกในเวลาเดียวกันได้หรือไม่?"
"ได้ซิ...และฉันจะถวายการต้อนรับอัญเชิญพระจักรพรรดินีเหมือนกับพาเด็กไปร้านอาหารนั่นแหละ"
แผนนี้เป็นอันว่าได้ผล..เพราะกรมวังพวกนั้นรับนโยบายที่ฉันให้ไปด้วยความยินดี
ทั้งมีอาการที่แสดงออกถึงความโล่งใจ...

ในค่ำคืนนั้น..ฉันได้เอ่ยคำชมกับเพชรน้ำงามบนมงกุฏของพระจักพรรดินี Zaudita-the-Divine ซึ่งสร้างความพอใจให้กับพระนางอย่างเอกอุ
ทรงถามฉันถึงเรื่องรสชาติอาหารของเอธิโอเปียน ที่ ทรงตรัสว่่า
"ฝ่าพระบาทคงจะเบื่อที่ต้องเสวยไก่ถึงสองมื้อต่อวัน แต่เพราะว่านี่เป็นหน้าฝน เราจึงไม่มีของสดๆจาก Djibouti มาส่งได้บ่อยๆ"
"มิเป็นไร กระหม่อม หม่อมฉันชอบเนื้อไก่อยู่แล้ว เพราะตอนอยู่ปารีสก็กินได้แต่ย่างเดียวนี่แหละ อย่างอื่นมันแพง"
พระนางได้ยินแล้ว..ถึงกับทำตาโต วางส้อมลงแบบไม่เชื่อว่าฉันผู้เป็นน้องเขยของซาร์แห่งรัสเซียจะอับจนถึงขนาดนั้น

อ้อ..ฉันเพิ่งสังเกตเห็นด้วยว่า ท่านนายกรัฐมนตรีต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากเวลาที่จะพูดกับพระจักร  พรรดินี เพราะเป็นกฏ...เพื่อกันกลิ่นปากที่ไม่อาจพึงประสงค์ไปสู่พระนาง !!!

อาหารค่ำมื้อนั้นผ่านไป..พวกเราได้นับคำเชิญให้ไปชมการเทรนสัตว์ป่าต่างๆ ในส่วนพระองค์ หมายถึงการเดินโชว์ของพวกฝูงเสือ สิงโต เสือดาว แบบเพ่นพ่านไปมา..
ที่นายเลขาฯของฉ้นพยายามหาทางเลี่ยงอย่างที่สุด..แต่ถูกสกัดด้วยคำพูดของพระจักรพรรดินีว่า
"ผู้ชาญฉลาดและรอบรู้อย่างพวกท่านย่อมต้องไม่อยากพลาดการชมความสามารถฝึกสัตว์จนเชื่องของพวกเราชาวอาบิสซิเนียนหรอก..จริงไหม?"

ฉันได้แต่เห็นปากของเขาสั่นระริกไปด้วยความกลัว ยิ่งตอนที่ฉันบอกให้เขาเอามือไปลูบหัวของเจ้าเสือดาว..นายนั่นหันหลังกลับ ตบยาใส่ปากอีกสองเม็ดอย่างว่อง...
    
ในที่สุด..เช้าวันต่อมา...ฉันได้พบกับท่านราสอีกครั้ง และได้มอบเอกสารสำคัญทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย ใช้เวลาปแค่ห้านาทีต่อการพบปะครั้งนี้...
หลังจากที่ต้องทนอยู่มาถึงร้อยยี่สิบเจ็ดวัน..
"ฝ่าพระบาทน่่าจะอยู่ต่ออีกสักเดือน สมเด็จป้าทรงถูกพระทัยกับฝ่าพระบาทมาก อยากจะให้อยู่คุยด้วยอีกสักพัก"

ซึ่งฉันได้ตอบไปแบบมีมารยาทถึงการที่ต้องรีบกลับสู่ยุโรปเพราะมีภาระกิจทิ้งรอไว้อีกมากมาย

เราได้จับมือกัน..สัญญาว่าจะพบกันอีกในเวลาข้างหน้าเมื่อมีโอกาสเหมาะ
ท่านราส..อยากจะให้ฉันกลับไปอีกในปีหน้า เพราะอยากคุยต่อถึงเรื่องการปกครองที่
บริหารโดยญาติของฉ้น..เพื่อจะเอาไว้เป็นบทเรียนที่ไม่สมควรทำในการบริหารประเทศของตัวเอง

ขากลับ..เป็นโอกาสอีกครั้งหนึ่วของฉันในการที่ได้ยินเสียงวงดุริยางค์มาร์ชกองทัพรัสเซีย
นั่นคือครั้งสุดท้่ายที่ได้ยินในชีวิต และเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้รับการรับรองแบบเปี่ยมไปด้วยเกียรติยศในฐานะเจ้าฟ้าที่ฉันได้รับและเจอะเจอ
แม้ต้องเดินทางกว่าหกอาทิตย์ในเดินทาง ทั้งทางเรือ ทางรถไฟ..ต่อด้วยเกวียนเทียมวัว...
แต่..ในที่นี้...ยังมีความยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของเราหลงเหลืออยู่ให้ประจักษ์

ส่วนเอกสารและพระราชตราสาส์นที่มอบให้กับท่านราสไปนั้น..หน้าที่ของฉันได้จบไปแล้ว
ที่เหลือ...เป็นเรื่องระหว่างประเทศ ที่ต้องไปผ่านการพิจารณาและลงความเห็นที่ The League of Nations (ปัจจุนัน คือ United Nations)  
ครั้งสุดท้ายที่ได้ยินข่าวมา ในปี 1932 ว่า ได้มีการรับเรื่องแล้ว และกำลังเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้ความยุติธรรม....


League of Nations  กรุงเจนีวา     


     
         
ต้นปี 1926 หลังจากที่กลับมาจากอาบิสซืเนียไม่เท่าไหร่ ฉันได้มีโอกาสพบกับบุคคลสำคัญคนหนึ่ง นาย Alfred Lowenstein***....!!
เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น...ทางปลายสายมีสำเนียงเป็นงานเป็นการว่า
"กระผมติดต่อมาในนามของของ ท่านอัลเฟรด โลเวนสไตน์"
"แล้ว.."
"กระผมหมายถึง ท่านอัลเฟรด โลเวนสไตน์แห่งบรัสเซลส์"  (คือว่า..ย้ำให้รู้ว่าเป็นท่านมหาเศรษฐีคนดังแห่งยุโรป.."
"ว่า..." ฉันก็เอ่ยได้แค่นั้น แต่ในสมองเห็นภาพเข้าของรถยนตร์คันหรูยาวเฟื้อยที่มักจอดอยู่หน้าโรงแรม เดอะ ริทซ์ พร้อมกับคนขับที่แต่งตัวเต็มยศคอยยืนระวังตรง และบอกกับคนผ่านไปมาว่าเป็น
ยานพาหนะของท่านอภิมหาเศรษฐีอัลเฟรด คนนี้..
"เจ้านายของกระผมอยากจะขอนัดพบกับท่านด้วยธุระที่สำคัญยิ่ง..และเป็นการด่วนด้วยถ้าท่านจะกรุณา.."
ใช่ซิ..อะไรที่เป็นความปรารถนาของผู้มีเงินถุงเงินถังขนาดระดับ ร๊อคกี้เฟลเล่อร์ อย่างนี้..ย่อมต้องด่วนทันใจและสำคัญอย่างยิ่งยวดเสมอ ฉันรู้สึกประหลาดใจระคนตื่นเต้นนิดๆ
ที่นาย A.L. เกิดอยากจะพบกับฉันขึ้นมา  ไม่แน่ใจว่า..ฉันจะไปมีธุระอะไรกับเศรษฐีหลังสงครามอย่างนายคนนี้ได้  
"กรุณาคอยสักครู่.."   
ฉันรีบเอามือขึ้นปิดหูฟังโทรศัพท์ และหันไปกระซิบปรึกษากับนายเลขาฯคนเก่งผู้แสนรอบรู้ไปทุกเรื่อง...
"นายว่าไง..?"
"ไม่รู้เหมือนกันกระหม่อม  รู้แต่ว่า..นายนี่มีคฤหาสน์ใหญ่ราวพระราชวังที่สร้างด้วยหินอ่อนสีดำทั้งหลังเลย..อ้อ..เป็นเจ้าของโรงงานผลิตผ้าใยสังเคราะห์ไปทั่งทั้งยุโรปด้วย.."
"เขากำลังจะมีธุระขอปรึกษากับฉัน..หรือ..นายนี่อยากจะเจ๊งหมดทั้งบ้านและโรงงานกระมัง..เลยอยากจะถามฉันว่าวิธีไหนถึงจะดีสุด.."
"ก็มิอาจทราบได้กระหม่อม"
แม้แต่นายเลขาฯที่แสนจะชาญฉลาดจนน่าจะไปทำงานในสันนิบาติแห่งชาติก็หมดปัญญาที่จะเดา.. ในที่สุด ฉันเลยเลื่อนมือที่ปิดหูโทรศัพท์ออก และกล่าวตอบไปว่า
"ตกลง.."
เสียงทางปลายสายมีแววดีใจจนปิดไม่มิด
"ขอบพระคุณมากครับ..เจ้านายของผมท่านคงจะยินดีด้วยเช่นกัน กระผมจะให้รถไปรับท่านในวันพรุ่งนี้ เวลาบ่ายสองโมงตรง.."
"โปรดอย่าทำเช่นนั้นเลย...เอาเป็นว่าเราจะเป้นฝ่ายไปหาเองแล้วกัน"  ที่เป็นเช่นนั้น เพราะฉันไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันนั่งชูคอไปในรถหรูคันเท่าบ้านที่ก็รู้กันว่าใครเป็นเจ้าของ...
"แต่..ระยะทางออกไกลนะครับ..จากปารีสถึง Le Bourget นั้นสิบสองไมล์เชียว"
"ทำไมต้องเป็นที่ เลอ บูร์เกต์ เล่า?  หรือ คุณหมายถึงไปที่สนามบินที่นั่น.."
"ขอรับกระผม..เพราะที่นั่น เครื่องบินส่วนตัวของเจ้านายกระผมจะมารอรับท่าน"
"คุณเล่นตลกอะไรหรือเปล่านี่..หรือ เจ้านายของคุณมีนิสัยชอบคุยธุระกลางอากาศ..?"
"มิได้ขอรับ  เพราะว่าเจ้านายท่านไม่ทราบว่าท่านจะอยู่ที่ไหนในวันพรุ่งนี้ อาจจะเป็นที่บรัสเซลส์ หรือ ที่พักผ่อนของท่านใน Biarritz ดังนั้นไม่ว่าจะกรณีไหน
นักบินของเราก็ต้องพร้อมต่อการที่จะนำท่านเดินทางไปอย่างสดวกสบายและราบรื่น.."
จากนั้นนายนั่นก็ได้่เอ่ยถึงเครื่องบินรุ่นนำสมัยหลายลำที่เจ้านายของเขาเป็นเจ้าของอยู่ให้ฟัง..ที่ขนาดฉันวางหูไปแล้ว..ก็ยังไม่รู้จะอธิบายอย่างไรถึงจะเหมาะกับความรู้สึกที่ตื่นเต้นระคนแปลกใจ
แต่ที่แน่ๆ..ฉันมีความรู้สึกว่า ทั้งนายนั่นและเจ้านายของเขาคงพยายามเลียนแบบมารยาทแบบนี้มาจากพวกดาราหนังในฮอลลีวู๊ด
มันก็ไม่ยากอะไร ถ้าหากว่าฉันจะปฏิเสธในวินาทีสุดท้าย..ไม่ต้องขานรับที่ประตูก็สิ้นเรื่อง เพราะชื่อของนายคนนี้  Alfred Lowenstein ได้ยินทีไร
ก็ต้องเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพย์สินมูลค่าร้อยล้าน พันล้านฟรังค์ให้กับประเทศโน้นประเทศนี้ทุกทีไป โดยเฉพาะกับประเทศบ้านเกิด เบลเยี่ยม


*** นาย Alfred Lowenstein  มหาเศรษฐีชาวเบลเลี่ยมที่ร่ำรวยมาจากการเซ็งลี้กับรัฐบาล...หากินกับสงคราม  ชอบสะสมเครื่องบิน..หมองูตายเพราะงู เขาเสียชีวิตจากการตกเครื่องบินส่วนตัว Fokker ขณะไปใช้ห้องน้ำ...คาดว่าเปิดประตูผิดและถูกลมสูบออกไป ในปี 1928 หลังจากที่ได้พบกับท่านแกรนด์ ดุ๊คเพียงสองปี...

 



    
ในที่สุด ฉันทนระงับความอยากรู้ไม่ได้ จึงได้โทรติดต่อหาเพื่อนเก่าที่เป็นนายธนาคารชาวฝรั่งเศส และถามถึง..
เสียงจากทางโน้นหัวเราะกั๊กๆกลับมา..หากแต่มีแววประชดปนริษยามาด้วย...ว่า..
"อ้อ..แม้แต่ฝ่าพระบาทก็พลอยอยากรู้เรื่องของ Mr. Kannitverstan ไปด้วย.."
"ทำไมเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ?"
"อ๋อ..นั่นเป็นชื่อเล่นที่เราเรียกเขาในหมู่ชาวธนาคารกันน่ะกระหม่อม ...ฝ่าพระบาทไม่เคยทรงทราบเรื่องของนักธุรกิจต่างชาติที่ไปที่อัมสเตอร์ดัมบ้างหรือ?"
"ไม่รู้ซิ..ว่าไงล่ะ?"
"งี้นะ..ทุกครั้งที่นักธุรกิจคนนี้ไปเที่ยวถามชาวบ้านชาวเมืองเขาว่า..ใครเป็นเจ้าของตึกนั้น เจ้าของโรงงานนี้...หรือ เจ้าของที่ดินนั้น...ชาวบ้านจะตอบว่า.."Kan nit verstan" ที่แปลว่า..พูดอะไรไม่รู้เรื่อง...

ในที่สุดนักธุรกิจคนนั้นกลับไปเขียนรายงานว่า..นาย Kannitverstan แห่งอัมสเตอร์ดัม นี้จะต้องเป็นคนที่รวยที่สุดในยุโรป เพราะเป็นเจ้าของทั้งหมดไงกระหม่อม"
"งั้นหมายความว่า..คุณจะไม่บอกใช่ไหมว่า..นายคนนี้เป็นคนยังไงกันแน่?"
"มิได้กระหม่อม..เพราะไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน นายนี่กลายเป็นคนมีชื่อเสียงขึ้นมาแบบชั่วข้ามคืนทันทีที่ประกาศยกเลิกสงคราม แถมมีเงินขนาดต่อรองกับรัฐบาลได้...กระผมเป็นเพียงนายธนาคารเล็กๆคนหนึ่งที่รับช่วงกิจการตกทอดมาจากบรรพบุรุษหลายชั่วคนที่มีมากว่าสองร้อยปี..จะไปรู้อะไรมากมายกับคนที่หากินแบบนั้นเล่า"
"นายว่า..เราไม่ควรไปพบเขางั้นหรือ?"
"ไปซิ.. ไปทอดเนตรด้วยองค์เอง...เพราะสภาพเงินเฟ้อของเศรษฐีหลังสงครามแบบนี้..ว่าเป็นไปอย่างไร เพราะพวกเราๆที่ทำธุรกิจแบบตรงไปตรงมานี่..คงจะอยู่ได้ไม่นาน อีกหน่อยก็คงจะถูกกลืนกินไปกับพวกสมองใส เจ้าปัญญา
กลับไปทรงอ่านเชคสเปียร์บ้างนะกระหม่อม บทที่ว่า...
The earth hath bubbles, as the water has
And these are of them. Whither are they vanish'd" (จาก Macbeth....วิวันดา)

"นี่ท่าจะอ่านหนังสือหนักนะ..นายเนี่ย?"
"ตอนนี้มีเวลาว่างเยอะกระหม่อม..เรามันพวกมดพวกปลวก คืบช้าเหมือนเต่าคลาน ที่ไหนจะไปทันพวก Krugers หรือ พวก Lowenstein ได้เล่า พวกนั้นน่ะเขาไม่เดินกันหรอก...เขาใช้บินเอาน่ะ"
"นั่นซิ..เพราะเขาชวนให้ฉันบินไปพบกับเขาด้วย"
"ดีซิ...เสด็จเลย..ใครจะไปรู้..เขาอาจจะมีธุรกิจเงินล้านกับฝ่าพระบาทก็เป็นได้"


นักบินสามคนมายืนรอพบฉันอยู่ที่หน้าประตูของสนามบิน เลอ บูร์เกต์  และบอกว่าเจ้านายของเขาได้ให้ฉันเป็นคนเลือกว่าจะใช้เครื่องบินชนิดไหน..จะเป็น Handley-Page
หรือ   Fokker หรือ  Voisin หรือ.....
"เดี๋ยว เดี๋ยว..พอก่อน.." ฉันเริ่มวิงเวียนกับเหล่าพาหนะที่จอดเรียงเป็นเงาวับอยู้่ข้างหน้า..
"พวกคุณน่าจะเป็นฝ่ายเลือกนะ...ว่าลำไหนถึงจะดีสุด.."

พวกนักบินนั่นทำหน้าตาเหรอหรา.. กัปตันคนหนึ่งเป็นชาวอังกฤษได้เอ่ยขึ้นว่า..
"กระผมหมายถึง ความสะดวกของท่านน่ะขอรับ..ถ้าท่านต้องการที่จะนั่งไปเพื่อที่จะได้เขียนอะไรสบายๆ กระผมขอแนะนำ Fokker เพราะมีอุปกรณ์เครื่องทำงาน เครื่องเขียนแบบในออฟฟิส  แต่ถ้าท่านอยากจะนั่งชมวิว กระผมแนะนำเครื่องสองที่นั่ง Voisin"

เป็นอันว่าฉันได้เลือกเอาอย่างหลัง..เพราะอยากจะชมวิวไปด้วย..
ดังนั้นจึงถามไปว่า..
"ตกลงเราจะไปที่ไหนกัน Brussels หรือ Biarritz ?"
"เรามีคำสั่งถึงจุดหมายมาขอรับ..แต่จะเปิดซองดูไม่ได้จนกว่าเครื่องจะบินขึ้นถึงสองพันฟิต..อันเป็นกฏ"
"กฏอะไร...เรายังมีสงครามอยู่หรือไง..?" ฉันประชด เพราะใครๆก็รู้ว่าสงครามจบไปหลายปีแล้ว..
"มิได้ขอรับ..มันเกี่ยวกับเรื่องของข่าว และความเป็นส่วนตัวของเจ้านายของพวกเราที่ต้องสำคัญมาอันดับหนึ่ง.."
ฉันชักเบื่อกับ"ความสำคัญ" ของนายคนนี้มากขึ้นทุกทีแล้ว..
        
เราได้เหินฟ้ามาด้วยกัน..
นักบินหันมาถามฉันว่า..ฉันเคยขึ้นเครื่องบินไหม?
นั่นแสดงว่า...ความเป็นตัวตนและประวัติของฉันนั้น...ได้ถูกปกปิดไว้เช่นกัน..
(เหล่านักบินไม่ทราบว่า....ผู้โดยสารมานั่นคือ...แกรนด์ ดุ๊ค อเล็กซานเดอร์  ในอดีตเป็นแม่ทัพและผู้ก่อตั้งกองทัพอากาศของรัสเซีย...........วิวันดา)

พอเครื่องบินไต่ขึ้นสู่ระดับสองพันฟิต..นักบินได้ส่งซองให้ฉันเปิดผนึกอ่าน...ในนั้นเขียนว่า...Biarritz และลงนามด้วยอักษรย่อ "L" สั้นๆ..
ฉันรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะชื่นชอบบรรยากาศที่เบียร์ริทซ์..มาเที่ยวสักสองสามชั่วโมงกับการพบปะที่ค่อนข้างพิลึกๆนี่ก็คงคุ้มต่อเวลาพอประมาณ

ตอนแรก..ฉันนึกว่า..เราจะจอดลงที่สนามบินที่ Bayonne และต้องนั่งรถต่อไปยังจุดหมาย..แต่...กลายเป็นว่าเครื่องนำลงจอดในบริเวณคฤหาสน์ของผู้เชิญ..ที่เขาเรียกว่า
เป็นเพียงบ้านพักร้อนหลังเล็กๆ  ที่ฉันมองไปแล้ว..มันใหญ่โตราวกับขนาดของคลองสุเอซเชียว
ฉันได้ถูกพาเข้าไปพบกับนาย อัลเฟรด โลเวนสไตน์ ในห้องทำงาน..เขายืนรอรับอยู่ที่ข้างโต๊ะหนังสือ แต่งกายด้วยสไตน์ผ้าทวีดหนาของอังกฤษ..อายุอานามราวๆสี่สิบกลางๆ   ท่าทางลนๆ ใบหน้ามีแววของความเคร่งเครียด
ขนาดเวลายิ้ม..กล้ามเนื้อที่หน้ามักจะกระตุกหน่อยๆ
ไม่มีราศีของเศรษฐีใหญ่ (และใหม่) หรือผู้ทรงอำนาจแห่งวอล สตรีท เท่าไหร่นัก
ถ้าเจอกันตามถนน ฉันก็คงคิดว่าเป็นพวกพ่อค้าเร่ชาวเยอรมันด้วยซ้ำไป

ภาษาฝรั่งเศสของเขา...มากับสำเนียงเบลเยี่ยม และ..บ่งบอกด้วยว่า..ไวยากรณ์นั้นอ่อนยวบยาบ..เขากล่าวขึ้นว่า
"กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าพระบาทต้องลำบากลำบนเดินทางมาอย่างนี้เลย.."  การพูดของเขามักจะไม่จบประโยค..มักทิ้งคำท้ายไว้ให้ต้องเดากันต่อ...เช่น
"แต่คงทรงเห็นแล้วว่า........มันก็เป็นอย่างนี้....เมื่อวันก่อน....หรือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะ...อ้อ ไม่ใช่ซิ..เมื่อสองสามวันก่อนเอง ที่กระหม่อมได้ยินเรื่องราวที่สุดประเสริฐของฝ่าพระบาท...ทรงทราบไหมว่า..มีคนที่เป็นเพื่อนของฝ่าพระบาท  เป็นคนที่รัก..และอยากจะช่วยฝ่าพระบาทอยู่...ทรงรู้บ้างไหม?"
"ไม่รู้ซิ...มีด้วยหรือ..คนแบบนั้นน่ะ?"

นายนั่นหัวเราะ พร้อมกับโบกมือไปมา..
"กระหม่อมเข้าใจว่าทรงรู้สึกเช่นไร...การที่ต้องจากบ้านจากเมือง..ความหลังเก่าๆ...เคราะห์กรรมซ้ำเติม...แต่ขอให้ทรงรับการแนะนำจากความหวังดี..อย่างกระหม่อม ขอให้ทรงเข้มแข็งอีกนิด  ฝ่าพระบาทจะเสด็จออกไปจากที่นี่เป็นคนใหม่เลยทีเดียว  เป็นคนที่ไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต  คงไม่แปลกประหลาดจนเกินไปนะที่เราสองคนได้มาพบกันแบบนี้"
"นั่นซิ..ไม่แปลกเท่าไหร่หรอก...แต่ว่า..เพื่อนที่ว่ารักฉันหนักหนานั่นเป็นใครกัน?"
"อา..กระหม่อมไม่สมควรจะบอก..แต่เอาเถอะ ถ้าฝ่าพระบาทอยากจะทราบ..ท่านคือ พระเจ้า...."  แล้วเขาก็เอ่ยพระนามออกมาถึงกษัตริย์แห่งประเทศในยุโรปพระองค์หนึ่ง..ที่ฉันแน่ใจได้เลยว่า  เขาโกหก...เพราะพระองค์ในพระนามนั้น..
ไม่มีวันที่จะเอ่ยถึงฉันกับคนอื่น โดยเฉพาะคนอย่างนายเศรษฐีคนนี้..
แต่ฉันก็ได้กล่าวไปว่า
"ทรงน่ารักเสียจริงๆ ที่ทรงเอ่ยถึงฉัน..เอาไว้ฉันจะเขียนจดหมายไปขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณ..."

"ไม่ดีหรอกฝ่าพระบาท..เพราะการสนทนาระหว่างกระหม่อมกับท่านนั้นเป็นความลับ..เพราะพระองค์ทรงขอให้ช่วยเหลือการคลังของท่าน ซึ่งกระหม่อมได้ช่วยอย่างเต็มที่ แบบเทกันหมดธนาคารเลย   กระหม่อมมีเงินมากมาย มากจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ต่อให้มีชีวิตอยู่ถึงพันปี..ก็ใช้ไม่หมด
กระหม่อมไม่เหมือนพวกอเมริกันขี้เหนียวนั่นหรอก  วันๆได้แต่นั่งนับเศษเงินไปจนตายคาโต๊ะ.."
ว่าแล้วนายนี่..ก็ดีดมือดังเป๊าะ...ยื่นหน้ามาถามว่า

"ทรงรู้ไหมว่า..กระหม่อมนี่แหละที่แสดงฝีมือให้พวกเขารู้ว่า..วิธีหาเงินแบบง่ายๆนั้นเป็นอย่างไร..ไหนจะเรื่องการเป็นเจ้าของโรงงานสิ่งทอ และ โรงงานผลิตทองแดงนั่นอีก..."
"นั่นซิ.." ฉันต้องพยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย..เพราะนายนี่นั่งจ้องตาอยู่....

เขากล่าวต่อว่า
"แต่นั่นมันก็ผ่านไปแล้ว..ตอนนี้กระหม่อมกับมาเป็นคนธรรมดา...ในชีวิตที่เหลือ ก็อยากจะทำอยู่สามอย่างเท่านั้น.. อย่างแรกคือ อยากจะได้ถ้วยของการแข่งม้า Epsom Derby มาประดับบ้าน  และต้องไม่เกินภายในปี 1930  กระหม่อมจะใช้เวลาห้าปีนี้..สำหรับการดำเนินการ.."
ฉันชักสงสัยว่า..นายคนนี้คิดว่าการมีเงินอย่างเดียวนั้นจะช่วยให้ม้าวิ่งเข้าวินได้อย่างกระมัง...?
"คุณกำลังคิดที่จะซื้อลูกม้ามาเลี้ยงหรือ?"
"เปล่าเลย...เพราะการมีลูกม้าเลือดดีอย่างไร..ก็หาใช่ว่าโตขึ้นมาจะเป็น แชมเปี้ยน..จะชนะการแข่งเสมอไป...กระหม่อมจะใช้ทุกวิธี ทุกทาง ตั้งแต่ซื้อม้าฝีเท้าเด็ดในทุกฤดูใบไม้ผลิ ตลอดห้าปีข้างหน้า  ม้าดังทุกตัวที่เข้าข่ายในเอปซอม เดอร์บี้..ทุกตัวที่มีแววจะชนะ...จะซื้อมาให้หมด  เป็นไง..ความคิดนี้เด็ดไหมฝ่าพระบาท?"
ฉันต้องหลุดปากออกไปว่า..
"ไม่ใช่ว่า พวกเจ้าของคอกอังกฤษจะขายม้าของตัวเองให้กับใครง่ายๆ..."
"โอย..รู้หมดแหละฝ่าพระบาท..มันก็แค่จำนวนเงินที่น่าพอใจเท่านั้น..พวกเขาขายทุกอย่างแหละ...ต่อให้ Aga Khan ก็เถอะ...ลองส่งไปสักแสนปอนด์เท่านั้นก็จะรีบขายกันไม่ทัน.. เมื่อม้าของกระหม่อมเข้าสู่วงในของการแข่งแล้ว..ทีนี้ก็เหลืออีกสองเรื่อง... หนึ่งคือการยกระดับสังคม..นี่แหละ ที่กระหม่อมต้องการความช่วยเหลือจากฝ่าพระบาท.."

คราวนี้เขาลดเสียงลงต่ำ...และมองมาที่ฉันอย่างเขม็ง...
"กระหม่อมต้องการฐานะทางสังคมให้เป็นที่ยอมรับในหมู่ชนชั้นสูงและระดับชาติ..."
"ชนชั้นสูง..และ ระดับชาติกระนั้นเลยหรือ?...หมายความที่ที่คุณเชิญฉันมาที่นี่ เพราะเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ เท่าที่จำได้ว่า..ทางคุณบอกว่าเป็นธุระสำคัญและด่วน..."
"ก็เพราะ...มันสำคัญสำหรับกระหม่อมมาก...สำคัญที่สุด ยิ่งได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี...เพราะฝ่าพระบาทน่าจะทรงทราบดีว่า..การเข้าสู่วงจรของการแข่งเอปซอมนั้น..รวยอย่างเดียวคงไม่ได้  มันต้องมีชาติมีตะกูล มีฐานะทางสังคมอันเป็นที่ยอมรับด้วย.."
"ก็ทำนองนั้น..แต่..ฉันจะไปช่วยอะไรได้เล่า..ฉันไม่สามารถที่จะประสิทธิประสาท ลาภยศ สรรเสริญ ให้ใครได้อีกทั้งฉันก็ไม่ได้อยู่ในวงจรม้าแข่งนั่น..จะไปช่วยอะไรได้.."
"โอย..ได้เยอะเลย....ฝ่าพระบาทแค่พากระหม่อมเข้าสู่วงสังคมเจ้านายทั้งในปารีสและลอนดอน ..ที่เหลือหม่อมฉันจัดการเอง  ทอดพระเนตรดูนี่ซิ..."
ว่าแล้วนายนี่ก็ส่งแผ่นกระดาษที่ดำพรืดไปด้วยนายชื่อพระราชวงค์ต่างๆ แต่ละคน..ยศฐาไม่น้อยไปกว่า "วิกงต์" ( Viscount)
"กระหม่อมจะเชิญพวกคนเหล่านี้มายังงานเลี้ยงที่บ้านพักรับรองในทุกอาทิตย์ ขอแค่ให้เขารับคำเชิญเท่านั้นแหละ ..เป็นอันว่าเรามาคุยกันเรื่อง"ธุรกิจ" ได้หรือยัง..?"
"ธุรกิจ?"
"ใช่..เพราะกระหม่อมยินดีที่จะจ่ายเงินให้ฝ่าพระบาทไปอาทิตย์ละสองแสน...เป็นระยะห้าปีติดต่อกัน.."
"และจะให้ฉันทำอะไรให้ล่ะ..?"
นายเศรษฐีใหม่..หันไปหยิบการ์ดเชิญมาให้ฉันดูหนึ่งใบ..ก่อนที่จะเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้แบบสบายๆ พร้อมกับจุดซิการ์ขึ้นสูบ..
ในการ์ดนั้นเป็นการ์ดเปิด...เขียนว่า..
"ด้วยเรียนเชิญ..........................ที่งานเลี้ยงในสวนที่จัดขึ้น (ลงนาม) โดย
Alfred Lowenstein, per Alexander the Grand Duke of Russia

"เท่านั้นแหละที่ฝ่าพระบาททรงทำ ไม่ได้มีอะไรมากมายกว่านั้น..แค่เซ็นพระนามในบัตรเชิญ..แต่ทรงตอบตกลง กระหม่อมพร้อมที่จะจ่ายเงินเดือนเดี๋ยวนี้เลย.."

        
นายนี่มันช่างทุเรศสิ้นดีกับไอ้การอยากจะหาบารมีมาประดับตัวแบบเงินซื้อได้..
เหลวไหลแท้ๆ.... ที่ตัวฉันเองต้องมานั่งดูไอ้เศรษฐีใหม่ที่กระสันอยากจะหายศหาศักดิ์ มาสถาปนาชาติตระกูลให้เป็นที่รู้จัก...
และให้เป็นที่ยอมรับ..เพราะเชื่อว่า..เงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง..
นี่หรือ..คือคนที่ใครต่อใครมนวงการเรียกเขาว่า "อัจฉริยะทางการเงิน"

ฉันอดขำออกมาไม่ได้....ขอกลับไปคิดดูตามมารยาทที่ดี  ก่อนลาจาก
"รีบตอบมาเร็วๆนะ...กระหม่อมจะรอสองอาทิตย์ หากว่าไม่ทรงตกลง  กระหม่อมก็คงต้องไปเลือกคนอื่นที่มีสำรองเอาไว้แล้ว.."

ตัวเลือกสำรองที่ว่ามา..คือ เจ้าชายเด็กๆฝรั่งเศสระดับดุ๊ค..จากสายราชวงค์ที่เก่าแก่ อีกทั้งมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของกษัตริย์พระองค์หนึ่ง..
มีพื้นฐานนิสัยที่ไม่ค่อยเอาไหน..จนพ่อแม่ต้องตัดหางปล่อยวัด ตัดงบประมาณการใช้จ่าย..ดุ๊คคนนี้จึงรีบโดดเข้ารับข้อเสนอของนายอัลเฟรด...

ฉันเองยังไม่ค่อยเชื่อว่า..เรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นจริงๆ...จนกระทั้งได้รับบัตรเชิญใบหนึ่งที่มาถึง..ในข้อความคือ ขอเชิญให้ไปงานเลี้ยงที่คฤหาสน์พักร้อนของ....
และลงชื่อโดย..Alfred Lowenstein, per the Duke of....."
อีกทั้งมีข้อความแนบมาด้วยว่า..
"ฝ่าพระบาทคงจะเสียดายละซิ...ถ้ากระหม่อมจะบอกให้ทรงทราบด้วยว่า..ตัวเลือกนี้..กระหม่อมจ่ายด้วยค่าแรงถูกกว่าที่เสนอให้ฝ่าพระบาทถึงสี่เท่า..."


ฉันนั่งอ่านบัตรเชิญยั้่นซ้ำแล้วซ้ำอีก และเชื่อว่าอีกหน่อยก็คงมีเสียงนินทาตามหลังมาเป็นพรวน กับเรื่องของการ"จ้างเจ้าทำงานให้เป็นบันได" เนี่ยย..
นี่ถ้าเป็นสมัยก่อน 1914  คนอย่างนายอัลเฟรด โลเวนสไตน์ คงจะถูกแบล๊คลิสต์
ในทุกสมาคมในยุโรปอย่างแน่นอน ..
แต่นี่มันสมัยหลังสงครามที่ใครๆต่างพากันเห็นดีเห็นงามกับเจ้าชายฝรั่งเศสคนนั้นไปเป็นลูกจ้างทำงานแบบพิลึกให้กับนายเศรษฐีใหม่..
หลายคนแสดงความเห็นว่า..
"มันจะเสียหายอะไรถ้าจะต้องไปรับจ้างทำงานแบบนั้น..ดีกว่าอดตายเป็นไหนๆ..ค่าของเงินฟรังค์ตกยวบยาบขนาดนี้..อย่างน้อยเจ้าชายนั่นยังไปสูบกลับคืนมาได้มั่ง เพราะนายโลเวนสไตน์ก็เอาไปจากประเทศของเราไม่น้อย.."



ในช่วงหลังสงครามมักจะเกิดการผันผวนทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล
มีอภิมหาเศรษฐีเกิดขึ้นมากมาย..แต่แทบทุกคนมักจะจบไม่สวย..อย่าง...
Ivar Kreuger  จากสวีเดน...คนนี้ได้เป็นคนที่คิดการทำไม้ขีดไฟขึ้นมา อุตสาหกรรมเครื่องบินด้วย)...รวยเละ แต่เขาเป็นคนที่กล้าเสี่ยง ล้อเล่นกับโชคชะตาจนเกินไป..
สมบัติที่หามาได้นับร้อยๆล้านปอนด์ (เทียบสมัยนี้ก็คงเป็นแสนๆล้าน)  มาติดกับดักของภาวะเงินฝืด...อาณาจักรของเขาจึงล้มครืนลง...
นายครูเกอร์...จึงเลือกหาทางออกแบบง่ายๆ...ปลิดชีวิตของตัวเองด้วยกระสุนปืนในปี 1932
ในบ้านพักที่ปารีส...
        

เพราะ เรื่องของ นายโลเวนสไตน์นี้ ได้ถูกเขียนเป็นหนังสือ ในชื่อเรื่องว่า The man who fell from the sky โดย William Norris ตีพิมพ์เมื่อ 1987 รู้สึกว่าจะสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย.........
ดิฉันเคยอ่านหนังสือเล่มนี้นานมาแล้ว เนื่องจากตอนนั้นกำลังขมักเขม้นค้นคว้าในเรื่องไวน์   ซึ่งมันมาคาบเกี่ยวกับเรื่องของยุคที่มาเฟียของอเมริกาถือกำเนิดมาพร้อมกับสภาพหลังสงคราม
และเข้าถือครองกิจการในตลาดมืด
ในเรื่องราวต่างๆนั้นเอ่ยถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายคน รวมไปถึงโลเวนสไตน์ด้วย ก็เลยไปหาอ่านเอา....เลยทราบว่านายนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าแก้งค์มาเฟียในนิวยอร์ค และชิคาโกด้วย
ทีนี้มาพออ่านเรื่องที่ท่านแกรนด์ ดุ๊ค ที่ท่านเขียนและเล่ามา เลยอ่านสนุกไปเลย เพราะเหมือนกับว่าได้อ่านต่อยอดไปอีก..
ส่วนที่ดิฉันไม่ได้ขยาย..(เพราะท่านผู้เขียนไม่ได้เล่า...แต่อ่านสนุกอยู่คนเดียว)
นั่นคือ...ทำให้ทราบได้เลยว่า...เหตุผลที่ท่านปฏิเสธจำนวนก้อนโตนั้น เพราะท่านไม่สามารถเอาความเป็นเลือดขัตติยะของท่านไปให้"พ่อค้ามาเฟีย" อย่างนายโลเวนสไตน์คนมือไม่สะอาดไปทำมาหากิน...
เพราะด้วยสาเหตุที่มีเงินแต่ไม่มีเกียรตินี้เอง ที่ทำให้พ่อค้ายิวคนนี้ยอมทุ่มเท่าไหร่เท่ากันเพื่อที่จะให้ได้มา..เพราะเขารู้ดีว่า..ในช่วงภาวะขาดแคลนอย่างนั้น..เงินซื้อได้เกือบทุกอย่าง..
ที่ถามว่า นายโลเวนสไตน์ ดื่มด่ำกับความใกล้ชิดกับเจ้านายมากแค่ไหนก่อนเสียชีวิตนั่น
ดิฉันว่า..คงไม่มากนัก เพราะ..เป็นเวลาแค่สองปีเอง.
ส่วนเรื่อง"ม้าแข่ง" เขาก็เอาจริงค่ะ  แต่ไปไม่ไกลถึง Epsom
ท่านแกรนด์ ดุ๊ค ท่านยังเจอเด็ดกว่านั้นค่ะ เพราะเจอกับทั้งสองคนในเวลาเดียวกันเลย คือทั้ง
โลเวนสไตน์ และ ครูเกอร์ เชียว
ต่างวิ่งเข้าหาท่านทั้งคู่...ด้วยเหตุผลต่างกัน

หรือแม้กระทั่ง..นาย Henry Ford !!!


ดิฉันขอขยายอีกส่วนหนึ่งของชีวิตท่านผู้เขียน ว่า...
ท่านเป็นคนที่สนใจในเรื่องจิตวิญญาณ และพลังลี้ลับ ท่านได้ศึกษาและค้นคว้ามาตั้งแต่ยังหนุ่มๆ และนั่นคือที่มาของการสะสมเหรียญเก่าๆที่มีมูลค่ามหาศาล  
ท่านเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งในเชิงวิชาการ ในชื่อว่า...Spiritual Education
การเขียนหนังสือ และ การออกให้เลคเช่อร์ตามสถานที่ต่างๆนั้นคือการหารายได้พิเศษของท่าน  ...จนต่อมาได้ถูกเชิญให้มาบรรยายในอเมริกาในปี 1930

ลองคลิกไปอ่านที่นี่ค่ะ


http://news.google.com/newspapers?nid=1961&dat=19300304&id=Ln8hAAAAIBAJ&sjid=cIsFAAAAIBAJ&pg=6772,986443

        
งานเลี้ยงของนายโลเวนสไตน์ที่ขยันส่งบัตรเชิญมาให้นั้น..ฉันไม่ได้ไปร่วมเลยแม้แต่งานเดียว
มีแต่เพื่อนๆหลายคนที่ไปกัน...ซึ่งในรุ่นๆแรกเท่านั้นแหละที่เขาสามารถเกณฑ์เหล่าแขกชั้นหัวกระทิที่พลอยหลงลมไปกับบัตรเชิญที่มีลายเซ็นของดุ๊คกำกับ

หากแต่ต่อๆมา...ทุกคนเริ่มตาสว่าง..เพราะประจักษ์แล้วว่า คนที่หวังดีและมาช่วย
พยุงเศรษฐกิจที่ใกล้ล่มสลายของฝรั่งเศสนั้น...คือ..นาย Ivar Kreuger
มหาเศรษฐีจากสวีเดน หรือเป็นที่รู้จักในนามว่า The Match King ที่ยอมทุ่มเงินจำนวนมหาศาลให้รัฐบาลฝรั่งเศสกู้ ที่ต้องนับว่าเสี่ยงมาก
เนื่องจากค่าของเงินฟรังค์ในยามนั้นไม่มีความเสถียร ไม่มีใครกล้ายื่นมือมาช่วย มีแต่นายครูเกอร์คนเดียวมีความมั่นใจกับฝรั่งเศส ทั้งๆที่เขาเป็นเพียงเศรษฐีพ่อค้า...ไม่ใช่ประเทศมหาอำนาจอย่างเยอรมัน หรือ อังกฤษ

Ivar Kreuger



รัฐบาลฝรั่งเศสได้จัดการมอบเหรียญตราชั้นอัศวินให้นายครูเกอร์แบบไม่ต้องคิด อีกทั้งได้ประกาศแต่งตั้งให้เขาเป็นหนึ่งในกรรมาธิการของ The Legion of Honour
อันเริ่มก่อตั้งมาโดยนโปเลียน ตั้งแต่ 1802
อันถือเป็นเกียรติยศสูงสุดในยุโรปก็ว่าได้

ข่าวเรื่องนี้...ฉันอ่านไป พร้อมกับสงสัยว่า ป่านนี้นายโลเวนสไตน์คู่แข่งทางธุรกิจของนายครูเกอร์คงมิตีอกชกหัวไปแล้วหรือนี่...
เพราะมานั่งดูๆไปแล้ว...ฉันก็รู้สึกสนุกในการที่จะเห็นสองยักษ์ใหญ่ สวีดิช และ เบลเยี่ยม มาประลองกำลังเงินกัน
อ้อ....ไม่ใช่ซิ...ขาดไปอีกคู่หนึ่ง คือ นาย Hugo Stinnes (เยอรมัน) กับ นาย Clarence Hatry (อังกฤษ)
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครจบสวยเลยสักคน..ในช่วงเวลาหลังจากที่เสวยสุขกันไปได้แค่ไม่กี่ปี         

แต่ชั่วชีวิตฉันก็ได้เห็นจุดจบของแต่ละคน... Lowenstein, Kreuger และ Stinnes ลงนอนเล่นในหลุมฝังศพ ส่วนนาย Hatry นั้น ได้ถูกพิพากษาติดคุก 20 ปี (คดีฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร)


 




บทความจากสมาชิก




1

ความคิดเห็นที่ 1 (102148)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

ขอบคุณคุณวิวันดาอย่างยิ่งที่ยังคงนำบทความดีๆ มาให้ความรู้กับพวกเราที่นี่  ผมเองช่วงนี้ยังอัพเดทเว็บได้น้อยกว่าที่ตั้งใจไว้  ทั้งที่ยังมีภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจน่าเขียนวิจารณ์ให้ความรู้กันอีกหลายเรื่อง มีสาระอะไรอีกหลายอย่างที่น่าจะได้ตั้งกระทู้พูดคุยกัน  รวมถึงการจัดบ้านใหม่ให้คุณวิวันดาที่ wiwanda.iseehistory.com  ที่น่าจะอำนวยความสะดวกทั้งผู้เขียนบทความและผู้อ่านทั้งหลาย  ก็ยังทำไปได้นิดเดียว  ทั้งนี้ด้วยเหตุอะไรหลายอย่างที่ไม่อาจนำมาเล่าเพื่อเรียกคะแนนสงสารได้  เอาเป็นว่าขอแจ้งไว้หน่อยว่าเจ้าของเว็บยังไม่หนีหายไปไหน  และจะพยายามตั้งหลักเพื่อกลับมาทำเรื่องที่ควรทำเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันต่อไปครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-09-12 23:04:28



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker