(เผยแพร่ครั้งแรกที่ rojn.blogth.com/HistoryMovies/ Fri-8-Sep-2006 )

ร็อด สไตเกอร์ ในบทมุสโสลินี กำลังมอบหมายให้นายพลกราเซียนี่ ไปปราบ โอมาร์ มุกตาร์ ที่ลิเบีย

แอนโทนี่ ควิน ในบท โอมาร์ มุกตาร์
เมื่อเอ่ยถึงคำว่า "เผด็จการ" โดยเฉพาะเผด็จการอันเลวร้ายในยุโรปที่ก่อให้เกิด สงครามโลกครั้งที่สอง แล้วเรามักจะนึกถึง ฮิตเลอร์ และพรรคนาซีเยอรมัน เป็นอันดับแรก จนบางทีเราอาจลืมไปว่าในอิตาลีนั้น มีจอมเผด็จการมุสโสลินี (Benito Mussolini) ก้าวขึ้นสู่อำนาจตั้งแต่ปีค.ศ.1922 (พ.ศ.2465) ก่อนที่ฮิตเลอร์จะมีอำนาจในเยอรมันโดยสมบูรณ์ถึง 11 ปีด้วยกัน แต่ความที่กองทัพฟาสซิสต์อิตาลีใน สงครามโลกครั้งที่สอง มักจะขี้แพ้ รบที่ไหนไม่ค่อยชนะ จึงทำให้เราไม่ค่อยนึกถึง ทั้งที่มีความเลวร้ายอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
"เหยื่อ" รายสำคัญของเผด็จการจักรวรรดิ์นิยมฟาสซิสต์อิตาลีในภาพยนตร์เรื่อง "Lion of the Desert" หรือชื่อภาษาไทยว่า "จอมจักรพรรดิ โอมาร์ มุกตาร์" ที่จะคุยกันในวันนี้ คือ ประเทศลิเบีย ที่มุสโสลินีอ้างว่าเป็นอาณานิคมมาตั้งแต่สมัยโรมัน และอันที่จริงอิตาลีได้รุกรานลิเบียมาตั้งแต่ค.ศ.1911 (พ.ศ.2454) ก่อนมุสโสลินีจะมีอำนาจร่วมสิบกว่าปีด้วยซ้ำ ปัญหาที่อิตาลีเผชิญในลิเบียคือสงครามกองโจรกับพวกเบดูอิน ชนพื้นเมืองซึ่งมีผู้นำเป็นครูสอนศาสนาที่มีนามว่า โอมาร์ มุกตาร์ (Omar Mukhtar) ซึ่งสามารถต้านทานกองทัพอิตาลีได้เป็นปีๆ จนมุสโสลินีต้องส่งแม่ทัพเอกจอมโหดมาปราบ คือ นายพลกราเซียนี (Rodolfo Graziani)
ตอนจบของเรื่องนั้นคงเดาได้ไม่ยากว่า ในที่สุด กองโจรพื้นเมืองก็ต้องพ่ายแพ้ต่อแสนยานุภาพของอิตาลีไปในที่สุด แต่กว่าจะถึงตอนจบน่ะซีครับ กลับดูเหมือนว่าโอมาร์ มุกตาร์ และนายพลกราเซียนี จะมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบกันคนละแบบ ต้องชิงไหวชิงพริบกันตลอด เป็นเวลาถึง 8 ปี หรือเวลาในภาพยนตร์ถึง 3 ชั่วโมง สังเวยชีวิตนักรบทั้งสองฝ่าย รวมถึงชีวิตชนพื้นเมืองผู้บริสุทธิ์ที่กองทัพฟาสต์ซิสต์สังหารไปอีกไม่น้อย

ทหารอิตาลีกำลังกระทำทารุณชาวบ้านที่ให้การสนับสนุนโอมาร์ มุกตาร์

กองทหารม้าของโอมาร์ มุกตาร์

แสนยานุภาพของกองทัพอิตาลี
ภาพยนตร์เรื่องนี้ค่อนข้างพิถีพิถันกับฉาก การแต่งกาย และอาวุธยุทโธปกรณ์ ในเรื่องที่ดูน่าจะใกล้เคียงกับในประวัติศาสตร์จริงเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะรถถังและยานยนต์ต่างๆ ของกองทัพอิตาลีนั้น ไม่มีการนำของสมัยใหม่มา "ติ๊งต่าง" อย่างในหนังสงครามโลกรุ่นเก่าของฮอลลีวู้ด โดยเฉพาะเจ้ารถถังคันกะเปี๊ยกติดปืนกลของกองทัพอิตาลี ที่อาจดูเหมือนจะกิ๊กก๊อกเมื่อเทียบกับรถถังสมัยใหม่ที่เราคุ้นเคย หรือแม้กระทั่งรถถังร่วมสมัยของชาติอื่นก็ตาม แต่สำหรับนักรบเบดูอินของ โอมาร์ มุกตาร์ แล้ว การยิงสู้กับมันซึ่งๆ หน้าก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลย

รถถังอิตาลีกำลังสังหารทหารม้าอาหรับ (โอมาร์ มุกตาร์ ไม่ได้ร่วมรบในครั้งนี้)

ค่ายกักกันชาวพื้นเมืองที่อิตาลีสร้างขึ้น

การสังหารนักโทษในค่ายกักกัน

ทหารอิตาลีกำลังใช้แก๊สพิษในการปราบกองโจรของโอมาร์ มุกตาร์
ในตอนท้ายเรื่องได้กล่าวถึง นายพลกราเซียนี แต่เพียงว่าหลังจากมุสโสลินีถูกโค่นล้ม เขาได้ถูกจับขังคุกและตายในปี 1955 (พ.ศ.2498) เท่าที่ผมพอจะทราบ ก่อนจะถึงเวลานั้นเขายังได้มีบทบาทในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ กราเซียนี่ ซึ่งขณะนั้นเป็นจอมพลแล้ว ได้พยายามนำกองทัพอิตาลีรุกรานอิยิปต์ซึ่งอังกฤษปกครองอยู่ แต่ก็แพ้อย่างไม่เป็นท่าจนเกือบจะเสียลิเบียด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้ ฮิตเลอร์ ต้องส่ง รอมเมล มากู้หน้ามุสโสลินี ทำให้ รอมเมล แจ้งเกิดจนได้ทั้งยศจอมพลและสมญานาม "จิ้งจอกทะเลทราย" ไปครอง ขณะที่ "จอมพลกราเซียนี" และกองทัพอิตาลีกลับกลายเป็นเพียงลูกไล่ของกองทัพอาฟริกาเยอรมันไป ส่วนชะตากรรมของกราเซียนีหลังสงครามโลกนั้น น่าจะถือว่าโชคร้ายน้อยกว่าบรรดาสมุนฮิตเลอร์อยู่สักหน่อย ตรงที่ไม่มีการตั้งศาลอาชญากรสงครามในอิตาลีเหมือนในเยอรมัน ไม่เช่นนั้นกราเซียนีต้องติดอันดับอาชญากรสงครามด้วยแน่ๆ ลองชมภาพยนตร์เรื่องนี้ให้จบแล้วท่านน่าจะเห็นด้วยกับผม

ขบวนรถเกราะและทหารราบอิตาลีกำลังถูกซุ่มโจมตี

อีกฉากรบที่น่าศึกษาในด้านยุทธวิธี
กองกำลังยานเกราะอิตาลีกำลังถูกล่อเข้าสู่พื้นที่สังหาร

รั้วลวดหนามที่กราเซียนี่สั่งให้สร้างขึ้นตามชายแดนลิเบียเพื่อตัดการส่งกำลังบำรุงของฝ่ายโอมาร์ มุกตาร์
ในปัจจุบัน แม้ลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์-นาซีจะหมดสิ้นไปแล้ว แต่จักรวรรดินิยมก็ยังแฝงอยู่ในประเทศที่อ้างตัวเป็นผู้นำโลกเสรี ทำให้โลกอาหรับยังคงเป็นจุดเปราะของสันติภาพในโลกดังเช่นทุกวันนี้ ในยุคสงครามก่อการร้ายนี้ อเมริกันและอิสราเอลจะยังสนใจหนังเรื่องนี้เพียงใดก็ไม่ทราบ แต่บินลาเดนกับพรรคพวกอาจกำลังดูหนังเรื่องนี้อยู่ที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้

โอมาร์ มุกตาร์ ถูกจับได้

เผชิญหน้านายพลกราเซียนี่ก่อนถูกศาลทหารอิตาลีพิพากษาประหารชีวิต
คำคมชวนคิด
- "ผมไม่ได้เป็นทหารเพื่อมาแขวนคอผู้หญิง" นายร้อยอิตาลีที่ โอมาร์ มุกตาร์ เคยไว้ชีวิตในการรบครั้งหนึ่ง กล่าวกับผู้บังคับบัญชา เมื่อเห็นผู้หญิงชาวพื้นเมืองถูกแขวนคอในข้อหาให้เสบียงกับกองโจรของ โอมาร์ มุกตาร์
- "เราเกิดมาบนผืนดินนี้ด้วยพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่คุณ" โอมาร์ มุกตาร์ พูดกับผู้แทนการเจรจาของอิตาลี
- "ในฐานะข้าศึก เขาควรถูกลงโทษ แต่ในฐานะนักสู้ เขาควรได้รับเกียรติมากกว่านี้" นายพลอิตาลีผู้หนึ่งกล่าวกับทหารที่นำตัว โอมาร์ มุกตาร์ มาขัง
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Lion of the Desert
ชื่อภาษาไทย : จอมจักรพรรดิ โอมาร์ มุกตาร์
ผู้สร้าง : Moustapha Akkad
ผู้กำกำกับ : Moustapha Akkad
ผู้เขียนบท : H.A.L. Craig
ผู้แสดง :
- Anthony Quinn ... Omar Mukhtar
- Oliver Reed ... Gen. Rodolfo Graziani
- Irene Papas ... Mabrouka
- Raf Vallone ... Colonel Diodiece
- Rod Steiger ... Benito Mussolini
- John Gielgud ... Sharif El Gariani
- Andrew Keir ... Salem
- Gastone Moschin ... Major Tomelli
- Stefano Patrizi ... Lt. Sandrini
- Adolfo Lastretti ... Colonel Sarsani
- Sky Dumont ... Prince Amadeo
- Takis Emmanuel ... Bu-Matari
- Rodolfo Bigotti ... Ismail
- Robert Brown ... Al Fadeel
- Eleonora Stathopoulou ... Ali's Mother
บทความจาก Wikipedia
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์