
webmaster@iseehistory.com
สวัสดีวันสงกรานต์ปี 2552 ครับ ยังไม่ทันจะเข้าสงกรานต์ประเทศชาติก็ต้องเผชิญปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจากเหตุไร้สาระที่ไม่อยากจะพูดมากให้เสียเวลาในการพูดคุยเรื่องภาพยนตร์ ขึ้นชื่อว่าความขัดแย้งหรือสงครามใดๆ ต่างฝ่ายต่างก็อ้างความชอบธรรมของตนเอง กล่าวโทษฝ่ายตรงข้าม ในช่วงแรกๆ ก็อาจจะฮึกเหิมมุ่งมั่นแต่จะเอาชนะ แต่ถึงจุดหนึ่ง เมื่อความขัดแย้งหรือสงครามนั้นๆ มันดำเนินมาจนเกิดความเสียหาย เกิดความเหนื่อยกายเหนื่อยใจมากๆ แล้ว คราวนี้จะเริ่มรู้สึกล่ะว่ามันไร้สาระเสียหายขนาดไหน ความขัดแย้งทางการเมืองไทยในเวลานี้จะไปถึงจุดดังกล่าวได้เมื่อไรไม่ทราบ ในภาพยนตร์เรื่อง The Fallen ที่เราจะคุยกันในวันนี้ เล่าเหตุการณ์ที่จัดว่าเป็น "ปลายสงคราม" สำหรับอิตาลี พันธมิตรสำคัญของเยอรมันก็ว่าได้ เบื้องหลังทางประวัศาสตร์นั้น สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่เกาะซิซิลีในวันที่ 9 กรกฎาคม 1943/พ.ศ.2486 แล้วขึ้นสู่แผ่นดินใหญ่อิตาลีเมื่อวันที่ 3 กันยายน 1943/พ.ศ.2486 จากนั้นก็รุกไล่ขึ้นมาเรื่อยๆ จนพระเจ้าเอมมานูเอลที่ 3 กษัตริย์อิตาลีได้ปลดมุสโสลินีออกจาผู้นำและประกาศยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตร แต่แล้วในวันที่ 12 เดือนเดียวกัน ฮิตเลอร์ได้จัดส่งหน่วยพลร่มไปช่วยเหลือมุสโสลินีออกจากที่คุมขังมาได้ และได้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นสาธารณรัฐสังคมนิยมอิตาลีโดยการสนับสนุนของฮิตเลอร์ขึ้นทางตอนเหนือของอิตาลี กองกำลังเยอรมันและอิตาลียังคงถูกกองทัพสัมพันธมิตรไล่ตีถอยร่นขึ้นไปอยู่ทางตอนเหนือ รอการรบขั้นแตกหักที่กำลังจะเกิดขึ้น เรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาไม่ใช่เรื่องวีรกรรมหรือโศกนาฏกรรมของผู้หนึ่งผู้ใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็น "ชีวิต" ของหลายๆ คน หลายๆ ฝ่ายในบรรยากาศสงคราม
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องในแบบที่เขียนเรื่องย่อได้ยากอยู่เหมือนกัน ด้วยความที่ต้องการจะให้ครอบคลุมตัวละครทุกตัวทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับสงคราม ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าตัวละครในเรื่องมีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

ทหารอิตาเลียนกำลังเดินทางไปสมทบกับเยอรมัน
- กลุ่มทหารอักษะ เยอรมัน-อิตาลี ทางฝ่ายเยอรมันนำโดยผู้หมวดบรึกเนอร์ ลูกน้องมือรองคือ วูลฟ์ อีกคนที่จะมีบทบาทร่วมรบกับผู้หมวดในตอนจบคือ ฮันส์ ทหารอิตาลีนำโดย ผู้หมวดกิอานีนี ทหารอื่นๆ ได้แก่ ซัลวาตอเร่ เปาโล ปิปิโน ฯลฯ
- กลุ่มทหารอเมริกัน ตัวละครสำคัญได้แก่หมู่ทหารพลาธิการโดยการนำของจ่ามาโลน ตัวละครอื่นได้แก่ จิมมี่ ซาล เฟเนลี แพคการ์ด เมอร์ฟี
- กลุ่มชาวอิตาเลียนทั่วไป ซึ่งยังแยกย่อยได้อีก 4 กลุ่ม คือ กลุ่มของรอสสินี พ่อค้าเซ็งลี้ยามสงคราม กลุ่มผู้อพยพที่หมู่พลาธิการของจ่ามาโลนไปพบระหว่างเดินทางไปแนวหน้า กลุ่มในหมู่บ้านที่จ่ามาโลนไปพักแรม และกลุ่มกองโจรต่อต้านทหารอักษะหรือพาร์ติซาน (Partisan)

ผู้หมวดกิอานินีกับผู้หมวดบรึกเนอร์
ภาพยนตร์เริ่มเรื่องโดยกล่าวถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 1944/พ.ศ.2487 เมื่อกองทัพเยอรมันและอิตาลีตั้งรับอยู่ที่แนวตั้งรับที่เรียกว่า The Gothic line ทางตอนเหนือของอิตาลี โดยมีหน่วยต่อต้านของอิตาเลียน (ต่อไปขอเรียกสั้นๆ ว่า "พาร์ติซาน") คอยรังควานระหว่างรอกำลังกองทัพสัมพันธมิตรเคลื่อนทัพมา เรื่องราวต่อจากนี้หากเล่าตามลำดับในเรื่องเขาจริงๆ เกรงจะอ่านกันไม่รู้เรื่อง ผมจึงขอเล่าเรื่องตามที่คิดว่าจะเข้าใจกันได้ง่ายที่สุดนะครับ
ที่แคมป์ของทหารเยอรมันหน่วยหนึ่ง ผู้หมวดบรึกเนอร์ กำลังรอให้ทหารอิตาเลียนมาสมทบเพื่อให้จัดการกับพวกพาร์ติซานที่คอยซุ่มโจมตีทหารของเขาอยู่ตลอด แล้วทหารเยอรมันจะได้จัดการตั้งรับการโจมตีของทหารอเมริกันได้เต็มที่ และแล้วทหารอิตาเลียนโดยการนำของผู้หมวดกิอานีนีได้นำทหารของตนมาสมทบกับผู้หมวดบรึกเนอร์ แม้ว่าผู้หมวดของทั้งสองฝ่ายจะมีอัธยาศัยดีต่อกัน แต่ทหารทั้งสองฝ่ายก็มีความไม่ลงรอยกันอยู่ลึกๆ จากการที่ฝ่ายอิตาลีถือตัวว่าเป็นเจ้าของประเทศ และอิจฉาความเหนือกว่าบางประการของทหารเยอรมัน ขณะที่ฝ่ายเยอรมันก็ทนงในความเข้มแข็งและการเป็นฝ่ายยึดครอง ยิ่งภารกิจที่ผู้หมวดเยอรมันมอบให้ทหารอิตาลีช่วยจัดการกับพวกพาร์ติซานแล้ว ยิ่งสร้างความลำบากใจให้ผู้หมวดอิตาเลียนที่จะต้องต่อสู้กับคนชาติเดียวกัน และเพียงมื้อแรกที่ต้องกินข้าวหม้อเดียวกัน (สำนวนไทยนะครับ ที่จริงฝรั่งเขาไม่ค่อยได้กินข้าวเป็นอาหารนักหรอก) ทหารเยอรมันกับทหารอิตาเลียนก็มีเรื่องทะเลาะกันจนผู้บังคับหมวดทั้งสองต้องเข้ามาห้าม ทางพวกพาร์ติซานก็คอยรังควานทหารเยอรมัน-อิตาเลียนโดยการตัดสายโทรศัพท์ของทหารเยอรมัน แล้วดักสังหารทหารที่พยายามออกมาต่อสาย ส่วนกับทหารอิตาเลียนที่เป็นชาติเดียวกันนั้นแค่ตะโกนด่าที่ไปให้ความร่วมมือกับเยอรมัน ต่อมาผู้หมวดบรึกเนอร์ส่งรถหุ้มเกราะออกไปลาดตระเวณ ก็กลายเป็นเหตุให้ทหารที่ชื่อฮันส์ ถูกลอบยิงได้รับบาดเจ็บที่ขาจนต้องตัดขาในเวลาต่อมา ผู้หมวดบรึกเนอร์จึงได้ขอให้ผู้หมวดกิอานีนีส่งทหารออกไปลาดตระเวณบ้าง ทหารอิตาเลียนโดยการนำของซันวาโตเรเข้าไปติดกับของพวกพาร์ติซาน แต่ยังไม่ทันได้ยิงกัน เพราะพวกพาร์ติซานได้ขอร้องแกมขู่ให้ทหารอิตาเลียนยอมวางอาวุธแล้วมาร่วมมือกับฝ่ายตน ซึ่งมีผู้ยินยอมเพียง 2 คน ส่วนใหญ่ยังคงถือปืนคุมเชิงขู่กันไปขู่กันมาอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ฆ่ากันไม่ลง สุดท้ายซันวาโทเรก็พาทหารที่ยังภักดีต่อหน้าที่กลับหน่วยโดยไม่เสียเลือดเนื้อ

ทหารคนกลางถือปืน MP44 ที่ใครๆ ว่ามีใช้เฉพาะ SS

ทหารเยอรมันกำลังสอนทหารอิตาเลียนให้วางทุ่นระเบิด

ทหารเยอรมันออกมาวางสายโทรศัพท์ก่อนจะถูกเก็บทั้งคู่

ฮันส์กลับลงไปในรถหุ้มเกราะอย่างทุลักทุเลเพราะถูกยิงที่ขา

ทหารอิตาเลียนกับพวกพาร์ติซานคุมเชิงกันก่อนฝ่ายแรกจากไปโดยไม่เสียเลือดเนื้อ
ขอกล่าวถึงทางฝ่ายของอเมริกันบ้าง ทางตอนเหนือของเขตที่ทหารอเมริกันยึดครอง ทหารอเมริกันคนหนึ่งนามว่าซาล ซึ่งพูดภาษาอิตาเลียนได้ดี (อาจเป็นคนเชื้อสายอิตาเลียนด้วย) ได้เดินทางมาพบกับรอสสินีซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลจากการค้ายามสงคราม (ในเมืองไทยยุคนั้นเรียกการค้าในตลาดมืดยามสงครามด้วยภาษาจีนว่า "เซ็งลี้") หลังจากการต่อรองราคาเหล้าไวน์กันอย่างโหดหิน ก็ตกลงกันว่าซาลจะกลับไปพบรอสสินีอีกครั้ง แต่สถานการณ์ในแนวหน้าของฝ่ายอเมริกันไม่ได้เอื้ออำนวยเนื่องจากการปะทะกับทหารเยอรมันอย่างหนักหน่วง กองร้อยชาร์ลีได้วิทยุไปยังบก.พันขอกระสุนเพิ่มเติมพร้อมทั้งเครื่องวิทยุสื่อสาร ผู้พันจึงให้เรียกตัวจ่ามาโลนมาพบเพื่อมอบหมายภารกิจ จ่ามาโลนแม้จะดวดเข้าไปพอสมควรก็ยังอุตส่ามีสติพอจะรับฟังคำสั่งได้รู้เรื่อง แต่ก็ยังไม่วายถูกผู้พันคาดโทษ จ่ามาโลนจำใจกลับมาออกคำสั่งกับลูกน้องซึ่งแต่ละคนท่าทางจะหลังยาวพอๆ กัน แม้จะต้องถกเถียงเกี่ยงงานกันนิดหน่อย สุดท้ายทุกคนก็ต้องยอม รวมทั้งซาลที่จะต้องอดไปพบรอสสินีตามนัดด้วย ลืมเล่าไปนิดนึงว่าผู้พันซึ่งทราบว่าหมู่ของจ่ามาโลนไม่ค่อยจะรบเป็นได้สั่งให้นำทหารชื่อแพ็คการ์ดไปด้วยอีกคน ตอนจะขึ้นรถไปด้วยกันลูกน้องคนหนึ่งบอกจ่าว่าตาคนนี้หมอเขาบอกว่าตะแกเพี้ยนๆ น่าจะไปอยู่ในโรงพยาบาลบ้ามากกว่า แต่จ่าแกคงตกกระไดพลอยโจนแล้วเลยต้องรับตาแพ็คการ์ดมาร่วมคณะ หลังจากเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง รถได้จอดให้สมาชิกปัสสาวะข้างทาง พอดีมีชาวบ้านอิตาเลียนกลุ่มหนึ่งหอบข้าวของเดินสวนทางมา ทักทายกันล้งเล้งอยู่พักหนึ่งจ่าก็สั่งให้เดินทางต่อ แต่รถเจ้ากรรมเกิดสตาร์ทไม่ติดขึ้นมา พยายามซ่อมก็ไม่สำเร็จ วิทยุไปขอรถคันใหม่ผู้พันก็ไม่ให้ จ่ามาโลนจึงสั่งให้ลูกน้องยึดรถเข็นของชาวบ้านอิตาเลียนที่ยังนั่งพักอยู่บริเวณนั้นมาใช้ขนของแทน ทหารที่เหลือแบกลังบ้าง ถือปืนคุ้มกันบ้างออกเดินเท้ากันต่อไป บรรดาชาวบ้านอิตาเลียนทีแรกก็ไม่พอใจ แต่พอทหารอเมริกันคล้อยหลังไปได้สักหน่อย ลองซ่อมรถดูจนสำเร็จ ก็พากันขึ้นรถออกเดินทางกันต่อด้วยความดีใจที่ได้รถฟรีราวกับถูกหวย

จ่ามาโลน (ซ้ายสุด) แพคการ์ด (กลาง) และพรรคพวกคุมเชิงขณะพบชาวบ้านอิตาเลียนเดินสวนทางมา

การต้อนรับอย่างอบอุ่น

ชาวบ้านนำอาหารมาเลี้ยงพวกพาร์ติซาน
คณะของจ่ามาโลนมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะสงบเงียบผิดปกติ จึงนำแพ็คการ์ดเข้าไปตรวจ แต่ครั้นพอพบชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ เรื่องลุ้นระทึกก็คลี่คลายกลายเป็นได้รับการต้อนรับจากชาวบ้านให้ร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกันอย่างอบอุ่น จังหวะนี้สายสืบของเยอรมันซึ่งเป็นเพื่อนของผู้หมวดบรึกเนอร์ได้โผล่เข้ามา โดยเขาโกหกว่าเป็นทหารอังกฤษจากสก็อตแลนด์ที่ถูกจับในอาฟริกาเหนือหนีมาจากค่ายเชลยศึก และไม่อยากกลับไปรบอีก ซึ่งจ่ามาโลนกับพวกก็เชื่อสนิท หลังอาหารค่ำมีมุขขำๆ นิดๆ ระหว่างทหารหนุ่มๆ กับสาวๆ ชาวบ้าน สาวคู่หนึ่งแย่งกันอ่อยทหารอเมริกันจนมีปากเสียงกัน แต่ลงท้ายกลับชวนกันเอาเสบียงไปส่งให้พวกพาร์ติซาน ด้านเฟเนลีทำท่าจะได้แอ้มสาวฟรานเชสก้าผู้เงียบขรึม แต่สุดท้ายพบว่าเธอ "ไม่มีฟัน" (แต่ในภาพที่เห็นเธอมีฟันเหมือนกันครับแต่ดูกระดำกระด่างน่าเกลียดมาก) แล้วคนที่ได้แอ้มจริงๆ กลับเป็นคู่ของยอดชายนายแพ็คการ์ดกับแม่เฒ่าโซเฟีย รุ่งเช้าทหารอเมริกันออกเดินทางต่อ โดยสายสืบเยอรมันได้แอบส่งข่าวไปยังผู้หมวดบรึกเนอร์
ทีนี้ต้องย้อนกลับมาที่ฝ่ายทหารเยอรมัน+อิตาเลียนอีกที คืนถัดมารถบรรทุกของทหารเยอรมันถูกซุ่มโจมตีโดยหน่วยพาร์ติซาน รุ่งเช้ารอสสินีกับลูกน้องอีก 2 คนมาสำรวจหาของที่อาจจะหลงเหลือแล้วถูกทหารเยอรมันจับได้ แล้วส่งตัวมาให้ผู้หมวดกิอานีนี ๆ สั่งให้เอาลูกน้องของรอสสินีทั้ง 2 คนไปเป็นทหาร ส่วนรอสสินีถูกลงโทษประหารชีวิตเพื่อเอาใจฝ่ายเยอรมันในวันรุ่งขึ้นด้วยการยิงเป้า

หมวดกิอานินีจำใจสั่งประหารรอสสินีเพื่อเอาใจเยอรมัน
ทางฝ่ายจ่ามาโลนกับพวกเดินทางมาจนถึงบริเวณที่ซันวาโตเรกับเพื่อนอีก 2 คนตั้งบังเกอร์รังปืนกลอยู่ ทำให้ซาลซึ่งทำหน้าที่พลวิทยุถูกยิงเสียชีวิตทันที ที่เหลือก็หลบเข้าที่กำบังกันให้จ้าละหวั่น จ่ามาโลนก็ยังอุตส่าใช้ให้จิมมี่ไปเอาวิทยุมาจากศพของซาลได้ จากนั้นจ่าแกก็คว้าเหล้ามาดวดแก้กลุ้มพร้อมกับระบายความในใจเรื่องคุณพ่อที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แล้วถูกจับขึ้นศาลทหารข้อหาพาลูกน้องไปตายแล้วหนีกลับมา บรรดาลูกน้องที่เหลือนั้นจะเห็นใจแค่ไหนไม่ทราบ แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้กำลังต้องการผู้นำมากกว่า โชคยังดีที่รถหุ้มเกราะอเมริกันคันหนึ่งผ่านมาพอดี ซันวาโตเรพยายามยิงต่อสู้ แต่รถเกราะก็คือรถเกราะ นอกจากยิงไม่เข้าแล้ว มันซัดกลับตูมเดียวปืนกลของเขาก็เงียบเสียง เพื่อนๆ ทั้ง 2 ของเขารีบเผ่นออกมายอมมอบตัวกับทหารอเมริกันโดยดี ด้านแพ็คการ์ดได้ย่องไปยังรังปืนกล พบร่างของซันวาโตเรนั่งคุกเข่าหายใจรวยริน แพ็คการ์ดก็ช่วงประคองร่างเขาลงนอนแล้วปิดเปลือกตาให้ก่อนเดินจากไป

ซันวาโตเรยิงสกัดคณะของจ่ามาโลน โชคร้ายที่รถหุ้มเกราะอเมริกันมาพบเข้า
เหตุการณ์ทางฝ่ายทหารเยอรมัน-อิตาเลียน ผู้เขียนบทปล่อยมุกสุดท้ายออกมาโดยให้ทหารอิตาเลียนที่กำลังขุดดินแกล้งโยนดินใส่ทหารเยอรมัน แล้วเลยเกิดเป็นเรื่องชกต่อยกันอีก ระหว่างที่กำลังชุลมุนกันนั้นทหารอิตาเลียนคนหนึ่งแอบขโมยปืนไรเฟิลอัตโนมัติ MP44 ของทหารเยอรมันคนหนึ่งไปยิงได้กวางหนึ่งตัว (เจ้าปืนโมเดลนี้ หลายคนเคยบอกว่า มันเป็นอาวุธพิเศษของหน่วยเอสเอส แต่ไหงมาโผล่เป็นอาวุธของทหารหน่วยนี้ได้) คราวนี้ผู้หมวดของทั้ง 2 ฝ่ายนอกจากจะมาห้ามการทะเลาะวิวาทกันแล้ว ยังต้องมาเจรจาต่อรองเรื่องเนื้อกวางอีก ซึ่งก็ตกลงแบ่งกันกินได้ด้วยดี
ทีนี้รบกันจริงๆ จังๆ ซะทีละนะ จ่ามาโลนกับพวกนำของมาถึงแนวหน้าได้สำเร็จ พอดีจังหวะที่มีคำสั่งให้เข้าโจมตีข้าศึก คุณจ่ากับพวกเลยต้องตกบันไดพลอยโจนเข้าร่วมการเข้าตีกับเขาไปด้วย ด้านผู้หมวดบรุกเนอร์ได้รับคำสั่งให้นำกำลังป้องกันที่ตั้งจนคนสุดท้าย แต่ผู้หมวดกลับตัดสินใจส่งทหารส่วนใหญ่ไปสมทบกับหน่วยอื่นในแนวหลัง ขออาสาสมัครแค่ 2 คนมาช่วยเขาในการต่อสู้ถ่วงเวลาข้าศึก ผู้ที่อาสาคือฮันส์ซึ่งถูกตัดขาจากการบาดเจ็บขณะลาดตระเวณ กับวูลฟ์ ลูกน้องคนสนิทของผู้หมวดเอง ส่วนทหารอิตาเลียนของหมวดกิอานีนีก็จากไปเช่นเดียวกับทหารเยอรมันส่วนใหญ่ ถึงฉากสุดท้าย บางท่านคงเดาได้ ผู้หมวดกับอาสาสมัครร่วมตายรวม 3 คนได้ไปปักหลักตั้งปืนกลยิงสกัดข้าศึกที่เนินแห่งหนึ่ง และทหารอเมริกันกลุ่มที่ถูกโจมตีนั้นก็มีกลุ่มของจ่ามาโลนร่วมมาด้วย ทหารเยอรมันทั้ง 3 รบต้านทานข้าศึกอย่างห้าวหาญ สามารถสังหารข้าศึกไปได้หลายคนรวมทั้งคณะของจ่ามาโลนทั้งหมดโดยต้องแลกชีวิตกับเขาทั้ง 3 ด้วยเช่นกัน ผู้สร้างก็อุตส่าเจาะจงให้แพ็คการ์ดเป็นคนลั่นไกสังหารผู้หมวดบรุกเนอร์ก่อนที่ตะแกจะขาดใจตายลงเช่นกัน ความน่าสังเวชคือทหารอเมริกันที่เหลือรอดได้ดึงเอาเหรียญกางเขนเหล็กจากศพของผู้หมวดไปเก็บเป็นที่ระลึก แล้วจับร่างทั้งสามมาจัดฉากถ่ายรูปเก็บเพื่อเก็บไว้ลงวารสารไทม์

3 ทหารเสือเยอรมันรบถ่วงเวลาสกัดกั้นฝ่ายอเมริกันอย่างสุดฤทธิ์ทั้งที่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
เมื่อตอนที่มีผู้ตั้งกระทู้แนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ ผมได้ให้ความเห็นจากการดูครั้งแรกในทำนองว่า เป็นหนังประเภทที่เหมือนจะต้องปีนบันไดดู ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องที่มีความซับซ้อนอะไรนัก ความแตกต่างจากภาพยนตร์สงครามประวัติศาสตร์หลายๆ เรื่องคือการเป็นภาพยนตร์แนวดรามาปนคอมเมดี้นิดๆ ที่พยายามกล่าวถึงหลายๆ คนในทุกฝ่ายที่เกี่ยวกับสงคราม ไม่ได้มีการแบ่งแยกตัวละครเป็นพระเอก-ผู้ร้ายหรือฝ่ายดี-ฝ่ายชั่ว ไม่ได้มีการดำเนินเรื่องแบบต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคไปจนถึงจุดหมาย มีแต่การเดินเรื่องไปเรื่อยๆ ไปจนถึงการปะทะครั้งสุดท้ายที่ตัวละครหลักสองกลุ่มตายกันหมด
ถ้าจะถามกันตรงๆ ว่าผมเข้าใจเรื่องนี้ว่าอย่างไรคงยากที่จะตอบ ข้อสรุปส่วนตัวโดยคร่าวๆคือ ไม่ใช่ภาพยนตร์ที่จะดูเพื่อเอา "เนื้อเรื่อง" แต่เป็นการดูเพื่อเอา "บรรยากาศ" และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของตัวละครที่มีความหลากหลายมากกว่า
ในแง่ของประวัติศาสตร์ ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดของเหตุการณ์สำคัญอะไรมาก แต่ในเรื่องของรายละเอียดของเครื่องแต่งกายทหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ที่ใช้ น่าสนใจมาก อาจจะเอาไปใช้ในการอ้างอิงในการสร้างภาพยนตร์เรื่องอื่น หรือระดับชาวบ้านอย่างเราๆ อาจจะเอาไปใช้อ้างอิงเพื่อการวาดรูป ประกอบชุดจำลองพลาสติค ฯลฯ ก็ยังได้

มวยหมู่อิตาเลียน VS เยอรมัน
ด้านภาพลักษณ์ของแต่ละฝ่าย จากการที่เป็นภาพยนตร์ที่ร่วมมือกันสร้างของ 3 ชาติในเรื่อง คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน และอิตาลี อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ตัวละครไม่มีแยกเป็นฝ่ายดี-เลวอย่างชัดเจน แม้อย่างนั้น ดูเหมือนทางฝ่ายอเมริกันที่ถ่ายทอดผ่านจ่ามาโลนกับพวกซึ่งเป็นทหารพลาธิการจะดูแย่ที่สุด คือ หัวหน้าเมาหยำเป ลูกน้องก็เละๆ เทะๆ ค้าของในตลาดมืด ซ่อมรถไม่เป็น ฯลฯ แต่มองในด้านบวกสักหน่อยก็ต้องบอกว่าคนพวกนี้ไม่ใช่นักฆ่าบ้าสงคราม ทหารอิตาลีนั้นด้านลบก็คล้ายกับที่เราคงได้ทราบมาก่อนในเรื่องความอ่อนปวกเปียก เหมือนจะรบไม่เป็น แต่ก็หยิ่งในศักดิ์ศรีอยู่บ้าง ทางฝ่ายเยอรมันดูเผินๆ เหมือนจะดูดีที่สุด จากความเข้มแข็ง ความเสียสละของผู้นำอย่างผู้หมวดบรึกเนอร์ แทบจะไม่เห็นภาพของผู้ยึดครองที่ในเรื่องอื่นคงจะก้าวร้าวกว่านี้ แต่การถูกกองโจรพาร์ติซานรังควานจนไม่เป็นอันรบ แล้วมาใช้ให้ทหารอิตาเลียนที่เป็นชาติเดียวกันจัดการ และการกดดันให้ทหารอิตาเลียนลงโทษรอสสินี ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามอยู่เหมือนกัน
สรุปว่าเป็นภาพยนตร์ที่คอหนังสงครามแอคชันควรพิจารณาให้ดีก่อนซื้อ ส่วนคอหนังสงครามแนวดรามาต่อต้านสงครามนั้น ขอเพียงตั้งใจดู "บรรยากาศ" ของเรื่องแทนการดู "เนื้อเรื่อง" ก็น่าจะได้ซึมซับอะไรดีๆ จากเรื่องนี้ไปได้ไม่น้อยเหมือนกัน
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อันชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : The Fallen
ชื่อภาษาไทย : โคตรกองรบลุยไม่หวั่นตาย (เว่อซะไม่มี)
ผู้กำกำกับ : Ari Taub
ผู้เขียนบท : Nick Day, Caio Ribeiro
ผู้แสดง :
- Daniel Asher ... Lt. Watts
- Gianluca Bianco ... Toro
- Matthew Black ... Sgt. Hoakes (as Mathew Black)
- Davidé Borella ... Pietro
- Justin Brett ... Kinross
- Bob Brown ... Col. Bowen
- Hans-Dieter Brückner ... Cook
- Achim Buchner ... Franz (as Achim Beuchner)
- Nathan Crooker ... Ernie
- Peter G. Dirmeier ... Jürgen
- Emanuele Fortunati ... Rossini's cook
- Richard Kent Green ... Sam
- Britton Herring ... Cobb
- Ron Hirt ... Jimmy
- Markus Kirschbaum ... Hans
- Adán Latonda ... Mario
- Sergio Leone ... Salvatore
- Frank Licari ... Pipino
- Alessandro Lombardo ... Pasquale
- Massimo Lozza ... Luigi
- Francesco Mazzini ... Umberto
- John McVay ... Malone
- Karine Melo ... Francesca
- Andrea Modica ... Philipo
- John O'Leary ... Sal
- Antonio Oliveri ... Fenelli
- Nino Palmeri ... Antonio
- Ruben Pla ... Packard
- Thomas Pohn ... Lt. Gunther
- Lucio Polosa ... Stefano
- Cristina Pronzati ... Maria
- Rafael Quiles ... Marcello
- Carmine Raspaolo ... Rossini
- Andy Redmond ... Scammel
- Dieter Riesle ... Otto
- Paola Romagnani ... Rosa
- Mirella Sanseviero ... Sofia
- Vincenzo Sanseviero ... Federico
- Fabio Sartor ... Lt. Gianini
- Dirk Schmidt ... Wulfe
- Stephan Schmützler ... Schultz
- Marc Schwarz ... Private Gallaway
- Brett G. Smith ... Murphy (as Brett Smith)
- Wolfram Teufel ... Kreuger
- Nicola Tranquillino ... Paolo
- Frank Voß ... Johann
- Milton Welsh ... Thomas (as Milton Welsch)
- Andrew Zappone ... sergeant Biggs
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์