
webmaster@iseehistory.com
คราวก่อนได้แนะนำภาพยนตร์เกี่ยวกับพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่เป็นสารคดีโดย National Geographic และภาพยนตร์รุ่นลายครามที่ Richard Burton แสดงนำมาแล้ว คราวนี้เราจะมาคุยกันถึงภาพยนตร์เรื่อง Alexander ที่สร้างโดย Oliver Stone ซึ่งเริ่มฉายในปี 2004 หรือพ.ศ.2547 และถ่ายทำในประเทศไทยราว 1 ใน 3 ของเรื่อง ให้ครบชุดของประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับพระมหาราชองค์นี้ซะที
ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องโดยใช้การบอกเล่าของฟาโรห์ปโตเลมี (Ptolemy I Soter - สมัยเรียนเคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าชื่อนี้ต้องอ่านว่า ทอลีมี ที่ถูกคงต้องฝากผู้รู้ท่านอื่นช่วยออกความเห็น) แห่งอิยิปต์ ผู้มีอดีตเป็นทหารเอกคนหนึ่งของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เล่าเรื่องให้อาลักษณ์จด ย้อนไปที่ชีวิตวัยเยาว์ของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ โอรสของพระเจ้าฟิลลิป กษัตริย์แห่งมาซีโดเนียผู้รวบรวมนครรัฐต่างๆ ของกรีกเข้าด้วยกัน กับพระนางโอลิมเปียส สาวกของเทพไดโอนิซุส เจ้าชายอเล็กซานเดอร์เจริญพระชันษาท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างพระราชบิดาและพระราชมารดา และการศึกษาทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ โดยมีพระอาจารย์สำคัญด้านวิชาการคืออริสโตเติล พระราชประวัติที่แสดงในภาพยนตร์ก็คล้ายๆ กับที่เคยกล่าวในภาพยนตร์สารคดี และภาพยนตร์ในปี 1956 (พ.ศ.2499) ที่กล่าวถึงมาแล้ว ซึ่งจะกล่าวถึงเฉพาะในประเด็นสำคัญๆ คือ
พระประวัติช่วงแรก
เป็นภาพยนตร์ที่แสดงถึงความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าฟิลลิปกับพระนางโอลิปเปียสได้กระชับ แต่สะใจดีจริงๆ เปิดฉากมาก็จะเห็นพระนางซึ่งรับบทโดย Angelina Jolie ของคุณ Bratt Pitt นำงูมาเล่นกับพระโอรสน้อยอย่างน่าเสียวไส้ ไม่กี่นาทีถัดมา พระเจ้าฟิลลิป ซึ่งในเรื่องนี้มีพระเนตรเดียวตามประวัติศาสตร์ ก็โผล่เข้ามาข่มเหงพระนาง (การกระทำแบบนี้ ในสังคมไทยปัจจุบันกำลังมีการเรียกร้องให้บัญญัติเป็นความผิดทางกฎหมายฐาน "ข่มขืนภรรยา" จะสมควรหรือไม่คงดูได้จากหนังเรื่องนี้กระมัง?) จากนี้ดูเหมือนเราจะไม่เห็นสองพระองค์นี้อยู่เคียงข้างหรือเผชิญพระพักตร์ในเฟรมเดียวกันอีกเลย เมื่ออเล็กซานเดอร์ขึ้นครองราชย์แล้ว พระนางโอลิมเปียสยังวางพระองค์เป็นคุณแม่จอมจุ้นผ่านทางสาส์นหรือจดหมายที่ส่งไปถวายพระโอรสในแดนไกลอยู่เสมอ

ด้านการอบรมสั่งสอน ทั้งสองพระองค์ก็สอนพระโอรสไปคนละทาง พระนางโอลิมเปียสสอนว่าอเล็กซานเดอร์ทรงเป็นโอรสของเทพ ที่จะมีความยิ่งใหญ่ในภายหน้า พระเจ้าฟิลลิปด้านหนึ่งเหมือนจะเป็นแบบอย่างด้านความเป็นนักรบ แต่ในฉากที่พาอเล็กซานเดอร์ไปดูภาพวาดตำนานต่างๆ ของกรีกในถ้ำ ได้ทรงปรามๆ พระโอรสไว้กลายๆ ว่าความยิ่งใหญ่ของบรรดาวีรบุรุษในตำนานเหล่านี้ ล้วนต้องแลกมาด้วยความเจ็บปวดในรูปแบบต่างๆ กัน ส่วนบทบาทการถวายพระอักษรของอริสโตเติลแด่เจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ก็ถือว่ากระชับพอสมควร แต่ดูเหมือนการกล่าวถึงความประทับใจของเจ้าชายอเล็กซานเดอร์ ต่ออะคิลิสแห่งตำนานเมืองทรอยอาจจะน้อยไปบ้าง

และมีบางประเด็นที่ในภาพยนตร์กล่าวแต่เพียงย่นย่อในคำบอกเล่าของปโตเลมี เช่น การที่พระเจ้าฟิลลิปอภัยโทษอเล็กซานเดอร์ให้เสด็จกลับจากการถูกเนรเทศ เหตุการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าฟิลลิปถูกโยกไปเล่าในตอนเกือบท้ายเรื่อง แต่กลับมีเรื่องที่ทรงกล่อมม้าพยศได้ในตอนวัยเยาว์ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่ามีจริงในประวัติศาสตร์หรือเปล่า แต่สำหรับการเดินเรื่องในตอนต่อไปแล้ว ม้าตัวนี้กลายเป็นม้าทรงคู่พระทัยในการทำศึกที่สำคัญๆ ในภายหลัง
พิชิตเปอร์เซีย
ด้วยเวลาในภาพยนตร์ที่จำกัด ทำให้การสงครามหลายครั้งของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช นับตั้งแต่การปราบปรามกบฏเมืองต่างๆ ในกรีกหลังครองราชย์ และการสงครามต่างๆ ในเอเชียไมเนอร์ รวมถึงการรบกับพระเจ้า Darius ครั้งแรก และการปลอดปล่อยอิยิปต์ กลายเป็นเพียงคำบอกเล่าไม่กี่ประโยคของปโตเลมี (ตกลงชื่อพระเจ้า Darius นี้จะอ่านอย่างไรแน่ ในภาพยนตร์เรื่องนี้อ่านว่า ดาไรอัส ครับ) จะคุ้มหรือไม่ก็ไม่ทราบเมื่อผู้สร้างประหยัดเวลาไว้เพื่อทุ่มเทให้กับการศึกครั้งสำคัญ คือการรบกับพระเจ้า Darius ครั้งที่สองที่เมืองกัวกาเมล่า (Gaugamela) ซึ่งในตอนแนะนำสารคดีโดย National Geographic ผมให้ข้อมูลว่ากองทัพกรีกน้อยกว่าเปอร์เซีย 1 ต่อ 3 แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ให้ข้อมูลว่าเป็นการต่อกรกันระหว่างกองทัพกรีกประมาณ 4 หมื่น กับกองทัพเปอร์เซียราว 2 แสน 5 หมื่น เอาเป็นว่ากรีกมีน้อยกว่าชนิดที่ต้องใช้สมองกันหลายหยักถึงจะชนะได้ ซึ่งภาพยนตร์ก็แสดงให้เห็นพระอัจฉริยภาพตั้งแต่การวางแผนการรบ จนกระทั่งได้ชัยชนะ แผนการโดยย่อคือพระองค์จะนำกองทัพม้าล่อหลอกกองทัพม้าเปอร์เซียออกไปทางหนึ่ง จากนั้นเมื่อกองทัพเปอร์เซียที่เหลือเข้าโจมตีทหารราบกรีก แถวทหารจะเปิดช่องให้ทหารพลรถเปอร์เซียวิ่งเลยไปให้ทหารราบอีกส่วนหนึ่งที่รออยู่ข้างหลังโจมตี จากนั้นทหารราบจะยันการบุกของทหารเปอร์เซียให้นานที่สุด ทหารราบอีกส่วนหนึ่งที่ซุ่มรออยู่จะจัดการกับทหารม้าเปอร์เซียที่ทรงล่อมาตั้งแต่แรก ถึงตอนนี้กองทัพเปอร์เซียจะเปิดช่องว่างให้กองทัพม้าของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์โจมตีเข้าหาพระเจ้า Darius ผลเป็นไปตามประวัติศาสตร์ คือพระเจ้า Darius ต้องเสด็จหนี พระเจ้าอเล็กซานเดอร์จำเป็นต้องละการไล่ตามพระองค์เพื่อนำทัพม้ากลับไปช่วยทหารราบที่กำลังถูกกระหนาบ ในที่สุดพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ก็เสด็จเข้ากรุงบาบิลอนได้

ฉากการรบอันมโหฬารระหว่าง Alexander กับ Darius ครั้งที่ 2 ที่ Gaugamela
ที่กรุงบาบิลอน พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นอย่างดี ฉากตอนนี้นับว่ามโหฬารตระการตาไม่น้อยหน้าฉากสงครามเลย พระองค์ได้ตรัสกับ Stateira พระธิดาของ Darius ว่าจะทรงกับปฏิบัติกับพระธิดาและพระญาติเสมือนคนในครอบครัว อเล็กซานเดอร์ประทับในบาบิลอนได้ไม่นานก็ต้องเสด็จออกตามล่าพระเจ้า Darius เป็นปีกว่าจะทรงพบพระศพของ Darius ที่ถูกทหารของตนเองสังหาร จากนั้นยังทรงขยายอาณาเขตไปยังตอนเหนือจนได้แต่งงานกับหญิงชาวเขาชื่อ Roxana ซึ่งเป็นอีกผู้หนึ่งที่จะมีบทบาทสำคัญในเรื่อง แต่ผมจะไม่ขอกล่าวในรายละเอียดครับ

Alexander เข้ากรุง Babylon
บุกอินเดีย
พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ยังทรงมีความทะเยอทะยานในการพิชิตโลก โดยทรงนำทหารกว่า 150,000 นายข้ามเขาฮินดูกุชมาทางใต้ในประเทศอินเดีย ซึ่งต้องทรงทำศึกกับชาวอินเดียแคว้นต่างๆ ซึ่งในช่วงแรกภาพยนตร์จะเล่าแต่เพียงปัญหาสภาพอากาศกับความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับบรรดาทหารที่รุนแรงจนถึงกับต้องทรงสังหารไคลตัส ทหารคนสำคัญที่พระบิดาเคยฝากฝัง และเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตพระองค์ในการรบที่ Gaugamela แล้วก็ต้องมาเสียพระทัยภายหลัง ในช่วงเหตุการณ์ในอินเดียนี้เอง ที่ผู้สร้างได้ใช้สถานที่ในประเทศไทยในการถ่ายทำ ทั้งในฉากค่ายพักแรม ฉากอเล็กซานเดอร์ทรงขัดแย้งกับบรรดาทหารที่ฝั่งแม่น้ำ และฉากรบครั้งสำคัญกับกองทัพช้างครับ

จักรวรรดิ์เคลื่อนที่ของ Alexander ข้ามเขาฮินดูกูชไปยังอินเดีย
ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าการรบระหว่างพระเจ้าอเล็กซานเดอร์กับกองทัพช้างเกิดขึ้นที่เมือง Jhelum มีช้างเข้าร่วมรบกว่า 200 เชือก เป็นการรบที่นับว่านองเลือดครั้งหนึ่งในพระประวัติของพระองค์ ตามเรื่องนั้นได้ทรงดำเนินกลยุทธโดยปล่อยให้ทหารราบยันกองทัพข้าศึกด้านหน้า แล้วทรงนำกองทัพม้าอ้อมไปตึอีกด้านหนึ่ง อุปสรรคสำคัญคือกองทัพของพระองค์พึ่งรบกับช้างเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะม้าในกองทัพม้าของพระองค์ได้หยุดไม่ยอมเดินหน้าเมื่อใกล้จะถึงที่หมาย อเล็กซานเดอร์ต้องกล่อมม้าทรงคู่ชีพอยู่พักหนึ่งจึงออกรบได้ขณะที่ม้าของผู้อื่นยังชงักอยู่ ทำให้พระองค์ได้รับบาดเจ็บสาหัส กว่ากองทัพม้าที่เหลือจะสามารถตามมาช่วยจนได้รับชัยชนะ แต่ก็ต้องสูญเสียทหารไปมาก รวมถึงเฮฟาอีสเตียน ขุนศึกคู่พระทัยและคู่ขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน

ฉากการรบกับกองทัพช้างที่ถ่ายทำในเมืองไทย ภาพขวาล่างจำได้ไหมครับว่าใคร?
เสร็จสงครามกับกองทัพช้างแล้ว พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ประกาศนำทหารกลับบ้าน อีกครั้งที่ภาพยนตร์จำต้องประหยัดเวลาด้วยการเล่าเรื่องการเดินทางผ่านทะเลทรายอย่างยากลำบากแต่เพียงย่นย่อ โดยไม่ได้อธิบายว่าทำไมจึงเดินทางเส้นทางอื่น เช่น ทางเรือดังที่ทรงให้สัญญาไว้ก่อนหน้านั้น และไม่ได้กล่าวถึงพระบัญชาให้มีการสมรสหมู่ระหว่างทหารกรีกกับหญิงเปอร์เซียกว่าร้อยคู่ที่เมือง Susa เลย กล่าวเพียงว่าทรงมีพระมเหสีอีกสองพระองค์ เมื่อเสด็จถึงบาบิลอนได้ไม่นาน เฮฟาอีสเตียนก็ถึงแก่ความตายซึ่งหมอบอกว่าเป็นเพราะโรคจากอินเดีย แต่ทรงเข้าพระทัยว่ามีการวางยา แล้วต่อมาพระองค์ก็เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งใหญ่ ทรงดื่มจัดจนทรงพระประชวรแล้วสิ้นพระชนม์ในวัย 33 พรรษา ประมาณ 3 เดือนก่อนที่พระโอรสที่ทรงมีกับพระนางโรซานจะประสูติ จากนั้นปโตเลมีเล่าว่าอาณาจักรของพระองค์ถูกบรรดาขุนศึกแบ่งแยกเป็น 4 ส่วน คือ คาสซานเดอร์ครองกรีซ เครเตอรอสและแอนติโกนัสครองเอเซียตะวันตก โซลูคัสกับเพอร์ดิคคัสครองทางตะวันออก และปโตเลมีเองครองอิยิปต์
อื่นๆ และสรุปรวม
ผมเคยกล่าวไว้แล้วว่า การจะถ่ายทอดพระประวัติของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ให้ละเอียดนั้น บางทีอาจจะต้องใช้เวลามากเกินกว่าภาพยนตร์ในโรงหรือใน VCD/DVD ปกติได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้แม้จะต้องย่อหรือต้องตัดหลายประเด็นหรือหลายเหตุการณ์ไปมาก หากเทียบกับเวอร์ชันปี 1956 แล้ว ถือว่าใช้ความได้เปรียบของการสร้างทีหลังได้อย่างคุ้มค่า
เรื่องการเป็นเกย์หรือไบเซ็กส์ชวลของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์นั้น เป็นประเด็นที่หลายคนที่นิยมชายจริงหญิงแท้อาจรับไม่ได้ เคยมีคนเล่าให้ฟังว่าตอนออกจากโรงแล้วได้ยินคนอื่นบ่นเรื่องนี้อยู่ แต่ก็เป็นความจริงของพระองค์และของกรีกสมัยนั้น ผมเองก็แทบจะคลื่นไส้ในบางฉาก แต่ก็ต้องเปิดใจพิจารณาความเป็นจริง อย่างเฮฟาอีสเตียนนั้น นอกจากจะเป็นคู่รักของพระองค์แล้ว ยังเป็นเป็นผู้เตือนพระสติขณะทรงเสียพระทัยหลังการสังหารไคลตัส และเป็นทหารคู่พระทัยตลอดพระชนม์ชีพ ดีกว่าเจ้าอีกคนที่ผมยาวหน้าหวานซะอีก

อเล็กซานเดอร์ กับ เฮฟาอีสเตียน ขุนพลคู่ใจและคู่ขาในคืนก่อนการรบที่ Gaugamela
ความขัดแย้งระหว่างพระองค์กับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย นับเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องที่ค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังการยึดครองกรุงบาบิลอน เมื่อทหารรู้สึกว่าประสบความสำเร็จมากพอและอยากกลับบ้าน แต่พระองค์ยังทรงฝันที่จะพิชิตดินแดนมากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามเผยแผ่วัฒนธรรมกรีกให้ผสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมในดินแดนที่ทรงพิชิตได้ ที่ทรงกล่าวถึงอยู่ตลอด อีกครั้งที่ต้องบอกว่าเสียดายที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่กล่าวถึงการสมรสหมู่ที่เมือง Susa ซึ่งน่าจะเป็นอีกหนึ่งความไม่พอใจของบรรดาแม่ทัพนายกอง จนอาจเป็นเหตุให้ต้องวางยาเพื่อปลงพระชนม์ดังที่ปโตเลมีหลุดปากออกมาในตอนท้ายเรื่องนั่นเอง
สุดท้ายคงเป็นเรื่องความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในภาพยนตร์ประวัติศาสตร์สำคัญเรื่องนี้ ในอดีตเราคงเคยได้ยินข่าวการที่รัฐบาลเคยอนุญาตและปฏิเสธการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทยมาหลายเรื่องด้วยเหตุผลต่างๆ กัน สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ใน DVD แผ่นสองที่เป็นเบื้องหลังการถ่ายทำ คุณ Oliver Stone ได้กล่าวขอบคุณคนไทยอย่างเพราะพริ้ง นอกจากนี้ก่อนเขียนได้คุยกับคุณ countryboy ซึ่งอยู่สระบุรี และเล่าว่าส่วนหนึ่งก็ถ่ายทำกันแถวๆ บ้านท่านเอง ยังมีเพื่อนท่านรายหนึ่งชนะประมูลการส่งอาหารให้กับกองถ่ายด้วย (ไม่รู้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ได้เสวยน้ำพริกปลาทูบ้างหรือเปล่า - นอกเรื่องซะแล้ว) คือถ้าเราเลือกถูกว่าเรื่องไหนควรอนุมัติแล้ว ก็จะเป็นทั้งผลดีเฉพาะหน้าด้านการสร้างงานให้กับคนไทยส่วนที่เกี่ยวกับกองถ่าย และผลระยะยาวต่อการท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของประเทศ รวมถึงการมีส่วนร่วมในสังคมโลกต่อการถ่ายทอดประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ลงบนแผ่นฟิล์มครับ
คำคมชวนคิด
- "โชคย่อมเข้าข้างผู้กล้า" Virgil ผู้แต่งมหากาพย์ The Aeneid
- "ความยิ่งใหญ่ทั้งปวงมาจากการสูญเสีย ... กษัตริย์มิได้เป็นโดยกำเนิด ทว่าถูกสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากและทุกข์ทรมาน" พระเจ้าฟิลลิปตรัสสอนอเล็กซานเดอร์
- "พิชิตความกลัว แล้วข้าจะสัญญาว่าท่านจะพิชิตความตายได้" (Conquer your fear and I promise that you conquer death) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ตรัสกับทหารก่อนออกรบกับพระเจ้า Darius ที่ Gaugamela
- "อริสโตเติลเรียกพวกเขาว่าคนเถื่อน แต่เขาไม่เคยเห็นบาบิลอน" ทหารผู้หนึ่งกล่าวขณะอเล็กซานเดอร์เข้ากรุงบาบิลอนหลังจากชนะ Darius
- "เกียรติประวัติเกิดด้วยน้ำมือ ผู้ที่กระทำแล้วไม่เคยเสียใจ" และ "บางครั้งการคาดหวังสิ่งสุดยอดจากทุกคนก็คือความทะนง" เฮฟาอีสเตียน ทูล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ขณะพระองค์กำลังเสียพระทัยหลังจากที่ได้สังหารไคลตัส
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Alexander
ชื่อภาษาไทย : อเล็กซานเดอร์ มหาราชชาตินักรบ
ผู้สร้าง : Moritz Borman, Thomas Schuehly, Jon Kilik, Iain Smith
ผู้กำกำกับ : Oliver Stone
ผู้เขียนบท : Oliver Stone, Christopher Kyle, Laeta Kalogridis (screenplay)
ผู้แสดง : Colin Farrell, Angelina Jolie, Val Kilmer, Rosario Dawson, Jared Leto, Anthony Hopkins, etc. (นักแสดงไทยที่แสดงเป็นฝ่ายอินเดียได้แก่ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ และ จรัญ งามดี)
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์