
webmaster@iseehistory.com
แม้จีนจะเป็นชาติหนึ่งที่มีประเพณีที่ทำให้ฐานะของสตรีด้อยกว่ากว่าชายไม่น้อยไปกว่าชาติใดๆ แต่ในประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่และยาวนานของจีนเองกลับปรากฏว่ามีบทบาทของสตรีหลายนางในหลายยุคสมัย ทั้งรายที่ผู้คนยกย่องสรรเสริญ และรายที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ในครั้งนี้เราลองมาดูบทบาทของสตรีนางหนึ่งในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ชาวจีนต่างประณามว่าเธอทรยศขายชาติ ให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นต่อการข่มเหงรุกรานจีนต่างๆ นานา แม้จะมีชื่อเสียงในทางลบ แต่แน่นอนว่านั่นหมายถึงการที่เธอมีบทบาทที่โดดเด่นกว่าสตรีทั่วไปหรืออาจมากกว่าผู้ชายหลายคนด้วยซ้ำ เธอคือ จินทิฮุย Jin Bihui (金璧輝) หรือชื่ออื่นอีกหลายชื่อ เช่น ตงเจิน Dongzhen (東珍) ซึ่งแปลว่า เพชรน้ำหนึ่งแห่งบูรพา แต่ชื่ออาจเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดเป็นชื่อญี่ปุ่นว่า Kawashima Yoshiko อันกลายมาเป็นชื่อหนึ่งของภาพยนตร์ฮ่องกงที่เริ่มฉายในปี 1990/พ.ศ.2533 ที่สร้างจากนวนิยายของ Lillian Lee ครับ

โยชิโกะในวัยเด็กกับบิดาก่อนเดินทางไปญี่ปุ่น
ภาพยนตร์เริ่มฉากแรกเมื่อจีนฉลองชัยชนะต่อญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นผลให้ จินทิฮุย หรือ คาวาชิมา โยชิโกะ ต้องถูกนำตัวขึ้นศาลในฐานะอาชญากรสงครามด้วยข้อหาต่างๆ ได้แก่ ให้ความช่วยเหลือญี่ปุ่นในการรุกรานจีน ก่อตั้งประเทศแมนจูกัว โยชิโกะกลับขอบุหรี่สูบด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน และทวงบุญคุณเอากับผู้อยู่ในคณะผู้พิพากษา จากนั้นภาพยนตร์จึงย้อนไปยังช่วงที่เธอยังเป็นเด็ก องค์หญิง 14 แห่งอ๋องซู่ ต้องรับคำสั่งจากบิดาให้ไปเป็นลูกเลี้ยงขอเพื่อนชาวญี่ปุ่นชื่อว่า Naniwa Kawashima เพื่อรอวันกอบกู้ราชวงศ์แมนจู โดยให้ใช้สกุล คาวาชิมา ต่อพ่อเลี้ยง และใช้ชื่อว่า โยชิโกะ เวลาต่อมาที่ญี่ปุ่น เมื่อโยชิโกะเติบโตเป็นสาว เธอได้มีคู่รักเป็นนายทหารชื่อ รต.ซินเจียเฮิง อามากาสึ แต่นายคาวาชิมาพ่อเลี้ยงของเธอได้อ้างคำสั่งเสียของพ่อเธอและมติของที่ประชุมระหว่างแก๊งค์มังกรดำกับบรรดาผู้แทนมองโกเลียและแมนจูบีบบังคับให้เธอแต่งงานกับองค์ชายมองโกเลีย นามว่า Ganjuurjab เพื่อเตรียมฟื้นฟูแมนจู และนายคาวาชิมายังได้ข่มขืนเธอด้วย จากนั้นโยชิโกะในสภาพที่ตัดผมสั้นและแต่งตัวเหมือนผู้ชายก็ขอเลิกกับอามากาสึ แล้วไปแต่งงานกับเจ้าชายมองโกลได้เพียง 3 ปี ก็หย่ากัน (ในประวัติศาสตร์บอกว่า 2 ปี ปีที่แต่งงานคือ ค.ศ.1927/พ.ศ.2470) และยังได้ทิ้งนายคาวาชิมาไปเมืองจีนเพื่อไป "ทำงานใหญ่" ด้วยตัวเอง โดยหาทุนจากการเขียนชีวประวัติของเธอเองขายให้กับนักเขียนชาวญี่ปุ่น ก่อนจะไปเมืองจีน ขณะที่เธอกลับไปหาอามากาสึกคนรักเก่าของเธอก็พบว่าเขากำลังมั่วกับเกอิชาอยู่ จึงได้ผละหนีไป โดยทิ้งเงินไว้ให้จำนวนหนึ่งที่เธอบอกว่าเป็นการใช้หนี้บุญคุณกัน
.jpg)
โยชิโกะกับรต.อามากาสึ

แต่งงานกับองค์ชายมองโกเลีย
เมื่อโยชิโกะมาถึงเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็ถูกวิ่งราวกระเป๋า แต่ได้ชายคนหนึ่ง ชื่อ ฟุก หรือ หยุนไค ตัวละครจากโรงงิ้วแถวนั้น ช่วยไว้ โดยอาฟุกเข้าใจว่าเธอเป็นชาวญี่ปุ่น แล้วเธอก็เข้าไปติดต่อกับนายพลญี่ปุ่นนามว่า Ryukichi Tanaka โดยยกเขาเป็นพ่อเลี้ยง แต่โดยนัยแล้วท่านผู้อ่านคงเดาได้ว่าเขามีสัมพันธ์กันแบบไหน ต่อมา ทานากะและโยชิโกะได้ไปรับเสด็จพระจักรพรรดิ์ปูยี จักรพรรดิ์องค์สุดท้ายของจีนมาเพื่อเตรียมการก่อตั้งประเทศแมนจูกัว แต่ปัญหาคือพระจักรพรรดินีหรือฮองเฮายังอยู่ที่เมืองเทียนสิน ไม่ได้ตามเสด็จมาด้วย โยชิโกะจึงได้แสดงฝีมือด้วยการเดินทางไปลักพาองค์ฮองเฮามาได้สำเร็จ โดยลงทุนทั้งเล่นบทสัมพันธ์สวาทกับฮองเฮา และสังหารสายลับญี่ปุ่นที่มาด้วยกันเพื่ออำพรางแผนการ และแล้ว เมื่อญี่ปุ่นสามารถสถาปนาประเทศแมนจูกัวได้สำเร็จ (ตรงกับวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 1932/พ.ศ.2474) โยชิโกะก็ได้รับรางวัลในตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร ในขณะที่กำลังรุ่งเรืองด้วยอำนาจวาสนาเช่นนี้ เรื่องความรักของเธอก็ใช่ย่อย เธอพบว่าอามากาสึได้มาประจำการอยู่ที่แมนจูเรีย และพาสาวมานอนที่บ้าน ก็เลยเกิดการหึงหวงแง่งอนกันตามประสา จากนั้นเธอได้ไปราชการที่เซี่ยงไฮ้ ขณะที่กำลังเจรจางานในโรงงิ้ว เธอเห็นผู้แสดงเป็นเห้งเจียหรือซุนหงอคงก็จำได้ทันทีว่าเป็นอาฟุก จึงให้เลขาเชิญเขามาพบที่บ้านพัก ซึ่งทีแรกก็พูดจาปราศรัยกันดี แต่เมื่อโยชิโกะเล่าประวัติความเป็นมาของเธอให้ฟัง อาฟุกก็ไม่พอใจเพราะเห็นว่าการที่เธอให้ความร่วมมือกับญี่ปุ่นเป็นการ "ขายชาติ" ทำให้เกิดสงครามและคนจีนต้องถูกสังหารไปมากมายและผละหนีไป แต่โยชิโกะได้ใช้อำนาจบีบบังคับให้อาฟุกกลับมาแสดงบทซุนหงอคงที่เขาถนัดให้เธอดูเป็นการส่วนตัว จนกระทั่งเธอเมามายไม่ได้สติ อาฟุกจึงปลีกตัวกลับออกไป

โยชิโกะกับนายพลทานากะ (คนกลาง) รับเสด็จจักรพรรดิปูยี (ขวา)

รับตำแหน่งในวันสถาปนาประเทศแมนจูกัว
เมื่อมีอำนาจวาสนาทางการเมืองก็ต้องมีศัตรูทางการเมือง ขณะที่เธอกำลังกล่าวปราศรัยต่อกองทหารที่กำลังจะส่งไปร่วมรบกับญี่ปุ่น เธอก็ถูกทหารคนหนึ่งลอบยิงได้รับบาดเจ็บ เมื่ออาการดีขึ้น เธอได้มาสอบสวนคนร้ายด้วยตัวเองเพื่อเค้นความจริงว่าใครคือผู้จ้างวาน พรรคก๊กมินตั๋ง พรรคคอมมิวนิสต์ หรือญี่ปุ่น? แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ต่อมาขณะที่เธอไปฉลองวันเกิดที่ร้านแห่งหนึ่งในเทียนสิน คราวนี้อาฟุกมาเองครับ เขานำคนจำนวนหนึ่งมาประกาศที่จะสังหารคนขายชาติ แต่จะด้วยเหตุใดไม่ทราบ อาฟุกกับพรรคพวกกลับลงมือสังหารคนที่นั่งอยู่ใกล้เธอแทนที่จะยิงเธอเป็นคนแรก ขณะที่โยชิโกะเองก็เอาแต่ยืนตลึงดูคนอื่นถูกยิงไปทีละคน กว่าจะถึงคิวลั่นไกสังหารเธอ ปืนก็ขัดข้อง ผลคืออาฟุกได้รับบาดเจ็บและถูกจับ คนอื่นๆ หากไม่ตายในที่เกิดเหตุก็คงถูกจับสังหารในเวลาต่อมา แต่ตัวอาฟุกนั้น โยชิโกะให้ไปรับตัวมารักษาพยาบาลที่บ้านโดยอ้างกับเจ้าหน้าที่ว่าเธอต้องการสอบสวนคนร้ายรายนี้เอง วันต่อมาทานากะได้มาเยี่ยมโยชิโกะ แล้วก็เกิดการทะเลาะกันสามเส้าทั้งระหว่างโยชิโกะกับทานากะ ทานากะทำร้ายอาฟุกจนถูกโยชิโกะไล่ไป แล้วโยชิโกะกับอาฟุกก็ทะเลาะกันเรื่องการเมืองต่อ แล้วอาฟุกซึ่งอาการดีขึ้นบ้างแล้วก็หนีจากเธอไป

หลิวเต๋อหัวในบทอาฟุกแสดงเป็นซุนหงอคงหรือเห้งเจียให้โยชิโกะดูเป็นส่วนตัว

เมื่อเห็นว่าโยชิโกะเริ่มจะไว้วางใจไม่ได้ นายพลทานากะจึงใช้ให้อามากาสึกไปสังหารโยชิโกะ อามากาสึทำทีไปเยี่ยมโยชิโกะ ๆ ชวนเขาให้ไปไหว้พระด้วยกัน ในที่สุดอามากาสึก็ฆ่าเธอไม่ลง และพาเธอไปยังท่าเรือเพื่อส่งกลับประเทศญี่ปุ่น (แต่ในประวัติระบุว่าเธอถูกจับได้ที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 11 พฤศจิกายน 1945/พ.ศ.2488) จากนั้นภาพยนตร์ได้ย้อนกลับมายังการพิจารณาคดีของโยชิโกะภายหลังสงคราม เธอพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา และแสร้งบิดเบือนปีเกิดให้ศาลสับสน แต่เมื่อทางการติดต่อไปยังญี่ปุ่นเพื่อขอหลักฐานการเกิดของเธอ ปรากฏว่านายคาวาชิมาผู้เป็นพ่อเลี้ยงซึ่งถูกจับกุมเพราะติดต่อกับแก๊งค์มังกรดำไม่กล้าเปลี่ยนวันเดือนปีเกิดของเธอ เธอจึงถูกศาลพิพากษายึดทรัพย์และให้ประหารชีวิต ก่อนถึงวันประหาร อาฟุกได้มาพบเธอในฐานะเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ และบอกเธอว่าในตอนประหารชีวิตนั้น จะใช้ลูกปืนไม่มีหัวกระสุน ให้เธอแกล้งทำเป็นตาย แล้วจากนั้นเขาจะจัดการทุกอย่าง แล้วภาพยนตร์ก็จบลงตรงที่ฉากการประหารชีวิตเธอ (ปี 1948/พ.ศ.2491) โดยทิ้งปริศนาไว้ว่าสิ่งที่อาฟุกพูดเป็นความจริงหรือไม่
ภาพยนตร์ความยาวเพียง 96 นาทีเรื่องนี้ดูเหมือนจะพยายามสะท้อนสภาพชีวิตของเธอในแบบดรามามากกว่าแอคชั่นสงครามหรือรายละเอียดทางประวัติศาสตร์การเมือง เมื่อเทียบกับประวัติชีวิตของเธอแล้วยังขาดรายละเอียดไปไม่ใช่น้อย ดังเช่น นายพลญี่ปุ่นที่เธอติดต่อสัมพันธ์ไม่ได้มีแต่นายพลทานากะที่ตามประวัติศาสตร์บอกว่ากลับไปญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1939/พ.ศ.2482 เธอได้ทำงานให้กับนายพลตรี Kenji Doihara จนก่อตั้งประเทศแมนจูกัว แล้วจึงไปเป็นภรรยาของพลตรี Hayao Tada ผู้สร้างคงไม่อยากให้มีตัวละครมากเกินจึงได้ให้เหลือแต่ทานากะคนเดียว แต่อาจจะไม่ยุติธรรมกับนายพลทานากะตัวจริงสักเท่าไหร่ และบทบาททั้งทางด้านการทหารและการเมืองของโยชิโกะก็มีมากกว่าที่เห็นในภาพยนตร์ ส่วนอามากาสึกับอาฟุกนั้น น่าจะเป็นตัวละครที่แต่งเติมขึ้นมา

อาฟุกบุกเข้าสังหาร "คนขายชาติ"
ตัวละครหลัก คือโยชิโกะนั้น เหม่ยเยี่ยนฟาง สามารถรับบทโยชิโกะได้เหมาะสม คือเป็นทั้งผู้หญิงที่สวยและออกจะห้าวๆ คล้ายกับที่ในประวัติบอกว่าเธอจะดูกึ่งทอมบอยกึ่งวีรสตรี
ปัญหาสำคัญสำหรับภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์เช่นนี้ คือเรื่องที่ว่าควรจะอธิบายประวัติศาสตร์ประกอบไปด้วยแค่ไหน ซึ่งหากอธิบายมากไปอาจทำให้เรื่องเอียงไปทางสารคดีจนเสียอรรถรส สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูจะให้รายละเอียดทางประวัติศาสตร์น้อยมาก ลำพังการนำหนังสงครามสีซีเปียที่ถ่ายจากเหตุการณ์จริงมาแทรกเป็นระยะๆ นั้นแทบจะไม่ช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย

อามากาสึได้รับคำสั่งให้มาเก็บโยชิโกะ แต่ก็ทำไม่ลง
ในภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ที่ผมเขียนแนะนำมา ผมไม่เคยวิจารณ์เรื่องแสงสีแสงเงาของภาพยนตร์ เนื่องจากไม่มีความรู้และรู้สึกว่าไม่จำเป็น สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ดูทีแรกๆ ก็ไม่ได้สะกิดใจอะไร แต่พอถึงตอนที่จะต้อง capture ภาพมาประกอบบทความจึงเห็นได้ชัดเลยครับ ว่าหลายภาพที่กะจะเป็นภาพทีเด็ด กลับเห็นเงาแทบจะครึ่งหน้าหรือเต็มหน้าตัวละคร บางภาพสีใบหน้าคนเพี้ยนเป็นสีม่วงก็มี อย่างนี้จะถือว่าสอบตกเรื่องการให้แสงได้หรือไม่ ใครมีความรู้ด้านนี้ช่วยตอบทีครับ
ในภาพรวมถือว่าเป็นภาพยนตร์แนวดรามาอิงประวัติศาสตร์ที่นำผู้ที่ถูกประวัติศาสตร์ตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายมาแสดงให้เห็นเบื้องหลังชีวิตที่มีความน่าเห็นใจอยู่บ้าง สิ่งที่ผลักดันให้โยชิโกะต้องเป็นเช่นนี้ น่าจะมาจากการต้องพลัดพรากจากบ้านเมืองตั้งแต่เด็ก การถูกพ่อเลี้ยงข่มขืนและบังคับให้แต่งงานกับผู้ชายที่เธอไม่รักในวัยรุ่น มาในฉากที่เธอบังคับให้อาฟุกมาแสดงที่บ้านนั้น จะเห็นเธอเมามาย ออกอาการเหงาในแบบคนที่ยิ่งสูงยิ่งหนาว เหล่านี้จะเพียงพอให้เรามีความเห็นใจต่อการกระทำที่ชาวจีนส่วนใหญ่ตราหน้าว่าเธอขายชาติหรือไม่ ก็สุดแต่ท่านผู้อ่านจะพิจารณาครับ
คำคมชวนคิด
- ฉันถูกกำหนดให้เล่นเกมนี้มาตั้งแต่เกิดแล้ว โยชิโกะบอกอามากาสึ
- เมฆผ่านไปก็จะเห็นดวงจันทร์ อาฟุกบอกโยชิโกะครั้งแรกที่พบกัน
- ผู้ชายมีใครไม่เห็นแก่ตัว แค่ผู้หญิงคนเดียวจะเป็นไรไป โยชิโกะทูลฮองเฮา
- ฉันไม่ได้ทำงานให้ญี่ปุ่น ฉันทำงานให้ตัวเอง - ฉันเดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง โยชิโกะบอกอามากาสึ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Kawashima Yoshiko/The Last Princess of Manchuria
ชื่อเรื่องภาษาจีน : Chuan dao fang zi, Chuen do fong ji (กวางตุ้ง)
ชื่อภาษาไทย : ผู้หญิงพันธุ์มหาอำนาจ
เรื่องเดิม : Lillian Lee (novel)
ผู้กำกำกับ : Eddie Ling-Ching Fong
ผู้เขียนบท : Lillian Lee (screenplay)
ผู้แสดง :
- Anita Mui (เหม่ยเยี่ยนฟาง) ... Yoshiko Kawashima / Kam Bik-Fai
- Andy Lau (หลิวเต๋อหัว) ... Fook (อาฟุก หรือ หยุนไค)
- Tung-Shing Yee ... Amakasu
- Lawrence Ng ... Lam
- Ken Lo ... Tanaka's Assistant
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์