
webmaster@iseehistory.com
ขณะที่เริ่มเขียนบทความนี้ เป็นช่วงของการส่งท้ายปีเก่า 2552 ต้อนรับปีใหม่ 2553 จึงคิดว่าปีใหม่ทั้งที แทนที่จะเขียนถึงหนังประวัติศาสตร์สงครามน่าจะเป็นเรื่องของความสุขสดใสบ้าง พอดีเมื่อตอนที่เขียนเรื่องพระเจ้าอโศกมหาราช ได้ลงท้ายว่าไม่อยากให้เรื่องนั้นเป็นเพียงหนังอินเดียเรื่องเดียว ซึ่งเรื่องที่สองที่กำลังจะเขียนนี้ก็เก็บสต็อคเอาไว้นานแล้ว แต่เหตุหนึ่งที่ลังเลใจที่จะเขียนคือ หนังเรื่องนี้เจอโดยบังเอิญเมื่อนานมาแล้ว พอเขียนแนะนำแล้วเดี๋ยวก็จะมีการถามหากันจ้าละหวั่น ถึงโอกาสนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดครับ เรื่องที่ว่านี้เกี่ยวกับความรักของกษัตริย์อินเดียโบราณที่กลายเป็นอมตะขึ้นมาได้ เพราะทรงมีศักยภาพพอที่จะสร้างอนุสรณ์ความรักในระดับมรกดโลกได้ นั่นคือ Taj Mahal: A Monument of Love หรือชื่อภาษาไทยว่า "ทัชมาฮาล รักเราเป็นนิรันดร์" ของผู้กำกับ Robin Khosla ที่เริ่มฉายเมื่อปี 2003/พ.ศ.2546 ครับ
ก่อนเข้าเรื่องภาพยนตร์มาดูความเป็นมาของทัชมาฮาลโดยย่อกันสักนิด ในบทความภาษาไทยเท่าที่ค้นได้ชอบเรียกทัชมาฮาลว่า "สุสานหินอ่อน" แต่ตามสายตาของเราๆ รู้สึกว่ามันเหมือนเป็นปราสาทราชวังมากกว่า เอาเป็นว่ามันเป็นสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่สร้างด้วยหินอ่อนที่ ชาห์ เจฮัน หรือ ชาห์ ชหาน (Shah Jahan) จักรพรรดิองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์โมกุล (Mughal) ของอินเดีย ทรงสร้างเป็นที่เก็บพระศพและอนุสรณ์สถานแด่พระนางมุมตัสมาฮาล พระมเหสีที่สิ้นพระชนม์ลงในปีพ.ศ. 2174 (ค.ศ. 1631) บนฝั่งแม่น้ำยมุนาเมืองอัครา ซึ่งปัจจุบันอยู่ในรัฐอุตตรประเทศของอินเดีย ใช้เวลาสร้างราว 20 ปี ภายหลัง ชาห์ เจฮัน ถูกโอรังเซบ พระโอรสจับขังและขึ้นครองบัลลังก์ ทรงถูกขังอยู่ถึง 8 ปี จนสวรรคตในปีพ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) และพระศพของพระองค์ถูกฝังในทัชมาฮาลเคียยงข้างพระมเหสี องค์การยูเนสโกได้รับรองให้ทัชมาฮาลเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2526 (ค.ศ.1983)


โซเฟียกำลังดูของที่ระลึกและโปสการ์ดนานาชนิดของทัชมาฮาล

ไก๊ด์หนุ่มอินเดียให้โซเฟียยืมหนังสือเกี่ยวกับความเป็นมาของทัชมาฮาล
ภาพยนตร์ดำเนินเรื่องโดยผ่านการบอกเล่าในตอนต้นของนักข่าวสาวอเมริกันนามว่าโซเฟียที่พึ่งหย่าจากสามีแล้วได้รับมอบหมายให้มาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับทัชมาฮาล คงเพื่อทำสกู๊ปหรืออะไรทำนองนั้น โดยได้รับความช่วยเหลือจากไก๊ด์หนุ่มชาวอินเดียที่พึ่งจบด้านประวัติศาสตร์โดยหลังจากการเยี่ยมชมทัชมาฮาลแล้ว เขาได้แนะนำให้เธออ่านหนังสือเล่มหนึ่งด้วย แล้วเรื่องก็มาเริ่มจริงๆ ในปี 1607/พ.ศ.2150 (ในบทภาษาไทยบอกว่าเป็นปี 1660/พ.ศ.2203 ซึ่งไม่ถูกต้องจะได้กล่าวถึงอีกทีในตอนท้ายครับ) ที่ตลาดแห่งหนึ่ง เมื่อ คูร์รัม พระเอกของเราซึ่งที่จริงเป็นเจ้าชายในคราบของทหารธรรมดาคนหนึ่ง ได้มาเที่ยวชมตลาดหรือย่านการค้าแห่งนี้ พอดีจังหวะที่นางเอกของเรานามว่า อาจูมัน ซึ่งขายผ้าอยู่ กำลังหยอกล้อกับเพื่อนฝูงประการใดไม่ทราบ ได้ขว้างจอกมาถูกพระเอกจนที่หัวจนได้แผลเข้าพอดี เพื่อเป็นการขอโทษเธอจึงได้ช่วยซับเลือดและมอบผ้าราคาแพงชิ้นหนึ่งให้เขาไป จากนั้นพระเอกของเราซึ่งตกหลุมรักนางเอกเข้าแล้วได้ให้ลูกน้องไปสืบว่าเธอเป็นใคร ได้ความว่าอาจูมันนั้นมีฐานะสูงเกินกว่าที่ทหารชั้นผู้น้อยจะเอื้อมถึงเพราะเป็นถึงเป็นบุตรีของอัครเสนาบดี ในบทภาษาไทยนี่ทำสับสนเหมือนกันครับ คือในตลาดเจ้าทหารคนนี้พูดกับพระเอกเหมือนเพ็ดทูลเจ้าชาย แต่พอมาส่งข่าวกลับพูดเหมือนพระเอกเป็นแค่ทหารธรรมดาจริงๆ ไม่รู้จะเอาไงแน่ ตะแกก็ดันชื่ออาซาฟ คล้ายๆ กับ อาซาฟข่าน พ่อของนางเอกเข้าให้อีก แต่ในเครดิตท้ายเรื่องเขาเขียนว่า Asif นะครับเอาเป็นว่าตาคนนี้ยังได้ข่าวมาด้วยว่านางเอกของเราจะต้องไปฟังอุซตาดอาลีคานร้องเพลงแต่เช้าตรู่ทุกวัน รุ่งขึ้นคูร์รัมจึงไปดักพบเธอ ทั้งสองได้พูดคุยและฟังคอนเสิร์ต เอ๊ย! การขับร้องเพลงอันไพเราะของท่านอุซตาด ในบรรยากาศที่โรแมนติคเหลือประมาณ จนอาจูมันสนใจที่จะไปหัดเล่นซีต้า (ไม่ใช่ กีตาร์ นะครับ) กับคูร์รัมในสวนหลวงในวันต่อๆ มา อันทำให้ทั้งสองยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้น และแล้ววันหนึ่งนางเอกของเราก็มาลาพระเอกเพื่อตามครอบครัวไปอยู่ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง หลังการอำลาอย่างอาลัยอาวรณ์ได้ไม่นานคูร์รัมก็ตามไปจนพบอาจูมันจนได้ ณ ที่นี้อาจูมันได้บอกความจริงว่าเธอเป็นบุตรีของอาซัฟข่าน ผู้เป็นทั้งอัครมหาเสนาบดีและพี่ชายของพระราชินี ซึ่งแน่ละว่าพระเอกของเราก็มิได้ย่อท้อแต่ประการใด

รักแรกพบ

ฟังอุซตาดอาลีคานร้องเพลง

สอนการเล่นซีต้า
ต่อมา ครอบครัวของอาจูมันบังเอิญจะต้องย้ายไปยังเมืองอัคราอย่างกระทันหัน เธอจึงมาบอกคูร์รัม ๆ จะไปสู่ขอ แต่อาจูมันเกรงว่าพ่อของเธอจะไม่ยอม ทั้งสองจึงนัดกันไปพบที่แม่น้ำเมืองอัครา เมื่อไปถึงเมืองอัครา อาจูมันพบพ่อกำลังลงโทษชายผู้หนึ่งอย่างทารุณ โทษฐานที่มาหลงรักหญิงสูงศักดิ์ เธอจึงยิ่งเกรงว่าพ่อจะไม่เข้าใจความรักของเธอกับคูร์รัม จึงหอบข้าวของมาหาคูร์รัม ๆ บอกจะพาอาจูมันไปหาพ่อ แล้วก็ขี่ม้าพาเธอเข้าเมืองไปจนถึงพระราชวังกระทั่งมาอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของพระราชาหรือพระจักรพรรดิ (ในเรื่องไม่ปรากฏพระนาม ตามประวัติศาสตร์คือ Nuruddin Mohammed Jahangir พระจักรพรรดิองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์โมกุล) ซึ่งอาซาฟข่านบิดาของอาจูมันกำลังเข้าเฝ้าอยู่ด้วย ทำเอานางเอกของเราทั้งงงงันและตื่นกลัวมาตลอดกว่าจะรู้ความจริงว่าคูร์รัมคือมกุฎราชกุมาร และในที่สุดบิดาของทั้งสองฝ่ายก็ยอมรับความรักของทั้งสอง แต่อุปสรรคก็ยังไม่ได้หมดไปเมื่อพระราชินีนูราจานซึ่งไม่ใช่มารดาของคูร์รัม ได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้คูร์รัมได้แต่งงานกับลัดลีเบกัมพระธิดาของตนที่เป็นลูกติดก่อนที่จะมาอภิเษกกับพระจักรพรรดิ ในที่สุด พระจักรพรรดิได้ทรงเรียกพระโอรสเข้าเฝ้าเพื่อขอให้คูร์รัมแต่งงานกับลัดลี คูร์รัมจึงปฏิเสธและทูลขอสละตำแหน่งมกุฏราชกุมาร ลัดลีจึงได้ไปอภิเษกกับมกุฏราชกุมารองค์ใหม่ แม้กระนั้นคู่พระคู่นางของเราก็ยังไม่หมดอุปสรรค ด้วยเหตุที่กองทหารยังศรัทธาต่อคูร์รัม จึงกลายเป็นเป้าหมายต่อการลอบสังหารและการถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ อาซัฟข่านได้ขอให้ทั้งสองลี้ภัยการเมืองไปยังปราสาทร้างที่ภูเขาแห่งหนึ่ง โดยมีกำลังทหารที่จงรักภักดีคุ้มครองอยู่จำนวนหนึ่ง และเป็นชัยภูมิที่ดี ยากที่กองกำลังใดจะตามขึ้นไปถึง ที่นั่นทั้งสองได้เข้าพิธีแต่งงานกันโดยพ่อของนางเอกไม่สามารถไปร่วมได้เนื่องจากถูกกักบริเวณอยู่ เวลาผ่านไปเป็นปีจนทั้งสองมีพระโอรสสององค์ นามว่า โอรังเซบ กับ ดาร่า แล้ววันหนึ่งคนของพระนางนูราจานก็ลอบเข้ามาจับพระโอรสทั้งสองไป คราวนี้เจ้าชายคูร์รัมจึงได้เสด็จไปจนถึงห้องพระบรรทมของพระบิดาซึ่งกำลังทรงพระประชวรอย่างหนัก พระจักรพรรดิทรงเสียพระทัยที่ไม่ยุติธรรมกับเจ้าชายมาตลอดและทรงพิโรธในสิ่งที่พระนางนูราจานกระทำ จากนั้นคูร์รัมได้ไปแจ้งข่าวต่ออาจูมันว่าพระนางนูราจานและพรรคพวกถูกจับกุมหมดแล้ว และทรงนำอาจูมันและพระโอรสไปเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิซึ่งใกล้จะสิ้นพระชนม์เต็มที พระจักรพรรดิทรงขอให้คูร์รัมสืบราชสมบัติต่อไป โดยพระราชทานพระนามแด่อาจูมันว่า มุมตัสมาฮาล (ผู้งดงามแห่งราชวัง) และพระราชทานพระนามแก่เจ้าชายคูร์รัมว่า ชาห์ เจฮัน (ผู้ปกครองแห่งโลกใบนี้) จากนั้นก็สิ้นพระชนม์ แล้วพระจักรพรรดิและพระราชินีองค์ใหม่ก็ทรงเช็คบิลพระนางนูราจานแบบนิ่มๆ คือเพียงแต่ให้จองจำเท่านั้น ซึ่งพระนางนูราจานก็ทรงยอมรับแต่โดยดี

พาเข้าวังไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ (กลางขวา) โดยมีอาซาฟข่าน พ่อนางเอก (ขวาสุด) เข้าเฝ้าอยู่ด้วย

สถานที่ลี้ภัยการเมือง

ทำพิธีแต่งงาน
ทั้งสองพระองค์ทรงมีความสุขด้วยกันอีกเพียงระยะสั้นๆ ชาห์ เจฮัน ก็ต้องเสด็จเข้าสู่สงครามในขณะที่พระนางมุมตัสมาฮาลกำลังทรงพระครรภ์ ด้วยความรักและความเป็นห่วง พระนางประทับในเมืองหลวงได้ไม่นาน ก็เสด็จตามพระสวามีไปจนถึงบริเวณที่ไม่ห่างสนามรบมากนัก ชาห์ เจฮัน ทรงทราบก็รีบเสด็จมาพบพระมเหสี แต่ทรงหลงทางเสียเวลาในการเสด็จอยู่หลายชั่วโมง จนที่ทหารที่ค่ายพักของพระนางเข้าใจว่าอาจทรงถูกข้าศึกทำอันตราย ยิ่งทำให้พระนางมุมตัส มาฮาล ทรงพระกังวลมากขึ้น กว่าชาห์ เจฮัน จะเสด็จมาถึง พระนางก็ได้ให้กำเนิดพระธิดาเรียบร้อยแล้ว ทั้งพระวรกายและพระทัยอ่อนแอมาก ชาห์ เจฮัลได้ดูพระทัยพระมเหสีได้ไม่นานพระนางก็สิ้นพระชนม์ลง ตามประวัติศาสตร์นั้น ชาห์ เจฮัน ทรงครองราชย์เมื่อปีพ.ศ.2171 พระนางมุมตัส มาฮาล สวรรคตเมื่อ พ.ศ.2174(ค.ศ.1631) ชาห์ เจฮัน ทรงโทมนัสเป็นอย่างยิ่ง ประทับอยู่แต่ในห้องพระบรรทม ไม่เสด็จออกว่าราชการหรือให้ใครเข้าเฝ้า นอกจากบรรดาสถาปนิก ช่างก่อสร้าง นักออกแบบ เพื่อที่จะสร้างอนุสรณ์สถานให้กับความรักที่พระองค์มีต่อพระนางมุมตัสมาฮาลตามที่ได้ทรงรับปากไว้ก่อนพระนางสิ้นใจ นั่นก็คือการสร้างทัชมาฮาลนั่งเองครับ ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้างถึง 22 ปี หลังการก่อสร้างทัชมาฮาล เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างพระโอรสคือเจ้าชายโอรังเซบและเจ้าชายดาร่า โดยชาห์เจฮันทรงเห็นว่าดาร่าสมควรครองราชย์ต่อจากพระองค์ แต่ผู้ได้ชัยชนะกลับเป็นโอรังเซบ ในเรื่องไม่ได้กล่าวถึงชะตากรรมของเจ้าชายดาร่า แต่ชาห์เจฮันนั้นถูกพระเจ้าโอรังเซบตัดสินให้จองจำ โดยทรงยินยอมให้ขังในที่ๆ จะทรงมองเห็นทัชมาฮาลได้ตามพระประสงค์ของพระบิดา ระหว่างที่ทรงถูกกักขัง ได้ทรงใช้เวลาไปกับการทอดพระเนตรดูทัชมาฮาล และในท้ายเรื่องขณะทรงพระประชวรยังได้ทรงเล่าเรื่องราวความรักของพระองค์ประทานแด่พระธิดาคือเจ้าหญิงจาฮาร่า ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็สวรรคต ตามประวัติศาสตร์ (อีกที) เจ้าชายโอรังเซบทรงจับชาห์เจฮันขังและขึ้นครองราชย์แทนเมื่อปี พ.ศ. 2201 (ค.ศ. 1658) ชาห์เจฮันทรงถูกขังถึง 8 ปี จึงสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2209 (ค.ศ. 1666) ภาพยนตร์จบลงโดยโซเฟียที่อ่านหนังสือจบเล่มด้วยน้ำตาได้กลับไปเฝ้ามองทัชมาฮาลอย่างซาบซึ้ง

นำครอบครัวเข้าเฝ้าพระราชบิดาในวาระสุดท้าย

ขึ้นครองราชย์และชำระโทษพระนางนูราจาน

วาระสุดท้ายของพระมเหสีมุมตัสมาฮาล
โจทย์สำคัญสำหรับการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้คงเป็นดังบทสนทนาระหว่างไก๊ด์หนุ่มอินเดียกับโซเฟียที่ว่า ผู้คนทั่วไปยังทราบความสำคัญของทัชมาฮาลแต่เพียงฉาบฉวย แล้วก็นำชื่อของทัชมาฮาลไปใช้เพื่อการค้ากัน โดยไม่ได้เข้าใจลึกไปถึงความรักแท้ที่ทั้งสองพระองค์มีต่อกัน แล้วภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำให้อะไรๆ ดีขึ้นหรือไม่?
ข้อเท็จจริงที่ควรทราบประกอบการชมภาพยนตร์
ในบทภาษาไทยบอกว่าปีที่เจ้าชายคูร์รัมพบกับอาจูมันนั้น เป็นปี 1660 แต่ในเสียงซาวด์แทร็กบอกว่าเป็นปี 1607 ขณะมีพระชนมายุ 15 พรรษา ทั้งนี้ พระจักรพรรดิที่ในภาพยนตร์กล่าวถึง ทรงมีช่วงเวลาการครองราชย์ดังนี้ Jahangir 1605-1627, Shah Jahan 1627-1658 และ Aurangzeb 1658-1707 คงต้องบวก 543 ให้เป็นพ.ศ.กันเอาเองบ้างนะครับ หรือคิดง่ายๆ ว่าตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยาของเรานั่นแหละครับ

อนุสรณ์สถานแห่งความอาลัยรัก

พระธิดาองค์สุดท้ายเข้าเฝ้าจนวาระสุดท้าย
ในภาพยนตร์กล่าวถึงพระโอรสและพระธิดาของชาห์เจฮันเพียง 3 พระองค์ คือ เจ้าชายโอรังเซบ เจ้าชายดาร่า และ เจ้าหญิงจาฮาร่า ในประวัติศาสตร์กล่าวว่า "พระมเหสีมุมตัซสิ้นพระชนม์ หลังจากให้กำเนิดทายาทองค์ที่ 14" ดูเหมือนความรักเดียวใจเดียวในยุคที่ยังไม่รู้จักการวางแผนครอบครัว จะเป็นเหตุหนึ่งของการสิ้นพระชนม์ของพระนางมุมตัสมาฮาล แล้วก็นึกไปถึงเว็บโหราศาสตร์ของผม (www.rojn-info.com) ที่บรรดาผู้อยากมีลูกแห่กันมาขอให้ช่วยดูดวงทั้งที่ผมก็ไม่ได้มีครอบครัวกับเขาซักหน่อย โลกเราก็แปลกแท้ คนอยากมีลูกไม่ยักกะมี ไอ้ที่มีสมัยก่อนก็มีเป็นสิบ สมัยนี้มีแล้วเลี้ยงไม่ได้เอาไปทิ้งขว้างกันจนเป็นข่าวบ่อยๆ กลับเข้าเรื่องของเราดีกว่าครับ ว่าที่ภาพยนตร์กล่าวถึงพระโอรสและพระธิดาเพียง 3 พระองค์ ก็คงจะด้วยความจำเป็น ถ้าขืนให้มีครบตามจริงการจะคัดเลือกตัวแสดงหรือจะเดินเรื่องมันคงยุ่งตามไปด้วย
ข้อสังเกตส่วนตัวอีกอย่างที่ได้เกริ่นไว้ตอนต้น คือ เหตุหนึ่งที่ความรักระหว่างชาห์ เจฮัน กับพระนางมุมตัส มาฮาล มันเป็นอมตะขึ้นมาได้ก็เพราะทรงมีศักยภาพที่จะสร้างอนุสรณ์แห่งความรักให้ใหญ่โตมโหฬารระดับมรดกโลกให้คนรุ่นหลังชื่นชมได้ ลองเป็นระดับชาวบ้านตาสีตาสาคงยากที่จะสร้างอะไรให้ใครจดจำเรื่องราวของตัวได้ แล้วในการสร้างสิ่งก่อสร้างมหึมาแบบนี้ ใช้คนนับหมื่นและใช้เวลาเป็นปีๆ จะถือว่าเป็นการสร้างความลำบากให้กับไพร่ฟ้าประชาชนหรือเปล่า? เท่าที่เคยได้ยินได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างแห่งนี้มา ดูเหมือนจะไม่มีเรื่องราวอะไรที่จะบ่งบอกความลำบากของผู้ที่ถูกเกณฑ์มาก่อสร้างดังเช่นสิ่งก่อสร้างบางแห่งแต่อย่างใด เป็นอันยกประโยชน์ให้ชาห์ เจฮัน ในเรื่องนี้ได้ ทั้งนี้ยังปรากฏว่าชาห์ เจฮัน ยังได้ทรงสร้างสถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่งดงาม อันได้แก่ Jama Masjid, Red Fort, Jahangir mausoleum และ Shalimar Gardens จนรัชสมัยของพระองค์เป็นเสมือนยุคทองของสถาปัตยกรรมอินเดีย

พระเจ้าโอรังเซบ ผู้สืบราชสมบัติ
ส่วนรัชสมัยของออรังเซบ พระโอรสที่จับพระองค์กุมขังไว้นั้น เป็นยุคที่จักรวรรดิโมกุลแผ่ขยายอาณาเขตลงมาทางใต้จนเกือบตลอดดินแดนที่เป็นอินเดียปัจจุบันเลยครับ
ข้อสังเกตอื่นๆ ในด้านการสร้างภาพยนตร์
จากการที่ผู้สร้างต้องการเน้นในเรื่องราวความรักของคู่พระคู่นาง ในด้านดีทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แทบจะไม่ปรากฏความรุนแรงใดๆ มีเพียงตอนที่อำมาตย์ของพระนางนูราจานมาสังหารทหารที่ดูแลพระโอรสของเจ้าชายคูร์รัมก่อนจับตัวไป กับตอนที่เจ้าชายคูร์รัมทรงต่อสู้กับทหารของพระนางนูราจานเพียง 2-3 คน นอกจากนั้นแล้วแม้กระทั่งในบทพูดก็ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการต่อว่าต่อขานเล็กๆ น้อยๆ ถ้านำมาจัดเรทตอนนี้คงได้ "ท" (ท ทหาร) ดูได้ทุกวัยชัวร์ๆ แต่อาจจะไม่สะใจแฟนเว็บไซต์นี้ที่ชอบหนังสงครามกันมากกว่า
ด้านบทบาทของพระเอกนั้น ก็เน้นแต่ในเรื่องของพระเอกรักเดียวใจเดียว จนบางท่านอาจจะรู้สึกหวานเลี่ยนๆ ในช่วงที่กำลังจีบนางเอกนั้น ช่างเหมือนพระเอกหนังรักทั่วๆ ไปที่วันๆ เหมือนไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ ทั้งที่ในเรื่องบอกว่าพระบิดาทรงโปรดให้เจ้าชายใช้ชีวิตอย่างทหารธรรมดาเพื่อจะได้เข้าใจชีวิตสามัญชน และในตอนที่เจ้าชายทรงสละตำแหน่งมกุฏราชกุมารแล้ว ในหนังกล่าวว่ายังทรงเป็นที่เคารพรักของบรรดาทหาร เป็นโจทย์ที่น่าคิดสำหรับผู้ศึกษาเรื่องภาพยนตร์เหมือนกันครับว่าควรจะเพิ่มเติมอะไรให้ประเด็นนี้ดูมีน้ำหนักมากขึ้นโดยไม่เสียอรรถรสของหนังรักโรแมนติค

ฉากที่พระเอกเขียนชื่อนางเอกในภาษา Urdu ไว้ตามต้นไม้ ในอินเตอร์เน็ตมีคนบอกว่าเขียนผิดด้วย
ด้านสถานะของนางเอกก็น่าแปลกตรงที่เธอ "ขายผ้า" และ "มีเพื่อน" แต่ในตอนแรกเพียงฉากเดียว การเป็นธิดาอัครมหาเสนาบดีแล้วมาขายผ้าอาจจะไม่แปลก แต่ทำไมถึงขายอยู่แค่ฉากเดียวจริงๆ เพื่อนฝูงที่เล่นหยอกกันถึงขั้นปาจอกใส่กันไม่รู้หายไปไหนหมด หรือจะว่าเธอแบ่งเวลาระหว่างการขายผ้ากับการไปเรียนซีต้ากับพระเอกได้โดยไม่ต้องรายงานผู้ชมก็ยังพอทน แต่อยู่ดีๆ ครอบครัวอัครมหาเสนาบดีของเธอก็ย้ายบ้านไปกางเต็นท์กันที่ภูเขา แล้วท่านอัครมหาเสนาบดีจะทำราชการยังไง ลูกสาวไม่ต้องขายผ้าแล้วหรือยังไง จะว่าไปปิคนิคตากอากาศกันชั่วคราวก็ไม่เห็นพูดให้ชัด แล้วอยู่ๆ ก็ย้ายไปที่เมืองอัคราอีก อย่างนี้คงต้องหาหนังสือที่พ่อไก๊ด์หนุ่มให้คุณโซเฟียยืมอ่านมาอ่านดูบ้างแล้วว่าเรื่องมันยังไงกันแน่
พูดถึงโซเฟีย การนำเธอมาเป็นคนเล่าเรื่องผ่านการอ่านหนังสือ คงต้องการให้เธอเป็นเสมือนตัวแทนของคนยุคใหม่และค่านิยมตะวันตก มาเป็นตัวเปรียบเทียบกับค่านิยมความรักในอดีตของวัฒนธรรมตะวันออก ดังข้อความในจดหมายของเธอที่มีถึงสามีที่พึ่งเลิกกันว่า "คนที่หมดศรัทธาในรักอมตะ แต่กลับต้องมานั่งเขียนเรื่องเกี่ยวกับรักอมตะซะเอง"

โซเฟียผู้เล่าเรื่องผ่านการอ่านหนังสือ (เขียนสกู๊ปเสร็จแล้วคืนเขาด้วยนะ)

แถมท้ายอีกหน่อยว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีแต่เพลงประกอบที่ล้วนแต่ไพเราะทั้งนั้น ไม่มีฉากการเต้นระบำแบบที่วิ่งไล่กันจากต้นไม้ต้นนึงไปอีกต้นนึงอย่างที่เคยพบเห็นใน "หนังแขก" เรื่องอื่นๆ นะครับ
ทีนี้จะจัดให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่เดินเรื่องตามประวัติศาสตร์ หรือเป็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ดีละครับ จากข้อสังเกตบางประการดังกล่าวข้างต้น ใจผมยังเอียงมาทางภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์แบบยังไม่ฟันธงร้อยเปอร์เซนต์ และเอาเป็นว่า ถ้าหากท่านผู้อ่านหาภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ และต้องการจะชมเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเล็กคิดน้อยอย่างที่ผมวิจารณ์ ขอให้ปล่อยอารมณ์ไปกับภาพของดาร่าหนุ่มหล่อสาวงาม (แม้จะเป็นแบบแขกๆ ที่ไม่อินเทรนด์เหมือนดาร่าเกาหลีก็ตาม) เสียงเพลงที่ไพเราะ ภาพธรรมชาติและพระราชวังที่งดงาม ตลอดจนเนื้อเรื่องที่มีแต่ความหวานซึ้ง แทบจะปราศจากความรุนแรงทั้งทางกายและทางวาจา ท่านก็จะได้ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงนี้ไปกับการพักผ่อนอย่างเป็นสุขครับ
คำคมชวนคิด
- "คนที่หมดศรัทธาในรักอมตะ แต่กลับต้องมานั่งเขียนเรื่องเกี่ยวกับรักอมตะซะเอง" ข้อความในจดหมายที่โซเฟียเขียนถึงคนรักที่พึ่งแยกทางกัน
- "ฉันอยากรู้เรื่องจริง ไม่ใช่ข้อมูลของนักท่องเที่ยว" โซเฟียกล่าวกับไก๊ด์หนุ่ม อันนี้ฝากให้คนในวงการท่องเที่ยวของไทยนำไปคิดต่อเอาเอง
- "ทหารทุกนายก็มีสิทธิที่จะรัก" คูร์รัมกล่าวกับทหารคนสนิทที่บอกว่าอาจูมันมีฐานะสูงเกินกว่าที่ทหารธรรมดาอย่างเขาจะรักได้
- "ดนตรี คือทุกสิ่ง มันคือความรู้สึก มันคือการบูชา เป็นเสียงของพระเจ้า มันหมายถึงการได้ใกล้ชิดพระเจ้า และเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ดนตรีคือความรัก" อุซตาดอาลีคานกล่าวกับคูร์รัมและอาจูมัน ส่วนขาโจ๋ที่ฟังคอนเสิร์ตไปกรี๊ดไปสมัยนี้คงไม่คิดอะไรลึกซึ้งขนาดนี้แน่ๆ
- "รักแท้ย่อมเจอหนทาง" คูร์รัมกล่าวกับอาจูมันเมื่อเขาตามไปพบเธอที่ภูเขา
- "กษัตริย์ตรัสแล้วไม่สามารถคืนคำได้" พระจักรพรรดิ Jahangir กล่าวกับพระนางนูราจาน น่าจะนำไปใช้กับผู้นำทุกระดับชั้นนะครับ
เนื่องจากบทความนี้เป็นลิขสิทธิ์อัน ชอบธรรมของผู้เขียน และอาจะมีการปรับปรุงแก้ไขข้อมูลบ้างตามความเหมาะสม ในการนำบทความไปเผยแพร่ในเว็บไซต์อื่นๆ จึงขอความร่วมมือให้ใช้วิธีการคัดลอกเฉพาะ Link หรือ URL Address แทนการคัดลอกบทความทั้งหมด หากมีการคัดลอกไปในลักษณะแอบอ้างเป็นผู้เขียน หรือมีเจตนาอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดผลเสียต่อทางเว็บ iseehistory.com แล้ว จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดตามกฎหมาย
ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษ : Taj Mahal: A Monument of Love
ชื่อภาษาไทย : ทัชมาฮาล รักเราเป็นนิรันดร์
ผู้กำกำกับ : Robin Khosla
ผู้สร้าง (Producer) : Ramesh Khosla
ผู้เขียนบท : Robin Khosla
ผู้แสดง :
- Raghuraj as Khurram
- Purnima/Poornima Pathwardhan as Arjumand Bano (Queen Mumtaz Mahal)
- Kulbhushan Kharbanda as Jahangir
- Moon Moon Sen as Nurjahan
- Iklakh as Mahawat Khan
- Shahbaz Khan as Ustad
- Bashir Shiekh as Asaf Khan
- Aparna Jaywant as Jahanara
- Raja Chowdhary as Guide
- Sabrina Avila as Sophia
- Bali as Asif
- Deepa as Ladli Begum
ควรอ่านเพิ่มเติม
กระทู้ที่เกี่ยวข้อง
เรียนเชิญสมาชิกร่วมแสดงความคิดเห็นที่ด้านล่างสุดของหน้าเว็บ (ต้องสมัครและ Login ก่อน) ผู้ชมทั่วไปหรือสมาชิกที่ต้องการโพสต์รูป เชิญร่วมแสดงความเห็นได้ที่เว็บบอร์ด "คุยกันหลังฉาก" ในกระทู้ที่มีอยู่แล้ว หรือ สร้างกระทู้ใหม่ (คลิกที่นี่) ครับ
หากเป็นสมาชิก Facebook แสดงความเห็นได้ในฟอร์มข้างล่างนี้ครับ
ภาพยนตร์ตัวอย่าง (Trailer) จาก www.youtube.com
ที่จริงแล้วใน YouTube มีคลิปตัวอย่างภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ http://www.youtube.com/watch?v=aeOrFvXmD1I แต่เนื่องจากผู้อัพโหลดคลิปได้ตั้งค่าไว้ให้ไม่สามารถนำไปแสดงที่หน้าเว็บอื่นได้ จึงขอให้ผู้สนใจคลิกที่ลิงค์ดังกล่าวแทน ในที่นี้ขอนำเสนอคลิปภาพถ่ายต่างๆ ของทัชมาฮาลดังนี้ครับ
ทางเว็บไม่มีนโยบายนำภาพยนตร์ฉบับ เต็มมาให้ดูออนไลน์หรือให้ดาวน์โหลดเนื่องจากเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์และไม่ มีพื้นที่สำหรับเก็บไฟล์ภาพยนตร์