dot
dot
เว็บภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ ยินดีต้อนรับผู้สนใจทุกท่าน
dot
dot
สมาชิก Webboard/Blog
ชื่อผู้ใช้ :
รหัสผ่าน :
เข้าสู่ระบบอัตโนมัติ :
bullet ลืมรหัสผ่าน
dot
bulletข้อตกลงการเป็นสมาชิก
bulletเว็บบอร์ด-คุยกันหลังฉาก
bulletเว็บบอร์ด-Games ย้อนยุค
bulletเว็บบอร์ด-ชุดจำลองประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-หนังสือประวัติศาสตร์
bulletเว็บบอร์ด-เพลงประวัติศาสตร์
bulletคำถาม/คำตอบ ล่าสุด
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
dot
สงครามโลกครั้งที่ 2
dot
bulletสมรภูมิยุโรป (สัมพันธมิตรVSเยอรมัน-อิตาลี)
bulletสมรภูมิแปซิฟิก-เอเชีย (สัมพันธมิตรVSญี่ปุ่น)
dot
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์อื่นๆ
dot
bulletสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
bulletประวัติศาสตร์ไทย
bulletประวัติศาสตร์อเมริกันยุคเริ่มแรก
bulletสงครามเวียดนามและอินโดจีน
bulletตะวันตกโบราณ (กรีก โรมัน ฯลฯ)
bulletประวัติศาสตร์ร่วมสมัย
bulletเอเชียโบราณ
bulletประวัติศาสตร์อื่นๆ (ยังไม่แยกหมวดหมู่)
bulletคลิปความรู้จาก YouTube
dot
บทความโดย วิวันดา
dot
bulletฮิตเล่อร์...และเหล่าขุนพลแห่งอาณาจักรไรค์ซที่สาม
bulletลอดลายรั้ว.....วินด์เซอร์
bulletเลิศเลอวงศา...โรมานอฟ
bulletเชลย
bulletซูคอฟ...ยอดขุนพลผู้ดับฝันของฮิตเล่อร์
dot
บทความโดย สัมพันธ์
dot
bulletคนไทยในกองทัพพระราชอาณาจักรลาว
bulletประวัติศาสตร์สงคราม กรีก
bulletกรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามมหาเอเชียบูรพา
bulletอยุธยายศล่มแล้ว ลอยสวรรค์ ลงฤา
bulletฮานนิบาล
bulletพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์
bulletไทยกับมหาสงคราม
bulletสงครามเวียดนาม
bulletห้วยโก๋น ๒๕๑๘
bulletการทัพในมลายา
bulletประวัติศาสตร์อื่น ๆ
dot
เรื่องอื่นๆ
dot
bulletบทความเสริมความรู้ทั่วไป
bulletเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
bulletผู้จัดทำ
bulletผังเว็บไซต์ (Site Map)
bulletแนวทางการร่วมเขียนบทความ
bulletถาม-ตอบ (FAQs) (โปรดอ่านก่อนตั้งกระทู้หรือสมัครสมาชิก)
bulletร้านค้าออนไลน์
bulletแบ่งปัน Album
dot
ลิงค์ต่างๆ
dot
bulletHistory on Film
bulletกองบิน 21 กองพลบิน 2
bulletIELTS British Council
bulletIELTS IDP
bulletMUIC




โหราศาสตร์ยุคไอที



เลิศเลอวงศา...โรมานอฟ ตอนสิบสี่

สวัสดีค่ะ  คุณโรจและท่านผู้อ่านทุกท่าน

ดิฉันหายไปพักหนึ่ง เพราะเรื่องการจัดการย้ายถิ่นฐานที่อยู่ จากอเมริกาสู่ฝรั่งเศส..หมายถึงการจัดเก็บข้าวของเครื่องใช้ พร้อมส่งลงเรือ รวมไปย้ายบ้านไปอยู่แบบแชร์กับเพื่อน ในช่วงเหลืออีกไม่กี่เดือนของสัญญาการทำงาน..ตอนนี้อยู่ฝรั่งเศสค่ะ มาพักผ่อนยาวในช่วงฤดูหนาว  เลยมีเวลามาอัฟเดทให้   และจะพยายามเขียนเก็บในสต๊อคให้ได้มากที่สุด

ขอขอบคุณคุณโรจที่ช่วยกรุณาจัดเก็บข้อความไว้ให้ได้อย่างเรียบร้อย  ดิฉันไม่ทราบว่าจะขอบคุณอย่างไรดีจึงจะสมในการเอื้อเฟื้อ ทราบว่าทางเว็บมีปัญหา  มีอะไรที่ดิฉันพอช่วยได้ไหมคะ?

 

 

ด้วยความนับถือ

 

วิวันดา...

 

งั้นขอเล่าต่อไปเลยนะคะ..



V
V
V

เธอทั้งสองอยู่มาจนถึงในวัยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 8
ต่อมาพี่สาวคนโตได้จากโลกนี้ไป...น้องสาวก็ได้ลาโลกตามไปในสามปีต่อมา
นั่นหมายถึง สัญญลักษณ์และสายใยแห่งราชวงค์โรมานอฟได้สูญสิ้นไปพร้อมๆกับชีวิตของเธอ

ทั้งสองเป็นสาวชาวเดนิชโดยสัญชาติกำเนิด รวมไปถึงอุปนิสัยใจคอต่างๆ แต่..อย่าได้บังอาจไปเรียกเธอว่า สาวเดนิชเชียวนะ เป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว
เพราะคนโต  Alexandra...ได้กลายไปเป็นชาวอังกฤษเต็มตัว..แถมมีพิธีรีตองมากกว่าชาวอังกฤษอื่นๆด้วยซ้ำ
น้องสาว  Marie ได้กลายเป็นชาวรัสเชี่ยน ที่เคร่งครัดในธรรมเนียมอย่างแน่นหนามั่นคง มากกว่า หอระฆังกลางเมืองมอสควา
ฉันแยกคิดถึงคนหนึ่งคนใดไม่ได้เลย..เพราะทั้งคู่ต้องมาแบบแพค...ยิ่งในยามที่มีคนถามถึงแม่ยายของฉันว่า
"เอ็มเปรสทรงพระสำราญดีอยู่หรือ?"  คำตอบที่ออกมาจากปากแบบไม่ต้องคิด คือ
"ทรงสุขสำราญดี  ทรงเพิ่งได้รับจดหมายจากสมเด็จพระเชษฐภคินี"

จนกระทั่งวันสุดท้ายจริงๆ..ที่ฉันได้ยืนส่งพระวิญญาณให้ไปสู่สรวงสวรรค์ ที่ Cathedral of Copenhagen
สายตาจับจ้องไปยังหีบพระศพข้างหน้า...หากแต่ในใจฉันนั้น..ได้บอกความจริงกับตัวเองว่า..
เอมเปรสมารี ที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น..ไม่เคย"ทรงสุขสำราญ" อย่างที่เคยตรัสบอกใครต่อใคร....

จดหมายติดต่อกันกว่าสามร้อยฉบับระหว่างสองศรีพี่น้องนั้น..เป็นหลักฐานและพยานยืนยันได้ดีว่า...แม่ยายของฉันอยู่ในห้วงทุกข์ใจไม่ต่ำกว่าสามร้อยกว่าครั้งเช่นกัน
เพราะเนื้อความในจดหมายนั้น...มันได้บ่งบอกถึงความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างสองอาณาจักร ..บริเตน และ รัสเซีย..

ย้อนกลับไปในปี 1860's ที่ Prince of Wales และ Czarevich กำลังอยู่ในระหว่างการ"เลือกคู่"
ที่เป้าหมายคือ สองศรีพี่น้องที่แสนงดงามแห่งเดนมาร์ก  ที่กระแสทางการเมืองกำลังจับคู่ให้คนทั้งสี่อยู่  
ในครั้งแรก  การคัดเลือกได้เป็น Alexandra คู่กับ Czarevich Nicholas Alexandrovich
แต่เกิดการสลับเปลี่ยนในตอนหลังขึ้นมา กลายเป็นว่า..Marie คือผู้ที่จะไปเป็นสะใภ้ของรัสเซีย..ไม่ใช่พี่สาว
ซึ่งในเรื่องนี้..ได้สร้างความผิดหวังให้กับอเล็กซานดร้าอย่างมากมาย เพราะ ใครๆก็อยากไปเป็นจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรแห่ง         โรมานอฟ เพราะความมั่งคั่ง (อีกทั้งห่างไกลจากรัศมีของแม่สามีอย่างสมเด็จพระนางวิคตอเรีย..)

       

เรื่องมั่งคั่งของรัสเซียนั้นอาจจะใช่..แต่..ไม่ถือว่าเธอเป็นคนโชคดี  เพราะลางร้ายได้เข้ามาเคาะประตูเตือนเธอล่วงหน้าแล้ว..
        เนื่องจาก ซาเรวิช นิโคลาส ได้สิ้นพระชนม์เพราะเจ็บไข้่ ในตอนที่พระคู่หมั้นได้เพิ่งเสด็จมาถึงเซนต์ ปีเตอร์สเบอร์ค ได้ไม่กี่วัน..
        ถ้าเป็นคนที่ถือโชคถือลางสักหน่อย..ป่านนี้คงจะรีบหอบข้าวหอบของกลับไปเดนมาร์กแทบไม่ทันแล้ว..เพราะยังมีเจ้าชายคนสำคัญสายเยอรมัน
        รออยู่อีกนับร้อย..

        แต่เป็นเพราะฝ่ายทางการทูตเดนมาร์กในรัสเซียและพระบิดาของฝ่ายหญิง พระเจ้าแผ่นดินแห่งเดนมาร์ก ยืนยันที่จะให้พระธิดาคงอยู่ในรัสเซียต่อไป เพราะหวังอิงในความมั่นคงทางกองทัพทั้งทางบกและทางเรือ เพราะพอมีช่องทางให้เห็นๆอยู่ว่า...Alexander Alexandrovich ซาเรวิชคนใหม่นั้น มีความพอใจใน
        เจ้าหญิงมารีอยู่ไม่น้อย...

        ไม่นานต่อมา..เจ้าหญิงที่ทรงพระสิริโฉม พระวรกายอ้อนแอ้น  ที่ประทับยืนแล้วสูงแค่ข้อศอกของซาเรวิชอเล็กซานเดอร์
        ผู้ที่กำลังจะเป็นพระสวามี
        ส่วนเหตุผลทางการเมืองของรัสเซียคือ...ทางฝ่ายการต่างประเทศต้องการที่จะเย้ยเหล่าบรรดาพวกเจ้าๆในแคว้นต่างๆของปรัสเซีย
        (เพราะการผูกพันครั้งนี้..เท่ากับ อังกฤษได้ดองกับรัสเซียทางด้านเขย สะใภ้ อีกแล้ว)

        การอภิเษกในครั้งนี้...แม่ยายของฉันมักตรัสเสมอว่า..ที่ไม่ทรงหลีกเลี่ยง...เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงลิขิตเอาไว้แล้ว..
        ยิ่งครั้งหนึ่งที่ฉันเคยได้กราบทูลว่า..เศรษฐกิจของรัสเซียเข้าข่ายย่ำแย่..ให้ทรงระวังไว้บ้าง..
        ท่านทรงตวาดกลับ..หาว่าฉันพูดจาเหลวไหล เพราะถึงรัสเซียจะจนอย่างไร (ท่านว่า) ท่านก็ไม่มีวันยอมแลกที่นั่งกับพระเชษฐภคินีอย่างแน่นอน ต่อให้
        เอากองเพชรทั้งหมดจากอาฟริกาและอินเดียมาแลก..

        ในช่วงปี 1863 ถึง 1917  รวมห้าสิบสี่ปี ทรงหม่นหมองมากเพราะความสัมพันธทางการเมืองระหว่างอังกฤษกับรัสเซียนั้น..อึมครึมแบบมองหน้ากันไม่ติด
        แม้กระทั่งสามปีในยามที่เป็นภาคีร่วมรบกันในสงคราม..บรรยากาศก็ไม่ได้ดีขึ้น
        ต่อมาในช่วงของ 1917 - 1925 (หลังจากที่โรมานอฟล่มสลาย)  ยิ่งเจ็บช้ำพระทัยหนักเข้าไปอีก...เพราะ รัฐบาลอังกฤษได้ประกาศชัดเจนว่า
        ไม่มีนโยบายต่อการอุดหนุนจุนเจือให้กับอดีตเอมเปรสแห่งรัสเซีย แม้ว่าจะเป็นพระขนิษฐาของสมเด็จพระราชินีแห่งบริเตนก็ตาม
        แต่อย่างไรก็ตาม..สมเด็จพระราชินีฯ ได้ทรงทำพินัยกรรมมอบทรัพย์สินส่วนพระองค์ให้กับพระขนิษฐาวัย เจ็ดสิบเจ็ด ที่มีทั้งเครื่องเพชร และ
        เงินสดจำนวนพอสมควร และได้ทรงตรัสฝากพระราชโอรส George (King George V) ให้ช่วยคอยดูแลตามสมควร..

  
        ในวันก่อนวันคริสต์มาส 1925  หญิงสูงวัยร่างเล็ก ณ.พระตำหนัก Hvidore (Denmark)
        ได้นั่งขมักเขม้นไล่หารายชื่อของผองญาติ ที่จะทรงส่งโทรเลขคำอวยพรไปให้...
        เมื่อฉันได้ท้วงว่า..ในบัญชีรายชื่อระดับต้นๆอันเป็นวงในใกล้ชิดนั้น..ขีดทิ้งไปเสียบ้าง (เพราะไม่มีชีวิตอยู่กันแล้ว..)
        ทรงหันมาตอบว่า...
        "แม้แต่ปี 1917  ในขณะที่เราตกเป็นนักโทษของพวกบอลเชวิค...ฉันหาทางส่งโทรเลขของฉันไปได้เลย..ไปถึงอังกฤษด้วย..ไม่เคยพลาดเลยแม้แต่ปีเดียว ในหกสิบสองปีมานี่..."

        นั่นซิ..หกสิบสองปี...ที่สองศรีพี่น้องนี้ได้แสดงความสามารถในการทำ "white lie"  ในระดับสุดยอดวิทยายุทธ..ที่นักการเมืองอเมริกันไม่ว่าชั้นไหน...ก็มาเทียบมิได้..
        เพราะทั้งสองนั้น..มีแต่คำว่า.."ล้ำเลิศ" "สุขสบายทั้งกายและใจ" "ดีเหลือเกิน"  แลกเปลี่ยนต่อกัน..ไม่มีใครยอมที่จะให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเห็นทางด้านลบอย่างเด็ดขาด
        อย่างในขณะที่ รัสเซียได้ทำสงครามกับญี่ปุ่น 1904-1905 (และแพ้กระเจิงกลับมา..ประชาชนลุกฮือ และนี่คือจุดสิ้นศรัทธาในตัวซาร์)  
        เอมเปรส ก็ยังเขียนไปเล่าให้พี่สาวฟังว่า..
        "ประชาชนต่างให้กำลังใจรัฐบาลของเราอย่างท่วมท้น...ทุกอย่างเรียบร้อยดี"

        หรือตอนที่ King Edward เสด็จไปพักผ่อนประจำปี ที่ตอนใต้ของฝรั่งเศส Biarritz,
        กระแสการเมืองอังกฤษในตอนนั้น นายกรัฐมนตรี  Sir Henry Campbell-Bannerman ได้ขอลาออกจากตำแหน่ง
        คิงเอดเวิร์ด ทรงไม่คัดค้าน แถมยังแต่งตั้งให้นาย H. H. Asquith ขึ้นมาเป็นแทน และให้เดินทางมาพบที่ฝรั่งเศสเพื่อรับพระราชทานแต่งตั้ง
        พร้อมทั้งทำการจุมพิตพระหัตถ์ เล่นเอาประชาชนรุมติฉินจนแทบจะเดินขบวนกันทั้งประเทศ..รวมไปถึงรัฐบาลที่ไม่พอใจต่อการกระทำในครั้งนี้ของคิง
        เพราะมันเป็นการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีอังกฤษในดินแดนอื่น...ข่าวนี้กระหึ่มในรัสเซีย...
        แต่สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา ได้จดหมายไปถึงพระขนิษฐาในเรื่องนี้ว่า..
        "ทุกอย่างเรียบร้อยดี ...ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย"

  

        สองศรีพี่น้องได้มีธรรมเนียมของการพบปะกันปีละครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ  ที่ โคเปนเฮเกน เป็นการพบปะพักผ่อนกันระดับครอบครัว นานสามอาทิตย์
        ที่จะมีแต่การพูดคุยในเรื่องที่หอมหูของแต่ละฝ่าย..มีการจูบกัน กอดกัน
        และที่สำคัญ...จะไใม่มีการคุยเรื่องการเมืองใดๆทั้งสิ้น...
        "ในรัสเซียเป็นอย่างไรบ้าง?"  
        "โอ..ทุกอย่างเรียบร้อย..สุขสบายดีกันทุกคน"
        "แล้วนิคกี้ล่ะ...ได้ข่าวว่ากำลังมีแต่คนรักและสรรเสริญ.."
        "นั่นซิ..จริงๆด้วย..แล้วเบอร์ตี้ล่ะ..?"
        "สบายดีตลอดเวลา พ่อคนนั้นน่ะ"
        "ดีจริง..แล้วพวกลูกๆหลานๆล่ะ..?"
        "ก็ดีนะ..เออนี่..จอร์จกำลังจะแต่งงานเร็วๆนี้ละ.."
        "โอย..นี่น้องยังคิดถึงเขาเมื่อเป็นตอนเด็กๆอยู่เลย..."
        จากนั้นไป...ก็เป็นการสนทนาแบบครอบครัวแสนสุขไปอย่างไม่วันเบื่อหน่ายและจบสิ้น..

        ทั้งคู่รู้ดีแก่ใจว่า..นิคกี้ไม่มีวันที่จะเป็นซาร์ที่ดีได้ เหมือนกับ เบอร์ตี้..ที่ไม่มีวันที่จะเป็นสามีที่ดีให้กับใครได้..
        แต่ทั้งสองศรีพี่น้องนั้น..มีความสุขต่อการที่จะสร้าง white lie ให้แก่กัน และ แก่ตัวเอง...
        สามอาทิตย์ของการใช้ชีวิตในเรือยอร์ชที่จอดในน่านน้ำที่เป็นกลางของเดนมาร์กนั้น ทุกคนได้ทำตัวตามสบายไม่ต้องห่วงว่า
        จะมีใครมาสอดแนม..
        เจ้าชายเอดเวิร์ด (ในตอนนั้น)ได้ออกกฏเข้มว่า..ไม่มีการพูดถึงเรื่องการเมืองระหว่างสองประเทศเด็ดขาด..เพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศ
        ความสุขของเมียและครอบครัวของน้องเมีย..
        ทั้งๆที่ตัวเองต้องมาทนนั่งฟังการสนทนาแบบเจ๊าะแจ๊ะบนโต๊ะอาหารได้นานนับชั่วโมงๆในแต่ละมื้อ...เพราะคณะของสองคราอบครัวนั้น
        ใหญ่ขนาดกองทัพย่อยๆ...ซึ่งนับจำนวนก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นมาทุกปี..ไม่มีใครยอมพลาดโอกาสในการร่วมขบวนเสด็จ นอกจากจะตายจากไป
        คณะกอร์ปด้วย..
        Prince and Princess of Wales  (ต่อมาคือ คิงเอดเวิร์ด และ ควีนอเล็กซานดรา)
        Czar Alexander III and Empress Marie
        Czarevich Nicholas and Alexandra (ซารินา อเล็กซานดรา ในต่อมา)
        Albert Victor, Duke of Clarance
        George, Duke of York (ตอมาคือ คิงจอร์จที่ ห้า)
        Louise,The Princess Royal
        Victoria,The Princess Royal
        Maud, The Princess Royal (ต่อมา คือ ควีนโมด แห่ง นอร์เวย์)
        Grand Duke George
        Grand Duke Michael
        Grand Duchess Xenia (ต่อมาคือ ภริยาของผู้เขียน)
        Grand Duchess Olga
        Prince David (ต่อมาคือ พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่แปด..ผู้อื้อฉาว) และน้องๆ
        Princess Mary
        Prince George (ต่อมาคือพระเจ้าจอร์จที่หก)
        Grand Duke Alexander (ท่านผู้เขียน..และเหล่าบรรดาน้องชายทั้งหมด...)
        Grand Duchess of Mecklenburg-Schwerin (พี่สาวของผู้เขียนและครอบครัว..)
        Prince Christian (ต่อมาคือ คิง แห่ง เดนมาร์ก)
        Prince Charles   (ต่อมาคือ คิง แห่งสวีเดน)

        รวมไปถึงคณะที่ติดตามให้การอภิบาลและการอารักขา...

            
 

        เราพวกเด็กๆก็ได้นั่งอ้าปาก..ดูสองมหาอำนาจที่นั่งตรงข้ามกันในสองหัวโต๊ะ..คุยกันแบบสดชื่นรื่นเริง..ว่า
        "เห็นม๊ะ..ว่าเราไม่ต้องเรื่องการเมืองขึ้นมายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวได้..เพราะเรามันก็พี่ๆน้องๆกันทั้งนั้น..เลือดย่อมข้นกว่าพวกสนธิสัญญาลับๆอะไรนั่นใช่ม๊ะ?"
        แน่นอว่า..ผู้ตอบรับมักจะเอออห่อหมกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส...
        อย่างเจ้าหญิงแห่งเวลส์...ได้ยื่นพระหัตถ์มาแตะที่พระปฤษฏางค์ของน้องเขย..ซาร์อเล็กซานเดอร์ และกล่าวเตือนเบาๆว่า
        "เธอก็อย่ามัวเอาแต่ใจตัวเองให้มากไปนักซิ"
        ซาร์ได้หันไปยิ้มหวาน..และตอบด้วยพระสุรเสียงที่สงบเสงี่ยมว่า..
        "จริงด้วย...เธอพูดถูก.."
        ซึ่งถ้าเป็นคนอื่นมาพูดประโยคเดียวกันนี้..รับรองว่า..โดยชกคว่ำไปแล้ว...

        การล่องเรือพระสำราญนี้..ได้งดไปในยามที่มีสงครามโลก (ครั้งที่หนึ่ง) ได้อุบัติขึ้น...และงดไปนานหลายปี
        ครั้งสุดท้ายที่ฉันได้ไปร่วมในเรือยอร์ชพระที่นั่งของควีนอเล็กซานดรา..นั่นคือ ปี 1924 หลังจากที่ขบวนได้ล้มเลิกไปสิบปีเต็ม...
        และ ฉันได้พบว่า..ไม่ควรจะมาเลยในทริปนี้...เพราะมันเต็มไปด้วยความหดหู่...ในยามที่นั่งบนโต๊ะอาหาร...ที่นั่งประจำตำแหน่งของใครต่อใครที่เคยนั่นนั้น
        มันว่างไปกว่าครึ่ง..ทั้งเรือ...มีแต่ความเงียบเหงาเศร้าสลด
        จะมีคนที่(ฝืน)ใจ มำเหมือนมีความสุขก็มีแต่แม่ยายของฉัน กับ พระเชษฐภคินีของพระองค์เท่านั้น...
        คิงจอร์จ พระราชินี และ พระโอรสและพระธิดา ไม่ได้เดินทางมาด้วย
        เจ้าหญิงมกุฏราชกุมารีแห่งเยอรมันหลานสาวของฉัน (พระธิดาของพี่สาว ) ไม่ได้มาเช่นกัน เพราะได้กลายเป็น"ฝ่ายตรงข้าม" ไปแล้ว
        ที่นั่งประจำของเหล่าลูกๆของนิคกี้..บัดนี้ เป็นที่นั่งของเหล่าลูกๆของแกรนด์ ดัชเชส ออลก้า (พระขนิษฐาของเซเนีย)

        ฉันได้บอกกับเด็กๆว่า..
        "เราไปเล่นเทนนิสกันดีกว่า.."
        หลานคนหนึ่ง..ช่างสงสัยนัก  ถามมาว่า
        "คุณลุงซานโดร เล่นเทนนิสเป็นด้วยเหรอครับ?"
        "เป็นซิ...ลุงเคยเล่นบ่อยๆที่ตางดาดฟ้าตรงนี้ของเรือนี่แหละ.."
        "แล้วซาร์ทรงชอบเล่นเทนนิสด้วยหรือเปล่าคะ?"
        "เล่นซิ..ซาร์ และลุงอัลเบิร์ต น่ะเล่นเก่งเป็นแชมป์เชียวนะ"
        "คุณลุงว่ายน้ำเป้นหรือเปล่าคะ?"
        "โอย..สบาย..นี่หลานๆเห็นเรือรบของอังกฤษที่อยู่ตรงนู้นนนม๊ะ...พวกเราเคยว่ายน้ำแข่งกันไปที่ตรงโน้น ไปแวะกินนมกันสักแก้ว..แล้วก็ว่ายกลับ.."
        "บนเรือรบเขาขายนมด้วยหรือครับ?"
        "ป่าวหรอก..ไม่ใช่ที่เรือรบของอังกฤษ...แต่ว่าตรงโน้นน่ะ เมื่อก่อนมันเป็นที่จอดเรือรบของรัสเซีย..ของเรา.."
        เด็กๆหันไปซุบซิบกัน และหันมามองฉันด้วยสายตาที่แสดงความสงสัย...
        "มีอะไรกันหรือ เด็กๆ?"
        "เรากำลังสงสัยฮะ..คุณลุงซานโดร ว่า ทำไมเขาถึงไม่อนุญาตให้คุณลุงและซาร์มาที่นี่ล่ะฮะ?"
        "อนุญาต...??  หมายความว่าอะไร?"
        "ก็พวกเราได้ยินคุณลุงบอกกับแม่ว่า..คุณลุงต้องคอยอยู่ที่สถานกงสุลของเดนเมาร์กในปารีสตั้งหลายวัน รอวีซ่า.."
        "ก้อจริงนะ...เพราะสถานกงสุลที่ปารีสไม่มีใครรู้จักเราไง...แต่ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักดีในสถานกงสุลของเดนมาร์กในกรุงปีเตอร์สเบอร์คนะ"

        มันค่อนข้างยากที่จะอธิบายให้เด็กๆรุ่นใหม่ฟังว่า..ฉัน...ในสมัยเด็กๆเท่ากับพวกเขา คือ หลานชายของซาร์แห่งรัสเซีย ที่จะไปไหนๆในโลกก็ได้
        ไม่ต้องมีพาสปอร์ต ไม่ต้องขอวีซ่า..
        แต่...พวกเขาเกิดและโตมาหลังจากการปฏิวัติในโคเปนเฮเกน ที่...ชาวรัสเชี่ยนทุกผู้ได้กลายเป็นบุุคคลไม่พึงปรารถนาในแผ่นดินของเดนมาร์กไปแล้ว


        ซานโดร  ผู้เขียนที่มีพระมัสสุ ยืนท้าวสะเอวค่ะ...

  

        มันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจว่า..สองศรีพี่น้องได้จากไปในยามที่มีอายุไล่เลี่ยกัน...ทั้งคู่ได้ผ่านและได้พบเห็นหลายยุคสมัยที่เปลี่ยนไปอย่างมากมาย
        ในยามที่ทั้งสองได้จากเดนมาร์กไปนั้น  การเมืองยุโรปยังอยู่ในสมัยของ Disraeli ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งนายกฯและเลขานุการให้แก่ ควันวิคตอเรีย(นายกรัฐมนตรี Benjamin Disraeli)อยู่เลย

        ในวันที่เอมเปรสมารีสิ้นพระชนม์นั้น...เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิลล์ได้ออกหนังสือชีวะประวัติชุดที่สี่มาวางตลาดแล้ว..นับว่าห่างกันหลายยุคสมัยจริงๆ

        แม้ว่าจะเป็นช่วงในวาระสุดท้ายในชีวิตของคนทั้งสอง...ทั้งพี่ทั้งน้องต่างก็พูดถึงคิงจอร์จเหมือนกับว่าเขาเป็นเด็กๆอยู่ร่ำไป..เช่น..ชอบลืมสวมเสื้อโค้ทอยู่เรื่อย..
        หรือในยามที่ได้ยินชื่อของบิสมาร์ค  ทั้งสองจะมีสีพระพักต์แบบไม่สบอารมณ์...
        "ไอ้ปรัสเซี่ยนบ้าคนนั้น มันชอบเที่ยวข่มขู่ใครต่อใครนัก..."
        ทั้งคู่ได้แชร์ความรู้สึกเศร้าโศกของกันและกันมาโดยตลอด...
        เช่น..พระโอรสองค์โตของควีนอเล็กซานดรา ได้สิ้นพระชนม์ไปในปี 1892
        เช่น..พระโอรสองค์รองของเอมเปรสมารี ได้สิ้นพระชนม์ไปด้วยวัณโรค ในปี 1909
        เช่น คิงเอ็ดเวิร์ดได้สิ้นพระชนม์ไปเมื่อ ปี 1909
        เช่น..ซาร์นิโคลาสที่สองและครอบครัวได้ถูกสังหารหมู่ไปในปี 1918

        ทั้งหมดคือความทุกข์ทรมานต่อความทรงจำของผู้บังเกิดเกล้าที่ยังมีลมหายใจอยูู่ ที่ควีนอเล็กซานดรามักจะรำพึงกับฉันเสมอว่า..
        "น่าเศร้าใจเหลือเกิน ที่มารีไม่เคยทำใจเชื่อได้ว่า..นิคกี้และครอบครัวได้จากพวกเราไปแล้ว..." ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่เคยทำใจได้ ว่า..พระโอรสองค์โปรดและพระสวามีได้จากไปแล้วเช่นกัน
        ฉันได้ตอบพระนางไปว่า...
        "พระองค์โชคดีที่มีชีวิตที่ราบรื่น..สุขกายสบายพระทัย...อีกทั้งพระองค์ได้มีโอกาสทอดพระเนตรเห็นความรุ่งเรืองของบริเตน และทรงเป็นที่รักของพระประยูรญาติรวมไปถึงประชาชน"
        "แต่..ฉันต้องมีชีวิตที่ต้องผ่านการปลงพระศพของผู้ที่เป็นที่รักที่สุดทั้งสองคนเชียวนะ...เท่านั้นไม่พอ..ยังต้องความเห็นความล่มสลายของน้องสาวของตัวเองอีก...ชีวิตของฉันไม่ได้สุขสบายอย่างที่เธอคิดหรอกนะ ซานโดร"


        Queen Alexandra, 1910

 

        จะว่าไป...พระองค์ทรงตรัสได้อย่างถูกต้อง..เพราะแปดปีของอเล็กซานดรา และ สิบเอ็ดปีของมารี (นับจากปีที่โรมานอฟล่มสลาย 1917)..นั้น..
        ต่างเชื่อว่า..ทุกอย่างที่เกิดขึ้น..มาจากพระประสงค์ของพระเจ้า
        และไม่เคยเสียใจหรือคร่ำครวญในโชคชะตา...เพราะในความเป็นคริสเตียนที่มั่นคงของคนทั้งคู่ ที่เชื่อเสมอว่า..กรรมใด ใครก่อ
        ทรงตรัสเสมอว่า..
        "พรเจ้าประทานให้ก็จริง...แต่ทรงเอาคืนไปได้ทุกเมื่อ"

        ทั้งคู่คิดอะไรที่เหมือนกันไปหมด...แม้ว่าคนหนึ่งประทับอยู่ในพระราชวังที่ลอนดอน..
        อีกคนหนึ่งอยู่ที่พระตำหนักโคเปนเฮเกน  รอรับเงินเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาล ก็ตาม...
        ฉันเคยเสนอความคิดกับพระองค์ เมื่อการสนทนาในปี 1924 ว่า..
        "พระองค์ควรจะประทับอยู่ที่ลอนดอนกับพระเชษฐภคินีจะสดวกกว่าที่นี่ เพราะแยกกันอยู่อย่างนี้จะทรงเหงาและเศร้าหมอง"
        "เธอไม่เข้าใจหรอก ซานโดร...ฉันอยู่ห่างอย่างนี้ดีแล้ว..เราประสานกันติดดีกว่าอยู่ใกล้ๆกัน..เพราะในยามที่ฉันอยู่ที่ลอนดอน ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าอย่างไรบอกไม่ถูก"
        นั่นคือ คำตอบ...เพราะความหมายจริงแล้ว..คือ คำว่า"ศักดิ์ศรี" ต่างหาก ที่เป็นเส้นแบ่งกั้นสองคนนี้ไว้..
        เพราะในยามที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน..เอมเปรสต้องประทับอยู่อย่างเหงาๆที่พระตำหนัก ในขณะที่พระเชษฐภคินี ต้องเสด็จออกงานโน้นงานนี้  ห้อมล้อมแหนแห่ไปด้วยพระเกียรติยศ และพระบารมี
        ถึงแม้ว่า..พระองค์จะได้รับความสุขสบายที่ได้รับพระราชทาน...
        แต่...ในสายตาของเหล่านักการเมืองที่ถนน Downing นั้น...มองพระองค์เป็นแค่หญิงชราที่มาเกาะพี่สาวกิน...
        นั่นคือสิ่งที่ทนทำพระทัยรับไม่ได้...
        ดังนั้น..การอยู่ห่างกันโดยมีทะเลขวางกั้นนั้น...เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงเลือกแล้วว่าดีที่สุด...


        สองศรีพี่น้อง 1923

 

        สมเด็จพระราชินีอเล็กซานดรา สิ้นพระชนม์ในวันที่ 20 พฤศจิกายน 1925
        ที่ฉันได้ส่งจดหมายไปแสดงความเสียใจกับพระเจ้าจอร์จ ที่พระองค์ได้ตอบกลับมาว่า..

        ซานโดรที่รัก

        ขอขอบใจเธอมากนะ สำหรับข้อความดีๆที่แสดงออกถึงน้ำใจและความรักต่อพระมารดา..พระองค์ได้จากไปชั่วนิรันดรซึ่งมันหมายถึงช่วงชีวิตในวัยเด็กที่แสนมีความสุขของฉันนั้น มันขาดหายไปด้วย แต่..พระองค์ได้จากไปอย่างมีความสุขสงบ หมดห่วง หมดทุกข์ไปแล้ว...
        ฉันดีใจและยินดีที่ได้ช่วยเซเนียและหลานๆให้พำนักอาศัยอยู่ที่พระตำหนักที่ Fragmare และในสิ่งอื่นๆที่เธอต้องการเท่่าที่จะทำได้

        แมรี่**ฝากความระลึกถึงมายังเธอด้วย

        จากญาติที่ห่วงใยเธอเสมอ

        George R.I.

        น่าสงสารคิงจอร์จอยู่เหมือนกัน...แต่..ฉันกลับห่วงเอมเปรสผู้เป็นแม่ยายฉันมากกว่า เพราะขาดพี่สาวที่รักไปเสียคน..พระองค์ก็ไม่เหลือใครอีกแล้ว
        ไม่ว่าเซเนีย หรือ ฉัน ก็ไม่สามารถเติมเต็มในความขาดหายนี้ไปได้
        ที่คิงจอร์จได้ตรัสว่า การสิ้นพระชนม์ของพระมารดานั้น เทียบได้กับช่วงแห่งความทรงจำที่แสนสุขในวัยเด็กนั้นได้ขาดหายไป...แต่มันก็เป็นแค่ช่วงเดียวสั้นๆ แต่สำหรับเอมเปรสแล้ว...เท่ากับว่า ช่วงแห่งความสุขทั้งชีวิตได้มลายหายไปหมดสิ้น...
        จริงอยู่..ที่พระองค์ทรงรักพระธิดาและหลานๆอย่างสุดสวาทขาดใจ แต่พระองค์ได้ตรัสเสมอว่า..ถ้าไม่มีพระองค์เสียคน ทุกคนก็ยังมีชีวิตต่อไปได้

        ตั้งแต่ 1918 เป็นต้นมา...สิ่งยึดเหนี่ยวสิ่งเดียวที่ทรงมี นั่นคือ พระเชษฐภคินี เมื่อสิ้นสิ่งนี้ไปแล้ว...เอมเปรสแทบรอวันของพระองค์ไม่ไหว..
        ทรงมีพระชนม์อยู่มาอย่างซังกะตายถึงสามปี สามปีที่ไม่เคยทรงสนใจในข่าวสารต่างๆ หรือจดหมายจากปารีส ที่มักจะรายงานมาให้ทราบเนืองๆว่า
        แกรนด์ดุ๊ก ซีริิล ได้เกิดการงัดข้อกันกับ แกรนด์ดุ๊ก นิโคลาชา อีกแล้ว (ในการแย่งกันเป็นเอมเปอเรอแห่งรัสเซีย แบบลมๆแล้งๆ)
        เพราะสำหรับพระองค์แล้ว เอมเปอเรอแห่งรัสเซีย มีเพียงพระองค์เดียว
        คือพระราชโอรส นิคกี้ ส่วนคนอื่นๆที่ริดจะมาเคลมบัลลังก์นั้น คือไอ้พวกบ้า สติเฟื่อง

        ครั้งเดียวที่ทรงออกมาโต้แย้ง..นั่นคือ กรณีที่มีผู้หญิงสิบแปดมงกุฏชาวโปลิชคนหนึ่ง*** อาศัยอยู่ในนิวยอร์ค ได้ออกมาแสดงตัวว่าเป็น แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย พระปนัดดาของพระองค์
        ทรงถามฉันว่า..
        "จะให้ฉันนั่งเฉยๆ ปล่อยให้คนถูกหลอกกระนั้นหรือ?"
        ฉันได้ตอบไปว่า..
        "ทรงทำอะไรไม่ได้หรอกกระหม่อม เพราะชาวอเมริกันชอบงมงายกับของปลอม..ยิ่งข่าวนั้นขายได้ ก็ยิ่งบ้ากันใหญ่"


        **แมรี่  หมายถึง พระนาง Mary of Teck  พระชายา..

        *** ผู้หญิงสิบแปดมงกุฏชาวโปลิช หมายถึง นาง Anna Anderson ที่สามารถหลอกคนได้ทั้งอเมริกาให้เชื่อได้ว่า นางคือ แกรนด์ ดัชเชส อนาสตาเซีย พระธิดาองค์เล็กของซาร์ที่แอบหนีรอดบอลเชวิคมาได้...เชื่อไม่เชื่อเปล่า..กลุ่มสาวกช่วยกันลงขันสนับสนุนนางให้อยู่สบายและสร้างเรื่องโกหกต่อไปได้จนถึงวันตาย..


        Anna Anderson

  
 
 

 มีคนสงสัยว่า...ทำไมไม่พิสูจน์ดีเอ็นเอ...

ตอบค่ะ...พิสูจน์กว่าจะเอา DNA ไปพิสูจน์กันได้ ก็..ตอนที่หล่อนตายไปแล้วละค่ะ เนื่องจาก นางแอนนา
        ได้ย้ายไปอยู่ที่อเมริกา กฏหมายเกี่ยวกับการทำ DNA นั้น ยังเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่ใครจะไปล่วงละเมิดไม่ได้ หากว่าเจ้าตัวไม่ยินยอม..

        แต่หลังจากที่หล่อนล่วงลับไปแล้ว..จึงได้มาทำการพิสูจน์ชิ้นเนื้อ (ที่เคยทำการผ่าตัดเอาไว้) ปรากฏว่า..เป็นผู้หญิงชาวโปลิชที่ทุกคนสงสัยกันจริงๆ...
        ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้แบบถึงขนาดจ้าง
        นักสืบติดตามเรื่องคือ.. Ernest Louis, Grand Duke of Hesse (พระเชษฐาของซารินา อเล็กซานดรา)

        หนังสือเรื่องของแอนนา The Riddle of Anna Anderson  ที่ออกมาเมื่อหลายสิบปีก่อน
        (1985) เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ของรัสเซียทีจุดประกายความสนใจให้ดิฉันติดตามหาอ่านมาตั้งแต่บัดนั้นเลยค่ะ...
        ในหนังสือ..ข้อความมักจะผูกปมสร้างเงื่อนให้คนอ่านพาลเชื่อว่า นางแอนนาอาจจะเป็นพระราชธิดาจริงๆ..เนื่องจาก คนอเมริกันส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีความรู้เรื่องของประวัติศาสตร์ทางยุโรป ผสมกับการชอบดูภาพยนตร์ดราม่าของฮอลลีวู๊ด และ...
        นักข่าวชอบหาเงินจากการสร้่างเรื่องขายในหนังสือประเภท tabloid  
        ผู้คนทั้งประเทศเชื่อว่า ซาร์ผู้ล่วงลับมีสมบัตินับร้อยล้านพันล้านในธนาคารนอกประเทศ จึงมีเหตุให้ใครต่อใครพยายามสร้างเรื่อง"ชวนเชื่อ" ขึ้นมา..
        เผื่อว่า..อาจมีฟลุ๊ค..

        ในเรื่องนี้..ท่านแกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ ได้ทรงเล่าไว้ (อยู่ในหน้าไหนของหนังสือ จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่จำคำของท่านได้...ว่า..
        ทรงได้ทราบในเรื่องของนางแอนนา  ท่านได้ถามไปยังคนที่รู้จักที่เคยรักษา
        นางแอนนา ในโรงพยาบาลว่า
        "ผู้หญิงคนนี้ พูดจาได้กี่ภาษา?"
        คำตอบคือ..
        "หล่อนพูดภาษารัสเซีย (แบบเหน่อโปลิช) กับ โปลิช ได้เท่านั้น"

        ท่านก็ตอบไปได้เลย..แบบไม่ต้องไปดูตัวว่า..ไม่ใช่หลานสาวของท่าน เพราะ
        เหล่าแกรนด์ดัชเชสทั้งสี่..Olga, Tatiana, Maria และ  Anastasia  (เรียกทั้งหมดสั้นๆว่า OTMA )  ตรัสและเขียนได้ดี ทั้ง อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ รัสเซีย อีกทั้งพอทราบภาษาดัทช์บ้าง...
        จึงเป็นไปไม่ได้..ที่ แกรนด์ ดัชเชส จะกลายมาเป็นคนที่พูดรัสเซียเหน่อด้วยสำเนียง
        โปลิช ต่อให้อ้างว่าเป็นความจำเสือม..ก็ยังเป็นเรื่องที่ชวนหัว...
        อีกทั้ง..พระธิดาของท่าน Grand Duchess Irina ได้ไปพบด้วยตัวเอง..พร้อมทั้งมาประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่า..หล่อนคนนี้คือนักลวงโลกธรรมดาๆคนหนึ่ง..

        แต่เพราะมีความเชื่อในวงนอกว่า..ซาร์มีสมบัติมหาศาลในธนาคารนอกประเทศ..
        ผู้คนจึงคิดว่า..การสกัดกั้นแอนนาว่าไม่ใช่"พระราชธิดา" คือการหวังที่จะฮุบกองมรดก
        อเมริกา...จึงเกิดกระแสการสร้างข่าวของแอนนา เพื่อหวังขาย...จากนั้นกลายเป็นการมอมเมาประชาชนที่มีความรู้งูๆปลาๆของการเป็นไปในยุโรป..
        จึงทำให้นางแอนนาได้กลายไปเป็นอเมริกันชน..หากินกับความเชื่อลมๆแล้งๆของผู้คนที่มีความ"นิยมเจ้า" ไปได้จนกระทั่งตาย...

        แต่ที่ยุโรป..ไม่มีใครเชื่อ...แถมยังมองความเคลื่อนไหวของเหล่าสาวกนางแอนนาไปด้วยความขบขัน..

        ส่วนเรื่องที่คนสงสัยว่า..ทำไมหล่อนถึงรู้เรื่องในวังดี และรู้จักว่า..คนนั้นคนนี้เป็นใครและเป็นญาติใคร..เพราะถ้าเป็นหญิงสาวชาวบ้านธรรมดาก็ไม่น่าจะทราบ..
        คำตอบคือ..หล่อนเคยอยู่กินกับทหารคนหนึ่ง..เป็นไปได้ว่าทหารคนนั้นเคยเป็นทหารในส่วนของราชองครักษ์..ทำให้มีความรู้ในรั้วในวังมากกว่าคนอื่นๆ
        รวมไปถึงอีกเหตุผลหนึ่ง...คือ หล่อนอาจเป็นพวกที่มี "สัมผัสพิเศษ"  
        ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ...เพราะ...
        แม้แต่แกรนด์ ดุ๊ก อเล็กซานเดอร์ (ท่านผู้เขียน) ก็ทรงมีความรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกทั้ง ทรงเป็นคนที่มีสัมผัสพิเศษในเรื่องจิตวิญญาณเช่นกัน..ถึงขนาดทรงเขียนหนังสือ
        ไว้เล่มหนึ่ง...The Union of Souls  (by Grand Duke Alexander of Russia)
        ที่เกี่ยวกับการติดต่อและสัมผัสกับวิญญาณในประสบการณ์ของท่าน ที่เราเรียกว่า..séance (เซอองซ์)
(ดิฉันกำลังจะนำมาเล่าขยายต่อไป...)

       

        เอมเปรสมารีเริ่มกระเสาะกระแสะมาตั้งแต่ ย่างเข้าฤดูฝนของ 1928
        จนถึงเดือนตุลาคม..ที่ฉันได้รับโทรเลขจากเซเนีย ในวันที่ สิบสอง ใจความว่า
        ให้เดินทางไปเดนมาร์กด่วน แม่ป่วยหนัก...
        กว่าฉันจะเดินทางไปถึง..ท่านได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว...
        แน่นอนว่า..พิธีปลงพระศพนั้นจัดเป็นงานใหญ่ระดับชาติ..ที่มีเหล่ากษัตริย์ พระประยูรญาติและ เจ้านายในประเทศต่างที่เกี่ยวข้องมากันมากมายหนาตา..
        ในพระราชประสงค์นั้น..เป็นที่รู้กันดีว่า ทรงอยากที่จะไปนอนเคียงข้างกับพระเชษฐภคินี
        แต่มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะ สมเด็จพระนางเจ้าพระราชินีอเล็กซานดรานั้น
        ทรงนอนสงบนิ่งอยู่ในผืนแผ่นดินของอังกฤษที่ทรงเคยถือครองในฐานะนางกษัตริย์

        แต่..เอมเปรสมารี..เป็นนางกษัตริย์เช่นกัน..หากแต่เป็นดินแดนที่ไม่มีใครต้องการพระองค์อีกต่อไป...
        ในพิธีพระศพนั้น..ได้ถือว่าเป็นพิธีแรกที่ทรงถือตำแหน่งเป็นเอมเปรสอย่างสมบูรณ์เป็นครั้งสุดท้ายหลังจากที่ได้ส่งมอบบัลลังก์ให้แก่พระราชโอรส..
        โลงพระศพ..ถูกแห่หามด้วยเหล่ากษัตริย์และยุวกษัตริย์ทั้งน้อยใหญ่..ตามขบวนด้วยเจ้าหญิง เจ้าชาย เหล่าทูตานุทุตจากทุกมุมโลก..
        ทำให้ในพระวิหารแห่งกรุงโคเปนเฮเกนนั้น..คับแคบลงไปอย่างถนัดใจ

        ดูๆไปก็น่าขำ..กับคนพวกนี้...เพราะในขณะที่ยังทรงมีพระชนม์อยู่..ตัวแทนหลายประเทศที่ปรากฏในแถวหน้านี้..เคยปฏิเสธที่จะให้วีซ่าแก่พระองค์แท้ๆ...
        แต่พอสิ้นพระชนม์ลงไป...ต่างพากันมาร่วมในพิธี..พร้อมทั้งมาสดุดีในความดีและพระคุณของพระองค์ว่า..ดีอย่างนั้น ดีอย่างงี้...ล้วนแต่หาถ้อยคำที่แสนงดงามมากล่าวให้เข้ากับบรรยากาศ...
        "ช่างน่าสงสารเสียจริงๆ...ที่ต้องทรงระทมทุกข์อย่างมหันต์ พระจักพรรดินีผู้แสนงามงดในพระจริยาวัตร"  
        ผู้กล่าว...เป็นไอ้คนที่ชอบสอพลอที่ฉันรู้จักดีมานานนับปี..และฉันเอง..กำลังสะกัดกั้นอารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านจากข้างในอย่างเต็มที่...เพราะไม่งั้น..อาจจะคว้าเชิงเทียนมาฟาดหัวมันให้ล้มคว่ำลงไปในบัดเดี๋ยวนั้น

        หรือ....

        เหล่าพระญาติ..ที่เคยติดต่อกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อปี 1914 (อันเป็นปีที่เริ่มสงคราม)
        จากนั้นมา..ก็ไม่เคยเจอะเจอหรือพูดคุยกันเลย..(เพราะรัสเซียมีปัญหา กำลังตกอับ)
        ต่างก็แก้ตัวว่า...ไม่กล้่าออกปากให้ความช่วยเหลือ เพราะเกรงว่าจะเป็นการหลู่พระเกียรติ....
        ฉันก็ได้แต่ตอบรับไปว่า..
        "คงงั้นกระมัง..."

        เพราะ...ไม่อยากจะชี้หน้าด่าคนระดับพระเจ้าแผ่นดินว่า..ไอ้โกหก..


        หลังจากพระพิธีได้จบสิ้น...ฉันกลับไปที่พระตำหนัก Hvidore พบกับนายทหารยามเก่าแก่สองคน เป็นคอสแชคร่างสูงใหญ่ ทีทรงชุบเลี้ยงมานาน ติดตามรับใช้กันตั้งแต่รัสเซียจนถึงเดนมาร์ก..
        ทั้งสองนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่หน้าพระตำหนัก...
        ฉันจึงเข้าไปปลอบว่า..
        "ทำใจดีๆไปเถอะ..ทรงไม่ปล่อยให้พวกนายลำบากหรอก เพราะทรงมีพินัยกรรมทำไว้ให้ทุกคน"
        "เราไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอกกระหม่อม..."
        "แล้วกังวลเรื่องอะไรล่ะ?"
        "ใจหายน่ะ..เงียบเหงาด้วยกระหม่อม..สิ้นเอมเปรสไปเสียคน..เหมือนสิ้นร่มไม้ใหญ่ให้กับนกกา"

        ฉันเดินขึ้นไปบนพระตำหนักพร้อมทั้งเซเนีย และ ออลก้า (พระขนิษฐา) ไปนั่งที่ห้องนั่งเล่น ที่เมื่อสามสิบห้าปีที่แล้ว..เป็นห้องที่ซาร์อเล็กซานเดอร์เคยใช้เป็นห้องทรงงานในยามที่เสด็จมาพักผ่อน แปรพระราชฐาน..
        เราทุกคน..ไม่มีใครกล่าววาจาใดๆต่อกัน..เพราะต่างรู้ดีว่า..บัดนี้..อาณาจักรรัสเซียของเรานั้นเป็นเพียงชื่อในอดีต..ทุกอย่างได้หมดสิ้นไปแล้วจริงๆ
        เราเอง..สามคน..นับจากวันนี้ก็เป็นวิถีทางที่ต่างคนต่างไป...ไม่มีศูนย์รวมใจอย่างแต่ก่อน..

        วันรุ่งขึ้น..เป็นวันอ่านพระพินัยกรรม ที่เป็นไปตามคาด คือ..
        ทรงมีเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับเหล่าข้าราชบริพารที่ตามเสด็จมารับใช้..
        นอกนั้น..ทั้งเงินสด เครื่องเพชร รวมไปถึงที่ได้รับมรดกมาจากพระเชษฐภคินี
        ได้ทรงแบ่งให้กับพระธิดาทั้งสอง เซเนีย และ ออลก้าเท่าๆกัน..
        แต่ในท้ายของใจความ..ได้ทรงระบุไว้ว่า..สมบัติต่างๆเหล่านั้น ขอให้อยู่ในความดูแลและจัดการแบ่งในความเห็นชอบของ พระเจ้าจอร์จ (ที่ห้า) พระราชนัดดา

        ถึงแม้ว่าจะไม่ทรงรู้เรื่องเงินๆทองๆ การค้าการขายมากนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยดีว่า..
        ขืนให้คนอย่างฉันเข้าไปดูแล..หรือช่วยเอาพวกเครื่องเพชรนั้นไปเปลี่ยนเป็นเงินละก้อ..เห็นทีจะมีแต่ขาดทุนยับเยิน..เพราะคนอย่างฉันไม่เคยเอาชนะพวกพ่อค้าเพชรจอมเขี้ยวแห่งปารีสได้เลย****


        ****  เพราะท่านเคยเอาสมบัติเก่า คือ สร้อยใข่มุกน้ำงามมีราคามหาศาล(ตอนซื้อมา)ไปขายคืนในช่วงที่ออกมาจากรัสเซียใหม่ๆ และโดนกดราคาแบบน่าใจหาย...

 
        ส่วนเรื่องอื่นๆรอบด้านนั้น..ทั้งคู่ได้แบกความทุกข์ไว้เปี่ยม อย่างพระเชษฐภคินี ต้องอยู่ในใต้พระบารมีที่ยิ่งใหญ่ของสมเด็จพระนางวิคตอเรีย  แถมมีน้องสะใภ้ที่ใหญ่โตแบบคับฟ้า เพราะเป็นพระธิดาของซาร์(Maria, Duchess of Saxe-Coburg and Gotha )  ซึ่งถือองค์ ไม่ยอมลงให้ใคร...อีกทั้งออกจะดูถูกพระราชวงค์เดนมาร์กของเจ้าหญิงอเล็กซานดราด้วยซ้ำ เพราะ พระราชวงค์ Glücksburg ของเจ้าหญิงนั่นก็เพิ่งตั้งมาหมาดๆ ด้วยสาเหตุที่ คิง Christian IX  (พระบิดา) จากเจ้าชายหางแถวมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินเดนมาร์กได้ก็แบบว่าฟลุคเต็มที่ เพราะถูกคัดเลือกมาสวมในบัลลังก์ที่ว่างลง..

        ดัชเชส มารีอา เมื่อทรงทราบว่าเงินค่าใช้จ่ายรายปีของตำแหน่งพระสวามี ที่เป็นเพียง
        Duke of Saxe-Coburg and Gotha นั้นน้อยกว่า Prince/Princess of Wales
        พระองค์จึงรายงานให้พระบิดา (ซาร์อเล็กซานเดอร์ที่สอง) ทรงทราบ...
        และ...คำตอบคือ...เอาไปเลยลูก...จะเอาอีกเท่าไหร่..ขนไปเลย..!!

        ในการเป็นเจ้าหญิงแห่งเวลส์ ของเจ้าหญิงอเล็กซานดรานั้น..เรียกว่าต้องทนอดกลั้นพอสมควร..เพราะต้องทำองค์เป็น น้ำขุ่นอยู่ใน น้ำใสอยู่นอก..ทำองค์ให้มีความสุขและสง่างามในทุกโอกาส..

        ส่วนซารินามารี..ผู้เป็นพระขนิษฐานั้น...ทำองค์อย่างเดียวกัน..แต่แท้จริงๆแล้ว..
        ทรงทุกข์สาหัสหนักหนา ยามเมื่อไปถึงรัสเซียใหม่ๆในฐานะเจ้าหญิงพระคู่หมั้น..ว่าที่เจ้าบ่าวเกิดสิ้นพระชนม์ พอตกลงปลงใจกับคนน้อง..อภิเษกไปไม่นาน.. ซาร์ Alexander II (พ่อสามี) ถูกลอบปลงพระชนม์แบบสยดสยอง..ทำให้ต่อเนื่องมาจนถึงพระสวามี (ซาร์  Alexander III) ที่ถูกคนพยายามลอบปลงพระชนม์ในหลายต่อหลายครั้ง..

        คนที่อยู่วงนอกแต่ใกล้ชิดอย่างท่านผู้เขียนเท่านั้นละค่ะ ถึงจะทราบถึงสิ่งในใจของสองพี่น้องนี่อย่างทะลุปรุโปร่ง...

 







1

ความคิดเห็นที่ 1 (102152)
avatar
โรจน์ (Webmaster)

ขอบคุณครับที่ยังนึกถึงที่นี่ในทันทีที่ชีวิตเข้าที่เข้าทาง  ปัญหาของเว็บที่คุณกล่าวถึงจริงๆ หลายๆ ส่วนก็มาจากความไม่เข้าที่เข้าทางในชีวิตของผมเอง  รายละเอียดเดี๋ยวผมจะหาเวลาคุยทางอีเมล์ดีกว่า  เอาเป็นว่าเว็บนี้ยังไม่หายไปไหนหรอกครับ  แต่ในส่วนของการเพิ่มสาระดีๆ เข้ามายังขลุกขลักอยู่บ้าง  ซึ่งคงต้องค่อยๆ แก้ไขกันต่อไปครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น โรจน์ (Webmaster) (webmaster-at-iseehistory-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-19 10:15:17 IP : 203.114.104.114


ความคิดเห็นที่ 2 (102153)
avatar
Pannapich

ดีใจจัง คุณวิวันดากลับมาแล้ว รออ่านตอนต่อไปอยู่ค่ะ อย่าลืมซูคอร์ฟด้วยค่ะ ติดตามทั้งสองเรื่องเลย สนุกมากมาย

ผู้แสดงความคิดเห็น Pannapich (wadtawan-at-hotmail-dot-com) ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2012-11-20 13:34:48 IP : 101.168.85.61



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.
| WW II Europe | WW II Asia | WW I | Vietnam War | ประวัติศาสตร์ไทย | บทความจากสมาชิก | คุยกันหลังฉาก | บทความทั้งหมด |

สนใจร่วมเขียนบทความในเว็บไซต์ เชิญอ่าน แนวทางการร่วมเขียนบทความ ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์

Custom Search



eXTReMe Tracker